พิษเพลิงสิเน่หา
เขียนโดย ศิริพารา
วันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 เวลา 15.46 น.
แก้ไขเมื่อ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2558 11.44 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) พิษเพลิงสิเน่หา ตอนที่ 1 100%
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความตอนที่ 1
ลอนดอน ประเทศอังกฤษ
ลอนดอนดาร์บี้แมตช์นัดปิดฤดูกาลเริ่มต้นขึ้นด้วยความฮึกเหิมของกองเชียร์ทีมเจ้าถิ่นซึ่งมีสนามแข่งขันอันยิ่งใหญ่ตั้งอยู่ในเขตฟูแล่ม พวกเขามีคะแนนรวมเสมอกับทีมคู่แข่งที่ผลัดกันขึ้นมารั้งตำแหน่งจ่าฝูงอยู่หลายครั้ง แต่เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมานั้นทีมคู่แข่งที่มีคะแนนคู่คี่สูสีกันมาตลอดทั้งซีซั่นโชว์ฟอร์มนัดสุดท้ายได้อย่างน่าผิดหวังด้วยการพ่ายแพ้ให้กับทีมท้ายตารางอย่างหมดรูป
กองเชียร์ของทีมเจ้าบ้านจึงถือโอกาสฉลองชัยชนะก่อนที่เกมในนัดสุดท้ายนี้จะเริ่มต้นเสียด้วยซ้ำ เพราะผลการแข่งขันเพียงแค่เสมอ ก็จะทำให้ทีมของพวกนี้ได้ครองถ้วยรางวัลสูงสุดของประเทศอังกฤษแล้ว นักเตะดาราดังในทีมหลายคนยังโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม
นาทีที่ 85 เสียงนกหวีดดังขึ้นพร้อมกับเสียงแฟนๆ เต็มความจุของสนามเฮลั่นเมื่อ รามอส รูบิโอ สามารถยิงลูกฟรีคิกในระยะยี่สิบห้าหลาเข้าไปกระทุ้งตาข่ายด้วยเท้าขวาข้างถนัด สกอร์จอยักษ์ด้านบนแสดงผลการแข่งขัน 3 – 0 เสียงโฆษกสนามยิ่งลากเสียงชื่อของรามอสยาวอย่างเร้าใจ กระตุ้นให้แฟนบอลแสดงความดีใจออกมาเต็มที่
ในขณะที่เจ้าตัววิ่งมาสวมกอดกับเบเนทาร์ กองหน้าตัวเป้าของทีม แต่ในการทำประตูครั้งนี้เขาเป็นคนลากเลื้อยลูกฟุตบอลมาก่อนจะถูกคู่ต่อสู้เข้าสกัดบอลจากด้านหลังอย่างน่าเกลียด ผู้ตัดสินจึงต้องเป่าฟาล์วและเริ่มเกมอีกครั้งด้วยการตั้งเตะลูกฟรีคิก
“เยี่ยมมากไอ้หนู” เบเนทาร์ตบหลังเพื่อนไม่เบานักเพราะมันคือการแสดงความยินดีที่ในเกมปิดฤดูกาลนี้รามอสเหมาคนเดียวทั้งสามประตู มันเป็นแฮตทริกแห่งความทรงจำหนึ่งในชีวิตการเป็นนักเตะอาชีพ
“วู้ว...” รามอสโห่ร้องออกมาด้วยความดีใจ เขาวิ่งไปขอบสนามจูบที่กำปั้นของตัวเองแล้วทุบอย่างหนักแน่นลงบนหน้าอกข้างขวาซึ่งมีตราสโมสรอันยิ่งใหญ่นี้ประทับอยู่ เสียงกรีดร้องด้วยความดีใจของแฟนบอลยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ จนยิ้มและกวาดสายตาเก็บภาพประทับใจนั้นไว้ในความทรงจำ
ไม่นานนักผู้เล่นทุกคนก็ต้องเดินมาประจำตำแหน่งเพื่อเริ่มเกมใหม่อีกครั้ง ทว่าเวลาการแข่งขันพร้อมทดเวลาบาดเจ็บอีกแปดนาทีที่เหลืออยู่นี้ ทีมเยือนก็ไม่ได้เล่นอย่างถอดใจ พวกเขายังทำเกมรุกและตั้งรับอย่างเหนียวแน่นแต่ทุกเกมการแข่งขันย่อมมีจุดบอดและวันนี้ทีมเจ้าบ้านก็สามารถค้นพบจุดบอดของพวกเขา
เสียงเป่านกหวีดของผู้ตัดสินดังขึ้นเป็นครั้งสุดท้ายของเกมพร้อมกับเสียงโห่ร้องด้วยความดีใจของผู้ชนะ มันเกิดขึ้นพร้อมๆ กับความเศร้าใจ ห่อเหี่ยวใจของผู้แพ้แต่อีกไม่นานผู้แพ้จะเยียวยารักษาตัวเองแล้วลุกขึ้นมาสู้ใหม่อีกครั้ง นี่ต่างหากคือสปิริตของนักกีฬาและมันคือเสน่ห์ของเกมลูกหนังระดับโลกที่ผู้คนต่างหลงใหลคลั่งไคล้
แสงแฟลชพึ่บพั่บของสื่อมวลชนที่รอสัมภาษณ์นักเตะของสโมสรฟุตบอลชื่อดังแห่งหนึ่งในลอนดอน ทำให้นักฟุตบอลที่ทยอยเดินเข้ามาในส่วนที่สโมสรจัดไว้เป็นมุมให้สัมภาษณ์สั้นๆ หลังการแข่งขันเต็มไปด้วยสื่อมวลชนและนักเตะที่โชว์ฟอร์มได้ร้อนแรงในแมตช์การแข่งขันที่เพิ่งสิ้นสุดลง
ทว่าร่างสูงใหญ่ของหนุ่มลูกครึ่งสเปน-อังกฤษ ของรามอส รูบิโอ ก็เดินเข้ามาหลังสุดเพราะแมตช์ที่เพิ่งผ่านพ้นไปเขาสามารถทำแฮตทริกได้จึงต้องถ่ายรูปกับบรรดาแฟนฟุตบอลที่อยู่ในสนามและเดินผ่านเข้ามาในส่วนนี้เป็นคนท้ายๆ
“รามอสมาแล้ว” เสียงของนักข่าวคนหนึ่งดังขึ้น จากนั้นบรรดานักข่าวและช่างภาพก็กรูกันเข้าไปหานักเตะที่โชว์ฟอร์มได้ร้อนแรงที่สุดในพรีเมียร์ลีก ร้ายไปกว่านั้นข่าวส่วนตัวของเขาเกี่ยวกับการถือหุ้นในสโมสรต้นสังกัดของเขานี้ก็ยังร้อนแรงไม่แพ้ลีลาเฉียบขาดในสนาม
“คุณโชว์ฟอร์มดียอดเยี่ยมอย่างนี้เป็นเพราะว่าได้รับโอนหุ้นของสโมสรรึเปล่าคะ?” เสียงนักข่าวสาวคนหนึ่งดังขึ้น
คำถามด้วยน้ำเสียงชัดถ้อยชัดคำทำให้นักเตะหนุ่มที่กำลังอารมณ์ดีสุดขีดลดระดับลงมาอย่างน่าใจหาย แต่ก็ต้องเก็บอาการเอาไว้อย่างถึงที่สุดก่อนจะไหวหัวไหล่และตอบออกไปด้วยน้ำเสียงยียวน “งั้นต้องลองให้บิล เกตส์ หรือไม่ก็วอร์เรน บัฟเฟตต์ มาเตะฟุตบอลดูจะได้รู้ว่าตรรกะที่คุณใช้มาตั้งคำถามกับผมนี่จริงไหม”
คำตอบที่ทำให้คนถามหน้าม้านและเสียงอื้ออึงของนักข่าวก็ดังขึ้น หลายคนหันไปมองหน้าคนตั้งคำถามอย่างขบขันเพราะเล่นไปตั้งคำถามงี่เง่ากวนอารมณ์ก็สมควรแล้วที่ต้องได้รับคำตอบที่ทำให้ตัวเองดูเหมือนคนไร้ความคิดเช่นนี้
บิล เกตส์เป็นเจ้าของธุรกิจไมโครซอฟท์ ส่วนวอร์เรน บัฟเฟตต์เป็นนักลงทุนชื่อดังของโลก แน่นอนว่านิตยสารฟอร์บส์จัดอันดับให้ทั้งคู่เป็นมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยติดอันดับหนึ่งในห้าของโลก รามอสต้องการชี้ให้เห็นว่าถ้าการโชว์ฟอร์มอันยอดเยี่ยมของเขานั้นเป็นผลมาจากการได้รับโอนหุ้นของสโมสรแห่งนี้แล้วล่ะก็ มหาเศรษฐีทั้งสองของโลกคงจะทำเรื่องรอบตัวในโลกนี้ได้อย่างง่ายดาย อันที่จริงในโลกนี้ไม่มีใครเก่งกาจไปเสียทุกเรื่องมันต้องขึ้นอยู่ที่ความถนัด ความสนใจและการฝึกฝนเท่านั้น พรสวรรค์เป็นสิ่งที่ติดมากับตัวแต่ถ้าขาดการฝึกฝนให้เชี่ยวชาญ ช่ำชอง พรวิเศษที่ติดตัวมานี้ก็อาจจะเลือนหายไปง่ายๆ
ทว่ารามอสยังไม่รามือง่ายๆ เขายังต้องการให้นักข่าวใช้วิจารณญาณในการตั้งคำถามให้มากกว่านี้ “หรือถ้ามันเป็นจริงอย่างที่คุณว่า ผมมั่นใจเหลือเกินว่าคงไม่มีสโมสรฟุตบอลไหนที่มีความสามารถจ่ายค่าเหนื่อยให้นักธุรกิจที่มีผลประกอบการมหาศาลขนาดนั้น”
“งั้นเปลี่ยนคำถามใหม่” นักข่าวคนเดิมพูดโพล่งขึ้น หลังจากที่ปล่อยให้หลายคนมองตนด้วยสายตาประหลาดอยู่พักใหญ่ “มีข่าวแว่วออกมาว่าการที่คุณสามารถกลับมาลงเล่นหลังจากที่ถูกพักไปหลายนัดโดยไม่มีสาเหตุ แท้จริงแล้วเป็นเพราะคุณมีใจให้กับพี่สะใภ้ของคุณใช่ไหมคะ?”
ไม่เพียงแต่ไม่ใช้วิจารณญาณให้มากขึ้นแต่คำถามที่หลุดออกจากปากเธอทำให้รามอสโกรธจัดไม่ต่างจากเอาปรอทจุ่มลงในน้ำเดือดจัด
“ถ้าเป็นอย่างที่คุณว่าจริง ทิโมธีคงไม่โง่โอนหุ้นให้ผมหรอกมั้ง” รามอสโต้กลับทันควัน สีหน้าและแววตาเกรี้ยวกราดก็บ่งบอกว่าเขากำลังจะควบคุมตัวเองไม่ได้ “เขาคงถีบหัวผมไปให้ไกล ไม่...”
“ขอโทษนะครับ ผมเป็นผู้จัดการส่วนตัวของรามอสและคงเป็นการดีถ้าพวกคุณจะปล่อยให้เขาไปพักและใช้เวลาที่เหลือถามในข้อสงสัยกับผมจะดีกว่า” อิสโก้เดินเข้ามาแทรกและผลักร่างสูงใหญ่ของรามอสไปด้านหลังเพราะรู้ดีว่าคำถามที่ดังขึ้นนั้นจงใจยั่วยุให้อารมณ์ขุ่นมัว อีกทั้งรามอสก็เป็นคนตรงๆ คงไม่อาจที่จะระงับอารมณ์ไว้ได้สักเท่าไหร่
“เฮ้... ไม่เอาน่าพวก นายก็รู้ว่านักข่าวจงใจยั่วอารมณ์” เบเนทาร์ กองหน้าตัวเป้าของสโมสรรีบเข้าไปดึงแขนรามอสออกมาจากการห้อมล้อมของนักข่าวแล้วปล่อยหน้าที่ทุกอย่างให้เป็นของอิสโก้
“ฉันรู้ แต่ฉันแค่จะอธิบายให้หล่อนได้หูตาสว่างขึ้นก็เท่านั้น” รามอสบอกและสะบัดตัวออกจากการเกาะกุมของเพื่อนเมื่อถูกกันตัวให้เดินออกมาจนถึงหน้าประตูห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า
ท่าทางหงุดหงิดใจดังกล่าวทำให้เบเนทาร์ ปล่อยตัวและชูมือทั้งสองข้างพร้อมถอยห่างอย่างเข้าใจในอารมณ์ของเพื่อนร่วมทีม “โอเคๆ แต่หน้านายมันไม่ได้บอกงั้นนี่หว่า... พร้อมจะเข้าไปตะคอกใส่หน้าหล่อนทุกเมื่อ”
“เออ!” รามอสรับคำอย่างเสียไม่ได้เมื่อได้ยินความจริงที่เพื่อนกองลงตรงหน้า จากนั้นจึงถอนหายใจออกมาหนักๆ กับข่าวการที่พี่ชายต่างบิดาของตนโอนหุ้นของสโมสรฟุตบอลอันยิ่งใหญ่แห่งนี้ มันทำให้เขากลายเป็นหัวข้อข่าวมาตลอดทั้งสัปดาห์ แน่นอนล่ะว่าข่าวที่ว่านี้สร้างทั้งชื่อเสียงและชื่อเสียให้เขาในคราวเดียวกัน
“ไม่เอาน่า... มูดดี้ไปก็เท่านั้น ปล่อยเวลาให้มันผ่านไปสักพักเดี๋ยวก็มีเรื่องใหม่เป็นกระแสมากลบเรื่องของนายเอง” เบเนทาร์ ปลอบใจพลางมองตามร่างของรามอสซึ่งเปิดล็อกเกอร์แล้วหยิบเอาผ้าขนหนูสีสะอาดพร้อมด้วยเสื้อผ้าชุดใหม่แต่จนแล้วจนรอดกลับทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ที่วางไว้หน้าล็อกเกอร์ส่วนตัว
รามอสแสยะยิ้มให้เพื่อนสนิทที่ทรุดตัวนั่งลงข้างๆ ทั้งที่ตั้งใจจะไปอาบน้ำเรียกความสดชื่นให้ร่างกาย แต่ดูเหมือนว่าเขากำลังอยากระบายเรื่องที่เกิดขึ้นให้ใครสักคนได้ฟัง
มีหรือที่เบเนทาร์ จะไม่เข้าใจท่าทีของรามอส “ฉันรู้ว่าทุกคนมีความลับ แต่เรื่องที่กำลังทำให้นายโกรธเป็นฟืนเป็นไฟอยู่แบบนี้คนเขารู้กันค่อนโลก แค่... ไม่รู้ว่าอย่างไหนมันจริงมันเท็จ”
“ไม่ได้จะปิด ฉันตั้งใจว่าจบเกมนี้แล้วค่อยไปหาอะไรดื่มกัน” รามอสตอบตามความตั้งใจที่แท้จริง
“งั้นก็รีบสิวะ มัวรออะไร” เบเนทาร์ บอกพลางจะชันตัวลุกขึ้นแต่ถูกฝ่ามือหนาของรามอสเลื่อนมาแตะที่หน้าขาเป็นเชิงห้ามเสียก่อน
รามอสไม่มีอารมณ์จะไปนั่งดื่มหรือสังสรรค์ที่ไหนอีก ตอนนี้เขาเพียงแค่อยากระบายเท่านั้น “หลังจากที่พี่ชายฉันคลี่คลายปัญหายุ่งๆ ทั้งแม่กับเรื่องความรักได้แล้ว ฉันกับเขาก็ปรับความเข้าใจกันแบบลูกผู้ชาย ทุกสิ่งอย่างมันง่ายไปหมด อาจจะเป็นเพราะพื้นฐานจิตใจของเขาไม่ได้เลวร้ายอะไร”
“จริงเหรอ... พี่ชายนายนี่คือทิโมธี แมคคินสันจริงเหรอ?” เบเนทาร์ ถามอย่างไม่อยากเชื่อ
รามอสพยักหน้ารับแทนคำตอบ
“ไม่น่าเชื่อว่าจะปรับความเข้าใจกันได้ง่ายแบบนี้ สองเดือนที่ผ่านมานายยังต้องนั่งดูฉันอยู่ข้างสนามทั้งที่กำลังโชว์ฟอร์มได้ยอดเยี่ยม ทั้งหมดนี่ก็เป็นเพราะคำสั่งของทิโมธีไม่ใช่เหรอ” บอกราวกับทบทวนความทรงจำให้เพื่อน
“ก็ช่าย...” รามอสลากเสียงยาวทำหน้าเมื่อยแต่ยังใจเย็นอธิบายต่อ “ทิมสารภาพว่าเขาเข้าใจผิด คิดว่าฉันรักกับนิก้าเลยตัดสินใจซื้อสโมสรนี้เอาไว้ อันดับแรกเพื่อแกล้งฉัน”
“โอ้โห! ฉันเข้าไม่ถึงความคิดของคนรวยแฮะ” ตอบในทำนองประชด
รามอส รูบิโอ มีพี่ชายต่างบิดาคือ ทิโมธี แมคคินสัน เขาคือนักธุรกิจอัจฉริยะแห่งอังกฤษ เจ้าของอู่ต่อรถยนต์ขนาดใหญ่ที่ร่ำรวยติดอันดับต้นๆ ของโลก ก่อนหน้านี้เขาควงอยู่กับนางแบบชื่อดังวทานิกา ซาฟินา แต่ก็มีอันให้ทั้งคู่เลิกรากันไป เมื่อความสัมพันธ์จบแต่ความรู้สึกต่อกันยังดำเนินไปเรื่อยๆ ทิโมธียังตามหึงหวงและเข้าใจว่ารามอสคือคนรักใหม่ของวทานิกา จึงต้องการปิดเส้นทางการงานของรามอสจึงเข้าซื้อสโมสรแห่งนี้แล้วสั่งไม่ให้รามอสลงแข่งขันติดต่อกันหลายแมตช์
“ก็ทำนองว่ารักมากก็หวงมาก ถ้าเราไม่สมหวังคนอื่นก็ฝันไปซะเถอะ” รามอสเปรยออกมาตามคำตอบของพี่ชายต่างบิดาที่เคยสารภาพกับเขาตรงๆ เช่นนี้ ซึ่งเขาเองก็ไม่เคยคิดว่าชีวิตนี้จะเจอผู้หญิงที่ทำให้เขาต้องเป็นบ้าเป็นหลังขนาดทิโมธีได้หรือเปล่า
“ถามหน่อยเถอะ ตอนนั้นนายรักนิก้าจริงๆ เหรอวะ?” เบเนทาร์ ถามอย่างอยากรู้
“เฮ้ย! บ้าน่ะสิ” รามอสปฏิเสธแต่เมื่อเห็นสายตารู้ทันของเพื่อนจึงถอนหายใจและเปิดเผยความจริงออกมา “ตอนแรกยอมรับว่าสนใจแต่พอเธอบอกกับฉันตรงๆ ว่าไม่ได้คิดเกินเลยมากกว่าเพื่อน ฉันก็โอเค้... แล้วตอนนั้นฉันก็รู้ด้วยว่าใจเธอยังรักแต่ทิม”
เบเนทาร์พยักหน้ารับเพราะดูท่าทางแล้วรามอสไม่มีช่วงเวลาที่ดูเหมือนคนอกหักเลยในระยะสามเดือนที่ผ่านมา “แล้วพี่นายก็เลยโอนหุ้นสโมสรให้ลบล้างความผิด แฮปปี้เอนดิ้งเลยนะเนี่ย”
“ถ้าไม่มีข่าวบ้าๆว่าฉันจะปลดผู้จัดการทีม ซื้อนักเตะคนนั้น ขายนักเตะคนนี้ตามอำเภอใจ เรื่องมันก็คงสำราญใจกว่านี้” รามอสบอกพลางคิดถึงข่าวโคมลอยไร้ซึ่งความจริงที่นักข่าวหลายสำนักต่างประโคมขึ้นมา “ร้ายไปกว่านั้น บางคนหาว่าฉันไม่มีประสบการณ์ ถึงขั้นเป็นหัวข้อพนันว่าฉันจะบริหารสโมสรล้มไม่เป็นท่าภายในระยะเวลากี่เดือนๆ ให้ตายสิ!”
เบเนทาร์เลิกคิ้วพลางเอื้อมมือไปตบบ่าเพื่อนหนักๆ อย่างให้กำลังใจ เพราะรู้ว่ารามอสสนใจการทำธุรกิจมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เห็นได้จากหนังสือที่เขาอ่านในยามว่างทั้งระยะหลังที่ได้รับการโอนหุ้นนี้ รามอสก็ยังฟอร์มทีมนักบริหารมือดีไว้หลายคน “อย่าไปใส่ใจสิวะ นักข่าวก็แค่อยากขายข่าว ส่วนพวกปล่อยข่าวก็อิจฉานายแค่นั้นเอง”
รามอสหันกลับไปสบสายตากับเพื่อนราวกับเพิ่งนึกบางอย่างขึ้นมาได้ ‘อิจฉา’ จริงสินะ แค่คำๆ นี้ทำไมเขาถึงต้องเอาความอิจฉาริษยาของคนอื่นมาแบกไว้กับตัวเอง เพียงแค่พิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็นว่าเขาเหมาะสมเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของสโมสรทั้งที่ยังเป็นนักเตะของสโมสรแห่งนี้ มันอาจจะไม่เคยเกิดขึ้นในหน้าประวัติศาสตร์วงการลูกหนังของประเทศใดในโลกมาก่อน แต่ก็ใช่ว่าจะเกิดขึ้นไม่ได้!
“แต่มีอยู่เรื่องที่ฉันข้องใจ” เบเนทาร์พูดขึ้น
“ว่ามา?...”
“ที่นายตัดใจจากนิก้าได้เร็วเพราะอยากจะเคลมเพื่อนของเธอที่ชื่อดาเรียรึเปล่า?”
รามอสกลอกสายตาขึ้นฟ้าอย่างระอาใจ มีอะไรที่จะรอดพ้นสายตาของเบเนทาร์บ้างไหม อิสโก้ผู้จัดการส่วนตัวของเขาเคยพูดเอาไว้ว่าสายตาอันเฉียบคมของเบเนทาร์ เป็นข้อได้เปรียบอย่างมหาศาลเมื่อสามารถประสานงานกับทักษะการเลี้ยงลูกฟุตบอลลากเข้าไปหน้ากรอบเขตโทษ เบเนทาร์จึงเป็นกองหน้าตัวเป้าที่น่าจับตามองที่สุดในเวลานี้
แต่นั่นมันใช่เรื่องที่จะใช้สายตาอันเฉียบคมกับเรื่องส่วนตัวของเขาหรือ รามอสได้แต่คร่ำครวญในใจแต่ก็ยอมตอบคำถามของเพื่อนในที่สุด “เคยขอเดตอยู่สามสี่ครั้ง แต่เธอเซย์โน”
“เฮ้ย! ล้อเล่นรึเปล่าวะ อย่างเราๆ เนี่ยจะมีผู้หญิงเซย์โน” เบเนทาร์ คิดเช่นนั้นจริงๆ เพราะตลอดเวลาที่เขาก้าวขึ้นมาเป็นนักเตะอาชีพก็แทบจะไม่เคยได้ยินคำปฏิเสธของผู้หญิงสักคน
รามอสพยักหน้ารับเนือยๆ และลุกขึ้นเต็มความสูง ก่อนจะเดินมุ่งหน้าไปยังห้องชาวเวอร์ซึ่งอยู่ลึกเข้าไปและมีประตูห้องแบ่งอย่างเป็นสัดส่วน แต่นักฟุตบอลซึ่งมีแต่ผู้ชายล้วนนั้นไม่ได้สนใจกับร่างกายเปลือยเปล่าของกันและกันสักเท่าไหร่ การที่นักเตะแต่ละคนจะเดินสวมเพียงชั้นในตัวเดียวหรือเปลือยกายล่อนจ้อนเดินไปมาในห้องที่ห้ามคนนอกเข้ามาเฉียดกลายเช่นนี้จึงเป็นเรื่องธรรมดาสามัญไปเสียแล้ว
“ทำไมต้องตอบแล้วเดินหนีด้วยวะ” เบเนทาร์ บ่นอย่างไม่จริงจังนักและเร่งฝีเท้าให้ทันเพื่อน “แล้วคืนนี้เราจะไปฉลองที่ไหน?”
รามอสเอื้อมมือไปเปิดน้ำอุ่นให้ไหลลงมาชำระล้างร่างกายก่อนจะหัวเราะกับตัวเองแล้วตะโกนตอบเพื่อนที่ยืนอาบน้ำอยู่ห้องข้างๆ “ก็คุยแล้ว สบายใจแล้วนี่หว่าจะต้องไปทำไม พรุ่งนี้ยังต้องเดินทางไปประเทศไทยอีก”
“หน็อย... ไอ้ลูกหมา! พอได้ระบายความในใจแล้วถีบหัวส่งเพื่อน แล้วแกจะไปประเทศไทยทำไม?”
“ทิมกับนิก้าจัดงานแต่งที่กรุงเทพฯ อีกสองวันนี้ ฉันในฐานะเพื่อนเจ้าบ่าวจะไม่ไปได้ไง ทุกคนในครอบครัวฉันก็ล่วงหน้าไปก่อนแล้ว”
“เออ... จริงสิ ฉันลืมเรื่องนี้ไปเลย ได้ยินว่าพี่ชายแกออกค่าใช้จ่ายในการเดินทางครั้งนี้ให้กับทุกคนที่จะไปร่วมงาน” เบเนทาร์ นึกถึงข่าวที่ได้ยินมาสักระยะแล้วจากนั้นจึงก้าวออกจากห้องน้ำโดยพันผ้าเช็ดตัวสีสะอาดตาไว้บริเวณสะโพกสอบไม่ต่างจากรามอสที่เพิ่งก้าวออกจากห้องน้ำพร้อมๆ กัน
“แต่ฉันคิดว่าคงมีไม่กี่คนหรอกเพราะช่วงพักปิดฤดูกาลแบบนี้ ใครๆ ก็อยากอยู่กับครอบครัว” รามอสบอกพลางเดินออกจากห้องชาวเวอร์มายังห้องแต่งตัว
“ก็ไม่แน่หรอก อย่าลืมนะว่ามีเวลาพักอีกนาน แค่ไปร่วมงานแต่งผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของสโมสรสักหน่อย มันจะเป็นอะไรไป ค่าใช้จ่ายอะไรก็ไม่ต้องเสียสักอย่าง มีแต่ได้กับได้” เบเนทาร์ บอกพลางตีคิ้วใส่ตาเพื่อน “แต่ถ้าไม่ไปนี่สิ อาจจะเสียบางอย่างโดยไม่รู้ตัว”
หึ... รามอสหัวเราะในลำคอกับความเข้าใจคิดของเพื่อนนักเตะ เหล่มองแล้วพูดด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง “งั้นนายก็อย่าลืมว่าฉันก็เป็นผู้ถือหุ้นคนหนึ่งในสโมสรเหมือนกัน”
“คร้าบบบ คืนนี้ผมจะหิ้วอีหนูสุดฮอต โยกเก่งมาให้สัก...”
“ชอบเป็นแก๊งตั้งแต่เมื่อไหร่วะ แบร์ตี้” รามอสเรียกอย่างสนิทสนมแต่ก็ไม่วายจะยั่วประสาทจนได้
“ถ้าหมายถึงแลกคู่นี่ไม่เคย แต่ถ้าใช้ห้องร่วมกับคนอื่นนี่ลองมาแล้ว” ศูนย์หน้าตัวเป้าของสโมสร บอกหน้าตายและรู้ว่าคนฟังก็อยู่ในห้องเดียวกันด้วย แค่อยากจะเตือนความจำมันสักหน่อย หมู่นี้ดูเหมือนว่าจะทำตัวดีขึ้นมาโดยไม่รู้สาเหตุ
รามอสตั้งใจว่าจะรีบกลับบ้าน เตรียมเดินทางข้ามซีกโลกเพราะรู้ดีว่าหลังการแข่งขันแล้วยังต้องเดินทางไกลหลายชั่วโมงจะทำให้เขาเหนื่อยล้าสักเพียงใด แต่สุดท้ายก็ทนเสียงรบเร้าของเบเนทาร์ไม่ไหว คืนนั้นนักเตะหนุ่มของสโมสรชื่อดังทั้งสองคนนั่งดื่มในบาร์สุดหรูที่มีแต่ผู้มีอันจะกิน นักแสดงและเซเลบริตี้ใช้บริการ
แน่นอนว่าค่ำคืนนี้จบลงด้วยความเร่าร้อนกับเซเลบริตี้สาวสวยที่นิยมมีความสัมพันธ์แบบวันไนต์สแตน ไม่มีความรัก ไม่มีข้อผูกมัดมีเพียงความสุขและสนุกร่วมกันเท่านั้น
รามอส รูบิโอ นักเตะหนุ่มวัย 27 ปี สัญชาติสเปน มีพ่อเป็นชาวสเปนผู้หลงใหลในเกมฟุตบอลแต่น่าเสียดายที่ไม่มีโอกาสได้เห็นลูกชายเพียงคนเดียวกำลังโด่งดังและเป็นนักเตะระดับโลกที่ผู้คนกล่าวขานถึงด้วยความชื่นชม เขามีแม่เป็นชาวอังกฤษผู้มีใบหน้างดงาม จึงไม่น่าแปลกใจว่าเพราะเหตุใดนักเตะหนุ่มผู้นี้ถึงได้มีครบทั้งรูปสมบัติและคุณสมบัติ ใบหน้าหล่อเหลา รูปร่างสูงใหญ่ กล้ามเนื้อแน่นตึงอุดมสมบูรณ์เฉกเช่นนักกีฬาซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญคอยดูแลทั้งเรื่องอาหารการกินและการออกกำลังกายอย่างเข้มงวด
หากหลายคนเรียกความเก่งกาจที่ติดตัวเขามาว่าพรสวรรค์ รามอสนั้นไม่ค่อยจะเห็นด้วยกับความคิดนี้สักเท่าไหร่ มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นแหละที่รู้ว่าเขาต้องใช้ความอดทน บากบั่น ขยันในการฝึกซ้อมสักแค่ไหนถึงจะก้าวขึ้นมายืนแถวหน้าของการเป็นนักเตะอาชีพเช่นนี้
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ