Destiny of Time โชคชะตาแห่งกาลเวลา
เขียนโดย Huzure
วันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 เวลา 00.55 น.
แก้ไขเมื่อ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2558 15.15 น. โดย เจ้าของนิยาย
33) คุณค่าของชื่อเสียงและเกียรติยศ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ(ห้องสมุดโรงเรียนมาเจสติกวิทยา 12.25)
............
............
ทุกคนหันมามองที่ฉันที่อยู่ห้องสมุด แม้แต่เนลกับอั้มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามฉันก็ยังอึ้งรับประทานไม่ต่างกัน
นั่นก็เพราะว่า
บนโต๊ะของฉันมีหนังสือเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์กองพะเนินอยู่ไม่ต่ำกว่า 20 เล่ม แถมทุกเล่มฉันอ่านด้วยเวลาไม่ถึง 5 นาที
นั่นก็เพราะฉันจดจำเรื่องราวต่างๆในหนังสือได้ค่อนข้างแม่นยำ เป็นผลสืบเนื่องในฐานะตัวแทนผู้เชื่อมต่อเวลา
“เอ่อ... รินทร์... ไหนตอนนั้นบอกว่าจะไม่ทำเรื่องพวกนี้แล้วไง?” (เนล)
“เห? หมายถึงหนังสือนอกเวลาน่ะหรอ?”
“อื้อ...” (เนล)
“เห็นเธอไล่อ่านตั้งเยอะตั้งแยะแบบนี้ มีเหตุผลอะไรรึเปล่า?”
“ก็...... ไม่มีอะไรเป็นพิเศษหรอก แค่อยากอ่านเฉยๆน่ะ”
(อย่างน้อยถ้าหนังสือฟิสิกซ์ไรพวกนี้มีข้อมูลเกี่ยวกับพลังพิเศษ หรือกลไกเวลา ก็น่าจะพอเป็นประโยชน์ให้กับเราได้บ้าง)
(อาจจะมีข้อมูล ทฤษฎี หรืออะไรสักอย่างบันทึกเรื่องวัตถุที่เป็นสื่อเวลาเหล่านี้ก็ได้)
ฉันก้มหน้าก้มตาอ่านไปเรื่อยๆ เพื่อนทั้งสองคนของฉันถึงกับแปลกใจจนคุยซุบซิบกันเลยทีเดียว
“รินทร์แปลกไปเนอะ ว่ามะ?” (อั้ม)
“นั่นสิ... ตั้งแต่เมื่อวานก็รีบไปไหนกับมีนก็ไม่รู้” (เนล)
“และไหนจะกองหนังสือนั่นอีก ไม่ใช่แค่สนใจวิทยาศาสตร์ แต่กลับอ่านเร็วจนไม่น่าจะเป็นไปได้อีกด้วย” (เนล)
“......ที่ผ่านมา เกิดอะไรขึ้นกับเธอกันนะ?” (อั้ม)
พวกเขาทั้งสองคนเป็นห่วงฉันที่มีบุคลิกบางอย่างแปลกไปในสายตาของพวกเขา ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องผิดปกติอะไรสำหรับเรา
ฉันปิดหนังสือฟิสิกซ์เล่มล่าสุด ซึ่งใช้เวลาอ่านเสร็จไวมากเหมือนเดิมจนเนลกับอั้มทำหน้าอึนไปเลย
“อ่าน...จบอีกเล่มแล้วหรอ?”
“อื้อ...... แต่ว่า ไม่ได้ข้อมูลอะไรเลย”
“ข้อมูล?”
“ไ-ไม่มีอะไรหรอก เดี๋ยวฉันมานะ ไปเข้าห้องน้ำก่อน”
ฉันรีบวิ่งไปเข้าห้องน้ำ ทิ้งให้พวกเธอทั้งสองคนนั่งงงไปตามๆกัน
(ในห้องน้ำ)
*ซ่า ซ่า*
อะ นั่นเป็นเสียงฉันกำลังล้างมือเองแหละ
“เห้อ... พอในหัวคิดแต่เรื่องพวกนี้แล้วทำตัวแปลกๆทั้งวันเลย”
“พยายามหาข้อมูลยังไง ก็ไม่ได้เรื่องตามที่ต้องการเลยสักนิด แถมอีตาวอร์เรนยังช่วยอะไรไม่ได้อีก”
“แต่ก็อย่างว่าแหละ... พลังที่อยู่เหนือกว่าความรู้ของมนุษย์แบบนั้น จะไม่มีใครรู้จักก็คงจะไม่ใช่เรื่องแปลก”
(แต่ที่น่าแปลกจริงๆ......)
(ทั้งคนที่ชื่อว่าควอส หรือสองคนนั้นจากกลุ่มซิลเวอร์โลตัส รวมถึงฉันและวอร์เรน... พวกเราทุกคนล้วนแต่ก้าวข้ามเวลาขั้นพื้นฐานของมนุษย์ผ่านนาฬิกาที่มีทั้งนั้น)
(ถ้านาฬิกานี่คือสาเหตุของเรื่องลึกลับพวกนั้น......)
(จุดเริ่มต้นของมันจะเป็นยังไงกันนะ)
*ดึ่ง ดึง ดึ๊ง*
อ๊ะ นี่คือเสียงสัญญาณของโรงเรียนฉันเอง เวลามีสัญญาณนี้ แปลว่าทั้งโรงเรียนจะได้ยินเรื่องที่เตรียมจะประกาศ
“ขณะนี้ ขอให้นักเรียนและบุคลากรทุกคนอยู่แต่ภายในโรงเรียน หากมีกิจจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องออกไปภายนอกโรงเรียน ขอให้แจ้งแก่เจ้าหน้าที่ธุรการในการประสานงานด้วย ขอบคุณค่ะ”
นักเรียนในโรงเรียนทุกคนหัวเราะสนุกสนาน เพราะคิดว่าประกาศนี่เป็นเรื่องมาอำกันเล่น นักเรียนทุกคนไม่สามารถออกภายนอกโรงเรียนได้อยู่แล้ว เลยไม่ค่อยมีใครสนใจเรื่องนี้
แต่อั้มที่ได้ยินเสียงประกาศนั้น กำลังสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นภายนอกโรงเรียนรึเปล่า
“ประกาศเมื่อกี๊มันอะไรกันน่ะ?”
“หรือว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นข้างนอกโรงเรียน?”
ไม่นานนักก็มีนักเรียนคนหนึ่งตะโกนขึ้นมาลั่นห้องสมุด
“ทุกคน!! ดูข่าวนี่เร็ว!!!”
นักเรียนชายคนนั้นหยิบโทรศัพท์มือถือมาเปิดช่องทีวีที่กำลังรายงานข่าวด่วนที่เกิดขึ้นในละแวกใกล้เคียงกับโรงเรียนมาเจสติกวิทยา
ทุกคนพอรู้ว่าเป็นเรื่องใหญ่ ก็กรูกันมาดูข่าวที่เด็กคนนั้นเปิด ไม่เว้นแม้แต่บรรณารักษ์ห้องสมุด ส่วนเด็กนักเรียนบางคนเดินไปเปิดทีวีที่ปกติไม่ให้ใครใช้เพราะส่งเสียงรบกวนเพื่อติดตามข่าวสารเหมือนคนอื่นๆ
“ขณะนี้... มีชายฉกรรจ์จำนวน 5 คนบุกเข้ามาปล้นธนาคาร โดยจี้พนักงานไว้เป็นตัวประกันเพื่อแลกกับการหลบหนี”
“เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังปิดล้อมทางเข้าออกเพื่อไม่ให้คนร้ายหลบหนี และกำลังเจรจากับคนร้ายเพื่อยอมปล่อยตัวประกัน แต่ทางคนร้ายยืนกรานว่าจะต้องปล่อยพวกตนเท่านั้น”
“หากมีความคืบหน้ายังไง ทางเราจะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง”
“รายงานด่วนจาก นายกิตติ ทองสาย”
............
นักเรียนที่ตอนแรกหัวเราะคิกคักกันในตอนแรก เริ่มจะแสดงสีหน้ากังวลออกมา
“นี่มัน... หรือว่าจะเป็นแก๊งเดียวกันกับเมื่อ 2 วันก่อน”
“ต้องใช่แน่ๆ! แต่แก๊งนั้นมี 6 คนหนิ อีกคนหายไปไหน!?”
“ไม่รู้เหมือนกันแฮะ อาจหนีไปกบดานไม่ได้รวมอยู่ในกลุ่มนี้ก็ได้”
“ไม่คิดว่ามันจะกล้าก่อเหตุซ้ำอีกนะ คราวนี้พวกตำรวจคงไม่ปล่อยไปง่ายๆแน่”
“แต่น่ากลัวจังนะ... จุดเกิดเหตุอยู่ห่างกับที่นี่ไม่ถึง 400 เมตรเลยด้วยซ้ำ”
“ก็ว่าเมื่อกี๊เหมือนได้ยินเสียงรถตำรวจขับผ่าน นึกว่าหูแว่วไปเอง”
นักเรียนทุกคนคุยกันจนเริ่มจะวุ่นวาย บรรณารักษ์เลยบอกให้ทุกคนอยู่ในความสงบ และย้ำว่าโรงเรียนจะไม่ได้รับผลกระทบแน่นอน
“เนล! อั้ม! เกิดอะไรขึ้นน่ะ?”
ฉันพึ่งออกมาจากห้องน้ำ เลยไม่ทันได้รู้ว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น ถึงได้มีประกาศไปทั่วโรงเรียนแบบนี้
เนลที่เห็นฉันสงสัย เลยอธิบายเรื่องจากข่าวด่วนที่พึ่งออกเมื่อกี๊
“ธนาคารมหาพรสาขาใกล้โรงเรียนเรากำลังถูกปล้นน่ะ จากแก๊งโจรกรรม 5 คนที่เคยปล้นธนาคารอีกที่หนึ่งมาแล้วเมื่อ 2 วันก่อน”
อั้มยื่นโทรศัพท์ให้ฉันดูรายงานข่าวย้อนหลัง
“นี่ไงรินทร์ อันนี้เป็นรายงานด่วนไม่กี่นาทีที่แล้วนี่เอง สถานการณ์ตอนนี้คงยังวุ่นวายอยู่เหมือนเดิม”
“.........อย่าไปสนใจเลย ไม่มีเรื่องอะไรที่เราช่วยได้หรอก พวกเราเป็นแค่นักเรียน ม.ปลาย ธรรมดาเองนี่เนอะ ปล่อยให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเขาเป็นคนจัดการไปดีกว่า”
“อ-อื้ม”
ห้องสมุดตอนนี้กลับมาสงบ ไม่วุ่นวายเหมือนตอนแรกที่ฉันพึ่งออกมาจากห้องน้ำ แต่สำหรับฉันตอนนี้กำลังคิดเรื่องบางอย่างที่คนธรรมดาอย่างเนลกับอั้มไม่คิดกัน
(ไม่มีเรื่องอะไรที่เราช่วยได้หรอก... มันก็อาจจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะเนลกับอั้มเป็นเพียงคนธรรมดา... แต่ว่า...)
(เราควรจะปล่อยไปแบบนั้นแล้วจริงๆงั้นหรอ...... มันอาจไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับเรา แต่ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป... ถ้าหาก... เหตุการณ์มันบานปลายจนมาถึงบริเวณโรงเรียนที่เราอยู่แบบนี้แล้วล่ะก็)
*ปั้ง*
มีเสียงปืนดังขึ้นที่สนามหญ้าหน้าโรงเรียน ทุกคนแตกตื่นกันไปดูมากว่าเกิดอะไรขึ้นตรงนั้น
ฉันกับพวกเนลเองพยายามแทรกคนที่ยืนดูอยู่ตรงหน้าต่างจนเห็นเหตุการณ์ตรงนั้น
มีผู้ชายสวมแว่นตาดำกับผ้าปิดปากทึบจับนักเรียนผู้หญิงที่ดูเหมือนจะอยู่ชั้น ม.ต้น คนหนึ่งเป็นตัวประกัน
มือขวาของเขาถือปืนพกอยู่หนึ่งกระบอก เสียงปืนเมื่อกี๊คงเป็นเสียงที่เขายิงขึ้นฟ้าเป็นแน่
“อยู่เฉยๆซะนังนี่! ไม่อย่างนั้นฉันยิงไส้แตกไม่รู้ด้วยนะ”
เด็กคนนั้นร้องไห้ด้วยความกลัว ทุกคนเองก็แตกตื่นมาก อาจารย์ที่อยู่แถวสนามหญ้าหน้าโรงเรียนไล่ให้เด็กนักเรียนแถวนั้นหลบไป ก่อนจะพยายามไกลเกลี่ยกับคนๆนั้น
“ใจเย็นก่อนนะคะ! วางอาวุธและปล่อยตัวนักเรียนของเราด้วยเถอะค่ะ!”
อาจารย์คานิลีโอพยายามรวบรวมความกล้าไกล่เกลี่ยกับคนๆนั้น โดยอาจารย์คนอื่นเองก็พยายามขอร้องในแบบเดียวกัน
“ไม่ต้องมาเจรจา! บอกให้ตำรวจพวกนั้นปล่อยตัวพรรคพวกของฉันซะ! ไม่อย่างนั้นยัยนี่ไม่รอดแน่”
โจรคนนั้นเหวี่ยงเด็กที่อยู่ตรงแขนซ้ายของตัวเองจนเด็กคนนั้นร้องเจ็บออกมา แต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยตัวอยู่ดี
“ทำไมกัน... ทำไมถึงมีหนึ่งในคนร้ายมาอยู่ที่นี่ได้!?”
อาจารย์ผู้ชายแก่ๆคนหนึ่งตั้งข้อสงสัยขึ้นมา เพราะที่นี่อยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุพอตัว และไม่รู้เหตุผลว่าทำไมผู้ร้ายคนนั้นถึงเลือกที่นี่ ซึ่งอาจารย์คานิลีโอก็อธิบายให้อาจารย์คนนั้นฟัง
“เพราะที่นี่เป็นโรงเรียนยังไงล่ะคะ อาจารย์ธนกฤต... เจ้าพวกนี้คงวางแผนล่วงหน้าไว้แล้วว่าจะแบ่งกลุ่มเป็นสองกลุ่ม โดยกลุ่มหนึ่งวางแผนจี้ปล้นตามปกติ ส่วนอีกกลุ่ม หรือก็คือเจ้าหมอนี่ จะวางแผนจับตัวประกันเพื่อเพิ่มมูลค่าการต่อรองในการหลบหนีมากขึ้น!”
“ฮ่าฮ่าฮ่า! เก่งดีนี่ที่เดาแผนของพวกเราออก แล้วมันยังไงกันล่ะ! ยังไงพวกแกก็ต้องยอมฉันอยู่ดี”
“หรืออยากให้เด็กคนนี้ตาย ห๊า!!”
คนร้ายคนนั้นหัวเราะ พร้อมกับจ่อปืนขู่เด็กคนนั้นใกล้ขมับมากขึ้น
เด็กคนนั้นร้องไห้เรียกอาจารย์ให้ช่วยเธอ
“อาจารย์... ช่วย... ช่วยหนูด้วย!”
อาจารย์หลายคนไม่รู้ว่าจะทำยังไง ในตอนนั้นมีอาจารย์หนุ่มอีกคนหนึ่งที่ตัวสั่นด้วยความกลัวพูดอะไรบางอย่างออกมา
“แย่... แย่แน่ๆ... ขืนเกิดเรื่องแบบนี้ในโรงเรียนได้เป็นข่าวใหญ่แน่ๆ! ชื่อเสียงที่โรงเรียนอุตส่าห์สั่งสมมาต้องป่นปี้ไปหมดแน่--”
“หุบปากไปซะ ไอ้บ้า!!”
อาจารย์คานิลีโอตวาดใส่อาจารย์หนุ่มคนนั้นดังลั่นไปเกือบทั่วทั้งสนาม ซึ่งสร้างความตื่นตะลึงให้กับกลุ่มอาจารย์กันเองและแม้แต่คนร้ายนั่นด้วย
พร้อมกับเดินไปกระชากคอเสื้อของอาจารย์คนนั้นด้วยใบหน้าที่โมโหจัด
“แกเห็นชีวิตนักเรียนเป็นอะไร......”
“เป็นเพียงแค่ก้อนหินที่จะโยนทิ้งโยนขว้างไปง่ายๆแค่นั้นเองหรอ?”
“ชีวิตนักเรียนสำหรับแกมันมีค่าน้อยกว่าชื่อเสียงและเกียรติยศของโรงเรียนที่แกเคารพนักเคารพหนารึยังไงกัน!!?”
คำพูดของอาจารย์คานิลีโอทำให้คนๆนั้นร้องไห้ออกมา และพยายามยกมือไหว้ขอโทษเธอ
“ขอ-ขอโทษด้วยครับ!! ผม... ผมพูดไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์!”
“ไม่ต้องมาแก้ตัว!!”
“โอ๊ย”
หนุ่มคนนั้นถูกอาจารย์คานิลีโอผลักล้มลงกับพื้น ซึ่งครูชายหลายคนพยายามห้ามแล้วแต่ก็ไม่เป็นผล
“คนที่เห็นค่าชื่อเสียงเกียรติยศมากกว่าชีวิตของเด็กนักเรียนที่ผู้เป็นครูต้องปกป้องดูแล”
“อย่าได้เรียกว่าตัวเองเป็นครูอีกเลย”
พูดจบ อาจารย์คานิลีโอก็หันไปทางคนร้ายเพื่อขอต่อรองอะไรบางอย่าง
“ฉันมีข้อเสนอ”
“หืม... เธอคิดจะมาไม้ไหนกันล่ะ?”
อาจารย์เอามือทาบอก และขอร้องคนร้ายคนนั้น
“จับฉันเป็นตัวประกันแทนเด็กคนนั้นทีเถอะ!”
ทุกคนที่อยู่ตรงสนามหญ้าตื่นตะลึงกันหมด ทั้งนักเรียนและอาจารย์ หรือแม้แต่ผอ. ที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่ข้างบนอาคาร ก็กำลังวิ่งลงมาเพื่อห้ามอาจารย์คานิลีโอ
“อย่าทำแบบนั้นเลยครับ! ถ้าทำแบบนั้นมันก็ค่าไม่ต่างกันหรอก!”
“ใช่ค่ะ! ชีวิตของอาจารย์เองก็มีค่านะคะ! อย่าเอาชีวิตแลกชีวิตเลยค่ะ”
อาจารย์คานิลีโอนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนที่ผอ.จะเดินมาถึงพร้อมกับห้ามเธอเช่นเดียวกัน
“อย่าทำแบบนั้นเด็ดขาด คุณคานิลีโอ... จะชีวิตของครูหรือของนักเรียนมันก็มีค่าเท่ากันทั้งนั้น”
“ผมโทรเรียกตำรวจแล้ว อีกไม่นานก็คงจะมาแน่”
“......คุณคานิลีโอ?”
สิ่งที่ผอ.พูด ไม่ได้ทำให้ความคิดของเธอเปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย
“หน้าที่ของครู... คือปกป้องดูแลเด็กนักเรียน... เรื่องแค่นี้น่ะ...”
“ฉันยอมได้ค่ะ!”
อุดมคติของเธอทำให้อาจารย์หลายคนชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของเธอมาก แต่ทว่ามันไม่ได้ผลกับผู้ชายคนนั้นเลยสักนิด
“เหอะ! คิดจะแลกเปลี่ยนตัวประกันงั้นหรอ!? ฝันไปเถอะ!”
“ถ้าอยากจะแลกชีวิตนักเรียน ก็ต้องส่งนักเรียนมาแลกเซ่! ฉันไม่สนใจจะจับอาจารย์มาเป็นตัวประกันหรอกนะเฟ้ย”
บรรยากาศทั้งหมดเริ่มตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ คนร้ายไม่ยอมแลกเปลี่ยนเด็กคนนั้นกับอาจารย์คานิลีโอ เธอเจ็บใจที่ช่วยอะไรเด็กคนนั้นไม่ได้เลย
“งั้นให้ฉันเป็นตัวประกันแทน!”
ท่ามกลางเหล่าความตื่นตะลึงของคณาจารย์และนักเรียนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด...
ฉัน... อาสาเป็นตัวประกันแทนเด็กคนนั้น
เนลกับอั้มไม่รู้ว่าฉันเดินไปตั้งแต่เมื่อไร ส่วนมีนที่ดูเหตุการณ์อยู่ตรงหน้าห้องชมรมหัตถกรรมก็ไม่ได้แปลกใจมาก แต่ก็เป็นห่วงเรา (ในมือของเธอยังคงถือกล่องข้าวอยู่)
ผอ. เห็นฉันเดินมาใกล้ๆ ตอนนี้เขาไม่ได้ชักสีหน้าไม่สบอารมณ์เหมือนแต่ก่อน คงเพราะญาดาอธิบายเรื่องต่างๆให้เขาฟัง และเขาเองก็เข้าใจมุมมองของฉัน
เรื่องนั้นเอาไว้ทีหลัง ที่สำคัญตอนนี้คือบรรยากาศตึงเครียดที่เกิดขึ้น
อาจารย์คานิลีโอเดินมาจับไหล่ห้ามฉันไม่ให้ทำแบบนั้น
“นรินทร์! เธอพูดอะไรออกมาน่ะรู้ตัวรึเปล่า!?”
“อย่านะ อย่าทำเด็ดขาด! ชีวิตของเธอเองก็มีค่าเหมือนกันนะ”
*ปั้ง*
หมอนั่นยิงปืนขึ้นฟ้าสร้างความแตกตื่นให้กับคนแถวสนามหญ้า ยกเว้นฉันที่ไม่รู้สึกแปลกใจกับบรรยากาศแบบนี้
เพราะหนักกว่านี้ฉันก็เจอมาแล้ว
“เลิกทะเลาะกันได้แล้วโว้ย!”
“เธออยากจะเป็นตัวประกันมากนักใช่ไหม!?”
เจ้านั่นหันปืนมาทางฉัน ในขณะที่เด็กที่ถูกจับยังคงร้องไห้ไม่หยุด
“โอ้ว แม่สาวน้อย... เดินมาใกล้ๆพี่สิจ๊ะ”
แม้ว่าสถานการณ์จะตึงเครียดยังไง ก็ไม่ทำให้จิตใจฉันหวั่นไหวได้
ฉันเดินตรงไปอย่างช้าๆ อาจารย์พยายามตะโกนห้ามฉัน ซึ่งฉันไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อย นักเรียนทุกคนก็เริ่มเป็นห่วงและพูดถึงความบ้าเสียสติของฉันกันมากขึ้น
เนลกับอั้มเองก็คิดว่าฉันเสียสติไปแล้วเหมือนกัน
“นรินทร์เสียสติไปแล้วงั้นหรอ?”
“หยุดนะ!! รินทร์!”
ฉันเดินจวนใกล้จะถึงตัวของเจ้านั่น ตอนนี้ห่างเพียงแค่ 4 เมตรเท่านั้น
ราวกับเวลามันเดินช้าลง คงเพราะว่าฉันคำนวณเวลาทั้งหมดได้อย่างถี่ถ้วน ไม่มีช่องว่างเวลาที่ผู้คนมักมองข้าม
“เด็กดี... มาสิ...... และเดี๋ยวพี่จะปล่อยให้เป็นอิสระเอง”
(โกหก)
ฉันฟังยังไงก็รู้ว่าฉันไม่มีทางรอดอยู่แล้ว ผู้ชายคนนี้กำลังโกหก
เพราะว่า... ภาพที่ผู้ชายคนนี้จะฆ่าเด็กคนนั้นมันโผล่เข้ามาในหัวหลังจากฉันเดินมาตรงนี้...
(มันไม่คิดจะทำตามสัญญาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว... ถ้าพวกอาจารย์ทำตามเงื่อนไขที่มันขอมา)
(เด็กคนนั้น... ก็ต้องโดนฆ่าอยู่ดี)
ตรงห้องชมรมหัตถกรรม เพื่อนในชมรมของมีนเริ่มกังวลมากขึ้น เลยถามมีนเกี่ยวกับเรื่องของฉัน
“มีน... นรินทร์เพื่อนของเธอเป็นอะไรไป? เขาเสียสติไปแล้วงั้นหรอ?”
“ไม่หรอก......”
“เอ๋?”
“............รินทร์น่ะ... ไม่โดนคนเลวๆแบบนั้นจัดการได้หรอก”
............
ในวินาทีที่ตัดสินชะตาชวิตของเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง
ระยะห่าง 1 เมตรคือจุดชี้ขาดว่านรินทร์จะสามารถช่วยเด็กคนนั้นได้หรือไม่
ทันทีที่เธอเข้าถึงระยะตัวของผู้ชายคนนั้น...
เจ้านั่นเหวี่ยงผู้หญิงที่จับอยู่ออกไปทางด้านซ้าย และยังคงหันปากกระบอกปืนเล็งที่นรินทร์
ในจังหวะที่มันเหวี่ยงเด็กคนนั้นออกไป... นรินทร์เริ่มรุกด้วยการใช้ขาขวายันพื้นเพื่อดีดตัวออกไปด้านขวาของผู้ชายคนนั้น
ช่วงที่นรินทร์ดีดตัว ผู้ชายคนนั้นรู้ตัวอยู่แล้วว่าอาจโดนเล่นไม้นี้ เลยพยายามหันปากกระบอกปืนตามมา
*ปั้ง*
แม้เพียงแค่เสี้ยววิ ก็สามารถหลบหลีกทิศทางกระสุนได้ไม่ยาก
นรินทร์สามารถอ่านทิศทางที่กระสุนจะถูกยิงออกมา รวมถึงจุดที่นรินทร์จะต้องหลบได้
เธอใช้ขาซ้ายยันพื้นด้านหน้าไว้หลังจากที่ถีบส่งมาด้วยขาขวา เบรกตัวเองเพื่อให้กระสุนนั้นเฉี่ยวผ่านหน้าของเธอไปเพียง 10 เซนเท่านั้น
“เวรเอ๊ย!!”
เมื่อยิงไม่โดน ผู้ชายคนนั้นเริ่มลุกลี้ลุกลนแล้ว พยายามที่จะยิงอีกรอบ
แต่คราวนี้นรินทร์ไม่ปล่อยโอกาสนั้น หลังจากที่เธอยันพื้นด้านหน้าด้วยขาซ้าย เธอเขยิบตัวเองโดยใช้แรงจากขาขวาดีดตัวเองเข้าประชิด
“ฉันจะไม่ปล่อยให้แก”
ต่อจากนั้น เธอรวบรวมพลังทั้งหมดไว้ที่เท้าซ้าย
“ได้ทำอะไรตามใจชอบหรอก!!”
*ตุ้บ!!!*
เธอเตะเสยปลายคางของคนๆนั้นอย่างเต็มแรง จนปืนของเขากระเด็นหลุดออกมา ตาเหลือกมองขึ้นฟ้า
คนๆนั้นสลบทันทีเมื่อโดนเตะเข้าเต็มแรงขนาดนั้น
สายตาของทุกคนได้แต่จับจ้องด้วยความตะลึงกันเป็นแถบๆ ยกเว้นมีนที่ยิ้มอย่างภูมิใจ
............
............
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ