สองพี่น้องฮันเตอร์ กับ ไข่มังกรแห่งซาเกร็ตต์
เขียนโดย ชาร์ลี
วันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2558 เวลา 23.01 น.
แก้ไขเมื่อ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2558 02.19 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) I: บ้านหอคอย
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความI
บ้านหอคอย
หากเดินไปตามถนนราชา ประมาณสี่ร้อยเมตรก่อนจะถึงประตูทิศตะวันออก ทางขวามือจะพบป้ายที่ทำจากเสาหินขนาดใหญ่แกะสลักข้อความว่า “ตรอกสายฟ้า” ซึ่งลักษณะเส้นทางของตรอกก็เป็นไปตามชื่อ ให้เลี้ยวเข้าไปในตรอกแคบ ๆ นั่น ถ้าหากเดินก็จะใช้เวลาสิบนาที คุณจะพบว่ามีบ้านทรงสูงหน้าตาประหลาดตั้งอยู่ที่หัวมุมทางโค้ง ตำแหน่งที่เป็นจุดหักศอกของรูปสายฟ้า บ้านของครอบครัวฮันเตอร์
มันเป็นบ้านที่ทำจากไม้เนื้อแข็งอย่างดีและผนังบ้านฉาบด้วยดินเหนียวผสมกับฟาง แต่อาจมีส่วมผสมอย่างอื่นด้วยเพราะมันแข็งแรงเอามาก ๆ เสาบ้านปักหลักกับพื้นดินอย่างมั่นคงด้วยการรื้อและออกแบบใหม่โดยไซมอน ฮันเตอร์ ก่อนหน้านั้นมันเคยเป็นบ้านสองชั้นที่เก่าจนชำรุดทรุดโทรม หลังจากแต่งงานกับซูซาน ไซมอนก็ใช้เงินเก็บทั้งหมดที่มีซื้อบ้านหลังนี้ต่อจากเจ้าของร้านขายหนังสือสติเฟื้องและเริ่มต้นชีวิตครอบครัวที่หมู่บ้านในตรอกแคบ ๆ แห่งนี้
ผ่านไปหลายปีหลังจากซูซานคลอดลูกชายคนที่สอง ทั้งคู่ก็เริ่มต่อเติมบ้านให้มีชั้นเพิ่มตามจำนวนลูก ๆ โดยแต่ละชั้นยกให้เป็นห้องนอนของลูกแต่ละคน ซึ่งปัจจุบันบ้านหลังนี้มีทั้งหมดด้วยกันเจ็ดชั้น ชั้นหนึ่งเป็นของไซมอนและซูซาน มันเป็นทั้งห้องนอน ห้องรับแขกและห้องครัว ตอนเด็ก ๆ โอลาฟลูกชายคนโตเคยอยู่รวมกับพวกเขา แต่หลังจากที่ย่างเข้าอายุสิบห้าปีโอลาฟก็ตัดสินใจแยกไปนอนที่ห้องเก็บสมุนไพรข้างบ้าน ซึ่งเป็นห้องเล็ก ๆ ที่ต่อเติมออกไปเพื่อใช้เก็บตัวยาสำคัญต่าง ๆ (ไซมอนมีคลีนิกเป็นของตัวเอง เขามีอาชีพเป็นหมอ) ส่วนชั้นสองเป็นของเจอร์ราร์ด ชั้นสามเป็นของฮิวโก้ ชั้นสี่เป็นของอัลเบิร์ต ชั้นห้าเป็นของวิลเลี่ยม ชั้นหกเป็นของรีมัสและชั้นเจ็ดตกเป็นของนิโคลัสและเทรซี น้องชายและน้องสาวฝาแฝดคนสุดท้อง
ไซมอนเคยสงสัยว่าทำไมพวกเขาถึงมีลูกชายหลายคน เพราะตั้งแต่โอลาฟไปถึงนิโคลัสล้วนแต่เป็นลูกชายทั้งสิ้น ยกเว้นเทรซีที่เป็นลูกสาวเพียงคนเดียว สิ่งมหัศจรรย์ไม่ใช่เพียงแค่นิโคลัสกับเทรซีเป็นฝาแฝดต่างเพศเท่านั้น แต่ทั้งคู่ยังตัวติดกันอีกด้วย เด็กน้อยคลอดออกมาพร้อมกันในท่ากอดกันกลม โดยมีแผ่นเนื้อบาง ๆ บริเวณหน้าอกยึดทั้งสองเข้าด้วยกัน
ไซมอนเป็นผู้ทำคลอดให้ภรรยา ตอนนั้นเขานึกว่าลูก ๆ จะไม่รอดเสียแล้ว ทั้งสองตัวเล็กมากและดูบอบบางจนแทบไม่กล้าแตะเนื้อต้องตัว แต่สวรรค์ทรงประทานความสามารถทางการแพทย์ให้ไซมอน ดังนั้นพ่อคนนี้จึงเลี้ยงดูลูกแฝดที่อ่อนแออย่างสุดชีวิต สุดความสามารถ จนกระทั่งทั้งคู่เติบใหญ่เป็นเด็กชายและเด็กหญิงที่แข็งแรงร่าเริง แต่เรื่องน่าแปลกที่สุดคือพวกเขาไม่ได้ตัวติดกันอีกต่อไปแล้วหลังจากอายุครบเจ็ดเดือน แผ่นเนื้อนั่นสลายไปอย่างน่าพิศวงโดยทิ้งรอยแผลเป็นจาง ๆ เอาไว้ แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นซูซานก็ยังรักนิโคลัสกับเทรซีเหมือนเดิมหรืออาจมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ
เป็นเวลาเกือบเจ็ดโมงเช้าแล้วหลังจากที่ซูซาน ฮันเตอร์ง่วนอยู่ในห้องครัวแคบ ๆ ในที่สุดมันบดกับซุปถั่วร้อน ๆ ควันฉุยก็พร้อมเสิร์ฟ อาหารเดิม ๆ ที่ทุกคนทานจนขยาด แต่พวกเขารู้ดีว่าไม่มีทางเลือกมากนัก
“รีมัส วิลเลียม!” ซูซานตะโกนเรียก “พวกลูก ๆ อยู่ไหนน่ะ”
“ครับแม่” รีมัสตะโกนตอบ “พวกเราอยู่ชั้นเจ็ด”
“มีอะไรหรือเปล่าคะ” เสียงใสของเทรซีตะโกนเสริม
เสียงของเด็ก ๆ แผ่วเบามากจนเธอต้องเดินออกจากห้องครัวที่ทั้งแคบและรก มีข้าวของมากมายวางขวางทางเดินซึ่งซูซานเองก็จนปัญญาจะหาที่เก็บอื่น เธอต้องเดินหลบเครื่องครัวที่วางกองเป็นชั้นและตรงไปยังบันได
“เมื่อกี้ลูกว่าไงนะ!” ซูซานตะโกนถามอีกครั้งและเริ่มจะหงุดหงิด
“มีอะไรหรือเปล่าครับ” คราวนี้เป็นเสียงของนิโคลัสตะโกนลงมา
“แม่บอกว่าอาหารเช้าเสร็จแล้ว” ซูซานบอก ยกแขนสองข้างท้าวสะเอว “รีบลงมาเสียทีก่อนที่แม่จะเอาไปเทให้เจ้าโจอี้กิน!”
พูดจบเธอก็เดินปึงปังกลับเข้าห้องครัวและเผลอเตะกาต้มน้ำที่พื้นจนบุบไปครึ่งหนึ่ง เธอกลอกตาและคิดอย่างจริงจังที่จะขยายห้องครัว แต่เมื่อนึก ๆ ดูแล้วมันอาจเป็นความผิดพลาดส่วนหนึ่งที่ยอมให้สามีผู้มี
จินตนาการล้ำเลิศสร้างบ้านสูงหลายชั้นแบบนี้ เมื่อก่อนอาจเป็นความคิดที่เข้าท่า ตอนนี้ซูซานเริ่มแก่แล้วและเธอก็ไม่อยากตะโกนเรียกลูก ๆ แบบนี้ไปตลอดหรอกนะ
ผมยาวสีดำแซมขาวประปรายถูกมวยเป็นจุกที่ท้ายทอย ซูซานจัดการมันให้เรียบร้อยด้วยปิ่นปักผมที่ทำจากเงินบริสุทธิ์ เธอชอบทรงผมนี้และนาน ๆ ทีจะปล่อยตรง แต่ก็นะ ซูซานไม่ชอบให้ปอยผมหล่นลงมาขณะทำอาหาร นั่นไม่ใช่ลักษณะนิสัยของแม่ครัวที่ดี
ชายหนุ่มร่างสูงเดินหลบสิ่งกีดขวางอย่างชำนาญเข้ามาในห้องครัว เขามีผิวสีกาแฟ เส้นผมสีน้ำตาลนั้นเข้ากับรูปร่างปราดเปรียว ส่วนใบหน้าของเขาซูซานลงความเห็นว่าถอดแบบมาจากไซมอนทุกประการ โดยเฉพาะดวงตาสีน้ำเงินเข้มคู่นั้น ชายหนุ่มเข้าไปจัดการกับกาต้มน้ำบุบบี้ที่พื้นให้กลับมามีรูปทรงใกล้เคียงแบบเดิม เก็บกวาดโต๊ะอาหารที่เต็มไปด้วยจานชาม กองหนังสือสอนปรุงอาหารสุดโปรดของซูซานและเศษสมุนไพรของไซมอน เตรียมพร้อมสำหรับมื้อเช้า
“โอ้ สวรรค์ทรงโปรด ขอบใจมากโอลาฟ” ซูซานมัวแต่ตักมันบดแยะ ๆ กับซุปถั่วเละ ๆ ใส่จานจนลืมเก็บกวาดโต๊ะทานอาหารเสียสนิท
“ยินดีครับ” เสียงทุ้มในแบบผู้ใหญ่พูดอย่างนอบน้อม
ซูซานรู้สึกตื้นตันและอดชมลูกชายคนโตไม่ได้ แม้เขาอายุเกือบจะสามสิบแล้วแต่ก็ยังทำตัวน่าเอ็นดูเหมือนเดิม ลึก ๆ แล้วซูซานฝันอยากจะมีบั้นปลายชีวิตอย่างคนแก่ธรรมดาทั่วไป ทิ้งตัวบนโซฟาอุ่น ๆ ข้างเตาผิงและถักนิตติ้งเป็นเสื้อกันหนาวให้หลาน ๆ ใส่ในฤดูหนาว เธอมองโอลาฟอย่างคาดหวัง หวังว่าจะมีข่าวดีระหว่างเขากับแฟนสาวที่ชื่อธาเลีย นอร์เวลล์ในเร็ว ๆ นี้
“พ่อของลูกละจ้ะ เขาไม่มาด้วยเหรอ” ซูซานถาม
โอลาฟทำเสียงคางต่ำในลำคอ
“พ่อกำลังตรวจคนไข้อยู่ครับ เขาบอกให้เรากินก่อนเลย”
ซูซานจุ๊ปาก เขารู้ว่าไซมอนทำงานหนักขนาดไหน เขาเป็นทั้งสามีและหมอที่ดีมาก หลังจากมีลูกไซมอนก็ไม่ยอมให้เธอทำงานอีกเลย แต่ให้ตายเถอะ! สามีของเธอก็เป็นคนนะ เขาต้องทานอาหารและนี่ก็ยังเช้าอยู่เลย แม้จะไม่ชอบใจแต่เธอก็ไม่ได้พูดอะไร
“เดี๋ยวพ่อก็ตามมา ไม่นานหรอกครับ” โอลาฟรีบเสริมเมื่อเห็นสีหน้ากังวลของแม่
ซูซานพยักหน้ารับ
“จ้ะ”
มีเสียงตึงตังสนั่นหวั่นไหวที่บันได ราวกับมันกำลังจะพังทล่มในอีกไม่กี่วินาที ซูซานขมวดคิ้วเพราะรู้ว่านั่นคือเสียงวิ่งแข่งกันลงบันไดของรีมัส วิลเลียม นิโคลัสและเทรซี พวกเด็ก ๆ มักทำแบบนี้บ่อย ๆ และเห็นว่ามันเป็นเรื่องที่สนุกสนานเอามาก ๆ เสียงหัวเราะคิกคักผสมกับเสียงฝีเท้าเคลื่อนเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ และแผ่นไม้ที่เพดานก็เริ่มส่งเสียงดังอ่อดแอ่ดก่อนจะหลุดลงมากระทบกับพื้นดังปัง บางอย่างในตัวซูซานขาดผิง เธอกระแทกหม้อมันบดกับโต๊ะไม้ ก่อนจะเดินจ้ำอ้าวไปยังปากทางบันไดเพื่อดักรอลูก ๆ ตัวแสบพร้อมกับท้าวสะเอวอย่างเหลืออด
“ฮ่า ๆ ฉันแทรงเธอเทรซ ไม่! อยากหยิกแขนฉัน โอ้ยยยยย!”
“สนุกกันมากมั้ยพวกตัวแสบ!” ซูซานพูดเสียงแหลมสูงราวกับกำลังกรีดร้อง “พวกเธอคิดจะพังบ้านกันหรือยังไงหะ!”
นิโคลัสหน้าเจื่อนทันทีที่เห็นแม่ดักรอที่ปลายบันได ถ้าคนเรามีควันออกหูหรือจมูกในยามโกรธแม่คงทำแบบนั้นไปนานแล้ว เธอสวมผ้ากันเปื้อนปักลวดลายเป็นรูปกระทิงตัวเบ้อเริ่มกับกระโปรงสีแดงซึ่งเป็นสีโปรด ซึ่งนั่นยิ่งทำให้ดูเหมือนกระทิงที่เข้าสู่ช่วงวัยทองและอารมณ์บูดสุด ๆ
ทุกอย่างเงียบกริบ รีมัสกับวิลเลียมกระทุ้งศอกใส่สีข้างกันราวกับโทษกันอยู่ เทรซีจัดเสื้อผ้าของตัวเองให้เรียบร้อยขณะที่นิโคลัสเอาแต่ลูบแขนข้างที่ถูกหยิก
“แม่บอกกี่ครั้งแล้วว่าไม่ให้วิ่งลงบันได” ซูซานบ่น มองเด็ก ๆ ทั้งสี่ตาเขียวปัด “มันอันตราย ถ้าเกิดตกบันไดแขนขาหักขึ้นมาจะทำยังไง”
“โถ่แม่ฮะ ไม่เห็นต้องเครียดขนาดนั้นเลย” วิลเลียมบอกเสียงสบาย ๆ ซึ่งทำให้ซูซานต้องเลิกคิ้ว “มีโอลาฟลูกศิษย์ของหมอไซมอนอยู่ด้วยทั้งคน”
พูดจบวิลเลียมก็พยักเพยิดหน้าไปยังโอลาฟที่กำลังจัดเรียงโต๊ะอาหาร
ซูซานถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย บางทีการมีลูกหลายคนอาจไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่ แวบหนึ่งเธอนึกอยากให้พวกเขาโตไว ๆ และออกไปหางานทำนอกบ้าน เธอจะได้มีช่วงเวลาสงบสุขกับเขาบ้าง
“แม่คะ หนูขอโทษ” เทรซีเดินลงบันไดสองสามขั้นที่เหลือเข้าไปสวมกอดหญิงร่างบางตรงหน้า
“จ้ะลูกรัก แม่แค่เป็นห่วงพวกลูก ๆ มากก็เท่านั้น”
เธอสวมกอดเด็กหญิงตัวเล็กแนบแน่นและจูบที่หน้าผาก
“ผมว่ามันบดกับซุปถั่วคงเย็นชืดหมดแล้วล่ะ” นิโคลัสเอ่ยพลางทำท่าล้อเลียนเทรซีว่าเธอเป็นลูกแหง่
หลังจากนั้นเด็กชายทั้งสามก็พากันเบียดเข้าไปในห้องครัวแคบ ๆ โดยมีซูซานกับเทรซีตามมาทีหลัง
•••
โอลาฟช่วยซ่อมแผ่นไม้ที่หลุดลงมาจากเพดานหลังทานมื้อเช้าเสร็จ ก่อนจะผลัดหน้าที่เป็นหมอกับไซมอนเพื่อให้เขาได้พักทานอาหาร เด็ก ๆ กลับขึ้นไปข้างบนหมดแล้วและเตรียมตัวไปโรงเรียน
บนโต๊ะทานอาหารในห้องครัวแคบ ๆ และแสนรก สองสามีภรรยากำลังถามไถ่สารทุกข์สุขดิบ
“คนไข้เยอะไหมคะที่รัก” ซูซานถามขณะที่เติมซุปถั่วใส่ในถ้วยกระเบื้องให้ไซมอน
ชายวัยกลางคนตั้งใจกินอย่างเอร็ดอร่อย ผมสีน้ำตาลแซมขาวของเขาเด้งไปมาขณะที่ก้มตักซุปเข้าปาก
“นิดหน่อย” ไซมอนตอบ “ส่วนมากก็อาการเดิม ๆ”
ซูซานพยักหน้าอย่างเข้าใจซึ่งก็หมายความตามนั้นจริง ๆ
“น่าสงสารพวกเขานะคะ” ซูซานเอ่ยเสียงเศร้า “โรคขาดสารอาหารช่างเป็นอะไรที่น่าเวทนาจริง ๆ”
ไซมอนเช็ดปากด้วยหลังมือก่อนจะดื่มน้ำที่มีอยู่อย่างจำกัดเพื่อดับกระหาย
“ใช่ พวกเขาไม่ควรเป็นอะไรแบบนี้เลย ผมพยายามรักษาพวกเขาเท่าที่ทำได้ รู้ใช่ไหมที่รัก”
น้ำเสียงตัดพ้อของไซมอนทำให้ซูซานรู้สึกเห็นใจ สามีของเธอต้องเจ็บปวดเพียงไรเมื่อไม่อาจยื้อชีวิตคนไข้ในความดูแลเอาไว้ได้ มีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้ไซมอนไม่อาจรักษาผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ใช่เพราะความรู้หรือเครื่องมือทางการแพทย์ที่ขาดแคลน แต่มันเป็นอะไรที่ซับซ้อนกว่านั้นและมันก็เกิดขึ้นมานานแล้ว พวกเขา พวกเราทุกคนในเมืองนี้ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้
“อันที่จริงกษัตริย์เฟล็ตเชอร์ที่สามเพิ่งประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้า” ไซมอนบอก
“พูดเป็นเล่น”
“เรื่องจริงที่รัก พวกเราลำบากขึ้นอีกแล้ว”
ซูซานจับมือสามีเป็นเชิงให้กำลังใจ ไซมอนมอบยิ้มอบอุ่นให้และกุมมือเธอกลับ
มีบางเรื่องรบกวนจิตใจไซมอน เขาไม่อยากบอกเรื่องนี้กับซูซานแต่ก็รู้ว่าไร้ประโยชน์
“อมิเลียตายแล้ว” จู่ ๆ ไซมอนก็พูดขึ้น ซึ่งทำเอาซูซานหน้าชากระทันหัน
“อะ อะไรนะคะ” เธอถามอย่างไม่อยากเชื่อหูตัวเองพร้อมกับจ้องหน้าไซมอนอย่างตกตะลึง
“เธอเพิ่งจากไปเมื่อคืนนี้เอง เอมเม็ตต์พ่อของเธอส่งข่าวมาบอก ผมก็เพิ่งรู้”
ถึงจะอย่างนั้นซูซานก็ยังไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยินอยู่ดี อมิเลีย นอร์เวลล์น้องสาวของธาเลีย นอร์เวลล์ป่วยเป็นโรคประหลาดจากคำสาป พักหลังเธออาการไม่สู้ดีนักแต่ซูซานก็ไม่คิดว่าหล่อนจะด่วนจากไปทั้งที่อายุยังน้อย ธาเลียแวะเวียนมาคลินิกของไซมอนอยู่บ่อย ๆ เพื่อขอให้เขาไปรักษาอมิเลียที่บ้าน แต่บางครั้งไซมอนก็ไม่ว่างเสมอไปจึงเป็นโอลาฟเองที่ต้องไปแทน นี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ทั้งสองพบรักกัน แต่ตอนนี้ซูซานไม่มีแก่ใจจะยินดีเรื่องนั้นหรอก
“หล่อนไม่น่าฝ่าฝืนเลย โถ่...เราปลูกพืชไม่ได้และมันก็จะทำให้เราตาย”
ไซมอนบอกอย่างจนปัญญา เรื่องนี้เกินกว่าที่เขาจะช่วยเหลือได้
สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ซูซานอยากจะทำอะไรสักอย่าง เธอไม่ต้องการให้ใครต้องเผชิญชะตากรรมแบบนี้อีกต่อไปแล้ว เมืองเดอะ เกรนจ์ไม่ควรมีสภาพเป็นอย่างนี้ มันเริ่มต้นจากอดีตที่บาดหมางกันระหว่างเหล่ามนุษย์กับผู้ใช้เวทมนต์
“คำสาปนั่น!” ซูซานพูดขึ้นอย่างสุดทน ดวงตาแดงเรื่อน้ำตา “มันไม่ใช่ความผิดของเรา”
ไซมอนรู้ดีว่าภรรยาของเขารู้สึกอย่างไร เขาลุกขึ้นและเดินเข้าไปโอบไหล่เธอ
“ผมรู้ ผมรู้...มันไม่ใช่ความผิดของเรา” ไซมอนพูดเสียงราบเรียบ “เพียงแต่เราต้องอดทนและผมก็จะพยายามคิดค้นยารักษาพวกเขาให้ได้”
บางอย่างในน้ำเสียงของไซมอนทำให้ซูซานสงบลง เธอกลืนก้อนแข็ง ๆ ในลำคอก่อนจะปาดน้ำตา เธอลุกขึ้นและเก็บจานกับชามบนโต๊ะไปล้าง พลางเหลือบมองหนังสือสอนปรุงอาหารที่โอลาฟย้ายมันมาตั้งข้าง ๆ ชั้นวางจาน ความจริงแล้วเธอไม่เคยได้ใช้วัตถุดิบดี ๆ ปรุงอาหารเลยด้วยซ้ำ ซูซานปรารถนาเหลือเกินที่จะทำมื้อค่ำแสนอร่อยเลี้ยงครอบครัว ปรารถนาเหลือเกิน
•••
ขณะเดียวกันที่ฝั่งประตูทิศตะวันตก ชายสองคนกำลังเดินอยู่บนถนนราชินีอันกว้างใหญ่ ชายที่เตี้ยกว่าอีกคน สวมเครื่องแบบด้วยชุดสีน้ำตาลของนายทะเบียน เขากำลังชี้มือชี้ไม้ไปด้วย ขณะเดินนำหน้าชายสวมเสื้อคลุมที่ตัวสูงกว่าไปยังถนนสายเล็ก ๆ ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นที่ตั้งของโกดังเก็บสินค้ามากมาย
“ทางนี้ครับ” ปีเตอร์ชี้ไปทางซ้าย ยังถนนที่ไม่ค่อยพลุกพล่าน “นี่คือถนนโกดัง”
ชายอีกคนพยักหน้าอย่างพอใจ ก่อนจะเดินเลี้ยวซ้ายตามปีเตอร์ไป
ภายในถนนนี้ไม่มีอะไรน่าสนใจมากนัก สองฝั่งถนนเรียงรายไปด้วยอาคารรูปทรงโบราณขนาดใหญ่ พวกมันหน้าตาคล้ายกัน มันเป็นอาคารก่อด้วยอิฐแดงที่มีหลังคาโค้ง ผนังทุกด้านไร้หน้าต่าง ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยที่เมืองเดอะ เกรนจ์เคยเจริญรุ่งเรือง ก่อนจะถูกทิ้งร้างให้กลายเป็นโกดังเก่า ๆ ที่เอาไว้เก็บฝุ่นแทน
ปีเตอร์ยังคงเดินนำหน้าต่อไปอย่างแข็งขัน สลับกับกางม้วนกระดาษปาปิรุสในมือเพื่อดูเส้นทาง เขาหันไปมองทางโน้นที ทางนี้ที จากนั้นก็พูดขึ้น
“อ้า ผมเจอแล้ว” ปีเตอร์ว่า “มันอยู่ลึกเข้าไปในซอยนี้”
ชายในชุดคลุมมองเข้าไปในซอยเล็ก ๆ ที่อยู่กึ่งกลางระหว่างโกดัง “วัตถุอันตรายร้ายแรง” กับโกดัง “น้ำตาลทรายแดง” ปีเตอร์เดินข้ามถนนตรงไปยังซอยนั้น ซึ่งมีชายร่างสูงเดินตามท้ายไปติด ๆ
ซอยนี้แคบถึงแคบมาก ๆ เพราะวิธีเดินเข้าคือต้องเดินตะแขงข้างเหมือนปู ในนี้มีเพียงเสียงฝีเท้าผสมเสียงหายใจฟืดฟาดของปีเตอร์ หลังจากผ่านไปสองนาทีซึ่งดูยาวนานราวกับสองชั่วโมง ทั้งสองก็เดินมาถึงบริเวณด้านหลังโกดัง
ตรงนี้มีพื้นที่ใช้สอยไม่มากนัก เพราะถัดไปประมาณสามเมตร มีกำแพงสูงสร้างเอาไว้ตลอดแนวยาว เพื่อกั้นระหว่างเขตโกดังกับเขตบ้านเรือน แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ชายในชุดคลุมสีเทากำลังค้นหา เพราะบางอย่างที่เขามองหานั้นไม่มีใครพบเห็นได้ง่าย ๆ มันดูเหมือนมีขนาดเล็กแต่ไม่เล็ก ซึ่งมันอาจอยู่ใต้ฝ่าเท้าตรงบริเวณที่พวกเขายืนอยู่
มองต่ำลงไป มีฝาโลหะวงกลมสีดำสกปรกจมอยู่ติดพื้นดิน ปีเตอร์คุกเข่าลงและใช้มือทั้งสองปัดเศษดินออกไป เผยให้เห็นตัวอักษรปูดนูนบนเนื้อโลหะซึ่งสลักไว้ตรงกลาง “โกดังพิเศษของข้า ห้ามเข้ามายุ่ง”
“คุณรอดเจอร์ คุณแน่ใจแล้วหรือ?” ปีเตอร์ถามเสียงสั่นเครือ สีหน้าวิตกฉายแววชัดเจน
“แน่ใจสิ” ชายคนนั้นว่า “เหมาะเลย”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ