กุหลาบเพชร
8.8
เขียนโดย nightshadow
วันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2558 เวลา 17.33 น.
36 ตอน
3 วิจารณ์
36.49K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 12 มกราคม พ.ศ. 2559 21.46 น. โดย เจ้าของนิยาย
3) สู่โลกยุคอดีต
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเพ่ยอิงและปานตะวันผละออกจากกัน พร้อมกับมองมายังชายปริศนาที่เอ่ยทักด้วยความสงสัยชายตรงหน้าดูมีรัศมีเปล่งประกายอยู่รายรอบ ทั้งที่แต่งชุดจีน โบราณธรรมดา แล้วก็เป็นปานตะวันที่เอ่ยปากถามออกไป
"นายเป็นใครกันน่ะ ดูจากที่ทักพวกเราเมื่อกี้นี้แสดงว่ารู้เรื่องของพวกเราเหรอ"
"ใช่แล้วล่ะแม่นางทั้งสองไม่ต้องตกใจไป เรามาอย่างมิตรหาใช่ศัตรู เราคือเทพจากสวรรค์ที่ได้รับมอบหมายให้นำแม่นางทั้งสองมายังที่โลกนี้้ ซึ่งเป็นโลกแห่งอดีตที่พวกเจ้าทั้งสองล้วนมีชะตาลิขิต ให้ต้องเป็นคนจากโลกอนาคตที่มีชะตาต้องมาเกี่ยวพันกับคนในอดีต พวกเจ้าล้วนมีชะตาเป็นคู่รักสวรรค์สร้างกับมหาบุรุษที่ยิ่งใหญ่ ที่อยู่ในโลกยุคอดีตแ่ห่งนี้ แม้แม่นางทั้งสองมาจากคนละมิติเวลาแต่ชะตาฟ้าลิขิตไม่อาจฝืน ข้าจึงชักนำพวกเจ้าให้มาที่โลกแห่งนี้ตามลิขิต แห่งสวรรค์"
"อ้าวๆ ท่านเทพ อยู่ดีๆก็ดึงพวกเรามาที่นี่กะทันหันแล้วมาบอกว่าเป็นลิขิตสวรรค์เนี่ยนะ มันไม่ง่ายไปหน่อยเหรอ" หลังจากฟังปานตะวันซักถามแล้วคนที่เงียบมานานอย่างเพ่ยอิงก็เอ่ยปากถามขึ้นบ้าง
"ก่อนหน้าที่พวกเราจะมาที่นี่ ได้มีท่านยายท่านหนึ่งเอ่ยปากทักพวกเราทำนองเดียวกันและในตอนนี้ข้าก็มั่นใจว่าท่านยายท่านนั้น ก็น่าจะเป็นเทพจากศาลเจ้า อีกท่านหนึ่งที่มาเตือนพวกเรา การที่พวกเราต้องมาอยู่ที่นี่ท่านจะบอกว่าล้วนเป็นลิขิตจากสวรรค์หรือคะ"
"ใช่แล้วล่ะแม่นางทั้งสอง ที่ข้าต้องนำพวกเจ้ามาที่นี่ในเวลานี้ ก็เป็นช่วงเวลาที่ถูกลิขิตไว้แล้วเช่นเดียวกัน ข้าแค่ทำตามหน้าที่ต้องขอโทษพวกเจ้าด้วย การที่แม่นางทั้งสองได้รู้จักและเป็นสหายกันแม้จะอยู่กันคนละเชื้อชาติ แล้วพวกเจ้าพากันมาเที่ยวในสถานที่ที่เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างโลกอดีตกับอนาคต หาใช่เรื่องบังเอิญ แต่หากเป็นชะตาที่ถูกลิขิตไว้แล้ว พวกเจ้ามีชะตาชีวิตที่เกี่ยวข้องกับทั้งโลกอนาคตและอดีต แม้พวกเจ้าจะมาจากโลกอนาคตแต่เงื่อนไขของกาลเวลามิอาจขวางกั้นลิขิตแห่งสวรรค์ พวกเจ้าล้วนเป็นคู่บุญวาสนากันกับมหาบุรุษผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน หากไม่นำพวกเจ้ามาในเวลานี้อดีตก็ไม่สามารถจะดำเนินต่อไปได้"
"เฮ้ยแบบนี้ได้ไง ทำไมต้องเป็นพวกเราด้วยล่ะ พวกเราต่างมีครอบครัวมีหน้าที่การงานที่ทำอยู่นะ แล้วอยู่ดีๆต้องถูกดึงมาที่นี่เรายังไม่ทันได้เตรียมใจและร่ำลาคนในครอบครัวกันเลย แถมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับที่นี่สักอย่างแล้วพวกเราจะใช้ชีวิตยังไงล่ะ เงินทองที่มีติดตัวมาจากโลกอนาคตก็ต่างกันกับของที่นี่นะจะใช้สอยยังไง แล้วเครื่องไม้เครื่องมืออาวุธป้องกันตัวพวกปืนผาหน้าไม้ก็ไม่มีเลยสักอย่าง จะให้พวกเราใช้ชีวิตแบบไหน ไม่ตลกเลยนะ" ปานตะวันโวยขึ้น อย่างหัวเสีย
"เอาล่ะๆ อย่าพึ่งใจร้อนไป ข้ามาเพื่อช่วยเหลือและชี้แนะหนทางให้กับพวกเจ้า แต่ก็คงจะช่วยเท่าที่จะสามารถทำได้ก็แล้วกันนะ อย่างที่บอกไปแล้วว่ามันเป็นชะตาของพวกเจ้าที่ต้องเข้ามาพัวพันกับบุคคลในอดีต และการที่เจ้าเข้ามาในโลกยุคอดีตก็ทำให้พวกเจ้าไม่มีตัวตนอยู่ในโลกอนาคตอีกต่อไป เจ้า ไม่ต้องกลัวว่าครอบครัวของแม่นางที่อยู่อีกโลกจะเศร้าโศกเสียใจ เพราะทันที ที่เงื่อนไขเวลาพลิกผัน พวกเจ้ากลายเป็นคนในอดีตตั้งแต่มาที่นี่แล้ว ส่วนคนในครอบครัวของพวกเจ้าจะไม่มีความทรงจำใดๆเกี่ยวกับพวกเจ้าอยู่เลย ในความรู้สึกของคนที่นั่น พวกเจ้าจะไร้ตัวตนสำหรับพวกเขาไม่ว่าจะเป็นคนในครอบครัวมิตรสหายหรือลูกน้อง จะเหมือนกับไม่เคยได้รู้จักพวกเจ้ามาก่อน"
"ข้าจะช่วยเหลือให้พวกเจ้าได้เริ่มต้นกับชีวิตใหม่ได้อย่างไม่ลำบากเกินไปนัก แต่จากนี้ต่อไป พวกเจ้าต้องพึ่งสติปัญญาและความสามารถของพวกเจ้าเองในการดำเนินชีวิต ข้ามิอาจจะช่วยอะไรได้อีกเพราะมันเป็นเกณท์ชะตาของพวกเจ้าข้าไม่มีสิทธิ์ไปเปลี่ยนแปลงใดๆ นำเงินทองที่แม่นางทั้งสองมีมาจากอีกโลกออกมาสิ" เมื่อสองสาวนำเงินในกระเป๋าของตัวเองออกมาตรงหน้าเทพหนุ่มก็ได้เสกเปลี่ยนให้เป็นเงินของโลกยุคนี้แถมยังให้ในจำนวนที่มากกว่าเดิมอีกด้วย และจากนั้นก็ได้เสกอาวุธที่สองสาวใช้กันในโลกยุคปัจจุบันออกมา ของเพ่ยอิงเป็นพวกปืนสั้นหลายกระบอกพร้อมกระสุน แบบที่เคยใช้ในราชการตอนเป็นตำรวจและมีดสั้นจำนวนหนึ่งชุด เนื่องจากเผ่ยอิงมีความสามารถในการต่อสู้มือเปล่าแบบระยะประชิดและการใช้ปืนแล้ว ยังมีความสามารถในการปามีดสั้นได้อย่างแม่นยำอีกด้วย เนื่องจากการฝึกของตำรวจสากลในยุคปัจจุบันของจีนนั้นเป็นการฝึกที่ค่อนข้างโหด
และต้องควบคู่กับความคล่องแคล่วรวดเร็ว ส่วนของปานตะวันมีปืนยาวและอาวุธสงครามที่เคยใช้แบบทหาร และกระบี่ด้ามยาวเนื่องจากเป็นทหาร นอกจากหมัดเท้าเข่าศอกที่ใช้ระยะปะชิด ก็มีความถนัดในด้านการใช้อาวุธสงครามและกระบี่กระบอง เพราะถูกฝึกสำหรับเตรียมพร้อมกับการสู้รบในสนามรบจริง แม้ในความเป็นจริงปานตะวันอาจจะไม่ได้ไปบู๊ในสนามบ่อยครั้งนัก เพราะเนื่องจากประเทศไทยไม่ค่อยมีศึกสงครามและปานตะวันเองก็เป็นทหารหญิงยศพันตรี ที่ส่วนใหญ่จะออกคำสั่งให้ลูกน้องไปปฏิบัติแทน เว้นแต่ศึกใหญ่เท่านั้นเจ้าตัวถึงจะออกโรง แต่ถึงกระนั้นปานตะวันก็ไม่เคยละเว้นต่อการฝึกฝีมือแต่อย่างใด ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ทั้งสองสาวมีวันหยุดที่ไม่ค่อยตรงกันนัก เพราะงานตำรวจสากลของเพ่ยอิงจะยุ่งกว่ามากเพราะต้องปฏิบัติการจับผู้ร้าย สืบสวนสอบสวนไม่ได้ว่างเว้นบางครั้งต้องทำงานร่วมกับตำรวจสากลของประเทศอื่นด้วย ในขณะที่ประเทศไทยไม่ได้มีศึกสงครามที่ต้องให้
ปานตะวันออกโรงอะไรนักแต่ก็ยังต้องไปทำงานตามหน้าที่ในฐานะข้าราชการ และพร้อมกันนี้ท่านเทพหนุ่มก็ได้เสกกระเป๋าสำหรับใส่อาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆและเงินทอง ให้กับสองสาว
"ท่านเทพจะบอกพวกเราได้หรือไม่ว่า พวกเรามาอยู่ในยุคสมัยใด และจากที่เห็นในตอนนี้พวกเราอยู่ในป่า เราจะไปที่ในตัวเมืองได้อย่างไร และภาษาที่พวกเราใช้ในยุคปัจจุบันจะสื่อสารกับคนที่นี่รู้เรื่องได้หรือ"
"ข้าบอกได้แต่เพียงว่าพวกเจ้าอยู่ในยุคสมัยของราชวงศ์โจว ปกครองด้วยระบอบกษัตริย์ที่มีฮ่องเต้เป็นผู้ครองแผ่นดิน ส่วนรายละเอียดเรื่องอื่นข้าบอกไม่ได้ เพราะอาจเป็นการไปเปลี่ยนแปลงชะตาของพวกเจ้า และในเมื่อแม่นางทั้งสองได้มาอยู่ที่นี่แล้ว เรื่องที่พวกเจ้าต้องสนใจคือการที่ต้องคิดว่าจะใช้ชีวิตให้เข้ากับที่นี่ได้อย่างไรต่างหาก เพราะไม่ว่าจะอย่างไรสิ่งๆต่างๆล้วนเป็นชะตาของพวกเจ้าทั้งสิ้น ส่วนเรื่องภาษาไม่ต้องกังวลไปเจ้าสามารถใช้ภาษาที่พวกเจ้าใช้ในโลกที่จากมาได้เลย(ภาษาจีนกลาง) เพราะตอนนี้พวกแม่นางได้กลายเป็นคนในอดีตแล้ว ดังนั้นคนที่นี่จะฟังและสื่อสารกับพวกเจ้ารู้เืรื่องราวกับเป็นปกติ ข้าจะช่วยส่งพวกเจ้าเข้าไปอยู่ในเมืองให้ก็แล้วกันนะ และข้าก็คงต้องลาพวกเจ้าเพียงเท่านี้ และก็คงเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่ข้ากับแม่นางทั้งสองจะได้พบกัน จากนี้ไปชะตาชีวิตล้วนขึ้นอยู่กับพวกเจ้าเองแล้ว"
----------------------------------------------------------------------------------------------
ชี้แจงนะคะ เรื่องของรัชสมัยราชวงศ์โจว เราแค่หยิบยืมเอามาใส่ในเรื่องเท่านั้น แต่ไม่ได้มีประวัติศาสตร์ที่ตรงกับในราชวงศ์โจวของจริงนะคะ
ในเรื่องนี้จะแต่งสมมุติขึ้นเองตามจินตนาการของเราเองซึ่งไม่เหมือนกับประวัติศาสตร์ราชวงศ์โจวของจริงแต่อย่างใด หากใครอยากทราบข้อมูลจริงก็ขอให้ไปค้นข้อมูลใน GooGle เอาเองนะคะ
"นายเป็นใครกันน่ะ ดูจากที่ทักพวกเราเมื่อกี้นี้แสดงว่ารู้เรื่องของพวกเราเหรอ"
"ใช่แล้วล่ะแม่นางทั้งสองไม่ต้องตกใจไป เรามาอย่างมิตรหาใช่ศัตรู เราคือเทพจากสวรรค์ที่ได้รับมอบหมายให้นำแม่นางทั้งสองมายังที่โลกนี้้ ซึ่งเป็นโลกแห่งอดีตที่พวกเจ้าทั้งสองล้วนมีชะตาลิขิต ให้ต้องเป็นคนจากโลกอนาคตที่มีชะตาต้องมาเกี่ยวพันกับคนในอดีต พวกเจ้าล้วนมีชะตาเป็นคู่รักสวรรค์สร้างกับมหาบุรุษที่ยิ่งใหญ่ ที่อยู่ในโลกยุคอดีตแ่ห่งนี้ แม้แม่นางทั้งสองมาจากคนละมิติเวลาแต่ชะตาฟ้าลิขิตไม่อาจฝืน ข้าจึงชักนำพวกเจ้าให้มาที่โลกแห่งนี้ตามลิขิต แห่งสวรรค์"
"อ้าวๆ ท่านเทพ อยู่ดีๆก็ดึงพวกเรามาที่นี่กะทันหันแล้วมาบอกว่าเป็นลิขิตสวรรค์เนี่ยนะ มันไม่ง่ายไปหน่อยเหรอ" หลังจากฟังปานตะวันซักถามแล้วคนที่เงียบมานานอย่างเพ่ยอิงก็เอ่ยปากถามขึ้นบ้าง
"ก่อนหน้าที่พวกเราจะมาที่นี่ ได้มีท่านยายท่านหนึ่งเอ่ยปากทักพวกเราทำนองเดียวกันและในตอนนี้ข้าก็มั่นใจว่าท่านยายท่านนั้น ก็น่าจะเป็นเทพจากศาลเจ้า อีกท่านหนึ่งที่มาเตือนพวกเรา การที่พวกเราต้องมาอยู่ที่นี่ท่านจะบอกว่าล้วนเป็นลิขิตจากสวรรค์หรือคะ"
"ใช่แล้วล่ะแม่นางทั้งสอง ที่ข้าต้องนำพวกเจ้ามาที่นี่ในเวลานี้ ก็เป็นช่วงเวลาที่ถูกลิขิตไว้แล้วเช่นเดียวกัน ข้าแค่ทำตามหน้าที่ต้องขอโทษพวกเจ้าด้วย การที่แม่นางทั้งสองได้รู้จักและเป็นสหายกันแม้จะอยู่กันคนละเชื้อชาติ แล้วพวกเจ้าพากันมาเที่ยวในสถานที่ที่เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างโลกอดีตกับอนาคต หาใช่เรื่องบังเอิญ แต่หากเป็นชะตาที่ถูกลิขิตไว้แล้ว พวกเจ้ามีชะตาชีวิตที่เกี่ยวข้องกับทั้งโลกอนาคตและอดีต แม้พวกเจ้าจะมาจากโลกอนาคตแต่เงื่อนไขของกาลเวลามิอาจขวางกั้นลิขิตแห่งสวรรค์ พวกเจ้าล้วนเป็นคู่บุญวาสนากันกับมหาบุรุษผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน หากไม่นำพวกเจ้ามาในเวลานี้อดีตก็ไม่สามารถจะดำเนินต่อไปได้"
"เฮ้ยแบบนี้ได้ไง ทำไมต้องเป็นพวกเราด้วยล่ะ พวกเราต่างมีครอบครัวมีหน้าที่การงานที่ทำอยู่นะ แล้วอยู่ดีๆต้องถูกดึงมาที่นี่เรายังไม่ทันได้เตรียมใจและร่ำลาคนในครอบครัวกันเลย แถมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับที่นี่สักอย่างแล้วพวกเราจะใช้ชีวิตยังไงล่ะ เงินทองที่มีติดตัวมาจากโลกอนาคตก็ต่างกันกับของที่นี่นะจะใช้สอยยังไง แล้วเครื่องไม้เครื่องมืออาวุธป้องกันตัวพวกปืนผาหน้าไม้ก็ไม่มีเลยสักอย่าง จะให้พวกเราใช้ชีวิตแบบไหน ไม่ตลกเลยนะ" ปานตะวันโวยขึ้น อย่างหัวเสีย
"เอาล่ะๆ อย่าพึ่งใจร้อนไป ข้ามาเพื่อช่วยเหลือและชี้แนะหนทางให้กับพวกเจ้า แต่ก็คงจะช่วยเท่าที่จะสามารถทำได้ก็แล้วกันนะ อย่างที่บอกไปแล้วว่ามันเป็นชะตาของพวกเจ้าที่ต้องเข้ามาพัวพันกับบุคคลในอดีต และการที่เจ้าเข้ามาในโลกยุคอดีตก็ทำให้พวกเจ้าไม่มีตัวตนอยู่ในโลกอนาคตอีกต่อไป เจ้า ไม่ต้องกลัวว่าครอบครัวของแม่นางที่อยู่อีกโลกจะเศร้าโศกเสียใจ เพราะทันที ที่เงื่อนไขเวลาพลิกผัน พวกเจ้ากลายเป็นคนในอดีตตั้งแต่มาที่นี่แล้ว ส่วนคนในครอบครัวของพวกเจ้าจะไม่มีความทรงจำใดๆเกี่ยวกับพวกเจ้าอยู่เลย ในความรู้สึกของคนที่นั่น พวกเจ้าจะไร้ตัวตนสำหรับพวกเขาไม่ว่าจะเป็นคนในครอบครัวมิตรสหายหรือลูกน้อง จะเหมือนกับไม่เคยได้รู้จักพวกเจ้ามาก่อน"
"ข้าจะช่วยเหลือให้พวกเจ้าได้เริ่มต้นกับชีวิตใหม่ได้อย่างไม่ลำบากเกินไปนัก แต่จากนี้ต่อไป พวกเจ้าต้องพึ่งสติปัญญาและความสามารถของพวกเจ้าเองในการดำเนินชีวิต ข้ามิอาจจะช่วยอะไรได้อีกเพราะมันเป็นเกณท์ชะตาของพวกเจ้าข้าไม่มีสิทธิ์ไปเปลี่ยนแปลงใดๆ นำเงินทองที่แม่นางทั้งสองมีมาจากอีกโลกออกมาสิ" เมื่อสองสาวนำเงินในกระเป๋าของตัวเองออกมาตรงหน้าเทพหนุ่มก็ได้เสกเปลี่ยนให้เป็นเงินของโลกยุคนี้แถมยังให้ในจำนวนที่มากกว่าเดิมอีกด้วย และจากนั้นก็ได้เสกอาวุธที่สองสาวใช้กันในโลกยุคปัจจุบันออกมา ของเพ่ยอิงเป็นพวกปืนสั้นหลายกระบอกพร้อมกระสุน แบบที่เคยใช้ในราชการตอนเป็นตำรวจและมีดสั้นจำนวนหนึ่งชุด เนื่องจากเผ่ยอิงมีความสามารถในการต่อสู้มือเปล่าแบบระยะประชิดและการใช้ปืนแล้ว ยังมีความสามารถในการปามีดสั้นได้อย่างแม่นยำอีกด้วย เนื่องจากการฝึกของตำรวจสากลในยุคปัจจุบันของจีนนั้นเป็นการฝึกที่ค่อนข้างโหด
และต้องควบคู่กับความคล่องแคล่วรวดเร็ว ส่วนของปานตะวันมีปืนยาวและอาวุธสงครามที่เคยใช้แบบทหาร และกระบี่ด้ามยาวเนื่องจากเป็นทหาร นอกจากหมัดเท้าเข่าศอกที่ใช้ระยะปะชิด ก็มีความถนัดในด้านการใช้อาวุธสงครามและกระบี่กระบอง เพราะถูกฝึกสำหรับเตรียมพร้อมกับการสู้รบในสนามรบจริง แม้ในความเป็นจริงปานตะวันอาจจะไม่ได้ไปบู๊ในสนามบ่อยครั้งนัก เพราะเนื่องจากประเทศไทยไม่ค่อยมีศึกสงครามและปานตะวันเองก็เป็นทหารหญิงยศพันตรี ที่ส่วนใหญ่จะออกคำสั่งให้ลูกน้องไปปฏิบัติแทน เว้นแต่ศึกใหญ่เท่านั้นเจ้าตัวถึงจะออกโรง แต่ถึงกระนั้นปานตะวันก็ไม่เคยละเว้นต่อการฝึกฝีมือแต่อย่างใด ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ทั้งสองสาวมีวันหยุดที่ไม่ค่อยตรงกันนัก เพราะงานตำรวจสากลของเพ่ยอิงจะยุ่งกว่ามากเพราะต้องปฏิบัติการจับผู้ร้าย สืบสวนสอบสวนไม่ได้ว่างเว้นบางครั้งต้องทำงานร่วมกับตำรวจสากลของประเทศอื่นด้วย ในขณะที่ประเทศไทยไม่ได้มีศึกสงครามที่ต้องให้
ปานตะวันออกโรงอะไรนักแต่ก็ยังต้องไปทำงานตามหน้าที่ในฐานะข้าราชการ และพร้อมกันนี้ท่านเทพหนุ่มก็ได้เสกกระเป๋าสำหรับใส่อาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆและเงินทอง ให้กับสองสาว
"ท่านเทพจะบอกพวกเราได้หรือไม่ว่า พวกเรามาอยู่ในยุคสมัยใด และจากที่เห็นในตอนนี้พวกเราอยู่ในป่า เราจะไปที่ในตัวเมืองได้อย่างไร และภาษาที่พวกเราใช้ในยุคปัจจุบันจะสื่อสารกับคนที่นี่รู้เรื่องได้หรือ"
"ข้าบอกได้แต่เพียงว่าพวกเจ้าอยู่ในยุคสมัยของราชวงศ์โจว ปกครองด้วยระบอบกษัตริย์ที่มีฮ่องเต้เป็นผู้ครองแผ่นดิน ส่วนรายละเอียดเรื่องอื่นข้าบอกไม่ได้ เพราะอาจเป็นการไปเปลี่ยนแปลงชะตาของพวกเจ้า และในเมื่อแม่นางทั้งสองได้มาอยู่ที่นี่แล้ว เรื่องที่พวกเจ้าต้องสนใจคือการที่ต้องคิดว่าจะใช้ชีวิตให้เข้ากับที่นี่ได้อย่างไรต่างหาก เพราะไม่ว่าจะอย่างไรสิ่งๆต่างๆล้วนเป็นชะตาของพวกเจ้าทั้งสิ้น ส่วนเรื่องภาษาไม่ต้องกังวลไปเจ้าสามารถใช้ภาษาที่พวกเจ้าใช้ในโลกที่จากมาได้เลย(ภาษาจีนกลาง) เพราะตอนนี้พวกแม่นางได้กลายเป็นคนในอดีตแล้ว ดังนั้นคนที่นี่จะฟังและสื่อสารกับพวกเจ้ารู้เืรื่องราวกับเป็นปกติ ข้าจะช่วยส่งพวกเจ้าเข้าไปอยู่ในเมืองให้ก็แล้วกันนะ และข้าก็คงต้องลาพวกเจ้าเพียงเท่านี้ และก็คงเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่ข้ากับแม่นางทั้งสองจะได้พบกัน จากนี้ไปชะตาชีวิตล้วนขึ้นอยู่กับพวกเจ้าเองแล้ว"
----------------------------------------------------------------------------------------------
ชี้แจงนะคะ เรื่องของรัชสมัยราชวงศ์โจว เราแค่หยิบยืมเอามาใส่ในเรื่องเท่านั้น แต่ไม่ได้มีประวัติศาสตร์ที่ตรงกับในราชวงศ์โจวของจริงนะคะ
ในเรื่องนี้จะแต่งสมมุติขึ้นเองตามจินตนาการของเราเองซึ่งไม่เหมือนกับประวัติศาสตร์ราชวงศ์โจวของจริงแต่อย่างใด หากใครอยากทราบข้อมูลจริงก็ขอให้ไปค้นข้อมูลใน GooGle เอาเองนะคะ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.3 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ