The Last Night
9.2
เขียนโดย pyclub70
วันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2558 เวลา 20.31 น.
40 ตอน
16 วิจารณ์
36.97K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2559 20.39 น. โดย เจ้าของนิยาย
23) 021-คืนที่4
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ021-คืนที่4
นานนับศตวรรษหลายองค์กรคว้าน้ำเหลวกับตัวตนคืนแห่งความมืด แต่ตราบใดว่ายังมีฝันมีไฟความหวังจะยังคอยจุดประกายเสมอ
องค์กรเรเมดี้แผนกวิจัยหลังแอบลงพื้นที่ทุกคนต่างทำงานกันอย่างหนัก ทั้งพูดคุยกับชาวเมืองและทหารผ่านศึก ทั้งเก็บร่องรอยจากซากปรักหักพังต่างๆรวมไปถึงฝุ่นทรายที่ยังคงคราบเลือดและอื่นๆ ข้อมูลและหลักฐานที่ได้มาช่วยอะไรพวกเขาไม่ได้สักเท่าไร พยานหลายปากออกเป็นเสียงเดียวกันกันว่าทั้งร่างอัศวินด้านมืดร่างอสูรกระทิงแบร์ริกและเงาปีศาจสลายไปไม่เหลือซากหลังดวงประทีปแห่งพระแม่เอวาปรากฏ
มูลฐานเหล่านี้ไม่สามารถชี้ชัดได้เลยว่าคืนแห่งความมืดต้องการอะไรจากที่นี่ มันอาจเป็นเพียงแค่ลมพัดมาแล้วผ่านไปก็เป็นได้ แต่ทว่าจินตนาการของมนุษย์ไร้ขอบเขตเกินกว่าขอบจักรวาลจะเอาอยู่ ทฤษฎีหนึ่งถูกตั้งขึ้นใช้เป็นแนวทางและข้อสมมุติฐานอย่างคร่าวๆโดยหัวหน้าแผนกวิจัยนามว่า"เนเซอร์" เขาอธิบายแก่ลูกทีมอย่างละเอียดจนทุกคนสงสัยและตั้งคำถามขึ้นอย่างหยาบๆโดยยังไม่ตีวงจำกัดอันมีหลายส่วน ได้แก่ 1.คืนแห่งความมืดต้องการทำลายมหาคริสตัลวอเตร่า? 2.เงาปีศาจถือขวานกำลังตามหาบางสิ่ง? 3.ความทะเยอทะยานอันเป็นผลให้คืนแห่งความมืดเกือบทำสำเร็จโดยมีเจตนาแอบแฝงจากแรงจูงใจ 4.ใครบางคนชักใยอยู่เบื้องหลัง 5.หรือแค่เหตุบังเอิญ
บรรยายกาศอึมครึมในห้องประชุมลับชั่วคราวภายในโรงแรมแห่งหนึ่งของเมืองป้อมปราการเซลสิอุส แผนกวิจัยจากองค์กรเรเมดี้จำนวน8ชีวิตนั่งล้อมโต๊ะวงรีเผยหน้าเคร่งหลังครุ่นคิดอย่างหนักกับการตีความ
"แบบนี้คงต้องมีเงื่อนงำบางอย่างซึ่งแฝงไว้กับเจตนาของพวกมัน"สาวหน้ามนขมวดคิ้วกล่าวแต่สายตายังจ้องบันทึกของตน
"ใช่แล้วล่ะราเซล ความคิดเธอตรงกับแนวทฤษฎีของฉัน ข้อสมมุติฐานของฉันคือ คืนแห่งความมืดกำลังพยายามตามหาบางสิ่งในเมืองนี้"หัวหน้าคณะเนเซอร์นั่งหัวโต๊ะเอ่ยอย่างหนักแน่น แต่ยังไม่ปักใจกับทฤษฎีเลื่อนลอยของตน
"ถ้าเราขีดเส้นใต้กับทฤษฎีของนาย จะเป็นไปได้ไหม ถ้าพวกมันจะบุกที่นี่อีก"เรซี่ขมวดคิ้วขยับปากไปทางหัวโต๊ะ
"เราก็สำรวจหมดแล้วหนิ ไม่มีสิ่งใดพอมีค่าให้พวกมันเข้าหา นอกจากมนุษย์ โบราณสถาน โบราณวัตถุหรือแม้แต่ภาพพระแม่เอวาหรือหอคอยวอเตร่าทุกอย่างก็ยังครบถ้วนไม่ถูกทำลาย"ดิเซ่ส่งหน้างงเอ่ยไป ทำให้ความคิดเริ่มถูกตีกรอบ
"ถ้าไม่ใช่เหล่านั้น.. งั้นก็แปลว่า..!!"เรซี่สำทับอย่างตื่นเต้นก่อนถูกตัดบท
"เอ๊ะ.. เดี๋ยวนะ!!
.. ถ้างั้นๆ (เนเซอร์ขมวดคิ้วมือทาบคางชั่วครู่ก่อนปิ๊งไอเดียออกมา..) ..งั้นก็หมายความว่าพวกมันกำลังตามหาใครบางคนใช่ไหมดิเซ่"กล่าวแล้วเนเซอร์จึงยิ้มย่อง ดิเซ่ตกใจเพราะไม่คิดว่าสิ่งที่ตัวเองพูดไปสะกิดใจหัวหน้าคณะ
"เอ่อ.. คงงั้นมั้งคะ"
"ใช่แน่ๆ มันต้องตามหาใครบางคนซึ่งดูจากกำลังพลที่ยกมากับเงาปีศาจเหลือคณานับและปรากฏการณ์เหนือบรรยาย.."เมื่อประเด็นถึงจุดนี้หนุ่มวัยรุ่นตอนปลายนามว่า"คอเลล"จึงกล่าวอธิบายก่อนจะส่งต่อให้เรซี่อย่างรู้กัน
"กองทัพอัศวินด้านมืดยังมีการจัดแต่งทัพมาอย่างดี นั่นย่อมหมายความว่าพวกมันต้องมีใครบงการและนี่เองคือประเด็นหลักที่น่าเชื่อถือ ส่วนสาเหตุที่พวกมันยกทัพใหญ่มาก็เพราะว่าเมืองป้อมแห่งนี้มีหอคอยวอเตร่าคอยปกป้องยากจะตีแตก แต่แล้วผู้อธิฐานคนหนึ่งกลับดันมาล้มลง ทำให้บาเรียสูญเสียประสิทธิภาพและนี่เองจึงเป็นอีกประเด็นที่ไม่ควรมองข้ามว่า ผู้อธิฐานคนนั้นจะรู้เห็นหรือถูกอะไรบางอย่างครอบงำ และเมื่อ..."เรซี่หยุดชะงักไปหลังมีเสียงกระแอมจากชายวัยดึกนั่งอยู่ท้ายโต๊ะ ราวกับเป็นสัญญาณให้ส่งต่อความคิดกับคำพูด
"และเมื่อมันบุกเข้าเมืองป้อมได้ หลายศพของประชาชนตายอย่างเหตุบังเอิญซึ่งดูจากบาดแผลแล้วไม่มีมีศพไหนถูกจงใจให้ตายโดยเจตนา แต่แล้ว.. พวกมันต้องหายไปเมื่อดวงประทีปฉายแสง เฮ่อ.. น่าเสียดายจัง ถ้าใครคนนั้นถูกฆ่าไปซะเราเองก็คงจะ.. "ฮาฟพูดจบจึงก้มหน้าลง ส่งให้ความเงียบเข้าครอบงำชั่วครู่ คณะวิจัยเริ่มครุ่นคิดหาทางสรุปประเด็นและพยายามไปต่อ แต่ไม่ช้า ทุกคนก็แปลกใจและสะดุ้งเมื่อยินเสียงใครบางคนชวนวังเวงดังมาจากมุมห้องเลยไปไกลจากท้ายโต๊ะ
"ถ้าใครคนนั้นถูกฆ่าไปก่อนเราจะยิ่งมืดลงไปอีกนะครับ"เสียงแหบแห้งชวนขนลุกเอ่ยเบา
พูดเสร็จเจ้าของเสียงพลันขยับร่างออกจากมุมทึบ เดินก้มหน้าล้วงกระเป๋ามายังท้ายโต๊ะก่อนเลื่อนเก้าอี้แล้วนั่งลง เพื่อร่วมวงสนทนาด้วยคนและควักอะไรบางอย่างออกมาไว้ที่มือ
ทุกคนในคณะมองเป็นตาเดียวกันอย่างนิ่งอึ้ง กับภาพเด็กชายวัยประมาณ15ปีที่นั่งก้มหน้าจ้องมือตนเองเล่นกับเส้นด้ายสีแดงถักทอเป็นรูปเป็นร่างไปมา ซึ่งไม่มีใครรู้หรือสังเกตว่าเด็กคนนี้เข้ามาในห้องตั้งเมื่อไร
ท่าทางของเด็กชายดูนิ่งและสุขุมเยือกเย็น ไม่ช้ากล้ามเนื้อคอจึงสั่งใบหน้าเงยขึ้นอย่างเอียงเอนมอง ตอบทุกคนที่มองมาก่อนขยับปากเอ่ยออกไป..
"พวกคุณเคยได้ยินเรื่องผู้รู้คำทำนายกับผู้ที่ถูกเลือกบ้างไหมครับ"
แม้คำพูดจะดูน่าสนใจ แต่คณะวิจัยกลับไม่มีใครสนใจเลยสักคนคงคิดว่าเด็กนี่กล่าวเลอะเลือน
"นายเป็นใคร!!"ราเซลตะแว๊ดถาม ขณะทุกคนยังแปลกใจและยังไม่ตั้งคำถาม
"ขอโทษที่เสียมารยาทนะครับ กระผมมีนามว่า"ครูล"ครับ"เด็กหนุ่มแนะนำตัวด้วยเสียงแหบแต่นุ่มนวล ขณะมองและบังคับนิ้วมือเล่นกับเส้นด้ายสร้างรูปร่างประหลาดโดยไม่สนใจใคร จนทุกคนเริ่มหวาดหวั่นซ้ำยังซ่อนอารมณ์โกรธไว้กับสิ่งที่เขาแสดง
"เด็กอย่างนายมาทำอะไรที่นี่!!"ฮาฟฟุดฟัดถาม
"ผมต่างหากที่ต้องถามพวกคุณว่ามาทำอะไรที่นี่ พวกคุณไม่ใช่รึไงที่ลักลอบเข้าเมืองอย่างผิดกฏหมาย"หลังเงยหน้าครูลตอกกลับอย่างใจเย็น แต่ยังไม่ปล่อยด้ายจากมือ ฮาฟสะดุ้งไปตามความผิดพร้อมด้วยทุกคนที่เริ่มระแวงเด็กชายหนักขึ้นไปอีก
"คุณเนเซอร์ครับ ข้อสมมุติฐานของคุณถูกต้อง คนๆนั้นมีตัวตนอยู่จริงและยังอยู่ในเมืองนี้ อันที่จริงแล้วผมเองก็กำลังพยายามตามหาตัวเขา"ว่าแล้วเด็กชายก็ก้มหน้าเล่นเส้นด้ายต่อ
"ครูล นายเป็นนักสืบรึไง"เนเซอร์ถามจากความฉงนใจ
"ก็ไม่เชิงหรอกครับ"ครูลตอบพร้อมยกยิ้มมุมปาก เนเซอร์สนใจเด็กชายมากขึ้น ด้วยความคิดลึกๆแล้วว่าหมอนี่อาจมีประโยชน์ต่อคณะ หากคำกล่าวนั้นไม่ใช่เรื่องเพ้อเจ้อ
"แล้วเรื่องผู้รู้คำทำนายกับผู้ถูกเลือกคืออะไร นายไปรู้มาจากไหน"เนเซอร์ยื่นหน้าถามแสดงความสนอกสนใจ ส่งให้แววตาดูลึกลับ ครูลหรี่ตาขึ้นสบมองเนเซอร์พลันจับทางได้โดยเร็ว
"รู้มาจากไหนไม่สำคัญหรอกครับ แต่ผมจะบอกให้คร่าวๆก็ได้นะครับ ถ้าเรารู้ว่าใครคือผู้รู้คำทำนายคนๆนั้นจะพาเราไปหาผู้ถูกเลือก ส่วนผู้รู้คำทำนายเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาใช่ก็ต่อเมื่อ.. เมื่อ.. เมื่อ.."แม้ครูลจะจับทางเนเซอร์ได้แต่เด็กชายก็กล่าวความจริง ซึ่งทุกคนตั้งใจฟังเป็นอย่างมาก
"เมื่ออะไรเล่า!!!"ฮาฟหงุดหงิดตะโกนลั่นพลางตบโต๊ะขู่ดัง.. ปั้ง!!
แต่มันไร้ผล เด็กหนุ่มคงใจเย็นเล่นกับเส้นด้ายโดยไม่รู้ร้อนไม่รู้หนาวหรืออันตรายใดๆ
"เมื่อ คุณ คิด ว่า ใช่"ครูลส่ายหัวตอบแบบยียวน ทำให้ทุกคนปวดประสาทหนัก เว้นแต่เนเซอร์ที่เริ่มปักใจเชื่อขึ้นไปอีกขั้นกับข้อสมมุติฐานของตน
"เฮ่อ.. เสียดายจังเลยนะครับ นึกว่าจะได้ข้อมูลดีๆซะอีก แต่ก็นะ.."ครูลกล่าวตัดบทด้วยเสียงแหบเช่นเคย ขณะลุกจากเก้าอี้เดินก้มหน้ามองมือเล่นกับเส้นดายสีแดงพร้อมสาวเท้าไปยังประตูทางออก ทิ้งไว้ให้แต่เนเซอร์ฉงนใจซึ่งไม่มีโอกาสได้ถามต่อเรื่องบุคคลพิเศษ ทุกคนเหลียวตามไปจนกระทั่งเด็กหนุ่มออกจากห้อง แต่แล้วต้องแปลกใจกันอีกรอบเมื่อกลอนประตูนั้นถูกบิดเข้ามาอีกครั้ง
"อ๊ะๆๆ อย่าอยู่นานนะเดี๋ยวเรอิสจะโกรธเอา"เป็นครูลนั่นเองที่แง้มประตูโผล่เข้ามา บอกด้วยใบหน้ายิ้มซ่อนเลศนัยก่อนปิดไว้ดังเดิมแล้วจากไป
"..เรอิส คือ ใคร?"ราเซลงึมงำ แต่เรซี่ได้ยินแล้วตอบกลับ..
"เรอิส คือ ทหารนักฆ่าที่โหดเหี้ยมที่สุดแห่งยุคสมัย"
พลันนั้นเนเซอร์ที่เหล่ครูลตลอดเวลารอจนแน่ใจแล้วว่าเขาไม่ได้อยู่หน้าห้อง จึงสั่งกับเอียนราฟให้ไปสะกดรอย เอียนราฟพยักหน้ารับทราบโดยดี แต่เมื่อเปิดประตูออกเอียนราฟมองซ้ายมองขวาแล้วต้องแปลกใจ จู่ๆครูลหายไปจากทางเดินที่ยาวไกลทั้งสองฝั่ง ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้หากเทียบเวลาที่ออกคำสั่งกับการวิ่งหนีของเด็กหนุ่มหลังปิดประตู
เอียนราฟเร่งกลับถอยเข้าห้องรายงานต่อหัวหน้าคณะด้วยสีหน้าแปลกใจ เนเซอร์รับคำนั้น กลับยิ้มมุมปากเหมือนคิดแผนบางอย่างได้จนดูน่าสงสัย
รอยยิ้มเผยอออก ครูลอ่านเกมส์ขาดตั้งแต่แรกและรับรู้ถึงเหลี่ยมของเนเซอร์ จึงซ่อนตัวโดยยืนกลับหัวที่เพดานทางเดินหน้าห้องนั้น
แม้เป็นเด็ก แต่จิตวิทยานั้นสูงเหนือชั้น เพียงแค่ปล่อยข้อมูลบางส่วนไป ครูลก็ได้หมากมาเล่นอีกหลายตัวในการสืบหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับผู้ที่ถูกเลือกในเมืองป้อมปราการเซลสิอุส
ชื่อ"ครูล"นั้น ใช้เป็นนามแฝง เขาคือเด็กชายผู้ลึกลับมีผมสีดำและมีนัยน์ตาสีดำสนิท ผิวขาวซีดไว้ผมยาวทรงรากไทร บุคลิกดูเป็นคนเพี้ยนๆแต่สมองกลับปราดเปรื่องเกินวัย เขาไม่เป็นที่รู้จักในวงการนักสืบ เมื่อเทียบชื่อกับฮาร์มแล้ว ครูลนั้นดูด้อยกว่าไปโดยปริยายเนื่องด้วยไม่เป็นที่รู้จักสักเท่าไร แต่เบื้องหลังคดีดังต่างๆบนแผ่นดินธีโอน่า ซึ่งครูลนี่แหละคอยคลายปมให้อย่างลับๆกับกองทหารตรวจการณ์ในจักรวรรดิครูฟ
ในตลอดหลายวันที่ผ่านมา ครูลคอยสืบหาอย่างหนักเพื่อตามหาบุคคลเล้นลับคนหนึ่งหรือมากกว่าหนึ่งที่เชื่อว่าเขาคือผู้ถูกเลือก ครูลใช้วิธีการสะกดรอยและสังเกตชีวิตประจำวันของทุกๆคนในเมืองป้อมว่ามีใครเข้าข่ายเป็นผู้คำทำนาย แต่ไม่มีเลยสักคนเนื่องจากทุกคนใช้ชีวิตตามปกติไร้พิรุธ
ครั้นแล้ว ครูลเองหาได้ลดความพยายามลงไม่ หากแต่เขายังก้มหน้าก้มตาสืบต่อไปเพราะเชื่อว่าคนๆนั้นมีอยู่จริง..
ทางด้านคณะวิจัยจากองค์กรเรเมดี้คงไม่ยอมแพ้ง่ายๆเป็นแน่ เมื่อมั่นใจแล้วว่าการสืบเบาะแสและเสาะหาผู้ถูกเลือกครั้งนี้นั้น ต้องแข่งกับอีกหลายองค์กรและอีกหลายกลุ่ม
-------
ปลายสุดที่ราบมูไจทางทิศตะวันออกเฉียงใต้คือป่ารกทึบกว้างใหญ่ อันมีต้นไม้สูงโตขนาดหลายคนโอบเคล้าคลอด้วยเถาวัลย์ระโยงระย้าไร้ระเบียบเขียวชะอุ่มเกาะกลุ่มกันประปราย เมื่อมองไกลๆแล้วเหมือนป่าแห่งนี้มีชีวิตแบบน่าพิศวง
ทางเดินนั้นยากลำบาก มีตะไคร่จับตัวกันกลายบนโขดหินที่สลับความสูงสั้นชันลื่นและคอยขวางทางอยู่เป็นนิจ พื้นดินเปียกแฉะโดยทั่ว บางบริเวณมีโคลนดูด ใบไม้เกือบทุกใบยังคงน้ำค้าง สรรพสาราสัตว์ต่างแตกตื่นส่งเสียงกันเกลียว
กลุ่มกิเรเร่เดินอย่างเหน็ดเหนื่อยหนำซ้ำยังต้องระวังอันตรายอีกด้วย พวกเขาเดินเข้าไปได้ไกลสักพักจนถึงบริเวณต้นไม้ใหญ่แปลกตาซึ่งมีเถารากห้อยย้อยลงปกคลุมลำต้นจนเป็นพุ่มคล้ายกับหัวคนที่มีผมเผ้ารุงรัง
ทั้ง6พลันแหงนหน้าเงยขึ้น เมื่อได้ยินเสียงสั่นไหวของใบไม้เสียดสี เหล่าผู้กล้ากระตุกมือเรียกอาวุธ แต่แล้วมันก็เงียบไปเมื่อเพียล่าสาวคันศรสุ่มยิงลูกธนูออกไปกลางพุ่ม
ตุบ..!!
เสียงจากบางอย่างร่วงลงมากองกับพื้น โอ'เกนท์กระพริบตาปริบๆจ้องมองสิ่งนั้นเหมือนกำลังยันกายลุกยืน
เนเน๊ะเอียงคอพลางใช้หัวมือจุ๊บปากสงสัยกับร่างเคยคุ้น ทุกคนเงียบงันและเพ่งกันเป็นตาเดียว
สิ่งนั้นซึ่งพวกเขาเห็นคือมนุษย์เป็นแน่ เมื่อความคิดมั่นคงกลุ่มกิเรเร่จึงเริ่มขยับเท้าย่างไปใกล้ แลเห็นเขาคนนั้นยืนขึ้น แล้วปัดเนื้อปัดตัวก่อนจัดแต่งผ้าคลุมหัวจรดเท้าสีน้ำตาลเข้มให้ดูเรียบร้อย
เขาก้าวเท้าออกมาจนใช้มือปัดม่านเถารากอันรุงรัง กลุ่มกิเรเร่ก็เริ่มถอยออกห่างเพื่อเตรียมพร้อมรับมือ จนกระทั่ง...
"ห้ะ!!"โอ'เกนท์อุทานหลังร่างนั้นเผยกายออกจากพุ่ม ทุกคนจึงลดอาวุธลง
"น่ะ นาย.."ชาร์ลอึ้งเล็กน้อยเพราะใบหน้าเขานั้น..
"อีกแล้วเหรอ"เพียล่าเท้าเอวว่าทำหน้าหน่าย
"สวัสดีทุกคน"เขายิ้มทักพร้อมชูมือขึ้นก่อนหันข้างทำลีลาเอามาดเท่แล้วกล่าวต่อ..
"ถ้าเป็นเรื่องของป่าแล้วล่ะก็ ให้กระผมนำทางนะครับ ไว้ใจได้เลย แหะๆ"เขาว่าพลางหันกลับทำหน้าทะเล้นแล้วเอื้อมแขนยกนิ้วชี้หว่านไปทั่วทุกคน
ทั้งหมดส่ายหน้ากันอย่างระอา ไม่มีใครอยากพูดอะไรจึงพากันหันหลังให้เขาแล้วเดินจากไปโดยไม่ใยดี
ชายคนนั้นสะอึกไปครู่ก่อนก้าวเท้าตามไปติดๆ กลุ่มกิเรเร่ยินเสียงซอยเท้ามาใกล้พวกเขารีบเร่งฝีเท้ามากขึ้นเพื่อทิ้งห่าง แต่ว่าความชำนาญในการเดินป่านั้นมันต่างกัน
ชายคนเดิมวิ่งมาจากทางใดมิทราบ เมื่อจู่ๆเขามาโผล่ต่อหน้าทุกคนที่ยังเหลียวหลังกันไม่ขาด
"อ่ะ จ๊ะเอ๋.." ชายคนเดิมยิ้มเยาะ
ทุกคนชะงักแลตะลึงกับความสามารถของหมอนั่นที่สมคำคุย เมื่อทางเลือกเหลือน้อยกลุ่มกิเรเร่จำต้องเปิดการเจรจา
"จะเอาไงวูดตัน!!"เพียล่าแยกเขี้ยวใส่
"ให้ผมนำทาง?"วูดตันเอียงคอพูดข้อเสนอแนะ กลุ่มกิเรเร่ยืนลังเลพยักเพยิดก่อนมีใครตอบกลับไป
"ตกลง!!"เพียล่ากัดฟันรับเพราะมั่นใจว่าหมอนี่เป็นคนขี้ตื้อทุกคนเลยไม่มีคำแย้งใดจะเอ่ยยั้ง
จากเหตุการณ์คราวที่แล้ว ทำให้กลุ่มกิเรเร่ตระหนักและคาดคิดว่าหมอนี่อาจนำพาโชคชะตาเลวร้ายมาให้ก็เป็นได้ จะเหตุบังเอิญหรือหมอนี่มีเจตนาแฝง แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามกลุ่มกิเรเร่ต้องจำใจยอม
ท้ายที่สุดก็ได้ผู้ช่ำชองป่ามาร่วมเดินทางอีกครั้ง แต่ทว่า..ยังคงมีเสียงบ่นพูดมากตามมาจากปากของเขาหลังเพียล่าจัดให้รั้งท้ายกลุ่ม
"เงียบๆหน่อยได้ไหม"ชาร์ลลากเสียงยาวขณะย่ำไปเรื่อย
"ก็ได้ๆ แต่.."วูดตันที่ตามหลังลั่นมา
"แต่อะไร"วิคเตอร์ถามพลางหันกลับ
"แต่ขอให้ฉันได้บอกอะไรเกี่ยวกับที่นี่สักหน่อยนะ.."
"เชิญ"โอ'เกนท์ตอบแทนทุกคนเพราะดูจะสนใจป่าแห่งนี้เป็นพิเศษและเนเน๊ะก็ออกอาการสนใจด้วยเหมือนกัน เพราะสายตาสาวน้อยมัวแต่ความหาสมุนไพรมาตลอดทางแต่ยังหาไม่ได้สักที
"ป่าแห่งนี้มีชื่อว่า"อิปรู"เป็นป่าดึกดำบรรพ์ลึกลับ ลึกเข้าไปไกลในใจกลางมีชนเผ่ากูจิ๊อาศัยอยู่บนต้นไม้สูง พวกนั้นประหลาดและตัวเล็ก นิสัยส่วนใหญ่ก็ ก็ๆ ดูเหมือนจะขี้ระแวงกับคนแปลกหน้า แต่พวกนั้นไม่ทำร้ายใครหรอกมั้งนะ ไว้ไปถึงที่นั่นเมื่อไรฉันว่าเราควรแวะไปผูกมิตร มันน่าจะเป็นการดีแก่เราน่ะ... (วูดตันหยุดไปครู่เพื่อพักลมหายใจ) ...อีกอย่างกว่าจะพ้นป่าแห่งนี้ก็ไกลเชียว เอ่อ..คือ ที่นี่น่ะในเวลากลางคืนมันน่ากลัวมาก..(ถึงคำกล่าวนี้สีหน้าวูดตันดูลึกลับและน่ากลัวมากขึ้นจนทุกคนหยุดเดินและเหลียวกลับมองโดยพร้อมใจกัน) ..ยังไงก็ขอให้ทุกคนระวังตัวด้วยล่ะ ง่ายๆเลยคือให้สมมุติว่าเมื่อไรที่พระอาทิตย์ลับฟ้าจงเปรียบเสมือนว่ามันคือคืนแห่งความมืด เพียงเท่านี้เราก็อาจจะปลอดภัยแล้วล่ะ"วูดตันกล่าวจบจึงสะบัดมือไปข้างหน้าเพื่อปัดกิ่งไม้และอื่นๆให้พ้นทางเดิน บรรยายกาศใกล้สู่สนธยากลุ่มกิเรเร่ไปต่อกันอย่างเงียบเชียบหลังวูดตันกวาดทางเดินให้ ทุกคนดูประหวั่นเห็นได้ชัด
ไม่ช้าไม่เร็วจึงหาที่พักแรมได้ในยามริมขอบฟ้าทาสีม่วง กองไฟถูกก่อขึ้นเช่นเคยทุกคนพักผ่อนตามอารมณ์ก่อนทานมื้อเย็นอย่างระแวง
รัตติกาลครอบคลุม หลายคนหลับตาพยายามสมมุติตามคำของวูดตันแล้วเปิดขึ้น ทว่าในยามนี้อากาศหนาวขึ้นฉับพลันน้ำค้างและน้ำขังตามพื้นบางส่วนแข็งตัว สรรพสัตว์กระวนกระวายร้องกันจอแจผิดแผกไปหมด มวลเมฆาสีแดงค่อยทะยานเข้าปกคลุมบดบังแสงดาวแสงเดือนจนน่าสะพรึง สายลมเฉื่อยชาแน่นิ่งลับ ลมหายใจที่ปล่อยออกจับตัวไอ
เนเน๊ะกอดกายแน่นรู้ดีว่าหากเป็นเช่นนี้แล้วควรทำเช่นไรและโอ'เกนท์ก็เช่นกันที่รู้ดี ทั้ง2เร่งโหมฟืนให้กองไฟลุกโชนอย่างแรง ทุกคนตกใจเล็กน้อยแต่ไม่มีใครเอ่ยห้ามเพราะมันช่วยไล่ความหนาวได้ดีทีเดียว
"ล่ะ ล่ะ ลางมรณะ ..พ่ะ พวกมัน กำลังมา"เนเน๊ะนั่งข้างกองไฟแต่ยังหนาวสั่นเอ่ยลอยๆไปหลังจิตใต้สำนึกประมวลผล
สายตาทุกคนเริ่มล่อกแล่กพลางกระชับอาวุธแน่น..
..จนในที่สุด ภาพทุกสรรพสิ่งหยุดนิ่ง เสียงเงียบเกิดขึ้นฉับพลันเว้นไว้แต่ความเยือกเย็นที่ยังถาโถม เหล่านักรบในกลุ่มแน่ชัดจากลางสังหรณ์ว่ากำลังมีบางอย่างคืบคลานเข้าหา สาวน้อยนั่งพ่นลมปากใส่มือที่ประกบกันเหม่อมองกองไฟไม่ไหวติง
คืนแห่งความมืดได้อุบัติขึ้นเยือนพวกเขาโดยไม่คาดฝัน คืนนี้ไม่มีใครกล้าแม้จะหลับตาลง ทุกคนล้อมกองไฟกันเหนียวแน่นและช่วยกันสอดสายตาตรวจสอบบริเวณ
ควันไฟมวลหนาปลิวลอยเด่นขึ้นชั้นบรรยากาศ พลังบางอย่างสะกิดให้เนเน๊ะจ้องมองตามแต่กลับพบบางสิ่ง พลันนั้นสาวน้อยกรีดเสียงร้องลั่น หลังแลเห็นมวลควันมีรูปร่างราวกับว่ามันคือเงาปีศาจกำลังเหวี่ยงขวานเข้าใส่เธอ..
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.2 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ