Kiss of Winter จุมพิตแห่งเหมันต์

-

เขียนโดย โรสลินดา

วันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2558 เวลา 17.01 น.

  4 chapter 1 คืนแห่งความเปลี่ยนแปลง
  0 วิจารณ์
  6,759 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2558 17.09 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) บทที่ 2 เมื่อนาฬิกาหยุดเดิน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
มีนาฟื้นขึ้นเพราะนำ้สะอาดที่กำลังถูกกรอกใส่ปาก เธอพบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงไม้เก่าๆ ในห้องเล็กอึดอัดคับแคบ มีเด็กชายผิวกร่ำแดดอายุราว 10 ขวบท่าทางแข็งแรงอยู่ใกล้ๆ เขาถือแก้วไม้กลึงอยู่ในมือยิ้มกว้างก่อนจะตะโกนลั่น
“แม่ แม่พี่สาวคนนี้ฟื้นแล้ว” ด้วยภาษาอังกฤษที่ถูกดัดแปลงเสียใหม่แต่มีนาสามารถเข้าใจได้ดี สักพักหญิงกลางคนใบหน้าหงิกหงอ ดวงตาเป็นเบ้าลึกโหลก็เดินเข้ามาในห้อง
“เจ้ามาจากที่ไหนกัน? หรือว่าเรือล่ม แต่ก็ไม่เห็นมีซากเรือนี่” หญิงคนนั้นถามห้วนๆ
“...ฉันอยู่ที่ไหนกันคะ!?” เธอที่อยู่ในชุดเก่ามีรอยปะชุนหลายจุดของเจ้าของบ้านค่อยๆพยุงตัวเองขึ้นนั่ง แต่แล้วก็ปวดหัวจิ๊ดจนต้องกุมขมับไว้

“เมืองชายฝั่งทิสก้า อาเมียร์ลูกชายของข้าไปเจอเจ้านอนสลบอยู่ที่ชายหาด เนื้อตัวงี้เปียกน้ำทะเลไปหมด ข้ากับเจ้าอาเมียร์ถึงได้ช่วยกันพยุงพาเจ้ากลับมา” หญิงคนนั้นเท้าเอวมองมีนาอย่างนึกสงสัย “ข้าชื่อว่าอิสรา”
มีนาขมวดคิ้วแน่นเมื่อลูบคว่ำที่มือซ้ายแล้วพบว่าแหวนหมั้นหายไป







“คุณเห็นแหวนของฉันหรือเปล่าคะ! แหวนหมั้น” เธอร้อนรน สองแม่ลูกหันมามองหน้าสบตากันก่อนที่คนเป็นแม่จะส่ายหน้าให้


หลังจากพยายามสงบสติอารมณ์อยู่หลายอึกใจ มีนาก็แนะนำตัว ทั้งอธิบายถึงเหตุการณ์สุดท้ายที่ตัวเองจำได้ และเมืองใหญ่ที่ตัวเองจากมา ทำเอาอิสราถึงกับมีสีหน้าแตกตื่นขึ้นมาอย่างฉับพลัน
“พวกคนจากออสโธปาแอบข้ามฝั่งมา!!เฝ้านางเอาไว้นะอาเมียร์ ข้าจะไปตามพวกผู้ชาย” หญิงกลางคนรีบสาวเท้าจะก้าวออกไป แต่เด็กชายกลับรีบเข้ามาขวางทั้งเหนี่ยวรั้งแขนผู้เป็นมารดาไว้แน่น
“แม่ ถามพี่เค้าดีๆก่อน ถ้าพี่เค้ามาจากฝั่งนู่นเค้าจะบอกเราตรงๆแบบนี้เหรอ” อาเมียร์ร้องอ้อนวอน
“อะไรคือออสโธปาคะ ฉันไม่ได้มาจากที่นั่นค่ะ” เธอส่ายหน้าด้วยความสับสน
“เห็นไหมแม่! พี่เค้าบอกแล้วว่าไม่ใช่ พี่สาวคนนี้อาจจะสติไม่ดี หรือหัวไปกระแทกอะไรเข้าก็ได้” เด็กชายร้องใส่มารดาผู้มีทีท่าหนักใจ






วันรุ่งขึ้นขณะที่อาเมียร์ชวนมีนาออกมาให้อาหารไก่ ในเล้าที่อยู่ข้างกระท่อมหลังน้อยก่อขึ้นด้วยหินซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของสองแม่ลูก

“พี่มีนา พี่อย่าไปบอกใครอีกนะ เกี่ยวกับเมืองที่พี่หนีมา เพราะถ้าไปถึงหูของพวกโอริลน์เข้าล่ะก็แย่แน่ๆ แล้วข้ากับแม่ก็จะต้องได้รับโทษไปด้วย” เด็กชายพูดเสียงกระซิบกระซาบ
“แต่พี่ไม่ได้หนีมาจากเมืองออสโธปาอะไรนั่นจริงๆนะอาเมียร์ พี่แค่อยากจะหาทางกลับบ้าน พี่ไม่รู้ว่ามาโผล่ที่เมืองนี้ได้ยังไง นาฬิกาก็ไม่มี โทรศัพท์ก็ไม่มี ไม่มีแม้แต่ไฟฟ้า ไม่อยากจะเชื่อเลย” มีนาโอดครวญ
“แล้วพวกโอริลน์คือใคร? ตำรวจที่นี่หรือเปล่า ถ้าใช่ ช่วยพาพี่ไปหาพวกเขาได้ไหม?” อาเมียร์รีบยกนิ้วขึ้นมาแตะปากเป็นเชิงบอกให้หญิงสาวเบาเสียงลง

“ท่านพ่อบอกว่า พวกโอริลน์นี่โหดร้าย นึกจะฆ่าใครก็ฆ่าทันทีเลยนะ แล้วเมืองของพี่เป็นยังไง ข้าเคยได้ยินเค้าลือกันว่าใหญ่โต ผู้คนต่างก็ร่ำรวยและสวยงาม แล้วพี่หนีมาทำไม?” ก็พอดีทั้งคู่ได้ยินเสียงชายคนหนึ่งร้องตะโกนโวยวายอยู่ด้านนอก
“พ่อกลับมาแล้ว!” เด็กชายร้องขึ้น ก่อนจะรีบวิ่งออกไปจากเล้าไก่






ชายกลางคนที่หลังงองุ้มผิดปกติอ้าแขนรับบุตรชายมากอด ก่อนจะหันมาจ้องหญิงสาวที่เดินตามออกมาอย่างตกตะลึง
“แรนดอน นี่มีนา ผู้หญิงที่ไหนก็ไม่รู้หลงมา สติสตังไม่ค่อยจะดี ว่าพรุ่งนี้จะให้เจ้าอาเมียร์พาไปหานายประจำหมู่บ้าน” อิสราที่เข้ามาแกะสัมภาระลงจากหลังม้าพูดด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์
“เดี๋ยวข้าพาไปเองก็ได้”
“ไม่ต้อง!” อิสราตะคอกก่อนจะหันมามองค้อนเอาที่หญิงสาว
“ข้าเลี้ยงไม่ไหวหรอกนะ ทั้งลูกทั้งเจ้าอีกคนน่ะ หายดีแล้วก็ต้องไปๆซะ แล้วนี่ดูสิ!เอาของเข้าไปขายในเมืองตั้งเยอะได้กลับมาแค่นี้เองเหรอ” นางก้มดูเหรียญในห่อผ้าเล็กๆที่คนเป็นสามียื่นให้ดู”
“ได้เท่านี้ก็บุญโขแล้ว จะบ่นไปทำไมกัน” คนเป็นสามีตอบเสียงดัง
“พรุ่งนี้แค่ให้อาเมียร์พาฉันเข้าไปในเมืองก็พอแล้วค่ะ ขอบคุณมากนะคะ” หญิงสาวเอ่ยอย่างสุภาพ เมื่อเริ่มเห็นบรรยากาศระหว่างคู่สามีภรรยาไม่สู้ดีนัก
“นึกว่ากลับมาคราวนี้ ทวยเทพจะเสกเมียข้าให้กลายเป็นสาวสวยแทนยายแก่ขี้บ่นเสียอีก ที่ไหนได้” คำพูดนั้นทำเอาอิสราโกรธแทบควันจะออกหูเลยทีเดียว





เช้ามืดรุ่งขึ้น มีนาเดินออกมาเข้าห้องน้ำที่อยู่ด้านนอก แต่พอจะเดินกลับเข้าบ้าน ก็มีมือหยาบแข็งกระด้างเข้ามาล็อคตัวเธอจากด้านหลัง มีนาร้องลั่นแต่เสียงกลับเล็ดลอดออกมาเพียงอู้อี้จากมือที่ตรงเข้าปิดปากเธอไว้
“ข้าเอง คนสวย” มีนาจึงรู้ว่าเป็นแรนดอนชายเจ้าของบ้าน
“ไม่ต้องไปไหนหรอก มาเป็นเมียข้าอยู่ที่นี่ สาบานว่าข้าจะเลี้ยงดูเจ้าราวกับเจ้าหญิงเลยทีเดียว” ชายกักขฬะกอดรัดร่างบางอย่างตะกละตะกลาม
“โอ๊ยยย!!!” แรนดอนร้องลั่นเมื่อโดนหญิงสาวกัดเข้าที่มือเต็มแรง พร้อมๆกับกระทืบที่เท้าของเขาอย่างจัง
“นังคนบ้า!” เขาตะโกน ปล่อยตัวมีนาแล้วล้มลงไปกุมเท้าตัวเองบนพื้น พออิสราวิ่งออกมาเห็น หล่อนก็หวีดเสียงใส่หญิงสาวที่ยังคงยืนส่งสายตาตื่นตระหนก ก่อนจะรีบเข้าไปพยุงสามีขึ้นมา
“ออกไปจากบ้านของข้า! เดี๋ยวนี้เลย ออกไปนังบ้า ออกไป๊”
“คุณฟังฉันก่อนนะคะ! คือว่า..” มีนายกมือขึ้นป้องทันเมื่อฝ่ามือของอิสราทุบฟาดลงมาใส่อย่างโกรธแค้น
“ออกไปจากบ้านข้าเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นข้าจะไปตามพวกคนในหมู่บ้านมาจับเจ้าส่งให้พวกโอริลน์! ไป๊” หญิงกลางคนตวาดลั่น พอเห็นอิสรายังจะเงื้อมมือเข้าทำร้ายอีก มีนาก็รู้ตัว ว่าหล่อนคงจะไม่รับฟังเหตุผลใดๆ จึงยอมเดินออกจากบริเวณกระท่อมนั้นไปตามทางเล็กๆ ที่ตัวเองไม่รู้จักเส้นทางแม้แต่น้อย เธอหันหลังกลับมามอง เห็นอาเมียร์ยืนมองเธออยู่จากหน้าต่างกระท่อมด้วยสีหน้าเศร้าซึม




ร่างบางเดินมาตามทางเดินเล็กๆในป่าโปร่ง จนกระทั่งสายก็หยุดยืนพิงอยู่กับต้นไม้ พยายามตั้งสติ ถ้าเดินไปตามทางเรื่อยๆ เดี๋ยวคงจะพบกับบ้านชาวบ้านคนอื่นเอง แต่ตอนนี้หิวน้ำเหลือเกิน! มีนาที่ไม่เคยเดินป่ามาก่อนมองไปรอบๆตัวพบแต่ต้นไม้สูงใหญ่ เสียงนกเจื่อยแจ้วและเสียงสัตว์ป่าก้องสะท้อนออกมาให้ได้ยิน พอตัดสินใจจะก้าวต่อ ก็ต้องหลุดเอารอยยิ้มกว้างออกมาเพราะได้ยินเสียงอาเมียร์ตะโกนมาจากเบื้องหลัง
“อาเมียร์!” เด็กชายโผเข้ามากอดเธอ “ข้านึกว่าพี่หลงป่าหายไปซะแล้ว! มานี่ ข้าจะพาพี่เข้าไปในหมู่บ้านเอง” เด็กชายที่หอบหิ้วย่ามผ้าบรรจุผลไม้ป่าและน้ำยิ้ม พร้อมทั้งส่งกระบอกน้ำให้เธอที่รีบรับไปดื่มด้วยความกระหาย
“ขอบใจมากนะ แล้วออกมาตามหาพี่ แม่ไม่ว่าเอาเหรอ!?”
“โอ๊ย! ตอนนี้พ่อกับแม่ทะเลาะกันใหญ่ คงยังไม่รู้หรอกว่าข้าหายหัวไป มาเถอะข้าจะพาพี่ไปหางานทำเอง”
“อาเมียร์ พี่ต้องการพบตำรวจหรือใครก็ได้ที่มีโทรศัพท์” ทว่าเด็กชายแสดงท่าทีไม่เข้าใจ
“เอาแบบนี้พาพี่ไปในแหล่งชุมชนของที่นี่ก็พอ ไกลหรือเปล่า?”
“ไม่ไกล ข้ามีทางลัด...” เด็กชายชี้มือเข้าไปในป่ารก





กว่ามีนาจะเดินตามเด็กชายมาถึงแหล่งชุมชนเล็กๆก็เกือบหมดวัน ทั้งเท้าที่บวมระบมก็เริ่มแดงจัดและเจ็บร้าวไปหมด แขนขาเต็มไปด้วยรอยแดงขีดข่วนจากกิ่งไม้
“พี่สาว ไม่เคยเดินป่าเลยหรือนี่?” อาเมียร์หันมามองดูเธอที่มีท่าทางเหน็ดเหนื่อยอย่างสุดแสน หญิงสาวยกมือขึ้นมาโบกเป็นการปฏิเสธแทน ทั้งก้มหน้าลงหอบหายใจ
“ข้าต้องรีบพาพี่มาส่งไม่งั้นถึงกลางคืนแล้วมันจะอันตราย นั่นไง! บ้านท่านเศรษฐี เขาน่าจะมีทางช่วยพี่ได้”

เด็กชายชี้ไปที่บ้านก่ออิฐถือปูนสองชั้นหลังใหญ่ ตั้งอยู่ด้านในรั้วรอบขอบชิด พอเดินมาถึง ร่างเล็กก็กระโดดขึ้นตบกระดิ่งทองเหลืองที่แขวนอยู่หน้ารั้วบ้านดังรัวๆ ไม่นานก็มีเด็กสาวผิวสีวิ่งมาเปิดประตูรั้ว
“อ้าว อาเมียร์ลูกคนเก็บของป่านี่ มีอะไรมาขายหรือไงวันนี้?”
“ไม่มีๆแต่ข้าพาพี่สาวคนนี้มาของานท่านเศรษฐีทำ ขอเข้าไปหน่อยสิ” เด็กสาวดวงตากลมโตจ้องมองมีนาที่แต่งตัวมอมแมมหัวจรดเท้า
“รอก่อนนะ ฉันจะเข้าไปถามคุณสิฮานให้ ป่านนี้แกคงเห็นแล้ว” พูดเสร็จหล่อนก็วิ่งกลับเข้าไปในบริเวณบ้าน






ภายในห้องทำงานของบ้านท่านเศรษฐี มีร่างหญิงเจ้าของบ้านนั่งอยู่ที่ชุดโต๊ะทำงานกลางห้อง โดยรอบนั้นมีม้วนผ้าเนื้องามหลากหลายถูกม้วนเป็นแท่งกลมใหญ่ตั้งไว้ระเกะระกะอยู่ทั่ว และโดยที่มีนายังไม่ทันจะพูดอะไร
“นี่แม่หล่อน ท่านพ่อไม่อยู่ ท่าจะมาสมัครเป็นเมียเก็บล่ะก็เสียใจด้วยนะ” หญิงสาวส่ายหน้าปฎิเสธ หันไปมองดูอาเมียร์ที่ส่งยิ้มแป้น
“ไม่ใช่ขอรับ คุณสิฮานพี่สาวคนนี้ชื่อมีนา เค้ามาขอทำงานอย่างอื่น” เด็กชายเอ่ยอย่างรู้มาก
“อย่ามาพูดมากไอ้หนู ไหนเธอ ว่ามาสิ จะมาทำงานอะไร?” คำถามนั้นทำเอามีนาถึงกับหยุดกึก ใช่แล้วงานอะไรกัน ที่นี่ที่เมืองแปลกประหลาดอย่างนี้
“ฉันเคยทำงานในตลาดหลักทรัพย์น่ะค่ะ”
“พูดอะไร เป็นบ้าหรือเปล่านี่!” เจ้าของบ้านหันไปถามอาเมียร์
“พี่เค้าหลงทางมาคุณสิฮาน แล้วก็เหมือนหัวจะไปกระแทกอะไรเข้า หลงๆลืมๆป้ำๆเป้อๆขอรับ”
“ฉันเปล่า! คุณมีโทรศัพท์หรือเปล่าคะ” เด็กชายวัยสิบขวบกระตุกแขนเธอให้เงียบไว้ แต่หญิงเจ้าของบ้านกลับเบ้หน้า
“เอ้าๆ งั้นตัดเย็บเสื้อผ้าเป็นหรือเปล่าล่ะ” มีนาถอนใจออกมาอย่างไม่รู้ตัวทำเอาสิฮานส่ายหน้าตึงเครียด
“ทำอาหารเป็นบ้างไหมล่ะหล่อน”
“เฉพาะง่ายๆค่ะ”






“ไม่เอาง่ายๆ”! สิฮานตวาด “แล้วงานรับใช้ในบ้านเคยทำมาบ้างไหม?”
“ไม่เคยค่ะ” หญิงเจ้าของบ้านขมวดคิ้วแน่นก่อนจะรัวคำถาม
“ปรุงยา ล่าสัตว์ หาของป่า เพาะปลูก ทำปศุสัตว์...” แต่มีนาส่ายหน้าปฏิเสธไม่หยุด
“แม่คุณ!ทำอะไรไม่เป็นเลยแบบนี้อยู่มาได้ยังไง” สิฮานร้องลั่นอย่างดูแคลน
“แต่ฉันพูดได้หลายภาษานะคะ มีภาษา..”
“โอ๊ยยย! บ้ากันไปใหญ่แล้ว ไปเลยไป ไปหางานที่อื่น ใครจะรับคนสติไม่ดีอย่างนี้กัน” หญิงเจ้าของบ้านโวยวายทั้งปัดมือแรงๆใส่

“คุณสิฮานได้โปรดขอรับ พี่เค้าไม่มีที่จะไปแล้ว ที่บ้านข้า แม่ก็ไม่ให้อยู่” อาเมียร์ร้องขอ หล่อนทำหน้าเบื่อหน่าย ก่อนจะจ้องมองมีนาที่ดูทุกข์ขนัดอีกครั้ง
“นี่เธอเป็นโสเภณีหรือเปล่าเนี่ย?”
“นี่คุณจะดูถูกกันเกินไปแล้วนะ” หญิงสาวร้องดังอย่างสุดจะอดกลั้น
“เอ้า ไม่ใช่ก็ไม่ใช่สิ จะโกรธหาอะไรไม่ทราบ” อีกฝ่ายส่งเสียงเอ็ดตะโร เมื่อเห็นมีนาทำท่าจะออกไปจากห้อง
“ก็ข้าเห็นเจ้าโตมาเป็นสาวได้ขนาดนี้ แต่ทำอะไรเลี้ยงชีพไม่เป็นสักอย่าง แล้วจะให้คิดยังไงเอ้า หรือว่าเป็นลูกคนรวยหลงมา”







“เปล่าค่ะ” “โอ๊ย! แม่หล่อน เห็นแก่เทพธิดาแห่งโรเธียนหรอกนะ หน้าตาผิวพรรณดีอย่างนี้ มีความรู้ดูแลความสวยความงามบ้างหรือเปล่า มาคอยหวีผม ผัดแป้ง ประทินผิวให้ข้าได้บ้างหรือเปล่า” สิฮานถามครั้งสุดท้าย
มีนาพยักหน้าให้น้อยๆ “ค่ะ” ทำเอาหญิงเจ้าของบ้านส่งเสียงหัวเราะออกมาแบบเข็ญใจ
“อย่างงั้นก็มาเป็นหญิงรับใช้ส่วนตัวให้ข้า จะเอาไหมเดือนหนึ่งจ่ายให้สองเหรียญทอง”
อาเมียร์ร้องเสียงดังทำตาโต ก่อนจะหันหน้ามามองมีนาเป็นเชิงให้เธอรีบรับขอเสนอจากหญิงปากร้ายไว้
“ยังไงหล่อน ไม่เพิ่มให้หรอกนะยะ กินนอนก็ที่นี่”
“ค่ะ ตกลงค่ะ” ร่างบางรีบตอบเพราะไม่มีทางเลือกให้มากนักและเธอก็ไม่อยากจะนอนกลางป่าในคืนนี้

“เจ้านี่โชคดีจริงๆเลย” เด็กสาวผิวสีหน้าตาจิ้มลิ้มพูดขึ้น ระหว่างที่พามีนามาห้องพักของหญิงรับใช้
“ฉันไม่ค่อยจะโชคดีนักหรอกค่ะ” มีนาตอบเรียบๆพลางนึกถึงเหตุการณ์ประหลาดต่างๆที่เกิดขึ้นรวมทั้งความสูญเสียเมื่อไม่นานมานี้

“โชคดีสิ! คุณสิฮานรับเจ้ามาทำงานใกล้ชิดทั้งที่ไม่รู้จักกันมาก่อน คงจะเพราะหญิงรับใช้ส่วนตัวของแกคนเก่าเพิ่งจะหายตัวไป”
“หายไปไหนเหรอคะ?”







“มีคนเห็นเค้าเข้าไปในป่าแล้วไม่กลับออกมาอีกเลย อาจจะตกเขาหรือโดนเสือกินหรือเปล่าก็ไม่รู้ เพราะคนที่นี่ออกไปตามหาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ นี่แหละ เตียงนี้”
เด็กสาวชี้ไปที่เตียงนอนเล็กๆหลังหนึ่ง มันตั้งอยู่ในห้องนอนกว้างรวมกับเตียงของบรรดาหญิงรับใช้คนอื่นๆภายในบ้าน มีนาขมวดคิ้วมองดูมัน
“แต่ไม่ต้องกลัวหรอกนะ เค้าไม่ได้ตายบนเตียงนี้นี่” เด็กสาวเดินไปที่ตู้มุมห้อง ก่อนจะรื้อค้นเอาเสื้อผ้าออกมา
“ไม่มีห้องส่วนตัวเลยเหรอคะ” เธอพึมพำ
“เจ้านี่ทำยังกับพวกลูกผู้ดีมีตัง แต่งตัวก็ออกจะทั้งเชยทั้งเก่า” ว่าแล้วเธอก็ยื่นชุดกระโปรงสีทึมๆมีคอปกเรียบร้อยมาให้เปลี่ยน
“ชุดสาวใช้ที่นี่ยังงามตากว่าตั้งเยอะ”
“ขอบคุณค่ะ” เธอถอนใจทั้งรับมันมาลูบคลำ ก้มหน้าลงอย่างครุ่นคิด
“ข้าชื่อแวนดี้ ถ้าเจ้าสงสัยอะไรก็ถามได้หมด ทำงานที่นี่มาตั้งปีหนึ่งแล้ว” เธอคุยโวก่อนจะมองใบหน้าหม่นเศร้าของมีนาอย่างเริ่มมีใจสงสาร
“แล้วอาเมียร์ล่ะ คืนนี้จะไปนอนที่ไหน?”
“ก็คอกม้าไง ไม่ต้องไปห่วงหรอก เด็กผู้ชายแข็งแรงแบบนั้นนอนง่ายกินง่ายจะตาย”







จนเดือนหนึ่งผ่านไป ความช่วยเหลือที่มีนามองหาก็ยังมาไม่ถึง และที่แปลกประหลาดก็คือทั้งแหล่งชุมชนนั่นไม่มีไฟฟ้าใช้ ไม่มีแม้กระทั่งโทรศัพท์หรือแม้แต่นาฬิกาที่เป็นสิ่งสำคัญในชีวิตประจำวัน ทุกวันๆจะมีเสียงจากหอระฆังที่ตีเป็นจำนวนครั้งบอกเวลา ซึ่งใช้วิธีดูจากนาฬิกาแดดเอาอีกที
“นี่ฉันหลงมาอยู่ส่วนไหนของโลกกันนี่” มีนาพึมพำ พอเริ่มถามหาลู่ทางหรือข้อมูลที่จะไปให้พ้นจากเมืองทิสก้ากับแวนดี้ เจ้าหล่อนก็จะทำตาโตรวมทั้งร้องขึ้นมาว่าเธอนั้นเป็นบ้า หรือไม่ก็ใกล้จะเสียสติเต็มที
“เมืองอะไรของเจ้า! ไม่มีหรอก แล้วจะหาทางกลับไปเมืองอะไรนั่นของเจ้า จะไปยังไง เจ้ามายังไงตัวเองยังไม่รู้เลย” เด็กสาวผิวสีส่งเสียงแหลมเล็ก ระหว่างที่ทั้งคู่นั่งซักผ้าอยู่ด้วยกันที่ลานอเนกประสงค์หลังบ้าน แต่แล้วแวนดี้ก็พยักหน้าให้อย่างใจเย็น
“เอาล่ะๆลืมไป ว่าเจ้านั้นสมองไม่ค่อยจะดี”
มีนาถอนใจเฮือกใหญ่เมื่อได้ยินคำพูเของเด็กสาว ก่อนจะยกเอามือทั้งคู่ที่พองแสบร้อนจากการทำงานขึ้นมาดู
“อีกหน่อยมือมันก็ชินไปเองแระ” เด็กสาวหัวเราะชอบใจแต่หญิงสาวเกิดใจเสียขึ้นมา
“เธอเคยคิดจะไปจากที่นี่บ้างไหมแวนดี้”
“ทำไมล่ะ!! อยู่นี่ดีจะตาย มีเสื้อผ้าสะอาด มีเตียงอุ่นๆ อาหารก็อร่อยแล้วจะไปไหนอีกทำไมเล่า?” แวนดี้เอ่ยอย่างภาคภูมิ
มีนานิ่งเงียบพลางคิดวางแผนในใจ ว่าพอได้มีเงินเก็บเพิ่มอีกสักหน่อย เธอจะหาทางกลับไปสู่ที่ๆเธอจากมาให้จงได้






“พี่สาว” เสียงอาเมียร์ดังขึ้น มีนาหันไปยิ้มร่า เมื่อเห็นร่างเล็กของอาเมียร์เดินมาพร้อมกับผลไม้ที่อยู่ในย่ามผ้าเก่าเก็บ “ข้าเก็บผลไม้ป่ามาฝาก”
“เจ้าเด็กนี่ มันช่างเอาอกเอาใจผู้หญิงเป็นเสียตั้งแต่เด็กเลย” แวนดี้ส่งเสียงใสกลั้วหัวเราะ
“เป็นยังไงบ้างอาเมียร์ ไม่เจอกันตั้งนานเลย อุตส่าห์มาหาพี่ตั้งไกลขนาดนี้ จะไม่โดนแม่ดุเอาเหรอนี่” คำถามนั้นทำเอาเด็กชายวัยสิบขวบที่เพิ่งทรุดตัวลงนั่งกับพื้นเงียบงันไป
“แม่หนีไปแล้วพี่มีนา ตั้งครึ่งเดือนมาแล้ว”
“อ้าว!” หญิงสาวร้องตกใจทั้งรีบล้างมือมากุมไหล่เด็กชายที่น้ำตาคลออย่างปลอบโยน
“แล้วพ่อล่ะ” “พ่อดื่มเหล้าตั้งแต่เช้าแทบไม่ทำอะไรอย่างอื่นเลย หงุดหงิดขึ้นมาก็ตีข้า” มีนาและแวนดี้หันมามองหน้ากันด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
“แล้วเจ้ากินอะไรเข้าไปวันๆหนึ่ง ใครจะหุงหาอาหารให้” แวนดี้ส่งเสียงสูง
“ก็ไข่และไก่ในเล้า แล้วก็หาของตามป่าตามบึงกิน...”
มีนาโอบร่างเล็กๆนั้นไว้ด้วยใจเป็นห่วง “แวนดี้ ที่นี่มีโรงเรียนหรือเปล่า เด็กอายุขนาดอาเมียร์ จะต้องเข้าเรียนแล้วนะ”
“มี โรงเรียนช่างฝีมือ แต่จะเอาอะไรไปจ่ายเค้าเล่า” เด็กสาวทำหน้ากลัดกลุ้ม
“ไม่เอาข้าไม่อยากไปเรียน!” เด็กชายร้องเสียงดัง
“ข้าจะอยู่รอแม่กลับมาบ้าน และถ้าแม่ไม่มา ข้าก็จะไปให้พ้นจากที่นี่อีกคน” อาเมียร์พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแบบผู้ใหญ่ ก่อนจะส่งสีหน้าสลด







“พี่มีนาว่าแม่ข้าจะกลับมาไหม?กลับมาเมื่อไหร่?” เด็กชายเงยหน้าขึ้นมามองเธอ แต่แล้วเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นของแวนดี้ก็กลับดังขึ้นมาเสียแทน เด็กสาวหันร่างหนีไปทางอื่นทั้งไหล่บอบบางที่สะท้อนขึ้นลง ปล่อยให้มีนาต้องรับมือกับคำถามของเด็กชายแต่เพียงผู้เดียว
“พี่ไม่รู้” สาวสวยตอบเสียงแผ่ว ทำเอาใบหน้าที่กลั้นเก็บน้ำตาของเด็กชายบิดเบี้ยว ก่อนจะลุกพรวดทำท่าจะวิ่งหนีไป
“อาเมียร์! เดี๋ยวก่อน เดี๋ยว” มีนาคว้าร่างเด็กชายเอาไว้ได้ทัน ก่อนจะรีบร้อนควักเอาเหรียญทองในอกเสื้อออกมาหนึ่งเหรียญ
“อย่าให้พ่อเห็นนะเข้าใจไหม แล้วไปหาซื้ออาหารมาไว้กิน” เด็กชายรับเอาเหรียญทองนั้นไว้ก่อนจะกอดลามีนาและวิ่งหายไปในทันที
“แล้วมาหาพี่อีกนะ” มีนาตะโกนไล่หลังไปด้วยสีหน้าเป็นกังวล

ค่ำวันนั้นเธอเข้าไปหาสิฮานเพื่อทำหน้าที่ของตนตามปกติ ทั้งช่วยอาบน้ำแต่งตัวและทาเครื่องประทินผิวให้ ตามปกติแล้วสิฮานมักจะขึ้นเสียงอยู่เสมอ เวลาที่เธอทำอะไรไม่ถูกใจนิดๆหน่อยๆเข้า ทว่าวันนี้หล่อนกลับเงียบผิดไปจากปกติ แล้วจู่ๆตอนที่หญิงสาวกำลังหวีผมให้หล่อน สิฮานก็เปิดลิ้นชักหยิบเอาเหรียญทองเล็กๆออกมายื่นให้เธอหนึ่งเหรียญ







“สำหรับอะไรค่ะ”
“ให้เฉยๆ จะเอาหรือไม่เอา” มีนาถอนใจ ก่อนจะรับมันมาเก็บไว้ในอกเสื้อและทำงานต่อไปอย่างเงียบๆ
“ยัยแวนดี้ เค้าเล่าให้ฉันฟังเรื่องลูกตาคนหาของป่านั่น ถ้ามันอยากจะมาทำงานที่นี่ก็ให้มันมาคุยกับฉัน แต่ไม่มีค่าจ้างให้หรอกนะเด็กอย่างนั้นน่ะ ให้แค่ที่อยู่ที่กิน บอกมันเสียด้วยล่ะ” สิฮานเอ่ยพลางยกมือขึ้นลูบใบหน้าที่ไม่ค่อยน่าดูของตน ก่อนจะจ้องเขม็งไปยังภาพสะท้อนของมีนาในกระจกเงาด้วยความริษยา”
“นี่ไม่มีคนมาขอเจ้าไปเป็นเมียบ้างเลยเหรอหรือไง? หรือว่าหนีออกจากบ้านมาเพราะโดนบังคับล่ะสิท่า”
“ไม่ได้หนีจากที่ไหนมาค่ะ ฉันเกือบจะแต่งงานแล้วครั้งหนึ่ง แต่มีเหตุให้ต้องล้มเลิกไปเสียก่อน” ใบหน้างามอ่อนบางขมวดคิ้วแน่นเมื่อต้องพูดถึงเรื่องนั้น
“อ๋อ ก็ยังดีนี่ ข้านี่ไม่มีใครมาขอเลย จนอายุป่านนี้แล้ว” สิฮานยิ้มประชด “แต่ไม่ต้องมาสมเพชข้าหรอกนะ” มีนาส่ายหน้าน้อยๆ
“เดี๋ยวสาวๆสวยๆอย่างเจ้าได้ออกไปเจอผู้เจอคนเสียหน่อย ก็ต้องมีคนมาขอไปเป็นเมียเชื่อเถอะ”
“ฉันไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้นหรอกค่ะ” เธอเอ่ยเรียบๆก่อนจะวางหวีลงบนโต๊ะ
“หยิ่งจริงนะแม่คุณ ไปๆพอแล้วคืนนี้” สิฮานขึ้นเสียงทั้งโบกมือไล่แต่มีนาก็ไม่ได้ถือสา เพราะรู้ว่าเธอนั้นปากร้ายแต่ว่าลึกๆแล้วก็เป็นคนมีเมตตาคนหนึ่ง








ในป่ารกชัฏมีนาได้ยินเสียงปืนกลรัวดังกึกก้องรวมเข้ากับเสียงเครื่องจักรกลบางอย่างดังมาจากรอบด้าน เสียงกรีดร้องก้องอยู่ไกลๆชวนให้อกสั่นขวัญแขวน ฟ้ายามพลบค่ำสว่างวาบด้วยสีแดงฉาดจากเปลวไฟร้อนระอุที่ลุกไหม้ ขณะที่ร่างของเธอเคลื่อนผ่านบรรดาแมกไม้หนาแน่นไปอย่างรวดเร็ว จนมาถึงเมืองที่กำลังถูกเผา...อัคคีร้อนแลบเลียไปทั่วบริเวณราวกับเพลิงนรก เสียงร้องของเด็กและผู้หญิงดังระงมไปหมด เปลวเพลิงเริ่มลุกติดไปยังบรรดาต้นไม้ที่อยู่ใกล้ส่งสัญญาณว่ากำลังจะเกิดไฟป่าไปด้วยในอีกไม่นาน

ม้าสีขาวตัวหนึ่งที่ลำตัวกำลังถูกเปลวไฟกัดกิน วิ่งเตลิดดิ้นรนออกมาจากซากกองเพลิง มันส่งเสียงร้องด้วยความทรมาน แสงไฟลึกลับสีครามพุ่งเข้าปะทะใส่ร่างเจ้าสัตว์ที่น่าสังเวทนั้น ก่อนที่มันจะล้มแน่นิ่งไป ร่างของเธอเคลื่อนที่เร็วดุจสายลมออกมาจนถึงแนวป่า พลันเบื้องหน้าของหญิงสาวก็กลับกลายเป็นทุ่งสมรภูมิรบ หุ่นสังหารขนาดใหญ่เท่าต้นไม้สีดำทะมึนหลายตัวกำลังไล่ล่าชาวบ้านที่ไร้อาวุธ ผู้คนทั้งชายและหญิงอุ้มลูกวิ่งหนีเอาตัวรอดอย่างไม่คิดชีวิต ทั้งส่งเสียงกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว...
หลายร่างกลายเป็นซากศพอยู่บนพื้นทุ่งกว้างที่เปรอะเปื้อนไปด้วยหยาดเลือดสดๆ ทหารสวมชุดเกราะบนหลังม้าหลายสิบนายกำลังถูกต้อนให้หันหลังชนกันด้วยกลุ่มหุ่นยนต์ซึ่งมีแปดขาคล้ายแมงมุมยักษ์ทำด้วยเหล็กสีเงินยวง กำกับด้วยรหัสตัวเลขอยู่เหนือดวงตาไฟสีแดงดุจสัตว์ร้าย ที่ฉายแสงจ้าลงข่มขวัญเหล่าทหารที่มีเพียงดาบและหอกเป็นอาวุธพวกนั้น








เป็นการต่อสู้กันระหว่างสองฝ่าย ที่ฝ่ายหนึ่งไร้ซึ่งอาวุธยุทโธปกรณ์จะต่อกรได้ ภาพนั้นจึงก่อให้เกิดความน่าสลดอย่างเหลือแสน พลันหุ่นแมงมุมยักษ์ตัวหนึ่งก็ถูกลำแสงกระแทกเข้าใส่
“เปรี้ยงงงงง” เสียงระเบิดดังกึกก้อง ร่างโลหะของมันพังยับยู่ยี่ แต่ก็ไม่สามารถหยุดยั้งการสังหารหมู่ที่เกิดตามมาได้ หุ่นสังหารแมงมุมอีกกว่าสิบตัวที่เหลือพร้อมใจกันยิงปืนรังสีสีแดงจากดวงตาเข้าใส่กลุ่มทหารในทันที พวกเขายกโล่ขึ้นป้องกันแต่ก็ไม่อาจหลุดพ้นจากรังสีมรณะไปได้ ร่างไร้วิญญาณนับสิบร่วงตกลงจากหลังม้า บ้างก็เกี่ยวติดอยู่กับเชือกบังคับม้าดูน่าเวทนา เวลาเดียวกันกับที่หุ่นสังหารสีดำตัวหนึ่งหันมาหาเธอ ร่างของเธอถูกขุมพลังบางอย่างฉุดกระชากหลบออกไป ก่อนวินาทีที่แขนซึ่งเป็นกระบอกปืนขนาดใหญ่ของหุ่นมฤตยูจะยิงลูกไฟออกมา
เสียงระเบิดดังลั่น จุดที่เธอยืนอยู่เมื่อครู่กลายเป็นหลุมไฟขนาดกว่าสองเมตร มีนาหันไปเห็นชายคนหนึ่งในเสื้อคลุมยาวสีดำ ยื่นปลายหอกออกไปตรงหน้าพร้อมกับที่ลำแสงสีเขียวพุ่งปลาบเข้าใส่หุ่นสังหารตัวนั้น มันหยุดนิ่งลงทันที ก่อนที่ตรงกลางของตัวหุ่นจะเปิดออกเผยให้เห็นร่างมนุษย์ธรรมดาสามัญคนหนึ่งในชุดเครื่องแบบทหารสมัยใหม่ เดินเอามือกุมลำคอของตนแน่นราวกำลังขาดอากาศหายใจ ใบหน้าของเขาเขียวคล้ำลงอย่างรวดเร็วก่อนจะล้มลงชักดิ้นชักงออยู่บนพื้น






“จงลิ้มรสความทรมานเสียให้เต็มที่ก่อนตาย” ชายหนุ่มคนนั้นพูดเสียงแข็งกระด้าง ก่อนจะหันมามองเธอด้วยใบหน้าหล่อคมสันที่แฝงแววดุร้าย
“ท่านหญิง เราจะทำอย่างไรต่อไป” ทำไมเขาเรียกฉันแบบนั้น มีนาคิด
“อองตวน” เธอได้ยินเสียงตนเองเรียกขานชายผู้นั้นราวกับสนิทชิดเชื้อกันเป็นอย่างดี


แวนดี้เข้ามากระชากเอาผ้าห่มออกไปจากร่างเธอ
“มีนา เค้าตื่นกันหมดบ้านแล้ว!” เธอส่งเสียงแหลมเล็ก
“โธ่ ทำไมถึงต้องตื่นกันแต่ไก่โหแบบนี้ด้วยนะ” หญิงสาวที่ยังคงรู้สึกมึนงงจากความฝันเมื่อครู่ลุกขึ้นมานั่ง แล้วก็ต้องกอดอกเพราะอากาศหนาวยามเช้ามืด
“อย่ามาขี้เกียจ เร็วเข้าลุก” แวนดี้ดึงสาวสวยที่ผมเผ้ายุ่งเหยิงขึ้น

ร่างบางเดินออกมาที่บ่อน้ำบาดาลหลังบ้าน เพื่อจะล้างหน้าล้างตา น้ำนั้นเย็นเชียบจนปลุกเธอให้ตาสว่างขึ้นมาทันที แต่เธอก็ยังคงครุ่นคิดถึงความฝันเป็นเรื่องเป็นราวเมื่อตอนใกล้สว่างนั่น ทันใดนั้นเองเสียงของหล่นโครมก็ดังขึ้นเบื้องหลัง ลุงแก่ๆคนหนึ่งล้มนั่งกองอยู่ที่พื้น รอบตัวมีกองฟืนกระจัดกระจายเต็มไปหมด






“เป็นอะไรหรือเปล่าคะ!?” เธอวิ่งไปพยุงเขาขึ้น
“ไม่ต้องนังหนู ปล่อยข้านั่งพักตรงนี้ก็พอ ไม่เป็นไร”
ชายชราหอบหายใจแต่พอเห็นมีนาตั้งท่าจะวิ่งไปตามคนก็ร้องห้ามเอ็ดตะโร
“อย่า!เดี๋ยวเค้าหาว่าข้าแก่จนไร้ประโยชน์แล้ว เหนื่อยแค่นี้พักก็หายได้เอง” เขาร้องขอ
“งั้นหนูช่วยเก็บฟืนให้นะคะ”
“ขอบใจนะนังหนู เดี๋ยวข้าจะต้องออกไปเก็บฟืนในป่ามาเพิ่มอีก” เขาเอ่ยกระท่อนกระแท่น มองมีนาวิ่งไปเก็บท่อนฟืนและเศษกิ่งไม้ ที่ร่วงกลิ้งไปทั่วมากองสุ่มไว้ด้วยกัน ก่อนจะยืนเท้าสะเอวมองดูมัน “เดี๋ยวหนูจะออกไปเก็บฟืนให้เอง...”

เธอเปิดประตูรั้วหลังบ้าน เดินออกมาตามชายป่า สายตามองหากิ่งไม้แห้งบนพื้นไปเรื่อยๆ ด้วยความที่ไม่แน่ใจว่ามันใช้ทำฟืนได้หรือเปล่า หลายครั้งที่เธอเลือกเก็บมันขึ้นมาถือ แล้วเดินไปได้สองสามก้าวแต่แล้วก็เปลี่ยนใจปามันทิ้งไป แต่สักพักมีนาก็มีเศษกิ่งไม้แห้งหอบอยู่แนบอก คงจะพอแล้ว เธอคิด ก่อนจะหันหลังกลับ







แต่แล้วก็ต้องตกใจสุดขีด เพราะเสือดำขนาดมหึมากำลังยืนขวางหน้าเธออยู่ ห่างออกไปเพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้น หญิงสาวเกิดมือไม้อ่อนจนปล่อยเอาหอบฟืนตกลงมากลิ้งกับพื้นจนหมด ดวงตาสีเหลืองของเจ้าสัตว์ร้ายนั้นจ้องเขม็งมาที่เธอ หาได้สนใจบรรดาเศษไม้ที่กลิ้งส่งเสียงกระทบพื้นดินเกรียวกราวนั้นไม่
“กริ๊ดดด!!!” มีนากรีดร้องขึ้นสุดเสียง ทั้งหัวใจที่เต้นแรงรัวราวกับจะระเบิดออกมาเสียให้ได้ ในหัวของเธอเกิดจิตนาการความรู้สึกเจ็บปวดอันน่าสะพรึงกลัวจากกรงเล็บและเขี้ยวสีขาวคมกริบของมัน สัตว์ร้ายก้าวอุ้งเท้าใหญ่โตทรงพลัง เยื้องย่างเดินวนเวียนไปมาอย่างกระสับกระส่าย ก่อนจะพลันหันกระโจนหายเข้าไปในพงไม้อย่างรวดเร็ว ทิ้งร่างบอบบางที่ยังคงยืนตัวสั่นงันงกอย่างทำอะไรไม่ถูกไว้ตามลำพัง
กว่าเธอจะหาทางเดินกลับมาถึงตัวบ้านได้ก็ราวชั่วโมง ด้วยใบหน้าซีดเผือดและมือที่ยังสั่นเทา ซึ่งยังอุตส่าห์หอบเก็บเอาฟืนกลับมาด้วย







“มีนาไปอยู่ที่ไหนมา!? คุณสิฮานเค้านึกว่าเธอหนีไปแล้ว” แวนดี้วิ่งเข้ามาหา
“ฉันแค่ไปเก็บฟืนแล้วก็...”
“มาเลย! เร็วเข้า ท่านโอริลน์ชายแห่งทิสก้ามาบ้านเรา” แวนดี้ดึงเอาหอบกองฟืนจากมีนาโยนทิ้งไป ก่อนดึงร่างบางให้วิ่งตามกันไปทันที
“โอริลน์อย่างงั้นเหรอ?” เธอเคยได้ยินอาเมียร์พูดถึงสิ่งนี้
“โอ๊ย เธอนี่บ้านนอกจริงๆ พวกโอริลน์ยังไงเล่า พวกชนชั้นปกครอง พวกที่ได้รับพรจากพระเจ้า” มีนายกมือขึ้นปาดเหงื่อเย็นๆบนหน้าผาก พร้อมกับกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามแรงดึงจากแวนดี้เข้าไปในตัวบ้าน
“ท่านโอริลน์ชายต้องการพบสาวใช้ทุกคนในบ้าน คงจะหาคนไปทำงานให้กระมัง” แวนดี้เอ่ยอย่างรู้ดี

ตามอย่างที่พูดเมื่อทั้งสองสาวเปิดประตูเข้าไปในห้องรับแขก ก็พบบรรดาสาวใช้หลายคนยืนเรียงกันอยู่ มีสิฮานนั่งย่นหน้าอยู่ด้านในสุด
“เอ้านั่นไง นึกว่าหนีตามผู้ชายที่ไหนไปแล้วแม่นี่”
“มา มาทำความเคารพท่านโอริลน์ชายเดี๋ยวนี้” สิฮานตวาด แวนดี้ผลักให้มีนาเดินเข้าไปก็พอดีกับที่ชายหนุ่มที่ว่านั่นหันมามองเธอด้วยสายตาที่เคร่งเครียดนิ่งนาน เขามีรูปร่างกำยำแบบบาง โหนกแก้มสูงบนใบหน้าเฉียบคมรับกับจมูกโด่งสูง และดวงตาทรงพลังที่ดูเชื่อมั่นและกร้าวแกร่งอันฉายออกมาอย่างเห็นได้ชัด







“นางชื่อมีนา เป็นสาวใช้ส่วนตัวของข้า ท่านโอริลน์ชาย”
“คนนี้แระ” โอริลน์หนุ่มเอ่ยเรียบๆ พยักหน้าไปทางมีนา ทำเอาหญิงเจ้าของบ้านร้องเสียงลั่น
“ท่านชาย นางไม่รู้งานบ้านด้วยซ้ำ แล้วอย่าบอกนะ!ว่าท่านมองหาหญิงสาวจะเอาไว้เลี้ยงดูเป็นพิเศษ”
“อย่ามาพูดไร้สาระสิฮาน นางนี่แระที่ข้าต้องการ จะตั้งราคาเท่าไหร่ก็ว่ามา” ชายหนุ่มกระชากเอาถุงหนังที่บรรจุเหรียญทองโยนลงกลางโต๊ะเสียงดังโครม ทำเอาสิฮานตาลุกวาว แต่แล้วก็กลับหันไปมองมีนาที่เริ่มหน้าเจื่อนลง
“ก็ต้องถามความสมัครใจของนางด้วย เอ้า แม่หล่อน อยากไปทำงานให้ท่านโอริลน์ชายหรือเปล่า?” หญิงเจ้าของบ้านถามเสียงกระฟัดกระเฟียด หญิงสาวยังคงยืนนิ่งอยู่อย่างมึนงง เมื่อจู่ๆเจอเอาสองเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นมาติดๆกัน
“ดูเถอะ! แม่นี่ไม่รู้ประสาอะไรหรอก เลือกคนอื่นที่เต็มใจและเป็นงานไปเสียจะดีกว่า” สิฮานร้องอย่างรำคาญใจเมื่อเห็นท่าทีของมีนาที่กำลังตรึกตรอง






“ท่านหญิง ท่านต้องมากับข้า มีหลายคนที่กำลังรอคอยจะพบกับท่านอยู่” คำพูดของโอริลน์หนุ่มนั้น ทำเอาทุกคนในห้องถึงกับนิ่งเงียบไป ทว่าในที่สุดมีนาก็ส่ายหน้าปฏิเสธ เพราะเรื่องอะไรเล่า จู่ๆจะให้ไปกับชายแปลกหน้าคนนี้ หญิงสาวลอบมองรอยสักที่ท่อนแขนทั้งคู่ของเขาซึ่งเลยพ้นขอบแขนเสื้อออกมาให้เห็น เสื้อผ้าที่เขาใส่ถูกตัดเย็บอย่างดีแต่กลับยับย่นดูเปรอะเปื้อน
เป็นเวลาเดียวกันกับที่ท่านเศรษฐีบิดาของสิฮานกลับมาถึง ชายแก่เปิดประตูเข้ามาเห็นกลุ่มคนที่เงียบงันยืนนิ่งรวมกันอยู่ภายในห้องก็ขมวดคิ้ว พอเหลือบไปเห็นโอริลน์หนุ่มก็โค้งศีรษะลงให้ทันที
“ท่านฟรองค์มีอะไรให้ข้ารับใช้หรือขอรับ” สิฮานอ้าปากจะพูด แต่ก็พลันมองตามสายตาที่ตกตะลึงของผู้เป็นพ่อ ซึ่งจ้องมองตรงไปยังมีนา ท่านเศรษฐีรีบตรงไปย่อกายทิ้งเข่าข้างหนึ่งลงตรงหน้าของหญิงสาวในทันที
“ท่านเอสเมอรันดา! ท่านหญิง ท่านกลับมาแล้ว น่ายินดีเหลือเกิน โอ้..สิบกว่าปี ท่านยังคงดูไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย” เสียงชายแก่ดังขึ้นอย่างนอบนบ ท่ามกลางความตกตะลึงของคนอื่นๆ เว้นเพียงแต่ฟรองค์







“ฉันเคยรู้จักคุณหรือคะ!?” มีนาพึมพำอย่างไม่เข้าใจ เศรษฐีเฒ่าถอดหมวกออกมาถือไว้แนบอก
“ข้าคือไนเจล ช่างตัดเสื้อของท่านยังไงเล่า”
“พอแล้ว และอย่าได้เอาเรื่องนี้ไปบอกต่อใคร นางต้องไปกับข้าเดี๋ยวนี้ และข้าต้องการยืมรถม้าของเจ้าด้วย” พูดจบชายหนุ่มก็ตรงเข้ามาดึงร่างบางที่ผมเผ้ายุ่งเหยิงออกไปจากห้องนั้นทันที
“เดี๋ยวก่อนค่ะ!!! คุณจะพาฉันไปไหนกัน” มีนาพยายามสะบัดแขนออกแต่ไม่เป็นผล
“ท่านหญิงจำข้าไม่ได้เลยหรือ? แล้วคฤหาสน์โอริลน์ล่ะ จำได้หรือเปล่า?” พอเห็นสายตาว่างเปล่าของมีนา ฟรองค์ก็ขบกรามแน่น
“ฉันไม่รู้จักคุณค่ะ! แล้วฉันก็ไม่ได้ชื่อเอสเมอรันดา แต่ว่าชื่อนี้..” มีนาส่งสีหน้าครุ่นคิด นี่มันชื่อที่คู่หมั้นหนุ่มของเธอเคยวาดหวังไว้ให้เป็นชื่อของบุตรสาวในอนาคตนี่ แล้วทำไมไนเจลพ่อของสิฮานถึงเรียกเธอแบบนี้?
“ท่านหญิง ท่านแม่เฒ่าอาจจะมีทางช่วยท่านได้” ฟรองค์เอ่ยเสียงหนักแน่น
ไม่แน่ชายหนุ่มเบื้องหน้า อาจจะเป็นผู้นำเธอไปสู่ทางคลี่คลายเรื่องราวประหลาดต่างๆนี้ก็เป็นได้








เมื่อเห็นประกายสายตาอันแรงกล้าของชายแปลกหน้า ในที่สุดเธอก็เปลี่ยนใจยอมเดินตามแรงดึงของเขาไป หรือนี่อาจจะเป็นความช่วยเหลือเดียวที่เธอกำลังรอคอยอยู่... และโดยที่ไม่ได้เอ่ยลาต่อใคร ทำเอามีนารู้สึกใจหายวาบ เขาพาเธอเดินปรี่ออกมาขึ้นรถม้าของท่านเศรษฐีที่เพิ่งจะมาถึงได้ไม่นาน ก็พอดีที่คนงานขนเอาข้าวของลงมาจนหมด ชายหนุ่มเปิดประตูออกให้เธอขึ้นไปนั่งแล้วรีบขึ้นไปนั่งส่วนคนขับอย่างรวดเร็ว ไม่กี่อึกใจตัวรถม้าที่มีหญิงสาวท่าทางพะวักพะวงในชะตากรรมของตนก็เคลื่อนตัว
“มีนา! แล้วกลับมาเยี่ยมข้านะ” แวนดี้ซึ่งวิ่งกระหืดกระหอบตามออกมาตะโกน
“ฝากดูอาร์เมียร์ให้ด้วยนะแวนดี้” เธอยื่นหน้าออกไปตะโกนกลับ โดยที่ไม่รู้เลยว่าตนจะได้มีโอกาสได้กลับมายังสถานที่แห่งนี้อีกหรือเปล่า

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา