The Heiland Diary : เขียนความจริงบันทึกความศรัทธา

-

เขียนโดย Ericze

วันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2558 เวลา 17.09 น.

  2 chapter
  0 วิจารณ์
  4,462 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2558 17.25 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) Prologue: นิทานของคุณปู่

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 “Nothing is more noble, nothing is more venerable than fidelity. Faithfulness and truth are the most sacred excellences and endowments of the human mind.” Marcus Tuillius Cicero

              สิ่งมีชีวิตถ้าขึ้นชื่อว่ามีชีวิต สรรพสิ่งเหล่านั้นล้วนอยู่ได้ด้วยความเชื่อและความจริง  ความเชื่อทำให้เรามีสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ ซึ่งก็แบ่งออกเป็นหลายรูปแบบไม่แน่นอน ขึ้นกับความซับซ้อนของคนในยุคสมัยนั้น  เราไม่อาจขาดความเชื่อได้ เราถวิลหาความเชื่อยึดจับมันโดยไม่รู้ตัว   อย่างไรก็ตามความจริงเองก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เช่นกัน แต่ทว่าไม่ใช่ทุกคนจะต้องการมัน   ความจริงไม่แปรรูป ไม่แปรผัน เป็นเหมือนยาขม  เรามีหน้าที่ยอมรับมัน  ซึ่งตรงกันข้ามกับความเชื่อในบางมุมมอง  เราหลีกหนีความจริงโดยที่เราเองไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ  และแน่นอนในบางสถานการณ์ความเชื่อกับความจริงเหมือนจะอยู่คนละขั้วกันอย่างไม่สามารถควบคุมได้   แล้วคุณหละจะเลือกไปที่ขั้วไหนกันเมื่อเวลานั้นมาถึง?

 

 “มันก็จริงอย่างที่นายพูดแหละนะ ทำไมฉันถึงไม่คิดให้ได้เหมือนนายตั้งแต่ตอนนั้น”

เสียงพึมพำเย็นยะเยือกที่ไม่มีความแน่ชัดว่าเป็นเสียงของผู้หญิงหรือผู้ชาย ดังก้องกังวานราวกับระฆังที่ถูกตี และยังคงสะท้อนอยู่ภายในพื้นที่ว่างเปล่าสีดำ พื้นที่ที่ไร้ซึ่งรูปร่าง ให้แต่ความรู้สึกว่าลึกเกินกว่าจะมีสิ่งมีชีวิตชนิดใดอาศัยอยู่ได้   หากเราจ้องลึกลงไป สิ่งที่เห็นมีเพียงความไม่จบไม่สิ้น แต่ทว่าเสียงก็ยังคงก้องกังวานไม่รู้จบ พร้อมกับถ่อยคำมากมายซึ่งปรากฏออกมามากขึ้นมากขึ้นและสะท้อนไปมาทั่วทุกทิศทุกทางจนไม่สามารถจับใจความได้ สิ่งที่เราสามารถมั่นใจได้คือ เสียงนั้นคือ เสียงจากคนๆเดียวกัน ที่ไม่รู้อยู่ตรงส่วนไหนของสถานที่ลึกลับแห่งนี้

ทันใดนั้นเอง ทุกเสียงเหล่านั้นก็หยุดลง ได้ยินแต่เพียงเสียงลมหายใจอย่างคงที่และแน่นิ่ง ความเงียบเริ่มเข้าปกคลุมสถานการณ์เหมือนกับว่าความเงียบนั้นกำลังรอคอยอะไรบางอย่าง ไม่นานนักสิ่งที่ความเงียบรอคอยก็ถูกเปล่งออกมาจากส่วนลึกที่สุดของมิติลึกลับแห่งนี้

“ฉันคิดถึงพวกคุณเสมอ”  

 “และ..ฉันจะทำหน้าที่ของฉันอย่างเต็มที่เพื่อไม่ให้พวกคุณผิดหวัง”

สิ้นสุดประโยค แม้แต่เสียงลมหายใจที่เคยได้ยินอย่างแผ่วเบาเริ่มเรือนรางจางหายไป เหลือเพียงความเงียบงันและความมืดมิดไร้รูปร่างไร้มิติ ราวกับว่าเวลาได้ถูกหยุดลง   แต่ทว่าอย่างไรก็ตามเวลาไม่เคยหยุดเพื่อรอใคร หรือถูกหยุดลง ถึงแม้มันจะทำให้เรารู้สึกแบบนั้นก็ตาม

 

 

 

              ปัจจุบัน ณ เมืองคลินเทล ตอนใต้ของทวีปนาร์ช  เมืองแถบชนบทที่ถูกโอบล้อมโดยความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ  มีทั้งเทือกเขาระดับที่เด็กสามารถขึ้นไปปีนป่ายเล่นได้ จนไปถึงระดับที่ไม่มีสิ่งมีชีวิตชนิดใดสามารถอาศัยอยู่ได้  ยิ่งไปกว่านั้นยังมีแม่น้ำหลากหลายสายมากมายไหลเวียนมาบรรจบกันเกิดเป็นแม่น้ำสายน้อยใหญ่ไหลเวียนต่อไปอย่างที่มันควรเป็น   เมืองซึ่งอยู่ห่างไกลความเจริญแต่ทว่าน่าจะใกล้เคียงกับคำว่าความสงบมากที่สุด   หากเงี่ยหูฟังจะได้ยินเสียงของสายลมโบกโชยพัดเต้นรำไปมาเหมือนว่าพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง   ลมพัดพาใบไม้ใบหญ้าจากสวนและป่าจากทางตะวันตกอย่างเอื่อยเฉื่อยไปทางทิศใต้ที่เป็นจุดที่เรียกได้ว่าสงบสุขที่สุดของเมืองและยังเป็นจุดกำเนิดของแม่น้ำสายที่ใหญ่ที่สุดในทวีปนั่นคือแม่น้ำเดอา ซึ่งไหลมาจากเทือกเขาบาวลินภูเขาที่ถูกขนานนามว่าไร้ซึ่งจุดสูงสุด(เพราะว่าไม่เคยมีใครขึ้นถึง)  เสียงไม่ใกล้ไม่ไกลจากบริเวณเนินเขานั้น ค่อยๆดังขึ้นและดังขึ้นเรื่อยๆ หากเราตามกระแสลมนั้นไป เราจะพบคฤหาสน์ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดเสียงปริศนานั้น

คฤหาสน์สูง หลังไม่ใหญ่ไม่เล็ก  ด้านทิศใต้ของคฤหาสน์นั้นมีศาลาซึ่งถูกสร้างยื่นออกไปเหนือผิวน้ำจากสวนหย่อมที่อยู่ติดกับแม้น้ำเดอา  บริเวณสวนหย่อมมีพืชพันธ์หายากสวยงามสูงต่ำหลากหลายชนิด อย่างไรก็ตามเสียงของสายลม เริ่มถูกกลบลงด้วยเสียงชายแก่จากชั้นสูงสุดของคฤหาสน์หลังนั้น

“… และแล้วมนุษย์ก็ได้รับสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจที่แท้จริง”

ชายชราไว้หนวดไว้เครารูปร่างสันทัด ดูเผินๆเหมือนกองหิมะขาวโพลนเพราะไม่ใช่แค่ผมหนวดและเคราที่ขาวแต่เพราะชุดคลุมสีขาวทั้งตัวของเขาด้วย  จะมีก็แค่นัยต์ตาสีแดงฉานดั่งดวงอาทิตย์ที่ยากที่จะสังเกตเห็นเพราะผมขาวของเค้ายาวปิดใบหน้าและดวงตาเกือบหมด จนทำให้เด็กๆที่นั่งอยู่ข้างหน้าเขาสามคนหยุดคิดไม่ได้ว่าชายชราคนนี้เป็นคุณปู่ของพวกเขาหรือเป็นแค่กองหิมะกองใหญ่ๆกองหนึ่งที่พยายามจะร่ายเวทย์มนตร์ให้พวกเขาหลับอยู่ตลอดเวลา

 “จบสักที..! น่าเบื่อเป็นบ้าเล๊ยยยยย!”

เด็กชายตัวเล็กผมบลอนด์ผู้มีนัยน์ตาเหมือนชายชราผุ้เล่าเรื่องยืนขึ้นพรางถอนหายใจและระบายอารมณ์ด้วยน้ำเสียงแหลมๆที่แสดงออกถึงความเหนื่อยหน่ายออกมา

“ใช่เลยค่ะคุณปู่ ทำไมต้องเล่าอะไรที่อาจารย์สอนให้ฟังด้วย”

เด็กสาวผมสีเงินเป็นประกายสีแดงเจิดจ้าเนื่องด้วยแสงของดวงอาทิตย์ นัยน์ตาสีเขียวดั่งมรกตจ้องไปที่ใบหน้าของชายแก่ที่เธอเรียกว่าปู่และตั้งคำถามด้วยน้ำเสียงออดอ้อนของเธอ ท่าทางของเธอเหมือนว่าเธอจะเป็นเด็กเรียบร้อยกว่าทุกคนในกลุ่ม แต่ก็ยังมีความคิดคัดค้านปู่ของเธอ

“คุณปู่ก็… พ่อแม่ให้พวกเรามาพักนะปู่  วิชาประวัติศาสตร์ผมก็พึ่งสอบไปเองครับคะแนนก็..ไม่ค่อยอยากพูดถึงสักเท่าไหร่ เอวากับริวเซเองก็ไม่ค่อยสนใจประวัติศาสตร์อยู่แล้วด้วยนะครับ คุณปู่”

เด็กชายผมดำมันขลับ นัยน์ตาสีฟ้าแซฟฟรายเป็นประกายที่ดูโรยราให้ความรู้สึกถึงความเมตตาและอ่อนโยน ดูเหมือนจะเป็นพี่ชายของเด็กทั้งสองพูดเสริมถ่อยคำของน้องของเค้าด้วยเหตุผลที่แสนจะฟังขึ้น

 

ชายแก่มีท่าทีงงงันพรางเกาหัวแล้วตอบหลานของเค้าด้วยน้ำเสียงขัดเขิน

“ก็ให้ข้าทำยังไงหละ ประวัติศาสตร์มันก็คือประวัติศาสตร์”

 

ริวเซเด็กชายจอมซนตอบกลับในท่ากอดอกด้วยท่าทีดื้อรั้น

“ฟังมาเป็นร้อยๆรอบแล้วปู่เนี่ย เดี๋ยวก็มีสอบด้วยเรื่องเนี่ย ให้ผมพักบ้างเถอะ”

หลานสาวใช้แววตาบ๊องแบ๊วออดอ้อนของเธอมองมาที่คุณปู่หนวดเฟิ้มอีกครั้ง

“หนูว่าทำไมเราไม่เอาเวลาไปหาอะไรทำสนุกๆกันบ้างค่ะปู่”

“ใช่ครับคุณปู่ผมว่า การเรียนรู้ประวัติศาสตร์สมัยนี้ เนี่ยมันก็มีแต่การท่องจำเพราะฉะนั้นมันก็ยากที่คนสมัยใหม่จะสนใจ เนื่องจากเหตุผลในการกระทำบางประการในบางเหตุการณ์ก็ไม่มี แถมยังน่าเบื่ออีกต่างหาก”

พี่ชายคนโตกล่าวด้วยเหตุผลอีกครั้งพรางลูบไปที่หัวน้องสาวอย่างเอ็นดูจนทำให้น้องสาวสุดขี้อ้อนหันมามองแล้วยิ้มให้พี่ชายตัวเอง

คุณปู่ของหลานทำท่าทางครุ่นคิดเหมือนตกอยู่ในภวังค์ มือที่เหี่ยวของเค้าลูบไปตามไรหนวดเครา คิ้วของเค้าแถบจะชิดติดกันบ่งบอกถึงความจริงจังที่มาจากเหตุผลของหลานๆ   ทันใดนั้นคุณปู่ก็หลุดออกจากโลกแห่งความคิดของเค้า คิ้วที่จากเดิมเกือบจะชิดติดกันยกขึ้น พร้อมตาที่เบิกกว้างขึ้นกว่าเดิมมากนักเหมือนกับว่าได้คิดอะไรบางอย่างออกแล้ว

“นั่นสินะฟิลิป! เธอนี่ยิ่งโตยิ่งมีเหตุผล!!”  

“หลักสูตรมันยังไม่ถูกเปลี่ยนเลยเนอะ แย่จังเลย ฉันลืมเรื่องง่ายๆแบบนี้ไปได้ยังไงกัน”

คุณปู่ชายตามองไปที่หลานชายคนโตแล้วกวาดตาผ่านหลานตัวน้อยสองคนที่เหลืออย่างช้าๆเหมือนกำลังคิดคำนึงอะไรบางอย่างอยู่ พรางพูดไอเดียที่พึ่งคิดออกก่อนหน้านี้

“เอาแบบนี้แล้วกัน”

หลานทั้งสามชะงักงันกับท่าทางของปู่ที่เปลี่ยนไป จากตาที่เหมือนจะหลับได้ทุกเมื่อกลายเป็นดวงตาที่เบิกกว้างจนสามารถสังเกตได้ชัดเจนโดยเฉพาะตาด้านซ้ายเนื่องด้วยเพราะด้านขวามักจะโดนผมขาวโพลนของเค้าปิดอยู่ตลอด

“ฉันจะเล่าเรื่องประวัติศาสตร์ที่พวกเธอจะเข้าใจและสนุกไปกับมันได้ให้ฟัง อยากฟังไหม?”

คุณปู่ถามเด็กๆด้วยท่าทีไม่ง้อเลยสักนิดเหมือนว่ารู้อยู่แล้วว่าถ้าพูดแบบนี้หลานๆของเขาจะอยากฟัง 

“เรื่องแบบนั้นมันมีด้วยเหรอปู่”  ฟิลิปโต้ตอบกลับคุณปู่โดยทันทีทันใดด้วยสีหน้าแสนตกใจพร้อมผายมือสองข้างเค้าออก

“ตาแก่ขี้โม้”  ริวเซสะบัดหน้าหนีปู่ของเขาอย่างประชดประชัน

“หนูอยากเข้าใจเรื่องพวกนั้นมากเลยค่ะปู่ บางครั้งผู้กล้าและ องค์กษัตริย์เองก็ทำตัวไร้เหตุผล  เรื่องของปู่จะตอบโจทย์พวกเราเหรอค่ะ”    เอวาดูเหมือนจะมีเหตุผลมากที่สุดในครั้งนี้ เธอถามด้วยถ้อยคำและสีหน้าอย่างเด็กน้อยแสนบริสุทธิ์ที่อยากรู้คำตอบจากก้นบึ่งของหัวใจเธอ

 “ฉันสัญญาเลยหละ เนื้อหาของฉันเองรอบนี้เนี่ยจะแตกต่าง ไม่เคยมีใครเล่าขานมาก่อนสาบานได้ ”

ชายชราที่ตอนนี้บนใบหน้าของเขาเกิดรอยยิ้มอย่างสังเกตได้ชัด  หันหน้ามามองที่หลานสาวด้วยความภาคภูมิใจ  

“จะบอกว่าโม้ก็ได้นะ แต่มันสนุกมากเลยหละ” เขาหันไปตอบหลานชายตัวแสบพรางหัวเราะ แล้วจึงเสนอข้อแลกเปลี่ยนที่เขาคิดมาตั้งแต่ทีแรก

“แต่ฉันต้องการข้อแลกเปลี่ยน”

รอยยิ้มของเค้ายังคงอยู่เหมือนเดิม เขาเอามือเหี่ยวๆของเค้าจับไปที่หัวของริวเซ

“แลกกับอะไรเหรอปู่ มันล้ำค่าขนาดนั้นเลยเหรอค่ะ”  หลานสาวผู้มีความกระตือรือร้นที่สุดเมื่อเทียบกับทั้งหมด ถามด้วยความสงสัย

ชายชราเดินออกห่างจากหลานๆเพื่อมาที่ริมหน้าต่างด้านทิศตะวันตกของบ้าน  เขามองไปที่ปลายขอบฟ้าในยามที่ตะวันสาดแสงจ้าในช่วงเวลาสุดท้ายของวัน  ใบหน้าที่ยิ้มแย้มสายตาที่มีความสุข เริ่มเปลี่ยนไปอย่างช้าๆ รอยยิ้มเริ่มคลายออก ท่ามกลางความสงบของธรรมชาติ  สายลมโชยพัดผ่านใบหน้าของชายแก่ราวกับว่ามันพยายามจะกระซิบอะไรบางอย่าง ใบหน้าที่แสนใจดีเริ่มหม่นหมองลง ตาที่เบิกกว้างเริ่มค่อยๆปิดลงอย่างเหม่อลอย  ราวกับว่าที่ปลายขอบฟ้าแสนไกลนั้นมีใครกำลังเรียกหาเขา   ไม่นานนักเขาหลุดออกจากภวังค์ที่ทำให้เขาหม่นหมองพรางยิ้มรับมัน อย่างภาคภูมิใจ

“ของล้ำค่าหนะ…มันขึ้นกับการตีค่าของคนๆนั้น บางทีพวกเธอฟังจบเธออาจจะมองว่ามันไม่ได้มีค่าเท่าไหร่ก็ได้นะ”   

เขาหันหน้ามาพร้อมรอยยิ้มที่มีความหมายมากกว่าคำว่าความสุขบนใบหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดเครา

“แต่สำหรับฉันมันเป็นสิ่งที่ล้ำค่าอย่างหาที่สุดไม่ได้เลยหละ”

 

 

ในเวลาแห่งความสงบนั้น สายลมที่พัดมาจากทางภูเขาบาวลินพัดเข้ามาทางหน้าต่างที่คุณปู่กำลังยืนอยู่ และผ่านเด็กๆทั้งสามคน มันวนไปวนมารอบบริเวณ แต่ทว่าน่าแปลกใจที่ถึงจะเป็นสายลมจากภูเขา แทนที่จะทำให้เด็กทั้งสามหนาวสั่นมันกลับทำให้หลานๆสามคนรู้สึกถึงความอบอุ่นไปถึงข้างในดั่งมีเวทย์มนตร์อะไรบางอย่างเสกแฝงอยู่ในสายลมนั้น  สายลมผู้โอมกอดนั้นมีอำนาจขนาดทำให้เด็กน้อยริวเซจอมประชดประชันสงบลง   ริวเซที่เหมือนถูกเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเพราะความอบอุ่นนั้นย่างเท้าเข้าไปหาคุณปู่ที่กำลังตกอยู่ในฮ่วงภวังค์อะไรบางอย่าง   เด็กน้อยริวเซใช้มือเล็กๆของเค้าสกิดคุณปู่ 

“คุณปู่ … พวกเราอยากฟังแล้ว จะให้พวกเราทำอะไรแลกเปลี่ยนเหรอครับ” 

เขาเรียกชายชราที่กำลังเหม่อลอย  แววตาและท่าทางของริวเซเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน

“ฉันต้องการให้พวกเธอทุกคนช่วยกันจดบันทึกประวัติศาสตร์ที่ฉันเล่าให้ฟังอย่างละเอียด และมีเหตุมีผล”

คุณปู่ของหลานๆหันมาตอบกลับด้วยท่าทางที่แสนอบอุ่น พรางลูบหัวริวเซหลานชายจอมซน

“ได้เลยคุณปู่ เรื่องง่ายๆเองครับ”  ฟิลิปตอบกลับด้วยแรงบรรดาลใจที่เต็มเปี่ยม

“หนูมีอุปกรณ์การจดบันทึกและอุปกรณ์วาดเขียนครบเลยพี่ฟิลิป” หลานสาวหยิบอุปกรณ์ออกจากเป้าสะพายใบเล็กของเธอชูขึ้นด้วยท่าทางที่แสนเบิกบานพร้อมที่จะรับหน้าที่ทุกประการที่พี่ของเธอสั่ง

“ผมไม่รู้จะช่วยยังไงดี แต่ผมก็จะช่วยอย่างเต็มที่เลยนะครับ”  เด็กน้อยริวเซกล่าวด้วยท่าทีเขินอายไม่มั่นใจและดื้นรั้นดั่งแต่ก่อน

ท่าทางของคุณปู่ในตอนนี้เองก็ช่างสดใสและมีความสุขอย่างที่เด็กๆไม่เคยเห็นมาก่อน ถึงปู่เองจะไม่ได้ยิ้มออกมามากแต่ความรู้สึกแบบนี้พวกเด็กๆเองก็พึ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก

 “งั้นยังไงก็รออยู่ตรงนี้นะ ฉันจะไปหยิบหนังสือที่ห้องสมุดชั้นหนึ่งก่อน”  เขาตอบกลับหลานทั้งสามพรางทุบกำปั้นประกบกับมือเพื่อที่จะสื่อว่าเขาตัดสินใจแล้วที่จะเล่าให้หลานๆผู้น่ารักฟัง

 

              ณ ห้องสมุดชั้น 1  ของคฤหาสน์ 

              ห้องสมุดที่สุดแสนจะธรรมดา ไม่ได้มีอะไรโดดเด่นมากมาย ประกอบด้วยชั้นวางหน้งสือทำจากไม้โอ๊คเข้ากับพื้นซึ่งเรียงกันสิบแถวแบ่งอย่างเป็นหมวดหมู่เป็นระเบียบเรียบร้อย  ที่ด้านซ้ายเป็นกระจกบานใหญ่ใสแจ๋ว มองทะลุออกไปจะเห็นดวงอาทิตย์ที่กำลังลาลับขอบฟ้า 

ชายแก่หยิบไม้เท้าที่ถูกแขวนอยู่หน้าทางเขาของห้องสมุด   ไม้เท้าโบราณซึ่งบริเวณหัวไม้เท้ามีทับทิมฝังประดับอยู่ช่วงท่อนกลางถูกสลักด้วยลวดลายสวยงามอย่างมีความหมาย   เขาเดินเข้าไปที่ส่วนกลางห้องและมองสังเกตบริเวณโดยรอบว่ามีใครอยู่ในห้องสมุดนี้หรือเปล่าก่อนที่จะปิดม่านเพื่อไม่ให้แสงเข้ามาและไม่ให้ใครสังเกตเห็น   

เมื่อปิดม่านลงเพดานที่เหมือนจะไม่มีอะไรโดดเด่นเลยก่อนหน้านี้ แสดงสัญลักษณ์ดวงดาวจักรราศีและอักษรโบราณตบแต่งมากมายปรากฏขึ้น ดั่งห้องสมุดนี้ ราวกับว่าห้องสมุดถูกย้ายออกไปตั้งข้างนอกคฤหาสน์ โดยทันทีทันใด หากสังเกตที่กลางห้องที่ชายแก่กำลังยืนอยู่นั้นจะมีพื้นที่ขรุขระวงกลม มีลายสลักมากมายอยู่ที่ตรงนั้น  เขาปักไม้เท้าลงไปที่ส่วนกลางของพื้นซึ่งเป็นหลุมพอดีกับไม้เท้าแล้วหมุนมีนทวนเข็มนาฬิกา   ทันใดนั้นเองแสงของทับทิมประดับก็ส่องแสงไปที่ปริซึมรับแสงบนเพดานกลางห้องซึ่งแตกแยกแสงออกมาสิบสี แสงเหล่านั้นกระจายไปคนละทิศละทางรอบห้องอย่างเป็นระบบระเบียบ 

ชายชราเดินออกมาจากส่วนหินวงกลมที่อยู่กลางห้อง โดยทิ้งไม้เท้าของเค้าปักทิ้งไว้  ไม่นานนักพื้นที่วงกลมศิลาก็เริ่มหมุนและเคลื่อนที่ลงไปทำให้เกิดเป็นหลุม  หลุมที่มืดมิดถูกเติมเต็มด้วยแสงสีแดงดั่งแสงประกายจากทับทิมบนหัวไม้เท้าแต่แสงนี้ส่องแสงขึ้นไปบนปริซึมกระจายแสงที่เดิม  ไม่ทันไร แสงสิบสีที่ถูกกระจายออกมาตอนแรกก็ค่อยๆจางหายไป  และในขณะเดียวกันแสงที่เกิดจากประกายทับทิมบนหัวไม้เท้าก็เหมือนถูกขยายให้กว้างขึ้นพอดีกับหน้าตัดของหลุม

 “ครืด….”  เมื่อเงี่ยหูฟังจะพบว่าที่ข้างล่างของหลุมนั้นเหมือนมีก้อนหินอะไรบางอย่างกำลังเคลื่อนที่เสียดสีกันอยู่

แสงทับทิมที่ส่องประกายก็เริ่มเปลี่ยนกลายเป็นแสงสีมรกตซึ่งมาพร้อมกับหนังสือปกหนังสีน้ำตาลเก่าๆ ที่ข้างหน้าเขียนอักษรโบราณไว้ 5 บรรทัด หนังสือลอยขึ้นมาตามแสงที่ส่องออกจากหลุมและหยุดระยะพอดิบพอดีกับระดับสายตาของชายแก่

              ชายชราผู้ทรงความรู้เปิดหนังสือเล่มนั้น เพียงแค่อ่านหนังสือเล่มนั้นไม่กี่บรรทัดใบหน้าของเขาก็เกิดรอยยิ้มอย่างปลื้มปิติโดยไม่ตั้งใจซึ่งมาพร้อมกับน้ำตาที่ก็ไหลออกมาอย่างช้าๆบนใบหน้าแก่ชราของเขา   อย่างไรก็ตามเมื่อเข้าหลุดออกจากความรู้สึกนั้น เขาปาดน้ำตาหยดเล็กๆที่เกาะอยู่ที่ขอบตา และพึมพำกับตัวเอง

“ฉันเองก็ลืมความรู้สึกแบบนี้ไปนานแล้ว.. ไม่สิจะพูดให้ถูกคือฉันละทิ้งมันไปนานแล้วต่างหาก”

เขาเงยหน้ามองขึ้นไปที่เพดานประดับประดาด้วยดวงดาวและท้องฟ้า

“มันคงถึงเวลาแล้วหละเนอะ  พวกนายว่าไหม”  เขายิ้มและพูดกับเพดานราวกับว่าเพดานเป็นสิ่งทีชีวิตพร้อมตบมือสองที

              ไม้เท้าลอยขึ้นอย่างรวดเร็วเข้ามาที่มือขวาของเขาที่ตั้งท่ารอรับไว้อยู่แล้ว  พื้นที่วงกลมค่อยๆยกตัวขึ้นเข้าสู่ระดับเดิม พร้อมกับชายชราที่กำลังเดินออกห่างจากกลางห้องไปที่ประตู

 “ระบบการศึกษาก็เป็นสิ่งหนึ่งที่เราควรจะส่งเสริมให้มันดีขึ้น ฉันหนิลืมไปได้ยังไง”  เขาพูดพรางหัวเราะ

 

ณ ห้องที่ถูกโอบกอดโดนสายลม

“คุณปู่ทำอะไรอยู่เนี่ย ทำไมถึงช้าจังเลย” ริวเซถามด้วยความสงสัยอย่างร้อนอกร้อนใจ

“ไม่รู้สิ  แต่เดี๋ยวเขาก็มาแล้วหละ คุณปู่เป็นคนรักษาคำพูดไม่หนีไปนอนหลับหรอกเหมือนนายหรอกริวเซ”  พี่ชายยิ้มเม้มปากเหมือนพยายามกั้นหัวเราะกับประโยคที่เขาได้ตอบกลับน้องชาย

ระหว่างที่พี่ชายและน้องชายกำลังสนทนากัน  เอวาเด็กหญิงช่างสังเกตก็เดินสำรวจห้องที่เธออยู่ ณ ตอนนี้ เธอมองไปที่รูปวาดผ้าใบที่อยู่หลังห้อง   เธอเดินเข้าไปใกล้ขึ้นใกล้ขึ้นแล้วนำมือเล็กๆของเท็กลูบไปที่ผืนผ้าใบอย่างแผ่วเบา  รูปภาพนั้นเป็นรูปภาพแอ็ปสแต๊ค เธอไม่สามารถเข้าใจได้ แต่อย่างไรก็ดี ที่ขอบรูปภาพมีอักษรโบราณอ่านไม่เข้าใจปรากฏอยู่มากมาย เหมือนพยายามจะอธิบาย

“พี่ฟิลิป  ริวเซ มาดูนี่สิ”  เธอเรียกพวกเขา

ฟิลิปและริวเซเดินไปหาน้องสาวของเธอเพื่อชมความงดงามของภาพบนผืนผ้าใบนั้น

“มันอ่านว่าอะไรหรอพี่ฟิลิป” เอวาชี้ไปที่อักษรโบราณเหล่านั้น

“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกันหนะเอวา”  ฟิลิปตอบพรางจ้องเขม่งไปที่อักษรเหล่านั้น

“บ้านปู่นี่มีแต่ของแปลกๆเนอะ”  เด็กน้อยจอมซนริวเซพูดออกมาด้วยความรู้สึกไม่แปลกใจเท่าไหร่นัก

 “ฉันก็ว่าอย่างนั้นแหละเนอะๆ” คุณปู่ที่ถูกกล่าวขานยืนย่อตัวลงอยู่ข้างหลังพยายามทำตัวเหมือนเป็นเด็กอีกคนหนึ่งเพื่อแกล้งหลานๆที่กำลังนินทาตนเองอยู่

ฟิลิปและเอวาตกใจกับเสียงแก่ๆที่คุ้นเคยจึงหันไปหาแหล่งกำเนิดเสียงข้างหลังเขาด้วยใบหน้าซีดเหมือนโดนจับได้ว่ากำลังทำความผิดแต่ทว่า

“ใช่ๆ เนอะ” ริวเซยังคงตอบอย่างไม่สังเกตว่าเสียงนั้นคือเสียงของชายชราที่เขากำลังนินทาอยู่

              แต่เมื่อพูดจบประโยคเขาก็รู้สึกตัวได้ว่านั้นมันเสียงของคุณปู่ของเขานี่เอง

 “เย้ย ปู่ มาไม่ให้ซุ่มให้เสียงเลย”  เขาตอบด้วยความตกใจกลัวเป็นอย่างมาก

แต่ทว่าถึงปู่จะรู้ว่าพวกหลานๆกำลังนินทาตนเองอยู่ เขากลับยิ้มให้กับหลานๆของเขา

“เอาหละ ฉันอยากจะเล่าให้ฟังใจจะขาดแล้วหละ”  เขาพูดพร้อมกับยืนขึ้นและเดินไปนั่งที่โต๊ะหน้าห้อง

เด็กๆทั้งสามคนมองไปที่หนังสือเก่าๆ ที่อยู่ในมือของชายชราชุดขาวโพรนเปื้อนฝุ่นไปทั้งตัว พวกเขารีบกลับไปนั่งที่นั่งประจำของตนเองที่อยู่หน้าโต๊ะของคุณปู่และเตรียมอุปกรณ์เพื่อทำตามข้อแลกเปลี่ยนนั้น

“นั่นหนะเหรอปู่หนังสือที่ว่า เก่ามากๆเลยหนิครับ” ฟิลิปทักชายชราด้วยความสงสัย

“ปู่หนูขอลองอ่านหน่อยๆๆ” เอวาพูดขอร้องคุณปู่

 “อะเอาไปลองอ่านดูนะ”  ชายแก่ยิ้มอย่างอ่อนโยนแล้วยื่นหนังสือเก่าๆฝุ่นเคอะให้กับหลานสาวของเขา

เด็กทั้งสามคนมุงมาที่โต๊ะเอวาที่อยู่ตรงกลาง เหมือนถูกดึงดูดด้วยฝุ่นทุกอนุภาคที่เกาะอยู่โดยรอบหนังสือ

 “ว้า ไม่เห็นเข้าใจเลยสักตัวอักษรเลย” เอวากล่าวออกมาด้วยความหงุดหงิดใจ

คุณปู่แสยะยิ้มกว้างมากขึ้น เหมือนกับว่าเป็นไปตามแผนของเค้าและตอบกลับหลานๆผู้กำลังสงสัยและหงุดหงิด

 “ก็เพราะอย่างงี้ไงหละฉันถึงต้องอ่านให้พวกเธอฟัง อย่างไรก็ฝากจดบันทึกให้ดีด้วยนะ”

เอวาส่งหนังสือกลับให้คุณปู่ เธอเปิดสมุดที่มีดินสอของเธอขั้นอยู่ พร้อมที่จะวาดทุกอย่างที่คุณปู่เล่าให้ฟัง  ทางด้านฟิลิปเองก็ทำตารางเหตุและผลของเหตุการณ์สำคัญๆที่เกิดขึ้น  ส่วนริวเซเองก็ไม่น้อยหน้า หยิบสมุดปกหนังสีน้ำตาลลักษณะคล้ายๆของคุณปู่ขึ้นมาพร้อมปากกาขนนก พร้อมที่จะจดทุกอย่างลงไป 

“อ๊อส!! เราจะเต็มที่กับมันเลย”

“ผมนี่รู้สึกมีไฟขึ้นมาเลย” 

“หนู ก็พร้อมแล้วเหมือนกัน”

ฟิลิป  ริวเซ และเอวากล่าวออกมา ด้วยความมุ่งมั่นและตื่นเต้นกับงานที่คุณปู่มอบหมายให้ทำ

ชายชราชุดขาวที่ตอนนี้หยิบแว่นตาไม้โอ็คสีน้ำตาลขึ้นมาใส่ เขาเปิดหนังสือเกินหน้าแรกและหน้าสอง และมากไปกว่าเกือบครึ่งเล่ม เพื่อหาอะไรบางอย่าง

“ฉันควรจะเริ่มจากตรงไหนไม่ให้งงดีหละ คนเขียนบางทีก็เขียนไม่ค่อยรู้เรื่องอยู่เหมือนกัน”

เด็กๆไม่เข้าใจสิ่งที่ปู่กำลังทำอยู่เลยสักนิดเดียวเพราะว่าการอ่านหนังสือปกติควรเริ่มจากหน้าแรก

 “ปู่เริ่มจากหน้าแรกเลยสิ ทำไมต้องเปิดไปตั้งเกือบครึ่งเล่นแบบนั้นด้วยคะ” เอวากล่าวถามอย่างไม่เข้าใจ

คุณปู่ที่กำลังขะมักเขม้นก้มหน้าหาบางอย่างในหนังสือเงยหน้าขึ้นตอบเธอ

“เธอนี่เป็นคนเก่งจริงๆสมแล้วหละที่ลูกฉันตั้งชื่อเธอแบบนี้”

“เอาหละนะ เรื่องราวตั้งแต่แรกมันก็เริ่มจาก… อยู่หน้าไหนหละเนี่ย”    เขาก้มหน้าลงเพื่อหาเรื่องราวเริ่มต้น

ไม่นานเกินไปกว่า 3 นาที เขาก็ค้นพบสิ่งที่เด็กๆและเขากำลังรอที่จะอ่านที่จะฟังอยู่

“อ๋อหน้านี้สินะ  ตรงนี้นี่เอง”  เขาถอนหายใจพรางยิ้ม รับสิ่งที่ตนเองค้นพบแล้ว

แต่ทว่าเด็กๆก็คงยังไม่เข้าใจการเปิดหนังสือไปครึ่งเล่มเพื่อเล่าเรื่องราวตั้งแต่แรก

“แต่ปู่ทำไมเรื่องราวแต่แรกมันไม่เริ่มต้นจากหน้าแรกหละครับ”  ฟิลิปถามด้วยความสงสัย

“ถามได้ดีมากเด็กน้อย  เพราะฉันว่ามันไม่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์เท่าไหร่ไงหละ” ชายชราตอบอย่างว่องไว

“พร้อมจะฟังหรือยังหละ ฉันเจอหน้าแล้วเนี่ย”   เขาถามต่อหลังจากจบประโยคพรางมองไปที่เด็กทั้งสามคนที่ตอนนี้ก้มหน้าคอยจดสิ่งที่ตนกำลังจะเล่า

“พร้อมแล้ว ปู่เริ่มเลย”   ทั้งสามคนตอบพร้อมกันด้วยน้ำเสียงเดียวกันอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ชายชรามีท่าทีเปลี่ยนไป เขาดูมุ่งมั่นและมั่นคงมากขึ้น แสดงออกให้เห็นถึงความตั้งใจเป็นอย่างมากของเขา

“เอาหละนะ เรื่องราวมันก็มีอยู่ว่า ….”

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา