สองพี่น้องฮันเตอร์ กับ ไข่มังกรแห่งซาเกร็ตต์
8.7
เขียนโดย ชาร์ลี
วันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2558 เวลา 23.01 น.
6 ตอน
4 วิจารณ์
9,354 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2558 02.19 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) II: ความฝันที่อาจเป็นนิมิต
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความIIความฝันที่อาจเป็นนิมิต
การไปโรงเรียนก็ไม่ได้เลวร้ายนักถ้าหากเทรซีจะยอมหุบปากและเงียบสักพัก เธอเอาแต่พูดเรื่องฝันประหลาดที่เห็นเมื่อคืนขณะที่เดินอยู่ในตรอกแคบ ๆ เหม็นฉี่ กลุ่มเด็กผอมแห้งสี่คนกำลังเดินอยู่บนถนนรูปสายฟ้ามุ่งหน้าสู่ถนนราชา เหนือหัวพวกเขามีราวตากผ้าที่ทำจากเชือกขึงพาดระหว่างหน้าต่างบ้านสองหลัง ผู้คนที่ตรอกแห่งนี้มีพื้นที่ใช้สอยไม่มากนักและพวกเขาก็ต้องใช้ประโยชน์จากสิ่งที่มีอยู่อย่างคุ้มค่า เสื้อผ้าหลากสีปลิวสะบัดไปมาตามแรงลม ส่งเสียงดังพลึบ ๆ เหมือนนกกำลังกระพือปีก
“จริง ๆ นะรีมัส เขาดูเย็นชามากเลยล่ะผู้ชายในฝัน มือของเขาเรืองแสงวูบวาบด้วย”
เทรซีพยายามอธิบายภาพชายในชุดคลุมสีเทาที่มีหึ่งห้อยบินตอมข้อมือ เธอทำมือเป็นรูปร่างของชายที่ว่าพร้อมกับประมาณการความสูงให้ด้วย
“ฉันไม่เคยฝันประหลาดอย่างนี้มาก่อนเลยนะ เขาเรียกชื่อฉันด้วย” แล้วเทรซีก็ทำท่าขนลุก
วิลเลียมกับนิโคลัสกลอกตาพร้อมกัน แต่แล้วรีมัสก็พูดขึ้น
“บางทีเธออาจจะฝันเห็นผู้ใช้เวทมนต์ก็ได้เทรซ” รีมัสว่า “ฉันเคยเรียนเกี่ยวกับเรื่องผู้ใช้เวทมนต์ในวิชาประวัติศาสตร์ พวกเขาร้ายกาจมาก พี่ว่าเธอฝันร้ายแล้วล่ะ”
“ไม่เอาน่ารี นายชักจะทำตัวน่าเบื่อแล้วนะ” วิลเลียมว่า
รีมัสไม่สนใจคำพูดของวิลเลียมและยังคงพูดต่อไป
“ฉันก็แค่พูดตามที่เรียนมา” รีมัสบอก “ไม่มีอะไรหรอกเทรซี”
น้องสาวตัวเล็กพยักหน้า แต่ดวงตาสีน้ำเงินเข้มคู่นั้นยังคงดูวิตก
พวกเขาแยกย้ายกันเมื่อเดินมาถึงเสาหินที่ตั้งตะหง่านอยู่หน้าตรอก รีมัสกับวิลเลียมเดินขึ้นไปตามถนนราชา โรงเรียนของพวกเขาตั้งอยู่ใกล้กับสำนักงานกองทะเบียนราษฎร ซึ่งค่อนข้างไกลกว่าโรงเรียนของนิโคลัสและเทรซีซึ่งอยู่ตรงข้ามถนนราชา ถนนนักปราชญ์ซึ่งเป็นถนนเส้นเล็กลาดต่ำลงไปกว่าระดับพื้นดินปกติ ภายในเส้นทางที่วกวนนั้นเต็มไปด้วยร้านขายของชำ ร้านขายตำราและร้านเครื่องเขียน
อากาศยามสายเริ่มทวีความร้อนขึ้นและวิถีชีวิตของเดอะ เกรนจ์ก็กำลังดำเนินไปอย่างเชื่องช้า ขอทานกลุ่มหนึ่งซึ่งประกอบไปด้วยหญิงชราผอมหนังหุ้มกระดูก เด็กชายผมยาวเนื้อตัวมอมแมมและชายวัยกลางคนสวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งเดินออกมาจากตรอกมืด ๆ ที่ทุกคนต่างเรียกมันว่าตรอกขอทาน ที่นั่นถือเป็นที่พักอาศัยและแหล่งรวมของคนไร้บ้าน พวกนั้นเดินออกมาเหมือนผีดิบและหาที่นั่งดี ๆ เพื่อหลบแดด เด็กชายคนนั้นวิ่งเยาะแยะไปรวบรวมเศษหนังสือพิมพ์ปาปิรุสที่กระจัดกระจายเกลื่อนถนน เขาหยิบมันมาสองสามแผ่นเพื่อใช้ปูนั่ง
“พวกเขาน่าสงสารจัง” เทรซีพูดเบา ๆ และเธอก็เดินเข้ามาใกล้นิโคลัส “นายว่าพวกเขาได้กินอะไรหรือยัง”
นิโคลัสบังเอิญสบตากับเด็กชายคนนั้น ความรู้สึกที่เกิดขึ้นนั้นยากเกินจะบรรยายออกมา
เขาจับแขนเทรซีและพาเดินข้ามถนนสกปรกไปยังอีกฟาก มุ่งหน้าไปยังถนนนักปราชญ์ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงเรียนพวกเขา เทรซีเหลียวหันไปมองขอทานกลุ่มนั้นอย่างหดหู่ขณะที่นิโคลัสลากเธอให้เดินตามหลังไป
•••
เมืองเดอะ เกรนจ์มีโรงเรียนอยู่ด้วยกันทั้งหมดสี่เขต ซึ่งแต่ละเขตถูกแบ่งระดับการศึกษาเอาไว้อย่างเป็นระบบ โดยเขตหนึ่งคือโรงเรียนอนุบาล เด็ก ๆ จะถูกส่งไปเริ่มต้นการศึกษาครั้งแรกในชีวิตที่นั่น เพื่อเตรียมความพร้อมสู่เขตสองซึ่งเป็นโรงเรียนประถม สถานที่แห่งนี้เองที่นิโคลัสกับเทรซีกำลังศึกษาอยู่ เขตสามคือโรงเรียนมัธยมที่พวกรีมัสกับวิลเลียมกำลังศึกษาเล่าเรียน ส่วนเขตสี่นั้นเป็นขั้นสุดของสถาบันการศึกษา มันเทียบเท่ากับมหาวิทยาลัย บางคนก็เรียกมันว่าอย่างนั้น ไซมอนจบมาจากที่นั่นและเขาก็ภาคภูมิใจมาก
อาคารทรงโบราณเก่าแก่แฝงตัวอยู่ในตรอกแคบ ๆ ของถนนนักปราชญ์ สีขาวที่ทาไว้บนผนังหลุดลอกจนน่าเกลียด เผยให้เห็นชั้นอิฐแดงที่ก่อไว้อย่างเป็นระเบียบ ถังขยะแยกประเภทสามใบทาสีสดใสวางหลบมุมอยู่ที่ข้างลานเล็ก ๆ หน้าโรงเรียน โดยมีภาโรงจาโก้ สม็อกค์ชายร่างสูงผอมผู้มีเส้นผมสีฟางชี้ฟูทำหน้าที่สอดส่องพฤติกรรมการทิ้งขยะของเด็กนักเรียน มีเสียงจอแจเจี้ยวจ้าวดังอย่างต่อเนื่อง
“เร็วหน่อยพวกเธอ สายแล้ว” ภาโรงจาโก้ว่า ชี้นิ้วผอม ๆ มาทางนิโคลัสกับเทรซี
ทั้งสองกล่าวอรุณสวัสดิ์ภาโรงก่อนจะวิ่งผ่านประตูทางเข้าทรงโค้งที่ทำจากเหล็กสีดำ ภายในโรงเรียนเต็มไปด้วยเด็กวัยเดียวกัน เหนือประตูทางเข้ามีป้ายข้อความขนาดใหญ่ที่ทำจากแผ่นเหล็ก ในนั้นมีตัวหนังสือสีแดงเขียนไว้ชัดเจน เป็นบทกลอนที่นักเรียนทุกคนท่องจำได้ขึ้นใจ
จงตั้งใจเล่าเรียนเพียรขยัน เพราะสักวันเจ้านั้นจักได้ใช้สิ่งที่ครูอาจารย์เจ้าสอนไป จำใส่ใจบัณฑิตน้อยคอยศึกษาแม้เจ้านั้นเล่าเรียนเพียรจนจบ ขออย่าคบตรีบุคคลตามนี้นาคนขี้โกงคนพาลคนร่ายมนตรา เขาจักพาชีวาเจ้ามลายสูญ
พวกเขาไม่มัวเสียเวลาอ่านกลอนนั่น ทั้งสองวิ่งหายไปหลังบานประตูไม้หนาหนักเข้าสู่ชั้นเรียน
ช่วงเช้าพวกเขาเรียนวิชาคณิตศาสตร์เป็นวิชาแรก หากใคร ๆ คิดว่าเช้าวันศุกร์ควรเป็นวันที่สวยงาม ต้องขอบอกว่าวิชาคณิตศาสตร์ได้ทำลายช่วงเวลาที่ว่าของนิโคลัสโดยสมบูรณ์แบบ เขาเกลียดการนับเลขและท่องจำสูตรต่าง ๆ ซึ่งต่อให้พยายามแค่ไหนก็ไม่เคยเข้าเซลล์ (ใช่ พ่อบอกว่ามันเรียกว่าอย่างนั้น) สมอง ผิดกับเทรซีที่ดูตั้งใจและสนุกกับมันมาก ๆ เธอยกมือถามเอฟฟีผู้เป็นอาจารย์สอนวิชานี้ตลอดชั่วโมง ต่างจากนิโคลัสที่แทบจะนับครั้งได้ อันที่จริงเขาไม่เคยยกมือถามเลยต่างหาก ส่วนวิชาต่อมาก็เป็นวิชาภาษาเดรกและวิชาสุดท้ายในช่วงเช้าคือวิชากีฬาศึกษา
บ่ายวันนั้นเทรซีนั่งอยู่โต๊ะเรียนด้านหน้าสุดของห้องกับมาร์ลี คลัทเพื่อนซี้ของเธอ เฝ้ารอเรียนวิชาดาราศาสตร์อย่างตื่นเต้น มาร์ลีคือเด็กหญิงผมแดงตัดสั้นถึงปลายคาง เส้นผมของเธอค่อนข้างหยิกและฟูฟ่อง แต่หล่อนก็จัดการกับมันให้เข้าที่ด้วยที่คาดผมสีส้ม เธอเรียนเก่งแต่พูดน้อย ต่างจากเทรซีสุด ๆ นิโคลัสลงความเห็นว่าคู่แฝดของเขาผีคงเจาะปากมาพูดแน่ ๆ เทรซีมีคำถามขี้สงสัยมากมายในหัวและก็มักจะถามคนอื่นอยู่ตลอดเวลา ซึ่งก็ต้องขอบคุณมาร์ลีล่ะนะที่คอยตอบคำถามที่บางครั้งก็ออกจะไร้สาระให้หล่อน
เมื่ออาจารย์บรอดวอเตอร์ถือหนังสือหนา ๆ สีน้ำตาลเข้ามาในห้อง นิโคลัสก็เตรียมตัวฟุ้บหลับไปกับโต๊ะเรียน เขาเหลือบมองลุค แครมป์ตันที่นั่งข้าง ๆ นี่อาจกลายเป็นภาษาลับเฉพาะระหว่างนิโคลัสกับลุค เพียงแค่มองตากันพวกเขาก็รู้ว่าอีกฝ่ายสื่อสารอะไร อย่างเช่นตอนนี้ที่นิโคลัสกำลังบอกเพื่อนซี้ผ่านภาษาดวงตาและลุคก็พยักหน้ารับอย่างเข้าใจ
แม้นิโคลัสจะรู้ว่านี้คือนิสัยที่แย่เอามาก ๆ แต่เขาก็ไม่อาจทำให้ตัวเองสนใจเรียนดาราศาสตร์ซึ่งมีความเกี่ยวพันกับวิชาคณิตศาสตร์ได้เลย เขามองออกไปนอกกระจกหน้าต่างมัว ๆ พลางนึกถึงใบหน้าของพ่อ โอลาฟและอัลเบิร์ต พวกเขาหัวดีและถนัดเรื่องคำนวณเลขจนมันอาจเป็นแค่เกมส์เด็ก ๆ หลังจากที่พ่อส่งเสียอัลเบิร์ตเรียนจบโรงเรียนเขตสี่ (ซึ่งอัลเบิร์ตยืนยันอย่างหนักแน่นให้เรียกว่ามหาวิทยาลัย) เขาก็ทำงานเป็นผู้เก็บภาษีในพระราชวังมอนต์โกเมรี นั่นเป็นเครื่องยืนยันว่าอัลเบิร์นรักตัวเลขมากแค่ไหน โอลาฟเป็นผู้ช่วยของพ่อซึ่งก็ต้องเรียนรู้เกี่ยวกับตัวยาต่าง ๆ และระบบร่างกายมนุษย์ เมื่อนึกเช่นนั้นก็ทำให้นิโคลัสรู้สึกเหมือนตัวเองช่างไร้ความสามารถ
“ดาวอังคารเป็นดาวเคราะห์สีแดง ทำให้ผู้คนเชื่อกันว่าเป็นเทพแห่งสงครามและการสู้รบ” อาจารย์บรอดวอเตอร์บรรยายเกี่ยวกับข้อมูลของดาวอังคารด้วยเสียงสูง ๆ ต่ำ ๆ ราวกับกำลังเล่าเรื่องเร้าใจ
“นักดาราศาสตร์เชื่อว่ามันอาจเป็นดาวที่มีสภาพเอื้อต่อการกำเนิด ซึ่งอาจมีวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตที่มีภูมิปัญญาเช่นเดียวกับมนุษย์”
นิโคลัสเข้าสู่ห่วงนิทราแทบจะทันทีหลังจากที่อาจารย์บรอดวอเตอร์เล่าประโยคต่อจากนั้น เขาไม่สนใจอะไรรอบข้างอีกต่อไป เสียงต่าง ๆ ค่อย ๆ เงียบหายไปพร้อมกับโลกในความฝันที่เริ่มก่อตัวขึ้น
เขากำลังยืนอยู่บนถนนที่ปูด้วยอิฐสีขาวทอดยาวไปสุดขอบฟ้า สองข้างทางค่อนข้างมืดแต่นิโคลัสมั่นใจว่าเห็นอาคารบ้านเรือนเก่า ๆ เรียงรายไปตามถนนสายนี้ บรรยากาศอึมครึมราวกับฝนใกล้จะตกและลมก็พัดแรงขึ้นเรื่อย ๆ บางอย่างบอกว่านี่คือถนนราชา นิโคลัสมองหาเสาหินต้นใหญ่ที่ปากทางเข้าตรอกแต่กลับหาไม่พบ เขาพยายามมองหามันอย่างตั้งใจแต่ก็ไร้เบาะแสหรือร่องรอยของเสาหินบอกทาง ตอนนี้เขาเริ่มตระหนักได้ว่ามันไม่เคยมีอยู่ รวมถึงตรอกสายฟ้าเองก็เช่นกัน มันถูกแทนที่ด้วยต้นไม้สูงใหญ่หลายต้น ต้นไม้เหรอ นิโคลัสชักไม่แน่ใจ เขาไม่เคยเห็นของจริงกับตาเลยในชีวิต
ความคิดที่ต้องสูญเสียบ้านไปทำให้นิโคลัสเริ่มสติแตก ตรอกนั่นคือทุกสิ่งทุกอย่าง บ้าน ครอบครัว เพื่อนและโจอี้หมาพันธุ์คอเคเชียน เชพเพิร์ดแสนรู้ ทุกอย่างที่เขารักล้วนอยู่ที่นั่น แต่ตอนนี้มันกลับกลายเป็นป่ารกทึบไปแล้ว นิโคลัสวิ่งไปยังที่ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นปากทางเข้าตรอกสายฟ้า แต่เมื่อเขาวิ่งมาถึง ภาพป่าไม้เบื้องหน้ากลับกลายเป็นสุสานขนาดใหญ่
“บ้าไปแล้ว” นิโคลัสอุทานอย่างตกใจ “นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย!”
มีป้ายหลุมศพที่ทำจากแผ่นหินมากมายเกลื่อนเต็มพื้นดินแตกระแหง เสียงร้องของอีกาดังเซ็งแซ่ไปทั่วราวกับสามารถได้ยินไปทั้งปฐพี นิโคลัสหันมองบรรยากาศรอบ ๆ ตัวอย่างหวาด ๆ อาคารทั้งหลายหายไปแล้วและกลายเป็นสุสานเช่นเดียวกัน
“โอ้พระเจ้า เกิดอะไรขึ้นกับที่นี่”
“เพราะนายไงล่ะนิโคลัส” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากที่ไหนสักแห่งในสุสาน
นิโคลัสผงะก่อนจะมองหาที่มาของต้นเสียง เขาพบเงารูปร่างคล้ายเด็กผู้ชายอยู่ที่ป้ายหลุมศพขนาดสูงและใหญ่ เงานั่นดูคล้ายหมอกวูบไหว มันเริ่มชัดขึ้นเรื่อย ๆ ก่อนจะกลายเป็นเด็กชายขอทานที่นิโคลัสพบเมื่อเช้า
“อัลบี้!” นิโคลัสร้องออกมาอย่างตกใจสุดขีด เสียงร้องของเขาก้องกังวานเหมือนเสียงก้อนหินที่โยนลงไปในบ่อน้ำ
ภาพเด็กชายตัวเล็กผมยาวที่เห็นเมื่อเช้านั้นลืมไปได้เลย ตอนนี้เขาดูแย่กว่านั้นร้อยเท่า ผมของเขาไม่ได้ยาวอีกต่อไปแล้วแต่ถูกตัดสั้นติดหนังศีรษะเหมือนเงาสีเทา เสื้อผ้าของเขาขาดเป็นรูใหญ่เบ้อเริ่มเหมือนถูกไฟไหม้ เนื้อตัวมีบาดแผลฉกรรเต็มไปหมดและคราบเลือดแห้งกรัง เบ้าตาลึกโหลนั่นกับดวงตาช้ำ ๆ สิ้นหวังทำให้อัลบี้ไม่ต่างจากผีดิบสยองขวัญ
“นายทำให้ทุกอย่างเป็นแบบนี้ ทุกคนตายหมดแล้ว ไม่เหลืออะไรเลย”
เสียงของอัลบี้ฟังดูบีบคั้นและเจ็บปวด มันดังก้องกังวานไม่ต่างจากเสียงของเขาซึ่งทำให้นิโคลัสขนลุกทั่วตัว แม้อัลบี้จะพูดอย่างนั้นแต่เขาก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี อัลบี้กำลังพูดถึงเรื่องอะไร นี่ไม่ใช่ฝีมือของเขา นิโคลัสมั่นใจเกินร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าเขาไม่ได้เป็นคนดูแลสุสานหรืออะไรที่เกี่ยวข้องกับสถานที่แห่งนี้อย่างแน่นอน
“ไม่อัลบี้ ฉันไม่ได้ทำนะ! นายกำลังพูดเรื่องอะไรแล้วเราอยู่ที่ไหน”
นิโคลัสถามอย่างร้อนรน เขาไม่อยากอยู่ที่สุสานแห่งนี้อีกต่อไป เสียงกรีดร้องของอีกายังคงดังอย่างต่อเนื่อง เมื่อผสมกับเสียงก้องกังวานหลอน ๆ ของอัลบี้แล้วยิ่งทำให้ทุกอย่างแย่ลงไปกว่าเดิม
“บ้านของเราไงนิโคลัส นายไม่ควรลืมบ้านของตัวเองนะ” อัลบี้ว่า
“ช้าก่อนเพื่อน ฉันไม่มีทางอาศัยอยู่ในสุสานหรอกนะ ฉันยังไม่ตายเสียหน่อย”
นิโคลัสตั้งต้นอธิบายแต่ก็ถูกขัดจังหวะ
“นี่คือบ้านของนาย! และนั่นก็คือที่ที่นายจะอยู่ไปชั่วนิรันด์”
พูดจบอัลบี้ก็ชี้นิ้วไปยังหลุมศพที่ใครคนหนึ่งกำลังใช้จอบขุดดินอยู่ คน ๆ นั้นคือเด็กผู้หญิงซึ่งดูคุ้นตาเหลือเกิน
“เทรซี!” นิโคลัสร้องเรียกเสียงสั่น “เธอกำลังทำอะไรอยู่ เธอบ้าไปแล้วเหรอ!”
เทรซีที่ผอมแห้งและสวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งกำลังใช้จอบขุดดินอย่างตั้งใจ ราวกับว่ามันคือสิ่งสุดท้ายที่เธอจะได้ทำซึ่งก็อาจจะจริง นิโคลัสพยายามตะโกนเรียกเทรซี แต่ดูเหมือนหล่อนจะไม่ได้ยินอะไรเลย ยังคงเดินหน้าขุดดินเพื่อทำหลุมศพต่อไปอย่างเชื่องช้า
“อัลบี้ นี่ไม่ตลกนะ น…นายพาฉันมาที่ไหนหะ” นิโคลัสเลิกสนใจเทรซีและหันมาถามอัลบี้ซึ่งกำลังใช้ปลายนิ้วชี้ลูบไล้ไปตามป้ายหลุมศพ
“คนโง่ นายต้องสอบตกวิชาประวัติศาสตร์แน่” อัลบี้ว่า น้ำเสียงราบเรียบ “เดอะ เกรนจ์ไงนิโคลัส เมืองต้องคำสาป นายควรจะรู้จักมันดีนะในเมื่อนายเป็นคนทำให้ที่นี่กลายเป็นแบบนี้”
นิโคลัสรู้สึกลำคอตีบตัน เขาคิดว่ารู้ตัวมาสักพักหนึ่งแล้วเพียงแต่ไม่อยากจะยอมรับ
“นายบ้าไปแล้วอัลบี้ ฉันบอกแล้วไงว่าไม่ได้ทำ แล้วเดอะ เกรนจ์ก็ไม่มีวันเป็นแบบนี้”
“นายปล่อยให้ทุกคนต้องตายนิโคลัส ฉันไม่เหลืออะไรแล้ว ทุกอย่างพังพินาศและมอดไหม้ไปกับเปลวเพลิง รวมถึงตัวฉันด้วย”
ประโยคสุดท้ายของอัลบี้แผ่วเบาและเศร้าสร้อย นิโคลัสเบิกตากว้างและปากสั่นระริก เขาคิดว่าอัลบี้คงจะตัดผมสั้นเพราะอากาศที่ร้อนจัด แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่ามันถูกไฟเผาไหม้ไปหมดต่างหาก รูโหวบนเสื้อเก่า ๆ ของอัลบี้เป็นหลักฐานอย่างดีอย่างไม่ต้องสงสัย
จู่ ๆ ร่างของนิโคลัสถูกดูดด้วยแรงลมมหาศาล ทำให้เขาเคลื่อนเข้าไปใกล้หลุมศพที่เทรซีกำลังขุดซึ่งห่างไปไม่ไกลนักอย่างรวดเร็ว อัลบี้มารอก่อนหน้านั้นแล้ว การได้เห็นเทรซีขุดหลุมนั่นอยู่ทำให้นิโคลัสอยากจะกรีดร้องออกมาดัง ๆ
“บ้านของเราใกล้จะเสร็จแล้วนิค อีกนิดเดียว” เทรซีพูดเสียงยานคราง “อ้า เรียบร้อย”
เธอทิ้งจอบเหล็กขึ้นสนิมลงกับพื้นดิน แรงกระแทกทำให้แผนดินแตกร้าว ราวกับจอบนั่นทำมาจากเหล็กหนักหลายตัน
“นี่ไม่ใช่ความจริง มันต้องเป็นความฝันแน่ ๆ เธอไม่มีทางขุดหลุมศพให้ตัวเองหรอก เสียสติไปแล้ว!”
“เราไม่เหลืออะไรแล้วนิค ทุกคนจากเราไปหมด ไม่มีทางเลือกอื่น”
“มีสิ” มีเสียงหนึ่งดังมาจากทางด้านขวามือของนิโคลัส เสียงของชายผู้หนึ่งที่ทุ้มและทรงอำนาจ
มีเงาวูบวาบปรากฏขึ้นหลังเนินดินที่ก่อขึ้นเพื่อทำสุสาน ป้ายหลุมศพข้าง ๆ เงานั่นเอียงล้มไปขณะที่มันกำลังเคลื่อนเข้ามาใกล้นิโคลัส มันค่อย ๆ ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ และเปลี่ยนตัวเองเป็นชายร่างสูงในชุดคลุมสีเทาคล้ายควันไฟ มือทั้งสองข้างมีแสงเรืองจาง ๆ ดวงตาสีน้ำเงินเข้มเหมือนกับของนิโคลัสจ้องมาอย่างท้าทาย มันเป็นสายตาที่ชวนให้เขาสงบ
“มากับข้านิโคลัส แล้วเจ้าจะไม่ต้องลงไปนอนในหลุมนั่น” ชายคนนั้นพูดเสียงทุ่มต่ำและเหลือบไปมองหลุมศพอย่างรังเกียจ
นิโคลัสหันไปมองตามซึ่งต้องตกใจสุดขีดเมื่อเทรซีลงไปนอนรอเขาก่อนหน้าแล้ว
“เทรซี ขึ้นมาเดียวนี้นะ เธอไม่…”
นิโคลัสเสียงสั่นมาก ๆ และไม่สามารถพูดต่อประโยคให้จบ เทรซีดูสงบเกินไป ร่างของเธอนอนราบไปกับพื้นดิน มือทั้งสองข้างวางไขว้กันบนหน้าอกและหลับตาอย่างผ่อนคลาย เธอตายไปแล้ว
“เข้าบ้านสินิโคลัส” อัลบี้บอก เสียงของเขาดังราวกับกำลังกระซิบข้าง ๆ
“มากับข้านิโคลัส นี่ไม่ใช้ทางของเจ้า” ชายคนนั้นก้าวเข้ามาใกล้และนิโคลัสก็รู้สึกถึงน้ำหนักบนไหล่ขวา มันหนกขึ้นเรื่อย ๆ และสัมผัสได้ถึงแรงเขย่าอย่างแรง นิโคลัสหันไปมองอัลบี้ที่อยู่ซ้ายมือ เขายังคงน่ากลัวหมือนผีดิบ ก่อนนิโคลัสจะหันไปมองชายอีกคนทางด้านขวา เขายืนอย่างสงบโดยมืออีกข้างยังคงวางไว้บนไหล่เล็ก ๆ ของนิโคลัส ดวงตาสีน้ำเงินเข้มเป็นประกายวูบไหว นิโคลัสมองลึกเข้าไปในดวงตาคู่นั้นเป็นครั้งสุดท้าย
“นิโคลัส นายเป็นอะไรไปน่ะ” ลุคเขย่าตัวนิโคลัสอย่างแรงจนเขาสะดุ้งสุดตัวและล้มหงายลงจากเก้าอี้นิโคลัสรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบกำลังหมุนติ้ว ๆ เขารู้สึกเจ็บข้อศอกก่อนจะพบว่าตัวเองลงไปกองกับพื้นไม้ เขารีบลุกขึ้นและมองไปรอบ ๆ ห้อง อาจารย์บรอดวอเตอร์ไม่อยู่แล้วและคนอื่น ๆ ก็หายไปหมดยกเว้นลุค เทรซีและมาร์ลี ทั้งสามกำลังจ้องมองนิโคลัส
“ไม่เป็นไร ฉันสบายดี” นิโคลัสบอกด้วยน้ำเสียงร่าเริงผิดปกติ
“ไม่นิค นายไม่สบายเอามาก ๆ เลยล่ะเพราะนายเอาแต่ตะโกนเรียกเทรซีเสียงดังลั่น”
ลุคบอกพร้อมกับมองนิโคลัสอย่างเป็นห่วงขณะเทรซีเดินเข้ามาใกล้ ทำให้นิโคลัสนึกถึงภาพเธอนอนในหลุมศพที่ขุดเองในความฝัน
“งั้นเหรอ ตลกดีนะ” นิโคลัสว่าพลางจัดคอเสื้อตัวเอง เขารู้สึกอับอายเหลือเกิน
•••
หลังตื่นจากฝันร้ายพิศดารที่สุดในชีวิต นิโคลัสก็เอาแต่นึกถึงอัลบี้เด็กชายขอทานคนนั้น ความจริงเขารู้จักอัลบี้ก่อนหน้านั้นแล้ว นิโคลัสเคยช่วยเขาจากกลุ่มสุนัขจรจัดบ้าน้ำลายที่คอกม้ารกร้างแถว ๆ ประตูทิศเหนือ วันนั้นฝนตกหนักมากและนิโคลัสก็มีธุระต้องเดินทางไปหาอัลเบิร์ตสถานที่ทำงานของเขา ขากลับนิโคลัสเลือกเดินลัดเลาะมาตามซอยซิกแซกซึ่งสามารถมาบรรจบกับถนนนักปราชญ์
ตอนนั้นลมแรงมากและเม็ดฝนก็เหมือนกับเข็มนับพันเล่มกำลังทิ่มแทงผิวหนัง นิโคลัสวิ่งฝ่าสายฝนมาหลบอยู่ที่คอกม้าแห่งนั้น เขาปาดน้ำฝนที่เกาะตามใบหน้าด้วยหลังมือก่อนจะได้ยินเสียงร้องโหยหวนของเด็กผู้ชาย มีเสียงขู่และเสียงเห่าอย่างบ้าคลั่งของสุนัขหลายตัวหลังกองฟางสูงหมายเมตร
นิโคลัสพบเด็กผู้ชายตัวเล็กนอนขดอยู่ในกองฟางเปียก ๆ ซึ่งถูกรายล้อมไปด้วยสุนัขสีดำสามตัว มันแยกเขี้ยวแหลมใส่และมีน้ำลายเหนียว ๆ ยืดย้อยลงมา เด็กคนนั้นมีบาดแผลถูกกัดหลายแห่งและเลือดก็ยังไหลไม่หยุด เสียงสะอื้นอย่างหวาดกลัวทำให้นิโคลัสรู้สึกสงสาร เขาคว้าท่อนไม้ผุ ๆ แถวนั้นขึ้นมาและใช้มันไล่สุนัขพวกนั้น พวกมันเห่าและขู่นิโคลัสอย่างโมโห แต่เขาไม่สนใจพร้อมกับไล่มันออกไปอย่างห้าวหาญ (นึกภาพนักรบชูมืดขึ้นเหนือหัวพร้อมกับตะโกนร้องอย่างผู้มีชัย) นิโคลัสใช้ไม้ท่อนนั้นตวัดอากาศไปมา สุนัขสีดำสามตัวล่าถอยและหลบไปติดรั้วกั้นคอกม้า ก่อนจะมุดลอดช่องเล็ก ๆ วิ่งหนีออกไปท่ามกลางสายฝน
เมื่อฝนหยุดตกนิโคลัสก็วิ่งกลับบ้าน ไม่นานก็หวนกลับมาพร้อมกับม้วนผ้าสะอาดและสมุนไพรสมานแผล เขาทำความสะอาดแผลให้อัลบี้ซึ่งภายหลังเจ้าตัวก็ยอมบอกชื่อตัวเอง ผ้าพันแผลมากมายถูกพันตามขา แขนและใบหน้าบางส่วนของอัลบี้ เขาดูเหมือนมันมี่ในหนังสือเรียนแต่นิโคลัสก็ไม่ได้หัวเราะเยาะหรอกนะ
“ขอบใจ แต่นายไม่ควรยุ่งกับขอทานอย่างฉัน” อัลบี้บอกเสียงอู้อี้
ประโยคนั่นทำให้นิโคลัสต้องขมวดคิ้ว จริงอยู่ที่ทางการสั่งไม่ให้มีสัมพันธ์กับขอทานซึ่งนิโคลัสก็ไม่เข้าใจเหตุผลว่าทำไม แต่สิ่งที่นิโคลัสรู้คือกฎนั่นไร้สาระสิ้นดี ทุกคนสมควรได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมไม่ใช่หรอกหรือ
“นายจะเดือดร้อนถ้าหากพวกทหารยามมาเห็นเข้า” อัลบี้ยังคงบอกโดยไม่สนใจนิโคลัส
“นายจะกลัวอะไรอัลบี้ ไม่มีใครอยู่แถวนี้เสียหน่อย”
“ก็ไม่แน่ พวกทหารยามอยู่ทุกคนทุกแห่งทั่วเมือง อยู่ได้แม้ในที่ที่ไม่ควรอยู่ ฉันไม่ไว้ใจพวกนั้นหรอก”
คำพูดของอัลบี้ทำให้นิโคลัสอดสังสัยไม่ได้ ขณะที่พูดอัลบี้ก็มองสำรวจสถานการณ์รอบตัวไปด้วย สีหน้าเขาดูวิตกจริง ๆ
“ให้ตายเถอะนายไม่ต้องกลัวขนาดนั้นก็ได้ มันจะทำให้นายประสาทเสียเปล่า ๆ” นิโคลัสบอกอย่างรำคาญ
“ไม่ นายไม่เข้าใจหรอกผู้มีอันจะกิน” วิธีที่อัลบี้พูดทำให้นิโคลัสรู้สึกเหมือนโดนเสียดสี “นายควรจะไปได้แล้วนิโคลัส ขอบใจมากสำหรับทั้งหมดนี่”
พูดจบอัลบี้ก็ชูแขนข้างที่พันผ้าพันแผลขึ้น แต่นี่คือนิโคลัสและเขาจะไม่มีทางจบการสนทนาจนกว่าจะได้คำตอบจากสิ่งที่เขาสงสัย
“ตอบฉันมาก่อนว่าทหารพวกนั้นจะทำยังไงถ้าเกิดเห็นเราอยู่ด้วยกัน” นิโคลัสถามอย่างดื้อดึง จากนั้นก็ยกแขนกอดอกอย่างวางท่า
อัลบี้กลอกตาและถอนหายใจอย่างเหลืออด ถ้าไม่ใช่เพราะเขาบาดเจ็บและหมอนี้เป็นผู้มีพระคุณ อัลบี้กล้าสาบานเลยว่าเขาคงตั้นหน้านิโคลัสไปนานแล้ว
นิโคลัสยังคงกอดอกอยู่อย่างนั้นและจ้องอัลบี้อย่างคาดคั้น นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มทำให้อัลบี้รู้สึกสงบลงอย่างน่าประหลาด แม้จะไม่รู้ว่าทำไมแต่ในที่สุดเขาก็ยอมบอก
“ทางการกลัวว่าพวกขอทานจะทำให้ชีวิตพลเมืองคนอื่น ๆ ปั่นป่วน” อัลบี้บอกอย่างเจ็บปวด “นายก็รู้ว่าอาหารการกินหายากแค่ไหน เราปลูกผักไม่ได้ พืชทุกอย่างล้วนนำเข้าทั้งนั้น ไม่ก็มาจากพวกค้าของป่า”นิโคลัสพยักหน้าอย่างเข้าใจ อัลบี้เหลือบมองเด็กชายตรงหน้าก่อนจะเล่าต่อไป
“คนเราน่ะขี้สงสารรู้ไหม ลำพังหาข้าวปลาเลี้ยงครอบครัวตัวเองก็แย่แล้ว ถ้าต้องปันมาให้ขอทานมีหวังพวกเขาเองก็ต้องเดือดร้อน พวกนั้นไม่ต้องการให้มีคนอย่างฉันเพิ่มขึ้นอีกแล้ว ทางการไม่มีอาหารหรืองบประมาณมากพอจะเลี้ยงพวกเรากระทั่งตอนนี้เองก็เช่นกัน นายเข้าใจใช่ไหม”
อัลบี้พูดเหมือนว่าทุกอย่างเป็นเรื่องปกติ แม้เขาจะดูเศร้าที่ต้องเล่ามันออกมาแต่ก็ดูจะไม่เดือดร้อนอะไร ผิดกลับนิโคลัสโดยสิ้นเชิงที่ทำสีหน้าเหมือนมีเหล็กหนักหลายตันทับหน้าอก
“นายควรไปได้แล้ว กลับบ้านไปซะ” อัลบี้บอก
นัยน์ตาสีฟ้าโดดเด่นบนใบหน้าที่มีผ้าพันแผลมองนิโคลัสอย่างเตือน ๆ นิโคลัสลังเลก่อนจะพูดขึ้น
“ล…แล้วนายล่ะ นายจะไปไหน”
“ฉันก็มีที่ของฉันนิโคลัส นายไม่ต้องกังวลหรอก” อัลบี้ยิ้มบาง ๆ ให้ก่อนจะพยุงตัวลุกขึ้นจากกองฟางเปียกชื้น
เขาหยิบท่อนไม้ยาว ๆ แถวนั้นและใช้มันเป็นไม้เท้าขณะเดินโขยกเขยกออกไปจากคอกม้าแห่งนี้ ทิ้งเด็กชายผมสีดำเจ้าของดวงตาสีน้ำเงินไว้เบื้องหลัง
•••
ประมาณสี่โมงเย็นขณะที่นิโคลัส เทรซี มาร์ลีและลุคกำลังเดินอยู่ในถนนนักปราชญ์ ถนนเส้นเล็กคับคั่งไปด้วยเด็กนักเรียน พ่อค้า อาจารย์และผู้ทรงความรู้มากมาย มีเสียงพูดคุยกันผสมกับเสียงทะเลาะวิวาทของเด็กผู้หญิงคู่หนึ่ง พวกเธอกำลังถกเถียงกันอยู่หน้าร้านขายปากกาขนนกคมเฉียบ
“ฉันบอกพี่แล้วนะอลิซว่าฉันจะซื้อมัน พี่จะมาแย้งฉันไม่ได้นะ นั่นมันรุ่นจำกัด”
“เธอไม่เคยบอกอะไรฉันเลยรีเบ็คก้า แล้วฉันก็เห็นมันก่อนเธอด้วย!”
สองพี่น้องยังคงเถียงกันต่อไปขณะที่พวกเขาเดินผ่านร้านขายกระดาษปาปิรุสของมาดามกริฟฟิธ ซึ่งร้านของเธอตั้งอยู่ที่ทางโค้ง เยื่อง ๆ กับร้านขายน้ำหมึกหลากสีของกัปตันฟิลด์ ข้างกันมีร้านอาหารเล็ก ๆ ตั้งอยู่ หมึกของมาร์ลีหมดตอนเรียนวิชาพืชศาสตร์ซึ่งเป็นวิชาสุดท้ายของวันนี้ เธอต้องใช้ทำการบ้านวิชาวิทยาศาสตร์ ซึ่งนิโคลัสไม่เคยรู้เลย
“ฉันจะเข้าไปในร้านกับมาร์ลี พวกนายจะเข้าไปด้วยกันไหม” เทรซีบอกก่อนจะหันมาถามนิโคลัสกับลุค
“ไม่ล่ะ พวกเราจะรอข้างนอก” ลุคบอก
มาร์ลีพยักหน้าและหันมายิ้มให้นิโคลัส
จากนั้นเทรซีกับมาร์ลีก็เปิดประตูเข้าไปในร้าน เสียงกระดิ่งดังกรุ้งกริ้งอยู่เหนือประตู นิโคลัสกับลุคมองหน้ากัน
“นายมีความคิดดี ๆ ไหมนิค” ลุคถาม จากนั้นก็มองไปรอบ ๆ ราวกับทำลังหาสิ่งที่จะทำให้เขาไม่เบื่อขณะรอเทรซีและมาร์ลี
จริง ๆ นิโคลัสไม่ได้เบื่ออะไรขนาดนั้น เขาไม่มีปัญหากับการรออยู่แล้ว ประสบการณ์ในครอบครัวที่มีพี่น้องหลายคนทำให้การรอสาว ๆ ซื้อน้ำหมึกเป็นเรื่องขี้ปะติ๋ว แม้บ้านของเขาจะมีหลายชั้นแต่ห้องน้ำมีเพียงแค่ห้องเดียว ทุกคนต้องทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำที่ชั้นหนึ่ง ลำบากสุดก็ตอนเช้าที่ทุกคนมักจะปวดทุกข์ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติ ต้องรอคิวนานเลยล่ะ
“ฉันว่าเราไปร้านหนังสือดีมั้ย” นิโคลัสเสนอ ซึ่งทำให้ลุคหันมาเลิกคิ้วใส่เพราะคิดว่าตัวเองอาจหูฟาด “ร้านหนังสือเนี่ยนะนิค นายเป็นคนประเภทนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
พูดจบลุคก็พยักเพยิดไปทางนักศึกษาชายคนหนึ่งที่หอบม้วนปาปิรุสออกมาจากร้านของมาดามกริฟฟิธ เขาหอบปาปิรุสกองใหญ่ไว้ในอ้อมแขนและพูดอะไรทำนองว่า “ในที่สุดก็ได้กระดาษสำหรับเขียนวิจัยอันยาวนานเสียที”
นิโคลัสระเบิดหัวเราะลั่น ลุคไปเอาความคิดแบบนั้นมาจากไหน โลกต้องถึงคราวอวสานแน่ถ้านิโคลัสจับปากกาขนนกขึ้นมาเขียนรายงานหรือวิจัย
เด็กชายทั้งสองออกเดินไปตามท้องถนนอย่างเร่งรีบ มุ่งหน้าไปยังร้านหนังสือที่นิโคลัสว่า ต้องทำเวลาก่อนที่เทรซีกับมาร์ลีจะเสร็จธุระ หลังจากเดินมาไม่นานก็ถึงร้านหนังสือ หน้าร้านติดด้วยกระจกแทบทั้งหมดทำให้เห็นหนังสือบางที่อยู่ข้างในร้าน เหนือประตูทางเข้ามีป้ายเขียนด้วยตัวหนังสือสีทองใหญ่เบ้อเริ่ม
ร้านหนังสือทุกประเภทควบคุมและดูแลโดยอาร์ทิมิส สตีล
นิโคลัสไม่ฟังเสียงคัดค้านของลุคและลากเขาเข้าในร้าน
หลายวันแล้วที่นิโคลัสไม่ได้มาร้านหนังสือแหง่นี้ ปกติหลังเลิกเรียนเขามักจะมาที่นี่กับเทรซี ซึ่งแน่นอนว่าเธอต้องเลือกเดินเข้าไปในหมวดความรู้หรือไม่ก็หมวดอัตชีวะประวัติ ส่วนสถานที่ที่นิโคลัสพร้อมจะสิงนั้นอยู่ลึกเข้าไปยังหลังร้าน หมวดหนังสือวรรณกรรมและภาพวาด
นิโคลัสทักทายอาร์ทิมิสที่กำลังยุ่งอยู่กับการจัดระเบียบหนังสือก่อนจะพาลุคเดินลัดเลาะไปตามทางเดินแคบ ๆ มีแสงไฟจากตะเกียงส่องทางสลัว ๆ อยู่เหนือศีรษะ กลิ่นอับปนกลิ่นกระดาษเก่า ๆ ตลบอบอวลไปทั่ว ไม่รู้ว่าทำไมแต่นิโคลัสชอบกลิ่นนี้
“นี้ไงที่ฉันว่า” นิโคลัสบอกลุคเมื่อเดินมาถึงชั้นหนังสือที่เรียงรายไปด้วยหนังสือนิยายและหนังสือภาพวาด “โอ้ นายอ่านแบบนี้ด้วยเหรอนิโคลัส” ลุคถามอย่างไม่ค่อยแน่ใจ ตั้งแต่เป็นเพื่อนกันมาเขาไม่เคยรู้ว่านิโคลัสชอบอ่านนิยาย
“แน่นอน สนุกนะรู้มั้ย ฉันกำลังอ่านเรื่องนี้อยู่” นิโคลัสพูดอย่างตื่นเต้นจากนั้นก็หยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากชั้น มันเป็นหนังสือเล่มเล็กสีแดงขนาดเท่าฝ่ามือ หน้าปกมีรูปวาดมังกรสีทองซีดจางและตัวหนังสือโบราณ ๆ “คู่หูอัศวินพิชิตเจ้าแห่งไฟ โดย อดัม โฮลลิงสวอร์ธ” เมื่อก่อนนิโคลัสสนใจแต่หนังสือภาพวาด เขามองว่ามันสวยงามและได้เห็นภาพต่าง ๆ ที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน นิโคลัสรู้รายละเอียดเกี่ยวกับต้นไม้ก็เพราะหนังสือภาพเหล่านี้
“ฉันเทียวมาอ่านเรื่องนี้ทุกวันหลังเลิกเรียน” นิโคลัสพลิกเปิดหน้าหนังสือไปยังตอนที่อ่านค้างไว้ “แต่สองสามวันมานี้ฉันไม่ค่อยมีเวลาเลย”
บางอย่างทำให้นิโคลัสสะดุดตากับหนังสือเล่มนี้ เขาบังเอิญเห็นมันวางอยู่ในกองหนังสือที่ยังไม่ได้เรียงด้านหลังห้อง อาจเป็นเพราะรูปมังกรสีทองชวนหลงใหลนั่น ตั้งแต่นั้นนิโคลัสก็เริ่มอ่านมันเรื่อยมา
“งั้นฉันซื้อให้เอามั้ย” ลุคบอก “นายจะได้ไม่ต้องเทียวมาบ่อย ๆ”
นิโคลัสปิดหนังสือดังปึง แทบไม่อยากเชื่อเลยว่าลุคพูดอะไรออกมา
“นายเป็นบ้าไปแล้วเหรอลุคกี้ หนังสือนี่แพงกว่าเงินค่ากินของนายทั้งเดือนอีกนะ”
“ไม่เป็นไร ฉันตั้งใจเก็บเงินไว้ซื้อของขวัญวันเกิดให้นายอยู่แล้ว ถือซะว่านี่คือของขวัญวันเกิดของนายแล้วกัน อาจล่วงหน้านานไปหน่อย”
แม้ลุคจะพูดอย่างนั้นแต่นิโคลัสก็ยังเกรงใจอยู่ดี หนังสือเล่มนี้ราคาห้าร้อยสี่สิบบาร์ต แพงไม่ใช่เล่น แต่ลุคยังคงยืนยันคำเดิมว่าจะซื้อให้ ซึ่งนั่นทำให้นิโคลัสอยากจะกระโดดกอดลุค แครมป์ตัน ถ้าไม่ติดว่ามีคนอยู่ในนี้ ไม่เคยมีใครซื้อหนังสือให้นิโคลัสมาก่อนในชีวิต อันที่จริงไม่เคยมีใครรู้ต่างหากว่าเขาชอบอ่านหนังสือซึ่งก็พอจะเข้าใจ หลังจากลุคจ่ายเงินกับอาร์ทิมิสแล้ว ทั้งสองก็มุ่งหน้ากลับไปยังร้านน้ำหมึกหลากสีของสีของกัปตันฟิลด์ นิโคลัสซ่อนหนังสือไว้ในเสื้อคลุม เขายังไม่อยากให้เทรซีรู้ว่าลุคควักเงินก้อนโตซื้อหนังสือให้
“เธอสองคนหายไปไหนมา” มาร์ลีถาม บางทีนิโคลัสก็คิดว่าเสียงของเธอฟังดูแปลก ๆ อาจเป็นเพราะเขาไม่ค่อยได้ยินเสียงของหล่อนละมั้ง
“แถวนี้ล่ะ หาอะไรทำฆ่าเวลา” นิโคลัสบอก
“ฆ่าเวลานานไปหน่อยมั้ยนิค พวกเราใช้เวลาห้านาทีก็ซื้อเสร็จแล้ว” เทรซีบอกอย่างหงุดหงิดพร้อมกับทำหน้าบูด
“ขอโทษด้วยละกัน” นิโคลัสว่า “เอาล่ะ ๆ ฉันว่าเรากลับกันเถอะ เธอมีการบ้านต้องทำใช่มั้ยมาร์ลี”
“เราต่างหากนิโคลัส” มาร์ลีแก้ประโยคให้ถูกต้องก่อนจะหลุดหัวเราะเบา ๆ
“อ่อ ช่าย” นิโคลัสพูดอย่างเลื่อนลอย สมองของเขานึกถึงแต่การเดินผจญภัยระทึกขวัญของอัศวินทั้งสาม ไม่นานพวกเขาก็ออกเดินไปบนถนนนักปราชญ์อีกครั้งตามเส้นทางวกวน มุ่งหน้าสู่ถนนราชาอันกว้างใหญ่และเต็มไปด้วยเศษหนังสือพิมพ์ปาปิรุส ผู้คนบนท้องถนนเริ่มบางตาและท้องฟ้าก็เริ่มมืดสลัว ดวงอาทิตย์ร้อนระบุกำลังจมหายที่ปลายขอบฟ้าและถูกแทนที่ด้วยจันทราสีนวล
ขณะที่ร้านรวงต่าง ๆ ทยอยปิดกันหมด กลับมีเพียงร้านอาหารแห่งนี้ที่ยังคงเปิดอยู่ ณ ร้านอาหารเล็ก ๆ ข้างร้านน้ำหมึกหลากสีของกัปตันฟิลด์ หญิงวัยกลางคนสวมชุดกันเปื้อนเดินออกมาจุดตะเกียงที่หน้าร้าน หล่อนหยุดมองวิถีชีวิตบนถนนนักปราชญ์อย่างชื่นบาน ก่อนจะกลับเข้าไปในร้านอีกครั้ง
ใครคนหนึ่งนั่งอยู่ในร้านนี้ตั้งแต่บ่ายจนกระทั่งถึงตอนนี้ เขาสั่งถั่วอบแห้งมาหลายจานแล้วขณะที่เอาแต่ทอดมองท้องถนน เสื้อคลุมสีควันทำให้เขาดูน่าเกรงขาม เด็กเสิร์ฟคนหนึ่งเผลอทำจานถั่วอบแห้งหลุดมือและแตกกระจายเป็นเสี่ยง ๆ บนพื้น เป็นเหตุให้หญิงเจ้าของร้านโวยวายใหญ่โต แต่ก่อนที่พวกนั้นจะรู้ตัวก็พบว่าจานกระเบื้องใบนั้นกลับมามีสภาพสมบูรณ์อีกครั้งอย่างปาฏิหารย์ สร้างความงุนงงให้แก่เด็กเสิร์ฟผู้โชคร้ายเป็นอย่างมาก
ชายในชุดคลุมสีเทาเฝ้ารอบาง เขานั่งอยู่ที่นี่อย่างอดทนจนกระทั่งเห็นเด็กชายสองคนเดินผ่านหน้าร้านไป รอยยิ้มบาง ๆ ปรากฏบนใบหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดเครา จากนั้นก็สั่งถั่วอบเพิ่มอีกสองจานและโยนเม็ดถั่วเข้าปาก โยนและงับ โยนและงับ นัยน์ตาสีน้ำเงินคมกริบจับจ้องภาพทุกอย่างบนท้องถนนเบื้องหน้าอย่างใจจดใจจ่อ จนกระทั่งเวลาผ่านไปประมาณสิบนาที เด็กชายคู่นั้นก็เดินกลับมาอีกครั้ง แต่ท่าทางของพวกเขาเปลี่ยนไป เด็กผมสีดำ สวมเสื้อคลุมสีน้ำตาลดูมีพิรุธ ราวกับว่าเขากำลังซ่อนบางอย่างไว้ในเสื้อคลุม ขณะเดินขนาบข้างเด็กชายผมบลอนด์
“ถึงเวลาแล้วสินะ” แม็กนัสพูดกับตัวเอง จากนั้นก็กอบเม็ดถั่วทั้งหมดเข้าปาก
เขาลุกขึ้นและเดินไปจ่ายเงินกับหญิงวัยกลางคนเจ้าของร้าน เธอรับเงินจำนวนสามร้อยยี่สิบบาร์ตและสังเกตุเห็นกำไรลูกแก้วของแม็กนัส บางทีเธออาจอยู่ในครัวนานจนทำให้ตาพล่าเพราะเธอแน่ใจว่ากำไรนั่นเรืองแสงออกมาตอนที่เธอเอ่ยชม
อากาศภายนอกร้านค่อนข้างหนาวเย็น แม็กนัสกระชับเสื้อคลุมของเขาให้แนบแน่นขณะเดินโต่เต่ไปตามท้องถนนที่มีแสงสว่างสลัว ๆ ส่องออกมาจากบ้านและร้านต่าง ๆ ข้างทาง อย่างน้อยวันนี้เขาก็ไม่เสียเวลาเปล่า ภารกิจกำลังจะเริ่มต้นขึ้น ทุกอย่างเป็นไปได้สวย
การไปโรงเรียนก็ไม่ได้เลวร้ายนักถ้าหากเทรซีจะยอมหุบปากและเงียบสักพัก เธอเอาแต่พูดเรื่องฝันประหลาดที่เห็นเมื่อคืนขณะที่เดินอยู่ในตรอกแคบ ๆ เหม็นฉี่ กลุ่มเด็กผอมแห้งสี่คนกำลังเดินอยู่บนถนนรูปสายฟ้ามุ่งหน้าสู่ถนนราชา เหนือหัวพวกเขามีราวตากผ้าที่ทำจากเชือกขึงพาดระหว่างหน้าต่างบ้านสองหลัง ผู้คนที่ตรอกแห่งนี้มีพื้นที่ใช้สอยไม่มากนักและพวกเขาก็ต้องใช้ประโยชน์จากสิ่งที่มีอยู่อย่างคุ้มค่า เสื้อผ้าหลากสีปลิวสะบัดไปมาตามแรงลม ส่งเสียงดังพลึบ ๆ เหมือนนกกำลังกระพือปีก
“จริง ๆ นะรีมัส เขาดูเย็นชามากเลยล่ะผู้ชายในฝัน มือของเขาเรืองแสงวูบวาบด้วย”
เทรซีพยายามอธิบายภาพชายในชุดคลุมสีเทาที่มีหึ่งห้อยบินตอมข้อมือ เธอทำมือเป็นรูปร่างของชายที่ว่าพร้อมกับประมาณการความสูงให้ด้วย
“ฉันไม่เคยฝันประหลาดอย่างนี้มาก่อนเลยนะ เขาเรียกชื่อฉันด้วย” แล้วเทรซีก็ทำท่าขนลุก
วิลเลียมกับนิโคลัสกลอกตาพร้อมกัน แต่แล้วรีมัสก็พูดขึ้น
“บางทีเธออาจจะฝันเห็นผู้ใช้เวทมนต์ก็ได้เทรซ” รีมัสว่า “ฉันเคยเรียนเกี่ยวกับเรื่องผู้ใช้เวทมนต์ในวิชาประวัติศาสตร์ พวกเขาร้ายกาจมาก พี่ว่าเธอฝันร้ายแล้วล่ะ”
“ไม่เอาน่ารี นายชักจะทำตัวน่าเบื่อแล้วนะ” วิลเลียมว่า
รีมัสไม่สนใจคำพูดของวิลเลียมและยังคงพูดต่อไป
“ฉันก็แค่พูดตามที่เรียนมา” รีมัสบอก “ไม่มีอะไรหรอกเทรซี”
น้องสาวตัวเล็กพยักหน้า แต่ดวงตาสีน้ำเงินเข้มคู่นั้นยังคงดูวิตก
พวกเขาแยกย้ายกันเมื่อเดินมาถึงเสาหินที่ตั้งตะหง่านอยู่หน้าตรอก รีมัสกับวิลเลียมเดินขึ้นไปตามถนนราชา โรงเรียนของพวกเขาตั้งอยู่ใกล้กับสำนักงานกองทะเบียนราษฎร ซึ่งค่อนข้างไกลกว่าโรงเรียนของนิโคลัสและเทรซีซึ่งอยู่ตรงข้ามถนนราชา ถนนนักปราชญ์ซึ่งเป็นถนนเส้นเล็กลาดต่ำลงไปกว่าระดับพื้นดินปกติ ภายในเส้นทางที่วกวนนั้นเต็มไปด้วยร้านขายของชำ ร้านขายตำราและร้านเครื่องเขียน
อากาศยามสายเริ่มทวีความร้อนขึ้นและวิถีชีวิตของเดอะ เกรนจ์ก็กำลังดำเนินไปอย่างเชื่องช้า ขอทานกลุ่มหนึ่งซึ่งประกอบไปด้วยหญิงชราผอมหนังหุ้มกระดูก เด็กชายผมยาวเนื้อตัวมอมแมมและชายวัยกลางคนสวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งเดินออกมาจากตรอกมืด ๆ ที่ทุกคนต่างเรียกมันว่าตรอกขอทาน ที่นั่นถือเป็นที่พักอาศัยและแหล่งรวมของคนไร้บ้าน พวกนั้นเดินออกมาเหมือนผีดิบและหาที่นั่งดี ๆ เพื่อหลบแดด เด็กชายคนนั้นวิ่งเยาะแยะไปรวบรวมเศษหนังสือพิมพ์ปาปิรุสที่กระจัดกระจายเกลื่อนถนน เขาหยิบมันมาสองสามแผ่นเพื่อใช้ปูนั่ง
“พวกเขาน่าสงสารจัง” เทรซีพูดเบา ๆ และเธอก็เดินเข้ามาใกล้นิโคลัส “นายว่าพวกเขาได้กินอะไรหรือยัง”
นิโคลัสบังเอิญสบตากับเด็กชายคนนั้น ความรู้สึกที่เกิดขึ้นนั้นยากเกินจะบรรยายออกมา
เขาจับแขนเทรซีและพาเดินข้ามถนนสกปรกไปยังอีกฟาก มุ่งหน้าไปยังถนนนักปราชญ์ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงเรียนพวกเขา เทรซีเหลียวหันไปมองขอทานกลุ่มนั้นอย่างหดหู่ขณะที่นิโคลัสลากเธอให้เดินตามหลังไป
•••
เมืองเดอะ เกรนจ์มีโรงเรียนอยู่ด้วยกันทั้งหมดสี่เขต ซึ่งแต่ละเขตถูกแบ่งระดับการศึกษาเอาไว้อย่างเป็นระบบ โดยเขตหนึ่งคือโรงเรียนอนุบาล เด็ก ๆ จะถูกส่งไปเริ่มต้นการศึกษาครั้งแรกในชีวิตที่นั่น เพื่อเตรียมความพร้อมสู่เขตสองซึ่งเป็นโรงเรียนประถม สถานที่แห่งนี้เองที่นิโคลัสกับเทรซีกำลังศึกษาอยู่ เขตสามคือโรงเรียนมัธยมที่พวกรีมัสกับวิลเลียมกำลังศึกษาเล่าเรียน ส่วนเขตสี่นั้นเป็นขั้นสุดของสถาบันการศึกษา มันเทียบเท่ากับมหาวิทยาลัย บางคนก็เรียกมันว่าอย่างนั้น ไซมอนจบมาจากที่นั่นและเขาก็ภาคภูมิใจมาก
อาคารทรงโบราณเก่าแก่แฝงตัวอยู่ในตรอกแคบ ๆ ของถนนนักปราชญ์ สีขาวที่ทาไว้บนผนังหลุดลอกจนน่าเกลียด เผยให้เห็นชั้นอิฐแดงที่ก่อไว้อย่างเป็นระเบียบ ถังขยะแยกประเภทสามใบทาสีสดใสวางหลบมุมอยู่ที่ข้างลานเล็ก ๆ หน้าโรงเรียน โดยมีภาโรงจาโก้ สม็อกค์ชายร่างสูงผอมผู้มีเส้นผมสีฟางชี้ฟูทำหน้าที่สอดส่องพฤติกรรมการทิ้งขยะของเด็กนักเรียน มีเสียงจอแจเจี้ยวจ้าวดังอย่างต่อเนื่อง
“เร็วหน่อยพวกเธอ สายแล้ว” ภาโรงจาโก้ว่า ชี้นิ้วผอม ๆ มาทางนิโคลัสกับเทรซี
ทั้งสองกล่าวอรุณสวัสดิ์ภาโรงก่อนจะวิ่งผ่านประตูทางเข้าทรงโค้งที่ทำจากเหล็กสีดำ ภายในโรงเรียนเต็มไปด้วยเด็กวัยเดียวกัน เหนือประตูทางเข้ามีป้ายข้อความขนาดใหญ่ที่ทำจากแผ่นเหล็ก ในนั้นมีตัวหนังสือสีแดงเขียนไว้ชัดเจน เป็นบทกลอนที่นักเรียนทุกคนท่องจำได้ขึ้นใจ
จงตั้งใจเล่าเรียนเพียรขยัน เพราะสักวันเจ้านั้นจักได้ใช้สิ่งที่ครูอาจารย์เจ้าสอนไป จำใส่ใจบัณฑิตน้อยคอยศึกษาแม้เจ้านั้นเล่าเรียนเพียรจนจบ ขออย่าคบตรีบุคคลตามนี้นาคนขี้โกงคนพาลคนร่ายมนตรา เขาจักพาชีวาเจ้ามลายสูญ
พวกเขาไม่มัวเสียเวลาอ่านกลอนนั่น ทั้งสองวิ่งหายไปหลังบานประตูไม้หนาหนักเข้าสู่ชั้นเรียน
ช่วงเช้าพวกเขาเรียนวิชาคณิตศาสตร์เป็นวิชาแรก หากใคร ๆ คิดว่าเช้าวันศุกร์ควรเป็นวันที่สวยงาม ต้องขอบอกว่าวิชาคณิตศาสตร์ได้ทำลายช่วงเวลาที่ว่าของนิโคลัสโดยสมบูรณ์แบบ เขาเกลียดการนับเลขและท่องจำสูตรต่าง ๆ ซึ่งต่อให้พยายามแค่ไหนก็ไม่เคยเข้าเซลล์ (ใช่ พ่อบอกว่ามันเรียกว่าอย่างนั้น) สมอง ผิดกับเทรซีที่ดูตั้งใจและสนุกกับมันมาก ๆ เธอยกมือถามเอฟฟีผู้เป็นอาจารย์สอนวิชานี้ตลอดชั่วโมง ต่างจากนิโคลัสที่แทบจะนับครั้งได้ อันที่จริงเขาไม่เคยยกมือถามเลยต่างหาก ส่วนวิชาต่อมาก็เป็นวิชาภาษาเดรกและวิชาสุดท้ายในช่วงเช้าคือวิชากีฬาศึกษา
บ่ายวันนั้นเทรซีนั่งอยู่โต๊ะเรียนด้านหน้าสุดของห้องกับมาร์ลี คลัทเพื่อนซี้ของเธอ เฝ้ารอเรียนวิชาดาราศาสตร์อย่างตื่นเต้น มาร์ลีคือเด็กหญิงผมแดงตัดสั้นถึงปลายคาง เส้นผมของเธอค่อนข้างหยิกและฟูฟ่อง แต่หล่อนก็จัดการกับมันให้เข้าที่ด้วยที่คาดผมสีส้ม เธอเรียนเก่งแต่พูดน้อย ต่างจากเทรซีสุด ๆ นิโคลัสลงความเห็นว่าคู่แฝดของเขาผีคงเจาะปากมาพูดแน่ ๆ เทรซีมีคำถามขี้สงสัยมากมายในหัวและก็มักจะถามคนอื่นอยู่ตลอดเวลา ซึ่งก็ต้องขอบคุณมาร์ลีล่ะนะที่คอยตอบคำถามที่บางครั้งก็ออกจะไร้สาระให้หล่อน
เมื่ออาจารย์บรอดวอเตอร์ถือหนังสือหนา ๆ สีน้ำตาลเข้ามาในห้อง นิโคลัสก็เตรียมตัวฟุ้บหลับไปกับโต๊ะเรียน เขาเหลือบมองลุค แครมป์ตันที่นั่งข้าง ๆ นี่อาจกลายเป็นภาษาลับเฉพาะระหว่างนิโคลัสกับลุค เพียงแค่มองตากันพวกเขาก็รู้ว่าอีกฝ่ายสื่อสารอะไร อย่างเช่นตอนนี้ที่นิโคลัสกำลังบอกเพื่อนซี้ผ่านภาษาดวงตาและลุคก็พยักหน้ารับอย่างเข้าใจ
แม้นิโคลัสจะรู้ว่านี้คือนิสัยที่แย่เอามาก ๆ แต่เขาก็ไม่อาจทำให้ตัวเองสนใจเรียนดาราศาสตร์ซึ่งมีความเกี่ยวพันกับวิชาคณิตศาสตร์ได้เลย เขามองออกไปนอกกระจกหน้าต่างมัว ๆ พลางนึกถึงใบหน้าของพ่อ โอลาฟและอัลเบิร์ต พวกเขาหัวดีและถนัดเรื่องคำนวณเลขจนมันอาจเป็นแค่เกมส์เด็ก ๆ หลังจากที่พ่อส่งเสียอัลเบิร์ตเรียนจบโรงเรียนเขตสี่ (ซึ่งอัลเบิร์ตยืนยันอย่างหนักแน่นให้เรียกว่ามหาวิทยาลัย) เขาก็ทำงานเป็นผู้เก็บภาษีในพระราชวังมอนต์โกเมรี นั่นเป็นเครื่องยืนยันว่าอัลเบิร์นรักตัวเลขมากแค่ไหน โอลาฟเป็นผู้ช่วยของพ่อซึ่งก็ต้องเรียนรู้เกี่ยวกับตัวยาต่าง ๆ และระบบร่างกายมนุษย์ เมื่อนึกเช่นนั้นก็ทำให้นิโคลัสรู้สึกเหมือนตัวเองช่างไร้ความสามารถ
“ดาวอังคารเป็นดาวเคราะห์สีแดง ทำให้ผู้คนเชื่อกันว่าเป็นเทพแห่งสงครามและการสู้รบ” อาจารย์บรอดวอเตอร์บรรยายเกี่ยวกับข้อมูลของดาวอังคารด้วยเสียงสูง ๆ ต่ำ ๆ ราวกับกำลังเล่าเรื่องเร้าใจ
“นักดาราศาสตร์เชื่อว่ามันอาจเป็นดาวที่มีสภาพเอื้อต่อการกำเนิด ซึ่งอาจมีวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตที่มีภูมิปัญญาเช่นเดียวกับมนุษย์”
นิโคลัสเข้าสู่ห่วงนิทราแทบจะทันทีหลังจากที่อาจารย์บรอดวอเตอร์เล่าประโยคต่อจากนั้น เขาไม่สนใจอะไรรอบข้างอีกต่อไป เสียงต่าง ๆ ค่อย ๆ เงียบหายไปพร้อมกับโลกในความฝันที่เริ่มก่อตัวขึ้น
เขากำลังยืนอยู่บนถนนที่ปูด้วยอิฐสีขาวทอดยาวไปสุดขอบฟ้า สองข้างทางค่อนข้างมืดแต่นิโคลัสมั่นใจว่าเห็นอาคารบ้านเรือนเก่า ๆ เรียงรายไปตามถนนสายนี้ บรรยากาศอึมครึมราวกับฝนใกล้จะตกและลมก็พัดแรงขึ้นเรื่อย ๆ บางอย่างบอกว่านี่คือถนนราชา นิโคลัสมองหาเสาหินต้นใหญ่ที่ปากทางเข้าตรอกแต่กลับหาไม่พบ เขาพยายามมองหามันอย่างตั้งใจแต่ก็ไร้เบาะแสหรือร่องรอยของเสาหินบอกทาง ตอนนี้เขาเริ่มตระหนักได้ว่ามันไม่เคยมีอยู่ รวมถึงตรอกสายฟ้าเองก็เช่นกัน มันถูกแทนที่ด้วยต้นไม้สูงใหญ่หลายต้น ต้นไม้เหรอ นิโคลัสชักไม่แน่ใจ เขาไม่เคยเห็นของจริงกับตาเลยในชีวิต
ความคิดที่ต้องสูญเสียบ้านไปทำให้นิโคลัสเริ่มสติแตก ตรอกนั่นคือทุกสิ่งทุกอย่าง บ้าน ครอบครัว เพื่อนและโจอี้หมาพันธุ์คอเคเชียน เชพเพิร์ดแสนรู้ ทุกอย่างที่เขารักล้วนอยู่ที่นั่น แต่ตอนนี้มันกลับกลายเป็นป่ารกทึบไปแล้ว นิโคลัสวิ่งไปยังที่ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นปากทางเข้าตรอกสายฟ้า แต่เมื่อเขาวิ่งมาถึง ภาพป่าไม้เบื้องหน้ากลับกลายเป็นสุสานขนาดใหญ่
“บ้าไปแล้ว” นิโคลัสอุทานอย่างตกใจ “นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย!”
มีป้ายหลุมศพที่ทำจากแผ่นหินมากมายเกลื่อนเต็มพื้นดินแตกระแหง เสียงร้องของอีกาดังเซ็งแซ่ไปทั่วราวกับสามารถได้ยินไปทั้งปฐพี นิโคลัสหันมองบรรยากาศรอบ ๆ ตัวอย่างหวาด ๆ อาคารทั้งหลายหายไปแล้วและกลายเป็นสุสานเช่นเดียวกัน
“โอ้พระเจ้า เกิดอะไรขึ้นกับที่นี่”
“เพราะนายไงล่ะนิโคลัส” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากที่ไหนสักแห่งในสุสาน
นิโคลัสผงะก่อนจะมองหาที่มาของต้นเสียง เขาพบเงารูปร่างคล้ายเด็กผู้ชายอยู่ที่ป้ายหลุมศพขนาดสูงและใหญ่ เงานั่นดูคล้ายหมอกวูบไหว มันเริ่มชัดขึ้นเรื่อย ๆ ก่อนจะกลายเป็นเด็กชายขอทานที่นิโคลัสพบเมื่อเช้า
“อัลบี้!” นิโคลัสร้องออกมาอย่างตกใจสุดขีด เสียงร้องของเขาก้องกังวานเหมือนเสียงก้อนหินที่โยนลงไปในบ่อน้ำ
ภาพเด็กชายตัวเล็กผมยาวที่เห็นเมื่อเช้านั้นลืมไปได้เลย ตอนนี้เขาดูแย่กว่านั้นร้อยเท่า ผมของเขาไม่ได้ยาวอีกต่อไปแล้วแต่ถูกตัดสั้นติดหนังศีรษะเหมือนเงาสีเทา เสื้อผ้าของเขาขาดเป็นรูใหญ่เบ้อเริ่มเหมือนถูกไฟไหม้ เนื้อตัวมีบาดแผลฉกรรเต็มไปหมดและคราบเลือดแห้งกรัง เบ้าตาลึกโหลนั่นกับดวงตาช้ำ ๆ สิ้นหวังทำให้อัลบี้ไม่ต่างจากผีดิบสยองขวัญ
“นายทำให้ทุกอย่างเป็นแบบนี้ ทุกคนตายหมดแล้ว ไม่เหลืออะไรเลย”
เสียงของอัลบี้ฟังดูบีบคั้นและเจ็บปวด มันดังก้องกังวานไม่ต่างจากเสียงของเขาซึ่งทำให้นิโคลัสขนลุกทั่วตัว แม้อัลบี้จะพูดอย่างนั้นแต่เขาก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี อัลบี้กำลังพูดถึงเรื่องอะไร นี่ไม่ใช่ฝีมือของเขา นิโคลัสมั่นใจเกินร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าเขาไม่ได้เป็นคนดูแลสุสานหรืออะไรที่เกี่ยวข้องกับสถานที่แห่งนี้อย่างแน่นอน
“ไม่อัลบี้ ฉันไม่ได้ทำนะ! นายกำลังพูดเรื่องอะไรแล้วเราอยู่ที่ไหน”
นิโคลัสถามอย่างร้อนรน เขาไม่อยากอยู่ที่สุสานแห่งนี้อีกต่อไป เสียงกรีดร้องของอีกายังคงดังอย่างต่อเนื่อง เมื่อผสมกับเสียงก้องกังวานหลอน ๆ ของอัลบี้แล้วยิ่งทำให้ทุกอย่างแย่ลงไปกว่าเดิม
“บ้านของเราไงนิโคลัส นายไม่ควรลืมบ้านของตัวเองนะ” อัลบี้ว่า
“ช้าก่อนเพื่อน ฉันไม่มีทางอาศัยอยู่ในสุสานหรอกนะ ฉันยังไม่ตายเสียหน่อย”
นิโคลัสตั้งต้นอธิบายแต่ก็ถูกขัดจังหวะ
“นี่คือบ้านของนาย! และนั่นก็คือที่ที่นายจะอยู่ไปชั่วนิรันด์”
พูดจบอัลบี้ก็ชี้นิ้วไปยังหลุมศพที่ใครคนหนึ่งกำลังใช้จอบขุดดินอยู่ คน ๆ นั้นคือเด็กผู้หญิงซึ่งดูคุ้นตาเหลือเกิน
“เทรซี!” นิโคลัสร้องเรียกเสียงสั่น “เธอกำลังทำอะไรอยู่ เธอบ้าไปแล้วเหรอ!”
เทรซีที่ผอมแห้งและสวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งกำลังใช้จอบขุดดินอย่างตั้งใจ ราวกับว่ามันคือสิ่งสุดท้ายที่เธอจะได้ทำซึ่งก็อาจจะจริง นิโคลัสพยายามตะโกนเรียกเทรซี แต่ดูเหมือนหล่อนจะไม่ได้ยินอะไรเลย ยังคงเดินหน้าขุดดินเพื่อทำหลุมศพต่อไปอย่างเชื่องช้า
“อัลบี้ นี่ไม่ตลกนะ น…นายพาฉันมาที่ไหนหะ” นิโคลัสเลิกสนใจเทรซีและหันมาถามอัลบี้ซึ่งกำลังใช้ปลายนิ้วชี้ลูบไล้ไปตามป้ายหลุมศพ
“คนโง่ นายต้องสอบตกวิชาประวัติศาสตร์แน่” อัลบี้ว่า น้ำเสียงราบเรียบ “เดอะ เกรนจ์ไงนิโคลัส เมืองต้องคำสาป นายควรจะรู้จักมันดีนะในเมื่อนายเป็นคนทำให้ที่นี่กลายเป็นแบบนี้”
นิโคลัสรู้สึกลำคอตีบตัน เขาคิดว่ารู้ตัวมาสักพักหนึ่งแล้วเพียงแต่ไม่อยากจะยอมรับ
“นายบ้าไปแล้วอัลบี้ ฉันบอกแล้วไงว่าไม่ได้ทำ แล้วเดอะ เกรนจ์ก็ไม่มีวันเป็นแบบนี้”
“นายปล่อยให้ทุกคนต้องตายนิโคลัส ฉันไม่เหลืออะไรแล้ว ทุกอย่างพังพินาศและมอดไหม้ไปกับเปลวเพลิง รวมถึงตัวฉันด้วย”
ประโยคสุดท้ายของอัลบี้แผ่วเบาและเศร้าสร้อย นิโคลัสเบิกตากว้างและปากสั่นระริก เขาคิดว่าอัลบี้คงจะตัดผมสั้นเพราะอากาศที่ร้อนจัด แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่ามันถูกไฟเผาไหม้ไปหมดต่างหาก รูโหวบนเสื้อเก่า ๆ ของอัลบี้เป็นหลักฐานอย่างดีอย่างไม่ต้องสงสัย
จู่ ๆ ร่างของนิโคลัสถูกดูดด้วยแรงลมมหาศาล ทำให้เขาเคลื่อนเข้าไปใกล้หลุมศพที่เทรซีกำลังขุดซึ่งห่างไปไม่ไกลนักอย่างรวดเร็ว อัลบี้มารอก่อนหน้านั้นแล้ว การได้เห็นเทรซีขุดหลุมนั่นอยู่ทำให้นิโคลัสอยากจะกรีดร้องออกมาดัง ๆ
“บ้านของเราใกล้จะเสร็จแล้วนิค อีกนิดเดียว” เทรซีพูดเสียงยานคราง “อ้า เรียบร้อย”
เธอทิ้งจอบเหล็กขึ้นสนิมลงกับพื้นดิน แรงกระแทกทำให้แผนดินแตกร้าว ราวกับจอบนั่นทำมาจากเหล็กหนักหลายตัน
“นี่ไม่ใช่ความจริง มันต้องเป็นความฝันแน่ ๆ เธอไม่มีทางขุดหลุมศพให้ตัวเองหรอก เสียสติไปแล้ว!”
“เราไม่เหลืออะไรแล้วนิค ทุกคนจากเราไปหมด ไม่มีทางเลือกอื่น”
“มีสิ” มีเสียงหนึ่งดังมาจากทางด้านขวามือของนิโคลัส เสียงของชายผู้หนึ่งที่ทุ้มและทรงอำนาจ
มีเงาวูบวาบปรากฏขึ้นหลังเนินดินที่ก่อขึ้นเพื่อทำสุสาน ป้ายหลุมศพข้าง ๆ เงานั่นเอียงล้มไปขณะที่มันกำลังเคลื่อนเข้ามาใกล้นิโคลัส มันค่อย ๆ ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ และเปลี่ยนตัวเองเป็นชายร่างสูงในชุดคลุมสีเทาคล้ายควันไฟ มือทั้งสองข้างมีแสงเรืองจาง ๆ ดวงตาสีน้ำเงินเข้มเหมือนกับของนิโคลัสจ้องมาอย่างท้าทาย มันเป็นสายตาที่ชวนให้เขาสงบ
“มากับข้านิโคลัส แล้วเจ้าจะไม่ต้องลงไปนอนในหลุมนั่น” ชายคนนั้นพูดเสียงทุ่มต่ำและเหลือบไปมองหลุมศพอย่างรังเกียจ
นิโคลัสหันไปมองตามซึ่งต้องตกใจสุดขีดเมื่อเทรซีลงไปนอนรอเขาก่อนหน้าแล้ว
“เทรซี ขึ้นมาเดียวนี้นะ เธอไม่…”
นิโคลัสเสียงสั่นมาก ๆ และไม่สามารถพูดต่อประโยคให้จบ เทรซีดูสงบเกินไป ร่างของเธอนอนราบไปกับพื้นดิน มือทั้งสองข้างวางไขว้กันบนหน้าอกและหลับตาอย่างผ่อนคลาย เธอตายไปแล้ว
“เข้าบ้านสินิโคลัส” อัลบี้บอก เสียงของเขาดังราวกับกำลังกระซิบข้าง ๆ
“มากับข้านิโคลัส นี่ไม่ใช้ทางของเจ้า” ชายคนนั้นก้าวเข้ามาใกล้และนิโคลัสก็รู้สึกถึงน้ำหนักบนไหล่ขวา มันหนกขึ้นเรื่อย ๆ และสัมผัสได้ถึงแรงเขย่าอย่างแรง นิโคลัสหันไปมองอัลบี้ที่อยู่ซ้ายมือ เขายังคงน่ากลัวหมือนผีดิบ ก่อนนิโคลัสจะหันไปมองชายอีกคนทางด้านขวา เขายืนอย่างสงบโดยมืออีกข้างยังคงวางไว้บนไหล่เล็ก ๆ ของนิโคลัส ดวงตาสีน้ำเงินเข้มเป็นประกายวูบไหว นิโคลัสมองลึกเข้าไปในดวงตาคู่นั้นเป็นครั้งสุดท้าย
“นิโคลัส นายเป็นอะไรไปน่ะ” ลุคเขย่าตัวนิโคลัสอย่างแรงจนเขาสะดุ้งสุดตัวและล้มหงายลงจากเก้าอี้นิโคลัสรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบกำลังหมุนติ้ว ๆ เขารู้สึกเจ็บข้อศอกก่อนจะพบว่าตัวเองลงไปกองกับพื้นไม้ เขารีบลุกขึ้นและมองไปรอบ ๆ ห้อง อาจารย์บรอดวอเตอร์ไม่อยู่แล้วและคนอื่น ๆ ก็หายไปหมดยกเว้นลุค เทรซีและมาร์ลี ทั้งสามกำลังจ้องมองนิโคลัส
“ไม่เป็นไร ฉันสบายดี” นิโคลัสบอกด้วยน้ำเสียงร่าเริงผิดปกติ
“ไม่นิค นายไม่สบายเอามาก ๆ เลยล่ะเพราะนายเอาแต่ตะโกนเรียกเทรซีเสียงดังลั่น”
ลุคบอกพร้อมกับมองนิโคลัสอย่างเป็นห่วงขณะเทรซีเดินเข้ามาใกล้ ทำให้นิโคลัสนึกถึงภาพเธอนอนในหลุมศพที่ขุดเองในความฝัน
“งั้นเหรอ ตลกดีนะ” นิโคลัสว่าพลางจัดคอเสื้อตัวเอง เขารู้สึกอับอายเหลือเกิน
•••
หลังตื่นจากฝันร้ายพิศดารที่สุดในชีวิต นิโคลัสก็เอาแต่นึกถึงอัลบี้เด็กชายขอทานคนนั้น ความจริงเขารู้จักอัลบี้ก่อนหน้านั้นแล้ว นิโคลัสเคยช่วยเขาจากกลุ่มสุนัขจรจัดบ้าน้ำลายที่คอกม้ารกร้างแถว ๆ ประตูทิศเหนือ วันนั้นฝนตกหนักมากและนิโคลัสก็มีธุระต้องเดินทางไปหาอัลเบิร์ตสถานที่ทำงานของเขา ขากลับนิโคลัสเลือกเดินลัดเลาะมาตามซอยซิกแซกซึ่งสามารถมาบรรจบกับถนนนักปราชญ์
ตอนนั้นลมแรงมากและเม็ดฝนก็เหมือนกับเข็มนับพันเล่มกำลังทิ่มแทงผิวหนัง นิโคลัสวิ่งฝ่าสายฝนมาหลบอยู่ที่คอกม้าแห่งนั้น เขาปาดน้ำฝนที่เกาะตามใบหน้าด้วยหลังมือก่อนจะได้ยินเสียงร้องโหยหวนของเด็กผู้ชาย มีเสียงขู่และเสียงเห่าอย่างบ้าคลั่งของสุนัขหลายตัวหลังกองฟางสูงหมายเมตร
นิโคลัสพบเด็กผู้ชายตัวเล็กนอนขดอยู่ในกองฟางเปียก ๆ ซึ่งถูกรายล้อมไปด้วยสุนัขสีดำสามตัว มันแยกเขี้ยวแหลมใส่และมีน้ำลายเหนียว ๆ ยืดย้อยลงมา เด็กคนนั้นมีบาดแผลถูกกัดหลายแห่งและเลือดก็ยังไหลไม่หยุด เสียงสะอื้นอย่างหวาดกลัวทำให้นิโคลัสรู้สึกสงสาร เขาคว้าท่อนไม้ผุ ๆ แถวนั้นขึ้นมาและใช้มันไล่สุนัขพวกนั้น พวกมันเห่าและขู่นิโคลัสอย่างโมโห แต่เขาไม่สนใจพร้อมกับไล่มันออกไปอย่างห้าวหาญ (นึกภาพนักรบชูมืดขึ้นเหนือหัวพร้อมกับตะโกนร้องอย่างผู้มีชัย) นิโคลัสใช้ไม้ท่อนนั้นตวัดอากาศไปมา สุนัขสีดำสามตัวล่าถอยและหลบไปติดรั้วกั้นคอกม้า ก่อนจะมุดลอดช่องเล็ก ๆ วิ่งหนีออกไปท่ามกลางสายฝน
เมื่อฝนหยุดตกนิโคลัสก็วิ่งกลับบ้าน ไม่นานก็หวนกลับมาพร้อมกับม้วนผ้าสะอาดและสมุนไพรสมานแผล เขาทำความสะอาดแผลให้อัลบี้ซึ่งภายหลังเจ้าตัวก็ยอมบอกชื่อตัวเอง ผ้าพันแผลมากมายถูกพันตามขา แขนและใบหน้าบางส่วนของอัลบี้ เขาดูเหมือนมันมี่ในหนังสือเรียนแต่นิโคลัสก็ไม่ได้หัวเราะเยาะหรอกนะ
“ขอบใจ แต่นายไม่ควรยุ่งกับขอทานอย่างฉัน” อัลบี้บอกเสียงอู้อี้
ประโยคนั่นทำให้นิโคลัสต้องขมวดคิ้ว จริงอยู่ที่ทางการสั่งไม่ให้มีสัมพันธ์กับขอทานซึ่งนิโคลัสก็ไม่เข้าใจเหตุผลว่าทำไม แต่สิ่งที่นิโคลัสรู้คือกฎนั่นไร้สาระสิ้นดี ทุกคนสมควรได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมไม่ใช่หรอกหรือ
“นายจะเดือดร้อนถ้าหากพวกทหารยามมาเห็นเข้า” อัลบี้ยังคงบอกโดยไม่สนใจนิโคลัส
“นายจะกลัวอะไรอัลบี้ ไม่มีใครอยู่แถวนี้เสียหน่อย”
“ก็ไม่แน่ พวกทหารยามอยู่ทุกคนทุกแห่งทั่วเมือง อยู่ได้แม้ในที่ที่ไม่ควรอยู่ ฉันไม่ไว้ใจพวกนั้นหรอก”
คำพูดของอัลบี้ทำให้นิโคลัสอดสังสัยไม่ได้ ขณะที่พูดอัลบี้ก็มองสำรวจสถานการณ์รอบตัวไปด้วย สีหน้าเขาดูวิตกจริง ๆ
“ให้ตายเถอะนายไม่ต้องกลัวขนาดนั้นก็ได้ มันจะทำให้นายประสาทเสียเปล่า ๆ” นิโคลัสบอกอย่างรำคาญ
“ไม่ นายไม่เข้าใจหรอกผู้มีอันจะกิน” วิธีที่อัลบี้พูดทำให้นิโคลัสรู้สึกเหมือนโดนเสียดสี “นายควรจะไปได้แล้วนิโคลัส ขอบใจมากสำหรับทั้งหมดนี่”
พูดจบอัลบี้ก็ชูแขนข้างที่พันผ้าพันแผลขึ้น แต่นี่คือนิโคลัสและเขาจะไม่มีทางจบการสนทนาจนกว่าจะได้คำตอบจากสิ่งที่เขาสงสัย
“ตอบฉันมาก่อนว่าทหารพวกนั้นจะทำยังไงถ้าเกิดเห็นเราอยู่ด้วยกัน” นิโคลัสถามอย่างดื้อดึง จากนั้นก็ยกแขนกอดอกอย่างวางท่า
อัลบี้กลอกตาและถอนหายใจอย่างเหลืออด ถ้าไม่ใช่เพราะเขาบาดเจ็บและหมอนี้เป็นผู้มีพระคุณ อัลบี้กล้าสาบานเลยว่าเขาคงตั้นหน้านิโคลัสไปนานแล้ว
นิโคลัสยังคงกอดอกอยู่อย่างนั้นและจ้องอัลบี้อย่างคาดคั้น นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มทำให้อัลบี้รู้สึกสงบลงอย่างน่าประหลาด แม้จะไม่รู้ว่าทำไมแต่ในที่สุดเขาก็ยอมบอก
“ทางการกลัวว่าพวกขอทานจะทำให้ชีวิตพลเมืองคนอื่น ๆ ปั่นป่วน” อัลบี้บอกอย่างเจ็บปวด “นายก็รู้ว่าอาหารการกินหายากแค่ไหน เราปลูกผักไม่ได้ พืชทุกอย่างล้วนนำเข้าทั้งนั้น ไม่ก็มาจากพวกค้าของป่า”นิโคลัสพยักหน้าอย่างเข้าใจ อัลบี้เหลือบมองเด็กชายตรงหน้าก่อนจะเล่าต่อไป
“คนเราน่ะขี้สงสารรู้ไหม ลำพังหาข้าวปลาเลี้ยงครอบครัวตัวเองก็แย่แล้ว ถ้าต้องปันมาให้ขอทานมีหวังพวกเขาเองก็ต้องเดือดร้อน พวกนั้นไม่ต้องการให้มีคนอย่างฉันเพิ่มขึ้นอีกแล้ว ทางการไม่มีอาหารหรืองบประมาณมากพอจะเลี้ยงพวกเรากระทั่งตอนนี้เองก็เช่นกัน นายเข้าใจใช่ไหม”
อัลบี้พูดเหมือนว่าทุกอย่างเป็นเรื่องปกติ แม้เขาจะดูเศร้าที่ต้องเล่ามันออกมาแต่ก็ดูจะไม่เดือดร้อนอะไร ผิดกลับนิโคลัสโดยสิ้นเชิงที่ทำสีหน้าเหมือนมีเหล็กหนักหลายตันทับหน้าอก
“นายควรไปได้แล้ว กลับบ้านไปซะ” อัลบี้บอก
นัยน์ตาสีฟ้าโดดเด่นบนใบหน้าที่มีผ้าพันแผลมองนิโคลัสอย่างเตือน ๆ นิโคลัสลังเลก่อนจะพูดขึ้น
“ล…แล้วนายล่ะ นายจะไปไหน”
“ฉันก็มีที่ของฉันนิโคลัส นายไม่ต้องกังวลหรอก” อัลบี้ยิ้มบาง ๆ ให้ก่อนจะพยุงตัวลุกขึ้นจากกองฟางเปียกชื้น
เขาหยิบท่อนไม้ยาว ๆ แถวนั้นและใช้มันเป็นไม้เท้าขณะเดินโขยกเขยกออกไปจากคอกม้าแห่งนี้ ทิ้งเด็กชายผมสีดำเจ้าของดวงตาสีน้ำเงินไว้เบื้องหลัง
•••
ประมาณสี่โมงเย็นขณะที่นิโคลัส เทรซี มาร์ลีและลุคกำลังเดินอยู่ในถนนนักปราชญ์ ถนนเส้นเล็กคับคั่งไปด้วยเด็กนักเรียน พ่อค้า อาจารย์และผู้ทรงความรู้มากมาย มีเสียงพูดคุยกันผสมกับเสียงทะเลาะวิวาทของเด็กผู้หญิงคู่หนึ่ง พวกเธอกำลังถกเถียงกันอยู่หน้าร้านขายปากกาขนนกคมเฉียบ
“ฉันบอกพี่แล้วนะอลิซว่าฉันจะซื้อมัน พี่จะมาแย้งฉันไม่ได้นะ นั่นมันรุ่นจำกัด”
“เธอไม่เคยบอกอะไรฉันเลยรีเบ็คก้า แล้วฉันก็เห็นมันก่อนเธอด้วย!”
สองพี่น้องยังคงเถียงกันต่อไปขณะที่พวกเขาเดินผ่านร้านขายกระดาษปาปิรุสของมาดามกริฟฟิธ ซึ่งร้านของเธอตั้งอยู่ที่ทางโค้ง เยื่อง ๆ กับร้านขายน้ำหมึกหลากสีของกัปตันฟิลด์ ข้างกันมีร้านอาหารเล็ก ๆ ตั้งอยู่ หมึกของมาร์ลีหมดตอนเรียนวิชาพืชศาสตร์ซึ่งเป็นวิชาสุดท้ายของวันนี้ เธอต้องใช้ทำการบ้านวิชาวิทยาศาสตร์ ซึ่งนิโคลัสไม่เคยรู้เลย
“ฉันจะเข้าไปในร้านกับมาร์ลี พวกนายจะเข้าไปด้วยกันไหม” เทรซีบอกก่อนจะหันมาถามนิโคลัสกับลุค
“ไม่ล่ะ พวกเราจะรอข้างนอก” ลุคบอก
มาร์ลีพยักหน้าและหันมายิ้มให้นิโคลัส
จากนั้นเทรซีกับมาร์ลีก็เปิดประตูเข้าไปในร้าน เสียงกระดิ่งดังกรุ้งกริ้งอยู่เหนือประตู นิโคลัสกับลุคมองหน้ากัน
“นายมีความคิดดี ๆ ไหมนิค” ลุคถาม จากนั้นก็มองไปรอบ ๆ ราวกับทำลังหาสิ่งที่จะทำให้เขาไม่เบื่อขณะรอเทรซีและมาร์ลี
จริง ๆ นิโคลัสไม่ได้เบื่ออะไรขนาดนั้น เขาไม่มีปัญหากับการรออยู่แล้ว ประสบการณ์ในครอบครัวที่มีพี่น้องหลายคนทำให้การรอสาว ๆ ซื้อน้ำหมึกเป็นเรื่องขี้ปะติ๋ว แม้บ้านของเขาจะมีหลายชั้นแต่ห้องน้ำมีเพียงแค่ห้องเดียว ทุกคนต้องทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำที่ชั้นหนึ่ง ลำบากสุดก็ตอนเช้าที่ทุกคนมักจะปวดทุกข์ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติ ต้องรอคิวนานเลยล่ะ
“ฉันว่าเราไปร้านหนังสือดีมั้ย” นิโคลัสเสนอ ซึ่งทำให้ลุคหันมาเลิกคิ้วใส่เพราะคิดว่าตัวเองอาจหูฟาด “ร้านหนังสือเนี่ยนะนิค นายเป็นคนประเภทนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
พูดจบลุคก็พยักเพยิดไปทางนักศึกษาชายคนหนึ่งที่หอบม้วนปาปิรุสออกมาจากร้านของมาดามกริฟฟิธ เขาหอบปาปิรุสกองใหญ่ไว้ในอ้อมแขนและพูดอะไรทำนองว่า “ในที่สุดก็ได้กระดาษสำหรับเขียนวิจัยอันยาวนานเสียที”
นิโคลัสระเบิดหัวเราะลั่น ลุคไปเอาความคิดแบบนั้นมาจากไหน โลกต้องถึงคราวอวสานแน่ถ้านิโคลัสจับปากกาขนนกขึ้นมาเขียนรายงานหรือวิจัย
เด็กชายทั้งสองออกเดินไปตามท้องถนนอย่างเร่งรีบ มุ่งหน้าไปยังร้านหนังสือที่นิโคลัสว่า ต้องทำเวลาก่อนที่เทรซีกับมาร์ลีจะเสร็จธุระ หลังจากเดินมาไม่นานก็ถึงร้านหนังสือ หน้าร้านติดด้วยกระจกแทบทั้งหมดทำให้เห็นหนังสือบางที่อยู่ข้างในร้าน เหนือประตูทางเข้ามีป้ายเขียนด้วยตัวหนังสือสีทองใหญ่เบ้อเริ่ม
ร้านหนังสือทุกประเภทควบคุมและดูแลโดยอาร์ทิมิส สตีล
นิโคลัสไม่ฟังเสียงคัดค้านของลุคและลากเขาเข้าในร้าน
หลายวันแล้วที่นิโคลัสไม่ได้มาร้านหนังสือแหง่นี้ ปกติหลังเลิกเรียนเขามักจะมาที่นี่กับเทรซี ซึ่งแน่นอนว่าเธอต้องเลือกเดินเข้าไปในหมวดความรู้หรือไม่ก็หมวดอัตชีวะประวัติ ส่วนสถานที่ที่นิโคลัสพร้อมจะสิงนั้นอยู่ลึกเข้าไปยังหลังร้าน หมวดหนังสือวรรณกรรมและภาพวาด
นิโคลัสทักทายอาร์ทิมิสที่กำลังยุ่งอยู่กับการจัดระเบียบหนังสือก่อนจะพาลุคเดินลัดเลาะไปตามทางเดินแคบ ๆ มีแสงไฟจากตะเกียงส่องทางสลัว ๆ อยู่เหนือศีรษะ กลิ่นอับปนกลิ่นกระดาษเก่า ๆ ตลบอบอวลไปทั่ว ไม่รู้ว่าทำไมแต่นิโคลัสชอบกลิ่นนี้
“นี้ไงที่ฉันว่า” นิโคลัสบอกลุคเมื่อเดินมาถึงชั้นหนังสือที่เรียงรายไปด้วยหนังสือนิยายและหนังสือภาพวาด “โอ้ นายอ่านแบบนี้ด้วยเหรอนิโคลัส” ลุคถามอย่างไม่ค่อยแน่ใจ ตั้งแต่เป็นเพื่อนกันมาเขาไม่เคยรู้ว่านิโคลัสชอบอ่านนิยาย
“แน่นอน สนุกนะรู้มั้ย ฉันกำลังอ่านเรื่องนี้อยู่” นิโคลัสพูดอย่างตื่นเต้นจากนั้นก็หยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากชั้น มันเป็นหนังสือเล่มเล็กสีแดงขนาดเท่าฝ่ามือ หน้าปกมีรูปวาดมังกรสีทองซีดจางและตัวหนังสือโบราณ ๆ “คู่หูอัศวินพิชิตเจ้าแห่งไฟ โดย อดัม โฮลลิงสวอร์ธ” เมื่อก่อนนิโคลัสสนใจแต่หนังสือภาพวาด เขามองว่ามันสวยงามและได้เห็นภาพต่าง ๆ ที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน นิโคลัสรู้รายละเอียดเกี่ยวกับต้นไม้ก็เพราะหนังสือภาพเหล่านี้
“ฉันเทียวมาอ่านเรื่องนี้ทุกวันหลังเลิกเรียน” นิโคลัสพลิกเปิดหน้าหนังสือไปยังตอนที่อ่านค้างไว้ “แต่สองสามวันมานี้ฉันไม่ค่อยมีเวลาเลย”
บางอย่างทำให้นิโคลัสสะดุดตากับหนังสือเล่มนี้ เขาบังเอิญเห็นมันวางอยู่ในกองหนังสือที่ยังไม่ได้เรียงด้านหลังห้อง อาจเป็นเพราะรูปมังกรสีทองชวนหลงใหลนั่น ตั้งแต่นั้นนิโคลัสก็เริ่มอ่านมันเรื่อยมา
“งั้นฉันซื้อให้เอามั้ย” ลุคบอก “นายจะได้ไม่ต้องเทียวมาบ่อย ๆ”
นิโคลัสปิดหนังสือดังปึง แทบไม่อยากเชื่อเลยว่าลุคพูดอะไรออกมา
“นายเป็นบ้าไปแล้วเหรอลุคกี้ หนังสือนี่แพงกว่าเงินค่ากินของนายทั้งเดือนอีกนะ”
“ไม่เป็นไร ฉันตั้งใจเก็บเงินไว้ซื้อของขวัญวันเกิดให้นายอยู่แล้ว ถือซะว่านี่คือของขวัญวันเกิดของนายแล้วกัน อาจล่วงหน้านานไปหน่อย”
แม้ลุคจะพูดอย่างนั้นแต่นิโคลัสก็ยังเกรงใจอยู่ดี หนังสือเล่มนี้ราคาห้าร้อยสี่สิบบาร์ต แพงไม่ใช่เล่น แต่ลุคยังคงยืนยันคำเดิมว่าจะซื้อให้ ซึ่งนั่นทำให้นิโคลัสอยากจะกระโดดกอดลุค แครมป์ตัน ถ้าไม่ติดว่ามีคนอยู่ในนี้ ไม่เคยมีใครซื้อหนังสือให้นิโคลัสมาก่อนในชีวิต อันที่จริงไม่เคยมีใครรู้ต่างหากว่าเขาชอบอ่านหนังสือซึ่งก็พอจะเข้าใจ หลังจากลุคจ่ายเงินกับอาร์ทิมิสแล้ว ทั้งสองก็มุ่งหน้ากลับไปยังร้านน้ำหมึกหลากสีของสีของกัปตันฟิลด์ นิโคลัสซ่อนหนังสือไว้ในเสื้อคลุม เขายังไม่อยากให้เทรซีรู้ว่าลุคควักเงินก้อนโตซื้อหนังสือให้
“เธอสองคนหายไปไหนมา” มาร์ลีถาม บางทีนิโคลัสก็คิดว่าเสียงของเธอฟังดูแปลก ๆ อาจเป็นเพราะเขาไม่ค่อยได้ยินเสียงของหล่อนละมั้ง
“แถวนี้ล่ะ หาอะไรทำฆ่าเวลา” นิโคลัสบอก
“ฆ่าเวลานานไปหน่อยมั้ยนิค พวกเราใช้เวลาห้านาทีก็ซื้อเสร็จแล้ว” เทรซีบอกอย่างหงุดหงิดพร้อมกับทำหน้าบูด
“ขอโทษด้วยละกัน” นิโคลัสว่า “เอาล่ะ ๆ ฉันว่าเรากลับกันเถอะ เธอมีการบ้านต้องทำใช่มั้ยมาร์ลี”
“เราต่างหากนิโคลัส” มาร์ลีแก้ประโยคให้ถูกต้องก่อนจะหลุดหัวเราะเบา ๆ
“อ่อ ช่าย” นิโคลัสพูดอย่างเลื่อนลอย สมองของเขานึกถึงแต่การเดินผจญภัยระทึกขวัญของอัศวินทั้งสาม ไม่นานพวกเขาก็ออกเดินไปบนถนนนักปราชญ์อีกครั้งตามเส้นทางวกวน มุ่งหน้าสู่ถนนราชาอันกว้างใหญ่และเต็มไปด้วยเศษหนังสือพิมพ์ปาปิรุส ผู้คนบนท้องถนนเริ่มบางตาและท้องฟ้าก็เริ่มมืดสลัว ดวงอาทิตย์ร้อนระบุกำลังจมหายที่ปลายขอบฟ้าและถูกแทนที่ด้วยจันทราสีนวล
ขณะที่ร้านรวงต่าง ๆ ทยอยปิดกันหมด กลับมีเพียงร้านอาหารแห่งนี้ที่ยังคงเปิดอยู่ ณ ร้านอาหารเล็ก ๆ ข้างร้านน้ำหมึกหลากสีของกัปตันฟิลด์ หญิงวัยกลางคนสวมชุดกันเปื้อนเดินออกมาจุดตะเกียงที่หน้าร้าน หล่อนหยุดมองวิถีชีวิตบนถนนนักปราชญ์อย่างชื่นบาน ก่อนจะกลับเข้าไปในร้านอีกครั้ง
ใครคนหนึ่งนั่งอยู่ในร้านนี้ตั้งแต่บ่ายจนกระทั่งถึงตอนนี้ เขาสั่งถั่วอบแห้งมาหลายจานแล้วขณะที่เอาแต่ทอดมองท้องถนน เสื้อคลุมสีควันทำให้เขาดูน่าเกรงขาม เด็กเสิร์ฟคนหนึ่งเผลอทำจานถั่วอบแห้งหลุดมือและแตกกระจายเป็นเสี่ยง ๆ บนพื้น เป็นเหตุให้หญิงเจ้าของร้านโวยวายใหญ่โต แต่ก่อนที่พวกนั้นจะรู้ตัวก็พบว่าจานกระเบื้องใบนั้นกลับมามีสภาพสมบูรณ์อีกครั้งอย่างปาฏิหารย์ สร้างความงุนงงให้แก่เด็กเสิร์ฟผู้โชคร้ายเป็นอย่างมาก
ชายในชุดคลุมสีเทาเฝ้ารอบาง เขานั่งอยู่ที่นี่อย่างอดทนจนกระทั่งเห็นเด็กชายสองคนเดินผ่านหน้าร้านไป รอยยิ้มบาง ๆ ปรากฏบนใบหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดเครา จากนั้นก็สั่งถั่วอบเพิ่มอีกสองจานและโยนเม็ดถั่วเข้าปาก โยนและงับ โยนและงับ นัยน์ตาสีน้ำเงินคมกริบจับจ้องภาพทุกอย่างบนท้องถนนเบื้องหน้าอย่างใจจดใจจ่อ จนกระทั่งเวลาผ่านไปประมาณสิบนาที เด็กชายคู่นั้นก็เดินกลับมาอีกครั้ง แต่ท่าทางของพวกเขาเปลี่ยนไป เด็กผมสีดำ สวมเสื้อคลุมสีน้ำตาลดูมีพิรุธ ราวกับว่าเขากำลังซ่อนบางอย่างไว้ในเสื้อคลุม ขณะเดินขนาบข้างเด็กชายผมบลอนด์
“ถึงเวลาแล้วสินะ” แม็กนัสพูดกับตัวเอง จากนั้นก็กอบเม็ดถั่วทั้งหมดเข้าปาก
เขาลุกขึ้นและเดินไปจ่ายเงินกับหญิงวัยกลางคนเจ้าของร้าน เธอรับเงินจำนวนสามร้อยยี่สิบบาร์ตและสังเกตุเห็นกำไรลูกแก้วของแม็กนัส บางทีเธออาจอยู่ในครัวนานจนทำให้ตาพล่าเพราะเธอแน่ใจว่ากำไรนั่นเรืองแสงออกมาตอนที่เธอเอ่ยชม
อากาศภายนอกร้านค่อนข้างหนาวเย็น แม็กนัสกระชับเสื้อคลุมของเขาให้แนบแน่นขณะเดินโต่เต่ไปตามท้องถนนที่มีแสงสว่างสลัว ๆ ส่องออกมาจากบ้านและร้านต่าง ๆ ข้างทาง อย่างน้อยวันนี้เขาก็ไม่เสียเวลาเปล่า ภารกิจกำลังจะเริ่มต้นขึ้น ทุกอย่างเป็นไปได้สวย
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ