❤️ (✘) ไร้รัก ✢ Lovelessly
-
เขียนโดย Watt
วันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2558 เวลา 07.30 น.
2 chapter
0 วิจารณ์
4,420 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2558 07.54 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) ในอ้อมกอดของพี่ชาย
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ❤️ (✘) ไร้รัก ✢ Lovelessly
ตอนที่ 1 ✢ ในอ้อมกอดของพี่ชาย
ร้านกาแฟเรือนแพ... เวลาตอนนี้เพิ่งจะบ่ายโมง ไม่มีลูกค้าเข้ามาที่ร้านกาแฟเลยเพราะส่วนใหญ่คงไปกินข้าวที่ร้านอาหารกลางน้ำกันมากกว่า ในร้านจึงมีแค่ผมกับแฟรงค์เพียงสองคนที่นั่งมองหน้ากัน "พี่แฟรงค์ พี่แฟรงค์รู้ตัวไหมว่าพี่แฟรงค์หล่อมากเลย นัทนึกไม่ออกเลยว่าพอพี่โตมาแล้วจะหล่อขนาดนี้" นั่นคือประโยคแรกที่ผมเอ่ยขึ้นหลังจากที่สั่งเครื่องดื่มไปแล้วและนั่งมองหน้ากันเขินๆ อยู่นานสองนาน "ขนาดนั้นเลยเหรอนัท" แฟรงค์หัวเราะเบาๆ แก้เขิน
"จริงสิ พี่แฟรงค์หล่อจริงๆ ไม่อยากเชื่อเลยว่านัทจะมีพี่ชายหล่อขนาดนี้ พี่แฟรงค์ดูเท่ห์มาก สมาร์ท แล้วก็...ดูเป็นผู้ใหญ่ด้วย"
"พอแล้วๆ เดี๋ยวแฟรงค์ก็ลอยทะลุเพดานพอดี" ผมกับแฟรงค์หัวเราะด้วยกันอย่างที่เราเคยหัวเราะเมื่อตอนเด็กๆ รอบๆ ตัวของเราดูเหมือนจะรายล้อมไปด้วยบรรยากาศและความรู้สึกเก่าๆ ที่ย้อนกลับมาอีกครั้งอย่างไม่นึกไม่ฝัน "พี่แฟรงค์สบายดีนะ แต่แหม...ขับรถเบนซ์หรูซะขนาดนี้ คงจะล่ำซำดีนะพี่" "สบายดี แล้วนัทล่ะ" ผมหลุบตาต่ำลงเล็กน้อยเมื่อเจอคำถามนี้ แม้จะเป็นคำถามง่ายๆ แต่กลับเป็นคำถามที่ผมไม่อยากตอบเท่าไหร่เลย "ก็สบายดี" ผมตอบแฟรงค์ไปด้วยเสียงเบาๆ สีหน้าของแฟรงค์ระบายไปด้วยรอยยิ้มดีใจตั้งแต่ที่เพิ่งเจอกันเมื่อกี้แล้ว แต่ไม่ทันไรผมก็เห็นเหมือนมีหยดน้ำใสๆ ไหลซึมออกมาจากสองตาคู่นั้น "พี่แฟรงค์ร้องไห้ทำไม" ผมถามด้วยสีหน้าตกใจและสงสัย หันไปมองรอบๆ แล้วก็ค่อยใจชื้นขึ้นมาหน่อยที่ไม่มีใครหันมาสนใจ "นัท...ตอนที่นัทขี่จักรยานไปโรงเรียนคนเดียว นัทเหงาหรือเปล่า แฟรงค์ขอโทษนะที่แฟรงค์ไม่ได้ไปหานัทเลย" "แฟรงค์ยังจำได้อีกเหรอ"
ไม่ใช่ว่าผมไม่เชื่อ แต่เหตุการณ์นั้นก็ผ่านมานานมากจนผมคิดว่าไม่น่าจะทำให้ผมหรือแฟรงค์รู้สึกอะไรกับมันอีกแล้ว แฟรงค์พยักหน้าช้าๆ พยายามสะกดกลั้นน้ำตาเต็มที่เพราะขืนร้องไห้ตรงนี้เด็กๆ ในร้านคงตกใจน่าดู
ทำไมแฟรงค์ถึงยังรู้สึกกับเรื่องที่ผ่านไปเป็นสิบๆ ปีได้อยู่อีกนะ หรืออาจจะเป็นไปได้ว่าเมื่อก่อนแฟรงค์รักผมมากในฐานะน้องชายและเพื่อนคนหนึ่ง ต่อให้ไม่ใช่น้องแท้ๆ แฟรงค์ก็ดูแลผมไม่ต่างจากน้องที่คลานตามกันมาเลย นี่กระมังที่อาจเป็นสาเหตุให้แฟรงค์รู้สึกสะเทือนใจ
"แฟรงค์อย่าพูดอย่างนี้สิ นัทจะร้องไห้ตามแล้วรู้ไหม" ผมเองก็เริ่มมีน้ำตามาเอ่อที่ขอบตาเหมือนกัน เรามองหน้ากันแล้วก็ขำกันเอง มันเป็นอารมณ์ที่แปลกจริงๆ ทั้งอยากหัวเราะและร้องไห้ไปพร้อมๆ กัน "แฟรงค์ยังเก็บรูปแล้วก็การ์ดใบนั้นของนัทไว้ตลอดเลยนะ เดี๋ยววันหลังจะเอามาให้ดู" "จริงเหรอ..." ผมยิ้มดีใจ "นัทก็เก็บรูปของแฟรงค์ไว้เหมือนกัน รูปนั้นแหละ" "นึกว่านัทจะลืมแฟรงค์แล้วซะอีก"
"ใครจะลืมได้ล่ะ ขี่จักรยานไปโรงเรียนด้วยกันตั้งหลายปี พี่แฟรงค์รู้ไหม...นัทตามหาพี่แฟรงค์มานานมาก เจอเพื่อนเก่าคนไหนของพี่แฟรงค์ นัทก็ถามหาพี่แฟรงค์ตลอดเลย นัทยังเคยขี่จักรยานไปที่บ้านเก่าของพี่แฟรงค์บ่อยๆ นัทคิดถึงพี่แฟรงค์มากเลยตอนนั้น แต่พี่แฟรงค์ก็ไม่กลับมาหานัทเลย..."
น้ำเสียงและสีหน้าผมหม่นเศร้าในตอนท้าย นั่นยิ่งทำให้แฟรงค์ต้องคอยกะพริบตาถี่ๆ เพื่อไม่ให้น้ำตาไหลออกมา มันทำให้ผมรู้ว่าเรากำลังจะเชื่อมต่อกันติดอีกครั้ง วันเวลาที่ผ่านไปอาจจะทำให้ความทรงจำหลายๆ อย่างลบเลือน แต่สิ่งที่ไม่เคยลบเลือนเลยก็คือความรู้สึกดีๆ ที่เราเคยมีให้กันนี่แหละ แล้วความรู้สึกในวันนั้นก็กำลังจะกลับมาอีกครั้ง
"แฟรงค์ขอโทษนะที่แฟรงค์ผิดคำสัญญา เรื่องมันยาวมาก เอาไว้วันหลังแฟรงค์จะเล่าให้นัทฟังนะ"
ผมก็เพิ่งเคยเห็นผู้ชายตัวโตมีน้ำตาก็วันนี้แหละ แม้ว่าแฟรงค์จะพยายามแค่ไหนก็ห้ามน้ำตาไม่สำเร็จ ผมจึงส่งกระดาษเช็ดปากที่อยู่บนโต๊ะให้แฟรงค์ไปหนึ่งแผ่น ส่วนผมก็หยิบมาอีกหนึ่งแผ่นสำหรับซับน้ำตาของตัวเองด้วย ต่างคนต่างซับน้ำตาแล้วก็อดจะหัวเราะขบขันกันเองไม่ได้
"นัทไม่เคยโกรธพี่แฟรงค์เรื่องนั้นหรอก นัทเข้าใจ..."
แม้จะยังไม่รู้ว่าเพราะอะไรแฟรงค์ถึงไม่เคยกลับไปที่บ้านเกิดอีกเลย แต่ผมก็พอจะเดาได้ว่าคงมีปัญหาบางอย่าง
"นัทก็หล่อเหมือนกันนะ แฟรงค์ก็ดูไม่ออกเหมือนกันว่าโตขึ้นมาแล้วนัทจะหล่อขนาดนี้ คงจะมีสาวๆ มาชอบเยอะล่ะสิท่า" แฟรงค์ชวนคุยตลกๆ เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศให้สดใสขึ้น แต่ผมกลับทำได้แค่ยิ้มเศร้าๆ "แล้วพี่แฟรงค์ล่ะ หล่อๆ อย่างนี้...คงมีเจ้าของแล้วแน่ๆ เลย"
แฟรงค์เอนตัวไปข้างหลังติดพนักเก้าอี้ในอิริยาบถสบายๆ ก่อนจะพยักหน้ายอมรับอย่างช้าๆ
"อืม..." "ผู้หญิงหรือผู้ชายล่ะ"
ผมถามอย่างนึกสนุก แฟรงค์ขมวดคิ้วทำหน้าฉงน แล้วก็ดีดขึ้นมานั่งตัวตรง
"ทำไมถามงั้นล่ะนัท" "อ้าว...สมัยนี้เรื่องธรรมดานะแฟรงค์ แฟรงค์จำไอ้ม่อนได้ไหม ไอ้ม่อนที่อยู่ห้องเดียวกับนัทไง ตอนที่ไปเข้าค่ายลูกเสือ แฟรงค์เคยขอสลับให้ไอ้ม่อนไปนอนกับอีกคน แล้วแฟรงค์ก็มานอนกับนัทแทน จำได้ไหม"
ผมถือโอกาสเท้าความถึงเรื่องที่ผมพอจะจำได้ไปด้วย ตอนนั้นเราไปเข้าค่ายลูกเสือ ตอนเย็นครูให้รุ่นน้องกับรุ่นพี่จับสลากว่าใครจะได้นอนคู่กับใคร บังเอิญว่าแฟรงค์จับได้คู่กับม่อน แฟรงค์ก็เลยแอบมาเจรจาลับขอสลับคู่กันจนได้มานอนกับผมในที่สุด
"อ๋อ...จำได้ๆ คืนนั้นนัทนอนกอดแฟรงค์ทั้งคืนเลย"
"ก็มันหนาว" ผมแก้ตัวเขินๆ
ใช่ครับ มันหนาวสุดๆ เพราะเราไปเข้าค่ายช่วงหน้าหนาวพอดี ใครๆ ก็รู้ว่าจังหวัดเพชรบูรณ์ขึ้นชื่อเรื่องความหนาวอยู่แล้ว
"แล้วนัทพูดถึงไอ้ม่อนทำไมเหรอ"
แฟรงค์วกกลับมาถาม คงงงๆ ที่อยู่ดีๆ ผมก็พูดเรื่องเพื่อนสมัยเรียนอีกคนขึ้นมา
"มันผ่าแล้ว" "ผ่าแล้ว!"
ผมเห็นคำถามล้านแปดอยู่ในสายตาคู่นั้น แฟรงค์คงจะงงว่า "ผ่า" คืออะไร
"ไอ้ม่อนมันเป็นอะไรเหรอถึงต้องผ่าตัด" ผมเอนหลังไปติดพนักเก้าอี้บ้างแล้วก็ขำท่าทางงงๆ ของแฟรงค์ "มันผ่าตัดแปลงเพศเป็นผู้หญิงไปแล้ว" "ไอ้ม่อนเนี่ยนะ!!!" แฟรงค์ทำหน้าไม่เชื่อ "มันโคตรเฮี้ยวเลย ไม่บอกไม่เชื่อนะเนี่ย" "นัทถึงต้องถามพี่แฟรงค์ก่อนไงว่าเจ้าของของพี่แฟรงค์เป็นผู้ชายหรือผู้หญิง" แฟรงค์ส่ายหน้าแล้วก็หัวเราะตลกกับคำถามของผม "นัทนี่ตลกเหมือนเดิมเลยนะ เอาเป็นว่า...แฟรงค์ไม่ได้ผ่าเหมือนไอ้ม่อนละกัน"
ผมไม่รู้สึกแปลกใจหรอก ถึงแฟรงค์จะไม่ใช่ผู้ชายที่โลดโผนโจนทะยานแต่ก็ไม่มีท่าทีกระเดียดไปทางนั้นเลย
"แฟรงค์แต่งงานแล้วเหรอ" ผมถามเพราะคิดว่าคนวัยย่างยี่สิบหกอย่างแฟรงค์ก็น่าจะแต่งงานได้แล้ว "ยัง...กำลังหาฤกษ์อยู่ ก็กะว่าจะแต่งต้นๆ ปีหน้านั่นแหละ"
ผมพยักหน้ารับรู้ เหมือนมีความรู้สึกบางอย่างแล่นผ่านแวบเข้ามาในความคิด แต่ผมก็ปล่อยให้มันผ่านไปโดยไม่สนใจ ไม่อยากรู้ด้วยซ้ำว่ามันคือความรู้สึกอะไร
"อิจฉาคนมีคู่จัง นัทสิ...ยังหาไม่ได้เลย" ผมพูดติดตลกแต่หน้าเศร้า "เดี๋ยวก็เจอ ว่าแต่...นัทมาทำอะไรถึงที่นี่ล่ะ" "นัทว่าจะมาสมัครงานตำแหน่งผู้จัดการรีสอร์ทที่นี่ซะหน่อย เห็นเขาประกาศรับสมัครอยู่"
แฟรงค์เท้าแขนบนโต๊ะ เอามือประสานกันแล้วก็มองผมอย่างสนใจ พอเห็นหน้าใสไร้สิวใกล้ๆ ของแฟรงค์แล้วผมก็ต้องขอยอมรับตามตรงว่าแฟรงค์เป็นคนมีเสน่ห์น่ามองมาก
"จริงเหรอ แล้วนัทรู้ได้ยังไงว่าที่นี่เขารับสมัครผู้จัดการคนใหม่ นัทอยู่แถวนี้หรือเปล่า" "เปล่า...นัทอยู่รัชดาโน่น พอดีนัทคุยกับเพื่อนเก่าสมัยเรียนตรีด้วยกันทางเฟส นัทบอกเพื่อนไปว่านัทลาออกจากที่ทำงานเดิมแล้ว อยากหางานทำที่เกี่ยวกับพวกโรงแรมหรือรีสอร์ทที่ไม่ใหญ่มากในกรุงเทพหรือใกล้ๆ กรุงเทพนี่แหละ แล้วเพื่อนนัทมันอยู่แถวนี้พอดี มันก็เลยบอกให้นัทลองเข้าไปดูในเฟสของเรือนแพรีสอร์ทดู นัทเห็นประกาศรับสมัครผู้จัดการก็เลยสนใจอยากลองมาสมัคร ตอนแรกว่าจะส่งใบสมัครมาทางอีเมล์นั่นแหละ แต่คิดไปคิดมา...มาสมัครเองดีกว่า นัทจะได้มาหาเพื่อนด้วย นี่นัทก็เพิ่งไปหาเพื่อนมา อ้อ...แล้วแฟรงค์ล่ะ แฟรงค์มาทำอะไรที่นี่ แล้วตอนนี้แฟรงค์อยู่ที่ไหน ทำงานที่ไหน" "เอาคำถามไหนก่อนดี"
"ตอบมาเหอะ คำถามไหนก่อนก็ได้"
แฟรงค์เอามือลงจากโต๊ะแล้วก็นั่งตัวตรงเหมือนเดิม
"ก็ทำงานแถวๆ นี้แหละ บ้านอยู่มีนบุรี ที่มาที่นี่ก็...มีธุระสำคัญอะไรบางอย่างนิดหน่อย" "อ้าวเหรอ...แล้วแฟรงค์ต้องรีบไปธุระหรือเปล่า นัทรบกวนเวลาไหม" ผมถามด้วยสีหน้ากังวล "ไม่หรอก แฟรงค์มาก่อนเวลาน่ะ ยังคุยกับนัทได้อีกนานเลย"
ผมยิ้มอย่างโล่งอก นึกว่าจะได้คุยกันแป๊บเดียวเสียแล้ว
"ดีเลย นัทคิดถึงแฟรงค์มาก มีอะไรอยากคุยกับแฟรงค์เยอะเลย" "นี่แหละนัทตัวจริง เดี๋ยวก็เรียกแฟรงค์ เดี๋ยวก็เรียกพี่แฟรงค์ ก็บอกแล้วไงว่าให้เรียกแฟรงค์เฉยๆ" แฟรงค์ทำเสียงดุไม่จริงจังนัก "ก็ไม่รู้สิ เหมือนจิตใต้สำนึกของนัทมันไม่เชื่อยังไงไม่รู้ ยังไงๆ แฟรงค์ก็อายุมากกว่านัทนั่นแหละ"
แฟรงค์ยิ้มอย่างอารมณ์ดี รอยยิ้มนั้นมีเสน่ห์น่าประหลาดจนทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ ได้เหมือนกัน ผมมองดูคนตรงหน้าด้วยสายตาชื่นชม ที่ผ่านมาผมก็มองพี่แฟรงค์ด้วยสายตาที่ชื่นชมราวกับเป็นฮีโร่ในดวงใจเสมอ ไม่ว่าจะมองตรงไหนแฟรงค์ก็ดูดี ผู้หญิงที่ได้แต่งงานกับแฟรงค์คงโชคดีมากเพราะแฟรงค์เป็นคนชอบดูแลเอาใจ ที่ผมผูกพันกับแฟรงค์ก็เพราะเหตุนี้แหละ
"แล้วนัทเรียนจบที่ไหนมา ทำงานที่ไหนมาบ้าง"
"ถามเหมือนสัมภาษณ์งานนัทเลยนะเนี่ย" ผมพูดติดตลก
"นัทจบตรีการจัดการการท่องเที่ยวและการโรงแรมที่ มศว. มา แล้วก็จบโทการจัดการการท่องเที่ยวที่นิด้าอีกใบ พอจบตรีแล้วก็ทำงานที่โรงแรมในเครือแอคคอร์อยู่ที่หนึ่ง ก็ทำอยู่หลายปีเหมือนกัน ตำแหน่งสุดท้ายก่อนที่จะลาออกก็เป็นผู้ช่วยผู้จัดการ" "แล้วทำไมออกล่ะ" "มันเครียดน่ะแฟรงค์ ทำงานกับบริษัทใหญ่ๆ แล้วก็รู้สึกเลยว่า...เขาใช้เรายังกะวัวยังกะควาย แล้วก็อีกหลายๆ เรื่อง ช่างมันเถอะ อย่าไปพูดถึงมันเลย เอาเป็นว่าตอนนี้นัทอยากทำงานกับรีสอร์ทเล็กๆ อย่างนี้แหละ เงินเดือนน้อยลงก็ไม่เป็นไรหรอก นัทกะว่าจะทำงานซักสองสามปีหาประสบการณ์ซักหน่อย แล้วนัทก็จะกลับไปทำรีสอร์ทหรือไม่ก็ไร่สตรอเบอรี่ที่ภูทับเบิก แม่ซื้อที่ไว้แถวนั้นไว้หลายไร่เลย" แฟรงค์พยักหน้ายิ้มๆ แถมยังหัวเราะด้วยสีหน้าแปลกๆ อีก "ก็ดีเหมือนกันนะ แล้ว...น้านวลเป็นไงบ้าง สบายดีนะ แฟรงค์ไม่ได้กินขนมจีนเส้นสดน้านวลนานมากเลย" แฟรงค์ชวนเปลี่ยนเรื่องคุยอีกแล้ว อาจจะเป็นเพราะว่าเราไม่ได้เจอกันนานก็เลยมีหลายเรื่องที่อยากรู้ เวลาคุยกันก็เลยกระโดดไปเรื่องนั้นเรื่องนี้เป็นธรรมดา ผมมองถ้วยกาแฟของเราสองคนแล้วก็ขำเบาๆ ไม่รู้ว่าเด็กในร้านเอามาเสิร์ฟตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครยกขึ้นมาจิบเลย "สบายดี แฟรงค์...นัทขอยืมโทรศัพท์แฟรงค์แป๊บนึงดิ"
ผมทำน้ำเสียงนึกสนุก แฟรงค์มองอย่างงงๆ แต่ก็ส่งไอโฟนรุ่นล่าสุดมาให้ผมแต่โดยดีพร้อมกับปลดล็อกหน้าจอให้ด้วย ผมรับโทรศัพท์มาจากแฟรงค์ด้วยสีหน้าที่ยิ้มมีเลศนัย พอจะกดปุ่มโทรศัพท์ ผมก็รู้สึกสะดุดใจกับภาพวอลเปเปอร์ที่หน้าจอของแฟรงค์จนต้องขมวดคิ้ว มันเป็นภาพที่แฟรงค์ถ่ายคู่กับผู้หญิงสวยคนหนึ่งที่น่าจะป็นแฟนของแฟรงค์นั่นแหละ ผมไล่ความคิดนั้นออกไปโดยเร็วแล้วก็กดไอค่อนรูปโทรศัพท์ ก่อนจะกดเบอร์ของแม่ที่ผมจำได้จนขึ้นใจ ผมกดโทรออก เปิดลำโพงแล้วก็ส่งโทรศัพท์ให้แฟรงค์ไป
"อะไร...จะให้แฟรงค์คุยกับใคร" แฟรงค์ถามด้วยสีหน้างงๆ "แม่นัทไง" "อ๋อ..." แฟรงค์ทำสีหน้าสบายใจขึ้นมาหน่อย พอแม่ผมรับสาย การสนทนาก็เริ่มขึ้น "สวัสดีครับน้านวล น้านวลสะดวกคุยหรือเปล่าครับ" "สะดวกจ้ะ ใครโทรมาเหรอ เสียงคุ้นๆ" "แฟรงค์ครับน้านวล น้านวลจำผมได้ไหมครับ แฟรงค์...เพื่อนนัทไงครับ" "แฟรงค์เหรอ จำได้ๆ เป็นไงบ้างลูก แล้วนี่ไปได้เบอร์น้ามาจากไหน" น้ำเสียงของแม่ผมฟังดูดีใจและตื่นเต้นไม่แพ้กัน "ผมเจอนัทโดยบังเอิญที่กรุงเทพครับน้านวล ตอนนี้นัทก็นั่งอยู่กับผมนี่แหละครับ น้านวลสบายดีนะครับ คิดถึงขนมจีนเส้นสดของน้านวลมาก สงสัยผมจะต้องหาเวลากลับไปกินอีกสักครั้ง ไม่ได้กินนานแล้ว" "มาเลยลูกๆ มากับนัทก็ได้ ตอนนี้น้าเปิดร้านขายขนมจีนอยู่ติดถนนสายสิบสองเลย ชื่อร้านแม่นวล ป้ายเบ้อเร่อเลย หาไม่ยากหรอก มากินให้จุใจเลยลูก แล้วแฟรงค์เป็นไง ทำอะไรอยู่ พวกเราคิดถึงแฟรงค์กันมากรู้ไหมลูก ตอนที่แฟรงค์ไปเรียนกรุงเทพใหม่ๆ นัทมันเหงามาก แม่เห็นแล้วก็สงสาร นั่งหงอยอยู่คนเดียวทุกวัน คอยถามหาแต่พี่แฟรงค์ๆ"
ผมทันได้เห็นสายตาของแฟรงค์ที่ดูสลดลงเล็กน้อย บางทีการที่แฟรงค์ผิดคำสัญญากับน้องชายที่รักมากคนหนึ่ง อาจจะเป็นเรื่องติดค้างในใจมาตลอดตั้งแต่จากกันก็ได้
แฟรงค์คุยกับแม่ผมอยู่นานหลายนาที คุยเสร็จแล้วแฟรงค์ก็เก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋ากางเกงตัวเองไป
"นัทขอเบอร์แฟรงค์ไว้หน่อยได้ไหม นัทมีอะไรอยากคุยกับแฟรงค์เยอะแยะเลย แต่คงต้องนัดคุยวันหลังแล้วล่ะเพราะว่าเดี๋ยวนัทจะต้องไปพบหัวหน้ารีสอร์ทเรื่องสมัครงานแล้ว นัทไม่อยากให้เค้ารอ เดี๋ยวจะดูไม่ดี" "ไปหาเค้าทำไม ไม่ต้องไปแล้ว" ผมขมวดคิ้วมองแฟรงค์ด้วยความแปลกใจ นึกหาเหตุผลไม่ออกเลยว่าทำไมแฟรงค์ถึงได้พูดอย่างนั้น "อ้าว...แฟรงค์ไม่อยากให้นัทสมัครงานนี้เหรอ นัทอยากทำงานที่นี่มากเลยนะ" แล้วแฟรงค์ก็หัวเราะชอบใจใหญ่ ไม่รู้ว่าตลกอะไรของแฟรงค์นักหนา แถมยังส่ายหัวอีกด้วย "นัท...นัทไม่รู้จริงๆ เหรอว่านัทกำลังคุยกับใครอยู่" นั่นน่ะสิ! ผมก็ชักสงสัยแล้วเหมือนกันว่าแฟรงค์เป็นใครกันแน่
แฟรงค์ยืดตัวขึ้นพร้อมกับสูดหายใจยาว เอามือสองข้างจับต้นขาตัวเอง ยิ้มละไมแต่ก็มีเลศนัยอยู่ในที แต่ไม่ว่าจะยิ้มแบบไหน รอยยิ้มของแฟรงค์ก็อบอุ่นเสมอสำหรับผม ใบหน้าที่คมคายขึ้นจากตอนเด็กๆ นั้นทำให้รอยยิ้มเดิมแผ่พลังอบอุ่นออกมาได้มากกว่าแต่ก่อนหลายเท่านัก
แฟรงค์ลดไหล่ลงตามเดิม ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูอบอุ่นที่สุดเท่าที่ผมเคยได้ยินมา
"มาทำงานกับพี่นะ"
สรุปว่าแฟรงค์เป็นเจ้าของรีสอร์ทนั่นเอง จะว่าเป็นเจ้าของก็ไม่เชิงเพราะที่นี่เป็นรีสอร์ทของปู่แฟรงค์ ตอนที่แฟรงค์มาเรียนที่กรุงเทพนั้นธุรกิจรีสอร์ทของพ่อแฟรงค์ที่เขาค้อมีปัญหาหลายอย่าง สุดท้ายก็เลยต้องขายแล้วย้ายมาอยู่กรุงเทพกันทั้งครอบครัว
แฟรงค์เคยเล่าให้ผมฟังว่าปู่ของแฟรงค์มีลูกด้วยกันทั้งหมดห้าคน แต่มีอยู่วันหนึ่งลูกๆ ทั้งห้าคนขับรถไปเที่ยวด้วยกันแล้วก็เกิดอุบัติเหตุ พ่อของแฟรงค์รอดคนเดียวส่วนคนอื่นๆ เสียชีวิตหมด ทรัพย์สมบัติทั้งหลายของปู่จึงยกให้พ่อแฟรงค์คนเดียวเลย
พอธุรกิจที่เขาค้อมีปัญหาและขายทิ้งไป พ่อของแฟรงค์ก็มาดูแลเรือนแพรีสอร์ทแทนปู่ของแฟรงค์ที่เริ่มอายุมาก นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้แฟรงค์ไม่ได้กลับมาที่เพชรบูรณ์อีกเลย พอแฟรงค์เรียนจบ พ่อของแฟรงค์ก็ค่อยๆ ถ่ายโอนภาระความรับผิดชอบที่รีสอร์ทแห่งนี้ให้แฟรงค์ จนกระทั่งแฟรงค์ดูแลเองได้หมดพ่อจึงละมือจากงานนี้ไป คอยดูแลอยู่ห่างๆ เท่านั้น
แฟรงค์พาผมเดินดูรีสอร์ทจนทั่ว เนื้อที่ที่นี่กว้างใหญ่มากจึงใช้เวลานานพอสมควร กว่าจะดูจนหมดและตอบคำถามที่ผมสงสัยได้ทุกอย่างก็เย็นพอดี ก่อนจะกลับเราก็มานั่งคุยสรุปกันสั้นๆ อีกครั้งที่ห้องทำงานของแฟรงค์ ก็เหลือแค่ตกลงกันว่าจะเริ่มทำงานเมื่อไหร่ยังไงนั่นเอง ผมบอกแฟรงค์ไปว่าผมพร้อมอาทิตย์หน้า แฟรงค์เป็นห่วงผมเรื่องขับรถไกลมาทำงาน แต่ผมก็ว่าจะลองดูก่อนเพราะผมก็ไม่อยากทิ้งคอนโดไว้ ถ้าไม่ไหวจริงๆ ค่อยหาทางแก้ปัญหาอีกที
อ้อ ผมมีรถเก๋งอยู่คันหนึ่ง แต่วันนี้ไม่ได้ขับมาด้วยเพราะกลัวหลงทาง ก็เลยนั่งแท็กซี่มาหาไอ้ปอนด์แล้วให้มันมาส่งที่นี่
"ให้พี่ไปส่งนัทนะ" แฟรงค์อาสาขึ้นมาตอนที่ผมกำลังจะขอตัวกลับพอดี
อย่าว่าแต่ผมเลยที่สับสน บางทีแฟรงค์ก็สับสนเหมือนกันว่าจะเรียกแทนตัวเองว่ายังไง แต่ผมก็ชอบนะที่แฟรงค์เรียกแทนตัวเองว่าพี่ ได้ยินทีไรผมก็อบอุ่นใจทุกครั้ง "ไม่เป็นไรหรอกแฟรงค์ นัทกลับเองได้ รัชดามันไกลด้วย รถก็ติด เดี๋ยวแฟรงค์เสียเวลา" "เสียเวลาอะไรกัน นัทเป็นน้องชายของแฟรงค์นะ นัทรู้ไหม...แฟรงค์รู้สึกเสียใจมากนะที่แฟรงค์ทิ้งนัทมา ไม่เคยกลับไปดูแลนัทอีกเลย ให้พี่ไปส่งนัทเป็นการไถ่โทษหน่อยเถอะ พี่อยากดูแลนัทเหมือนที่พี่เคยดูแลไง" พอเห็นสีหน้าจริงจังและน้ำเสียงรู้สึกผิดอย่างนั้นแล้วผมก็คงไม่กล้าขัด ก็ดีเหมือนกัน ผมจะได้มีเวลาคุยกับแฟรงค์ให้หายคิดถึง ตอนเด็กๆ เราสองคนไม่เคยเบื่อที่จะคุยกันเลย คุยกันได้ทั้งวัน ตลอดเส้นทางที่แฟรงค์ไปส่งผมนั้น เราสองคนคุยกันไม่หยุดเลย ผมมีความสุขและอบอุ่นใจเหลือเกินที่วันนี้มีแฟรงค์นั่งเป็นเพื่อนอยู่ข้างๆ แค่ไม่กี่ชั่วโมงที่เราเพิ่งได้เจอกัน ความรู้สึกเก่าๆ ก็กลับคืนมาอย่างรวดเร็วจนรู้สึกสนิทใจได้เหมือนตอนนั้น "ตอนแรกแฟรงค์นึกว่านัทเป็นลูกค้ามาเดินเล่นไง ก็เลยจอดรถถามว่าชอบที่นี่หรือเปล่า" "แล้วตอนแรกแฟรงค์จำนัทได้หรือเปล่า" "ตอนแรกก็จำไม่ได้หรอก แต่พอขับรถออกไปแล้วก็ชักสงสัย พอจอดรถแล้วก็เลยวิ่งกลับมาดูอีกทีเผื่อว่าจะใช่" "นัทก็เหมือนกัน ตอนแรกนัทก็งงๆ ว่าใคร แต่ก็รู้สึกว่าหน้าคุ้นๆ เหมือนเคยเจอที่ไหน ก็เลยวิ่งตามไปดู" "ไม่น่าเชื่อนะว่าเราจะได้กลับมาเจอกันอีก พี่ดีใจมากนะนัทที่พี่ได้กลับมาเจอน้องชายของพี่อีก ดีใจที่สุดเลย" แฟรงค์เอื้อมมือมาลูบผมของผมเบาๆ นานแค่ไหนแล้วที่ผมไม่ได้รู้สึกอบอุ่นใจแบบนี้
"นัทก็ดีใจนะพี่แฟรงค์ ดีใจที่สุดในโลกเลย" ผมบอกแล้วก็ยิ้มเขินๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงรู้สึกเขินขึ้นมาได้
"โชคดีนะที่โลกเรามันเป็นทรงกลม ต่อให้เดินห่างไปไกลแค่ไหน...ก็ยังมีโอกาสกลับมาเจอกันได้ แต่ถ้าโลกมันแบน...ยิ่งเดินไปเราก็คงยิ่งห่างกัน แฟรงค์ก็อาจจะไม่ได้มาเจอนัทอีก"
ผมพยักหน้าเห็นด้วย แฟรงค์พูดเหมือนกับที่ผมเคยคิดเลย ผมภาวนาเสมอๆ ว่าขอให้โลกกลมๆ ใบนี้พาผมกับพี่แฟรงค์มาเจอกันอีกสักครั้ง ไม่น่าเชื่อว่ามันจะเป็นจริงได้เลย
"พี่แฟรงค์คิดถึงนัทไหม"
นี่เป็นคำถามหนึ่งที่ผมสงสัยและอยากรู้มากที่สุดตลอดหลายปีที่ผ่านมา
"คิดถึงสิ" แฟรงค์ตอบเบาๆ ยิ้มเศร้าๆ
"คิดถึงมากหรือเปล่า" แฟรงค์หันมาพยักหน้า แล้วก็หันไปมองทางต่อ "นัทคิดถึงพี่แฟรงค์มากนะ นัทยังจำได้เลยว่านัทชอบไปยืนมองบ้านเก่าของพี่แฟรงค์บ่อยๆ ตอนที่พี่แฟรงค์ย้ายไปอยู่ที่กรุงเทพ ตอนนั้น...นัทรู้สึกเศร้ามากเลย แต่ก็...ไม่เป็นไรหรอก พอเวลาผ่านไป...นัทก็ลืมๆ ไปเกือบหมดแล้วล่ะ ถ้าไม่ได้เจอกันวันนี้...นัทก็คงลืมไปแล้วจริงๆ"
ผมพยายามระมัดระวังคำพูดเพราะกลัวแฟรงค์เสียใจ แต่แฟรงค์ก็แค่ยิ้มเศร้าๆ ไม่ได้พูดอะไรกลับมาเลย อาจจะเป็นเพราะจังหวะนั้นมีคนโทรมาหาแฟรงค์ด้วยก็ได้ พอฟังการสนทนาดีๆ ผมก็พอเดาได้ว่าน่าจะเป็นแฟนของแฟรงค์นั่นแหละ
"เดี๋ยวเจอกันพรุ่งนี้นะเพียว วันนี้แฟรงค์ออกมากับเพื่อน เป็นเพื่อนเก่าไม่ได้เจอกันนานเลย" ผมได้ยินประโยคนี้ชัดเจนที่สุด ส่วนเรื่องอื่นๆ นั้นผมก็ฟังได้ยินบ้าง ไม่ได้ยินบ้าง หรือไม่ได้ฟังเลยก็มี ไม่รู้สิ...ผมไม่อยากฟังแฟรงค์คุยกับแฟนเท่าไหร่ ก็ไม่ใช่ว่าฟังไม่ได้ แค่รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างแปลกๆ ที่ผมยังหาคำตอบไม่ได้เท่านั้นเอง แฟรงค์ขึ้นมาส่งผมจนถึงห้อง พอเข้ามาในห้องแล้วผมก็เดินไปที่ตู้เย็น รินน้ำเย็นๆ ใส่แก้วแล้วเอามาส่งให้แฟรงค์
"เห็นไหมนัทบอกแล้วว่ารถติด กว่าจะมาถึงก็ทุ่มกว่าเลย แล้วกว่าแฟรงค์จะกลับถึงบ้านอีกล่ะ"
"ไม่เป็นไร อย่าคิดมาก"
แฟรงค์บอกแล้วก็รับน้ำไปดื่มจนหมดแก้ว ส่งแก้วน้ำคืนให้ผมแล้วก็เดินไปดูตรงนั้นตรงนี้ในห้องผม เราคุยกันอยู่อีกสักพักใหญ่แฟรงค์จึงขอตัวกลับ
จังหวะที่จะลุกเดินจากโซฟาไปที่ประตูนั้น ความรู้สึกบางอย่างพลุ่งพล่านขึ้นมาในใจผมอีกแล้วเมื่อรู้ว่าคนที่ผมผูกพันด้วยกำลังจะไป แม้ว่าจะไปเพียงชั่วคราวก็เถอะ ความกลัวว่าจะถูกทอดทิ้งทำให้ผมควบคุมตัวเองไม่ได้เลย
"พี่แฟรงค์" แฟรงค์หยุดและหันมามองอย่างสงสัย พอเห็นผมเริ่มร้องไห้แฟรงค์ก็ตกใจ
"นัท!"
"พี่แฟรงค์...พี่แฟรงค์อย่าทิ้งนัทไปอีกนะพี่แฟรงค์" แล้วผมก็โผเข้ากอดแฟรงค์ แฟรงค์คงจะตกใจมากทีเดียว แต่ก็พยายามลูบหลังปลอบใจผมไว้ตลอดเวลา "นัทเจ็บน่ะพี่แฟรงค์ นัทเจ็บมาก เจ็บไปหมดแล้ว ฮือๆ"
คราวนี้ผมปล่อยโฮเลย รู้สึกเหมือนแขนขาไร้เรี่ยวแรงจนต้องค่อยๆ ทรุดลงไปกองกับพื้น แฟรงค์รีบย่อตัวลงมานั่งพื้นด้วยกันกับผมแทบจะทันที
"นัทเป็นอะไร บอกพี่ได้ไหม" แฟรงค์ถามอย่างเป็นห่วง "พี่แฟรงค์...นัทคิดถึงพี่นะ พี่แฟรงค์อย่ารำคาญนัทนะที่นัทขี้แงแบบนี้ นัทเจ็บมากน่ะพี่ แล้วนัทก็ไม่มีใครเลย ฮือๆ" ผมยังไม่ตอบคำถามที่แฟรงค์ถามเพราะว่าไม่สามารถจะเล่าได้ในเวลานี้ เอาไว้ให้ผมจิตใจสงบๆ กว่านี้ก่อนละกัน "พี่ไม่รำคาญนัทหรอก นัทไม่ต้องกลัวนะ พี่มาอยู่กับนัทแล้ว พี่จะไม่ทิ้งนัทไปไหนอีก" "จริงนะพี่แฟรงค์...ฮือๆ"
ผมปล่อยโฮใหญ่อีกครั้งแล้วก็กอดแฟรงค์แน่น ปล่อยทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมเคยอึดอัดและอัดอั้นตันใจออกมาทั้งหมด ตั้งแต่โตมา ผมไม่เคยร้องไห้อย่างนี้ให้ใครเห็นหรอก ไม่มีใครสักคนที่ผมไว้ใจมากพอที่จะทำอย่างนี้ให้เห็นต่อหน้าได้ แต่ผมไว้ใจแฟรงค์ แม้ว่าจะจากกันไปนานแค่ไหนผมก็รู้ว่าแฟรงค์คือคนที่ผมไว้ใจได้เสมอ ขอให้ผมร้องไห้ระบายสิ่งที่เจ็บปวดกับพี่ชายของผมสักครั้งเถอะ ผมรู้ว่าพี่ชายคนนี้จะช่วยทำให้ความเจ็บปวดของผมบรรเทาเบาบางลงได้
จู่ๆ ประตูห้องผมก็ถูกเปิดออก ผมกับแฟรงค์หันไปมองพร้อมกันด้วยความตกใจว่าใครเข้ามา พอเห็นว่าเป็นผู้หญิงคนหนึ่งแฟรงค์ก็ทำท่าจะผละออก ผมก็เลยออกแรงดึงตัวแฟรงค์ไว้ให้นั่งอยู่กับผมอย่างเดิม "ไม่ต้องสนใจหรอกพี่แฟรงค์ ไม่ต้องไปสนใจเค้า" ผมบอกด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น แฟรงค์คงจะงงๆ อยู่เหมือนกันแต่ก็ยอมทำตามที่ผมบอกแต่โดยดี "ตามาเอาของที่ลืมไว้แค่นั้นแหละ" เสียงพูดห้วนสั้นและสายตาที่เย็นชานั้นทำให้ผมเจ็บปวดมานักต่อนักแล้ว ผมจึงทำหูทวนลมและปล่อยให้เธอคนนั้นเดินไปหยิบของที่เธอลืมไว้อย่างที่ต้องการ จะเข้าใจว่าผมกับแฟรงค์เป็นอะไรกันก็ช่างเถิด ผมไม่สนใจแล้ว
เมื่อเธอได้ของที่ต้องการแล้วก็รีบเดินกลับไปที่ประตูโดยไม่คิดจะหันกลับมาแยแสผมเลย แล้วผมก็ได้ยินเสียงเหมือนมีของตกลงที่พื้น คีย์การ์ดห้องผมที่ผมให้เธอไว้นั่นเอง เธอคงไม่ต้องการมันอีกแล้ว
"ทุเรศ"
แม้จะเบา แต่น้ำเสียงกดต่ำนั้นก็บ่งบอกว่าเธอคงสมเพชผมเต็มทีที่อ่อนแอไม่สมกับที่เป็นผู้ชายเอาเสียเลย แล้วประตูก็ปิดดังปังจนแฟรงค์เองยังสะดุ้งตกใจ
เมื่อพูดถึงเรื่องความรักแล้ว ผมก็ไม่ค่อยคิดอยากจะรักเธอหรือรักใครเท่าไหร่หรอก ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่วันที่ผมได้รู้จักกับผู้หญิงคนนี้ที่ชื่อต้องตา เธอก็ทำให้ผมสะดุดใจกับคำพูดหนึ่งของเธอ
"นัท...อย่าเรียกตาว่าพี่สิ ตาแก่กว่านัทแค่เดือนสองเดือนเอง"
ผมก็ไม่รู้หรอกว่าทำไมคำพูดนี้ถึงทำให้ผมสนใจเพื่อนร่วมงานรุ่นพี่คนนี้ได้ หลังจากนั้นผมก็ตามจีบเธอจนสำเร็จ เราเป็นแฟนกันอยู่หลายปีจนกระทั่งมาถึงวันนี้ที่ทุกอย่างพังลงไปหมดแล้ว
"นัทใจเย็นๆ นะ จะให้พี่อยู่เป็นเพื่อนนัทคืนนี้ไหม พี่อยู่ได้นะ ไม่ต้องเกรงใจ"
ผมไม่ตอบคำถามของแฟรงค์แต่ซุกตัวลงกับอกอุ่นๆ นั้นอย่างอ่อนล้า แม้จะเจ็บสักแค่ไหนผมก็รู้สึกดีที่มีพี่ชายคนนี้คอยปลอบใจ อ้อมแขนของแฟรงค์ช่างอบอุ่นเหลือเกิน แม้ว่าใจของผมจะรุ่มร้อนทุรนทุรายสักแค่ไหน ไออุ่นนั้นก็ช่วยบรรเทาความเจ็บปวดร้อนรุ่มให้ผมได้เป็นอย่างดี โชคดีเหลือเกินที่เราสองคนได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง ในช่วงเวลาอย่างนี้ คนที่ผมต้องการมากที่สุดก็คือแฟรงค์
"แฟรงค์ แฟรงค์คอยดูนะ...นัทจะไม่รักใครอีกแล้ว ไม่มีวันที่นัทจะเอาหัวใจไปให้ใครทำร้ายอีก คอยดูนะแฟรงค์"
TBC
ตอนที่ 1 ✢ ในอ้อมกอดของพี่ชาย
ร้านกาแฟเรือนแพ... เวลาตอนนี้เพิ่งจะบ่ายโมง ไม่มีลูกค้าเข้ามาที่ร้านกาแฟเลยเพราะส่วนใหญ่คงไปกินข้าวที่ร้านอาหารกลางน้ำกันมากกว่า ในร้านจึงมีแค่ผมกับแฟรงค์เพียงสองคนที่นั่งมองหน้ากัน "พี่แฟรงค์ พี่แฟรงค์รู้ตัวไหมว่าพี่แฟรงค์หล่อมากเลย นัทนึกไม่ออกเลยว่าพอพี่โตมาแล้วจะหล่อขนาดนี้" นั่นคือประโยคแรกที่ผมเอ่ยขึ้นหลังจากที่สั่งเครื่องดื่มไปแล้วและนั่งมองหน้ากันเขินๆ อยู่นานสองนาน "ขนาดนั้นเลยเหรอนัท" แฟรงค์หัวเราะเบาๆ แก้เขิน
"จริงสิ พี่แฟรงค์หล่อจริงๆ ไม่อยากเชื่อเลยว่านัทจะมีพี่ชายหล่อขนาดนี้ พี่แฟรงค์ดูเท่ห์มาก สมาร์ท แล้วก็...ดูเป็นผู้ใหญ่ด้วย"
"พอแล้วๆ เดี๋ยวแฟรงค์ก็ลอยทะลุเพดานพอดี" ผมกับแฟรงค์หัวเราะด้วยกันอย่างที่เราเคยหัวเราะเมื่อตอนเด็กๆ รอบๆ ตัวของเราดูเหมือนจะรายล้อมไปด้วยบรรยากาศและความรู้สึกเก่าๆ ที่ย้อนกลับมาอีกครั้งอย่างไม่นึกไม่ฝัน "พี่แฟรงค์สบายดีนะ แต่แหม...ขับรถเบนซ์หรูซะขนาดนี้ คงจะล่ำซำดีนะพี่" "สบายดี แล้วนัทล่ะ" ผมหลุบตาต่ำลงเล็กน้อยเมื่อเจอคำถามนี้ แม้จะเป็นคำถามง่ายๆ แต่กลับเป็นคำถามที่ผมไม่อยากตอบเท่าไหร่เลย "ก็สบายดี" ผมตอบแฟรงค์ไปด้วยเสียงเบาๆ สีหน้าของแฟรงค์ระบายไปด้วยรอยยิ้มดีใจตั้งแต่ที่เพิ่งเจอกันเมื่อกี้แล้ว แต่ไม่ทันไรผมก็เห็นเหมือนมีหยดน้ำใสๆ ไหลซึมออกมาจากสองตาคู่นั้น "พี่แฟรงค์ร้องไห้ทำไม" ผมถามด้วยสีหน้าตกใจและสงสัย หันไปมองรอบๆ แล้วก็ค่อยใจชื้นขึ้นมาหน่อยที่ไม่มีใครหันมาสนใจ "นัท...ตอนที่นัทขี่จักรยานไปโรงเรียนคนเดียว นัทเหงาหรือเปล่า แฟรงค์ขอโทษนะที่แฟรงค์ไม่ได้ไปหานัทเลย" "แฟรงค์ยังจำได้อีกเหรอ"
ไม่ใช่ว่าผมไม่เชื่อ แต่เหตุการณ์นั้นก็ผ่านมานานมากจนผมคิดว่าไม่น่าจะทำให้ผมหรือแฟรงค์รู้สึกอะไรกับมันอีกแล้ว แฟรงค์พยักหน้าช้าๆ พยายามสะกดกลั้นน้ำตาเต็มที่เพราะขืนร้องไห้ตรงนี้เด็กๆ ในร้านคงตกใจน่าดู
ทำไมแฟรงค์ถึงยังรู้สึกกับเรื่องที่ผ่านไปเป็นสิบๆ ปีได้อยู่อีกนะ หรืออาจจะเป็นไปได้ว่าเมื่อก่อนแฟรงค์รักผมมากในฐานะน้องชายและเพื่อนคนหนึ่ง ต่อให้ไม่ใช่น้องแท้ๆ แฟรงค์ก็ดูแลผมไม่ต่างจากน้องที่คลานตามกันมาเลย นี่กระมังที่อาจเป็นสาเหตุให้แฟรงค์รู้สึกสะเทือนใจ
"แฟรงค์อย่าพูดอย่างนี้สิ นัทจะร้องไห้ตามแล้วรู้ไหม" ผมเองก็เริ่มมีน้ำตามาเอ่อที่ขอบตาเหมือนกัน เรามองหน้ากันแล้วก็ขำกันเอง มันเป็นอารมณ์ที่แปลกจริงๆ ทั้งอยากหัวเราะและร้องไห้ไปพร้อมๆ กัน "แฟรงค์ยังเก็บรูปแล้วก็การ์ดใบนั้นของนัทไว้ตลอดเลยนะ เดี๋ยววันหลังจะเอามาให้ดู" "จริงเหรอ..." ผมยิ้มดีใจ "นัทก็เก็บรูปของแฟรงค์ไว้เหมือนกัน รูปนั้นแหละ" "นึกว่านัทจะลืมแฟรงค์แล้วซะอีก"
"ใครจะลืมได้ล่ะ ขี่จักรยานไปโรงเรียนด้วยกันตั้งหลายปี พี่แฟรงค์รู้ไหม...นัทตามหาพี่แฟรงค์มานานมาก เจอเพื่อนเก่าคนไหนของพี่แฟรงค์ นัทก็ถามหาพี่แฟรงค์ตลอดเลย นัทยังเคยขี่จักรยานไปที่บ้านเก่าของพี่แฟรงค์บ่อยๆ นัทคิดถึงพี่แฟรงค์มากเลยตอนนั้น แต่พี่แฟรงค์ก็ไม่กลับมาหานัทเลย..."
น้ำเสียงและสีหน้าผมหม่นเศร้าในตอนท้าย นั่นยิ่งทำให้แฟรงค์ต้องคอยกะพริบตาถี่ๆ เพื่อไม่ให้น้ำตาไหลออกมา มันทำให้ผมรู้ว่าเรากำลังจะเชื่อมต่อกันติดอีกครั้ง วันเวลาที่ผ่านไปอาจจะทำให้ความทรงจำหลายๆ อย่างลบเลือน แต่สิ่งที่ไม่เคยลบเลือนเลยก็คือความรู้สึกดีๆ ที่เราเคยมีให้กันนี่แหละ แล้วความรู้สึกในวันนั้นก็กำลังจะกลับมาอีกครั้ง
"แฟรงค์ขอโทษนะที่แฟรงค์ผิดคำสัญญา เรื่องมันยาวมาก เอาไว้วันหลังแฟรงค์จะเล่าให้นัทฟังนะ"
ผมก็เพิ่งเคยเห็นผู้ชายตัวโตมีน้ำตาก็วันนี้แหละ แม้ว่าแฟรงค์จะพยายามแค่ไหนก็ห้ามน้ำตาไม่สำเร็จ ผมจึงส่งกระดาษเช็ดปากที่อยู่บนโต๊ะให้แฟรงค์ไปหนึ่งแผ่น ส่วนผมก็หยิบมาอีกหนึ่งแผ่นสำหรับซับน้ำตาของตัวเองด้วย ต่างคนต่างซับน้ำตาแล้วก็อดจะหัวเราะขบขันกันเองไม่ได้
"นัทไม่เคยโกรธพี่แฟรงค์เรื่องนั้นหรอก นัทเข้าใจ..."
แม้จะยังไม่รู้ว่าเพราะอะไรแฟรงค์ถึงไม่เคยกลับไปที่บ้านเกิดอีกเลย แต่ผมก็พอจะเดาได้ว่าคงมีปัญหาบางอย่าง
"นัทก็หล่อเหมือนกันนะ แฟรงค์ก็ดูไม่ออกเหมือนกันว่าโตขึ้นมาแล้วนัทจะหล่อขนาดนี้ คงจะมีสาวๆ มาชอบเยอะล่ะสิท่า" แฟรงค์ชวนคุยตลกๆ เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศให้สดใสขึ้น แต่ผมกลับทำได้แค่ยิ้มเศร้าๆ "แล้วพี่แฟรงค์ล่ะ หล่อๆ อย่างนี้...คงมีเจ้าของแล้วแน่ๆ เลย"
แฟรงค์เอนตัวไปข้างหลังติดพนักเก้าอี้ในอิริยาบถสบายๆ ก่อนจะพยักหน้ายอมรับอย่างช้าๆ
"อืม..." "ผู้หญิงหรือผู้ชายล่ะ"
ผมถามอย่างนึกสนุก แฟรงค์ขมวดคิ้วทำหน้าฉงน แล้วก็ดีดขึ้นมานั่งตัวตรง
"ทำไมถามงั้นล่ะนัท" "อ้าว...สมัยนี้เรื่องธรรมดานะแฟรงค์ แฟรงค์จำไอ้ม่อนได้ไหม ไอ้ม่อนที่อยู่ห้องเดียวกับนัทไง ตอนที่ไปเข้าค่ายลูกเสือ แฟรงค์เคยขอสลับให้ไอ้ม่อนไปนอนกับอีกคน แล้วแฟรงค์ก็มานอนกับนัทแทน จำได้ไหม"
ผมถือโอกาสเท้าความถึงเรื่องที่ผมพอจะจำได้ไปด้วย ตอนนั้นเราไปเข้าค่ายลูกเสือ ตอนเย็นครูให้รุ่นน้องกับรุ่นพี่จับสลากว่าใครจะได้นอนคู่กับใคร บังเอิญว่าแฟรงค์จับได้คู่กับม่อน แฟรงค์ก็เลยแอบมาเจรจาลับขอสลับคู่กันจนได้มานอนกับผมในที่สุด
"อ๋อ...จำได้ๆ คืนนั้นนัทนอนกอดแฟรงค์ทั้งคืนเลย"
"ก็มันหนาว" ผมแก้ตัวเขินๆ
ใช่ครับ มันหนาวสุดๆ เพราะเราไปเข้าค่ายช่วงหน้าหนาวพอดี ใครๆ ก็รู้ว่าจังหวัดเพชรบูรณ์ขึ้นชื่อเรื่องความหนาวอยู่แล้ว
"แล้วนัทพูดถึงไอ้ม่อนทำไมเหรอ"
แฟรงค์วกกลับมาถาม คงงงๆ ที่อยู่ดีๆ ผมก็พูดเรื่องเพื่อนสมัยเรียนอีกคนขึ้นมา
"มันผ่าแล้ว" "ผ่าแล้ว!"
ผมเห็นคำถามล้านแปดอยู่ในสายตาคู่นั้น แฟรงค์คงจะงงว่า "ผ่า" คืออะไร
"ไอ้ม่อนมันเป็นอะไรเหรอถึงต้องผ่าตัด" ผมเอนหลังไปติดพนักเก้าอี้บ้างแล้วก็ขำท่าทางงงๆ ของแฟรงค์ "มันผ่าตัดแปลงเพศเป็นผู้หญิงไปแล้ว" "ไอ้ม่อนเนี่ยนะ!!!" แฟรงค์ทำหน้าไม่เชื่อ "มันโคตรเฮี้ยวเลย ไม่บอกไม่เชื่อนะเนี่ย" "นัทถึงต้องถามพี่แฟรงค์ก่อนไงว่าเจ้าของของพี่แฟรงค์เป็นผู้ชายหรือผู้หญิง" แฟรงค์ส่ายหน้าแล้วก็หัวเราะตลกกับคำถามของผม "นัทนี่ตลกเหมือนเดิมเลยนะ เอาเป็นว่า...แฟรงค์ไม่ได้ผ่าเหมือนไอ้ม่อนละกัน"
ผมไม่รู้สึกแปลกใจหรอก ถึงแฟรงค์จะไม่ใช่ผู้ชายที่โลดโผนโจนทะยานแต่ก็ไม่มีท่าทีกระเดียดไปทางนั้นเลย
"แฟรงค์แต่งงานแล้วเหรอ" ผมถามเพราะคิดว่าคนวัยย่างยี่สิบหกอย่างแฟรงค์ก็น่าจะแต่งงานได้แล้ว "ยัง...กำลังหาฤกษ์อยู่ ก็กะว่าจะแต่งต้นๆ ปีหน้านั่นแหละ"
ผมพยักหน้ารับรู้ เหมือนมีความรู้สึกบางอย่างแล่นผ่านแวบเข้ามาในความคิด แต่ผมก็ปล่อยให้มันผ่านไปโดยไม่สนใจ ไม่อยากรู้ด้วยซ้ำว่ามันคือความรู้สึกอะไร
"อิจฉาคนมีคู่จัง นัทสิ...ยังหาไม่ได้เลย" ผมพูดติดตลกแต่หน้าเศร้า "เดี๋ยวก็เจอ ว่าแต่...นัทมาทำอะไรถึงที่นี่ล่ะ" "นัทว่าจะมาสมัครงานตำแหน่งผู้จัดการรีสอร์ทที่นี่ซะหน่อย เห็นเขาประกาศรับสมัครอยู่"
แฟรงค์เท้าแขนบนโต๊ะ เอามือประสานกันแล้วก็มองผมอย่างสนใจ พอเห็นหน้าใสไร้สิวใกล้ๆ ของแฟรงค์แล้วผมก็ต้องขอยอมรับตามตรงว่าแฟรงค์เป็นคนมีเสน่ห์น่ามองมาก
"จริงเหรอ แล้วนัทรู้ได้ยังไงว่าที่นี่เขารับสมัครผู้จัดการคนใหม่ นัทอยู่แถวนี้หรือเปล่า" "เปล่า...นัทอยู่รัชดาโน่น พอดีนัทคุยกับเพื่อนเก่าสมัยเรียนตรีด้วยกันทางเฟส นัทบอกเพื่อนไปว่านัทลาออกจากที่ทำงานเดิมแล้ว อยากหางานทำที่เกี่ยวกับพวกโรงแรมหรือรีสอร์ทที่ไม่ใหญ่มากในกรุงเทพหรือใกล้ๆ กรุงเทพนี่แหละ แล้วเพื่อนนัทมันอยู่แถวนี้พอดี มันก็เลยบอกให้นัทลองเข้าไปดูในเฟสของเรือนแพรีสอร์ทดู นัทเห็นประกาศรับสมัครผู้จัดการก็เลยสนใจอยากลองมาสมัคร ตอนแรกว่าจะส่งใบสมัครมาทางอีเมล์นั่นแหละ แต่คิดไปคิดมา...มาสมัครเองดีกว่า นัทจะได้มาหาเพื่อนด้วย นี่นัทก็เพิ่งไปหาเพื่อนมา อ้อ...แล้วแฟรงค์ล่ะ แฟรงค์มาทำอะไรที่นี่ แล้วตอนนี้แฟรงค์อยู่ที่ไหน ทำงานที่ไหน" "เอาคำถามไหนก่อนดี"
"ตอบมาเหอะ คำถามไหนก่อนก็ได้"
แฟรงค์เอามือลงจากโต๊ะแล้วก็นั่งตัวตรงเหมือนเดิม
"ก็ทำงานแถวๆ นี้แหละ บ้านอยู่มีนบุรี ที่มาที่นี่ก็...มีธุระสำคัญอะไรบางอย่างนิดหน่อย" "อ้าวเหรอ...แล้วแฟรงค์ต้องรีบไปธุระหรือเปล่า นัทรบกวนเวลาไหม" ผมถามด้วยสีหน้ากังวล "ไม่หรอก แฟรงค์มาก่อนเวลาน่ะ ยังคุยกับนัทได้อีกนานเลย"
ผมยิ้มอย่างโล่งอก นึกว่าจะได้คุยกันแป๊บเดียวเสียแล้ว
"ดีเลย นัทคิดถึงแฟรงค์มาก มีอะไรอยากคุยกับแฟรงค์เยอะเลย" "นี่แหละนัทตัวจริง เดี๋ยวก็เรียกแฟรงค์ เดี๋ยวก็เรียกพี่แฟรงค์ ก็บอกแล้วไงว่าให้เรียกแฟรงค์เฉยๆ" แฟรงค์ทำเสียงดุไม่จริงจังนัก "ก็ไม่รู้สิ เหมือนจิตใต้สำนึกของนัทมันไม่เชื่อยังไงไม่รู้ ยังไงๆ แฟรงค์ก็อายุมากกว่านัทนั่นแหละ"
แฟรงค์ยิ้มอย่างอารมณ์ดี รอยยิ้มนั้นมีเสน่ห์น่าประหลาดจนทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ ได้เหมือนกัน ผมมองดูคนตรงหน้าด้วยสายตาชื่นชม ที่ผ่านมาผมก็มองพี่แฟรงค์ด้วยสายตาที่ชื่นชมราวกับเป็นฮีโร่ในดวงใจเสมอ ไม่ว่าจะมองตรงไหนแฟรงค์ก็ดูดี ผู้หญิงที่ได้แต่งงานกับแฟรงค์คงโชคดีมากเพราะแฟรงค์เป็นคนชอบดูแลเอาใจ ที่ผมผูกพันกับแฟรงค์ก็เพราะเหตุนี้แหละ
"แล้วนัทเรียนจบที่ไหนมา ทำงานที่ไหนมาบ้าง"
"ถามเหมือนสัมภาษณ์งานนัทเลยนะเนี่ย" ผมพูดติดตลก
"นัทจบตรีการจัดการการท่องเที่ยวและการโรงแรมที่ มศว. มา แล้วก็จบโทการจัดการการท่องเที่ยวที่นิด้าอีกใบ พอจบตรีแล้วก็ทำงานที่โรงแรมในเครือแอคคอร์อยู่ที่หนึ่ง ก็ทำอยู่หลายปีเหมือนกัน ตำแหน่งสุดท้ายก่อนที่จะลาออกก็เป็นผู้ช่วยผู้จัดการ" "แล้วทำไมออกล่ะ" "มันเครียดน่ะแฟรงค์ ทำงานกับบริษัทใหญ่ๆ แล้วก็รู้สึกเลยว่า...เขาใช้เรายังกะวัวยังกะควาย แล้วก็อีกหลายๆ เรื่อง ช่างมันเถอะ อย่าไปพูดถึงมันเลย เอาเป็นว่าตอนนี้นัทอยากทำงานกับรีสอร์ทเล็กๆ อย่างนี้แหละ เงินเดือนน้อยลงก็ไม่เป็นไรหรอก นัทกะว่าจะทำงานซักสองสามปีหาประสบการณ์ซักหน่อย แล้วนัทก็จะกลับไปทำรีสอร์ทหรือไม่ก็ไร่สตรอเบอรี่ที่ภูทับเบิก แม่ซื้อที่ไว้แถวนั้นไว้หลายไร่เลย" แฟรงค์พยักหน้ายิ้มๆ แถมยังหัวเราะด้วยสีหน้าแปลกๆ อีก "ก็ดีเหมือนกันนะ แล้ว...น้านวลเป็นไงบ้าง สบายดีนะ แฟรงค์ไม่ได้กินขนมจีนเส้นสดน้านวลนานมากเลย" แฟรงค์ชวนเปลี่ยนเรื่องคุยอีกแล้ว อาจจะเป็นเพราะว่าเราไม่ได้เจอกันนานก็เลยมีหลายเรื่องที่อยากรู้ เวลาคุยกันก็เลยกระโดดไปเรื่องนั้นเรื่องนี้เป็นธรรมดา ผมมองถ้วยกาแฟของเราสองคนแล้วก็ขำเบาๆ ไม่รู้ว่าเด็กในร้านเอามาเสิร์ฟตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครยกขึ้นมาจิบเลย "สบายดี แฟรงค์...นัทขอยืมโทรศัพท์แฟรงค์แป๊บนึงดิ"
ผมทำน้ำเสียงนึกสนุก แฟรงค์มองอย่างงงๆ แต่ก็ส่งไอโฟนรุ่นล่าสุดมาให้ผมแต่โดยดีพร้อมกับปลดล็อกหน้าจอให้ด้วย ผมรับโทรศัพท์มาจากแฟรงค์ด้วยสีหน้าที่ยิ้มมีเลศนัย พอจะกดปุ่มโทรศัพท์ ผมก็รู้สึกสะดุดใจกับภาพวอลเปเปอร์ที่หน้าจอของแฟรงค์จนต้องขมวดคิ้ว มันเป็นภาพที่แฟรงค์ถ่ายคู่กับผู้หญิงสวยคนหนึ่งที่น่าจะป็นแฟนของแฟรงค์นั่นแหละ ผมไล่ความคิดนั้นออกไปโดยเร็วแล้วก็กดไอค่อนรูปโทรศัพท์ ก่อนจะกดเบอร์ของแม่ที่ผมจำได้จนขึ้นใจ ผมกดโทรออก เปิดลำโพงแล้วก็ส่งโทรศัพท์ให้แฟรงค์ไป
"อะไร...จะให้แฟรงค์คุยกับใคร" แฟรงค์ถามด้วยสีหน้างงๆ "แม่นัทไง" "อ๋อ..." แฟรงค์ทำสีหน้าสบายใจขึ้นมาหน่อย พอแม่ผมรับสาย การสนทนาก็เริ่มขึ้น "สวัสดีครับน้านวล น้านวลสะดวกคุยหรือเปล่าครับ" "สะดวกจ้ะ ใครโทรมาเหรอ เสียงคุ้นๆ" "แฟรงค์ครับน้านวล น้านวลจำผมได้ไหมครับ แฟรงค์...เพื่อนนัทไงครับ" "แฟรงค์เหรอ จำได้ๆ เป็นไงบ้างลูก แล้วนี่ไปได้เบอร์น้ามาจากไหน" น้ำเสียงของแม่ผมฟังดูดีใจและตื่นเต้นไม่แพ้กัน "ผมเจอนัทโดยบังเอิญที่กรุงเทพครับน้านวล ตอนนี้นัทก็นั่งอยู่กับผมนี่แหละครับ น้านวลสบายดีนะครับ คิดถึงขนมจีนเส้นสดของน้านวลมาก สงสัยผมจะต้องหาเวลากลับไปกินอีกสักครั้ง ไม่ได้กินนานแล้ว" "มาเลยลูกๆ มากับนัทก็ได้ ตอนนี้น้าเปิดร้านขายขนมจีนอยู่ติดถนนสายสิบสองเลย ชื่อร้านแม่นวล ป้ายเบ้อเร่อเลย หาไม่ยากหรอก มากินให้จุใจเลยลูก แล้วแฟรงค์เป็นไง ทำอะไรอยู่ พวกเราคิดถึงแฟรงค์กันมากรู้ไหมลูก ตอนที่แฟรงค์ไปเรียนกรุงเทพใหม่ๆ นัทมันเหงามาก แม่เห็นแล้วก็สงสาร นั่งหงอยอยู่คนเดียวทุกวัน คอยถามหาแต่พี่แฟรงค์ๆ"
ผมทันได้เห็นสายตาของแฟรงค์ที่ดูสลดลงเล็กน้อย บางทีการที่แฟรงค์ผิดคำสัญญากับน้องชายที่รักมากคนหนึ่ง อาจจะเป็นเรื่องติดค้างในใจมาตลอดตั้งแต่จากกันก็ได้
แฟรงค์คุยกับแม่ผมอยู่นานหลายนาที คุยเสร็จแล้วแฟรงค์ก็เก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋ากางเกงตัวเองไป
"นัทขอเบอร์แฟรงค์ไว้หน่อยได้ไหม นัทมีอะไรอยากคุยกับแฟรงค์เยอะแยะเลย แต่คงต้องนัดคุยวันหลังแล้วล่ะเพราะว่าเดี๋ยวนัทจะต้องไปพบหัวหน้ารีสอร์ทเรื่องสมัครงานแล้ว นัทไม่อยากให้เค้ารอ เดี๋ยวจะดูไม่ดี" "ไปหาเค้าทำไม ไม่ต้องไปแล้ว" ผมขมวดคิ้วมองแฟรงค์ด้วยความแปลกใจ นึกหาเหตุผลไม่ออกเลยว่าทำไมแฟรงค์ถึงได้พูดอย่างนั้น "อ้าว...แฟรงค์ไม่อยากให้นัทสมัครงานนี้เหรอ นัทอยากทำงานที่นี่มากเลยนะ" แล้วแฟรงค์ก็หัวเราะชอบใจใหญ่ ไม่รู้ว่าตลกอะไรของแฟรงค์นักหนา แถมยังส่ายหัวอีกด้วย "นัท...นัทไม่รู้จริงๆ เหรอว่านัทกำลังคุยกับใครอยู่" นั่นน่ะสิ! ผมก็ชักสงสัยแล้วเหมือนกันว่าแฟรงค์เป็นใครกันแน่
แฟรงค์ยืดตัวขึ้นพร้อมกับสูดหายใจยาว เอามือสองข้างจับต้นขาตัวเอง ยิ้มละไมแต่ก็มีเลศนัยอยู่ในที แต่ไม่ว่าจะยิ้มแบบไหน รอยยิ้มของแฟรงค์ก็อบอุ่นเสมอสำหรับผม ใบหน้าที่คมคายขึ้นจากตอนเด็กๆ นั้นทำให้รอยยิ้มเดิมแผ่พลังอบอุ่นออกมาได้มากกว่าแต่ก่อนหลายเท่านัก
แฟรงค์ลดไหล่ลงตามเดิม ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูอบอุ่นที่สุดเท่าที่ผมเคยได้ยินมา
"มาทำงานกับพี่นะ"
สรุปว่าแฟรงค์เป็นเจ้าของรีสอร์ทนั่นเอง จะว่าเป็นเจ้าของก็ไม่เชิงเพราะที่นี่เป็นรีสอร์ทของปู่แฟรงค์ ตอนที่แฟรงค์มาเรียนที่กรุงเทพนั้นธุรกิจรีสอร์ทของพ่อแฟรงค์ที่เขาค้อมีปัญหาหลายอย่าง สุดท้ายก็เลยต้องขายแล้วย้ายมาอยู่กรุงเทพกันทั้งครอบครัว
แฟรงค์เคยเล่าให้ผมฟังว่าปู่ของแฟรงค์มีลูกด้วยกันทั้งหมดห้าคน แต่มีอยู่วันหนึ่งลูกๆ ทั้งห้าคนขับรถไปเที่ยวด้วยกันแล้วก็เกิดอุบัติเหตุ พ่อของแฟรงค์รอดคนเดียวส่วนคนอื่นๆ เสียชีวิตหมด ทรัพย์สมบัติทั้งหลายของปู่จึงยกให้พ่อแฟรงค์คนเดียวเลย
พอธุรกิจที่เขาค้อมีปัญหาและขายทิ้งไป พ่อของแฟรงค์ก็มาดูแลเรือนแพรีสอร์ทแทนปู่ของแฟรงค์ที่เริ่มอายุมาก นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้แฟรงค์ไม่ได้กลับมาที่เพชรบูรณ์อีกเลย พอแฟรงค์เรียนจบ พ่อของแฟรงค์ก็ค่อยๆ ถ่ายโอนภาระความรับผิดชอบที่รีสอร์ทแห่งนี้ให้แฟรงค์ จนกระทั่งแฟรงค์ดูแลเองได้หมดพ่อจึงละมือจากงานนี้ไป คอยดูแลอยู่ห่างๆ เท่านั้น
แฟรงค์พาผมเดินดูรีสอร์ทจนทั่ว เนื้อที่ที่นี่กว้างใหญ่มากจึงใช้เวลานานพอสมควร กว่าจะดูจนหมดและตอบคำถามที่ผมสงสัยได้ทุกอย่างก็เย็นพอดี ก่อนจะกลับเราก็มานั่งคุยสรุปกันสั้นๆ อีกครั้งที่ห้องทำงานของแฟรงค์ ก็เหลือแค่ตกลงกันว่าจะเริ่มทำงานเมื่อไหร่ยังไงนั่นเอง ผมบอกแฟรงค์ไปว่าผมพร้อมอาทิตย์หน้า แฟรงค์เป็นห่วงผมเรื่องขับรถไกลมาทำงาน แต่ผมก็ว่าจะลองดูก่อนเพราะผมก็ไม่อยากทิ้งคอนโดไว้ ถ้าไม่ไหวจริงๆ ค่อยหาทางแก้ปัญหาอีกที
อ้อ ผมมีรถเก๋งอยู่คันหนึ่ง แต่วันนี้ไม่ได้ขับมาด้วยเพราะกลัวหลงทาง ก็เลยนั่งแท็กซี่มาหาไอ้ปอนด์แล้วให้มันมาส่งที่นี่
"ให้พี่ไปส่งนัทนะ" แฟรงค์อาสาขึ้นมาตอนที่ผมกำลังจะขอตัวกลับพอดี
อย่าว่าแต่ผมเลยที่สับสน บางทีแฟรงค์ก็สับสนเหมือนกันว่าจะเรียกแทนตัวเองว่ายังไง แต่ผมก็ชอบนะที่แฟรงค์เรียกแทนตัวเองว่าพี่ ได้ยินทีไรผมก็อบอุ่นใจทุกครั้ง "ไม่เป็นไรหรอกแฟรงค์ นัทกลับเองได้ รัชดามันไกลด้วย รถก็ติด เดี๋ยวแฟรงค์เสียเวลา" "เสียเวลาอะไรกัน นัทเป็นน้องชายของแฟรงค์นะ นัทรู้ไหม...แฟรงค์รู้สึกเสียใจมากนะที่แฟรงค์ทิ้งนัทมา ไม่เคยกลับไปดูแลนัทอีกเลย ให้พี่ไปส่งนัทเป็นการไถ่โทษหน่อยเถอะ พี่อยากดูแลนัทเหมือนที่พี่เคยดูแลไง" พอเห็นสีหน้าจริงจังและน้ำเสียงรู้สึกผิดอย่างนั้นแล้วผมก็คงไม่กล้าขัด ก็ดีเหมือนกัน ผมจะได้มีเวลาคุยกับแฟรงค์ให้หายคิดถึง ตอนเด็กๆ เราสองคนไม่เคยเบื่อที่จะคุยกันเลย คุยกันได้ทั้งวัน ตลอดเส้นทางที่แฟรงค์ไปส่งผมนั้น เราสองคนคุยกันไม่หยุดเลย ผมมีความสุขและอบอุ่นใจเหลือเกินที่วันนี้มีแฟรงค์นั่งเป็นเพื่อนอยู่ข้างๆ แค่ไม่กี่ชั่วโมงที่เราเพิ่งได้เจอกัน ความรู้สึกเก่าๆ ก็กลับคืนมาอย่างรวดเร็วจนรู้สึกสนิทใจได้เหมือนตอนนั้น "ตอนแรกแฟรงค์นึกว่านัทเป็นลูกค้ามาเดินเล่นไง ก็เลยจอดรถถามว่าชอบที่นี่หรือเปล่า" "แล้วตอนแรกแฟรงค์จำนัทได้หรือเปล่า" "ตอนแรกก็จำไม่ได้หรอก แต่พอขับรถออกไปแล้วก็ชักสงสัย พอจอดรถแล้วก็เลยวิ่งกลับมาดูอีกทีเผื่อว่าจะใช่" "นัทก็เหมือนกัน ตอนแรกนัทก็งงๆ ว่าใคร แต่ก็รู้สึกว่าหน้าคุ้นๆ เหมือนเคยเจอที่ไหน ก็เลยวิ่งตามไปดู" "ไม่น่าเชื่อนะว่าเราจะได้กลับมาเจอกันอีก พี่ดีใจมากนะนัทที่พี่ได้กลับมาเจอน้องชายของพี่อีก ดีใจที่สุดเลย" แฟรงค์เอื้อมมือมาลูบผมของผมเบาๆ นานแค่ไหนแล้วที่ผมไม่ได้รู้สึกอบอุ่นใจแบบนี้
"นัทก็ดีใจนะพี่แฟรงค์ ดีใจที่สุดในโลกเลย" ผมบอกแล้วก็ยิ้มเขินๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงรู้สึกเขินขึ้นมาได้
"โชคดีนะที่โลกเรามันเป็นทรงกลม ต่อให้เดินห่างไปไกลแค่ไหน...ก็ยังมีโอกาสกลับมาเจอกันได้ แต่ถ้าโลกมันแบน...ยิ่งเดินไปเราก็คงยิ่งห่างกัน แฟรงค์ก็อาจจะไม่ได้มาเจอนัทอีก"
ผมพยักหน้าเห็นด้วย แฟรงค์พูดเหมือนกับที่ผมเคยคิดเลย ผมภาวนาเสมอๆ ว่าขอให้โลกกลมๆ ใบนี้พาผมกับพี่แฟรงค์มาเจอกันอีกสักครั้ง ไม่น่าเชื่อว่ามันจะเป็นจริงได้เลย
"พี่แฟรงค์คิดถึงนัทไหม"
นี่เป็นคำถามหนึ่งที่ผมสงสัยและอยากรู้มากที่สุดตลอดหลายปีที่ผ่านมา
"คิดถึงสิ" แฟรงค์ตอบเบาๆ ยิ้มเศร้าๆ
"คิดถึงมากหรือเปล่า" แฟรงค์หันมาพยักหน้า แล้วก็หันไปมองทางต่อ "นัทคิดถึงพี่แฟรงค์มากนะ นัทยังจำได้เลยว่านัทชอบไปยืนมองบ้านเก่าของพี่แฟรงค์บ่อยๆ ตอนที่พี่แฟรงค์ย้ายไปอยู่ที่กรุงเทพ ตอนนั้น...นัทรู้สึกเศร้ามากเลย แต่ก็...ไม่เป็นไรหรอก พอเวลาผ่านไป...นัทก็ลืมๆ ไปเกือบหมดแล้วล่ะ ถ้าไม่ได้เจอกันวันนี้...นัทก็คงลืมไปแล้วจริงๆ"
ผมพยายามระมัดระวังคำพูดเพราะกลัวแฟรงค์เสียใจ แต่แฟรงค์ก็แค่ยิ้มเศร้าๆ ไม่ได้พูดอะไรกลับมาเลย อาจจะเป็นเพราะจังหวะนั้นมีคนโทรมาหาแฟรงค์ด้วยก็ได้ พอฟังการสนทนาดีๆ ผมก็พอเดาได้ว่าน่าจะเป็นแฟนของแฟรงค์นั่นแหละ
"เดี๋ยวเจอกันพรุ่งนี้นะเพียว วันนี้แฟรงค์ออกมากับเพื่อน เป็นเพื่อนเก่าไม่ได้เจอกันนานเลย" ผมได้ยินประโยคนี้ชัดเจนที่สุด ส่วนเรื่องอื่นๆ นั้นผมก็ฟังได้ยินบ้าง ไม่ได้ยินบ้าง หรือไม่ได้ฟังเลยก็มี ไม่รู้สิ...ผมไม่อยากฟังแฟรงค์คุยกับแฟนเท่าไหร่ ก็ไม่ใช่ว่าฟังไม่ได้ แค่รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างแปลกๆ ที่ผมยังหาคำตอบไม่ได้เท่านั้นเอง แฟรงค์ขึ้นมาส่งผมจนถึงห้อง พอเข้ามาในห้องแล้วผมก็เดินไปที่ตู้เย็น รินน้ำเย็นๆ ใส่แก้วแล้วเอามาส่งให้แฟรงค์
"เห็นไหมนัทบอกแล้วว่ารถติด กว่าจะมาถึงก็ทุ่มกว่าเลย แล้วกว่าแฟรงค์จะกลับถึงบ้านอีกล่ะ"
"ไม่เป็นไร อย่าคิดมาก"
แฟรงค์บอกแล้วก็รับน้ำไปดื่มจนหมดแก้ว ส่งแก้วน้ำคืนให้ผมแล้วก็เดินไปดูตรงนั้นตรงนี้ในห้องผม เราคุยกันอยู่อีกสักพักใหญ่แฟรงค์จึงขอตัวกลับ
จังหวะที่จะลุกเดินจากโซฟาไปที่ประตูนั้น ความรู้สึกบางอย่างพลุ่งพล่านขึ้นมาในใจผมอีกแล้วเมื่อรู้ว่าคนที่ผมผูกพันด้วยกำลังจะไป แม้ว่าจะไปเพียงชั่วคราวก็เถอะ ความกลัวว่าจะถูกทอดทิ้งทำให้ผมควบคุมตัวเองไม่ได้เลย
"พี่แฟรงค์" แฟรงค์หยุดและหันมามองอย่างสงสัย พอเห็นผมเริ่มร้องไห้แฟรงค์ก็ตกใจ
"นัท!"
"พี่แฟรงค์...พี่แฟรงค์อย่าทิ้งนัทไปอีกนะพี่แฟรงค์" แล้วผมก็โผเข้ากอดแฟรงค์ แฟรงค์คงจะตกใจมากทีเดียว แต่ก็พยายามลูบหลังปลอบใจผมไว้ตลอดเวลา "นัทเจ็บน่ะพี่แฟรงค์ นัทเจ็บมาก เจ็บไปหมดแล้ว ฮือๆ"
คราวนี้ผมปล่อยโฮเลย รู้สึกเหมือนแขนขาไร้เรี่ยวแรงจนต้องค่อยๆ ทรุดลงไปกองกับพื้น แฟรงค์รีบย่อตัวลงมานั่งพื้นด้วยกันกับผมแทบจะทันที
"นัทเป็นอะไร บอกพี่ได้ไหม" แฟรงค์ถามอย่างเป็นห่วง "พี่แฟรงค์...นัทคิดถึงพี่นะ พี่แฟรงค์อย่ารำคาญนัทนะที่นัทขี้แงแบบนี้ นัทเจ็บมากน่ะพี่ แล้วนัทก็ไม่มีใครเลย ฮือๆ" ผมยังไม่ตอบคำถามที่แฟรงค์ถามเพราะว่าไม่สามารถจะเล่าได้ในเวลานี้ เอาไว้ให้ผมจิตใจสงบๆ กว่านี้ก่อนละกัน "พี่ไม่รำคาญนัทหรอก นัทไม่ต้องกลัวนะ พี่มาอยู่กับนัทแล้ว พี่จะไม่ทิ้งนัทไปไหนอีก" "จริงนะพี่แฟรงค์...ฮือๆ"
ผมปล่อยโฮใหญ่อีกครั้งแล้วก็กอดแฟรงค์แน่น ปล่อยทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมเคยอึดอัดและอัดอั้นตันใจออกมาทั้งหมด ตั้งแต่โตมา ผมไม่เคยร้องไห้อย่างนี้ให้ใครเห็นหรอก ไม่มีใครสักคนที่ผมไว้ใจมากพอที่จะทำอย่างนี้ให้เห็นต่อหน้าได้ แต่ผมไว้ใจแฟรงค์ แม้ว่าจะจากกันไปนานแค่ไหนผมก็รู้ว่าแฟรงค์คือคนที่ผมไว้ใจได้เสมอ ขอให้ผมร้องไห้ระบายสิ่งที่เจ็บปวดกับพี่ชายของผมสักครั้งเถอะ ผมรู้ว่าพี่ชายคนนี้จะช่วยทำให้ความเจ็บปวดของผมบรรเทาเบาบางลงได้
จู่ๆ ประตูห้องผมก็ถูกเปิดออก ผมกับแฟรงค์หันไปมองพร้อมกันด้วยความตกใจว่าใครเข้ามา พอเห็นว่าเป็นผู้หญิงคนหนึ่งแฟรงค์ก็ทำท่าจะผละออก ผมก็เลยออกแรงดึงตัวแฟรงค์ไว้ให้นั่งอยู่กับผมอย่างเดิม "ไม่ต้องสนใจหรอกพี่แฟรงค์ ไม่ต้องไปสนใจเค้า" ผมบอกด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น แฟรงค์คงจะงงๆ อยู่เหมือนกันแต่ก็ยอมทำตามที่ผมบอกแต่โดยดี "ตามาเอาของที่ลืมไว้แค่นั้นแหละ" เสียงพูดห้วนสั้นและสายตาที่เย็นชานั้นทำให้ผมเจ็บปวดมานักต่อนักแล้ว ผมจึงทำหูทวนลมและปล่อยให้เธอคนนั้นเดินไปหยิบของที่เธอลืมไว้อย่างที่ต้องการ จะเข้าใจว่าผมกับแฟรงค์เป็นอะไรกันก็ช่างเถิด ผมไม่สนใจแล้ว
เมื่อเธอได้ของที่ต้องการแล้วก็รีบเดินกลับไปที่ประตูโดยไม่คิดจะหันกลับมาแยแสผมเลย แล้วผมก็ได้ยินเสียงเหมือนมีของตกลงที่พื้น คีย์การ์ดห้องผมที่ผมให้เธอไว้นั่นเอง เธอคงไม่ต้องการมันอีกแล้ว
"ทุเรศ"
แม้จะเบา แต่น้ำเสียงกดต่ำนั้นก็บ่งบอกว่าเธอคงสมเพชผมเต็มทีที่อ่อนแอไม่สมกับที่เป็นผู้ชายเอาเสียเลย แล้วประตูก็ปิดดังปังจนแฟรงค์เองยังสะดุ้งตกใจ
เมื่อพูดถึงเรื่องความรักแล้ว ผมก็ไม่ค่อยคิดอยากจะรักเธอหรือรักใครเท่าไหร่หรอก ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่วันที่ผมได้รู้จักกับผู้หญิงคนนี้ที่ชื่อต้องตา เธอก็ทำให้ผมสะดุดใจกับคำพูดหนึ่งของเธอ
"นัท...อย่าเรียกตาว่าพี่สิ ตาแก่กว่านัทแค่เดือนสองเดือนเอง"
ผมก็ไม่รู้หรอกว่าทำไมคำพูดนี้ถึงทำให้ผมสนใจเพื่อนร่วมงานรุ่นพี่คนนี้ได้ หลังจากนั้นผมก็ตามจีบเธอจนสำเร็จ เราเป็นแฟนกันอยู่หลายปีจนกระทั่งมาถึงวันนี้ที่ทุกอย่างพังลงไปหมดแล้ว
"นัทใจเย็นๆ นะ จะให้พี่อยู่เป็นเพื่อนนัทคืนนี้ไหม พี่อยู่ได้นะ ไม่ต้องเกรงใจ"
ผมไม่ตอบคำถามของแฟรงค์แต่ซุกตัวลงกับอกอุ่นๆ นั้นอย่างอ่อนล้า แม้จะเจ็บสักแค่ไหนผมก็รู้สึกดีที่มีพี่ชายคนนี้คอยปลอบใจ อ้อมแขนของแฟรงค์ช่างอบอุ่นเหลือเกิน แม้ว่าใจของผมจะรุ่มร้อนทุรนทุรายสักแค่ไหน ไออุ่นนั้นก็ช่วยบรรเทาความเจ็บปวดร้อนรุ่มให้ผมได้เป็นอย่างดี โชคดีเหลือเกินที่เราสองคนได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง ในช่วงเวลาอย่างนี้ คนที่ผมต้องการมากที่สุดก็คือแฟรงค์
"แฟรงค์ แฟรงค์คอยดูนะ...นัทจะไม่รักใครอีกแล้ว ไม่มีวันที่นัทจะเอาหัวใจไปให้ใครทำร้ายอีก คอยดูนะแฟรงค์"
TBC
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ