The Last Night

9.2

เขียนโดย pyclub70

วันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2558 เวลา 20.31 น.

  40 ตอน
  16 วิจารณ์
  36.88K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2559 20.39 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

38) 034-มอนโซ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

034-มอนโซ

 

        ร่างเนเน๊ะมีเพียล่าและวูดตันคอยเฝ้าไม่ห่าง ระหว่านนั้นชาร์ลและที่เหลือได้ปรึกษากันเกี่ยวกับการเดินทางขั้นต่อไป บทสรุปของกลุ่มคือ..

 

"เฮ่..วูดตัน ทางออกจากหมู่บ้านกูจิไปทางไหน"ชาร์ลถาม วูดตันหันขวับไป"อ่า เอ่อ.. คือ.."อ้ำอึ้งแล้วก็หันหาเจ้านายหัวฟะกทอง ถามด้วยเชิงสายตา

 

        เจ้านายหัวฟักทองเข้าใจทันทีและบอกเล่าเส้นทางออกจากหมู่บ้านนี้อย่างอย่างละเอียด วูดตันฟังทันบ้างไม่ทันบ้าง แอบเนียนพยักหน้าหงึกๆ

 

"ว่าไง เขาบอกทางกับเราใช่ไหม"ชาร์ลเร่งรัด

 

"อ่อๆ ใช่ๆ"วูดตันว่าจบ สองขารีบเดินจากเจ้านายหัวฟักทองไปใกล้ชาร์ลเพื่ออธิบายคำแปล

 

       โอราฟเริ่มฟื้นตัวพร้อมกับเนเน๊ะที่กำลังลุกยืน..

 

"มันใกล้เข้ามาแล้ว"เนเน๊ะกระซิบบอกเพียล่าขณะช่วยพยุงตัวขึ้น

 

"อะไรใกล้เข้ามา"เพียล่ากระซิบถามพลางประคองเข้าหากลุ่ม

 

"ราตรีวิปลาสและบุตรแห่งเพทราจะกลายเป็นสิ่งชั่วร้าย"

เพียงเนเน๊ะตอบเพียล่าก็หยุดก้าวเท้าแล้วหันมา"เนเน๊ะ มองตาฉัน"เพียล่าจับคางบังสาวน้อยหันมาสบตา"เธอกำลังจะพูดอะไรกันแน่!!?"

 

        เนเน๊ะร่างปวกเปียกตอบชัดเจน"ตามนั้น ตามพระประสงค์แห่งพระบิดา เอวาจะคุ้มครองเรา"

 

       เพียล่าตกใจสุดคะนึง"ฟังนะเนเน๊ะ เธอนั่นแหละคือบุตรแห่งเพทรา"ว่าพลางเขย่าไหล่ทั้งสองของสาวน้อยเบาๆ"เริ่มจำอะไรได้บ้างรึยัง มองฉันสิเนเน๊ะ มองฉัน ฉันไง พาริเอร่าไง"

 

       สาวน้อยส่ายหน้าแล้วพูดต่อ"หากกำจัดพระบิดา เพทรา พร้อมทั้งเหล่าบุตรแห่งเพทราทั้งหลายและผู้รู้คำทำนายลงได้หมดสิ้นเมื่อไร กาลนั้นเอวาจะเป็นผู้หนึ่งปกครองจักรวาล"สายตาเนเน๊ะเหม่อลอย

 

"เพียล่า ให้ช่วยอะไรไหม"โอ'เกนท์ทักมาหลังเห็นเนเน๊ะผิดแผก

 

"..อ่าขอบใจ แต่ไม่ต้องหรอก เนเน๊ะยังไม่ค่อยดีเท่าไรน่ะ"ตอบแล้วก็ชวนคุยกับสาวน้อยต่อ"ดารุส เป็นท่านจริงๆใช่ไหม?"

 

        เนเน๊ะแสยะยิ้ม ดวงตาเบิกโพลง ปากขยับว่า"ข้าต่างหาก ผู้ครองรัตติกาล" สาวนักรบได้ยินถึงกับกัดฟันพูด"อัลติเมเซีย!!" 

 

"คุณเพียล่า ทำไม ทำหน้าแบบนั้นล่ะคะ"เนเน๊ะสะกิดไหล่เธอเบาๆ

 

"อ่อ ป่าวน่ะ"เพียล่าใช้ความสุขุมของตนได้อย่างดี"เธอพื้นก็ดีแล้ว เป็นปกติก็ดีแล้ว"

 

"ห้ะ.. แล้วเมื่อครู่นี้เกิดอะไรขึ้นกับหนูเหรอคะ"เนเน๊ะถามแล้วใช้นิ้วหัวแม่มือจุ๊ปปาก เพียล่าแววตาไร้พิรุธตอบพลางยิ้มไป"เธอคงขาดน้ำและเหนื่อยน่ะ ก็เลยเกิดอาการชักขึ้นมา แต่ไม่ต้องห่วงฉันให้เธอกินยาแล้วล่ะ ประเดี๋ยวก็ซนได้"

 

"ขอบคุณค่ะ คุณเพียล่าใจดีจัง"เนเน๊ะยิ้มใจสบายขณะสาวนักรบยังพยุงร่างไว้และเดินเข้าหาทุกคน

 

        เมื่อมาถึงโดยพร้ อมเพียงกันทุกคนแล้ว สายตาเพียล่าหว่านรอบทุกดวงตาที่จ้องมาเป็นนัยว่าห้ามถามอะไรทั้งนั้น ชาร์ลและเกือบทุกคนเข้าใจโดยพลัน เว้นแต่โอราฟกำลังจะขยับปากโพล่งหลังลุกขึ้นยืนได้ แต่ถูกวิคเตอร์แทรกขึ้นมาก่อน"นี่ๆ ลุง ไปนอนต่อเถอะนะ"

        บุรุษชุดดำส่ายหัว ตอบสวนทันที"เชอะ อย่างน้อย ฉันก็เตะปี๊บดังกว่านายก็แล้วกัน"ว่าแล้วก็เดินเลี่ยงไปทางระเบียง

 

       กลุ่มกิเรเร่จึงมีเวลาอีกประเดี๋ยวปรึกษากันได้เต็มที่และลงตัวในที่สุด"วูดตัน นายแน่ใจนะว่าจะไม่พาพวกเราหลงอีก"ชาร์ลถามขึ้น

 

"น่าๆ ฉันฟังการอธิบายอย่างชัดเจนแล้ว ฉันขอเอาหนวดโอ'เกนท์เป็นประกัน"วูดตันตอบตามองชาร์ล แต่มือข้างหนึ่งลูบเคราหนุ่มร่างท้วม

 

"วอนซะแล้วไอ้นี่"โอ'เกนท์พึมพำปัดมือรำคาญออก

 

"อืมๆ จากที่นายแปลฉันก็พอจะร่างแผนที่คร่าวๆได้ล่ะนะ"ชาร์ลก้มมองสมุดเล่มเล็ก

 

"งั้นลาเจ้านายหัวฟักทองเลยแล้วกัน"วิคเตอร์เอ่ย

 

"ได้ๆ"วูดตันรับคำ หันหน้าหาเจ้านายหัวฟักทองอีกครั้งและทุกคนก็หันตาม ส่งรอยยิ้มและโบกมือลา

 

        เจ้านายหัวฟักทองท่าทางสบายอารมณ์กล่าวเป็นภาษาถิ่นยืดยาว พลันถูกสวนด้วยคำพูดหลากหลายจากกลุ่มกิเรเร่ที่ยืดยาวเช่นกัน

        ครั้นร่ำลากันแล้ววูดตันกับชาร์ลก็นำทางพ้องเพื่อนไปตามทาง แต่ไปได้ไม่กี่ก้าวก็มีเสียงเอ็ดขึ้น

 

"เฮ่..ลุง ไม่ต้องมาทำเป็นเก็กหรอกน่า"วิคเตอร์หยุดเท้าหันมาป่าว"ไปกับพวกเราได้นะ"

 

"ยินดีต้อนรับค่าาา"

เนเน๊ะก็เช่นกันส่งยิ้มหวานให้บุรุษชุดดำ แล้วทุกคนก็หยุดเดิน มองโอราฟกำลังยืนเกาะขอบระเบียง

 

"คนแก่นี่ต้องง้อตลอด"โอ'เกนท์เปรยค่อยเซ็ง

 

"เอาน่าๆ เขาต้องเดินทางคนเดียวมาตลอดก็มีบ้างอารมณ์แบบนี้"วูดตันอธิบายอย่างยิ้มแย้ม

 

"ขอบคุณ สำหรับการพาเนเน๊ะมาส่ง"เพียล่าตะโกนยิ้มตาปี๋ ทว่า..โอราฟกลับนิ่งงัน

 

"อ้าวๆ ลุง ถ้าไม่มาพวกเราไปกันก่อนนะ นี่ง้อแล้วนะเนี่ย"วิคเตอร์ยื่นคำขาด"โถๆๆๆ ทำเป็นเมินนะไม่มองไม่ตอบ"

 

       ครั้นแล้วกลุ่มกิเรเร่ก็มองหน้ากันเป็นเชิงว่า..เอาก็เอาวะ!! ฉับพลันชายหนุ่มในกลุ่มทุกคนต่างกรูไปหามร่างโอราฟมาอย่างทุลักทุเล

 

"ไอ้พวกบ้าาา!! ปล่อยนะเว้ย ขาฉันเป็นแค่ตะคริวเท่านั้นเอง"โอราฟพยายามดิ้นสุดฤทธิ์หลังถูกตรึงหัว แขนและขารวมทั้งพุง"หน๋อยๆๆ ให้ฉันฟื้นตัวก่อนเถอะ จะเอาคืนให้หมดเลยไอ้พวกบ้าาาาาาาาาาาา!!!!!!"

 

"ห้ะ ไรนะลุง"วิคเตอร์หยอกโดยแหย่สะดือบุรุษชุดดำจุ้มๆ"อ๋อ..ยังเร็วไม่พอหรอ พวกเรา!!  วิ่งงงงงง!!!"

 

"จำไว้เลยรังแกคนแก่ ไอ้พวกบ้าาาาาาาาาาาาาาาา!!!!!!"โอราฟลากเสียงสุดติ่ง ดิ้นร่างชักแหง็กๆ

 

       เสียงครวญลั่นป่า หลายคนพากันยิ้มชอบใจส่งเสียงหัวเราะ ลุงโอราฟกลายเป็นผู้น่าสงสารไปแล้วเสียนี่ โถๆๆ ฮือๆๆ  แต่ก็นะ..ฟ้าหลังฝนย่อมสดใสเสมอ เว้นเพียงแต่ใครคนหนึ่งในชุดคลุมร่างสีเทา กำลังจับจ้อง โดยเร้นกายบนกิ่งไม้พลอยเผยอยิ้มอย่างไม่รู้ตัว

 

        เกือบสุดทาง.. จนถึงสะพานไม้แห่งสุดท้าย ชายหนุ่มในกลุ่มก็วางร่างโอราฟลงแผล็ะ เบื้องหน้าต้นเซคอันมีระเบียงและทางทอดสู่หน้าต่างถ้ำที่ภายในมืดมนดูลึกลับ  ส่วนทางเดินในนั้นเป็นผืนทรายละเอียดเงาวาวและมีแสงส่องแลทางเป็นประปรายจากช่องหลืบทั้งเบื้องบนและช่ องผนัง

 

       ...ขณะทุกคนก้าวเดินเลี่ยงตามชายขอบ โดยไม่รู้ตัวและไม่สงสัยเลยสักนิดหากใครคนหนึ่งเอ่ยขึ้น

 

"หลังออกจากเขตนี้ก็จะเป็นป่าแห่งวิญญาณ ที่นั่นมีทั้งสรรพสิ่งที่หลากหลายและซับซ้อน"วูดตันเล่าเสียงโทนต่ำ หลายคนเริ่มพากันประหวั่นและตั้งใจฟัง"เป็นที่ๆเขาลือกันว่าเป็นสถานที่พิศวงและไม่มีใครอยากกร้ำกราย ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น มันมีบาง.."วูดตันชะงักคำหลังถูกสกัด

 

"ไอ้ป่าแห่งวิญญาณอะไรนั่นน่ะมันต้องผ่านเขตกาลิลีไปอีกทางไม่ใช่รึไง"ชาร์ลนั่นเองที่แย้ง ผู้ช่ำชองป่าเกาหัวยิกๆ"เอ่อ..ฉันจำผิด"ว่าแล้วก็กัดเล็บ

 

"แหม่เว้ย.. ไอ้เราก็ลุ้นซะตัวเกร็งเลย"วิคเตอร์หน้าหน่าย"ว่าแต่ที่นี่ก็ดูลึกลับใช่ย่อยนะ ชาร์ลอีกนานไหมกว่าจะพ้นเขตนี้น่ะ"

 

"อึดอัดชะมัด"โอ'เกนท์บ่นพลางขยุ้มคอเสื้อ

 

"เดี๋ยวเดียวล่ะนะ"ชาร์ลตอบพลางมองไปข้างหน้า

 

"ไหวไหมเนเน๊ะ"เพียล่ากระซิบขณะเดินกอดคอสาวน้อย

 

"เต็มที่ค่ะ"เนเน๊ะยิ้มตาปี๋ตอบ

 

 

       ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง หลายขา หลายเท้าพากันย่ำ ย่ำ ย่ำ และย่ำไปอย่างไม่สนใจพื้นรองเท้าว่ามันจะชำรุดเพียงใด หากไร้ซึ่งศรัทธาแล้ว..ความกล้าแห่งความหวังคงลงเอยด้วยการลาจากและใช้ชีวิตในกรงต่อไป ทว่า..แสงอรุณสดใสเสมอ แม้บางคราเมฆหมอกครื้มบดบังแสงอัศจรรย์แต่สายลมยังคงพัดพา ปัดเป่าให้พรากแลเห็นแสงนั้นแม้ร่ำไร

 

        ปลายสุดเขตกาลิลูแสงบ่ายคล้อยลอดตามช่องโหว่ราวกับแสงส่องทาง มหัศจรรย์แห่งธรรมชาติช่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก ทว่า..ที่อัศจรรย์ยิ่งกว่าคงเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดมหึมาเบื้องหน้ากลุ่มกิเรเร่ที่ขวางกั้นทางออกไว้

 

"ต่ะ ตัวไรเนี่ย"วูดตันอึ้งกิมกี่ หันหัวหาคำตอบจากทุกคน

 

"ก็ไม่รู้สินะ แต่ฉันว่ามันคงหลับอยู่แน่ๆ"ชาร์ลพูดพลางยกมือทาบคาง"จะว่าไปก็คล้ายมังกรที่คอสเตนิกอยู่นะ"

 

"แปลกๆนะตัวนี้หรือจะเป็นมอนโซ"โอราฟตาเบิกกว้างอยู่แนวหลัง

 

"ไม่เคยได้ยินแฮะ"โอ'เกนท์ลูบคาง"มอนซง มอนโซอะไรเนี่ย"

 

"สติเลอะเลือนหรือไงลุง"วิตเตอร์แขวะ โอราฟสะบัดหน้าเชอะ

 

"จะอะไรก็ช่างเถอะ"เพียล่าตัดบท"ว่าแต่เราจะผ่านมันไปได้ไง แล้ว..ถ้ามันตื่นขึ้นมาล่ะหวังว่า.ใคงไม่ต้องเสียเหงื่อกันอีกนะ"

 

"วูดตันนายเข้าไปคุยกับมันหน่อยไป"ชาร์ลว่าแล้วก็ผลักหลังวูดตัน

 

"เอ่อ..คือ เอ่อ..คือ คือ"ผู้ช่ำชองป่าเสียหลักพุ่งไปข้างหน้า ขาสั่นพั่บๆ แล้วหนุ่มมาดผู้ดีก็ย้ำอีกรอบพลางผลักร่างสั่นเทิ้มอีกรอบ"ไปสิ"

 

       ขณะวูดตันกล้าๆกลัวๆ ซ้ายย่างหนอขวาย่างหนอเข้าไปใกล้เรื่อยๆ ทันใดนั้น.. เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น!! เจ้ามะเขือเทศตนเดิมเมื่อแรกเห็นก็ปรากฏตัวจากไหนไม่รู้ วิ่งถือหอกและโล่แซงวูดตันไป เข้าโจมตีสัตว์ยักษ์ที่ขวางทางออก

 

       หลายคนเห็นแบบนั้นก็ตะลึงพรึงพืด เมื่อเจ้ามะเขือเทศใช้หอกแทงแบบซอยยิกรัวๆ ซึ่งมันไร้ผลเป็นอย่างมาก สัตว์ยักษ์ไม่รู้สึกตัวเลยสักนิดหากละเมอหว่านหางคล้ายปัดแมลง เจ้ามะเขือเทศหลบไว เซถลาขยับมาใกล้วูดตันที่ด่วนยิงคำถามสับสนปนแปลกใจทันที

 

       เจ้าหัวมะเขือเทศตอบรัวๆ วูดตันฟังแล้วก็จับใจความได้ท่อนเดียว"ใช่แล้วล่ะ นั่นคือมอนโซ แต่ตัวนี้มันขี้เซา ซึ่งการกระทำนี้เป็นงานระดับชาติเลยทีเดียวที่จะไล่มันไป"ผู้ช่ำชองป่าอธิบายเร็วจี๋"และหมอนี่จะช่วยถ่วงเวลาให้พวกเราไว้เอง.."

 

       ขณะกำลังแปลไม่ทันจบ เจ้าหัวมะเขือเทศก็โจมตีอีกระลอกแต่พลาดท่า เมื่อโดนหางใหญ่ยาวพาดทับเท้าจากมอนโซที่ละเมออีกครั้งพลันร้องเสียงจี๊ดดด"กูจี๊...!!"

 

"ห่ะห๋าาาา..แบบนี้เนี่ยนะ?!!? ฉันควรเชื่อหมอนั่นดีไหม"โอ'เกนท์ว่าพลางชี้เจ้าหัวมะเขือเทศที่ยื้อยุดดึงเท้าออก

 

       จังหวะนั้นเอง เนเน๊ะวิ่งไปทางออกก่อนกระโจนข้ามมอนโซไปอีกฟากโดยมีเพียล่าตามมาติดๆ โอ'เกนท์ โอราฟ วิคเตอร์และชาร์ลก็ข้ามผ่านไปตามลำดับ เว้นแต่วูดตันยืนขาสั่นเมื่ออยู่ต่อหน้ามอนโซซึ่งห่างกันเพียงวาเดียว

 

"เร็วๆเซ่ ไอ้เบื้อกเอ๊ย"โอ'เกนท์เร่งเสียงพลางกวักมือรัวๆ

 

       ทันใดนั้น!! เปลือกตามอนโซเปิดขึ้น เผยนัยน์ตาแดงฉานอันร่านผ่าว แต่ปากกลับหาวกว้างส่งกลิ่นปากโชยฉุยโจมตีประสาทดมกลิ่น

 

"อี๋.."ผู้ช่ำชองป่าสบถเบา ทำท่าจะสำรอก

 

"รีบมาสิเว้ย"วิคเตอร์เร่ง กวักมือรัวๆ

 

       วูดตันพยักหน้า สองขารีบซอยถี่วิ่งอ้อมผ่านมาได้อย่างน่าใจหาย เจ้าหัวมะเขือเทศที่โดนทับเท้านั้นก็หลุดมาได้จากแรงลมอันมีแสงไพลินแปล่บๆน้อยนิดพัดผ่าน ครั้งหลุดพ้นก็วิ่งหายลับตาไปเสียดื้อๆ

 

"รอๆกันบ้างสิทุกคน"

เสียงแผ่วเบาอันคุ้นเคย ไร้สนองต่อใครในกลุ่มกิเรเร่หากเนเน๊ะไม่หันกลับมามอง

 

"อ่ะ..เอ๋..!?"เนเน๊ะเผลอปล่อยอุทาน

 

"มีอะไรหรอเนเน๊ะ"เพียล่าตะหงิดใจถาม

 

"ป่าวค่ะ"สาวน้อยตอบตาใส นึกในใจ'คาลาเนส?' เพียล่าเพียงแค่ยิ้มแล้วไปต่อ

 

        หลังผ่านมอนโซมาได้และถึงเขตกาลิลูมาด้วยดี  ทุกคนมุ่งหน้าต่อไป ก้าวเข้าสู่พื้นที่แห้งแล้ง

        ทรายแดงๆ ไอร้อนระอุ เวิ้งฟ้ากว้าง ดวงอาทิตย์สาดแสงแผดแรง เมฆจาง สายลมพัดเฉื่อยจากทิศตะวันตกสู่ตะวันออก พื้นที่นี้ไม่ต่างอะไรกับทะเลทรายสุดลูกหูลูกตาอันหฤโหด

 

        ...จะไกลโพ้นเพียงใด ไม่ใช่อุปสรรคใจหมาย แม้ร่างเปื่อยเมื่อยสะบักสะบอมราวกับเศษมนุษย์คงวิญญาณ กลุ่มกิเรเร่หาใช่เดินด้วยกำลังกายหากก้าวย่างบนจิตวิญญาณ

 

        ความเหนื่อยอ่อนไร้ผล พวกเขามองอุปสรรคเฉกเช่นขวากหนามรกรุงรัง แล้ววิธีใดเล่า..จักข้ามผ่านไปได้ คำตอบส่อถึงความไม่ย่อท้อ ครั้งคราปลายแหลมคมเกี่ยวกายเรียกเลือดไหลหลั่งสร้างรอยลงเป็นเปื้อนปื้น ความเจ็บปวดแค่นั้นคงไกลหัวใจและหากสลัดทิ้งมันสิ้นได้

 

       "..สัญลักษณ์จากบาดแผลท่วมร่างไม่ได้หมายความว่าเราอ่อนแอ หากแต่มันหมายถึงเราไม่ยอมแพ้ต่างหาก"

 

 

       ตะวันเลื่อนลับลา ทว่า สายลมและหมู่เมฆยังคอยเยาะเย้ยให้ยอมจำนนต่ออุปสรรคคงไม่ใช่ยากใจ หากใครตะโกน

 

"ฉันจะถึงที่หมายก่อนแกให้ดู"

เป็นชาร์ลนั่นเองบอกกับวูดตัน จบเสียงสองขาก็สาวรัวนำหน้ากลุ่ม

 

       วิ่ง!! ใช่แล้วล่ะ พวกเขาวิ่ง! วิ่งกันทุกคน! เนเน๊ะก็วิ่ง! ทุกคนพลันเข้าใจจุดหมายของราตรีนี้หากช้าแม้แต่ก้าวเดียว พวกเขาจึงวิ่งหาจุดพัก จุดที่พอจะไม่เสียเปรียบคืนแห่งความมืด

 

      และแล้ว.. ความตื่นตะลึงก็บังเกิด หลังทุกคนชะลอฝีเท้า เลื่อนสายตาจับจ้องเบื้องหน้า นั่นคือ..ร่องผาผ่าแผ่นดินออกเป็นสองฝั่ง ครั้นเท้าขยับไปตามความคิด ลึกลงไปร่องนั้นก็อวดสิ่งอัศจรรย์ใจชวนค้นหา

      กลุ่มกิเรเร่รู้ตัวอีกทีก็ยืนอยู่ขอบเหวเสียนี่ แต่คุ้มมาก ภาพเบื้องล่างคือสิ่งที่ไม่มีในบันทึกประวัติศาสตร์จักรวรรดิลามิเรส บ้านเรือนหลังไม้ หลังคาหญ้าสาน สร้างติดหน้าผาทั้งสองฝั่งเรียงรายสูงต่ำตามระนาบกันคับคั่งและทอดไกลเกินสายตาจะหยั่งถึง แม่น้ำฟ้าใสไหลเอื่อยอยู่เบื้งอล่างลึกสุด ที่น่าตื่นเต้นกว่านั้นคือบรรดาเหล่ามอนโซหลากสีหลากขนาด บินว่อนกันให้ขวักไขว่ บ้างจับอยู่ตามข้างบ้านด้วยท่าทีสงบนิ่ง บ้างแบกผู้บังคับโดดๆ บ้างแบกผู้โดยสารบินส่ายคดเคี้ยวไปมาตามลักษณาจราจรอันอลหม่าน

 

"นี่มันอะไรกันชาร์ล"เพียล่าตะลึงถามไม่มองตา

 

"ยากเกินจะอธิบาย"ชาร์ลเปรยขณะชื่นชมอย่างไม่รู้ตัว

 

"หุ ว้าวววววว!!"เนเน๊ะอัศจรรย์ใจหลังนั่งคุกเข่ายังขอบผา

 

        ทันใดนั้น!! เหล่ามอนโซสีสวย4ตัวก็บินโฉบขึ้นพลันอวดองค์กายสง่าโฉมหลากสี สะท้อนแสงส่องเกร็ดเป็นมันละอองวาววับ เนเน๊ะและทุกตามมองตามอย่างไม่คาดฝัน

 

        ขณะพวกมันบินถาเข้ามาพร้อมเสียงสาวผิวน้ำผึ้ง"พวกเจ้าเป็นใครมาจากไหน"

 

        หลังสี่เท้ามหึมาจรดพื้นทุกตัว ทั้งหมดแลไม่ชัดเท่าไรเพราะมอนโซทั้งหลายยืนกายโดยย้อนแสงให้แยงตากลุ่มกิเรเร่ขณะยังคงความตะลึงและประทับใจอยู่ไม่น้อย  ชาร์ลไหวพริบไวตอบไป"พวกเรามาจากเมืองหลวง"

 

"ของลามิเรสหรือเออาติกะ"สาวคนเดิมว่าเร็ว

 

"ลามิเรส"ชาร์ลตอบหลังเดินประจัญกับมอนโซทั้ง4

 

"ถ้างั้นก็ดีไป หวังว่าพวกเจ้าคงไม่ใช่พวกเดียวกับไอ้พวกคาสึยะหรอกนะ"สาวคนเดิมว่าอีกครั้งพลางลงจากบังเหียนมอนโซ เดินเข้ามาทว่ากลับชะงักเท้าเมื่อมีเสียงทักไล่หลัง"ข้าว่าปล่อยให้พวกนี้ถูกราตรีวิปลาสกลืนซะ"สาวคนเดิมหันขวับหาผู้ทัก แต่หางตาเหล่มองชาร์ล

 

       เสียงจากเพียล่าเอ่ยดังทันทีหลังแปลกใจ ขณะเร่งไปประชิดชาร์ล"อะไรนะ ราตรีวิปลาสอย่างงั้นหรอ หมายความว่าไงกัน แล้วไอ้พวกนั้นมันเลวร้ายกับที่นี่รึไงกัน"

 

       ชาร์ลเฉลียวใจออกสีหน้าประหวั่นจึงร้องไป"ฟีราเชชารินนอยา"

 

"ใช่ พวกกลุ่มคาสึยะมันเลวมาก พวกมันแย่งชิงบางอย่างไปจากเรา"สาวเสียงเดิมเหลียวมาพลันตอบกับคำถามของเพียล่าและคำของชาร์ล กลุ่มกิเรเร่ที่เหลือ ขมวดคิ้วจ้องตาเป็นมันส์ ฝ่ามือกุมอาวุธพร้อมเผยทันทีหากมีการตุกติกหรือแม้แต่เนเน๊ะเองก็พร้อม เตรียมฉายคมมีดโดยไม่รู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่

 

       ขณะสาวผิวน้ำผึ้งเดินเอื่อยๆ มาพบปะกับทั้งสอง ห้วงนั้น ชาร์ลและเพียล่าต้องแปลกใจหนักขึ้นไปอีก เมื่อสาวตรงหน้ามีผิวสีน้ำผึ้งนวล ท่อนบนผลัดผ้าขาวชิ้นน้อยปักลายพิศดารเหลื่อมสีทองพอปิดหน้าอกแต่เผยสะดือ ท่อนล่างก็เช่นกันห่มแต่สะโพกลงมาถึงเข่า ใบหน้าเกลี้ยงเกลาราวกับหินอ่อนสกัด เกล้าผมเป็นมวยและดูสง่าจากเครื่องประดับเหลืองทองอร่าม

       และทันที.. โอราฟชูฟ่อด้วยไซฟ่อนขณะปากคาบวัตถุเผาควัน วิคเตอร์อวดใบดาบเล่มงาม โอ'เกนท์โพล่งหอกชี้และเนเน๊ะตั้งท่าเตรียม ส่วนวูดตันถอยหนีไปห้าก้าวยกมือปิดตากุมหน้า ขณะเดียวกันอีกฝั่งก็ชักอาวุธท้าทาย เท้ามอนโซขยับมาใกล้จนน่าใจหาย ทว่า..ทั้งสองฝั่งไม่ยอมเลิกถอยจากกัน

 

       สถานการณ์ดูตรึงเครียด ทว่า ชาร์ลและเพียล่ากลับนิ่งเฉยราวถูกสะกด เห็นว่าเบื้องหน้าเธอคงเป็นเจ้าหญิงเป็นแน่

 

       ความตรึงเครียดระอุขึ้น เมื่อโอราฟเลื่อนนิ้วเกือบลั่นไกและหนึ่งในผู้บังคับมอนโซก็เตรียมปล่อยไกหน้าไม้

       ในเสี้ยววิ!! สาวผิวน้ำผึ้งย่อเข่าทั้งสองลงเกือบเรี่ยพื้น มือขวาทาบไหล่ซ้ายและก้มศีรษะคำนับก่อนเงยขึ้นพร้อมยกมือปราม เป็นเหตุให้ผู้อยู่เบื้องหลังลดอาวุธลง"ข้ายินดีที่ได้พบพวกท่าน ข้ามีนามว่า"เอธิเบล"

 

        เพียล่าก็เช่นกัน ยกมือขึ้นสูงปรามพรรคพวก โอราฟและทุกคนต่างเก็บอาวุธลงซองหลังสถานการณ์ถูกคลี่คลายด้วยเหตุการณ์ไม่คาดฝัน จากนั้นชาร์ล เพียล่าและเอธิเบลก็คุยกันอย่างแผ่วเบาหลังพวกของแต่ล่ะฝ่ายถอยห่างไป

        ทั้งสามคุยกันอยู่นาน ก่อนต่างฝ่ายต่างมาปรึกษาพวกของตน ชาร์ลอธิบายโดยเสร็จสรรพทุกคนพลอยเห็นด้วยเมื่อเพียล่าไม่คัดค้านอะไร ส่วนทางฝั่งนั้นก็เช่นกันไม่ขัดข้องอะไรหากสาวผิวน้ำผึ้งผิวปากดังวี๊ดดดด

 

        มอนโซสีแจ่มจำรัส3ตัวบินพุ่งขึ้นมาแล้วถาลงจอดตรงหน้ากลุ่มกิเรเร่ วูดตันตกใจคัก ยกแขนปิดหน้ามือกุมหัวย่อตัวลงนั่งชันเข่า สั่นร่างหงิงๆ

 

"นี่ก็ใกล้ราตรีมากแล้วเชิญพวกท่านไปค้างแรมที่บ้านข้าก่อนเถิด"เอธิเบลเอียงคอไปทางมอนโซเชิงว่าให้ขี่มัน

 

        แววตาประกายวิ้งๆ ปากอ้าหวอแสดงอาการดีใจสุดขีดของกลุ่มกิเรเร่ต่างร้องว้าววว วิเศษที่สุด เว้นแต่เพียล่ากับชาร์ลที่มองอย่างส่ายหน้ากับความสุดเปิ่นของสมาชิก

       ตัวเแรกเพียล่านั่งกับเนเน๊ะ ตัวสองวิคเตอร์ขึ้นกับชาร์ล ตัวสามโอ'เกนท์ไปกับโอราฟ เสร็จสรรพกลุ่มสาวผิวน้ำผึ้งก็ออกทะยาน กลุ่มกิเรเร่ตามไปติดๆทันใด ทว่า..ใครบางคนแหกปากจากเบื้องล่างเสียงแว่วๆ

 

"เฮ่ยยยยยย!!!!..... แล้วฉันล่ะ จะทิ้งฉันไว้ไม่ได้แบบนี้นะ โธ่..รู้มั่งเซ่!!ว่าหากพวกนายไม่มีฉันจะลำบากกันแค่ไหน ฉันน่ะทำเพื่อพวกนายมาตลอด นึกถึงบุญคุณกันบ้างเซ่ไอ้พวกอกตัญญู.... ฉอดๆๆๆๆ#@#^$@@@^&&#@#^@!^*@&"

เสียงนี้จะเป็นใครไม่ได้นอกจาก...

 

"หน๋อยๆๆ ไอ้เจ้าบ้านี่มีใครบอกให้แกตามมาฟร่ะ"โอ'เกนท์บ่น

        วิคเตอร์เสนอแนะ"งั้นนายก็จัดการไปรับหมอนั่นมาหน่อยก็แล้วกันนะ"

        โอ'เกนท์พยักหน้าก่อนดึงเชือกกระตุกมอนโซย้อนกลับไป วูดตันดีใจสุดทวารทั้ง9 หยุดบ่นทันที อ้าแขนจังก้าเมื่อเห็นมอนโซบินใกล้มา แต่.."อ่ะ อ้าวบินผ่านซะงั้น"

 

        ผู้ช่ำชองป่ามองตามไปไกลลับตาหรี่ เห็นอีกทีก็เมื่อมอนโซโผล่เข้าใกล้ ...โดยไม่ทันตั้งตัว เท้าของมอนโซบังเอิญหวดก้นตรอบชะลูดวูดตันเต็มเหนี่ยววววว

 

        จังหวะนั้นเอง.. "อ๊าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา!!!!"ร่างวูดตันกระเด็นสูงเหนือเมฆและพุ่งไกลหลายลี้ แถมยังพุ่งแซงกลุ่มของเอธิเบลเสียอีก

 

"นั่นใช่คนของกลุ่มท่านไหม"สาวผิวน้ำผึ้งชี้พลางถาม ชาร์ลและเพียล่ายิ้มแหยตอบ"จะว่าใช่ก็ใช่นะ"

 

      จากนั้นเอธิเบลจึงสั่งผู้ติดตามคนหนึ่งให้เร่งไปรับตัววูดตันก่อนได้รับอันตราย

      เพียงเอื้อมมือจะคว้าได้ ร่างผู้ช่ำชองป่าปลิวลอยห่างไปเพียงปลายเล็บจวนจะช่วยเหลือทัน แต่ความผิดพลาดและอุบัติเหตุย่อมเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ มอนโซใช้กรงเล็บหมายเกี่ยวผ้าคลุมน้ำตาลเข้มกลับพลาดเป้า ดันไปเกี่ยวผมหยิกๆฝอยๆสีทองของวูดตันซะงั้น

 

"โอ๊ยยยยย โอ๊ยๆๆ ฉอดๆๆๆๆๆ#@!@$&$$*&$#^@!/@@/$$#"

ด้วยความเจ็บปวดจึงทุบ จิก ข่วน ขบกัดง่ำๆ สารพัดวิธีตามแต่จะคิดได้

       มอนโซทนไม่ไหว คลายกรงเล็บออกพลันสับขาแล้วฟรีคิกด้วยเท้าอีกข้าง

"อ๊าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา!!!!!!!!!!!!!!!!!! แหม่โว้ยยยยยยยยยย......."

 

.....จิ๊มมมมมมมมมมม!!!!!!!

 

       ตะวันลับลาท้องฟ้าก็ทาสีดำ กลุ่มกิเรเร่ถึงบ้านของเอธิเบลอย่างปลอดภัยเว้นแต่...

"โอ๊ยยยย นี่มันบ้าอะไรกันฟระเนี่ย"วูดตันบ่นพลางปัดเนื้อปัดตัวหลังขึ้นฝั่งจากแม่น้ำได้ บรรยากาศตอนนี้รอบข้างมีแต่ความมืดมิดและไร้แสง สายตาผู้ช่ำชองป่าหันรีหันขวางมองหาพวกก่อนตะโกนขึ้น"ฉันอยู่ตรงนี้....!!! มีใครได้ยินไหมมมมมม มารับฉันที..."

 

       ซ้ำแล้วซ้ำเล่า วูดตันตะโกนจวนหมดเสียงมีเพียงเสียงสะท้อนระหว่างช่องผาเหวของตนเท่สนั้นที่ตอบมา

       ยามนี้เขาหมดอาลัย เริ่มรู้สึกหวาดหวั่นเดียวดาย  เมื่อลางมรณะย่างกรายเยื่อนสู่ลางสังหรณ์ 

 

        ".......ลำธารเบื้องล่างเริ่มกลายเป็นน้ำแข็ง อากาศเหน็บหนาวเข้าโจมตีผิวกายทีล่ะน้อย เสียงโหยหวนจากนรกเริ่มแว่วหวาดหูและภาพหลอนเริ่มสะท้อนสู่ม่านตา"

 

        สถานการณ์เช่นนี้ วูดตันคงได้แต่ภาวนาถึงพระแม่เอวาผู้ปกครองจักรวาล หากแต่ใครบางคนซึ่งลึกลับเร้นกายใกล้ผู้ช่ำชองป่าระลึกถึงพระบิดาผู้ดำรงกาลนิรันดร์

 

 

 

"แสงแห่งไพลินจงบังเกิด!!!!!"

 

 

 

 

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.2 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา