สองพี่น้องฮันเตอร์ กับ ไข่มังกรแห่งซาเกร็ตต์

8.7

เขียนโดย ชาร์ลี

วันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2558 เวลา 23.01 น.

  6 ตอน
  4 วิจารณ์
  9,346 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2558 02.19 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

4) IV: แม็กนัส พาราดีนย์ รอดเจอร์

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
IVแม็กนัส พาราดีนย์ รอดเจอร์
 
เทรซีถูกอุ้มเข้าไปในหอสังเกตการณ์ ขณะที่นิโคลัสได้แต่นั่งตัวแข็งทื่ออยู่บนทางเดินเหมือนตอไม้ เขาไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นเลย บางทีนี่อาจจะเป็นส่วนหนึ่งของความฝันก็เป็นได้ ทำไมช่วงนี้เขาถึงฝันร้ายบ่อยจังนะ ดังนั้นนิโคลัสจึงหยิกแขนตัวเองอย่างแรงและตบหน้าตัวเองเพื่อยืนยันอีกครั้ง
“โอ้ยยยยย” เขาร้องอย่างเจ็บปวด “นี่มันอะไรกันเนี่ย ฉันอยู่ที่ไหน”
“เจ้าอยู่บนกำแพงเมืองทิศเหนือ ยังหอสังเกตการณ์ของข้า”
ชายคนนั้นบอก ขณะเดียวกันก็เยื่องย่างเข้ามาใกล้
บางอย่างทำให้นิโคลัสรู้สึกเหมือนถูกคุกคาม เขาพยายามกระเถิบถอยหลัง แต่เมื่อมือของเขาคล่ำเจอปากทางลงสู่บันไดเหล็ก นิโคลัสก็พบว่าตัวเองจนตรอก
“คุณเป็นใคร ต้องการอะไร ส่งตัวเทรซีมาเดียวนี้นะ” นิโคลัสถามอย่างอับจนหนทาง จากนั้นก็ตั้งหลักลุกขึ้นยืนประจันหน้า
ชายคนนั้นยิ้มจนเห็นฝันขาวที่เรียงตัวกันสวยงาม แน่ใจว่าเขากำลังหัวเราะอยู่ นิโคลัสเริ่มรู้สึกโกรธที่เหมือนถูกมองเป็นตัวตลก นี่อาจเป็นความกล้าหาญที่เขาไม่เคยแสดงออกที่ไหน เขายกมือทั้งสองข้างขึ้นและกำมัดในท่าป้องกันตัว จากนั้นก็พูดอย่างเดือดดาน
“ผมไม่สนว่าคุณเป็นใคร” เขาบอก “ถ้าไม่คืนเทรซีมาละก็เจอดีแน่!”
“เย็นไว้เด็กน้อย ข้าไม่ทำอะไรคู่แฝดของเจ้าหรอก” ชายคนนั้นบอกอย่างสงบ “จงเก็บแรงของเจ้าไว้เถอะ”
ชายร่างสูงตรงหน้ามองนิโคลัสครู่หนึ่งก่อนจะหันหลังและเดินตรงไปยังประตูหอสังเกตการณ์ จากนั้นก็ทำอะไรบางอย่างที่ทำให้นิโคลัสต้องเผลอหลุดเสียงกรีดร้องออกมา ชายร่างสูงยื่นมือทั้งสองข้างออกไปข้างหน้า มีแสงสีขาวสว่างวาบออกมาจากข้อมือของเขา จากนั้นเขาก็พึมพำอะไรบางอย่าง ราวกับกำลังพูดกับตัวเอง
“ตามข้ามา” เขาว่า พยักเพยิดหน้าไปทางประตู “เจ้าคงไม่อยากหนาวตายอยู่ข้างนอกหรอกใช่ไหม”
เมื่อถึงตอนนี้ นิโคลัสเพิ่งตระหนักได้ว่าอากาศบนกำแพงเมืองช่างหนาวเหน็บเพียงไร สายลมโหมกระหน่ำพัดใส่เขาอย่างต่อเนื่องซึ่งทำให้นิโคลัสตัวสั่นเทิ่ม เขาชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง ระหว่างต้องเข้าไปในหอสังเกตการณ์ที่มีแสงไฟสีเหลืองชวนอบอุ่นโดยมีเทรซีนอนสลบอยู่ หรือจะวิ่งกลับลงไปข้างล่างและขอความช่วยเหลือจากทหารยาม แต่จากที่ได้เห็นชายคนนั้นทำอะไรเหนือธรรมชาติกับประตูบานนั่น นิโคลัสก็เลือกเดินไปตามเส้นทางแคบ ๆ สู่หอสังเกตการณ์ โดยมีชายร่างสูงในชุดคลุมสีเทายืนรออยู่
“ขอต้อนรับ ว่าที่ลูกศิษย์” ชายคนนั้นบอก จากนั้นก็ผลักเปิดบานประตูออกกว้าง
นิโคลัสไม่สนใจคำว่า “ว่าที่ลูกศิษย์” อะไรนั่น สิ่งที่ดึงความสนใจทั้งหมดไปจากเขาคือสัญลักษณ์บางอย่างคล้ายรูปปลา ซึ่งเรืองแสงสีขาวอยู่ที่กลางบานประตูเหล็ก
 

“คุณเป็นผู้ใช้เวท!” นิโคลัสพูดขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย “คุณกล้ามากที่มาเมืองของเรา ในเมื่อ…”
ชายคนนั้นยกมือขึ้นพร้อมกับจุ๊ปาก ซึ่งไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงต้องหยุดชะงักเอาเสียดื้อ ๆ
“เข้าไปคุยกันต่อข้างในจะดีกว่า ตกลงไหม” ชายคนนั้นพูดเชิงบังคับ นิโคลัสจ้องหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดเคราดกหนา ก่อนจะสบกับดวงตาสีน้ำเงินเข้มคู่นั้น จู่ ๆ แรงโทสะข้างในก็อ่อนกำลังลง เขายอมทำตามที่ชายคนนั้นบอกและเข้าไปข้างในหอสังเกตการณ์ในที่สุด
นิโคลัสคิดว่าอาจจะยังไม่ตื่นจริง ๆ เพราะตอนนี้เขากำลังมองภายในหอสังเหตุการณ์ที่ตกแต่งอย่างสวยงามด้วยเครื่องเงิน โดยเนื้อที่ภายในห้องนั้นมีกว้างขวางกว่าที่เห็นภายนอก ผนังก่อด้วยอิฐชนิดเดียวกันกับกำแพงเมือง แต่ต่างกันตรงที่มันมีตัวอักษรและสัญลักษณ์แปลก ๆ สลักเอาไว้และดูสะอาดสะอ้านกว่ามาก ที่สุดปลายห้องมีเตาผิงธรรมดา ๆ ซึ่งมีโต๊ะไม้กับโซฟาหนังสามตัวอยู่ด้านหน้า โซฟาตัวหนึ่งมีร่างของเทรซีนอนหลับใหลภายใต้ผ้านวม ข้างเตาผิงทั้งสองข้างมีชั้นวางหนังสือที่เจาะเข้าไปในผนัง บนนั้นมีหนังสือมากมายเรียงรายแน่นขนัด ผนังทุกด้านมีหน้าต่างบานเล็ก ๆ ที่สามารถมองเห็นวิวข้างนอกได้ชัดแจ๋ว นิโคลัสเดินเข้ามาเรื่อย ๆ จนกระทั่งรู้สึกถึงบางอย่างนุ่ม ๆ ใต้ฝ่าเท้า เขาก้มมองดูจึงพบว่ากำลังยืนอยู่บนพรมสีม่วงปักด้วยลวดลายสีทองขนาดใหญ่ มันมีรูปทรงเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า ซึ่งขนาดของมันกินพื้นที่ไปมากกว่าครึ่งห้อง
ชายคนนั้นเผยรอยยิ้มอย่างพอใจ ก่อนจะชี้ให้นิโคลัสไปนั่งที่โซฟาหน้าเตาผิง ถ่านสีแดงดีดดังเปี๊ยะ ๆ และมอบความอบอุ่นให้ขณะที่เคลื่อนเข้าไปใกล้ เทรซีครองพื้นโซฟาตัวใหญ่ตรงกลางไปหมด ดังนั้นเขาจึงเลือกนั่งโซฟาตัวเล็กทางฝั่งซ้าย ส่วนชายเจ้าของห้องนั่งลงที่โซฟาซึ่งเหลือเพียงตัวเดียวอยู่ฝั่งตรงข้าม
แม้จะรู้สึกดีที่ได้เข้ามานั่งในที่อุ่น ๆ ซึ่งมีกลิ่นหอมของเหมือนตะไคร้ลอยอบอวลอยู่ในอากาศ ถึงกระนั้นนิโคลัสก็ยังไม่เลิกระแวดระวังชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่ตรงข้าม เขามองเทรซีที่ยังคงนอนหลับไม่รู้เรื่อง ขณะเดียวกันนึกอยากรู้เวลา ณ ตอนนั้น
จู่ ๆ ก็มีสัญลักษณ์คล้ายรูปปลาสว่างวาบขึ้นบนโต๊ะไม้ มันเรืองแสงสีขาวเจิดจ้าก่อนจะหายไปในเวลาอันสั้น นาฬิกาห้อยคอเรือนหนึ่งวางอยู่ตรงจุดที่สัญลักษณ์เคยปรากฏ นิโคลัสถอยกรูดไปด้านหลังจนเกือบทำโซฟาพลิกคว่ำ
“เจ้ามีเวลาเหลือเฟือในนี้” ชายคนนั้นว่า หยิบนาฬิกาบนโต๊ะขึ้นดูเวลา “ไม่เห็นต้องรีบร้อนเลย”
นิโคลัสพยายามเรียกสติที่กระเจิดกระเจิงกลับมา เขาต้องเป็นบ้าไปแล้วแน่ ๆ เขาเห็นนาฬิกาเรือนหนึ่งที่จู่ ๆ ก็โผล่ขึ้นมาหลังจากแสงประหลาดนั่นหายไป ทุกอย่างผิดปกติไปหมด
“นะ…นั่นคุณทำดะ…ได้ยังไง” นิโคลัสพูดติดอ่าง สีหน้าหวาดกลัวสุดขีด “คุณเสกนาฬิกาเรือนนั้นเหรอ?”
“ข้าเปล่า เจ้าต่างหาก” ชายคนนั้นบอก ก่อนจะเก็บนาฬิกาเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ “เจ้าอยากรู้เวลาและห้องนี้ก็เข้าใจความคิดเจ้า มันจึงตอบสนองความต้องการนั้น”
นิโคลัสไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่กับสิ่งที่ชายคนนั้นอธิบาย เขามองใบหน้ารกหนวดและพยายามรักษาระยะห่างให้มากที่สุด
เสียงถ่านในเตาผิงแตกดังเปี๊ย ๆ มีประกายไฟวิบวับลอยขึ้นในอากาศก่อนจะมอดดับไป ไม่มีใครพูดอะไรกัน อากาศหนาแน่นไปด้วยความเงียบชวนอึดอัด
“คุณเป็นใคร” นิโคลัสตัดสินใจทำลายความเงียบ “ต้องการอะไรจากเรา”
“เป็นความถามที่ดี” เขาว่า ก่อนจะมองหน้านิโคลัส “ชาสักแก้วไหม”
บอกตามตรง ตอนนี้นิโคลัสเริ่มอยากจะชกหน้าชายคนนี้ขึ้นมาจริง ๆ ทำไมเขาถึงต้องลีลาท่ามากขนาดนี้ อีกทั้งยังไม่ยอมตอบคำถามของเขาสักที แต่นิโคลัสก็รู้ดีว่าควรจะเล่นไปตามเกมส์ เขาไม่อยากถูกสาปเป็นหนู หรือเลวร้ายกว่านั้นอาจกลายเป็นแมลงตัวเล็ก ๆ ที่พวกแม่ค้าชอบใช้ไม้ไล่ตบ
นิโคลัสพยักหน้าช้า ๆ ชายคนยิ้มให้อย่างเป็นมิตร จากนั้นก็ดีดนิ้วเสียงดังเปี๊ยะ
 

 
โต๊ะเรืองแสงสีเขียวโดยมีสัญลักษณ์แปลก ๆ ปรากฏขึ้นตรงกลาง สัญลักษณ์อย่างที่สามที่นิโคลัสเห็นในวันนี้ เมื่อมันดับลง ถ้วยกระเบื้องสองใบกับกาต้มน้ำก็ตั้งอยู่บนโต๊ะ ชายคนนั้นหยิบกาต้มน้ำและลุกขึ้นเดินไปยังเผาผิง เทน้ำที่บรรจุอยู่ในไหเหนือเตาผิงใส่กา ก่อนจะนำมันไปแขวนที่ตะขอเหนือกองไฟ
ชายคนนั้นยังคงยืนหันหลังให้นิโคลัส ทำให้เขามีโอกาสมองแผ่นหลังกว้างน่าเกรงขาม เมื่อคิดว่าอาจจะปลุกเทรซีได้เขาก็ใช้มือเขย่าตัวเธอซึ่งนอนอยู่บนโซฟาข้าง ๆ อย่างแรง เธอไม่ตื่น แถมยังนอนกรนเสียด้วยชายคนนั้นกลับมาพร้อมกับน้ำร้อนพร้อมชงชา หลังจากเปิดฝาหม้อและเทใบชาจำนวนมากลงไป นิโคลัสได้กลิ่นหอมจาง ๆ ของใบไม้ที่ไม่เคยได้กลิ่นจากที่ไหนมาก่อน มันลอยออกมาพร้อมกับควันฉุยสีขาวจากปากกาน้ำ ชายคนนั้นเทชาให้เขาอย่างบรรจง จากนั้นก็เทให้ตัวเอง
“สำหรับคืนนี้ข้าจะตอบคำถามของเจ้าเพียงสามข้อเท่านั้น” เขาบอกขณะรินชาใส่ถ้วยกระเบื้อง
ไม่นานก็วางกาน้ำร้อนลงบนโต๊ะและกลับไปนั่งที่โซฟาตรงข้ามนิโคลัส มองหน้าเด็กชายที่ตัวสั่นและดูหวาด ๆ
นิโคลัสมองถ้วยชาที่มีควันสีขาวบาง ๆ ลอยขึ้นมา มันคงจะช่วยให้เขาคลายหนาวได้มากหากจิบมันสักหน่อย แต่แล้วก็ตัดสินใจว่าไม่ดีกว่า มันอาจมียาพิษก็ได้
“หมายความว่าไงแค่สามข้อ” นิโคลัสว่า ขมวดคิ้วหนาเข้าหากัน “ผมมีคำถามมากมายเต็มสมองจะถามคุณนะผู้ใช้เวท”
“แม็กนัส” ชายคนนั้นเอ่ยขัดจังหวะ
จากนั้นเขาก็นั่งหลังตรง ประสานมือทั้งสองเข้าหากันและท้าวไว้ตรงหว่างขาทั้งสองข้าง ซึ่งดูเป็นการเป็นงานเอามาก ๆ
“นามของข้าคือแม็กนัส พาราดีนย์ รอดเจอร์” เขาว่าต่อไป “ผู้ใช้เวทแห่งรูน ศิษย์ของท่านจอมเวทแห่งเมืองซานเดียร์”
หลังจากกล่าวจบ ทั้งสองก็เอาแต่มองหน้ากันนิ่ง ๆ ราวกับว่ารอให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งพูดอะไรออกมาก่อน นิโคลัสสงสัยว่านายผู้ใช้เวทแม็กนัสคงจะรอให้เขาร้อง “ว้าว” ไม่ก็ “ยอดไปเลย” อะไรทำนองนั้น แต่คงต้องฝันไปก่อนนะเพราะเขาไม่เข้าใจอะไรที่หมอนั่นพูดสักนิด
“เอาล่ะแม็กนัส” นิโคลัสเอ่ยขึ้นในที่สุด เขาสูดอากาศเข้าปอดลึก ๆ และระเบิดมันออกมา “ผมไม่รู้หรอกนะว่าคุณมากจากที่ไหนหรือเป็นลูกศิษย์ของใคร แต่เมืองของเรามีการป้องกันการรุกรานจากผู้ใช้เวทอย่างหนาแน่น ซึ่งผมก็ไม่รู้หรอกว่าคุณผ่านเข้ามาได้ไง อ่อใช่ คงเพราะเวทมนต์สินะ แต่ผมจะบอกอะไรให้อย่างหนึ่ง คุณอยู่ที่นี่ไม่ได้ เด็ด ขาด ในเมื่อพวกคุณทำให้เมืองของเราตกอยู่ในสภาพนี้ คุณยังกล้ามาเหยียบที่นี่อีกงั้นเหรอ!”
พูดจบนิโคลัสก็หอบหายใจ เขาจ้องแม็กนัสที่กำลังยกถ้วยชาขึ้นมาบรรจงเป่า ก่อนจะจิบอย่างสบาย ๆ หมอนี่ชักจะเกินไปแล้ว
“ข้าจะถือว่านี่เป็นคำถามข้อที่สอง สำหรับข้อแรกนั้นข้าได้บอกชื่อของข้าไปแล้ว”
แม็กนัสบอกและวางถ้วยชาที่ยังส่งควันฉุยลงบนโต๊ะ สักพักก็ถอนหายใจและเสมองไปยังกองไฟที่ลุกโชนอยู่ในเตาผิง ใบหน้าเขาสะท้อนแสงไฟจนเกิดเป็นเงาสีดำซึ่งอาจทำให้ดูน่ากลัวเล็กน้อย
“คนเราย่อมมีทั้งดีและไม่ได้ บรรพบุรุษของเราน่ะอารมณ์ร้อนรู้ไหม พวกเขากระทำเรื่องเลวร้ายเพราะขาดความตระหนักยั้งคิด แม้ข้าจะไม่อาจบอกได้ว่าอะไรคือบ่อเหตุของเรื่องทั้งหมดนี่ แต่ข้าสามารถบอกเจ้าได้ว่าข้ามาเพื่อช่วย”
แม็กนัสเล่าด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ถึงกระนั้นนิโคลัสก็สัมผัสได้ถึงความจริงใจและอ่อนโยนในคำว่า “ช่วย”เขาตัดสินใจไม่พูดถึงเรื่องนี้ต่อและระวังไม่ให้ถามอะไรออกไปซี้ซั้ว นิโคลัสหันไปมองเทรซีซึ่งยังคงนอนอยู่บนโซฟา เธอนอนกรนเบา ๆ ก่อนจะพลิกตัวเปลี่ยนท่า
“คุณทำอะไรกับเทรซี” นิโคลัสถาม ซึ่งเป็นคำถามที่เขาอยากรู้มากที่สุด “เธอบอกว่าจะไปหาอาร์ทิมีส แต่กลับวิ่งตรงมาทางกำแพงเมือง ดูเหมือน…เธอไม่เป็นตัวของตัวเองเลย คุณสะกดจิตเธอเหรอ?”
แม็กนัสทำเสียงอ่อดัง ๆ
“เป็นเพราะอักษรรูนไรโดครอบงำเธอ” แม็กนัสบอกอย่างใจเย็น ต่างจากนิโคลัสที่ทำท่าราวกับว่านี่เป็นเรื่องร้ายแรงมาก “ตอนนั้นเธอคงอยู่ในภาพกึ่งหลับกึ่งตื่น เดาว่าคงกำลังฝันถึงอาร์ทิมีส แต่สุดท้ายพลังของรูนก็นำทางเธอมาถึงจุดหมายได้สำเร็จ”
“เดียวนะ รูนอะไรกัน ใช่ตัวอักษรที่เหมือนตัว อาร์ หรือเปล่า” นิโคลัสถามอย่างสงสัย
เมื่อนึกขึ้นได้เขาก็ค้นถุงย่ามแล้วหยิบหนังสือสีแดงออกมา จากนั้นก็พลิกหนังสือไปยังหน้าสุดท้ายที่มีตัวอักษรนั่นปรากฏอยู่ เขายื่นมันไปตรงหน้าแม็กนัส โดยลืมไปว่าเขาอาจมองไม่เห็นมันก็ได้
“อ่า ถูกต้อง” แม็กนัสว่าอย่างพอใจ จากนั้นก็ซดน้ำชาหมดถ้วย “ไรโด อักษรรูนแห่งการเดินทาง”
“คุณมองเห็นมันด้วยหรือ?” นิโคลัสถามอย่างแปลกใจและพูดเสียงสูงกว่าปกติ “แม็กนัสคุณมองเห็นมันใช่ไหม ผมไม่ได้เป็นบ้า!”
“แน่นอนข้าเห็นมัน” แม็กนัสบอก “ข้าเป็นคนวาดมันลงไปในหนังสือของเจ้า อ้อแล้วก็ของเทรซีด้วย”
แม็กนัสชี้นิ้วมาทางหนังสือสีแดงในมือนิโคลัส เมื่อมองในระยะใกล้ เขาคิดว่าเห็นรอยดำประหลาดบนมือของแม็กนัส รอยดำราวกับถูกไฟไหม้นั่นลามไปทั่วฝ่ามือ ซึ่งนิโคลัสได้แต่บอกตัวเองว่าไม่ให้ตั้งข้อสงสัย
“หมายความว่าไงของเทรซีด้วย” นิโคลัสถาม “คุณคงไม่ได้วาดมันในหนังสือวัฏจักรชีวิตกบบลูฟร็อกซ์หรอกนะ”
“เปล่า ๆ แหมเด็กน้อย เห็นข้าอย่างนี้ข้าก็เลือกอยู่นะ” แม็กนัสว่า ก่อนะจะยิ้มนิด ๆ “ข้าวาดมันในบันทึกการเดินทางของแอ็งกัส เบิร์กต่างหาก”
แล้วนิโคลัสก็นึกถึงคำพูดของเทรซีได้ ตอนที่พวกเขายังอยู่ที่ห้องนอนชั้นเจ็ดบนบ้านหอคอย ตอนนั้นเทรซีพยายามจะอธิบายอะไรบางอย่าง แต่เขากลับขัดจังหวะขึ้นก่อน ตอนนี้นิโคลัสเข้าใจแล้วว่าเทรซีเองก็พบอักษรรูนไรโดที่ว่าเหมือนเช่นกัน รู้สึกเสียใจเหลือเกิน
“แสดงว่าเป็นคุณสินะ คุณตั้งแต่ต้นเลยแม็กนัสที่ทำให้เราพบหนังสือนี่”
แม็สหยักหน้าเงียบ ๆ
“คุณทำได้ยังไง คงเป็นเพราะใช้เวทมนต์อีกแล้วสินะ”
แม็กนัสยักไหล่ ซึ่งไม่ได้ให้คำตอบอะไรกับนิโคลัสมากนัก
“แล้วทำไมอักษรรูนนั่นถึงมีผลกับเทรซีคนเดียวล่ะ” นิโคลัสถามอีกครั้ง
แม็กนัสหรี่ตามองเด็กชายผมดำตรงหน้า ก่อนจะเม้มปากหยักอย่างครุ่นคิด
“ข้าก็ไม่รู้” แม็กนัสตอบอย่างอับจนปัญญา “บางทีเทรซีอาจจะเปิดจิตแล้ว แต่เจ้ายังไม่”
นิโคลัสทำหน้างุนงง จากนั้นก็ตัดสินใจยกถ้วยชาขึ้นมาซดรวดเดียวหมด หวังว่าคงไม่ตายนะ
“อะไรคือเปิดจิต” นิโคลัสถาม “ช่วยอธิบายให้เข้าใจหน่อยได้ไหม”
จริง ๆ แล้วนิโคลัสกำลังสับสน เขาคิดว่าความหมายของคำว่า “เปิดจิต” อาจเหมือนกับ “เปิดสมอง” ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นเขาก็ไม่แปลกใจนักว่าทำไมอักษรรูนนั่นถึงไม่ได้ผลกับเขา
แต่แม็กนัสกลับส่ายหน้า ก่อนจะเอนหลังพิงผนักโซฟาอย่างผ่อนคลาย
“คำถามนั่นอยู่นอกเหนือขอบเขต” เขาว่า “ข้าจะตอบคำถามที่อยู่ในขอบเขตจากคำถามทั้งสามข้อเท่านั้น”
นิโคลัสทำหน้าผิดหวังก่อนจะร้องคร่ำครวญ
“โถ่ไม่เอาหน่า” นิโคลัสว่า จากนั้นก็นึกอะไรขึ้นมาได้ “งั้นอย่างน้อยก็ช่วยอธิบายว่าอะไรคือรูน ซึ่งผมจะขอบคุณมากเลย”
สิ้นสุดคำถามของนิโคลัส แม็กนัสก็หน้าชื่นบาน เขาโปรดปรานนักที่จะได้พูดถึงความมหัศจรรย์พันล้านของอักษรรูน เขาเปลี่ยนมานั่งหลังตรงอีกครั้ง ก่อนจะเริ่มเล่าอย่างกระตือรือร้น
“อักษรรูนคืออักขระทางมนตรา มันคือตัวแทนระหว่างความปรารถนาต่าง ๆ ซึ่งแปลงให้อยู่ในรูปของลายเส้นหรือสัญลักษณ์ที่เป็นรูปธรรม
“อักษรรูนมีมากมายหลายตัว แต่หลัก ๆ แล้วผู้ใช้เวทอย่างเรายึดถือเพียงแค่ยี่สิบสี่ตัวอักษรเท่านั้น ซึ่งข้าจะอธิบายให้เจ้าฟังภายหลังเมื่อเจ้าตกลงยอมรับจะเป็นว่าที่ลูกศิษย์”
พูดจบแม็กนัสก็หยิบนาฬิกาห้อยคอเรือนนั้นออกมาจากกระเป๋า จากนั้นก็เพ่งมองหน้าปัด
“ข้าว่าถึงเวลาที่เจ้าควรพักผ่อนแล้ว” แม็กนัสบอก จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนและเดินไปยังโต๊ะเตี้ย ๆ ที่ตั้งอยู่ข้างเตาผิง บนนั้นมีกล่องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ วางอยู่
แต่นิโคลัสยังไม่ยอมแพ้ เขายังคงตื้อให้แม็กนัสตอบคำถามที่เขาสงสัย ขณะที่นิโคลัสกำลังจะอ้าปากถาม แม็กนัสก็เอ่ยขัดขึ้นมาก่อน
“อ้า ข้ารู้ ๆ เจ้านี่ขี้สงสัยเหลือเกิน” จู่ ๆ แม็กนัสพูดขึ้นราวกับรับรู้ความคิดของเด็กชาย “ใช่ ข้าเป็นคนเสกหมอกนั่นขึ้นมาเอง ต้องขอบคุณข้านะ เพราะไม่อย่างนั้นพวกเจ้าโดนทหารยามจับตัวไปนานแล้ว”นิโคลัสหุบปากและกลืนประโยคที่ตั้งใจจะพูดลงคอ จากนั้นก็พูดว่า
“อ่อเหรอ ขอบคุณมาก ๆ นะครับที่กรุณาเสกหมอกน่ารำคานนั่นเพื่อช่วยพวกเรา” นิโคลัสประชดประชัน“ด้วยความยินดี ว่าที่ลูกศิษย์”
นิโคลัสกลอกตา ก่อนจะเก็บหนังสือเข้าไปในย่ามและลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เขาพบว่าตัวเองไม่ง่วงนอนเลยซึ่งน่าประหลาดเอามาก ๆ ทั้งที่ตอนนี้ก็ดึกมากแล้วหรืออาจจะย่างเข้ารุ่งสางไปแล้วก็เป็นได้
“ขอบคุณสำหรับน้ำชาครับ แต่เราต้องไปแล้ว” นิโคลัสบอก จากนั้นก็ทำท่าจะอุ้มเทรซีขึ้นจากโซฟาแม็กนัสเห็นดังนั้นจึงหันกลับไปและเดินตรงไปยังนิโคลัสด้วยอย่างรวดเร็ว
“เป็นข้าจะไม่ทำอย่างนั้นแน่” เขาว่า “เชื่อเถอะสักวันเจ้าจะต้องขอบคุณข้าที่ทำให้วันนี้เกิดขึ้น”
นิโคลัสหยุดกึกและวางเทรซีลงบนโซฟา เธอสะลึมสะลือก่อนจะหลับต่อไปอีกครั้ง
“แม็กนัส จริง ๆ นะ คุณพูดอะไรไม่รู้เรื่องเลย” นิโคลัสขึ้นเสียงเล็กน้อย “ผมไม่แจ้งพวกทหารยามมาจับคุณก็ดีเท่าไหร่แล้ว”
ทันใดนั้นทั้งห้องก็ดูจะสั่นสะเทือนราวกับกำลังเกิดแผ่นดินไหว กองไฟในเตาผิงก็ค่อย ๆ มอดดับลง ทำให้ห้องมืดสลัวจนสัมผัสได้ถึงอากาศหนาวเย็นที่แทรกตัวเข้ามา นิโคลัสรู้สึกแสบคันที่ผิวหนังก่อนจะพบว่าอากาศหนาแน่นไปด้วยประจุไฟฟ้าแล่นเปรี๊ยะปร๊ะ ราวกับว่าแม็กนัสกำลังจะระเบิดหอสังเกตการณ์เป็นจุลในอีกไม่กี่วินาที
“นิโคลัส ฮันเตอร์” เสียงของแม็กนัสดังก้องและทำให้เขาขนหัวลุก “ข้ามาเพื่อช่วยเจ้า ช่วยเหลือเมืองของเจ้าให้หลุดพ้นจากคำสาป แม้ว่าเจ้าจะถูกลิขิตมาให้เป็นผู้เปลี่ยนชะตา แต่ถ้าเจ้าไม่เชื่อในคำพูดของข้า ข้าเองก็จะไม่ไว้หน้าเจ้าเช่นกัน!”
นิโคลัสเข่าอ่อน เขาทรุดลงไปกองกับพื้นห้องอย่างขวัญหนีดีฟ่อ นี่คือครั้งแรกที่เขาได้เห็นเวทมนต์ที่ทรงพลัง ซึ่งมันไม่ใช่แบบที่เขาอยากจะเห็น ทั้งน่ากลัวและดูอันตราย เสื้อคลุมของแม็กนัสปลิ้วสะบัดไปมาทั้ง ๆ ที่ไม่มีลมพัด สีหน้าของเขาดูขุ่นเคือง กำไรข้อมือเรืองแสงสีแดง ก่อนจะค่อย ๆ ดับวูบพร้อมกับทุกอย่างในห้องกลับมาเป็นปกติ
แม็กนัสหลับตาและสะบัดศีรษะ
“ข้าขอโทษนิโคลัส” เขาบอก ปรับน้ำเสียงให้อ่อนโยน “ข้าควรจะควบคุมอารมณ์ตัวเองให้ดีกว่านี้”
นิโคลัสกระเถิบไปนั่งติดโซฟาของเทรซีอย่างหวาดกลัว พร้อมกับมองแม็กนัสกำลังเดินกลับไปที่โต๊ะเตี้ย ๆ ข้างเตาผิง เขารู้ดีว่าอารมณ์โกรธนั้นเป็นเช่นไร มันมีอานุภาพมากกว่าที่คิดเสียอีก
“คืนนี้เจ้าต้องนอนที่นี่” แม็สนัสบอก จากนั้นก็เดินมายังนิโคลัสพร้อมกับกล่องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ
นิโคลัสเรียนรู้แล้วว่าไม่ควรขัดใจผู้ใช้เวท ดังนั้นสิ่งที่เขาทำได้คือการพยักหน้าอย่างว่าง่าย
“ในกล่องนี้คือลูกไฟ” เขาบอก จากนั้นก็เปิดฝากล่องออก เผยให้เห็นลูกบอลสีทองทรงกลมสามลูกที่มีขนาดเท่าลูกปิงปอง มันวางเรียงรายอยู่ในหลุมตื้น ๆ ขนาดพอดีตัว
แม็กนัสหยิบขึ้นมาอันหนึ่งและโยนขึ้นไปในอากาศ จากนั้นสิ่งที่น่าเหลือเชื่อก็บังเกิดขึ้น เมื่อลูกบอลนั่นเรืองแสงสีเหลืองและสว่างจ้า จากนั้นมันก็กางปีกเล็ก ๆ สีเงินและบินค้างอยู่ในอากาศ มีเสียงกระพือปีกดัง หึ่ง ๆ เบา ๆ
“นั่นลูกไฟของข้า” แม็กนัสบอก ชี้นิ้วไปยังลูกไฟที่กำลังบินไปมาทั่วห้อง จากนั้นก็ส่งให้นิโคลัสหนึ่งลูก ลูกไฟที่ว่าทำมาจากโลหะสีทอง (นิโคลัสไม่แน่ใจว่ามันทำมาจากทองหรือไม่) พื้นผิวเย็น ๆ เรียบลื่นทั้งสองข้างมีรูเล็ก ๆ ซึ่งน่าจะเป็นจุดยื่นออกและหดเข้าของปีก มันมีน้ำนักเบากว่าที่คิด นิโคลัสลองเขย่ามัน คาดว่าจะมีเสียงอะไรบางอย่างดังก๊องแก๊ง แต่ไม่มีอะไรเลย จากนั้นเขาจึงตัดสินใจโยนมันขึ้นไปในอากาศแบบที่แม็กนัสทำ ลูกไฟกางปีกเล็ก ๆ ออกมาและเปล่งแสงสีเหลืองจ้าเหมือนดวงจันทร์ขนาดจิ๋ว
นิโคลัสยิ้มออกในที่สุด เขาชอบเจ้านี่ ลืมวิธีจุดตะเกียงไปได้เลย
“ผมขอนะ” นิโคลัสพูดขณะนั่งมองดูลูกไฟทั้งสองบินไปมาอยู่เหนือศีรษะ
“แน่นอนมันเป็นของเจ้า” แม็กนัสบอกอย่างโล่งใจ รู้สึกดีที่นิโคลัสชอบมัน “ส่วนนี่ของเทรซี แต่ข้าจะเก็บไว้จนกว่านางจะฟื้น”
ถึงอย่างนั้น นิโคลัสก็ยังคิดว่าไม่จำเป็นต้องค้างคืนที่นี่ คาดว่าป่านนี้คงเช้าแล้ว ที่สำคัญพวกเขาต้องกลับให้ทันก่อนที่พ่อกับแม่จะตื่น
“ขอบคุณสำหรับลูกไฟนะแม็กนัส” นิโคลัสบอก ไม่กล้าสบตาชายตรงหน้า “ขอบคุณที่เสนอจะให้เราพักที่นี่ แต่ผมคิดว่าตอนนี้คงเช้าแล้ว และเราต้องรีบกลับบ้านก่อนพ่อกับแม่จะตื่น”
แต่จู่ ๆ นิโคลัสก็พบว่าแม็กนัสเริ่มหัวเราะจนตัวงอ ราวกับเขาเพิ่งเล่ามุกที่ตลกมาก ๆ
“ฮ่า ๆ ๆ ขะ…ข้าลืมบอกไป” แม็กนัสพยายามควบคุมตัวเอง
เขาปาดน้ำตาที่ซึมด้วยหลังมือ จากนั้นก็เดินไปยังประตูเหล็กหน้าหอสังเกตการณ์และชี้นิ้วไปยังสัญลักณ์รูปปลาที่ยังคงเรืองแสงสีขาว
“นี่โอธาลา อักษรรูนแห่งห่วงเวลา หนึ่งในรูนสำคัญทั้งยี่สิบสี่ มีอำนาจสามารถกำหนดขอบเขตเวลาได้อย่างอิสระภายในพื้นที่ขนาดเล็ก”
พูดจบแม็กนัสก็ใช้มือข้างที่มีรอยไหม้เกรียมแตะไปที่สัญลักษณ์ มันกระพริบถี่ ๆ ก่อนจะหายไปในที่สุด ทันใดนั้นนิโคลัสก็รู้สึกถึงความเหนื่อยล้าและความง่วงที่พุ่งเข้าจู่โจมอย่างฉับพลัน รู้สึกแสบเปลือกตาเหตุเพราะอดหลับอดนอน เวลาในห้องกลับมาเดินตามปกติแล้ว
“เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงเทรซีหรอก ปล่อยให้นางนอนพักตรงนี้เถอะ” แม็กนัสบอกอย่างอ่อนโยน “ข้าจะดูแลเอง ไว้ใจข้าได้”
ณ เวลานี้นิโคลัสไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าการได้นอนบนเตียงอุ่น ๆ และห่มผ้าห่มหนา ๆ เขาจ้องเข้าไปในดวงตาสีน้ำเงินเข้มของแม็กนัส จากนั้นก็จะพยักหน้า
นิโคลัสเดินตามแม็กนัสไปยังพรมสีม่วงปักลวดลายสีทองซึ่งปูไว้กลางห้อง ลูกไฟทั้งสองบินตามเจ้าของไปพร้อมกับส่งเสียงหึ่ง ๆ มันตามมาส่องแสงสว่างบริเวณนั้น แม็กนัสคุกเข่าลงตรงกลางพรมเนื้อดี ก่อนจะใช้มือเคาะมันสามครั้งราวกับกำลังเคาะประตู
ทันใดนั้นเนื้อผ้าตรงกลางก็ค่อย ๆ เลือนหายไปและถูกแทนที่ด้วยประตูกลที่ทำจากเหล็ก มันมีลักษณะเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส ด้านข้างประตูมีห่วงไว้สำหรับดึงเปิด สิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าแทบจะทำให้นิโคลัสหายง่วงนอนเป็นปริดทิ้ง
แม็กนัสจับที่ห่วงและดึงประตูให้เปิดขึ้นมาจากพื้น ลูกไฟทั้งสองบินลงไปข้างล่างอย่างรู้งาน มันส่องแสงสีเหลืองไปทั่วท่อทรงกลมขนาดใหญ่ที่พอให้คนลงไปได้ นิโคลัสชะเง้อมองลงไปและพบกับบันไดเหล็กคุ้นตาซึ่งเกาะติดผนังท่อ พลางนึกสังหรณ์ใจว่าจะต้องไต่มันลงไป
“เอาล่ะ ขอข้าอธิบายสักนิด” แม็กนัสบอกและเงยหน้ามาสบตา
“เยอะ ๆ ก็ได้ เอ่อ…เชิญเล่าต่อเลย”
“เอาล่ะ ในนี้แบ่งออกเป็นสามชั้น ชั้นล่างสุดคือห้องครัว มีอาหารและเสบียงมากพอตลอดทั้งเดือน ชั้นต่อมาคือห้องนอนของพวกเจ้า หวังว่าคงจะชอบนะ ส่วนชั้นที่สามคือห้องนอนของข้าและข้าขอสั่งห้ามไม่ให้เจ้าเข้าไปยุ่งย่ามเด็ดขาด”
แม็กนัสจ้องตานิโคลัสอย่างขอคำมั่น แม้จะไม่ได้พูดอะไร แต่เขาก็พยักหน้าให้อย่างเป็นอันเข้าใจ“ดีมาก” แม็กนัสว่า “เอาล่ะตามข้ามา”
พูดจบแม็กนัสก็กระโดดลงไปในท่อและไต่บันไดลงไปข้างล่าง เขาดูมั่นใจกับการไต่ไปตามท่อนเหล็กขึ้นสนิมพวกนั้นเสียเหลือเกิน นิโคลัสชั่งใจว่าจะตามไปดีไหม หรือเลือกที่จะนอนบนพื้นข้าง ๆ เทรซี ถ้าหากลงไปแล้วไม่ได้กลับขึ้นมาละ เขากำลังคิดถึงปัญหาต่าง ๆ ที่อาจตามมาภายหลัง
“ตามข้ามาสิ มัวรออะไรอยู่” แม็กนัสตะโกนขึ้นมา เสียงของเขาดังก้องและสะท้อนนิโคลัสเอาย่ามมาคล้องคอ ก่อนจะกลั้นใจไต่ลงบันไดในท่อตามแม็กนัสไป
เมื่อลงมาในนี้เขาพบว่าอากาศอบอุ่นกว่าข้างบน แต่ข้อเสียที่มองข้ามไม่ได้คือกลิ่นเหม็นอับชวนย่นจมูก เหมือนกับมีใครเอากระดาษปาปิรุสเปียก ๆ มาแปะไว้ตามผนังกำแพง นิโคลัสพยายามปรับตัวให้คุ้นชินกับกลิ่นจนเขารู้สึกปวดหัว
เมื่อไต่ลงมาสักพักนิโคลัสก็พบว่ามีชานระเบียงเล็ก ๆ ทำจากโลหะยื่นออกมา พอให้กระโดดขึ้นไปยืนได้ ซึ่งตรงกลางมีบานประตูทรงเหล็กโค้ง เลข “1” เรืองแสงสีเงินบนยอดประตู สันนิษฐานว่านี่คือห้องนอนของแม็กนัส
เขายังคงไต่ลงไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงชั้นที่สองซึ่งมีชานระเบียงและประตูทรงโค้งเหมือนกันกับที่เพิ่งผ่านมา ต่างกันก็ตรงที่มันเก่าและมีฝุ่นเกาะ บนยอดประตูไม่ได้เรืองแสงเป็นเลข “1” แต่เป็นเลข “2” แทน นิโคลัสเห็นแม็กนัสกระโดดขึ้นไปยืนบนระเบียงก่อนหน้าแล้ว และกำลังใช้กุญแจไขเปิดประตู สงสัยเหลือเกินว่าครั้งสุดท้ายที่เข้าออกห้องนี้คือเมื่อไหร่กันแน่
“นี่คือห้องนอนของเจ้า” แม็กนัสบอกหลังจากไขประตูได้สำเร็จ “เข้าไปสิ”
ลูกไฟของนิโคลัสบินตัดหน้าเข้าไปก่อน มันบินวนไปวนมาเป็นวงกลมก่อนจะเพิ่มกำลังแสงให้สว่างจ้ามากกว่าเดิม ซึ่งเป็นประโยชน์มากเพราะทำให้เห็นรายละเอียดต่าง ๆ ได้ชัดเจน
ภายในห้องสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่ทั้งเล็กและแคบ ไร้ซึ่งหน้าต่างใด ๆ มันมีส่วนประกอบไปด้วยที่นอนสองชุดพับกองเป็นระเบียบอยู่กลางห้อง มีโต๊ะเขียนหนังสือสองตัวโดยมีเก้าอี้สอดอยู่ ซึ่งถูกจัดให้หลบชิดติดผนังห้องด้านขวา มีตะขอสองอันติดอยู่บนผนังข้างโต๊ะเขียนหนังสือ นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรเลย ราวกับห้องขังนักโทษก็ไม่ปาน
ใบหน้านิโคลัสฉายแววผิดหวัง ซึ่งแม็กนัสคาดการณ์เอาไว้แล้ว
“เอาน่า ยังไงก็นอนไปก่อน ข้าไม่มีเงินมากพอจะซื้อพรมบ้านหรู ๆ หรอกนะ”
นิโคลัสเลือกจะไม่ถามต่อว่าอะไรคือพรมบ้าน เขาเหนื่อยและง่วงนอนเกินกว่าจะตั้งคำถามใด ๆ นิโคลัสตรงไปยังโต๊ะเขียนหนังสือตัวหนึ่งทางฝั่งซ้าย ปลดกระเป๋าย่ามที่คอออกและวางลงบนโต๊ะ ถอดเสื้อคลุมสีน้ำตาลเก่า ๆ และแขวนไว้ที่ตะขอ จัดการถอดรองเท้าบู้ตหนังโทรม ๆ และวางไว้ข้างประตู ก่อนจะเดินโซเซไปยังกองผ้าตรงกลางห้องและจัดการปูมันให้เข้าที่เข้าทาง
“พักผ่อนให้มาก ๆ นิโคลัส” แม็กนัสบอก จากนั้นก็ทำท่าจะปิดประตู “เจอกันตอนหกโมงที่ห้องครัว ลูกไฟจะปลุกเจ้าเมื่อถึงเวลา เรายังมีธุระกันอีก อ่อ เจ้าหรี่แสงลงได้นะถ้าแสบตา ลูบที่ท้องของมันสิ”
•••
“กรี๊ดดดดด”
นิโคลัสสะดุ้งตื่นจากฟูกนอน ขี้ตาเกอะกังเต็มเบ้าตาจนทำให้มองเห็นอะไรไม่ค่อยชัด ภายในห้องมืด ๆ มีอีกเสียงดังหึ่ง ๆ ลูกไปยังคงฉายแสงเรือง ๆ สีเหลือง นิโคลัสขยี้ตาและมองไปรอบ ๆ ห้อง ทุกอย่างผิดแปลกไปหมด เขาไม่มีหน้าต่างให้มองออกไปข้างนอก ซึ่งยากต่อการคาดเดาเวลา นิโคลัสคิดว่าคงหลับไปได้แค่สี่ชั่วโมง ไม่นานก็ตระหนักได้ว่าที่นี่ไม่ใช่ห้องนอนของตัวเอง
“เทรซี!”
อย่างน้อยเสียงกรีดร้องนั่นก็ไม่ใช่เสียงปลุกของลูกไฟ เพราะท่าเป็นอย่างนั้น นิโคลัสคงต้องเอาคืนแม็กนัสแน่ ๆ เพราะมันอาจทำให้เขาประสาทเสียเข้าสักวัน
นิโคลัสสะบัดผ้าห่มออกและลุกพรวดจากที่นอน รู้สึกหน้ามืดเพราะเปลี่ยนอิริยาบทอย่างฉับพลัน เมื่อปรับสภาพได้แล้วเข้าก็รีบสวมรองเท้าหนังที่จอดอยู่ข้างประตู จากนั้นก็เปิดประตูไปสู่ระเบียงเล็ก ๆ ซึ่งอีกฟากมีราวบันไดเจาะติดกับผนัง เขากระโดดข้ามไปเกาะบันไดเหล็กแน่น โดยมีลูกไฟบินมาสมทบตามหลัง เขาไต่ขึ้นไปชั้นบนสุดอย่างรีบร้อน เสียงกรีดร้องนั่นทำให้นิโคลัสเป็นกังวล
เขาผลักบานประตูกลเปิดออก มันพับหงายหลังไปและกระทบพื้นเสียงดังสนั่น เป็นเหตุให้เทรซีที่กำลังแตกตื่นกับแม็กนัสที่ชูมือขึ้นเหนือศีรษะหันมามอง
“นิโคลัส!” เทรซีร้องเรียกชื่อเขาอย่างดีใจ จากนั้นก็พุ่งมาหาเขาอย่างไม่คิดชีวิต
นิโคลัสพาตัวเองขึ้นมานั่งบนพรมได้สำเร็จ จากนั้นก็ปิดประตูกลก่อนที่มันจะเลือนหายไปใต้พรมไปอีกครั้ง เทรซีครางออกมาอย่างหวาดกลัว
“พอดีเลย” แม็กนัสว่า ก่อนจะเดินมาทางนิโคลัส ทำให้เทรซีต้องหลบไปอยู่ข้างหลังคู่แฝดของตน
“นิโคลัส ช่วยข้าทีเถอะ” เขาว่าต่อไป “นางเอาแต่กรีดร้องตั้งแต่ฟื้นขึ้นมา ข้าจนปัญหาจะหยุดนางแล้ว”
นิโคลัสหันไปมองเทรซีซึ่งกำลังสูดอากาศเข้าปอดถี่รัว มันคืออาการของคนที่กำลังตื่นกลัว เขาผ่านมันมาแล้วเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน แล้วนิโคลัสก็ตัดสินใจเอ่ยขึ้น
“เทรซี ไม่ต้องกลัวนะ” เขาบอก จากนั้นก็โอบไหล่เธอ “นี่คือแม็กนัส ปลาตีน โจกเกอร์”
แม็กนัสถลึงตาใส่นิโคลัส เด็กชายหุบปากทันที จากนั้นก็เอามือทั้งสองไขว้ไว้ข้างหลังอย่างวางท่า ก่อนจะกระแอม
“อะแหม…นามของข้อคือแม็กนัส” แม็กนัสแนะนำตัวกับเทรซีผู้ซึ่งกำลังตัวสั่นเทา “แม็กนัส พาราดีนย์ รอดเจอร์ ผู้ใช้เวทแห่งรูน ศิษย์ของท่านจอมเวทแห่งเมืองซานเดียร์”
ผ่านไปประมาณสิบนาทีหลังจากที่เทรซีสงบสติอารมณ์ได้ เธอก็ยอมไต่บันไดใต้ประตูกลลงไปสู่ชั้นล่างสุดซึ่งเป็นห้องครัว ลูกไฟของแม็กนัส นิโคลัสและเทรซีบินร่อนไปตามท่อ ส่องแสงสว่างนำทางให้เจ้าของ เทรซีบอกว่ามันเหมือนหึ่งห้อย ดังนั้นเธอจึงตั้งชื่อลูกไฟของเธอว่าหึ่งห้อย
ชั้นล่างสุดไม่มีประตูกับชานระเบียงเหมือนชั้นหนึ่งและชั้นสอง บันไดเหล็กนำพวกเขาลงมาสู่ห้องโถงเล็ก ๆ ซึ่งบริเวณตรงกลางห้องมีหลุมเป็นวงกลม ตรงจุดศูนย์กลางของหลุมมีก้อนหินก่อเป็นฐานสำหรับใช้จุดไฟทำอาหาร สังเกตได้จากรอยดำจากการเผาไหม้หลงเหลืออยู่
ติดผนังห้องโถงทางฝั่งขวามีอ้างล้างจาน โดยมีถ้วยจานสะอาดวางกองเป็นชั้นข้าง ๆ มีตะกร้าที่บรรจุหัวมันฝรั่ง แครอท หัวหอมใหญ่กับอีกอย่างที่ดูคล้ายถั่วเขียว ตะกร้าเหล่านั้นวางอยู่ใต้อ่างล้างจานอย่างเป็นระเบียบ ไหดินเผาสามใบวางเป็นกลุ่มอยู่ใกล้ ๆ กัน
“ไม่นานเดี๋ยวมื้อเช้าก็เสร็จ” แม็กนัสบอก จากนั้นก็กระโดดลงไปในหลุมที่มีกองก้อนหิน “ข้าจะเรียกโรสออกมาทำอาหาร ฝีมือเธอเยี่ยมสุด ๆ”
พูดจบแม็กนัสก็หยิบกล่องหินเหล็กไฟออกมาจากกระเป๋าเสื้อ มันเป็นกล่องเล็ก ๆ ที่ทำจากโลหะสีเงิน เขาวางมันลงตรงกลางวงล้อมของหิน จากนั้นก็ยื่นมือข้างหนึ่งออกไป กำไรข้อมือของแม็กนัสเรืองแสงวาบและกล่องหินเหล็กไฟก็สั่นอย่างรุนแรง เพียงเสี้ยววินาที เฟลวไฟสีแดงส้มก็ทะลักออกมา มันลุกโชติช่วงและลามเลียไปทั่วบริเวณกองหินซึ่งเสมือนเป็นรั้วกั้น
“อรุณสวัสดิ์โรส” แม็กนัสทักทายอย่างกระปี่กระเป่า “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”
นิโคลัสกับเทรซีมองหน้ากัน นึกสงสัยว่าผู้ใช้เวทคนอื่นจะทำตัวแปลก ๆ แบบนี้หรือไม่ ตอนนี้แม็กนัสกำลังคุยอยู่กับเปลวไฟที่ดูอย่างไรก็ไม่มีทางพูดตอบ มันก็แค่เปลวไฟ
“อ้า แม็กนัสที่รัก” เสียงของหญิงสาวดังออกมาจากเปลวไฟ “ดีใจนะที่เจ้ายังไม่ลืมข้า”
“กรี๊ดดดดด” เทรซีกรีดร้องอย่างตกใจ เธอยังไม่คุ้นชินกับเรื่องพวกนี้ ซึ่งนิโคลัสเองก็เหมือนกัน
“แหม ๆ” โรสว่า “ความงามของข้าทำให้เจ้าต้องกรีดร้องออกมาเลยหรือแม่สาวน้อย”
นิโคลัสคิดว่าเห็นเส้นเปลวไฟบาง ๆ ม้วนตัวทำท่าเหมือนท้าวสะเอว
เทรซีถอยห่างจากหลุมจนแทบจะติดผนัง นิโคลัสเดินเข้าไปหาเธอ
“เอาหน่าเทรซ” เขาปลอบ ก่อนจะพาเธอกลับมานั่งที่ปากหลุม “เดี๋ยวก็ได้กลับแล้ว”
เทรซีเหลือบมองนิโคลัส เธอถอยหอยใจอย่างสั่น ๆ ก่อนจะพยักหน้า
แม็กนัสกระโดดขึ้นมานั่งสบทบ จากนั้นก็หันไปพูดกับโรสต่อ
“โรส มื้อนี้เราขอแบบเร่งด่วนนะ” แม็กนัสบอก “มีเรื่องต้องทำอีกเยอะ”
จากนั้นนิโคลัสก็ต้องตาค้างเมื่อเปลวไฟที่ชื่อว่าโรสกำลังเต้นระบำทำอาหารอย่างร่าเริง เปลวไฟของเธอโหมกระพือลุกอยู่ใต้หม้อต้ม เธอฮัมเพลงไปด้วยอย่างมีความสุข จากนั้นโรสก็หมุนตัวเองเป็นเกลียวและสบัดประกายไฟเล็ก ๆ ออกมา เปลวไฟเล็กจิ๋วเต้นไปมาในอากาศก่อนจะตกถึงพื้นอย่างรวดเร็ว จากนั้นพวกมันก็วิ่งออกจากฐานด้วยขาเปลวไฟเล็ก ๆ ขึ้นไปข้างบนเพื่อขนวัตถุดิบต่าง ๆ ที่โรสต้องการ
โรสขนาดจิ๋วขนาดเท่าเปลวไฟจากแสงเทียนเดินเรียงแถวอย่างเป็นระเบียบ มันลำเรียงมีด เขียง หม้อ ไห มันฝรั่ง แครอทและอื่น ๆ อีกหลายอย่างตรงไปยังหลุม นิโคลัสกับเทรซีนั่งมองพวกมันทำงานอย่างแข็งขัน แม้จะสงสัยว่าทำไมเปลวไฟถึงไม่ทำอันตรายกับของพวกนั้น แต่ตอนนี้เทรซีไม่สนใจ เธอเริ่มจะชอบโรสจิ๋วเข้าเสียแล้ว
ไม่นานโรสก็ปรุงซุปมันฝรั่งใส่แครอทเสร็จสิ้น ซึ่งใช้เพียงแค่ห้านาทีเท่านั้น แม็กนัสปรบมือให้โรส เธอชอบใจยกใหญ่ เปลวไฟสีแดงส้มของเธอเต้นเร้า ๆ อย่างมีความสุข แม็กนัสลุกขึ้นและเดินไปหยิบถ่านสองสามก้อนออกมา มันอยู่ในไหจากหนึ่งในสาม จากนั้นก็เดินกลับมาที่เดิม
“โรส นี่คือค่าตอบแทนของเจ้า” แม็กนัสโยนถ่านเข้าไปในตัวของโรส เธอใช้เปลวไฟคว้ามันไปอย่างรวดเร็ว“ด้วยความยินดีแม็กนัสที่รัก” โรสว่า จากนั้นเปลวไฟของเธอก็ค่อย ๆ มอดดับลงอย่างช้า ๆ “คราวหน้าขอถ่านของไม้มะกอกนะ ข้าชอบ”
แล้วโรสก็ดับลงในที่สุด เหลือเพียงแต่ซุปในหม้อที่เดือดปุด ๆ ลูกไฟทั้งสามบินเคว้งคว้างอยู่เหนือศีรษะ นิโคลัสมองหน้าเทรซีซึ่งก็ไม่ช่วยอะไรนัก แม็กนัสเดินไปเก็บกล่องหินเหล็กไฟเล็กขึ้นมา จากนั้นจึงพูดขึ้น“กินสิ มัวรออะไรอยู่ เรามีธุระต้องทำต่อจากนี้”
ในระหว่างนั้นขณะที่นั่งรับประทานซุปมันฝรั่งใส่แครอทอยู่ที่ปากหลุม นิโคลัสก็เล่าเหตุการณ์ต่าง ๆ ให้เทรซีฟัง ตั้งแต่เริ่มแรกตอนที่เธอกระโดดหนีออกมาทางหน้าต่างห้องนอนชั้นเจ็ด จนถึงตอนที่นิโคลัสคุยกับแม็กนัสเกี่ยวกับเรื่องอักษรรูน เทรซีทำสีหน้าเคร่งขรึมและพยักหน้าหน้าตามเป็นช่วง ๆ โดยมีแม็กนัสคอยเสริมบ้างเป็นครั้งคราว
“สรุปง่าย ๆ คุณเป็นผู้ใช้เวทฝ่ายดีและมาเพื่อช่วยเมืองของเรา” เทรซีพูดขึ้นมาและวางชามซุปลงบนพื้นแม็กนัสพยักหน้ารับขณะเคี้ยวก้อนมันนุ่ม ๆ ในปาก
“แต่ทำไมต้องเป็นเรา” เธอถามอีกครั้ง ซึ่งเป็นคำถามที่ดูมีเหตุผล “มีคนอื่นเยอะแยะมากมาย แต่ทำไมคุณถึงเลือกเราสองคนแม็กนัส”
แม็กนัสเคี้ยวตุ้ย ๆ ทำให้หนวดขยับขยุกขยิก เขากลืนมันลงไป จากนั้นก็ดื่มน้ำจากถ้วยกระเบื้อง ปล่อยให้เทรซีรอคำตอบอย่างอดทน
“เพราะพวกเจ้าถูกลิขิตให้เป็นผู้เปลี่ยนชะตา แล้วจะให้ข้าไปเลือกคนอื่นได้อย่างไรกัน”
แม็กนัสพูดจบก็ตั้งหน้าตั้งตาทานซุปมันฝรั่งในชามต่อไป เทรซีทำรูจมูกบานอย่างเหลืออด ซึ่งทำให้นิโคลัสอดนึกถึงแม่ไม่ได้ เธอมักทำแบบนี้เวลาพวกเขาทำตัวดื้อดึงกับเธอ
“ประทานโทษนะคะ” เทรซีขึ้นเสียง ทำเอาแม็กนัสแทบสำลักน้ำซุป “อย่าว่างั้นงี้เลย อะไรคือถูกลิขิตให้เป็นผู้เปลี่ยนชะตา กระทั่งตัวพวกเราเองยังไม่เคยรู้เรื่องอะไรเลย แล้วอย่างนี้จะไปช่วยใครที่ไหนได้!”
นิโคลัสพยักหน้าอย่างเห็นด้วย เขาไม่เคยจะรู้เรื่องพวกนี้เลย แม็กนัสเรียกเขาว่า “ผู้เปลี่ยนชะตา” แต่ตอนนั้นเขาไม่มีแก่ใจจะนึกสงสัย คิดว่าคงจะเรียกไปอย่างนั้นตามประสาผู้ใช้เวท
“นายไม่ต้องมาทำเนียนเลยนิค” เทรซีเหวี่ยงใส่ ทำตาเขียวปัด “ทำไมไม่รู้จักถามอะไรที่มีสาระกว่านี้ห้ะ”
“จะให้ฉันทำยังไงเทรซ เขาไม่ยอมตอบฉันนิ” นิโคลัสแย้ง “ฉันถามได้แค่สามข้อเองนะยัยต๊อง”
“เอาล่ะ ๆ เงียบเสีย” แม็กนัสวางชามซุป จากนั้นก็ยกมือขึ้นเพื่อปรามเด็กสองคนที่กำลังจะทะเลาะกัน
นิโคลัสกับเทรซีเงียบเสียงลงทันที เขามองแม็กนัสลุกขึ้นยืนและเอาชามไปวางไว้ในอ่างล้างจาน จากนั้นมันก็ล้างตัวเองก่อนจะกลิ้งขึ้นไปบนชั้นงวมจาน
“มันมีเหตุผลที่ข้าเลือกพวกเจ้า นิโคลัส เทรซี” แม็กนัสพูด จากนั้นก็มองหน้าเด็กชายและเด็กหญิงสลับกัน
“พวกเธอสองคนเป็นคู่แฝดกัน”
“ถูกต้อง เห็นได้ชัดเจนอยู่แล้ว!” เทรซีแย้งขึ้นขัดจังหวะ “แต่ไม่เห็นจะต่างจากเด็กคนอื่นตรงไหน แถมยังโดนเพื่อน ๆ ล้อด้วยซ้ำ”
แม็กนัสส่ายหน้าเบา ๆ จากนั้นก็เดินมานั่งข้างเด็กหญิงผมดำหยักศก ก่อนจะมองลึกเขาไปในดวงตาสีน้ำเงินเข้มคู่นั้น
“จงภูมิใจในตัวเองเถิดเทรซี” แม็กนัสบอกน้ำเสียงอ่อนโยน “เชื่อเถอะว่าสักวันหนึ่งพวกเขาจะต้องเห็นคุณค่าในตัวเจ้า”
เทรซีก้มหน้าก้มตาและไม่พูดอะไรต่อ ความเงียบปกคลุมห้องโถงอีกครั้ง แต่ไม่นานแม็กนัสก็เอ่ยขึ้น
“พวกเจ้าทั้งสองคือบุตรคู่แฝดลำดับที่เจ็ดซึ่งเกิดจากบุตรชายคนที่เจ็ด” แม็กนัสว่า “แฝดชายหญิงที่เกิดจากตระกูลผู้ใช้เวทที่หลงลืม พวกเจ้าทรงอำนาจ โลหิตเข้มข้นของผู้ใช้เวทโบราณไหลเวียนอยู่ในตัวเจ้า ดังนั้นจึงคู่ควรแก่การถูกลิขิตให้เป็นผู้เปลี่ยนชะตากรรมเมืองแห่งนี้”
เมื่อจบประโยค มีเพียงแค่เสียงกระพือปีกเล็ก ๆ ของลูกไฟอยู่เหนือศีรษะ นิโคลัสพยายามบังคับไม่ให้ตัวเองกลั้นหายใจขณะนั่งฟังแม็กนัสเล่าเรื่องที่เกินจะเหลือเชื่อ
“มะ…หมายความว่าไงที่ว่าเราทรงอำนาจ เราเป็นเชื้อพระวงศ์เหรอ” เทรซีถามอย่างไร้สติ
“งี่เง่าหน่าเทรซ ไม่ได้ยินเหรอว่า ‘แฝดชายหญิงที่เกิดจากตระกูลผู้ใช้เวทที่หลงลืม’ และ ‘โลหิตเข้มข้นของผู้ใช้เวทโบราณไหลเวียนในตัวพวกเจ้า’ พวกเชื้อพระวงศ์ไม่มีใครเป็นผู้ใช้เวทหรอกนะ”
นิโคลัสเสริมอย่างมีเหตุมีผล ซึ่งทำให้เทรซีตระหนักขึ้นมาได้ เธอกระพิบตาปริบ ๆ และนั่งไหล่ห่อ
แม็กนัสยิ้มให้พวกเขาอย่างอบอุ่น เขาหยิบนาฬิหาเรือนเล็ก ๆ ออกมาจากกระเป๋าเสื้อ ก้มมองดูเวลา จากนั้นก็ลุกขึ้นเต็มความสูง
“ข้าว่าถึงเวลาแล้ว” เขาว่า “เราต้องไปกันต่อและต้องไปให้ทันก่อนเจ็ดโมงเช้า ไม่งั้นหมอกที่ข้าเสกขึ้นมาจะไม่ได้ผลดีนัก”
นิโคลัสผุดลุกขึ้น เทรซีก็เช่นกัน ทั้งสองสบตากับก่อนจะถามออกไปพร้อมกันว่า
“ไปไหน”
แม็กนัสเก็บนาฬิกาเข้ากระเป๋าเสื้อดังเดิม เขาเดินตรงไปยังขั้นบันไดเหล็กที่ผนังห้อง ก่อนจะหันหน้ากลับมา
“บ้านของเจ้าไง ว่าที่ลูกศิษย์”
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา