พิษเพลิงสิเน่หา

10.0

เขียนโดย ศิริพารา

วันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 เวลา 15.46 น.

  6 ตอน
  0 วิจารณ์
  8,909 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2558 11.44 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

4) พิษเพลิงสิเน่หา ตอนที่ 3 100%

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

***พิษเพลิงสิเน่หาพร้อมให้คุณเป็นเจ้าของแล้ววันนี้ที่เมพ meb e-book

อ่านจบแล้วบอกความรู้สึกหน้าเมพลุ้นรับของรางวัลสุดพิเศษด้วยนะคะ***

มากาเร็ตแนะนำให้ลูกชายรู้จักกับไพลินและบุษราคัม ผู้เป็นแม่และน้าของวทานิกา ซึ่งกำลังสั่งการให้คนในบ้านจัดเตรียมของที่จะใช้ในงานมงคลสมรสวันพรุ่งนี้ แน่นอนว่าใบหน้าอันหล่อเหลา รูปร่างสูงใหญ่อย่างนักกีฬาอาชีพซึ่งต้องออกกำลังกายอย่างมีแบบแผนนั้นเรียกความสนใจจากสายตาทุกคู่ได้เป็นอย่างดี

“สวัสดีครับ” รามอสเอ่ยด้วยภาษาไทยที่ไม่ชัดเจน แต่การพนมมือไหว้ที่พี่สะใภ้สอนมานั้นก็ทำให้ผู้ใหญ่ทั้งสองเปิดยิ้มด้วยความเอ็นดู

ไพลินรับไหว้ก่อนจะมองชายหนุ่มด้วยความชื่นชม ไม่ต่างจากเสียงซุบซิบของแม่บ้านซึ่งกำลังหัวเราะและมีท่าทางกระดี๊กระด๊าอย่างออกนอกหน้า “รูปร่างหน้าตาแบบนี้นี่เองถึงทำให้สาวๆ คลั่งไคล้”

“เตะฟุตบอลก็เก่งด้วยค่ะ” บุษราคัมกล่าวเสริม

“รู้ได้ยังไงจ๊ะ เธอดูฟุตบอลเมืองนอกด้วยรึ” ไพลินถามน้องสาว

“โธ่... ก็สาวๆ ในบ้านนี่พร่ำเพ้อถึงรามอสอยู่หลายวัน ตั้งแต่รู้ว่าจะได้เห็นตัวเป็นๆ นี่คะ” บุษราคัมกล่าวพลางพยักพเยิดไปยังสาวๆ ที่ทำท่าเอียงอาย ไม่เป็นอันทำงานที่ได้รับมอบหมายสักเท่าไหร่ “ดูโน่นสิคะ เขินจนตัวจะบิดเป็นเกลียวกันหมดแล้ว”

รามอสไม่อาจเข้าใจในบทสนทนาดังกล่าว แต่ก็พอจะเดาท่าทางของสาวๆ เหล่านั้นได้ไม่ยาก ก็มันเป็นท่าทีปกติของผู้หญิงที่ได้พบเจอเขา ที่เห็นเขินอายนี่ยังน้อยไป บางคนถึงกับปรี่เข้ามาหาจนมันกลายเป็นเรื่องปกติสามัญเสียแล้ว แต่ในตอนนี้มีสาวน้อยเพียงคนเดียวเท่านั้นล่ะที่เขาอยากกอดรัด

“รามอส มาแล้ว” โจเซลีนผละจากขนมหวานและวิ่งเข้าสู่อ้อมกอดของผู้เป็นอาทันที

นักเตะหนุ่มช้อนอุ้มหลานสาวตัวน้อยไว้ในอ้อมแขน กดจมูกสูดเอาความหอมจากสองแก้มยุ้ยอย่างแสนรัก ทว่าเสียงกรี๊ดกร๊าดที่ดูเหมือนจะเงียบลงบ้างกลับดังขึ้นอีกครั้งราวกับว่า ตนอยู่ในอ้อมแขนของเทพบุตรแข้งทอง

‘อ๊าย... หล่อแล้วยังรักเด็กอีกด้วย ในที่สุดหนูก็ได้เจอพ่อของลูก’

‘กรี๊ดดด ผู้ชายตัวโตแถมรักเด็ก แม่อยากเป็นเด็กให้รู้แล้วรู้รอด ฉันอิจฉาน้องลินนี่’

ประโยคคำพูดอีกมากมายที่แม่บ้านรวมไปจนถึงคนของเวดดิ้งแพลนเนอร์หลุดออกมาอย่างอดไม่ได้ แน่ล่ะว่าทำให้ไพลินและบุษราคัมส่ายหน้ากับความคิดของสาวแท้สาวเทียมสมัยใหม่

ทว่าสาวน้อยโจเซลีนในอ้อมกอดกลับหัวเราะคิกคักเพราะจั๊กจี้กับหนวดที่ผุดขึ้นเป็นตอสั้นๆ จึงเอื้อมมือไปสัมผัสปลายคางคร้ามคมของผู้เป็นอา “คิดถึงรามอส”

“โอ... ปากหวานที่สุดลินนี่ของอา” รามอสครวญพลางสูดเอาความหอมจากแก้มยุ้ยอีกครั้ง

วทานิกาซึ่งเดินเข้ามาเห็นภาพดังกล่าวก็อดที่จะยิ้มตามไม่ได้ แตกต่างกับสามีที่เดินเข้ามาหลังสุด แม้ตนจะได้รับเสียงกรี๊ดกร๊าดเช่นนี้แต่กลับไม่มีอารมณ์ลำพองใจเหมือนตอนที่ยังเป็นหนุ่มโสด พูดได้อย่างเต็มปากว่าถ้าเสียงนั้นไม่ใช่นิก้าของเขา ทุกสิ่งรอบกายก็ดูเหมือนจะไร้ค่าไร้ความหมาย

“โอ้โห มาถึงก็หว่านเสน่ห์ใส่สาวๆ เลย ให้มันน้อยๆ หน่อยนะไอ้ตัวดี” ทิโมธีเย้าพลางเดินมาทรุดตัวนั่งขัดสมาธิบนพื้นข้างๆ แม่ยาย

รามอสมองท่าทางสงบเสงี่ยมของพี่ชายแล้วเบ้ปาก แบดบอยผู้โอหังบัดนี้เป็นเพียงผู้ชายบูชาความรัก ไร้ซึ่งเขี้ยวเล็บจนสิ้น “แน่ล่ะ... ทำอย่างกับนายไม่เคย ตอนนี้ก็ยังเป็นอยู่นี่”

“ไม่สนใจ รักเมียคนเดียว หลงเมียคนเดียว มีอะไรไหม” ทิโมธีโต้กลับ

“พูดเอาใจนิก้ารึเปล่า” รามอสเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่น่าไว้ใจ

วทานิกาส่ายหน้าอย่างระอาใจเมื่อสองพี่น้องต้องปะทะคารมกันทุกครั้ง ทั้งที่ความจริงแล้วรักใคร่กลมเกลียว เธอจึงหยุดข้อโต้แย้งเล็กๆ นั่นลงด้วยประโยคเด็ด “นั่นสิคะ มิน่าล่ะถึงได้แขวะแต่รามอส ที่แท้ก็อิจฉาใช่ไหม?”

แม้จะรู้ว่าภรรยาถามหยอกเย้าเล่นแต่เขาก็ไม่เคยปล่อยให้เรื่องอ่อนไหวต่อความรู้สึกเช่นนี้เฉียดกรายเข้ามาใกล้ความรู้สึกของเธอเลย “โอ๊ย... มีลูกด้วยกันตั้งสองคนแล้ว นิก้ายังไม่เชื่อใจผมอีก แบบนี้ต้องมีน้องให้ลินนี่จนฟอร์มทีมฟุตบอลครบ นิก้าถึงจะเชื่อใจ จริงไหมครับคุณแม่”

คุณแม่ยายหัวเราะร่วนเพราะรู้ดีว่าลูกเขยตัวโตต้องหักห้ามใจสักแค่ไหนในการแสดงความรักต่อลูกสาวของตน “แม่ไม่ติดใจเรื่องความรักที่ทิมมีให้นิก้าหรอก แต่เรื่องมีลูกจนครบทีมฟุตบอลนี่ไปเคลียร์กันเองเถอะจ้ะ”

สิ้นคำคุณไพลินทุกคนก็หัวเราะครื้นเครงยกเว้นรามอสที่โพล่งถามความข้องใจของตนในทันที

“อย่าบอกนะว่าตอนนี้ลินนี่กำลังจะมีน้อง?” ถามพลางมองหน้าวทานิกาและหลานสาวในอ้อมแขนของตัวเอง

วทานิกาพยักหน้ารับและรอยยิ้มอิ่มเอิบอาบทั่วใบหน้าก็เป็นคำตอบอย่างดี “น่าจะสองเดือนแล้วมั้ง”

“โอ... ยอดเยี่ยมเหลือเกิน ยินดีกับคุณด้วยนิก้า” รามอสบอกพร้อมขยับเข้าไปสวมกอดกับวทานิกาและพี่ชาย “ยินดีด้วย เจ้าบ่าวลูกสอง”

ภาพที่พี่น้องกอดกันอย่างแนบแน่นทำให้มากาเร็ตยิ้มอย่างปลาบปลื้ม แม้ว่าทั้งคู่จะต่างบิดาและเพิ่งได้รับรู้ความจริงไม่นานว่าเป็นพี่น้องกัน แต่สายเลือดของเธอครึ่งหนึ่งที่ไหลเวียนอยู่ในตัวของทิโมธีและรามอสก็ยังเข้มข้น สร้างความกลมเกลียวให้กับทั้งคู่ได้เป็นอย่างดี

“คุณบุษขา ถามให้หนูหน่อย” แม่บ้านสาวรีบเข้าไปกระแซะข้างบุษราคัมเพราะอยากรู้เหลือเกินว่า นักเตะหนุ่มนั้นมีสาวในดวงใจแล้วหรือยัง

บุษราคัมส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ ไม่ใช่เพียงแค่หญิงสาวที่เบียดตัวอยู่ข้างๆ แต่รวมไปถึงสาวน้อยสาวใหญ่ สาวแท้และสามเทียมต่างส่งสายตาอ้อนวอนให้ตนทั้งนั้น ไม่นานนักจึงเอ่ยปากออกไป “แล้วเมื่อไหร่พวกเราจะได้ยินดีกับคุณบ้าง รามอส”

นักเตะหนุ่มเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจกับคำถามและหัวเราะออกมาโดยไม่รู้ตัวว่าท่าทางเช่นนั้นทำให้สาวๆ ที่รอฟังคำตอบเคลิบเคลิ้ม มีเสียงกรี๊ดกร๊าดหลุดออกมากับรอยยิ้มทรงเสน่ห์นั้น

“ก็...ว่าจะมาหาสาวไทยกลับไปด้วยสักคนครับ” รามอสตอบทีเล่นทีจริง และสาวๆ ที่รอฟังคำตอบอย่างใจจดใจจ่อก็กรี๊ดขึ้นมาอย่างอดใจไว้ไม่ได้ ส่วนคนที่ต้องรอบุษราคัมแปลคำพูดเป็นภาษาไทยก็หลุดเสียงกรี๊ดออกมาเช่นกัน

คุณไพลินจึงเชื้อเชิญทุกคนให้ย้ายไปยังห้องอาหารเพราะถ้าหากเทพบุตรแข้งทองสุดหล่อนี้ยืนโชว์ตัวอยู่เช่นนี้ สาวน้อยสาวใหญ่ทั้งหลายคงจะไม่เป็นอันตระเตรียมงานให้แล้วเสร็จ

“เราย้ายไปห้องอาหารกันดีกว่านะคะ แม่บ้านคงตั้งโต๊ะเรียบร้อยแล้ว” ไพลินเอ่ยขึ้นพร้อมผายมือเชิญครอบครัวที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมให้เดินไปยังห้องอาหาร ทว่าต้องอมยิ้มเมื่อเห็นรามอสเดินอุ้มโจเซลีนไปด้วย หยอกเย้าด้วยการซุกไซ้ใบหน้าลงตามตัวไม่เลือกที่ ไม่แสดงทีท่าเย่อหยิ่งเช่นคนดังทั่วไป

เมื่อทุกคนนั่งประจำที่พี่เลี้ยงของโจเซลีนจึงเดินเข้ามา ตั้งใจจะอุ้มเด็กน้อยออกมาป้อนอาหารแต่หนูน้อยกลับซุกตัวเข้ากับอกกว้างของคุณอาและวาดแขนทั้งสองข้างกอดเอาไว้แน่น ใครก็เกลี้ยกล่อมไม่ได้แม้กระทั่งวทานิกา

“ไม่เป็นไรครับ ผมอุ้มลินนี่ได้สบายมาก” บอกพลางจัดแจงท่านั่งของหลานสาวให้หันหน้าเข้าโต๊ะอาหาร ไถ่ถามว่าจะรับประทานอะไรอย่างคล่องแคล่ว ภาพน่าเอ็นดูที่ทำให้ทุกคนอมยิ้มไพล่คิดไปว่าหากมีลูกเป็นของตัวเอง คงเป็นคุณพ่อที่น่ารักที่สุด

“ถ้าผมเอาภาพนี้ไปขายให้ปาปารัสซี่คงได้เงินมาใช้มากโข” ทิโมธีแขวะน้องชายทีเล่นทีจริง แต่คนถูกแขวะไม่สนใจก้มลงไปพูดกับหลานสาวอย่างสบายใจ

“แถวนี้มีคนขี้อิจฉาเราด้วย” รามอสบอกพลางหัวเราะเมื่อมือป้อมๆ ชี้ไปยังกุ้งชุบแป้งทอดหน้าตาน่ารับประทาน

ไพลินเห็นว่าโจเซลีนอยู่กับรามอสได้จึงพยักหน้าเป็นเชิงให้พี่เลี้ยงถอยออกไป “อ้อ... อย่าลืมให้เด็กเอากระเป๋าเดินทางคุณรามอสไปไว้ที่เรือนริมน้ำด้วย จัดห้องเรียบร้อยแล้วใช่ไหม”

“เรียบร้อยแล้วค่ะ”

ทิโมธีซึ่งฟังภาษาไทยรู้เรื่องแต่ไม่สามารถพูดจาได้ดีนักจึงเอ่ยขึ้นเพราะรู้ว่าน้องชายนั้นตั้งใจจะไปพักที่โรงแรม ซึ่งเป็นโรงแรมหรูที่เปิดห้องเอาไว้สำหรับแขกเหรื่อที่จะมาร่วมงาน จึงบอกกับแม่ยายด้วยภาษาอังกฤษ “ไม่ต้องหรอกครับคุณแม่ รามอสจะไปพักที่โรงแรม”

“อ้าว... ทำไมล่ะ แม่ให้เด็กเข้าไปทำความสะอาดเตรียมไว้แล้วนะ” ไพลินบอก

“นั่นสิคะ พักที่นี่ก็ได้ บ้านเราออกกว้างขวาง” วทานิกาเสริมและหันไปมองหน้ารามอสอย่างรอคำตอบ

คงจะมีเพียงสองพี่น้องเท่านั้นที่ต่างฝ่ายหันมาจ้องหน้ากันอย่างรู้ทันเกม ใครบ้างไม่รู้ว่านักฟุตบอลต้องฝึกซ้อมหนักแค่ไหน เครียดกับเกมการแข่งขันสักเท่าไร เมื่อมีโอกาสพักผ่อนก็ควรใช้เวลาที่มีอยู่ให้เต็มที่ การปลดปล่อยอารมณ์ตามประสาลูกผู้ชายก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องอยู่ในหัวสมองหนุ่มเต็มวัย

แต่นาทีคับขันเช่นนี้ทิโมธีก็ไม่รู้ว่าจะช่วยน้องชายเช่นไร พูดให้ถูกคือเกรงใจภรรยาที่นั่งอยู่ข้างๆ แน่ล่ะว่ารามอสรู้ทันความคิดของพี่ชาย จึงได้แต่ลอบถอนหายใจและตอบออกไปในที่สุด

“ถ้าไม่เป็นการรบกวน เอางั้นก็ได้ครับ” รามอสตอบและเห็นว่าคนกลัวเมียมีสีหน้าที่ผ่อนคลายมากขึ้น

“รบกวนอะไรกันจ๊ะ” ไพลินเลือกสนทนาเป็นภาษาอังกฤษในยามที่มีมากาเร็ตและรามอสอยู่ด้วย เพราะรู้ว่าทั้งคู่ไม่สามารถเข้าใจในภาษาไทยเช่นลูกเขยของตน “เรือนริมน้ำนั่นฉันตั้งใจปลูกไว้ให้นิก้า มีข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่างครบถ้วนแต่ลินนี่จะเป็นปัญหามากถ้าไปพักที่นั่น เด็กๆ อันตรายมากถ้าให้เล่นอยู่ใกล้น้ำ”

“นอกเสียจากว่าคุณจะนัดกับเพื่อนๆ เอาไว้ หรือสะดวกใจที่จะพักโรงแรมมากกว่าก็ไม่เป็นไรนะจ๊ะ” บุษราคัมเอ่ยขึ้นเพราะเข้าใจถึงความสะดวกของแต่ละบุคคล

“ไม่เป็นไรครับ ความจริงพักที่นี่ก็สะดวกดี อีกอย่างเพื่อนๆ ของผมคงจะมาถึงกลางดึก ไปพักที่โรงแรมตอนนี้ก็ต้องนั่งเหงาอยู่คนเดียว” รามอสตอบในขณะที่มือยังทำหน้าที่ป้อนอาหารให้หลานสาวอยู่เรื่อยๆ

ไอ้กะล่อนนี่มันเข้าใจตอบให้ผู้ใหญ่หลงแล้วตัวเองดูเป็นเทพบุตรโว้ย ทิโมธีคิดในใจอดหมั่นไส้น้องชายไม่ได้ ทำไมเขาจะไม่รู้ว่ามาถึงต่างบ้านต่างเมืองทั้งยังเป็นช่วงปิดฤดูกาลแข่งขันแบบนี้ มีผู้ชายที่ไหนบ้างไม่อยากปลดปล่อยความเครียด ปลดปล่อยอารมณ์ที่สะสมในตัวเอง

“งั้นก็พักที่นี่นะคะ เดี๋ยวจะให้เด็กเอากระเป๋าไปเก็บให้เลย” วทานิกาเป็นคนสรุป แล้วหันไปพยักหน้าให้กับพี่เลี้ยงที่ถอยออกจากห้องอาหาร

“จริงสิ ดาเรียไม่มาเหรอ ไม่มาพักด้วยกันที่นี่” รามอสนึกขึ้นมาได้และถามถึงดาเรีย นางแบบสาวชาวรัสเซียผู้โด่งดัง ซึ่งเป็นเพื่อนนางแบบรุ่นเดียวกันกับวทานิกา

วทานิกาปั้นหน้ายากเพราะรู้ดีว่ารามอสนั้นตามจีบและเอ่ยชวนดาเรียออกเดตอยู่หลายครั้งแต่ได้รับเพียงคำปฏิเสธเพราะดาเรียกำลังคบหากับแฟนหนุ่มนายแบบชื่อดังเช่นกัน “มาถึงตั้งแต่เมื่อวานแล้ว พักอยู่ที่โรงแรมที่ทิมจองไว้นั่นล่ะค่ะ สงสัยวันนี้จะพาไมกี้ไปเที่ยวรอบๆ กรุงเทพ”

เอ่ยถึงไมกี้ แฟนหนุ่มของดาเรียและคอยสังเกตปฏิกิริยาของคู่สนทนาที่มีใบหน้าเรียบเฉยก้มลงจัดการกับอาหารของตัวเองสลับกับป้อนให้หลานสาว วทานิกาจึงไม่สามารถอ่านใจได้ว่านักเตะหนุ่มนั้นทำใจได้แล้วหรือท่าทีนิ่งเงียบดังกล่าวเป็นเพียงการกลบเกลื่อนอาการอกหักเท่านั้น

รามอสพยักหน้ารับและวงสนทนาก็พูดคุยเกี่ยวกับงานมงคลที่กำลังจะถึงนี้ เกือบสี่สิบนาทีบนโต๊ะอาหารมีแต่ความสุขสดชื่นและเสียงหัวเราะ เป็นบรรยากาศอันอบอุ่นที่รามอสยิ้มรับด้วยความแช่มชื่น พูดได้เต็มปากว่าเป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกได้ถึงคำว่า ความอบอุ่นในครอบครัว

 

“กรี๊ด... จริงเหรอพี่วุ้น งานแต่งพรุ่งนี้มีนักฟุตบอลสโมสร... มาด้วยจริงๆ เหรอคะ กรี๊ด...” พรรณลดาวางมือจากการเรียงทองหยิบ ทองหยอด บนถาดที่ตกแต่งด้วยใบตองพับจีบอย่างประณีตแล้วกรีดร้องออกมาด้วยความดีใจ เมื่อทราบข่าวจากญาติผู้พี่ถึงแขกที่จะมาร่วมในงานแต่งครั้งนี้

“เป็นอะไรรึเปล่าน้องไวน์ ร้องทำไมลูก...” วรรณาวิ่งหน้าตื่นเข้ามาในห้องนั่งเล่นทั้งที่ยังถือตะหลิวเอาไว้ในมือ มองหลานสาวที่ยกมือขึ้นปิดหู ส่วนลูกสาวของตนยิ้มแหยๆ ราวกับทำความผิดสักอย่าง

“น้าณา/แม่...” ภัทรษาและพรรณลดาเรียกพร้อมๆ กัน แต่กลับไม่มีใครเอ่ยว่าอย่างไรสักคน

“ว่ายังไง เป็นอะไรถึงได้กรี๊ดลั่นบ้านแบบนี้” ถามและมองลูกสาวดุๆ

“ก็... ไม่มีอะไรค่ะ ไวน์แค่ดีใจไปหน่อย” พรรณลดากระอ้อมกระแอ้มบอกอย่างไม่เต็มเสียงนัก หากต้องอธิบายต่อเมื่อเห็นสีหน้าของผู้เป็นแม่ว่ายังไม่เข้าใจและไม่พอใจในคำตอบสักเท่าไหร่ “ไม่หน่อยก็ได้... ดีใจมากไปน่ะค่ะ”

“ตกลงมันเรื่องอะไร ไวน์?” คนเป็นแม่ถามเสียงดุกว่าเดิมทั้งยังเรียกด้วยชื่อเล่นเสียงห้วนบอกให้ลูกสาวรู้ว่าไม่ชอบกิริยาเช่นนี้เอาเสียเลย

“ไม่มีอะไรหรอกค่ะน้าณา น้องแค่...” ภัทรษาตั้งใจจะออกรับแทนแต่ยังไม่ทันได้พูดจบประโยคก็ถูกดักคอเสียแล้ว

“เราก็ไม่ต้องมาออกรับแทนน้อง” วรรณาบอกและหันไปมองลูกสาวที่ประสานมือเข้าหากันด้วยท่าทีเรียบร้อยเป็นที่สุดแต่นั่นก็ใช่จะตบตาคนที่เลี้ยงดูมาตั้งแต่ลืมตาดูโลกได้ “พูดมาเดี๋ยวนี้”

“วะ...ไวน์แค่ดีใจที่ได้ยินว่างานพรุ่งนี้จะมีนักฟุตบอลจากอังกฤษมาร่วมงานด้วย เลย...กรี๊ดดังไปหน่อยค่ะ”

“พรรณลดา!” วรรณาเรียกชื่อเต็มของลูกสาวเช่นนี้ทุกครั้งที่โกรธจัดหรือในตอนที่ลูกทำอะไรไม่เข้าท่า เดือดร้อนภัทรษาเข้ามากอดและพาเดินเข้าไปในครัวเช่นเดิม อย่างน้อยก็ให้วรรณาอารมณ์เย็นลงกว่านี้ เมื่ออธิบายหรือหาเหตุผลแก้ต่างก็จะได้เข้าใจง่ายขึ้น

“ไม่มีอะไรหรอกค่ะน้าณา น้องแค่ดีใจตามประสาพอรู้ว่าจะได้เจอคนที่ชื่นชอบหลายคนเท่านั้นเอง อย่าดุแกเลยนะคะ” ภัทรษาบอกพลางเอื้อมมือไปลูบต้นแขนขึ้นลงอย่างเอาใจ

“มันใช้ได้ที่ไหน ดูซิ! กรี๊ดเสียได้ยินไปสามบ้านแปดบ้านเพราะดีใจที่จะได้เจอผู้ชายเนี่ยนะ แม่ก็อยู่ในบ้านทั้งคน รู้จักคิดเกรงอกเกรงใจกันบ้างไหม” ตำหนิเสียงดังและรู้ว่าลูกสาวที่อยู่อีกห้องต้องได้ยิน

ภัทรษาเข้าใจทั้งผู้เป็นน้าและญาติผู้น้อง รู้ดีว่าวรรณาต้องพบกับความรักที่ไม่สมหวัง ถูกพ่อของพรรณลดาทอดทิ้งไปหลายปี ก็เป็นธรรมดาที่จะหวงลูกสาวและไม่ชอบใจเอามากๆ ที่เห็นกิริยาเช่นนั้น “น้องก็แค่ดีใจตามประสาล่ะค่ะ ไม่ได้มีอะไรเกินเลยหรอก น้าณาอย่าโมโหเลยนะคะ ไวน์ยังเด็กอาจจะดีใจจนเก็บอารมณ์ไม่อยู่เท่านั้นเอง”

วรรณาละสายตาจากกระทะมาตอบโต้หลานสาว ในขณะที่มือยังทำงานอย่างคล่องแคล่ว “เรียนมหาวิทยาลัยปีสุดท้ายแบบนี้ไม่เรียกเด็กแล้วนะ น้ารู้ว่าไวน์แค่ดีใจเกินเหตุไปหน่อย แต่มันใช่เรื่องไหมที่กรี๊ดกร๊าดบ้านแทบแตกด้วยเรื่องแค่นี้ ไม่เกรงใจแม่ไม่เกรงใจพี่ก็ต้องเกรงใจบ้านใกล้เรือนเคียงบ้าง เขาจะหาว่าน้าไม่รู้จักอบรมสั่งสอน”

ระหว่างที่วรรณาบ่นไปเรื่อยๆ สายตาของภัทรษาก็เหลือบไปเห็นว่าน้องสาวส่งสัญญาณบางอย่างจึงได้แต่ถอนหายใจและทำตามเพราะน้อยคนนักที่จะต้านทานสายตาออดอ้อนของพรรณลดาได้

“น้าณาไปนั่งรอที่โต๊ะอาหารดีกว่า อารมณ์จะได้ดีขึ้น เดี๋ยวที่เหลือวุ้นจะจัดการเองนะคะ” ภัทรษาตะล่อมด้วยน้ำเสียงเอาใจและแย่งเอาตะหลิวในมือมาถือไว้เสียเอง

แม้ว่าวรรณาจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่แต่ก็ยอมเดินออกจากห้องครัว มองผ่านลูกสาวที่ยืนตัวลีบ ทำหน้าสำนึกผิดแล้วไปทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ของโต๊ะอาหารขนาดย่อม

ภัทรลดาจัดการตักผัดผักบุ้งไฟแดงใส่จานและตักอาหารที่ทำเสร็จแล้วถือออกมาวางบนโต๊ะอาหาร หากต้องกลั้นยิ้มจนปวดกรามเมื่อเห็นว่าพรรณลดากำลังใช้ลูกอ้อนงอนง้อผู้เป็นแม่ที่นั่งหน้าตึงปล่อยให้ลูกสาวคุกเข่าตรงหน้า แล้ววาดแขนทั้งสองข้างกอดเอว ซุกไซ้ศีรษะกับทรวงอก ปากพร่ำสัญญาว่าจะไม่ทำตัวน่าโมโหเช่นนี้อีก

ภัทรษาเดินกลับเข้าไปในครัวอีกครั้งและออกมาพร้อมโถข้าวสวยร้อนๆ ทว่ารอยยิ้มของน้องสาวที่ส่งมาให้นั้น ก็ทำให้เธอรู้ว่างอนง้อผู้เป็นแม่ได้สำเร็จแล้ว

“พี่วุ้นนั่งลงเลยน้า... เดี๋ยวไวน์จะตักข้าวให้เอง” พรรณลดาบอกพลางดันร่างอ้อนแอ้นของพี่สาวให้นั่งลงบนเก้าอี้

“ทำตัวดีๆ ให้เสมอต้นเสมอปลายหน่อยเถอะ นับวันโตขึ้นเรื่อยๆ นะน้องไวน์ เราก็รู้ว่าแม่ไม่ชอบเห็นเด็กผู้หญิงไปคลั่งไคล้พวกดารา นักกีฬาอะไรอย่างนั้น เป็นผู้หญิงต้องทำตัวให้มีคุณค่า” วรรณาสอน

“ค่า... ไม่ทำอีกแล้วค่า...” สาวน้อยวัยกระเตาะรับปากเสียงสดใสแล้วนั่งประจำที่ของตน เตรียมพร้อมรับประทานอาหาร ทว่าคำพูดต่อมาของผู้เป็นแม่ทำให้อาหารที่ตักใส่ช้อนจ่อค้างที่ริมฝีปาก!

“พรุ่งนี้แม่จะไปกับพี่วุ้นเอง น้องไวน์ไปเฝ้าร้านก็แล้วกัน” วรรณาบอกและก้มลงจัดการกับอาหารตรงหน้า

“มะ...ไม่ได้นะ” พรรณลดาครางเสียงเบาหวิวจนปลายประโยคแทบจะกลืนเข้าไปในลำคอเมื่อเห็นสายตาคาดโทษของผู้เป็นแม่

“จะไม่สะดวกน่ะสิคะน้าณา” ภัทรษารีบห้ามทัพและอธิบายด้วยเหตุผลอันแท้จริง “ไม่ใช่ว่าวุ้นไม่อยากให้น้าณาไปนะ แต่คุณนิก้าเธอตั้งใจจะให้วุ้นกับไวน์ไปอธิบายเรื่องขนมกับแขกชาวต่างชาติ ถ้าน้าณาไปกลัวว่าจะไม่สะดวกสิคะ”

โอ... นางฟ้าของน้อง พรรณลดาคร่ำครวญในใจขณะที่มองพี่สาวไม่ต่างจากนางฟ้าลงมาโปรด แตกต่างกับผู้เป็นแม่ซึ่งกำลังนิ่งงันกับเหตุผล แต่เพียงเสี้ยววินาทีก็พูดโพล่งออกมาอีกครั้ง

“งั้นก็ไปด้วยกันหมดนี่แหละ”

“อ้าว แล้วใครจะเปิดร้านละคะ” พรรณลดาถามแม่กลับทันท่วงที

“ปิดสักวัน โทษเราเองที่ทำให้แม่ไม่ไว้ใจ”

“แต่พรุ่งนี้วันเสาร์ แม่เคยบอกว่าเสาร์-อาทิตย์ขายดีที่สุด ของก็เตรียมไว้แล้วจะไม่เปิดร้านเหรอคะ” พรรณลดาโน้มน้าวใจแม่สุดฤทธิ์

“เอาอย่างนี้ดีไหมคะ พรุ่งนี้เราก็เปิดร้านตามปกติ วุ้นเสียดายของที่เตรียมเอาไว้ ส่วนงานแต่งตอนเช้าก็ให้ไวน์ไปด้วยรับรองว่าวุ้นจะดูแลน้องอย่างดี ไม่ให้คลาดสายตา ส่วนตอนเย็นวุ้นตั้งใจจะไปคนเดียวอยู่แล้วเพราะแขกไม่ถึงห้าสิบคนคงไม่มีอะไรยุ่งนัก แต่ที่ร้านลูกค้าน่าจะเยอะ” ภัทรษาบอกด้วยความจริงและทำให้วรรณานิ่งงันไปครู่ใหญ่ รู้ดีว่าน้าต้องยอมเพราะเหตุผลของตน จึงแอบเลื่อนมือไปจับมือของน้องสาวเป็นเชิงปราม

“เอาอย่างนั้นก็ได้” วรรณาบอกออกมาในที่สุด มองหน้าลูกและหลานสลับกันไปมาราวกับจะหาความมั่นใจ

“เสร็จงานแล้วไวน์จะรีบไปหาแม่ที่ร้านเลยค่ะ” พรรณลดาบอกด้วยน้ำเสียงราบเรียบ สวนทางกับความดีใจที่ซ่อนเอาไว้ หากไม่มีมือของพี่สาวเอื้อมมากุมเอาไว้คงจะกระโดดโลดเต้นเป็นแน่ “จริงๆ นะคะ แม่น่าจะเชื่อไวน์บ้าง ที่ผ่านมาไวน์ไม่เคยทำตัวเสียหายให้แม่ผิดหวังสักหน่อย”

มีความน้อยใจเจืออยู่ในน้ำเสียงออดอ้อนนั้น แน่นอนว่าผู้เป็นแม่รับสิ่งที่ลูกสื่อสารออกมาได้เป็นอย่างดี ทั้งยังฉุกใจคิดได้ว่าแม้จะชอบทำตัวให้โมโหอยู่เรื่อยๆ แต่ก็ไม่เคยประพฤติตัวนอกลู่นอกทาง การเรียนดีและไม่เคยเกเร หากมันก็ไม่ยุติธรรมที่เธอจะเอาความผิดพลาดของผู้ชายคนหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นกับตนในอดีต มาตัดสินชีวิตลูกเช่นนี้

“เอาล่ะ ทานข้าวเถอะเดี๋ยวเย็นแล้วจะไม่อร่อย พรุ่งนี้ก็เอาตามที่วุ้นพูดก็แล้วกัน” วรรณาสรุปออกมาในที่สุด

จากนั้นบรรยากาศในโต๊ะอาหารก็กลับมาเป็นปกติเช่นทุกวัน ในเมืองหลวงอันเต็มไปด้วยการเอาตัวรอด แก่งแย่งชิงดี แต่ตรงหน้านี้กลับทำให้ภัทรษาอบอุ่นใจ คลายความคิดถึงพ่อและแม่ซึ่งใช้ชีวิตอยู่ต่างจังหวัด

ภัทรษา บริบูรณ์กุล หรือวุ้น อายุ 25 ปี เป็นลูกสาวเพียงคนเดียวที่เข้ามาเรียนปริญญาตรีในเมืองหลวงของประเทศ สองปีหลังจากที่เข้าทำงานในบริษัทแห่งหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดี หญิงสาวตัดสินใจลาออกและเข้าคอร์สเรียนทำการขนมไทยชนิดต่างๆ ลองผิดลองถูกจนสร้างสูตรขนมไทยของตนขึ้นมาจึงตัดสินใจเปิดร้านขนมเล็กๆ โดยใช้ชื่อว่า ศาลาขนมไทย

เมื่อกิจการดำเนินไปได้อย่างดี ลูกค้าติดใจในรสมือ ภัทรษาจึงชักชวนให้วรรณาผู้เป็นน้า ซึ่งมีฝีมือในการทำขนมหวานไทยประเภทน้ำกะทิ แกงบวดต่างๆ เดิมขายในตลาดต่างจังหวัดเข้ามาร่วมกันทำให้ร้านศาลาขนมหวานกลายเป็นที่กล่าวขานของผู้คนที่อาศัยอยู่ในย่านนี้ ความฝันแรกของเธอเป็นจริงขึ้นมาแล้ว ทว่าภัทรษากลับอยากเก็บเงินสักก้อนพอที่จะกลับไปเปิดร้านขนมหวานอีกสักแห่งในจังหวัดบ้านเกิด ซึ่งบัดนี้พ่อและแม่ของเธอยังอาศัยอยู่ที่นั่น ผู้เป็นพ่อนั้นเพิ่งเกษียณจากข้าราชการครู ส่วนแม่ยังต้องทำงานต่อไปอีกหนึ่งปี หญิงสาวตั้งใจจะกลับไปดูแลท่านในยามแก่ชราด้วยตัวเอง

หลังอาหารเย็นสามสาวอายุต่างวัยช่วยกันจัดเรียงขนมหวานลงในถาดที่มีใบตองจับจีบ เป็นระเบียบ สวยงาม น่ารับประทานยิ่งนัก ทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยก่อนห้าทุ่ม วรรณาจึงไล่ให้สองสาวไปอาบน้ำแล้วรีบเข้านอนเพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นตั้งแต่เช้ามืด ทั้งยังเป็นงานสำคัญและเป็นครั้งแรกที่จะได้ต้อนรับคนสำคัญระดับโลก แม้เธอเองจะไม่สนใจและไม่เคยรู้มาก่อนว่า นักฟุตบอลอาชีพในต่างประเทศนั้นโด่งดังและมีผู้คนคลั่งไคล้ยิ่งกว่าดาราดังๆ บางคนเสียอีก...

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา