The Last Night

9.2

เขียนโดย pyclub70

วันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2558 เวลา 20.31 น.

  40 ตอน
  16 วิจารณ์
  37.74K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2559 20.39 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

21) 019-อะไรที่ถูกซ่อน!?

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

019-อะไรที่ถูกซ่อน!?

 

        

        ณ ตอนนี้กลุ่มกิเรเร่มีสมาชิกด้วยกันทั้งหมด6คนได้แก่ เพียล่า ชาร์ล วิคเตอร์ โอ'เกนท์ เนเน๊ะและคาลาเนส

 

         ครั้งวาร์ปกลับมา อัญมณี3ดวงหายไปจากเกทวาร์ป ชาร์ลทำหน้าสงสัยเพ่งแท่นเกทวาร์ปก่อนระลึกได้ว่ามันต้องเช่นนั้น ทุกคนที่เหลือไม่เอะใจหรือเสียดายอะไรหลังเหลือบมองหน้าชาร์ลที่กำลังเพ่งพิจ ไม่มีใครใคร่สงสัยว่ามันหายไปไหน เพราะเดากันเอาเองว่ามันคงกลับสู่ที่เดิมแล้วกระมัง ในตอนนี้มีเพียงแสงนวลตาจากเวทของเด็กหนุ่มในทางเดินเท่านั้น

 

        ทั้งหมดดูไม่เร่งรีบอะไร ก้าวขาเดินกันอย่างสบายอารมณ์ เว้นแต่วิคเตอร์ที่รั้งท้ายยังคงเหลียวหลังไม่ขาด มองกลับไปยังพื้นที่ปริศนาราวกับถูกเรียกเชื้อเชิญ 

         ไม่ช้าทุกคนจึงเคลื่อนที่กลับมายังพื้นที่1777อีกครั้ง อันเป็นทางเข้าและทางออกเป็นจุดแรกของสุสานซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างยังคงพังพินาศ

        ดวงตะวันยังฉายแสง ฟ้าเบื้องบนสดใสเห็นริ้วเมฆเป็นทิวแถว บรรยากาศน่าภิรมณ์มากกว่าภายในเป็นหลายเท่านัก ส่งให้กลุ่มกิเรเร่แย้มบานรับความสดชื่นจากการสูดลมหายใจสุดสะอาดของบริเวณ

        ทุกคนมองหน้ากันเหมือนรู้งาน เร่งกระจายทำการสำรวจกันอีกครั้งเพื่อหาทางออก แต่แล้วต้องงุนงงเมื่อพบว่าแต่ละด้านนั้นมีแต่กำแพงสูงไม่มีประตูหรือทางมุดรอดผ่านออกไป ผ่านไปไม่นานเท่าไรทุกคนรีบกลับมารวมตัวกันที่ใจกลางของพื้นที่

 

"อ้ะ!! ใช่สิ เราเข้ามาที่นี่ก็ได้เพราะคาลาเนส.. ถ้างั้น.."เพียล่าฉุกคิดขึ้นได้ พูดขึ้นก่อนบ่ายหน้าหาคาลาเนสที่ยืนเหวอเหมือนตัวเองไม่รู้เรื่องอะไร จนสาวนักรบต้องเอ่ยชื่อเรียกสติด้วยเสียงเรียบ

 

"คาลาเนส"

ทว่าเด็กหนุ่มยังเหม่อลอยมองไปทางประตู เพียล่าชักหงุดหงิดจึงตะคอกใส่ออกไป

 

"คาลาเนส!!!"

 

"ห้ะๆ!! ครับๆ มีอะไรหรอครับ"เด็กหนุ่มหน้าตาตื่น สะดุ้งตัวสุดขีดหันหน้ารับกับเพียล่าอย่างไว

 

"เป็นไรรึป่าว!?"สาวนักรบเพ่งหน้าสงสัยเข้าหาดวงตาเด็กชายพลางสะกิดไหล่เบาๆ ก่อนคาลาเนสหันมองกลับไปทางประตูดังเก่าจนชาร์ลต้องเอ่ยขออะไรบางอย่าง

 

"คาลาเนส นายช่วยเปิดวาร์ปกลับสู่ที่ราบมูไจให้ทีสิ"หลังเสียงเอ่ย คาลาเนสด่วนหันกลับเงยหน้าสบตากับหนุ่มมาดผู้ดีและรับคำนั้นอย่างร้อนรน

 

"ครับๆ ได้ครับไม่มีปัญหา"ว่าแล้วเด็กหนุ่มรีบเดินออกห่างจากทุกคน เมื่อได้ระยะเขาสะบัดผ้าคลุมสีเทาหนึ่งที เพื่อเรียกมาดน่าเกรงขามก่อนวาดมือจากขวาไปซ้าย เกิดเป็นวงแสงทรงรีในแนวตั้ง มีสีม่วงที่ขอบและแสงสีครามในใจกลางแซมด้วยสายฟ้าแปล่บปลาบตลอดเวลา เมื่อวงแสงพร้อมใช้คาลาเนสสะบัดผ้าคลุมอีกครั้ง ก่อนเดินนำเข้าไปพลางขวักมือไปข้างหน้าเพื่อเป็นสัญญาณเรียกพวกให้เดินตาม

 

"จะเอาเท่ไปไหนนะหมอนั่น"โอ'เกนท์เกาหนวดเอ่ย ขณะเดินรั้งท้ายตามวิคเตอร์เข้าไปในวงแสง

 

        เพียงแค่ก้าวต่อก้าวก็กลับสู่ที่เดิมบนที่ราบมูไจ นำโดยคาลาเนส เนเน๊ะ เพียล่า ชาร์ล วิคเตอร์และคนสุดท้ายโอ'เกนท์ซึ่งหอบพุงทำท่าเขย่งเท้าให้พ้นขอบวงแสงอย่างน่าตลก จนทุกคนต้องหันกลับมาฮาพลางส่ายหน้ากันเบาๆ

 

"แฮ่ๆ ก็บ้านฉันมันไม่มีแบบนี้นี่นา"หนุ่มร่างใหญ่เปรยออก ขณะเกาหัวยุ่งยิ้มแก้ต่างให้ตัวเอง ท่ามกลางเสียงคิกคักของคณะเดินทาง เสียงฮาซาลงหนุ่มนักรบก็พูดถามเด็กหนุ่ม

 

"นี่นาย คาลาเนส นายเป็นผู้ใช้ศาสตร์แห่งมนตราสายไหนหรอ"เสียงคำถามดังขึ้นเด็กหนุ่มยิ้มเขินๆก่อนตอบไปว่า..

 

"ฮ่าๆ ผมน่ะหรอ ผมยังเป็นแค่ผู้สร้างนิมิตอยู่เล๊ย"ตอบแล้วคาลาเนสก็สะบัดตัวหลบตาวิคเตอร์ หันไปทางโอ'เกนท์พลางเกากบาลยิ้มเหงือกแห้ง แต่ไม่วายจะโดนโอ'เกนท์สำทับอีก

 

"โด่วๆๆ นึกว่านายเป็นผู้ใช้ศาสตร์แห่งมนตราสายอัญเชิญซะอีก วะฮ่าๆๆๆ"ได้ยินดังนั้นเด็กหนุ่มจึงหลบหน้าอาย พร้อมสะบัดตัวหันกายอีกครั้ง แต่ครั้งนี้หันไปป้ะเนเน๊ะ ก่อนยิ้มยิงฟันให้กับเธอ

 

"ไม่ต้องมายิ้มเลย"สาวใสนัยน์ตาฟ้าเปรยเสียงแข็งด้วยหน้านิ่งก่อนสะบัดหน้าเชอะ

 

"จ้าาา แม่ตาหวาน"เสียงเด็กหนุ่มรับอย่างไว พลางย่นหน้าทำปากจู๋ใส่เนเน๊ะอย่างน่ารักในสายตาของผู้ใหญ่ที่พากันฮาลั่นทุ่ง มันช่างเป็นภาพอันยียวนกวนประสาทเหลือเกินของคาลาเนส ที่ทำใส่เนเน๊ะจนเธอดูรำคาญแต่อารมณ์ดี ฮ่าๆๆ บางครั้งได้เห็นหรือแกล้งเนเน๊ะแบบนี้บ้างก็ดีนะเพราะเธอคงหนักกับชีวิตมากแล้ว

 

"เอาล่ะๆ แต่ๆ แค่นี้กลุ่มเราก็น่าจะแข็งแกร่งแล้วล่ะ ฮะฮ่าๆๆ"นักรบสาวกลั้นขำไม่ไหวจึงกล่าวไปทั้งๆแบบนั้น จนสาวน้อยตาฟ้าเริ่มแง่งอนทำหน้าง้ำ

 

"จะว่าไปเนเน๊ะก็เก่งเหมือนกันนะ ช่วยอะไรๆได้เยอะเลยทีเดียว"โอ'เกนท์เลิกขำก่อนใครกล่าวคำมีสาระออกมากลางวง พร้อมหมุนไปรอบๆเพื่อหาคนเพิ่มเติมคำพูด

 

"ถึงจะชมแบบนั้น หนูก็ไม่เขินหรอกค่ะ"สาวน้อยเอ่ยรับทันควัน พลางย่นหน้ายุ่งยกริมฝีปากชนปลายจมูกใส่หนุ่มพุงพุ้ย ก่อนเดินถอยหลังหันไปแอบยิ้มเก็บฟันกับข้างไหล่ตัวเอง ซึ่งเพียล่ากับคาลาเนสสังเกตเห็นกับท่าทางนั้นเลยเปร่งออกเป็นเสียงเดียวกัน

 

"หราา!!!"

 

และเนเน๊ะก็หันมายิ้มแฮ่หน้าแดง พลางกระตุกไหล่อย่างเขินจริงๆนั่นแหละ นี่อาจกล่าวได้ว่าเป็นยิ้มแรกของเธอ ต่อทุกคนในกลุ่มมันช่างหวานเยิ้มมากเมื่อเห็นรักยิ้มทั้ง2ข้างอย่างเด่นชัด

 

"เนเน๊ะ ฉันเชื่อว่าสักวันเธอจะสามารถควบคุมและดึงพลังนั้นออกมาใช้ได้แน่ เธอต้องเชื่อในตัวเองนะ"ชาร์ลเอ่ยเบาแต่ดูหนักแน่น หลังเดินเข้าหาสาวน้อยด้วยสีหน้าขึงขังยกมือทั้งสองข้างขึ้นประทับไหล่เนเน๊ะและก้มลงยื่นหน้าเข้าหา เนเน๊ะตกใจเล็กน้อยกับสีหน้านั้นก่อนรับเบาๆ

 

"ค่ะ"

 

        ที่ราบมูไจอันกว้างใหญ่ในยามสนธยาเห็นแสงนวลใย สายลมโชยพัดแผ่วเอื่อย หมู่เมฆเกาะกลุ่มสร้างงานศิลป์เห็นเป็นจินตนาการในท้องฟ้าเปิดโล่ง รับกับหมู่พฤกษาร่าเริง ทั้งหมดพักผ่อนตามอัธยาศัย

         เนเน๊ะเด็ดดมชมดอกรอบทุ่ง จนหมู่ภมรหลงผิดลอบชิดสนิทเธอเข้าขโมยหอมตอมหน้านวลกับเรือนร่าง คล้ายดอกไม้แฝงน้ำหวานจนเนเน๊ะสะบัดร่างง่วนๆไล่มันไป

         แต่กลิ่นเธอนั้น รัญจวนใจช่างเย้ายวนยิ่งนักเปรียบประหนึ่งว่าเนเน๊ะคือราชินีดอกไม้ เธอยิ้มไม่ขาดสายเผาใจคาลาเนสแทบละลายกับใบหน้าชวนฝันดุจตุ๊กตาพอร์ซเลน ดั่งถูกปั้นอย่างพิถีพิถันโดยฝีพระหัตถ์พระเจ้า

 

        อาทิตย์ย่ำอัสดงกองไฟถูกก่อขึ้นโดยโอ'เกนท์ อาหารมื้อค่ำในตอนนี้ดูเหมือนเป็นอาหารแสนธรรมดา แต่ทว่ามื้อนี้กลับแฝงไปด้วยความอบอุ่นและมิตรภาพแด่เพื่อนใหม่ เนื้อที่เคยลิ้มจากปกติกลับกลายเป็นเนื้ออันแสนโอชะ

 

       แสงดาวเริ่มเฉิดฉายย่อมหมายถึงกาลราตรี ทุกคนพูดคุยกันอย่างหยอกล้อเฮฮา โดยมีลมเหมันต์พัดบอกฤดูหลังต้องสู่ผิวกายพาดผ่านกองไฟให้พลันพริ้วไหวจนจับทางลมได้

        เมื่อทั้ง6อิ่มหนำ โอ'เกนท์เร่งลุกยืนแล้วเกริ่นก่อนเริ่มขับลำนำเพลงพื้นบ้านโอกอน เสียงนั้นแว่วกังวาลในโทนเสียงใหญ่พ่วงทำนองสนุกในภาษาดั้งเดิม ทุกคนปรบมือช่วยให้จังหวะและเอียงหัวตามอย่างสนุกสนานใน7นาทีกว่า ครั้นจบเพลงโอ'เกนท์ขยับยิ้มหน้าบานก่อนก้มหัวโค้งคำนับทุกคนเพื่อเป็นการขอบคุณหนำซ้ำยังแถมยิ้มขี้เล่นให้อีกด้วยก่อนลงนั่งไปหอบหายใจแฮ่กๆ

        อ้ะๆ เห็นอย่างนี้ใช่ว่าเนเน๊ะจะยอมนะ หลังโอ'เกนท์แสดงจบเธอด่วนลุกขึ้นเริ่มบรรเลงบทเพลงแห่งคี-คูได เสียงดั่งดวงแก้วกังวาลเสนาะเหมาะไปตามลม ทุกคนให้สัญญาณจังหวะด้วยการดีดนิ้ว เนเน๊ะไม่เพียงแต่เอ่ยร้องในทำนองวอลซ์ แต่เอวที่สะบัดเล็กๆ ไหล่ที่สลับขึ้นลง เท้าที่ขยับไปมาทำให้เข้าจังหวะประกอบเพลงบวกกับรอยยิ้มหวานชื่นที่น่ารักตามวัย ช่างเป็นที่น่าเอ็นดูเสียยิ่งกระไร ร้องไปได้ไม่นานเท่าไร เมื่อจบเพลงเธอจึงถอนสายบัวก้มหัวเล็กน้อยพลางจีบผ้าคลุมออกดุจหงส์ทรงสง่าน้อมรับกับเสียงปรบมือจากทุกคน

 

'โอ๊ววว เนเน๊ะสง่างามมาก'คาลาเนสนั่งเบิกตาพร่ำในใจ แถมยังปรบมือดังกว่าใครเสียด้วย

 

        ยิ่งดึกยิ่งสงัดทุกคนเอนตัวนอนล้อมกองไฟเป็นหกแฉก พลางจ้องมองดวงดาวสุดสกาวแสง เฮ่อ.. คืนนี้ช่างเป็นคืนอิ่มอุ่นเหลือเกิน

        แม้เหตุการณ์จะผ่านไปด้วยดี แต่คาลาเนสยังคงคิดไม่ตกกับเรื่องที่ผ่านมา เขาว้าวุ่น เขาคิดว่ามันคุ้มหรือไม่ที่อุตส่าห์อดทนรอผู้กล้าบุกฝ่าสุสานสุดท้ายมานับแรมปี เพื่อจะได้เจอกับแม่ที่สูญหาย แต่สุดท้ายก็กลายเป็นอสูรไป เพราะอะไร! ทำไม! มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่! ที่เรื่องราวต้องลงเอยแบบนี้..

        คาลาเนสรู้สึกละอายใจและด้อยค่าที่ไม่สามารถช่วยแม่ได้ในตอนนั้น และต้องทุกข์หนักเข้าไปอีกว่าทำไมแม่ของตนจึงกลายเป็นอสูร หรือว่า!! แม่ของตนซ่อนอะไรไว้บางอย่างกันแน่นะ!! แต่อย่างน้อยก่อนแม่จะถูกพรากจากไป คำพูดของเธอได้ฝากฝังถึงเจตนารมณ์ของบรรพบุรุษจากรุ่นสู่รุ่นนั่นคือหยุดยั้งคืนแห่งความมืดให้ได้!!ไว้กับเขา

        แน่นอนว่ากลุ่มคนหรือใครก็ตามที่มายังที่นี่ ย่อมหมายความว่าบุคคลเหล่านั้นต้องมีจุดประสงค์เดียวกันกับเจตนารมณ์ของบรรพบุรุษเขาแน่ คาลาเนสตรึกตรองโดยไม่ลังเลจะเข้าร่วมกลุ่มกิเรเร่

 

"ทุกคนครับ ผมขอโทษนะ ขอโทษที่ทำให้ทุกคนเสี่ยงตายกับสตรีน้ำแข็งนั่น"หลังคาลาเนสว้าวุ่น จึงลุกขึ้นนั่งชันเข่ากล่าวออกไปด้วยใบหน้าเศร้ากับทุกคนที่นอนแผ่หรากันอย่างสบายอารมณ์

 

"พวกเราเองก็ขอโทษด้วยละกันนะ ที่ไม่รู้ว่านั่นคือแม่ของนาย"หลังเสียงเด็กหนุ่มดังขึ้น เพียล่าก็ลุกขึ้นนั่งพูดออกไปอย่างสุดซึ้ง ไม่ช้าทุกคนจึงลุกขึ้นนั่ง

 

"ไม่หรอกครับ ดีซะอีกที่ทุกคนจัดการได้ ผมขอขอบพระคุณอย่างสูงเลยนะครับ.."คาลาเนสหันไปโดยรอบ"..ตะแต่ว่าพวกคุณคงไม่โกรธนะที่ผมหลอกใช้"เด็กหนุ่มหันไปทางเพียล่าก่อนเอ่ยด้วยเสียงวิตก ก่อนหันกลับก้มหน้าจ้องกองไฟ

 

"ฮ่าๆ พูดอะไรแบบนั้น นายจะหลอกหรือไม่หลอก ยังไงพวกเราซะต้องเข้าไปสำรวจอยู่แล้ว ไม่ต้องคิดมากน่า"ชาร์ลเอ่ย ด้วยท่าทียิ้มแย้มใช้คำปลอบพยายามหวังดึงคาลาเนสออกจากวังวนแห่งความทุกข์หลังมองหน้าเด็กหนุ่มด้วยไมตรี

 

"ฉันจะไม่ถามนายหรอกนะว่า นายเคยเจออะไรมา นายจะเก็บไว้คนเดียวแล้วเป็นสุขหรือจะเล่าออกมาเพื่อระบายทุกข์ก็เชิญตามสบาย"เพียล่าเพ่งมองคาลาเนสพูดด้วยถ้อยคำดูแข็งกร้าว คาลาเนสหันจ้องตากับนักรบสาวได้ไม่นาน จำต้องหลุบตาลงจ้องกองไฟแทน

 

"ครับๆ แค่นี้ผมก็สบายใจแล้วครับ"คาลาเนสแสร้งยิ้ม ตอบกลับเพียล่าด้วยความทุกข์ยอมเก็บเรื่องนั้นไว้เป็นความลับ 'แค่นี้ก็สบายใจหรอ'เมื่อพูดไปดังนั้้นคาลาเนสจึงเอนตัวลงนอนชมดาวอีกครั้ง ทุกคนเห็นดังนั้นจึงเอนกายลงนอนตามไปเช่นกัน เว้นแต่เพียล่าล้มตัวลงนอนเป็นคนสุดท้ายก่อนกล่าวอะไรออกไป...

 

"ราตรีสวัสดิ์ทุกคน"

หลังเสียงนี้ทุกคนเริ่มปิดเปลือกตา เว้นแต่..

 

"อ่ะให้.."เนเน๊ะซึ่งนอนข้างๆกันพูด พลางเอื้อมดอกไม้ในมือไปให้คาลาเนสหลังแอบเด็ดมาจากขอบทุ่ง เพราะดอกไม้ชนิดนี้มีคุณสมบัติทางยาสีสันงามตาและหอมสดชื่น หรืออีกชื่อก็คือ"ดอกเม็ปป้า"

 

"ขอบใจนะ"คาลาเนสพูดพลางเอื้อมมือรับหยิบดอกไม้นั่น พร้อมแอบสบตาเนเน๊ะนิดหน่อยโดยไม่ให้เธอรู้ตัว ก่อนเอามันมาวางไว้ที่ปลายจมูกสูดกลิ่นหอมบางๆพร้อมรับชมแสงดาวระยิบ เด็กหนุ่มหันมองสาวน้อยตาฟ้าอีกครั้ง แล้วพบว่าเธอหลับปุ๋ย คาลาเนสเลยพลิกตัวนอนตะแคงขดเป็นก้นหอยแล้วผล็อยหลับไปทั้งแบบนั้น โดยหวังว่าตื่นเช้ามาทั้งตนและเนเน๊ะจะเจอหน้ากันและกันเป็นคนแรก

 

               -----------

 

        ณ จุดสูงสุดบนแผ่นเอดาดิเลียร์มีปราสาทหลังหนึ่งเด่นตระหง่าน น่าเกรงขามคล้ายดั่งล่องลอยนามว่า"ปราสาทเซาท์กลาส"ตั้งอยู่บนยอดหุบเขาทรอสสูงเสียดเมฆสีครึ้ม อันซึ่งมีสายฟ้าฟาดแปล่บปลาบตลอดเวลา ไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืนที่นี่กลับมืดมิด ไร้แสงจันทร์ไร้แสงอาทิตย์ จึงเป็นแหล่งมั่วสุมของอสูรกายน่าเกลียดน่ากลัวน้อยใหญ่ทั้งหลาย ซึ่งอยู่ภายใต้การบัญชาของผู้ปกครอง ภูมิประเทศโดยรอบมีแต่ความแห้งแล้ง ไร้ผืนน้ำไร้ผืนป่าไร้ผู้คนอาศัย

        เว้นแต่สตรีนางหนึ่งนามว่า"อัลติเมเซีย"ผู้เป็นเจ้าของประสาท 

        ลือกันว่า นางคือผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังคืนแห่งความมืด แต่กระนั้นมันก็แค่เสียงลือ ไม่มีใครสามารถพิสูจน์ได้ว่านางเป็น เพราะที่ผ่านมาผู้กล้าหรือแม้แต่เจ้าชายแห่งเมลเฟรไฮจ์ทั้งหลายในอดีตได้สูญหายไปโดยไร้ร่องรอย คำตอบนั้นจึงหายไปพร้อมกับพวกเขาด้วย

        อายุของนางยังเป็นปริศนา แต่ในประวัติศาสตร์ของอาณาจักรเมลเฟรไฮจ์เก่าเคยบันทึกไว้ว่า นางมีตัวตนอยู่ตั้งแต่เมื่อ1351ปีมาแล้ว จนในอดีตถึงปัจจุบันหลายเสียงส่วนใหญ่ลงความเห็นว่านางเป็นอมตะ

        ว่ากันว่า.. เคยมีผู้กล้ารอดตายจากหุบเขาทรอสมาได้คนหนึ่ง โดยเขาต้องหนีอย่างหัวซุกหัวซุนเพื่อหอบชีวิตปรางตายของตนเองกลับมายังหมู่เซาท์ฟอลลิ่งในสภาพโทรมเลือด เขาเล่าถึงความน่ากลัวของนางที่โหดเหี้ยม สามารถใช้ศาสตร์แห่งมนตราได้ถึง3สายและนางยังใช้ศาสตร์ประหลาดได้อีกด้วย ซึ่งเขาไม่เคยเห็นและสัมผัสมันมาก่อน ความน่ากลัวของศาสตร์นั้นทำให้เพื่อนเขาต้องจบชีวิตลงทันทีที่ขยับร่างกายเข้าใกล้หมายจะสังหารนาง ร่างกายของพวกมีบางอย่างเป็นเงาสีดำคล้ายวิญญาณบินวนร่างกาย ไม่ช้าเลือดของพวกเขาเร่งหลั่งออกจากทุกรูขุมขน เนื้อหนังเครื่องในค่อยๆถูกกัดกินจนเหลือแต่กระดูก แว่บเดีนวกระดูกเหล่านั้นก็แดงฉานและกลายเป็นผุยผง

       นางจะไม่พูดไม่จากับใครที่มาท้าทาย เพราะนางรู้ดีว่าผู้คนเหล่านั้นมาเพื่อสังหารนาง ด้วยเหตุผลอันโง่เขลากล่าวหาว่านางคือผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังของคืนแห่งความมืด นี่จึงไม่แปลกอะไรที่นางจะมอบความตายให้แก่พวกเขา ช่างน่าสมเพชยิ่งนักกับมนุษย์สมองเท่าเม็ดถั่วเขียว

        ที่สำคัญยิ่งและจดจำฝังใจตลอดมาหลายชั่วอายุคน เสียงส่วนใหญ่ลือไปทั่วแผ่นดินเอดาดิเลียร์ว่า อัลติเมเซียเคยปะทะกับจอมศาสตร์แห่งมนตราผู้ยิ่งใหญ่นามว่า"ดารุส" ตลอดเก้าวันเก้าคืน เสียงกึกก้องจากมหามนตราดังสนั่นทั้งวันทั้งคืนยินไกลถึงอาณาจักรเมลเฟรไฮจ์ ทั้งสองสู้กันอย่างหนักหน่วงจนแผ่นสะเทือนเลื่อนลั่น ท้องฟ้าบริเวณนั้นทลายลงแยกออกเป็นสองฝั่งชัดเจนเพราะมวลเมฆแยกจากกัน สภาพแวดล้อมหุบเขาทรอสรายล้อมด้วยมหาเพลิงกับขุนเขาน้ำแข็งและหลุมขนาดน้อยใหญ่ทั่วพื้นที่กินรัศมีไกลสุดตาแล ผลแพ้ชนะเฉกเช่นไรมิอาจมีใครทราบได้ หลังอึกทึกเงียบลงหลายฝ่ายเชื่อว่าดารุสคือผู้กำชัย แต่นั่นมันก็แค่การคาดคะเน บทสรุปที่แท้จริงยังคงเป็นปริศนา

 

        อย่างไรก็ตาม อัลติเมเซียได้ถูกตั้งค่าหัวนำจับไว้หลายล้านอิค โดยจับเป็นหรือจับตายก็ได้ ซึ่งแผ่นป้ายประกาศจับนี้ได้แพร่กระจายไปทั้งทั่วโลกมานานนับหลายศตวรรษ จนกระทั่งปัจจุบันยังไม่มีแม้แต่ใครหรือจอมเวทใดๆสามารถนำหัวของอัลติเมเซียกลับมาได้

 

"อีกแล้ว อีกแล้วสินะ กี่ครั้งแล้วนะที่ข้าตื่นจากนิทราแล้วต้องเผชิญทุกข์"สตรีนางหนึ่งหลังผุดลุกจากเตียงนอนแล้วไปอาบน้ำ เมื่อเสร็จนางจึงเดินมานั่งบนเก้าอี้หน้าโต๊ะเครื่องแป้งพูดทอดเสียงอย่างช้าดูเย็นชากับกระจกเงา นางมองใบหน้าตนเองที่จืดชืดและหลุบตาลงมองหน้าอกที่เปลื้องผ้าในกระจกอย่างคุ้นเคย แต่ดูเศร้าแล้วเงยขึ้นก่อนหยิบดินสอเขียนคิ้วขึ้นมาระบายจนเสร็จสรรพ เมื่อดูดีแล้วนางจึงวางดินสอลง พลางใช้มืออีกข้างหยิบอายแชโดว์ขึ้นมาหวังปัดเปลือกตา แต่ต้องหยุดไป..

 

"เสื้อคลุมเจ้าค่ะนายท่าน"เสียงจากอสูรค้างคาวสีชมพูหวานตัวกะทัดรัดเอ่ย พลางใช้มือ4นิ้วเข้าห่มเสื้อคลุมสีโปรดให้กับเจ้านาย หลังบินไปหยิบมาจากหน้าตู้เสื้อผ้าหลังใหญ่ในห้องแต่งชุด เมดค้างคาวขยับผ้าตรงนั้นนิดตรงนี้หน่อยจนปกปิดส่วนหวือหวาของเจ้านายได้มิดชิด แล้วบินถอยกลับก่อนเอ่ยอีกว่า

 

"ข้าขอไปเตรียมอาหารเช้าให้นายท่านก่อนนะเจ้าคะ"

 

"ขอบใจเจ้ามากมาจูร่า"เสียงเอื่อยชาเอ่ยขึ้น พร้อมปรายตาเข้ากระจกสะท้อนไปยังนัยน์ตาเมดค้างคาวให้รับทราบขณะยังถืออายแชโดว์อยู่ในมือ มาจูร่ารับโดยพยักหน้ากับยิ้มให้หวานๆแล้วบินออกไป ช่วงนั้นนางเริ่มปัดเปลือกตาด้วยสีแดงสดแต่ไล่ลงล่างด้วยสีม่วงคล้ำ เมื่อพอใจแล้วนางจึงวางอายแชโดว์ลง แล้วหยิบที่ดัดขนตาและอายไลเนอร์ขึ้นมา กรีดขอบตาให้เข้มดำก่อนตวัดส่วนหางตาเป็นกลีบแหลมแหงนขึ้น แล้วจึงทาบขนตาลงกับที่ดัดจนดูงอนโค้งสวยงาม ไม่ช้าในมือก็ละ2สิ่งนั้นไปและจับหวีหอยสังข์ขึ้นสางผมที่ตรงสลวยดำขลับเป็นมันวาว พร้อมจัดแต่งทรงโดยปัดข้างเข้าทัดหูแล้วปล่อยปลายทิ้งไปข้างหลังทั้งหมด นางเงยหน้าในกระจกมองนัยน์ตาสีแดงคล้ำคู่นั้นและโดยรอบ พร้อมกระพริบตาอีก2-3ครั้งเพื่อความมั่นใจ

 

"ข้าหวัง หวังว่าโฉมหน้าของข้าจะต้องใจชายใดบ้าง แต่กลับไม่มีเลยสักคน ข้ารู้สึกขำตัวเองเหลือเกิน"ร่างระหงเอ่ยเสียงเย็นชา กับใบหน้านวลละออในกระจกพลางปล่อยยิ้มบางเพื่อคลายเหงาก่อนเลื่อนมือหยิบลิปติกสีสดแดงทาบลงบนริมฝีปาก เขียนเสร็จนางจึงเม้มปากหนึ่งทีเพื่อให้สีดูกลมกลืนแล้วส่งยิ้มเศร้าอีกครั้งในกระจก ส่วนใบหน้านั้นไม่จำเป็นต้องแต่งเติม เพราะนวลหน้านางนั้นขาวดั่งเกล็ดหิมะเหลื่อมชมพูใสที่ข้างแก้มอยู่แล้ว นางเลยหยิบต่างหูคริสตัลใสวาวขึ้นมาใส่ องค์หน้าเสร็จ นางเร่งลุกไปแต่งองค์กายในห้องแต่งชุด เข้าไปได้ไม่นานเท่าไรนางก็ออกมาพร้อมกับชุดราตรีเกาะอกปล่อยชายยาวลากพื้นสีดำสนิท ปักเลื่อมและมุกสะท้อนแสง คลุมไหล่ปิดเนินอกไม่มิดชิดด้วยผ้าขนนกสีมืด ส่วนคอที่ดูโล่งนั้นถูกแขวนด้วยสร้อยเงินเส้นบางพร้อมจี้ลายพฤกษาทำจากคริสตัลฟ้าใส ส่งให้ภาพของนางดูเฉิดฉายกว่าเทพธิดาเป็นหลายเท่านัก

 

"อาหารเช้าพร้อมแล้วเจ้าค่ะ"มาจูร่าเมดของปราสาทบินขึ้นมาจากโถงอาหารรีบแจ้น กลับมาบอกกล่าวกับเจ้านายขณะอยู่หน้าประตูห้องปิดไม่สนิท ด้วยสายตาในใบหน้าชื่นชมกับความงามไร้ที่ติบนรอยยิ้มฉีกกว้าง เจ้านายพยักหน้ารับส่งยิ้มกลับพลางก้าวขาเดินตามเมดค้างคาวไปยังชั้นล่าง ระหว่างทางเมื่อนางเดินใกล้ถึงโคมไฟติดผนังหรือโคมระย้าเบื้องบนใด ทั้งหมดกลับพลันสว่างพรึ่บขึ้นมาทันที

        เมื่อนางลงมาถึงโถงอาหารอันโอ่อา เชิงเทียนบนโต๊ะอาหารทุกดอก โคมไฟคริสตัล คบไฟทุกจุด พลางพลันสว่างพรึ่บขึ้นทันใจ

       มาจูร่าเลื่อนเก้าอี้ให้กับนางที่หัวโต๊ะ บนโต๊ะมีอาหารจัดเตรียมไว้เต็มเอียดทั้งผลไม้ ของคาว ของหวาน ไวน์และช่อดอกไม้ประดับในใจกลางวางบนโต๊ะ ซึ่งมีขนาดยาวกว่า20ที่นั่งใน2ฝั่ง แต่คนรับประทานนั้นมีเพียงคนเดียว แน่นอนว่านี่คือรสนิยมในความหรูหราของนาง ก่อนนางลงมือทานเมดมาจูร่าทำหน้าที่ได้อย่างครบถ้วน หล่อนรินไวน์ในแก้วใสอย่างช้าๆให้กับเจ้านายเพื่อทานแกล้มกับอาหารสารพัด 

        สตรีร่างระหงในชุดราตรีทานเกือบใกล้เสร็จนั้น กลับมีแสงสีขาวผุดขึ้นจากพื้นพรมทางซ้ายของนาง นางเลื่อนใบหน้านวลละออมองไปอย่างใจเย็น พลางจิบไวน์เบาๆจากแก้วในอุ้งมือขณะเฝ้ามองสิ่งนั้น ทันทีที่นางวางแก้วลง บางอย่างได้ปรากฏขึ้นจากพื้นพรม โดยทยอยเลื่อนขึ้นมาออกจากพื้นจนครบส่วน เห็นเป็นสตรีในชุดขาวนัยน์ตาโทนเขียวประกายมรกต ผมยาวสีทองปล่อยสลวยแต่ในมือมีไม้เท้าสูงเท่าหัว

 

"สวัสดี อัลติเมเซีย"สตรีใบหน้างามฝันเอ่ยทักทาย ด้วยเสียงร่าเริงต่อสตรีใบหน้านวลละออ พร้อมเดินเข้าหาอย่างช้าๆกับฉีกยิ้มให้

        ใบหน้านวลละออหรืออัลติเมเซียก้มหน้าลงกระตุกยิ้มเล็กน้อย ก่อนยกไวน์ทีเดียวหมดแก้วแล้วปรายมือออกไปทางขวา เพื่อเรียกคฑาให้เข้าหามือ ซึ่งเป็นเหตุให้สตรีร่างบางนั้นต้องหยุดชะงักและถอยกลับ

 

หมับ! เมื่อคฑาเข้าสู่มือ นางขยับร่างลุกขึ้นก้าวไปกลางโถง นัยน์ตาแดงคล้ำจ้องหน้านั้นที่จ้องมองตอบตลอดเวลา ช่วงนี้สองร่างยืนห่างกันเพียงไม่ถึง6วา

 

"สวัสดี วาเลน"อัลติเมเซียทักกลับ ด้วยท่าทางรังเกียจเห็นได้ชัด จากสายตาเหยียดหยามกับแขกไม่ได้รับเชิญ พลางปรายมือไปทางขวา ซึ่งทำให้ทุกสิ่งในโถงชิดผนังอย่างรวดเร็ว วาเลนเหล่ตาตามสิ่งของที่เคลื่อนย้ายไป รับรู้ได้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น ก่อนหันกลับมาจ้องนัยน์ตาสีแดงคล้ำ แล้วเอ่ยเสียงเย้ายวนด้วยท่าทียั่วยุ

 

"เราจะไม่คุยกันก่อนรึไงห้ะ ผู้ละอายต่อบาป คิกๆ ข้าน่ะกลัวว่าเจ้าจะเหงา ก็เลยมาเยี่ยมน่ะ คิกๆๆ"

 

         หัวใจฉีดแรงขึ้น เส้นเลือดฝอยในหน้านวลเปร่งเป็นสีแดงชัดเจนในอารมณ์ฉุนเฉียวจากคำส่อเสียด อัลติเมเซียตะเบงเสียงไล่กลับไปพลางใช้คฑาชี้หน้า 

"แม้จะเป็นเทพธิดา แต่เจ้า!!ก็ไม่ต่างอะไรกับคนถ่อย!!!!"

 

"คิกๆๆ เจ้านี่น๊า.."ว่าเสร็จ วาเลนเงยคอหมุนตัวบิดขี้เกียจเพื่อยั่วยุอารมณ์โกรธของอัลติเมเซีย ที่ซึ่งมีผลต่อความสะใจของตน

 

"ออกไปจากที่นี่ซะ!!!"เสียงลั่นจากปากอัลติเมเซียอย่างรำคาญและหงุดหงิดกับเทพธิดาตรงหน้าที่มักชอบมาระราน พลางเขวี้ยงคฑาปักพื้นจนแสงสีส้มอมแดงแตกกระจายออก

 

"ปั่ก!!"

 

"ฟรึ่บ!!" 

หลังเสียงนี้ เกิดเป็นคลื่นไฟยาวเป็นครึ่งวงกลมสูงท่วมหัวพุ่งไปข้างหน้าเข้าหาวาเลน

 

"โอ๊ะ โอว"

ขณะคลื่นไฟเริ่มเข้าใกล้ เทพธิดาสาวอุทานอย่างใจเย็นก่อนกระแทกด้ามไม้เท้าลงพื้นจนแสงสีฟ้าแตกกระจายออก

 

"ปั่ก!!"

 

"ซึ่ม!!"

หลังเสียงนี้ เกิดเป็นคลื่นน้ำยาวเป็นครึ่งวงกลมสูงท่วมหัวพุ่งไปข้างหน้าเข้าหาอัลติเมเซีย

         พลังของทั้งสองพุ่งเข้าหากันอย่างรวดเร็ว ทันทีที่ปะทะกัน พลังคลื่นไฟและคลื่นน้ำต่างหักลบกลบกันจนสลายไปในที่สุด

 

"เฮ่อ.. เรื่องในวันนั้น หากเจ้าฟังข้าสักนิด เจ้าคงไม่ถูกจองจำเป็นแน่"หลังพลังสลาย วาเลนกวาดไม้เท้าตวัดจากล่างขึ้นบนเข้าสู่ท่าเตรียมแล้วเอ่ยออกไป ทางด้านอัลติเมเซียได้แต่ก้มหน้านิ่งใช้ฝ่ามือแผ่ควบคุมเหนือคฑา เพื่อปักไว้กับพื้นพรมไม่ให้ล้ม

 

"ข้าไม่ใช่ฝ่ายผิดเจ้านั่นแหละที่ผิด"เทพธิดานัยน์ตาเขียวกล่าวอีกครั้ง ด้วยท่าทีใจเย็น แต่กลับกันกับอัลติเมเซียซึ่งเงยหน้าขึ้นมองด้วยนัยน์ตาแดงคล้ำอย่างดุดัน ก่อนยกคฑาขึ้นและเขวี้ยงลงไปปักพื้นอีกรอบ จนแสงสีดำแตกกระจายออก

 

"ปั่ก!!"

 

"ซู่!!" เกิดเป็นอสรพิษขนาดใหญ่ขดกายอยู่เบื้องหน้าโดยขู่ฟ่อต่อวาเลนที่ยืนสบายอารมณ์ แต่ขณะอสรพิษกำลังจะเข้าฉก..

 

"เมื่อไรจะจำนะ"วาเลนว่าเสร็จ เร่งยกไม้เท้าขึ้นและกระแทกลงพื้นจนแสงสีน้ำตาลแตกกระจายออก เกิดเป็นพญาพังพอนขนาดยักษ์เข้าสกัดกั้นกับอสรพิษเพื่อปกป้องนายของตน การห้ำหั่นระหว่างอสรพิษกับพญาพังพอนเกิดขึ้น แต่ทั้งสองหาได้สนใจ เพียงแต่หาช่องโหว่หวังจะเห็นร่างของอีกฝ่ายเพื่อทำการโจมตีต่อ

 

"อัลติเมเซียข้าว่าเจ้าล้มเลิกความคิดจะฆ่าข้าซะเถิด"วาเลนพูดพลางขยับร่างมองหาอีกฝ่าย แต่อีกฝ่ายพลันขยับร่างหาวาเลนเช่นกัน ซึ่งเป็นเรื่องยาก กว่าจะหากันเจอเนื่องด้วยทั้งอสรพิษและพญาพังพอนต่างมีร่างกายใหญ่โตและสู้กัดฟัดเหวี่ยงกันตลอดเวลา

 

"คงเป็นเพราะความผิดละอายต่อบาปที่เจ้าฆ่ามนุษย์ใช่ไหม? เจ้าถึงไม่ยอมลดทิฐิ   ใช่.. เจ้ากลัวความอัปยศนั่น ทุกครั้งที่ข้ามาพบเจ้าก็เพราะข้าต้องการจะอธิบาย แต่เจ้ากลับไม่ยอมฟังข้าเลย อัลติเมเซียจะดื้อรั้นไปถึงไหนนะ"วาเลนใช้เสียงอ่อย แต่ดวงตาแฝงเลศนัยหลังเห็นท่าทีว่าพญาพังพอนจะชนะ ทว่าอีกฝ่ายจับทางได้ว่าเป็นเล่ห์กระเทห์ จึงไม่หยุดรีบรุกคืบเพ่งคฑาส่งพลังให้อสรพิษ

         ในที่สุดผลแพ้ชนะก็ออกมา อสรพิษฉกเข้าลำตัวพลางใช้ร่างรัดแต่พญาพังพอนกลับกัดเข้าหลอดลม จนทั้งสองตายตกไปตามกัน โดยวาเลนแอบผิดหวังนิดๆ แต่อัลติเมเซียสะใจมากๆหลังรู้ว่าพลังของตนเริ่มใกล้เคียงกับวาเลนแล้ว ฉับพลันนางปักคฑาลงพื้นอีกครั้ง

 

"หึหึหึ ฮ่าๆๆเจ้าเก่งขึ้นเยอะเลยนะอัลติเมเซีย"วาเลนเอ่ยเบา จ้องเขม็งยังนัยน์ตาแดงคล้ำหลังอสูรของทั้งสองสลายไป ในตอนนี้วาเลนดูชะล่าใจเพราะในใจยังคิดว่าตัวเองเหนือกว่า

 

        อัลติเมเซียกระตุกยิ้ม ก่อนสยายมือทั้งสองวาดลวดลายเกิดเปลวควันสีดำไล่ตามมือ เส้นผมของนางเริ่มปลิวไสวหลังคฑาที่ปักอยู่ตรงหน้าเริ่มสั่นระริกปล่อยแรงลมจนวาเลนรู้สึกได้ พลันนั้นนางรวบคฑาแล้วชูขึ้น ดวงตาสีแดงคล้ำเกิดเป็นประกายเปร่งแสง ไม่ช้าเหล่าเงาดำดั่งวิญญาณทั้งหลายด่วนทยอยผุดจากภาพวาดข้างฝาผนังในโถงอาหารออกมานับไม่ถ้วน พุ่งเข้าหารุมกัดรุมตอมวาเลนที่ไม่ทันตั้งตัว

 

"อัลติเมเซีย!!"วาเลนร้องลั่น พลางกระแทกด้ามไม้เท้าเกิดเป็นแสงสว่างไล่พวกมัน แต่ก็ได้ผลเพียงชั่วครู่ พวกมันปลิวไป แต่พุ่งกลับเข้ามาใหม่ วาเลนพยายามปัดพวกมันด้วยไม้เท้า บริเวณร่างของเธอนั้น เห็นเพียงแสงวืบวาบจากไม้เท้าเป็นเนืองๆเพราะเงาดำที่เคลื่อนไหวตลอดปกคลุมล้อมร่างเทพธิดานัยน์ตามรกตแทบมิดชิด เพียงครู่เดียวเหล่าห่าผีจึงผุดขึ้นจากห้วงเหวหุบเขาทรอสอย่างคณานับ เข้าร่วมวง มาสมทบยังชั้นโถงอาหารตามศาสตร์สายใหม่ที่อัลติเมเซียรังสรรขึ้น 

        แม้จะเป็นเทพ แต่หากถูกรุมขนาดนี้ยังต้องประหวั่นพรั่นพรึง หนำซ้ำอัลติเมเซียยังคอยส่งพลังช่วยด้วยอีกแรง ทุกอณูในร่างของวาเลนเริ่มมีโลหิตไหลหลั่งแทบชโลมลงพื้น แต่เธอเลือกยังจะสู้ต่อเพราะศักดิ์ศรีดีหนา

 

"หึหึหึ ฮ่าๆๆ"

แน่นอนว่าหัวเราะทีหลังย่อมดังกว่าอัลติเมเซียแสยะยิ้ม พลางเพ่งคฑาเข้าหาวาเลนเพื่อเร่งพลังให้ภูตผีกัดกินร่างนั้นจนหมดสิ้นและเพื่ออรรถรสในการรับชม..

 

"มาจูร่า รินไวน์ให้ข้าที"นางเอ่ยเสียงเรียบ

 

"เจ้าค่ะนายท่าน"เมดมาจูร่ารับอย่างไวด้วยอาการหวาดหวั่น พอรินเสร็จแต่ยังไม่ทันจะไปเสิร์ฟ แก้วไวน์ได้ลอยเข้าหาอุ้งมือนางโดยอัตโนมัติ

 

"รส ชาติ ช่างหอมหวาน"เสียงทอดช้าดังขึ้นจากปาก นัยน์ตาสีแดงคล้ำมองแก้วไวน์พลางเกลี่ยนิ้ววนรอบแก้วนั้น ก่อนปรายมือไปทางขวาเรียกเก้าอี้มานั่งในท่าไขว่ห้าง คอยฟังเสียงของวาเลนร้องขอชีวิต นางขมวดคิ้วครู่เดียวก็คิดได้ว่าขาดอะไรไป

 

"อ่อ เสียงเพลง"

 

"แป๊ก!"

เสียงดีดนิ้วจากนางดังขึ้นเสียงเพลงจากเครื่องเล่นแผ่นเสียงก็ดังขึ้นตามมา มันคือโอเปร่าร้องเล่าบทละครนิยายรักแนวโศกนาฏกรรม ซึ่งคลอด้วยเพลงจากวงซิมโฟนี่ออร์เครสต้าอันเป็นที่โปรดปรานของนาง

         แต่เสียงวาเลนนั้น เริ่มกรีดร้องเป็นระยะๆ อัลติเมเซียในตอนนี้ช่างบังเทิงและสุขสันต์ยิ่งนัก นางเคาะเท้าตามจังหวะและแขว่งมืออีกข้างด้วยอารมณ์สุนทรี

 

"แด่พี่น้องของข้า"เสียงทอดช้าเอ่ยเบา แต่สายตายังรับชมการแสดงของเหล่าภูติผีที่ยัดเยียดความตายให้แก่วาเลน พลางยกแก้วไวน์ขึ้นกระดกทีเดียวหมดแก้ว เมดมาจูร่ารู้งานทันทีรีบยกขวดไวน์มาเติมให้

 

"แด่พระบิดา"ไม่ช้าแก้วที่2ก็หมดไปหลังคำเอ่ย

 

"แด่เพทรา"

และแล้วแก้วที่3ก็หมดลงหลังคำเอ่ย พร้อมกับร่างของวาเลนซึ่งหายไปอย่างไร้ร่องรอยหลังเกิดแสงสว่างสุดท้ายพรึ่บขึ้น อัลติเมเซียผ่อนลมหายใจนึกเสียดายเป็นที่สุด ที่เหล่าภูติบดบังภาพสุดท้ายของวาเลน การแสดงต้องจบลงอย่างฉงน นางจึงสะบัดคฑาเพื่อส่งเหล่าวิญญาณกลับสู่ภพภูมิ อัลติเมเซียปรายมือไปทางขวาอีกครั้งเรียกทุกอย่างให้กลับคืนและรับประทานอาหารเช้าต่ออย่างใจเย็น

      

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.2 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา