The Heiland Diary : เขียนความจริงบันทึกความศรัทธา

-

เขียนโดย Ericze

วันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2558 เวลา 17.09 น.

  2 chapter
  0 วิจารณ์
  4,464 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2558 17.25 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) ปัจฉิมแห่งการเริ่มต้น

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ปีเคนทรีออนที่ 182

               เมืองคลินเทล เมืองขนาดกลางมีผู้คนหลากหลายเผ่าพันธุ์ซึ่งมาที่นี่เพราะต้องการท่องเที่ยว  ค้าขาย  และแน่นอนผู้คนท้องถิ่นด้วย  เมืองแห่งนี้ติดมหาสมุทรเซคคาซึ่งเป็นจุดรับส่งสินค้าแลกเปลี่ยนเงินตราที่สำคัญของทวีปนาร์ช ทำให้เมืองเองก็ค่อนข้างวุ่นวายจอแจเต็มไปด้วยการค้าขาย  อย่างไรก็ตามนครแห่งนี้ไม่มีดีแค่การค้าขายอย่างเดียวแต่ทว่าธรรมชาติเองก็เป็นใจโอบกอดเมืองคลินเทลด้วยเทือกเขาบาวลินและแม่น้ำเดอาโดยเฉพาะทางตอนเหนือ    แน่นอนหากมีภูเขาและแม่น้ำย่อมมีแร่มีค่ามากมายเกิดขึ้น และเพราะเหตุนี้บริเวณทางตอนเหนือนั้นจึงมีเหมืองชื่อดังขึ้นเป็นดอกเห็ดซึ่งอาจจะเรียกได้ว่าเป็นแหล่งอุตสาหกรรมที่ทำรายได้เป็นกอบเป็นกำให้กับทวีป  ไม่ใช่แค่นั้นหากมองไปที่ทางตะวันตกจะพบกับทุ่งหญ้าเขียวขจีแสนสงบ   พืชพันธ์เล็กใหญ่มากมายเติบโตขึ้นจนกลายเป็นสวนหย่อมแห่งการรักษาโรคของเมือง ไม่ใกล้ไม่ไกลจากสวนหย่อมที่บริเวณติดกับแม่น้ำเดอามีปราสาทป้อมปราการขนาดใหญ่สีขาวกระดำกระด่างบ่งบอกว่ามันได้ยืนหยัดปักหลักที่นี่มาแสนยาวนานคาดว่ามากกว่า 100 ปีได้  

ที่นี่คือโรงเรียนชื่อดังทางตอนใต้นามว่าโฮเซนเฟล เหตุผลว่าทำไมถึงมีชื่อเสียงนั้นคงเป็นเพราะว่าโรงเรียนแห่งนี้เป็นหนึ่งในแปดโรงเรียนที่เด็กจะได้รับสิทธ์เข้าสอบรับทุนไปเรียนที่ป้อมปราการที่ดีที่สุดของทวีป ณ เมืองหลวงเซเรม ป้อมปราการเซนติเนล  ยิ่งไปกว่านั้นที่นี่ยังถูกก่อตั้งขึ้นมาโดยหนึ่งในวีรบุรุษผู้กอบกู้ซึ่งยังคงมีชีวิตอยู่นั่นคือ “เลเจนต์ อาเรส”  

สัญลักษณ์ที่ทำให้รู้ได้เลยว่าเป็นเด็กจากป้อมปราการไม่ว่าจะที่ไหนก็ตามคือ ชุดคลุมโดยแต่ละสถาบันก็จะมีชุดคลุมสีแตกต่างกัน ณ ที่แห่งนี้ ชุดคลุมจะเป็นสีดำ โดยขอบและชายของชุดคลุมจะมีสีแตกต่างกันนั่นคือสีแดง, สีทอง, สีฟ้า, สีขาว,,เทา, ม่วง, เขียว และชมพู  ที่สำคัญคือตราประจำสถาบันแห่งนี้จะเป็นรูปเพกาซัสซึ่งเป็นสัตว์หายากบางคนก็ว่ามันสูญพันธ์ไปแล้ว

              ณ เวลานี้บริเวณรอบๆป้อมปราการโฮเซนเฟล เริ่มมีเสียงเจี๊ยวจ๊าวดังขึ้นเรื่อยๆราวกับว่ามีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น แต่หากเราฟังเสียงเหลานั้นอย่างตั้งใจ เสียงนั้นไม่ใช่เสียงความวุ่นวายของความกลหนแต่เป็นเสียงที่แสนมีความสุขของเด็ก คนท้องถิ่นภายนอกที่อาศัยอยู่ในย่านนั้นจะสามารถเดาได้เลยว่าตอนนี้คือเวลาเลิกเรียนนั่นเอง  นักเรียนเกือบทุกระดับชั้นเริ่มทยอยออกจากห้องเรียนอย่างร่าเริง  วันนี้สภาพอากาศชั่งสดใสไม่ร้อนไม่หนาวมีลมพัดเอื่อยๆมาจากทางทิศเหนือบ่งบอกว่าฤดูหนาวกำลังจะมาถึง สภาพอากาศเช่นนี้ชั่งเหมาะแกการทำกิจกรรมภายนอกยิ่งนัก

              เวลาผ่านไปจนเด็กที่เลิกเรียนออกมาจากโรงเรียนกันหมด แต่ทว่ามีเสียงบางอย่างยังคงดังอยู่ภายโรงเรียนเหมือนว่าจะเป็นเสียงคนกำลังสื่อสารอะไรบางอย่างอยู่และไม่ได้มีการโต้ตอบจากคู่สนทนาจนทำให้นึกได้เลยว่าทำไมคนๆนี้ถึงพูดอยู่คนเดียวโดยเสียงนี้ดังมาจากจากห้องประชุมสโลปใหญ่

“…และนี่คือตำนานของฉันและเหล่าผู้กอบกู้…เพื่อนๆของฉันจนสามารถผนึกมารร้ายได้เมื่อ 100 ปีที่แล้ว” 

เสียงทุ้มต่ำของชายแก่ผู้สวมชุดคลุมสีน้ำตาลไร้หนวดเคราดูเรียบร้อยและมีมาดผู้ดีอย่างเห็นได้ชัด เขามีผมสีขาวหงอกแต่ยังเป็นประกาย ดวงตาข้างขวามีรอยแผนเป็นเหมือนโดนฟันและถูกปิดด้วยที่ปิดตาสีดำ  นัยน์ตาข้างซ้ายสีฟ้าเป็นประกายอ่อนโยนและอบอุ่นขัดกับใบหน้าและท่าทางเคร่งขรึมของเขาในตอนนี้

              ท่ามกลางความเงียบหลังจบคำสอนเรื่องราวการรบครั้งสุดท้ายของยุคของการกอบกู้ของเขาให้เด็กนักเรียนฟัง เสียงตบมืออย่างบางเบาเริ่มเกิดขึ้นและมากขึ้นเรื่อยๆจนหนาหู พร้อมเสียงโหวร้องตะโกนชื่นชมและขอบคุณผู้กล้าผู้กอบกู้อาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนที่ตั้งใจสอนพวกเขาเหล่านี้รุ่นแล้วรุ่นเล่าโดยไม่หยุดพัก 

“วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่พวกนายจะได้เรียนอยู่ ณ ที่นี่ โรงเรียนโฮเซนเฟล”

“ฉันในฐานะอาจารย์ก็อยากจะขอให้พวกเธอได้รับสิทธิ์เข้าไปเรียนต่อที่ศูนย์ฝึกเซนติเนลทุกคนแต่…”

“มันก็คงเป็นไปไม่ได้…”

“ฉันขอโทษจริงๆแต่ปีนี้จะมีเพียง 12 คนเท่านั้นที่ได้ไป” 

ความเงียบเริ่มเข้าปกคลุมทั้งห้องจากความจริงที่แสนเจ็บปวด ทุนที่ทุกคนต้องการกลับมีน้อยเพียงหยิบมือเดียว บรรยากาศในห้องชั่งแสนหดหู่จนเราสามารถสัมผัสได้  เขาพูดต่อ

“คนอื่นที่ไม่ได้ไปก็ไม่ต้องเสียใจ ชีวิต… มันไม่ได้จบแค่นั้น” 

              ด้วยถ่อยคำที่มีค่าดั่งสัจธรรมสำหรับเด็กช่วงอายุนี้ที่การแข่งขันเพื่อชิงจุดยืนในสังคมให้เร็วที่สุดทำให้เด็กๆกว่า 200 คน นึกขึ้นมาได้ว่าชีวิตของคนเรามันไม่ได้จบที่การสอบมันยังมีอะไรต่อนี้อะไรอีกมากมายให้เราฟันฝ่า  ไม่ทันไรเสียงกระหึ่มของเด็กนักเรียนที่ใช้มือของตัวเองทุบโต๊ะเริ่มดังขึ้นๆเรื่อย บรรยากาศเริ่มฮึกเหิมขึ้น   

“แด่ Legend Ares ผู้กอบกู้  และครูใหญ่ของเรา”

เสียงตะโกนเรียกขวัญกำลังใจดั่งลั่นจากที่หนังแถวสุดท้าย ทุกคนหันมองไปที่ชายร่างใหญ่ต้นกำเนิดเสียงที่กำลังยืนชูกำปั้นพร้อมใบหน้าและท่าทางแสนจริงจังของเขา เขามีผมสีดำขลับยาวเสมอหู ซึ่งสีดำนั้นตัดกับชุดคลุมสีดำขอบแดง นัยน์ตาสีฟ้าเป็นประกายแซฟฟรายแฝงด้วยความอ่อนโยนและมุ่งมั่นในเวลาเดียวกัน

 “โชวร์!!!!!”      นักเรียนทุกคนหันไปมองที่หน้าเวทีอีกครั้งด้วยรอยยิ้มปลื้มปิติ (โชวร์เป็นคำพูดเพื่อมอบให้แก่ผู้ที่เรานับถือ)

“พรุ่งนี้ฉันจะมารอพวกเธอที่นี่ตอน 8.00 น. พร้อมรายชื่อ 12 คนดังกล่าว”

“ขอให้พวกเธอทุกคนโชคดี.. ”

เขายิ้มรับความเคารพของเด็กๆ พร้อมชี้แจงข้อมูลสุดท้าย  แต่ไม่ทันขาดคำในขณะที่ทุกคนในห้องอยู่ในความเงียบเพื่อรับฟังข้อมูลจากอาจารย์ใหญ่ผู้คุณวุฒิ  มีเสียงบางอย่างคล้ายๆกับเสียงกนดังขึ้นที่แถวสุดท้ายแถวเดียวกับชายผู้เรียกขวัญกำลังใจให้กับเพื่อนๆ  ชายหนุ่มผู้มีสีผมสีเงินซึ่งเป็นสีที่แตกต่างจากประชากรส่วนใหญ่ในห้องเป็นอย่างมากจึงทำให้การหลับขอบเขายิ่งเห็นเด่นชัดเข้าไปอีก  เขาหลับอย่างสบายใจทับคาบกองน้ำลายของตัวเอง ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นเพื่อนกับหนุ่มผมดำและชายผมบลอนด์ที่ตอนนี้มีสีหน้าแสนเหลิกลัก มองไปที่กันและกันราวกับว่าจะทำอย่างไรกับเพื่อนคนนี้ที่กำลังหลับอยู่ดี

              บรรยากาศเริ่มตึงเครียดมากขึ้นเรื่อยชายผมบลอนด์รูปร่างสันทัดสวมชุดคลุมสีดำขอบฟ้านัยน์ตาของเขาเป็นสีแดงฉานราวกับพระอาทิตย์ตกเข้ากับสร้อยคอทับทิมของเขา และสิ่งที่เขาทำได้มีเพียงการสะกิดเพื่อนรักของเขาที่กำลังหลับอย่างมีความสุขให้ตื่นมารับรู้สิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ณ ตอนนี้

“เอริวตื่นเร็วๆ”       ชายผมบลอนด์กระซิบกระซาบอย่างแผ่วเบาแต่ทว่าด้วยความเงียบที่ปกคลุมสถานการณ์อยู่เสียงของเขาจึงกลายเป็นเสียงเดียวที่ดังอยู่ในห้อง

“เงียบน่าเอลิค ฉันจะนอน”     เขาตอบด้วยน้ำเสียงแสนขี้เกียจดังระดับเดียวกันกับเพื่อนผมบลอนด์ของเขาซึ่งแน่นอนทุกคนในห้องได้ยิน

“เอริวนี่มันการสอนครั้งสุดท้ายแล้วนะ ฉันรู้ว่าแกโดดเรียน แล้วก็หลับในห้องเรียนบ่อย แต่ว่าตื่นเถอะ”  ชายผมดำร่างใหญ่พยายามปลุกเพื่อนของเขา

 “อิคตัส … ไอ้บ้า”   ชายขี้เซา ตอบด้วยน้ำเสียงยั่วยวนกวนประสาท

“ว่ายังไงนะ !! ”       อิคตัสเปลี่ยนจากสีหน้าที่พร้อมจะช่วยเพื่อนเป็นพร้อมจะฆ่าเพื่อนได้ทุกเมื่อ เขายกกำปั้นมหึมาของเขาขึ้นเตรียมจะทุบไปที่โต๊ะ เชื่อได้เลยว่าถ้าเขาทุบลงไปหัวและตัวของเอริวที่ฟุบอยู่บนโต๊ะจะต้องลอยขึ้นมาอย่างแน่นอน 

“เดี๋ยวอิคตัส!”        หญิงสาวผมบลอนด์ปล่อยยาวถึงไหล่ นัยน์ตาของเธอมีสีเขียวอมฟ้าดูลึกลับดั่งสีของน้ำทะเลลึก ชุดคลุมของเธอมีขอบเป็นสีทอง เธอจับไปที่ข้อมือของอิคตัสเพื่อหยุดการกระทำที่แสนบุ่มบ่ามที่เกิดจาการยั่วยุของเอริว

“อลิส  อิคตัส  เอลิค  พวกเธอเงียบ !!”     ชายแก่หน้าเวทีตะโกนด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“เอริว ตอบคำถามของฉัน..”      เขาพยายามออกคำสั่งเอริว

              เอริวยังคงนอนอย่างไม่สนใจอะไร  เรียกได้ว่าถ้ามีการแข่งขันการนอนหลับก็คงพูดได้เต็มปากเลยว่าเขาคงจะชนะอย่างแน่นอน   ในห้องประชุมนอกจากจะใหญ่แล้วบริเวณทางด้านซ้ายและขวายังมีหน้าต่างบานมหึมาให้แสงรอดเข้ามาได้ อย่างไรก็ตามด้วยไหวพริบของเอริวผู้กึ่งหลับกึ่งตื่น  เขาลุกขึ้นมาเหมือนกับว่าพยายามจะตอบคำถาม   

“เพกาซัสแห่งทวีปนาร์ช..   ตรงนั้น”  เขาชี้ไปที่กระจกด้านขวา พรางสะบัดหน้าตามทิศทางทำให้ผมสีเงินของเค้าที่มัดเป็นเปียยาวถึงเอวสะบัดไปอีกทิศทางหนึ่งดังม้าสะบัดหาง   

              คนทั้งห้องประชุมด้วยความตกใจจึงรีบแห่กันไปดูทางด้านกระจกด้านขวาหวังว่าจะพบม้าเพกาซัสแสนหายากซึ่งเป็นสัญลักษณืของสถาบันที่เหลือเพียงไม่กี่ตัวในทวีปเท่านั้น   เลเจนต์อาเรสเองก็รีบวิ่งไปดูที่หน้าต่างนั้นอย่างกระวนกระวายเพราะตัวเขาเองเป็นหนึ่งในหัวหน้ากลุ่มอนุรักษ์ม้าเพกาซัส      ระหว่างนี้เองเอริวจึงนั่งลงฟุบตัวหลับต่อ   ก่อนที่เลเจนต์อาเรสจะรู้ตัวว่าโดน เอริวหลอก

“เจ้าเอริว!!!  ทุกคนกลับมานั่งทีเดิม!”   เลเจนต์อาเรสตะโกนลั่นห้องด้วยน้ำเสียงดุดัน

“เก่งนักนะ!”   

ทันใดนั้นเลเจนต์อาเรสเริ่มแสยะยิ้มด้วยความหมั่นเคี้ยว เหมือนกับว่ารู้แล้วว่าจะแก้เผ็ดเจ้าเด็กจอมแก่นเจ้าปัญหาคนนี้อย่างไร   ชายแก่ผู้ก่อตั้งโรงเรียนหยิบไม้เท้าที่วางอยู่บนโต๊ะหน้าห้อง    เขากระแทกไม้เท้าลงบนพื้น และทันใดนั้นเอง เอริวก็ลอยขึ้นมาราวกับว่าตัวเขานั้นไร้ซึ่งน้ำหนัก 

“เห้ย!!! ฉันขี่เพกาซัสอยู่!” เขาตื่นขึ้นมาด้วยท่าทางตกใจว่าทำไมเพกาซัสจึงหายไปโดยไม่ได้ทันสังเกตว่านั่นคือความฝัน  และโลกที่โหดร้ายที่เขากลับเข้ามาอีกครั้ง.. นี่คือความจริง และความจริงอีกเรื่องคือ..

 “ตื่นแล้วครับ!!! ”  เขาตอบพร้อมลากเสียงยาวด้วยความตกใจ

“อาจารย์ก็รู้ว่าผมกลัวความสูงทำแบบนี้กับผมได้ไง !!! ปล่อยผมลงไปเดี๋ยวนี้นะ!”    เสียงของเขาสั่นเทาด้วยความกลัว แต่เพื่อนๆกลับชี้เยาะเย้ยเขาพร้อมหัวเราะกันแถบทั้งห้อง  อาจารย์ใหญ่เองก็หัวเราะด้วยความสะใจในกลยุทธ์ของตนเอง

“เอาหละพร้อมจะตอบคำถามหรือยังหละ เจ้าเด็กเจ้าปัญหา”     เขาเลิกขำพรางถามไปที่เอริวพร้อมรอยยิ้มที่ยังคงติดอยู่ที่มุมปาก

“ยอมแล้วครับ ถามเลยครับ แล้วช่วยเอาผมลงด้วย อาจารย์สุดหล่อ”        หนุ่มเจ้าปัญหาที่ตอนนี้ผมเปียแสนยุ่งเหยิงอ้อนวอนชายแก่

“ไม่จนกว่านายจะตอบถูก”  ใบหน้าของชายแก่ผู้เคร่งขรึมเปลี่ยนเป็นชายแก่แสยะยิ้มตลอดเวลาด้วยความพึ่งพอใจกับผลงานของตนเอง

“ถามมาเลยอาจารย์เดี๋ยวนี้!”  ท่าทีของเขายังคงน่าขันต่อเพื่อนๆแม้แต่เพื่อนสนิทของเขาเองเอลิค อิคตัส และอลิสเองยังหัวเราะไม่หยุด

“เอาหละนะ… เจ้าหนู เจ้าก็เห็นอยู่ว่า ตอนนี้ตัวเจ้าลอยอยู่โดยถูกควบคุมโดยฉัน”  เลเจนต์อาเรสเริ่มถามอย่างเป็นหลักเป็นการ

“ใช่ครับอาจารย์ รีบๆถามมาเถอะครับ”  เขาเร่งอาจารย์ก่อตั้ง

“คำถามคือ ฉันทำได้อย่างไร? กลไกมันเป็นแบบไหน? และถ้าเกิดศัตรูทำแบบนี้กับเธอ เธอจะป้องกันได้อย่างไร?”

ท่าทางของชายแกรวมถึงสีหน้าเริ่มเปลี่ยนไปจากแสนพึ่งพอใจเป็นสงบนิ่งเฉยเหมือนพยายามที่จะทดสอบอะไรบางอย่างจากเอริว  แท้ที่จริงแล้วนี่คือข้อสอบข้อเขียนระดับยากพอสมควรในข้อสอบชิงทุนรอบล่าสุด ถ้าเอริวตอบได้แสดงว่าเขาเองก็มีสิทธิ์ ที่จะผ่านไปได้รับทุน

              เพื่อนร่วมรุ่นในห้องทั้งหมดที่ได้รับฟังก็เริ่มแสดงความคิดเห็นกันแยกเป็นกลุ่มเล็กกลุ่มน้อยทั่วห้องจนในห้องเต็มไปด้วยเสียงจอแจจนยากที่จะโฟกัสสมาธิในการคิดเพื่อตอบคำถาม และมันก็คงเป็นสิ่งที่ยากกว่าเดิมถ้าคุณต้องอยู่ในสถานะที่ต้องเผชิญหน้ากับความกลัวที่สุดของชีวิตเช่นความสูง  

              ท่ามกลางความวุ่นวายเอริวหลับตาลงเพื่อจินตนาการภาพที่แสนสงบสุขที่มีแต่เขากับโลกใบนี้ ผมที่ยุ่งเหยิงชี้ไปชี้มาเริ่มล้มกลับมาเขารูปทรงเปียเรียบร้อยใบหน้าของเขาที่แสนตกใจเริ่มสงบลงยังกับเป็นคนละคน  โดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็นเนื่องจากผู้คนข้างล่างเองก็ถกเถียงกันบ้างก็ว่าคำตอบที่ตนเองตอบถูก บ้างก็ขัดด้วยหลักการที่ตัวเองคิดว่าถูก แต่คำตอบควรจะมีแค่รูปแบบเดียวเท่านั้น ที่ได้คะแนนเต็ม

              อย่างไรก็ตามมีเพียงคนไม่กี่คนที่ที่สังเกตเห็นเอริวในยามสงบเหมือนคนละคน แน่หละเพื่อนของเขาทั้งสามคนที่นั่งอยู่แถวเดียวกัน  ยิ้มเม้มปากด้วยความมั่นใจเหมือนกับว่ารู้อยู่แล้วอาจารย์ใหญ่… ถามผิดคนแล้ว

              ในห้องประชุมเองจุคนได้ 200 ที่นั่ง  ในรุ่นนี้มีนักเรียน 200 คนพอดี แต่ทว่าในรุ่นเดียวกันไม่ใช่ว่าทุกคนจะอายุเท่ากัน  การจัดระบบของโรงเรียนโฮเซนเฟลค่อนข้างเป็นระเบียบ โดยคนที่อายุน้อยสุดเขาจะให้นั่งหน้าสุดเพราะกลัวว่าจะมองไม่เห็น

              ที่ข้างหน้าเองก็มีเด็กตัวน้อยเหมือนจะอายุน้อยที่สุดในรุ่นเพราะเขานั่งอยู่แถวหน้าสุดติดและอาจารย์ใหญ่มากที่สุด ถึงแม้ว่าเวทีแถวหน้าสุดจะห่างไปจากที่นั่ง มากกว่า 4 เมตร แต่ด้วยอาจารย์ใหญ่เองชอบเดินไปเดินมาจึงมักไม่ได้อยู่บนเวที แต่จะอยู่บริเวณ ข้างหน้าของแถวแรก

              ชายแก่ผู้กอบกู้จ้องเจ้าหนูตัวน้อยผมบลอนด์อ่อน เด็กน้อยมีนัยน์ตาสีฟ้าครามแสนอ่อนโยนซึ่งมองไปที่ชายที่ตอนนี้กำลังลอยอยู่เหนือทุกคนอย่างมีความหวังเหมือนกับว่าเขาเองก็รู้จักกับเอริวอย่างสนิทสนมเช่นกัน   อาจารย์ใหญ่จากที่แค่จ้องมองเจ้าหนูวัยละอ่อน เขาเดินเข้าไปจับไปที่ไหล่ของเด็กน้อยแถวหน้าโดยไม่มีใครสังเกต

“เป็นห่วงเหรอ? แรนเดล”      เลเจนต์อาเรสถาม

“ครับ..”   เขาตอบกลับด้วยเสียงแหลมไม่แตกเนื้อหนุ่ม

“แต่ผมเป็นห่วงอาจารย์มากกว่า” 

“อาจารย์แค่ต้องการจะแกล้งเพื่อนของผม…แต่ผมว่ามันไม่ได้ผลหรอกครับ”

“เอริวเขาจะต้องตอบได้อย่างแน่นอน”    แรนเดลตอบกลับอาจารย์พร้อมความคิดเห็นที่แสนจะเชื่อมั่นในตัวเพื่อนของเขาที่กำลังลอยอยู่เหนือผองเพื่อนอย่างสงบนิ่งในโลกแห่งความคิดของเขาเอง

“ฉันก็ไม่ได้มีเจตนาแบบนั้นหรอกนะ เจ้านั่นหนะ…”  อาจารย์ใหญ่ตอบด้วยเสียงแพ่วเบาแล้วเบนหน้ามองขึ้นไปที่เอริว แต่ไม่ทันได้จบประโยค เสียงที่แสนคุ้นเคยที่ก่อนหน้านี้เต็มไปด้วยความวิตกกับการลอยขึ้นเหนือเพื่อนๆ เปล่งออกมาทำให้เพื่อนๆทุกคนเงียบเพื่อหยุดฟังคำตอบจากเขา และแน่นอนปฏิกิริยาโต้กลับรวมทั้งผลเฉลยของเจ้าตำนานอย่างอาเรสผู้ยิ่งใหญ่

“คำถามแรกและคำถามที่สอง… ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไรและมีกลไกอย่างไร… ง่ายมาก”  สายตาของเขาไร้ซึ่งความกระสับกระส่าย เป็นแววตาที่แสนมุ่งมั่นและเคร่งขรึมอย่างแท้จริง อย่างกับว่าคนๆนี้ไม่ใช่เอริวเจ้าเด็กจอมขี้เซาก่อนหน้านี้

“จากวิชากายเวทย์วิพาก  คนเรามีพลังเชิงลึกรูปร่างวัตถุคริสตัลจิตวิญญาณที่แตกต่างกัน สิ่งนั้นเราเรียกว่า คิเอล ซึ่งก่อกำเนิดจากสภาพแวดล้อมภายในร่างกายและจิตใจ เรียกได้ว่าเป็นรูปแบบแสดงตัวตนของแต่ละคนเลย   คิเอลจะไหลเวียนอยู่ในร่างกาย เหมือนเม็ดเลือด โดยจะไหลมากไหลน้อยขึ้นกับกลไกควบคุมของประสาทแต่ถึงจะมีสมองในการใช้ควบคุม คิเอลเองก็มีศูนย์รวมการจัดเก็บ  ซึ่งศูนย์รวมที่ว่านั้นของแต่ละคนจะแตกต่างกันบางคนอยู่ภายในบางคนอยู่ภายนอก และศูนย์รวมนี้หากถูกทำลายคนๆนั้นจะศูนย์เสียตัวตน กลายเป็นคนเสียสติหรือบางครั้ง…อาจจะถึงตายได้”  

เขาเล่าข้อมูลโดยสรุปของวิชาเบื้องต้นให้กับชายแก่ที่ตอนนี้ยังคงทำหน้านิ่งเฉยเหมือนกับว่าไม่ได้แปลกใจเลยที่เจ้าเด็กจอมแก่นถึงตอบได้

“กรณีย์ที่ผมกำลังโดนอยู่นั้น  คือตัวผมลอยขึ้นมาโดยเพื่อนๆยังคงอยู่ที่เดิม สามารถแบ่งได้ออกเป็นสองรูปแบบ รูปแบบแรกคือ อาจารย์เข้าควบคุมและแทรกแซงคิเอลของผมซึ่งไม่ยากเลยถ้าเปรียบเทียบพลังของผมและอาจารย์ อาจารย์สามารถทำได้อย่างง่ายดาย  แต่ทว่าธรรมชาติของคิเอลเมื่อถูกแทรกแซงอาจจะมีผลร้ายแรงต่อทั้งคู่หากไม่ชำนาญพอจะถูกคิเอลของฝ่ายตรงข้ามกลืนกินได้”

“คนอย่างอาจารย์ไม่ใช้อะไรแบบนั้นหรอกครับ…รูปแบบที่อาจารย์ใช้ คือ… การควบคุมธรรมชาติ”

เขาตอบอย่างมั่นใจพร้อมรอยยิ้มที่มุมปากเหมือนกับว่าอาจารย์เล่นกับนักเรียนผิดคนแล้ว

“หากเราต้องการใช้เวทย์มนตร์ที่เกี่ยวกับการควบคุมธรรมชาติเราต้องใช้พลังค่อนข้างสูง แตกต่างจากการควบคุมคิเอลของคนอื่น แต่ความเสี่ยงนั้นต่ำมาก” 

“ไม้เท้าที่อาจารย์จับอยู่คงมีแกนพลังงานคิเอลอยู่ใช่ไหมครับ”

นักเรียนในห้องมีท่าทีตกใจกับคำตอบของเอริวหันไปมองที่อาจารย์ที่กำลังถือไม้เท้าอยู่ ใบหน้าของอาจารย์จากนิ่งเฉยเริ่มเกิดรอยยิ้มเล็กๆเกิดขึ้น

“ใช่แล้วแต่ทว่า…เราจำเป็นต้องสัมผัสจุดศูนย์กักเก็บคิเอลใหญ่ภายในร่างกายกับแกนพลังงานโดนตรงเพื่อดึงพลังออกจากวัตถุเก็บพลัง ผมเองไม่มั่นใจเท่าไหร่ว่าศูนย์กักเก็บคิเอลใหญ่ของอาจารย์อยู่ที่ไหนแต่สิ่งที่ทำให้ผมมั่นใจมากขึ้นว่าอาจารย์เลือกควบคุมธรรมชาติ…คือ…หนังสือเล่มนี้ไงครับ”

“อาจารย์ไม่ได้ควบคุมผม อาจารย์แค่ควบคุมตารางเมตรที่ผมกำลังยืนอยู่ในขอบเขตปิดกั้นของห้องประชุมนี้ นั้นเป็นสาเหตุอธิบายว่าทำไมหนังสือเล่มนี้ถึงลอยขึ้นมาพร้อมๆกับผม”  

เพื่อนๆตกใจกันเป็นอย่างมากทำให้เสียงในห้องประชุมเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆจากการถกเถียงทฤษฎีของเอริว

“ตัวแปรจึงถูกแก้ทั้งหมด อาจารย์หนะมีศูนย์กลางพลังอยู่ที่ …มือขวาที่ใช้ถือไม้เท้า” หนุ่มผมเปียตอบพรางชี้ไปที่ไม้เท้าของเลเจนต์อาเรส   

              อาเรสจากที่เคยยิ้มเพียงเล็กน้อยเริ่มยิ้มจนเห็นฟัน  ด้วยความภาคภูมิใจในตัวลูกศิษย์คนนี้ พร้อมถามต่อ

“แล้วข้อสุดท้าย เรื่องการป้องกันหละ… นายจะทำอย่างไร”

“จริงๆมันเป็นเรื่องของการสังเกตครับ  การต่อสู้กับคู่ต่อสู้ ผมแนะนำให้เราเคลื่อนที่ตลอดเวลาเพราะลักษณะของผมหากต่อสู้คงถูกยกตัวขึ้นสูงแบบนี้ยาก เพราะการควบคุมธรรมชาติอาศัยเวลาในการเชื่อมต่อกับธรรมชาติด้วย”  สีหน้าของชายหนุ่มผู้ตอบคำถามยังเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ  จนกระทั่งชายแก่สวนกลับแทรกความมั่นใจของเขา

“ฉันให้นาย 75/100 เพราะนายตอบผิดสองจุด… จุดแรกคือ ศูนย์รวมพลังของฉัน… นายลองคิดดูดีๆผู้กอบกู้ทั้งหมดสามารถใช้เวทย์มนตร์ควบคุมธรรมชาติได้… หากสัมผัสอาวุธ และแน่นอนคงเป็นไปไม่ได้ที่ผู้คนเหล่านั้นจะสามารถมีศูนย์รวมพลังที่มือกันหมดใช่ไหม..”   เอริวตกใจเป็นอย่างมากที่คำตอบของตนเองผิดเพราะหากตอบผิดเช่นนี้แสดงว่าข้อสอบเองเขาก็ตอบผิดเหมือนกัน   เพื่อนร่วมรุ่นของเขาเองตอนนี้มีแววตาที่สิ้นหวังมากเนื่องจากมีน้อยคนที่จะตอบถูก แถมเฉลยของอาจารย์เองก็ไม่ได้บอกว่าตกลงควรจะตอบว่าอะไรในตอนนี้

“จุดที่สอง นี้ทำให้นายเสียคะแนนไป 20 คะแนน เพราะฉันต้องการให้นายหาทางป้องกันไม่ใช่หลบหลีก”  ชายแก่เฉลยย้ำถึงแม้ว่าจะไม่บอกตรงๆก็ตาม 

“ฉันจะเฉลยให้ฟังก็แล้วกันไหนๆการสอบก็ผ่านไปแล้ว..”  ชายแก่พูดพรางถอนหายใจ

“อาจจะเกินความรู้ไปหน่อยสำหรับเพียง 5 คะแนน ใช่เลยเราเชื่อมต่อพลังแต่ว่ามีวิชาขึงพลังที่สามารถสร้างเส้นเชื่อมต่อกับจุดใดก็ได้ในร่างกาย  นี่คือสิ่งที่นักรบทุกคนจะได้เรียนในอนาคต..”  อาเรสหยุดพักหายใจพร้อมพูดต่อถึงการป้องกัน

“จริงอยู่ที่นายสามารถเคลื่อนที่ได้ว่องไว… แต่ในโลกแห่งนี้มีคนมากมายที่สามารถประสานกับธรรมชาติได้อย่างรวดเร็วจนควบคุมนายตอนที่เคลื่อนไหวได้… ใช่มันมีอยู่จริง”    อาเรสผู้ทรงความรู้หลับตายอมรับความจริงที่แสนโหดร้ายของโลก ส่วนเด็กๆเองก็เริ่มอยู่ไม่สุขกับความจริงนี้ เสียงของความสงสัย ความกระวนกระวายเริ่มดังขึ้นๆ เรื่อยๆ จนกระทั่งชายแก่คิดว่าตัวเองต้องทำอะไรบางอย่าง

“เงียบ!”  อาเรสเปล่งเสียงออกมาอย่างเยือกเย็นทำให้เด็กทุกคนเลิกถกเถียงพูดคุยกันอย่างกะทันหัน

“เฉลยคือ.. การสร้างตัวเชื่อมพลังระหว่างเรากับชุดรบที่เรากำลังใส่อยู่หรือกับผิวหนังเราทำให้ต้านทานต่อพลังของธรรมชาติ”   พูดจบประโยค  ชายแกเงยหน้ามองไปที่สีหน้าและแววตาของเด็กๆในห้องสโลปที่แสนตกใจกับคำเฉลย 

              บรรยากาศเริ่มหดหู่ขึ้นเมื่อนักเรียนต้องยอมรับความจริง ทั้งเรื่องความน่ากลัวของโลกภายนอกและผลสอบที่พวกเขาคาดหวังอยู่ลึกๆแต่กับคำเฉลยนี้เหมือนดับความฝันความหวังของพวกเขาทั้งหมด  อาเรสก้มหน้าลงเพื่อไตร่ตรองสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้   สีหน้าสีตาของเขาเริ่มเกิดความกังวลว่าเขาทำให้เด็กๆที่เขาสอนมากับมือรุ่นนี้หมดหวังในชะตากรรม  ก่อนเขาจะเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง  ด้วยท่าทีที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังและความอบอุ่นจนสามารถสัมผัสได้เหมือนกับว่าความรู้สึกของเขาสามารถเปลี่ยนบรรยากาศภายในห้องได้อย่างอย่างสมบูรณ์แบบ และเมื่อบรรยากาศเริ่มเปลี่ยนแปลงเขาจึงปลอบโยนเด็กของเขาด้วยความจริง

“ความจริงหนะมันโหดร้ายแต่ว่าความจริง…ไม่เคยโกหกใคร ความจริงซื่อสัตย์ ซื่อตรง นี่คือสิ่งที่สังคมจะทำให้พวกนายเข้าใจอะไรมากขึ้น”   

“เอาเถอะ… อย่าไปเครียด ลูกศิษย์ของฉัน ไม่สะทบสะท้านอยู่แล้วหละ”

“เอริว แกตอบได้ดีมากรางวัลของแก คือฉันจะปล่อยแกลง”

“ขอบคุณมากเลยครับอาจารย์แต่…”  ไม่ทันที่เอริวจะพูดเพื่อขอให้อาจารย์ปล่อยเขาลงใกล้ๆพื้นหน่อยจบ  อาจารย์ที่รักของเขาก็ปล่อยเขาลงโดยอย่างรวดเร็ว ณ ระยะสูงจากพื้นมากกว่า 5 เมตร

“อ๊าก! ตู้ม!! ”   ชายผู้มัดเปียสีเงินร้องตะโกนลั่นอย่างตกใจเนื่องด้วยโดยพื้นฐานแล้วเขาเป็นคนกลัวความสูง  และเช่นกันเพื่อนสนิทของเขาเองก็ตกใจมากจึงไม่สามารถช่วยเหลือเขาได้ทัน   

              นักเรียนภายในห้องหัวเราะเยาะเจ้าจอมแก่นเปียเงินอย่างมีความสุข   อย่างไรก็ตามต้องขอบคุณเขาและความฉลาดหลักแหลมของอาเรสที่สามารถเปลี่ยนสถานการณ์ที่แสนหม่นหมองพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ

“โอเค เอาหละทุกคน ฉันขอประกาศปิดคาสเรียนครั้งสุดท้ายแต่เพียงเท่านี้ เจอกันพรุ่งนี้ 8.00 น”

 “ห้ามมาสาย!  เจอกันพรุ่งนี้ลูกศิษย์ของฉัน” 

              ชายแก่ประกาศเลิกการประชุมและย้ำเวลาอีกครั้งด้วยรอยยิ้มอย่างที่นานๆครั้งคนอย่างเขาจะแสดงออกมา  รอยยิ้มแห่งความจริงใจและภาคภูมิ  ในขณะเดียวกันระหว่างที่เพื่อนๆกำลังเดินออกจากห้องประชุม

“เอลิค  อิคตัส  อลิส ช่วยดึงฉันขึ้นไปที…”  เสียงโอดครวญของชายที่พึ่งหล่นลงมาเพราะแรงโน้มถ่วงเรียกร้องขอความช่วยเหลือจากเพื่อนของเขา    เอลิคเมื่อเห็นเพื่อนเจ็บปวดก็อดไม่ได้ที่จะไปพยุงเพื่อนแสนงี่เง่าของเขาขึ้นมา พรางถอนหายใจ

“นายนี่ ชอบก่อเรื่องเป็นประจำตั้งแต่ไหนแต่ไรเลยเนอะ!”   เอลิคบ่นถึงพฤติกรรมด้วยถ่อยคำแสนจะเหนื่อยหน่ายเหมือนกับว่าเอริวทำตัวแบบนี้เป็นพันครั้งแล้วแต่ไม่คิดจะเปลี่ยนนิสัยเลย

“คุณพี่เอริวเป็นยังไงบ้างครับ!!”  แรนเดลวิ่งขึ้นมาไถ่ถามด้วยความเป็นห่วง

“อ้าว !!  แรนเดล! สบายดีมากเลยแค่ลุกขึ้นมาเองไม่ได้เท่านั้นเอง…”  เอริวตอบคำถามด้วยท่าทีประชดประชัน พยายามสื่อให้น้องคนเล็กของกลุ่มมองสถานการณ์ก่อนที่จะถาม

              ทางด้านอิคตัสกับอลิสเองดูเหมือนจะไม่ได้สนใจอาการของเอริวสักเท่าไหร่เหมือนกับว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นทุกๆวัน  สีหน้าของพวกเขากลับดูขะมักเขม้นกับผลเฉลยของเลเจนต์อาเรส  อลิสถือหนังสือเล่มที่ก่อนหน้านี้ลอยอยู่ข้างหน้าเอริวตอนเอริวพยายามพิสูจน์ทฤษฎีของเขา พรางอธิบายอิคตัสที่ตอนนี้จากหน้าขะมักเขม้นเริ่มเปลี่ยนเป็นสีหน้างงงัน

“อ๋อ ฉันเข้าใจแล้ว อลิส!! ขอบคุณสำหรับการสอนอีกครั้งหนึ่งนะ”  อิคตัสชายร่างใหญ่ร้องออกมาด้วยความเข้าใจอย่างถ่องแท้กับผลเฉลย แต่ในไม่กี่วินาทีต่อมาท่าทีของเขากับนิ่งเฉยปนหดหู่อย่างที่สามารถสัมผัสได้จากสีหน้าและการถอนหายใจอย่างแผ่วเบาของเขา  จนคาดเดาได้เลยว่าเขาตอบคำถามข้อนี้ผิด  ทางด้านชายมัดเปียขาวที่ตอนนี้ถูกพยุงขึ้นมาด้วยแรนเดลและเอลิคเองก็สังเกตเห็นเพื่อนของเขาที่ไม่ได้แสดงความสนใจเขาเลย  มัวแต่ถกเถียงกันอยู่ เขาจึงให้เอลิคและแรนเดลช่วยกันพยุงตัวเขาเดินไปที่เพื่อนสองคนที่กำลังคุยกันอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจาก

“นี่พวกแกเนี่ย ไม่สนใจฉันเลยนะ!!” เขาเอ่ยด้วยท่าทางแสนสะบักสบอมทำให้เด็กสาวอลิสและชายผมดำอย่างอิคตัสหันมาให้ความสนใจเพียง 2 วินาที แต่มันไม่เชิงเป็นการให้ความสนใจแต่เป็นเชิงตวาดด้วยสายตาแสนรำคาญเพื่อนแสนงี่เง่าจอมป่วน แล้วพวกเขาทั้งสองกลับสู่บทสนทนาอีกครั้งหนึ่ง

“เห้ออออออออ!”  เอริวถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่ายกับสิ่งที่ตัวเองเจอ

              ณ ตอนนี้คนในห้องประชุมได้ออกจากห้องกันหมดแล้วเหลือเพียงแต่กลุ่มพวกเขา สี่คนและเลเจนต์อาเรสที่กำลังมองมาที่พวกเขาจากหน้าเวทีด้วยรอยยิ้มที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความพึ่งพอใจกับเด็กลุ่มนี้  ชายแก่เปล่งเสียงออกมาเบาๆแต่เสียงที่ออกมานั้นกลับถูกขยายด้วยเทคนิคเวทมนตร์บางอย่าง

“อลิสหลานรักของปู่” 

“ปู่เห็นนะ ” ชายแก่กระพริบตาข้างขวาเหมือนกับว่าตัวเองยังหนุ่มอยู่เพื่อบอกว่าตัวเองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่อลิสทำลงไปก่อนหน้านี้

“ค…ค่ะ” เสียงของหญิงสาวที่ตอบรับคุณปู่ของตนเองสั่นเทา เธอค่อยๆหันไปมองแววตาของปู่อาเรส  ในขณะที่เพื่อนๆที่เหลือก็ยืนเหงื่อตกอยู่ข้างๆอลิส เหมือนกับว่าความลับอะไรบางอย่างได้ถูกเปิดเผยโดยไม่รู้ตัว

“ตาแก่… ไม่ได้แก่อย่างที่คิดเลยแหะ” เอริวพึมพรำกับตัวเอง

“ฉันได้ยินนะเอริว !!”  เขาแผดเสียงให้ดังกว่าเดิมจนก้องไปทั้งห้องประชุมด้วยความหงุดหงิดชั่วขณะต่อเอริวก่อนจะกลับมาทำสีหน้าปกติเป็นชายแก่แสนใจดีอีกครั้ง

“ขอโทษคร๊าบบบบ”  เอริวยิ้มกลับด้วยสีหน้าแสนเหยเกเพราะความความกลัวอาจารย์ใหญ่อาเรส

“ฉันไม่โกรธพวกเจ้าหรอกนะ!” อาเรสพูดต่อเพื่อให้เด็กๆสบายใจ และยังเสริมต่อด้วยเหตุผลที่ดี

“พวกเจ้าสี่คน เหมาะจะปฏิบัติภารกิจร่วมกันจริงๆ”

“อิคตัสแกสังเกตเห็นใช่ไหมว่าชายผ้าคลุมของแกมันลอยขึ้นไปด้วยนิดนึงเพราะแกยืนข้างเอริว”   เลเจนต์อาเรสตั้งคำถาม

“อ๋อ..ครับอาจารย์” ชายร่างใหญ่อิคตัสตอบด้วยรอยยิ้มและใบหน้าเหมือนถูกขู่บังคับให้ยิ้มพรางหลบตาชายแก่

“หลังจากนั้นแรนเดล… ก็เบี่ยงเบนความสนใจของฉันให้พวกนาย”

“อะจึ๊ยย… อาจารย์ผมแค่อยากคุยกับอาจารย์เฉยๆ”  ใบหน้าของเขาเริ่มกลายเป็นแบบเดียวกับอิคตัส

“พวกแกให้หลานสาวฉันและเอลิคที่เป็นระดับหัวกระทิเขียนคำตอบให้ในหนังสือเล่มนั้น ก่อนจะปล่อยให้มันลอยขึ้นไปเพื่อให้เจ้าเอริวตอบ”    ชายแก่เริ่มแสยะยิ้มด้วยความเจ้าเล่ห์พรางกวาดตามองหน้าเด็กๆเหล่านั้นเพื่อจดจำพวกเขาไว้ตลอดกาลก่อนที่จะตบมือแสดงความประทับใจจนทำให้เด็กๆทั้งสี่คนที่กำลังยืนตัวสั่นเพราะกลัวว่าจะโดนปลดให้พ้นสภาพนักเรียนก่อนวันประกาศผลสอบชี้เป็นชี้ตายในวันพรุ่งนี้ ขนาดอลิสที่เป็นหลานแท้ๆของอาเรสเองก็ยังตัวสั่นเทาไปด้วยเนื่องจากเธอรู้จักคุณปู่ของเธอดี ถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากลคุณปู่จะตัดสินขั้นเด็กขาดทันที แต่… ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าคุณปู่กับชื่นชมกลยุทธ์ในครั้งนี้ถึงแม้จะเป็นการโกงก็เถอะ

 “ฉันก็ได้แต่หวังว่าพรุ่งนี้จะเป็นวันของพวกนายนะ และฉันไม่ได้โกรธเคืองอะไรเลยกับสิ่งที่พวกนายแก้สถานการณ์แบบนั้นให้กับเอริว” 

“ฉันกลับดีใจที่ได้เห็นว่าเด็กยุคใหม่ก็คิดเป็น วางแผนเป็น และแน่นอน… รักพวกพ้อง”   เขายังคงตบมือไม่หยุดพรางพูดด้วยความภาคภูมิใจในสิ่งที่เด็กพวกนี้ได้ทำ 

              บรรยากาศในห้องประชุมชั่งแสนอบอุ่นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน อาจารย์ใหญ่ผู้แสนเคร่งขรึมเมื่ออยู่กับเด็กกลุ่มนี้กลับกลายเป็นคุณปู่ผู้แสนใจดี

 “จะกลับหรือยังอลิส ปู่หิวแล้วหละ…” คุณปู่เดินไปที่ปากทางออกก่อนจะถามหลานสาวของเขา

“กลับเลยก็ได้ค่ะ คุณปู่”  หลานสาวตอบคุณปู่อย่างว่องไวพรางวิ่งไปโอบกอดคุณปู่ที่ยืนอยู่หน้าประตู

“แล้วก็…” คุณปู่อาเรสพูดแทรกขึ้นมา พร้อมหันหน้ามาจ้องที่เอริวเด็กจอมแก่น

 “เอริวแกเองก็รับความช่วยเหลือจากหลานฉันบ้างเถอะ อย่าถือตัวเลย ฉันรู้ว่าแกไม่ได้ตอบตามที่เอลิคกับอลิสเขียน”

“แหม่ คุณปู่อาเรสก็รู้ถึงขนาดนั้นเลยเหรอครับ”   เอริวตอบกลับคุณปู่ด้วยรอยยิ้มอย่างเขินอาย

“แกคิดว่าฉันเป็นใคร”  เขาตั้งคำถามยียวนกลับเจ้าเด็กจอมแก่น  

“ฉันหนะสอนแกมาตั้งนานแล้วแถมแกก็เป็นกลุ่มคนสนิทของหลานสาวฉัน จะให้ฉันไม่รู้จักแกได้อย่างไรหละ”

“แต่เป็นคำตอบที่ดีนะ คะแนนของแกไม่แย่หรอกเชื่อฉันเถอ”       ชายแก่กล่าวอธิบายเพิ่มเติมเรื่องสำคัญที่ เขาลืมไปพรางชื่นชมกับคำตอบของเอริวก่อนหน้านี้ ก่อนที่จะเริ่มก้าวเท้าออกไปนอกห้องประชุม

“อลิสพรุ่งนี้เจอกันที่เนินขาวบาวลินที่เดิมเวลาหกโมงเช้านะ”  เอลิคพูดแจงย้ำรายละเอียดให้เพื่อนสาวคนเดียวของกลุ่มฟัง อลิสเองก็หันมารับรู้ข้อมูลดังกล่าวก่อนจะเดินออกไปกับคุณปู่ของเธอ 

“มาเร็วๆหละพี่อลิส..”  

“มันอาจจะเป็นวันสุดท้ายที่เราจะได้อยู่ด้วยกันก็ได้…นะครับ” แรนเดลกล่าวย้ำคำพูดเอลิคอีกครั้ง ก่อนจะเมินหน้าหนี เพื่อมากระซิบกระซาบกับความเศร้าของตนเองคนเดียวโดยไม่อยากให้ใครรู้

“ไม่เป็นไรหรอกแรนเดล…ฉันมั่นใจเสมอนะว่าพวกเราจะได้ไปกันทั้งหมด”     เอลิคโอบไหล่ของแรนเดลก่อนจะพูดปลอบโยน อิคตัสเองที่เห็นแรนเดลเริ่มร้องไห้ก็เดินเข้ามาลูบหัวแรนเดล พรางพูดว่า

“พวกเราจะได้อยู่ด้วยกันเสมอแหละฉันไม่ทิ้งนายหรอก”  เขายิ้มให้แรนเดลซึ่งตอนนี้เงยหน้าขึ้นมาคุยกับชายร่างใหญ่ใจดีประจำกลุ่ม

“ถึงอย่างไรซะ.. แรนเดลนายหนะมีโอกาสอีกตั้ง 2 ปีนะ พวกฉันหนะแก่กว่านาย 2 ปี มันยากที่จะยอมรับแต่มันคือโอกาสสุดท้ายของพวกฉันแล้ว…” ขณะที่คนอื่นกำลังปลอบน้องคนเล็กของกลุ่ม เอริวกลับปลอบเขาด้วยความจริงที่มองในอีกมุมหนึ่ง

“ขอบคุณพวกนายมากเลยนะ!” แรนเดลมองไปรอบๆพรางเช็ดน้ำมูกน้ำตาของตนเองก่อนที่จะยิ้มยอมรับพร้อมน้ำตาด้วยความสดใสอีกครั้งหนึ่ง

“ให้มันได้แบบนี้สิ!” เอริวชายจอมแก่นเดินมายีหัวของแรนเดลจนยุ่งไม่เป็นทรง ก่อนที่ชายทั้งสามคนจะหัวเราะร่วมกันถึงแม้ว่าแววตาของพวกเขานั้นลึกๆแล้วก็กลัวว่าวันพรุ่งนี้จะทำให้พวกเขาต้องแยกจากกันตลอดกาล  เมื่อเสียงหัวเราะสุดท้ายหยุดลงเอลิคจึงเอ่ยขึ้นมาด้วยความที่เขารู้ตัวว่าถ้าไม่พูดอะไรสักอย่างพวกเขาเอาคงจะอยู่ด้วยกันในห้องประชุมนี้จนลืมกลับบ้านอย่างแน่นอน

“เอาหละวันนี้พวกเราแยกย้ายกลับบ้านกันเถอะ ห้องประชุมก็ใกล้จะปิดแล้ว”

“ก็จริงอย่างที่เอลิคพูด เพราะ.. ช่วงนี้ฉันเองก็ได้ยินข่าวลือเรื่องคนหายอยู่บ่อยๆโดยเฉพาะบริเวณแถวๆหน้าเหมืองตอนดึกๆ”  อิคตัสกล่าวเตือนข่าวสยองประจำถิ่นเพื่อนย้ำเตือนเพื่อนๆ

 พวกเขาพยักหน้าเห็นด้วยกับถ่อยคำดังกล่าว ก่อนที่พวกเขาทั้งสามจะเดินออกจากห้องประชุมไปพร้อมๆเพื่อแยกย้ายกันกลับบ้านของแต่ละคนในยามที่ตะวันกำลังลาลับขอบฟ้าเหมือนพยายามจะกล่าวอำลาพวกเขาด้วยเหมือนกัน  พรุ่งนี้แล้วสินะ วันที่พวกเขารอคอยต่างคนก็ต่างคิดว่าหากฉันเป็นคนเดียวที่สอบไม่ติดฉันจะอยู่อย่างไร  ฉันควรจะทำอย่างไรต่อในชีวิต และ… ฉันจะยังมีโอกาสพบพวกนายอีกไหม  ฝันของแต่ละคนอาจจะมีจุดผ่านเดียวกันแต่สักวันพวกเขาก็ต้องแยกทางกันอยู่ดี แต่… พวกเขาก็แค่อยากจะอยู่กับมิตรภาพนี้ให้ได้นานที่สุด   10กว่าปี ที่หัวเราะ ..10กว่าปีที่ ร้องไห้มาด้วยกัน พรุ่งนี้แล้ว และถ้าฉันสอบผ่าน… อีก 11 คนที่เหลือจะเป็นใครในรุ่นกันนะ 11 คนที่เหลือที่ต้องร่วมเดินทางไปด้วยกันเขาจะอยากรับเราเป็นเพื่อนในอย่างที่เราเป็นเราไหมนะ…  

อิคตัสที่ตอนนี้ยืนมองเพื่อนๆกำลังเดินเป็นกลุ่มเพื่อแยกทางกันกลับบ้านอยู่ด้านหลังสุดปัดผมที่ปิดตาของตัวเองมองไปที่ดวงอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้าดวงโตสีแดงอมส้มที่อยู่ข้างหน้าของเขา

“ฉันก็หวังว่าถ้าฉันสอบผ่าน… พวกนายก็จะผ่านไปกับฉันด้วย”

“และที่ฉันขออีกอย่าง…คือ…”

“หนึ่งในสิบเอ็ดคนนั้นควรจะไม่มีเจ้าหมอนั่นอยู่ก็พอแล้วหละ…เจ้าคาร์ลอส…” เขาพึมพรำพรางกัดฟันกำหมัดแน่นด้วยความแค้นอะไรบางอย่างที่ฝังลึกอยู่ข้างในจิตใจ

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา