อาณุภาพพ่อขุนราม
9.0
เขียนโดย Bush
วันที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2558 เวลา 12.28 น.
3 บท
2 วิจารณ์
5,934 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 29 กันยายน พ.ศ. 2558 13.05 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) แต่ที่ได้ยินมาว่านางอ่อนซ้อน
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความวันธรรมสวณะ กลางป่าหมากพร้าวหมากพลูหมากสุกวางเต็มถาด พ่อขุนรามนั่งนิ่งทำสีหน้าโทมนัส
“ดูเถิด เหล่าป้อขุนแม่เมือง ถ้วนแล่ว จักอู้จักกำ ก็อ้องแต้อ้องว่า เอาวา จักเป๋นได๋ก็เป๋น”
พลบค่ำตะวันทอแสงอ่อน พ่อขุนรามย่ำเท้าเดินก้าวไปในลำนำไพรกว้างป่าใหญ่เมืองฉอด แสงจันทร์ทอแสงอ่อนเรื่อเรืองอาบหน้าเป็นมันเหงื่อนั่งทอดสายตาไปยังฟ้าเบื้องบน “กระต่ายอยู่ตี่แขจันทร์ ดั่งแดข้าน่อยจวนเจียน”
ลานน้ำตกไหลกระเซ็น เสียงนกกระเต่นกระโดดลงน้ำดังก๊อก กระโต้งโฮงเสียงน้ำดังจ๊อกโครม ๆ ไม่ขาดสาย เหล่านางพี่เลี้ยงนั่งกรองมาลัยจัดเตรียมสำรับคับค้อนไว้รอท่า อาจมีค้อนวงงามดังแขช้อนตามองเยี่ยงในบัดนี้
“แม่นข้าเจ้ายินมา” นางอองซ้อนธิดาเจ้าเมืองฉอดนั่งทอดสายตาเบิ่งไปอย่างตกตะลึง นั่นคนแปลกหน้า ดู๋เถิดทำโอหังย่างเท้ามาหามิเกรงกลัว บ่ แม่นคนเมืองฉอดแต้ หาไม่ย่อมจักต้องเกรงใจนาง
“ลักษณาบอบบาง โน่นฟากกระโน้น แว่วยินมาแต่ตี่นี่ โอ๊ยโสตแว่วยินไกลแต้ ๆ เน้อ” พ่อขุนรามแกล้งอู้ยั่วอู้เย้า นางงดงามน่าฮักน่าดูหน้างามหมดจดท่าทางนิ่มนวลกิริยาสมเป็นแม่หญิงที่คู่ควรบารมีแต้เยี่ยงได้ยินมา
“ข้าธิดาเจ้าเมือง นางอ่อนซ้อน จักต้องอาญา รีบเผ่นรีบจรลี เร็ว ๆ เว่ย ๆ เต๊อะ” นางอ่อนซ้อนจิตใจงามยิ่งทำให้พ่อขุนรามหนุ่มชื่นชม หมายมั่นไว้ในใจ “เดี๋ยวอ้ายจักมารับไปอยู่ไปกินเฮือนสุโขไทย อ้ายรามอ้องว่าจักอี้” พลางทำท่าอยากจุมพิตแต่พ่อขุนยับยั้งใจไว้ด้วยฮักใคร่สงสาร หากข้าพลาดพลั้งเสียทีแก่พ่อนาง นางจักเสียผีมิงามน่าเวทนา บ่ ใคร่การควร
เจ้าเมืองฉอดนั่งจ้องเขม็งคิ้วเกร็งเป็นเส้นนูนโปนขึ้นบนหน้าผาก หน้าแดงซ่านด้วยความขึ้งกริ้วโกรธา
“ผีห่า จากเมืองสุโขไทย อันหยังมาท้ามาต่อรองเยี่ยงเสือใหญ่เสือเฒ่าเยี่ยงกู ผ่อหน้ามาดีจักนัก ปะเหมาะดีแต้ จะเอาเมืองมาต่อรอง บ่ เกรง บ่ กลัวดอกเยี่ยงเด็กน่อยปะกำเดียวจักหย่านมแม่ บ่ หย่า บ่ ฮู้ เยี่ยงมึง ขุนราม มึงคำแหงเสียเยี่ยง พ่อขุนรามคำแหง แต้ว่า”
พ่อขุนรามได้แต่ยิ้มใคร่หัวแต่ บ่ งาม บ่ ควร “ข้าน่อยจักจดจักจำอันนามกรเสียไพเราะเพราะพริ้งเยี่ยงนี้ สาธุการเจ้าข้า”
ระหว่างที่พ่อขุนรามเดินข้ามทางลัดเข้าสู่ทวารบาลท้องพระโรงเพื่อออกสู่ป่าลำเนากว้างเดินทางกลับเมืองสุโขไทย นางอ่อนซ้อนเฝ้าติดตามสุ่มดูอยู่มิคลาดสายตา แต่หาได้รอดพ้นสายตาพ่อขุนรามไม่ พ่อขุนรามมองหานางเพี้ยงสบตารู้สึกหวั่นไหวให้คำนึงถึง พลางดำเนินลัดเลาะแมกไม้พุ่มเตี้ยพุ่มพงเข้ามาสัมผัสไหล่บาง เจ้าของร่างห่อไหล่อย่างเก้อเขิน “เมื่อใดอ้ายจะวนมาปะมาพบน่อง”
“อ้าย บ่ อู้การที่อ้าย บ่ แม่นใจ หากวาสนาของเฮามีคงได้พบได้เจอสักวัน”
พ่อขุนรามได้แต่ถอนใจเมื่อถึงวันนั้นไม่ข้าก็พ่อของเจ้าต้องเสียชีวิตหรือไม่ก็นางอาจจัก...เกลียดชังข้า จนมิอาจฮ่วมทาง
เสียงช้างม้าศึกดังฮึกเหิมเสียงกลองศึกลั่นประโคมลั่นป่าลั่นทุ่ง ลานกว้างเต็มพรึบพร้อมเพรียงไปด้วยหมู่นักรบทั้งสองฝั่ง ทัพใหญ่เมืองฉอดปะทะกับทัพใหญ่เมืองสุโขไทย ณ ด่านเมืองตาก ย่านแควน่าน
“พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ นามนี้กระเดื่อง ไผอู้กันนักว่า ในน้ำมีปลาในนามีข้าว ใครจักใคร่ค้าช้างค้า ใครจักใคร่ค้าม้าค้า เจ้าเมือง บ่ เอาจังกอบในไพร่ลู่ทาง เพื่อนจูงวัวไปค้า ขื่ม้าไปขาย...งามแต้พ่อขุนรามคำแหง.....โอรสนางเสือง คำแหง ข้าขุนสามชน เจ้าเมืองฉอดเป็นผู้อ้องบอกต่อชาวเมืองทั่วแคว้นกินแดนกินดิน อ้ายพ่อขุนบางกลางหาว อย่ารีอย่ารอเกรงว่าจักมิทันใจข้า....เอาวา ตะลุมบอน”
ฝุ่นตลบไปทั่วลานกว้างทั้งแปดทิศมองไปทางไหนมืดฟ้ามัวดิน น่ำตาไหลทวยทหารนักรบใช้ผ้าโพกศีรษะปิดจมูกปิดปากกันฝุ่นละอองธุลีเข้าปากเข้าจมูก พลางสองมือสองเท้าฟาดฟันไล่ล่าอริศัตรูด้วยหวังให้พ่ายให้แพ้ให้ยับย่อยกลับเมือง บ่ ฮึก บ่ หาญมาต่อกรอีก
พ่อขุนรามคำแหงไสช้างเข้ากั้นพ่อขุนบางกลางหาวผู้พ่อ ใช้ตะของ้าวจ้วงฟันต้องหัวสะบ้าไหล่ของพ่อขุนสามชน มาลาหลุดกระเด็นร้องโอ๊ก พลางทรุดฮวบสิ้นลมสิ้นอายุขัยในเพลาไม่กี่เท่าไรนัก
“เจ้าขุนรามคำแหงได้ชื่อได้ลาภยศมาแต่ครั้งกระโน้น แม่เฝ้าชำเลืองดูเจ้าเหมือนอมทุกข์อมโศกโทมนัสใจ แต่ว่า นางอ่อนซ้อนมันถูกกะเกณฑ์มาถวายตัวแก่เจ้ารามลูกแม่ เยี่ยงนี้เป็นการควรตามจาฮีตครรลองการศึกด้วยเมืองสุโขไทยได้ชัยชนะแต้”
เสียงนางเสืองเฝ้าปลอบโยนใจ พ่อขุนรามได้แต่ถอนใจยามนี้หัวอกหัวใจใคร่กินแหนงแคลงใจ ด้วยท่าทีนางอ่อนซ้อนเปลี่ยนไปอย่างมิใยดีต่อตนเยี่ยงกาลก่อนเกยพบเกยหันหน้ากัน
“ข้าเจ้า บ่ แม่นยินดี บ่ แม่นเสียใจ จาฮีตครรลองพ่อข้าต๋ายทัพเมืองข้าพ่ายแม่นควรเยี่ยงใดก็เยี่ยงนั้น”
นางอ่อนซ้อนในใจโทมนัสส่วนในใจลึก ๆ ยิ่งช้ำยิ่งเจ็บใจใคร่ตีอกชกหัวตัวเองใคร่ไห้ใคร่ต๋ายตามพ่อตน
“น่อง บ่ มีใคร บ่ มีเฮือนใดอยู่พัก จักติดสอยห้อยตามใครได้ดีเท่าผัว แม่นเป็นผู้ฆ่าพ่อหาก บ่ มีวาสนาใดดีเท่า”
หลักศิลาจารึกสลักอักษรราวปี พ.ศ 1826 จึ่งแล้วเสร็จ
“พ่อกูชื่อศรีอินทราทิตย์ แม่กูชื่อนางเสือง พี่กูชื่อบานเมือง ตูพี่น้องท้องเดียวห้าคน ผู้ชายสาม ผู้หญิงสอง พี่เผือผู้อ้ายตายจากเผือเตียมแต่ยังเล็ก เมื่อกูขึ้นใหญ่ได้สิบเก้าเข้า ขุนสามชนเจ้าเมืองฉอดมาท่เมืองตาก พ่อกูไปรบขุนสามชนหัวซ้าย ขุนสามชนขับมาหัวขวา ขุนสามชนเกลื่อนเข้า ไพร่ฟ้าหน้าใสพ่อกู หนีญญ่ายพ่ายจะแจ กูบ่หนี กูขี่ช้างเบกพล กูขับเข้าก่อนพ่อกู กูต่อช้างด้วยขุนสามชน ตนกูพุ่งช้างขุนสามชนตัวชื่อมาสเมืองแพ้ ขุนสามชนพ่ายหนี พ่อกูจึงขึ้นชื่อกู ชื่อพระรามคำแหง เพื่อกูพุ่งช้างขุนสามชน”
วันพระใหญ่กลางปี ในศกนั้นเอง พ่อขุนรามได้งำเมืองสุโขไทย ท่านนั่งฟังธรรมเทศนาจากครูบาบนพระแท่นหินมนังคศิลามือกระพุ่มไหว้ประณมกรรับศีลรับพระ
นางอ่อนซ้อนค่อยคลานเข่าถอยหลังกลับขึ้นเฮือนหลวงพลางกรวดน้ำอุทิศบุญแก่พ่อขุนสามชนผู้บิดาน้ำตาไหลอาบแก้ม “อนิจจา พ่อข้ามาด่วนลาจากลูก บ้านเมืองถูกควบถูกงำ ข้าเป็นแม่หญิง บ่ มีแฮงต่อกรกอบกู้”
เสียงฝีเท้าดังตุ๊บตับสะดุดหยุดลงสักพักเจ้าของฝีเท้าเหวี่ยงกิ่งไม้ที่เจ้าตัวเก็บมาจากในป่าหมากใส่นางอ่อนซ้อนพลางส่งเสียงอ้องว่า “พี่อ่อนซ้อนข้าเองอำนาจ จำกัน บ่ ได้ก๋า” เสียงพ่อขุนอำนาจน้องชายลำดับต่อจากนางส่งเสียงทักด้วยสีหน้าไม่สู้ดีเหมือนตัดพ้อต่อว่าพี่สาว นางอ่อนซ้อนยิ่งทุกขเวทนาร่ำไห้หนัก ทั้งสองพี่น้องได้แต่กอดคอกันร่ำไห้
การที่พ่อขุนอำนาจวัยเพียงสิบห้าปีหาญกระทำคือการหักหาญให้แตกหักแลบังคับตัวพี่สาวให้กลับเมืองฉอด
“หาไม่ข้าจัก บ่ เอ็นดูพี่อ่อนซ้อน ข้า บ่ อู้ความใดเท็จข้าตระเตรียมทุกสิ่งไว้พรักพร้อม”
นางอ่อนซ้อนจำใจจรจากพ่อขุนรามคำแหงผู้เป็นผัวติดตามน้องชายกลับไปด้วยอาลัย “ชาตินี้น่องมีกรรมข้าจำพรากจากอ้ายราม”
พ่อขุนอำนาจฉลาดหลักแหลม บ่ ใช้กองทัพพุ่งเข้าชน แต่ใช้ความกินดองกับเหล่าบรรดาวงศาคณาญาติ ค่อย ๆ รวบรวมพลพรรค “บ่ แม่นเอาต๋ายแต่มันฆ่าพ่อข้า” นางอ่อนซ้อนได้แต่สวดมนต์ไหว้พระไหว้สาหลวงไปด้วยกินแหนงแคลงใจลึก ๆ “บ่ แม่นศัตรูแต่ฆ่าพ่อเฮา”
พ่อขุนรามคำแหงมิได้วางใจพยายามรวบรวมกำลังไว้รับศึก แต่ในใจล่วงรู้การในข้างหน้า “ทัพสุโขไทยมีศึกปิดล้อมรอบพระนคร ด้วยเมืองลูกหลวงทั้งในแลนอกล้วนกินดองรวมหัวกันล้อมเวียง”
สายลมพัดแผ่วเบา สายน้ำไหลเอื่อยราวกับจะล้างความเคลือบแคลงที่นานเนาว์ราวสักพันปีที่ทับถมอยู่ในใจของนางสาวสกาวเดือน ลักษมันต์ เธอรู้สึกรักใคร่ผูกพันความเป็นขอมเป็นสุโขทัยอย่างแนบแน่นเหมือนรู้สึกรักใคร่แต่เจ็บปวดกับทุกอย่างที่พบที่เห็น แม้เพียงแค่รูปวิวทิวทัศน์ใด ๆ ที่เป็นเมืองสุโขทัย
“ไปทำมันทำไมนะ สะเก็ดดาว พี่ไม่เข้าใจ หมามันมีเจ้าของเค้าเอาเรื่องถึงคุกเชียวดูซิมันตายแล้ว ยุ่งแล้วล่ะทำไมเธอเป็นอย่างนี้” สกาวเดือนมองหน้าแฝดผู้น้องตามธรรมชาติด้วยสีหน้ายุ่งยากทุกทีที่มีปัญหาประมาณนี้ เธอเหมือนมีสองภาคเหมือนพระแม่อุมากับพระแม่กาลีคือเธอและน้องสาวฝาแฝดซึ่งเธอคลอดทีหลังราวสักสามนาทีตามที่แม่และพ่อของเธอเล่าความหลังให้ฟังในวันนั้นเพ็ญเดือนมืดสนิทแรมสิบห้าค่ำราวสองยามหรือเที่ยงคืนกว่าแล้วเล่นเอาทุกคนดีใจกันยกใหญ่ที่มีฝาแฝดหน้าตาน่ารักน่าชังถึงขนาดประคบประหงมกันเต็มที่ แต่ยิ่งนับวันเธอกับน้องสาวยิ่งดูเข้าลักษณะแบ่งภาคกันแบบเดือนหงายกับเดือนแรม
“ทำไมใจร้ายเยี่ยงนี้นะเร้อเชอะ...เจ้นิ่มเอ้ยเอาตัวไม่รอดหรอกจะบอกให้”
ครั้นพอเติบใหญ่เป็นสาวเต็มวัย เดือนทำงานในลักษณะมัคคุเทศก์อยู่ในบริษัททัวร์เล็ก ๆ ย่านบางรัก ส่วนดาวชอบงานถ่ายภาพทุกชนิดเรียกได้ว่าหลงใหลแบบทุ่มเทเต็มตัว
“รูปคุณดูแปลกตาทุกรูปแบบนี้ก็ไม่เคยเห็น เอ...นี่มันรูป อ้อ...เจดีย์พุ่มข้าวบิณฑ์ สุโขทัยเร้อ...ดีนะผมเคยไปตอนประมาณหนีมาที่นี่ใหม่ ๆ แต่ว่าป๋าผมเค้าติดยาก็เลยไปหลบไกล ๆ หน่อย จนเค้าเตลิดแล้วผมเลยติดแหงกอยู่ที่นี่พอดีพ่อของคุณสองคนช่วยเป็นธุระดูแลรับเป็นลูกบุญธรรมเลยกลายเป็นหมาหลงเก็บตกอย่างที่พ่อแกเรียก ฮ่ะ ๆ ๆ”
พี่บิ๊กพี่ชายบุญธรรมมีอายุมากกว่าสองสาวฝาแฝดราวสักแค่สามปีกว่าแต่ในใจรักความเป็นไทยแต่ชอบค้าขายเหมือนคนจีนคือทางแม่ของทั้งสองคนทุกวันนี้ทั้งพ่อและแม่ต่างล้มหายตายจากไปด้วยวัยไม่ถึงห้าสิบแปดปีดีเพราะมีอาการหัวใจวายกะทันหัน แต่ในใจลึก ๆ คนที่รู้สาเหตุคือเดือนและดาว
“นั่นเพราะใจร้ายใจดำอย่างแกนังดาว แกมันบ้าแล้วมานั่งแหกปากร้องไห้ไม่ต้องไปบอกตำรวจ พ่อแม่ตายแล้วแกติดคุกแล้วฉันล่ะ ฮือ ๆ ๆ”
สาเหตุคือยายดาวจอมแสบเอายาฆ่าแมลงที่แม่ใช้สำหรับฆ่าหนอนฆ่าเพลี้ยไปผสมในน้ำเต้าหู้ที่พ่อเพิ่งหิ้วมาหยก ๆ แล้ววางไว้บนโต๊ะพลางเรียกคนโน้นคนนี้กินตามปกติของพ่อ แต่ดาวต้องการเอาไปหลอกให้ไอ้หมาที่ชื่อว่าดิกกี้ที่พี่บิ๊กพี่ชายบุญธรรมของตนเอามาเลี้ยงไว้ด้วยความรักใคร่เป็นเหมือนสิ่งที่แทนความคิดถึงพ่อบังเกิดเกล้าที่เป็นฝรั่งอังกฤษขี้ยา ในบ่ายวันนั้นเองไอ้ดิกกี้จอมจุ้นดันก่อเรื่องนั่นคือ ไปกัดรองเท้าผ้าใบคู่โปรดของเธอเข้าและนิสัยสะเก็ดดาวแค่เรื่องเล็กเรื่องน้อยก็สามารถฆ่าแกงสัตว์เลื้ยงทุกชนิดได้ถึงตายเยี่ยงนี้ แต่กลับกลายเป็นว่าพ่อแม่ของพวกเธอเองกลับมารับเคราะห์เป็นแพะรับบาปเสียนี่ “สงสัยดาวมันเทวางไว้แล้วลืมกินมาแบ่งกับฉันเอาแก้วเธอมาวาง”
ตอนนั้นเดือนและดาวอายุย่างสักยี่สิบสี่ส่วนพี่บิ๊กของพวกเธออายุราวสักยี่สิบเจ็ด ในเวลานี้ผ่านมาราวสักสองสามปีเห็นจะได้แต่ทั้งเดือนและดาวต่างลืมไม่ลง
“ลูกไม่ได้ตั้งใจสิ่งใดที่ลูกได้ทำลงไปลูกขออโหสิกรรม...” เสียงสายลมพัดผ่านทันทีที่น้ำจากแก้วน้ำใสใส่น้ำฝนตามธรรมชาติที่ทั้งดาวและเดือนรวมทั้งบิ๊กได้รดลงกระถางต้นไม้ข้าง ๆ วัดช้างล้อมเดิม เสียงดังกราวสนั่นใบไม้ทั้งหลายหมุนเคว้งไปมาตามกระแสลมแรง ทำให้เดือนรู้สึกน้ำตารื้นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ในยามนี้แม้แต่ดาวเองก็ยังรู้สึกสลดใจวูบน้ำตาเริ่มเอ่อขึ้นมาท่วมกระบอกตา บิ๊กหันมามองพลางลอบยิ้มด้วยมิรู้ความจริงว่าดาวทำอะไรลงไปหนักหนาสาหัสขนาดนั้น
“นี่ถึงขั้นติดคุกติดตารางปิตุฆาตมาตุฆาตกรรมหนักไม่ได้ผุดได้เกิด โธ่เรา”
ดาวนั่งนิ่งไม่ไหวติงเมื่อจู่ ๆ ร่างชายหนุ่มผมเกล้ามวยมุ่นทำหน้ายุ่งยากคล้ายกับพี่เดือนพี่สาวฝาแฝดของตนจ้องเป๋งมองตรงมา
“เอ้ย อะไรว่ะ”
แต่มือดาวไวเท่าความคิดคว้ากล้องตัวเล็กจิ๋วที่คล้องคอรีบกดชัดเตอร์เสียงดังแชก ทำเอาทั้งเดือนและบิ๊กรีบโพสต์ท่าเพราะเข้าใจว่าดาวกดภาพที่ระลึกเอาไว้ดูต่างหน้า
“ถ้าเราเป็นอะไรไปรบกวนทำบุญอุทิศกรวดน้ำแผ่ส่วนบุญให้ด้วยนะเรากลัวไม่ได้ผุดได้เกิด เรากลัวจริง ๆ นะ”
ดาวรีบชิงพูดกลบเกลื่อนเพราะความรู้สึกสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่บอกไม่ถูกแต่พอเอากล้องมารีวิวดูภาพกลับไม่มีรูปผู้ชายคนนั้น
“แปลก หรือว่าเราจะถึงคราวชดใช้หนี้ชีวิตให้กับเจ้ากรรมนายเวรทั้งหมด ก็ดีเหมือนกัน เวรกรรมของเราทำเองกับมือทำไงได้”
ตกบ่ายวันนั้นพี่บิ๊กขับรถกลับด้วยอารมณ์สดชื่นกว่าปกติด้วยซ้ำส่วนเดือนรู้สึกหดหู่อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน และดาวพร่ำพูดถึงชีวิตหลังความตายเวรกรรมที่มีตัวมีตนทำเอาเดือนยิ่งรู้สึกสลดหดหู่
หลายครั้งทนฟังไม่ได้ต้องเอ็ดดาวให้หยุดพูดบ้าง “ดาวแกอย่าพูดอะไรอย่างนี้เรากำลังเดินทางนั่งอยู่ในรถในราทางสายเหนือน่ากลัวน้อยอยู่รึไงแกก็ฉันฟังแล้วยังกลับบอกไม่ถูกพอทีเถอะโบราณเค้าถือนะไม่รู้เร้อดาว”
ดาวกลับหัวร่อคิกคักอย่างสบอารมณ์เต็มที่ “เจ้นิ่มก็น่าเอาน่าไม่มาหลอกมาหลอนเจ้นิ่มหรอกไม่ต้องกลัวยังไงอย่าลืมกันเพราะเราเป็นแฝดเกิดมาพร้อมกันนะ ส่วนพี่บิ๊กก็ถึงไม่ได้ออกมาจากท้องแม่เดียวกันก็ไม่ได้แตกต่างจริงมั้ยพี่บิ๊กคิดมากไม่เอาอย่าคิดเยอะแค่พูดเผื่อ ๆ ไว้เจ้นิ่มก็”
สักพักเหมือนมีร่างสุนัขตัวเขื่องคล้ายเจ้าด่างที่ชื่อว่าไอ้เตยบางเตี้ยที่เป็นหมาของญาติ ๆของทั้งดาวและเดือนไอ้เจ้าด่างตัวนี้มันเคยกินดีทีทีผสมข้าวคลุกปลากระป๋องจนตายชักน้ำลายฟูมปากคาจานข้าวของมันเอง สาเหตุเพียงแค่มันไปกัดกระเป๋าถือใบเล็กที่แม่ซื้อมาจากห้างในกลางกรุงใกล้ที่ทำงานของแม่มาให้เป็นของขวัญวันเกิดครบรอบสิบสองปีของทั้งคู่ แต่เพียงแค่นั้นดาวก็ผูกอาฆาตจนถึงกับเอาตาย
รถเหหัวรถเอนไปมาโดยไม่ทราบสาเหตุทั้ง ๆที่บิ๊กแค่พยายามเบนหัวรถหักหนีไปแค่นั้นเอง สักพักเสียงดังโครมใหญ่ดังสนั่นหวั่นไหวพร้อมกับข้างรถด้านที่ดาวนั่งอยู่กระแทกกับข้างทาง จนที่กั้นขอบทางยุบลงไปกองกับข้างถนนดาวเสียชีวิตเพราะศีรษะกระแทกจนสมองมีเลือดคลั่ง
“ถึงผ่าตัดเค้าก็ไม่ปกติมีชีวิตแบบคนพิการทางสมองแพทย์ก็แล้วแต่ญาติจะตัดสินใจไอ้เรื่องค่าใช้จ่ายก็สูงเอาการทีเดียวครับแล้วหลังจากนั้นก็ต้องมีค่ารักษาต่าง ๆ อยู่เป็นประจำแม้กระทั่งคนดูแลนะครับ”
นางสาวสะเก็ดดาว ลักษมันต์ ถูกนำร่างอันไร้วิญญาณมาเผาที่วัดใกล้บ้านในเขตชานเมืองกรุงเทพฯและแล้วเรื่องราวความจริงทุกสิ่งทุกอย่างที่ดาวได้กระทำลงไปด้วยไม่ตั้งใจก็ถูกเล่าสู่กันฟังในหมู่เพื่อนและญาติของดาวและเดือนทุกคนได้แต่รับฟังด้วยความรู้สึกสำนึกถึงบาปบุญคุณโทษมากขึ้น
“นี่เรียกว่ายังโชคดี แต่ถ้าเกิดว่าสักวันตำรวจจับได้มีหวังยายดาวแฝดน้องแกเอ๋ยได้เสวยพระชาติในคุกในตารางแล้วทั้งพ่อทั้งแม่ เอ้อเว้ยไม่รู้จะพูดยังไงไม่แก่ตายในคุกก็กรรมจริง ๆ เล้ยดูเอามันทำไปได้ยังไงนี่ตายยังเรียกว่าเดชะบุญของดาวมันแล้วล่ะอย่าไปคิดอะไรมากเลยเดือนเอ้ย”
ดาวแต่งตัวประหลาดอย่างไม่เคยแต่งตัวแบบนี้มาก่อน ตัวดาวเองรู้ว่าเหลือแค่วิญญาณเพราะร่างถูกเผามอดไหม้ไปแล้ว แต่นี่มันชีวิตหลังความตายเร้อไง อะไรฟ่ะ
“แม่เมืองเจ้าวันพระนี้กรองมาลัยเตรียมไว้บนตั่ง แต่เอ้อพ่อเมืองรามเจ้าท่านมาด้วยพ่อเมืองอำนาจ” นางในก้มลงหมอบกราบราบกับพื้น ดาวหันมามองสบตากับแม่นางหนึ่งสายตาคมกริบอย่างเอาเรื่อง “เป็งนี้จักเอาโคมใดลอยดีแม่นโคมเมืองฉอดรึไม่” เหล่านางในพากันหัวร่อต่อกระซิกเพราะดูรู้ว่าเกิดศึกริษยาขึ้นแล้วในเมืองฉอด
นางแจ่มจันทร์หนึ่งในสนมของพ่อขุนรามเดิมเคยเป็นน้องสาวร่วมอุทรของพระมเหสีแม่มิ่งเมือง
“แม่นคน บ่ งาม แต่หันแล่วงามกว่านางพระมเหสีเสียอีก แต้ก๋า”
ดาวแกล้งอู้ยั่วเล่นให้นางแจ่มจันทร์ได้ยินอย่างแจ่มชัด เท่านั้นเองนางแจ่มจันทร์หันควับเดินปรี่มาเงื้อมืออย่างหมายจะตบให้หน้าหันดาวรีบคว้าข้อมือหมับแล้วจับตัวนางแจ่มจันทร์โยนหวือออกไปอย่างแรงจนร่างของนางแจ่มจันทร์กระแทกกับพื้นดินร้องเสียงโอดโอย
“เป็งนี้ยังไงก็ต้องเป็นโคมแม่เมืองฉอดอย่างข้าเจ้า นางอ่อนซ้อน ฮ่ะ ๆ ๆ”
พิธีจองเปรียงในวันพระกลางเดือนสิบสองผู้คนคราคร่ำไปทั่วบริเวณพ่อขุนรามนั่งก้มหน้าลงอธิษฐานจิตระลึกถึงคุณแม่พระคงคาพลางใช้มือประคองโคมบุปผาใบย่อมฝีมือแม่มิ่งเมืองเมียใหญ่ผู้มีฝีมือในการประดิดประดอยสิ่งต่าง ๆ อยู่เป็นนิจ ทุกอย่างล้วนแล้วงดงามละเอียดลออด้วยลายเล็กลายน้อยสลักเสลา แม้กระทั่งหมากส้มสุกที่วางเรียงไว้รอท่าพ่อขุนรามคำแหงผู้เป็นผัวด้วยเหตุนี้ท่านจึงผูกสมัครอยู่ด้วยใจรักใคร่แลยกย่องนางเสมอพระแม่มิ่งเมืองมเหสีแม่แก้วเมียขวัญ
แม่นางอ่อนซ้อนชอบไปนั่งชมดาวบนดอยย่อม ๆ ทุกยามค่ำใกล้สางจึ่งผินหน้าลงมาห้อมล้อมด้วยนางในจัดเตรียมสำรับอาหารเพื่อถวายภัตตาเช้าแก่ครูบาเยี่ยงนี้เป็นนิจสินตราบจนสิ้นบุญพ่อขุนรามผู้ผัว ยอดดอยนั้นเล่าขานกันสืบต่อมาว่า ดอยสะเด็ด ภายหลังเรียกเสียงเพี้ยนเป็นว่า ดอยสะเก็ด
เหล่าบรรดาพระแม่เมืองพระสนมแลบรรดานางในทั้งหลายพากันกลับสู่บ้านสู่เฮือนตน บ่ แม่นจาฮีตแต่ย่อมจักต้องทำตามบางแม่นางสนม บ่ เกยเสียนวล จักต้องยอมอยู่ด้วยตนเองจักมีป้อชายใหม่ บ่ ได้แม้จักสาวจักแส้เพี้ยงวัยยังไม่ซาวปี ส่วนแม่นางอ่อนซ้อนหรือดาวนั้น ก็ บ่ ได้ ทุกข์ร้อนเพราะเธอนั้นเล่าอยู่ในสถานภาพของดวงจิตหรือวิญญาณหนึ่งดวงแม้จักกระทำกรรมลงไปด้วยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ว่าจะเกิดผลถึงขนาดคร่าชีวิตของ พ่อแม่บังเกิดเกล้าของตนเองให้เกิดทุกขัง อนัตตา อันเรียกว่ากรรมหนักหนาสาหัสสำหรับมนุษย์ทุกผู้ทุกนามแต่ผลกรรมยังคงวนเวียนอยู่รอบ ๆ ไม่ไปไหนเพียงรอวันชดใช้กรรม ไม่ช้าก็เร็วหลายคนอาจคิดเหมาเอาว่า ครูปุ้ยชอบหลอก .....
แม่นข้อยยินมาลักษณาบอบบาง
ดังอัปสรอ่อนซ้อนเอ๋ยลงมาเอย
แม่คุณเอ๋ยข้อย บ่ เกยพบเจ้า
สูนางลำเพาสูเจ้าสิงามตา
หาใดไป่เหมือนสูเจ้าอ่อนซ้อนนา
แต่ข้อยแลตาลักขณาถูกใจ
ด้วยความซาบซึ้งและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ที่ทรงบำเพ็ญคุณประโยชน์ต่อประเทศอย่างอเนกอนันต์นับแต่อดีตกาล ข้าพระพุทธเจ้าจึงขอตั้งจิตให้สัตยาธิษฐานต่อพระองค์ ว่า....
² ข้าพระพุทธเจ้าจะจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ จะประพฤติปฏิบัติหน้าที่ความรับผิดชอบทั้งหลายด้วยความขยันหมั่นเพียร ซื่อสัตย์สุจริต และเสียสละ ทั้งนี้เพื่อเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมและความมั่นคงของชาติเป็นสำคัญ
² ข้าพระพุทธเจ้าจะตั้งใจศึกษาค้นคว้าเพิ่มพูนความรู้ใส่ตนอยู่ตลอดเวลา เพื่อนำความรู้และประสบการณ์ที่ได้นั้น มาพัฒนาให้เกิดคุณประโยชน์ทั้งแก่ตนเองและแก่สังคมส่วนรวม เพื่อความสุขของประชาชนและความเจริญรุ่งเรืองของประเทศชาติ
² ข้าพระพุทธเจ้าจะธำรงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ของความเป็นไทย ตลอดจนวัฒนธรรมอันดีงามอันมีมาแต่บรรพบุรุษ เพื่อให้นานาชาติและอนุชนรุ่นหลังได้ตระหนักว่าชนชาติไทยนั้นเป็นชนชาติที่มีเอกราช มีอารยะสูงทั้งทางวัตถุและจิตใจมาช้านาน ซึ่งผู้ใดจะดูแคลนมิได้
² ข้าพระพุทธเจ้าจะประพฤติตนให้อยู่ในศีลธรรมอันดี มีเมตตา ยึดมั่นในคุณธรรม ไม่เบียดเบียนทำความเดือดร้อนให้เกิดขึ้นทั้งต่อตนเองและต่อบุคคลอื่น ยอมสละประโยชน์สุขส่วนตนเพื่อประโยชน์สุขส่วนรวม เพื่อความสามัคคีของคนในสังคมและความผาสุกของชาติบ้านเมือง
นี่คือปณิธานของเด็กในรั้วรามคำแหงทุกคนแม้บางคนจะไม่สามารถเรียนจบการศึกษาหรือสำเร็จการศึกษาได้ แต่ทุกคนต่างก็เคยปฏิญาณคำสัตย์นี้มาแล้วทั้งสิ้นแม้จะในพิธีไหว้ครูหรือตั้งจิตอธิษฐานไว้ในใจของแต่ละคนล้วนบ่งบอกถึงความเป็นคนดีมีศีลธรรมและตั้งใจจะเป็นคนดีของบ้านเมืองถึงแม้จะเรียนไม่จบแต่ทุกคนก็คือลูกพ่อขุนที่ตั้งใจจะทำงานหาเลี้ยงชีพด้วยความสุจริตแม้ปริญญาบัตรจะเป็นสิ่งที่คาดหวังไว้และไม่สมดังเจตนาที่คาดหวังไว้แต่แรก แต่ทุกคนก็ยังยืนหยัดที่จะรักษาคำสัตย์มิเคยเปลี่ยนแปลงไม่ว่ากาลเวลาจะผ่านไปเนิ่นนานสักเพียงใดตราบเท่าอสงไขยเวลาเลยทีเดียว
วันที่ ๒๖ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๑๘ นับเป็นวันที่สำคัญยิ่งของชาวรามคำแหง เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินมาทรงประกอบพิธีเปิดพระบรมราชานุสาวรีย์พ่อขุนรามคำแหงมหาราช และประทับ ณ ห้องรามคำแหงอนุสรณ์ถือเป็นความภาคภูมิใจหนึ่งของมหาวิทยาลัยและชาวรามคำแหง เพราะเป็นห้องที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถประทับพักพระราชอิริยาบถ ทรงฉลองพระองค์ชุดครุย และวันเดียวกันในช่วงบ่ายมีพิธีทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายปริญญานิติศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ทางสังคมวิทยา แด่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ จากนั้นพระราชทานปริญญาบัตรแก่บัณฑิตมหาวิทยาลัยรามคำแหงรุ่นแรก ณ บริเวณหน้าสำนักหอสมุดกลางฯ มหาวิทยาลัยรามคำแหงจึงจารึกวันมหามงคลนี้ กำหนดเป็นวันสถาปนามหาวิทยาลัยอย่างเป็นทางการ
พระราชทานพระบรมราโชวาท
หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานปริญญาบัตรแล้ว ได้พระราชทานพระบรมราโชวาทแก่บัณฑิต ความตอนหนึ่งว่า...
...มหาวิทยาลัยรามคำแหงนี้เป็นมหาวิทยาลัยในแบบที่ให้โอกาสแก่ ผู้ปรารถนาวิชาความรู้ ให้เข้ามาศึกษาค้นคว้าวิทยาการต่างๆ ได้อย่างกว้างขวาง และอย่างอิสระจึงอำนวยประโยชน์ได้มาก ในด้านสนับสนุนส่งเสริมบุคคลทั่วไป และโดยเฉพาะผู้ที่ทำงานแล้ว ให้ได้ฟื้นฟูเพิ่มพูนความสามารถของตนทางด้านวิชาการ เพื่อนำไปปรับปรุง การงานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และยกฐานะหน้าที่ให้สูงขึ้น มหาวิทยาลัยมีความมุ่งหมายสำคัญประการหนึ่งที่จะส่งเสริม ผู้ที่เข้ามาศึกษาดังนี้ผู้ที่สำเร็จการศึกษาแล้วทุกคนควรจะได้มองเห็น และควรที่จะได้น้อมนำมาเป็นคติในการดำเนินชีวิต และการงานต่อไป โดยทำความตั้งใจและความเพียรให้มั่นคง ในอันที่จะฝึกฝนและปรับปรุงตนเอง ในการทำงานให้มีคุณภาพและประสิทธิภาพ และสำคัญที่สุดควรจะได้พยายาม หาทางนำความคิดวิทยาการซึ่งอุตส่าห์ฝึกฝนศึกษามาได้ด้วยยากนั้นมาใช้ ให้เป็นประโยชน์แก่ส่วนรวมให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อความ เจริญมั่นคงของชาติบ้านเมืองของเรา...
— พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช
ในบรรดาศิษย์เก่าที่เอ่ยนามในรายนามศิษย์เก่าผู้สร้างชื่อเสีย(ง)ของมหาวิทยาลัยล้วนแล้วแต่ไม่มีตัวตนที่ถูกต้องเลยแม้แต่ตนเดียวทุกสาขาทุกวิชาชีพเกือบทุกคนไม่เคยแม้แต่สวมเครื่องแบบ ไม่เคยแม้แต่ลงทะเบียน และย่อมไม่เคยแม้แต่เข้านั่งสอบชวนให้คิดว่า นี่มันเป็นการดับแสงเทียนของเด็กจน ๆ อย่างครูปุ้ยที่มันริบหรี่อยู่แล้วให้มันดับมืดไปเลยทีเดียว ฟังแล้วเสียวไส้ รู้สึกมั้ยว่าตนเองมิใช่นักศึกษา รู้สึกมั้ยว่าตนเองทำอะไร เป็นใคร ชื่อไร สกุลว่าไร ไม่รู้คือบ้า เป็นบัณฑิตที่มีคุณความดีสมควรจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยได้อย่างไร ไม่รู้ตน ไม่รู้ตัว แล้วอยู่ที่ไหน สัญชาติล่ะ ห้ามตอบเด็ดขาดว่าไทย หรือที่ใดในโลกต้องตอบคำตอบเดียวคือ นรกภูมิส่วนสัญชาติแล้วแต่พวกคุณจะเลือกเอาว่ายังไงดีตามใจแล้วแต่คิดว่าตนเป็นสายพันธุ์ไหนบ้างก็เอาเลยแต่นี่ศิษย์เก่าลูกพ่อขุนและไม่ยอมคนห้ามไปบอกกับใคร ๆ เด็ดขาดว่าเป็นลูกพ่อขุนหรือศิษย์เก่าที่นี่เพราะว่าต้องรู้ตัวกันดีอยู่แล้วว่า “ไม่ใช่” เป็นโรคยายเจ้ณีเร้อเปล่าว่ะ อย่าให้ได้ยิน อย่าให้รู้ กูตัดลิ้น....สมุนกูเยอะ เพชฌฆาตกูเพียบรอบตัวมึง....
“พ่อกูชื่อศรีอินทราทิตย์ แม่กูชื่อนางเสือง พี่กูชื่อบานเมือง ตูพี่น้องท้องเดียวห้าคน ผู้ชายสาม ผู้หญิงสอง พี่เผือผู้อ้ายตายจากเผือเตียมแต่ยังเล็ก เมื่อกูขึ้นใหญ่ได้สิบเก้าเข้า ขุนสามชนเจ้าเมืองฉอดมาที่เมืองตาก พ่อกูไปรบขุนสามชนหัวซ้าย ขุนสามชนขับมาหัวขวา ขุนสามชนเกลื่อนเข้า ไพร่ฟ้าหน้าใสพ่อกู หนีญญ่ายพ่ายจะแจ กูบ่หนี กูขี่ช้างเบกพล กูขับเข้าก่อนพ่อกู กูต่อช้างด้วยขุนสามชน ตนกูพุ่งช้างขุนสามชนตัวชื่อมาสเมืองแพ้ ขุนสามชนพ่ายหนี พ่อกูจึงขึ้นชื่อกู ชื่อพระรามคำแหง เพื่อกูพุ่งช้างขุนสามชน”
ในปี พ.ศ ๒๕๑๘ มีเหตุการณ์ระเบิดที่เพนนินซูลาร์ทาวน์ในกรุงพนมเปญมีศิษย์เก่าอย่างพวกนี้ไปโดนระเบิดตายนอนกองรวมกับเค้าด้วยนับสิบ “ท่านไปฉลองก่อนรับพระราชทานปริญญาบัตรทั้งกลุ่มท่านแต่กลับต้องมาตายสังเวยระเบิดเสียหมดทุกท่านเลยครับไม่เหลือเลยแขนขาก็ขาดกระเด็นพวกเครื่องประดับทองหยองของมีค่าที่พวกท่านนำติดตัวกันไปล้วนสูญหายไปหมดสิ้นไม่เหลือเหมือนกัน....” ระวังนะระเบิดอารมณ์คนไทยมาก ๆ ไม่เห็นเร้อไงคูณ ระเบิดที่พระพรหม สามจังหวัดอ่ะ ระวังนะจะเอาไปได้หรือเปล่าในรุ่นแรกบัณฑิตแบบพวกคูณนะเป็นไง...นั่นล่ะรุ่นแรกเล้ยนะแต่แบบนี้นี่นะสมควรอย่างแรง...ตายซ้าด้วยแรงระเบิดแห่งกรรมของตนของมีค่าที่นำมาประดับกายล้วนมาจากไหนอ่ะแล้วเป็นไงอ่ะสภาพศพเอย ทองเท่าหนวดกุ้งพอไปนอนสะดุ้งระเบิดตายเป็นไงล่ะ...เอาไปได้มั้ยอ่ะคูณเอ๋ย...ระวังบอกแล้วนะทุกคนเป็นพยานให้เจ้ด้วยนะโว้ย...บอกแล้วบอกอีก...บอกอีกบอกแล้ว....ระวัง....หกปีที่แล้วป้าแม่ครัวที่โรงพยาบาลรามคำแหงคนทำอาหารยังจำต้องเวียนไปให้การในชั้นศาลในฐานะจำเลยต้องคดีข้อหาร้ายแรงว่าพยายามฆ่าคนดังระดับพวกคุณอ่ะ....แกทำที่ไหนอ่ะ...
“ป้าทำอาหารจริงคนช่วยก็เยอะแต่ป้าเป็นหัวหน้าแล้วไม่รู้ยังไงว่ะแม่ง...เอายาพิษใส่ให้เค้ากินหามส่งโรงพยาบาลรามคำแหง กูเลยโดนซ้าหาว่าพยายามฆ่าพวกแก...แล้วแต่ละคนคนดังระดับนั้น...โธ่ ๆ”
ห้ามสำนักพิมพ์ทุกแห่งลอกเลียนแบบ
อนุญาตเฉพาะผู้ว่างงานทุกประเภท
“ดูเถิด เหล่าป้อขุนแม่เมือง ถ้วนแล่ว จักอู้จักกำ ก็อ้องแต้อ้องว่า เอาวา จักเป๋นได๋ก็เป๋น”
พลบค่ำตะวันทอแสงอ่อน พ่อขุนรามย่ำเท้าเดินก้าวไปในลำนำไพรกว้างป่าใหญ่เมืองฉอด แสงจันทร์ทอแสงอ่อนเรื่อเรืองอาบหน้าเป็นมันเหงื่อนั่งทอดสายตาไปยังฟ้าเบื้องบน “กระต่ายอยู่ตี่แขจันทร์ ดั่งแดข้าน่อยจวนเจียน”
ลานน้ำตกไหลกระเซ็น เสียงนกกระเต่นกระโดดลงน้ำดังก๊อก กระโต้งโฮงเสียงน้ำดังจ๊อกโครม ๆ ไม่ขาดสาย เหล่านางพี่เลี้ยงนั่งกรองมาลัยจัดเตรียมสำรับคับค้อนไว้รอท่า อาจมีค้อนวงงามดังแขช้อนตามองเยี่ยงในบัดนี้
“แม่นข้าเจ้ายินมา” นางอองซ้อนธิดาเจ้าเมืองฉอดนั่งทอดสายตาเบิ่งไปอย่างตกตะลึง นั่นคนแปลกหน้า ดู๋เถิดทำโอหังย่างเท้ามาหามิเกรงกลัว บ่ แม่นคนเมืองฉอดแต้ หาไม่ย่อมจักต้องเกรงใจนาง
“ลักษณาบอบบาง โน่นฟากกระโน้น แว่วยินมาแต่ตี่นี่ โอ๊ยโสตแว่วยินไกลแต้ ๆ เน้อ” พ่อขุนรามแกล้งอู้ยั่วอู้เย้า นางงดงามน่าฮักน่าดูหน้างามหมดจดท่าทางนิ่มนวลกิริยาสมเป็นแม่หญิงที่คู่ควรบารมีแต้เยี่ยงได้ยินมา
“ข้าธิดาเจ้าเมือง นางอ่อนซ้อน จักต้องอาญา รีบเผ่นรีบจรลี เร็ว ๆ เว่ย ๆ เต๊อะ” นางอ่อนซ้อนจิตใจงามยิ่งทำให้พ่อขุนรามหนุ่มชื่นชม หมายมั่นไว้ในใจ “เดี๋ยวอ้ายจักมารับไปอยู่ไปกินเฮือนสุโขไทย อ้ายรามอ้องว่าจักอี้” พลางทำท่าอยากจุมพิตแต่พ่อขุนยับยั้งใจไว้ด้วยฮักใคร่สงสาร หากข้าพลาดพลั้งเสียทีแก่พ่อนาง นางจักเสียผีมิงามน่าเวทนา บ่ ใคร่การควร
เจ้าเมืองฉอดนั่งจ้องเขม็งคิ้วเกร็งเป็นเส้นนูนโปนขึ้นบนหน้าผาก หน้าแดงซ่านด้วยความขึ้งกริ้วโกรธา
“ผีห่า จากเมืองสุโขไทย อันหยังมาท้ามาต่อรองเยี่ยงเสือใหญ่เสือเฒ่าเยี่ยงกู ผ่อหน้ามาดีจักนัก ปะเหมาะดีแต้ จะเอาเมืองมาต่อรอง บ่ เกรง บ่ กลัวดอกเยี่ยงเด็กน่อยปะกำเดียวจักหย่านมแม่ บ่ หย่า บ่ ฮู้ เยี่ยงมึง ขุนราม มึงคำแหงเสียเยี่ยง พ่อขุนรามคำแหง แต้ว่า”
พ่อขุนรามได้แต่ยิ้มใคร่หัวแต่ บ่ งาม บ่ ควร “ข้าน่อยจักจดจักจำอันนามกรเสียไพเราะเพราะพริ้งเยี่ยงนี้ สาธุการเจ้าข้า”
ระหว่างที่พ่อขุนรามเดินข้ามทางลัดเข้าสู่ทวารบาลท้องพระโรงเพื่อออกสู่ป่าลำเนากว้างเดินทางกลับเมืองสุโขไทย นางอ่อนซ้อนเฝ้าติดตามสุ่มดูอยู่มิคลาดสายตา แต่หาได้รอดพ้นสายตาพ่อขุนรามไม่ พ่อขุนรามมองหานางเพี้ยงสบตารู้สึกหวั่นไหวให้คำนึงถึง พลางดำเนินลัดเลาะแมกไม้พุ่มเตี้ยพุ่มพงเข้ามาสัมผัสไหล่บาง เจ้าของร่างห่อไหล่อย่างเก้อเขิน “เมื่อใดอ้ายจะวนมาปะมาพบน่อง”
“อ้าย บ่ อู้การที่อ้าย บ่ แม่นใจ หากวาสนาของเฮามีคงได้พบได้เจอสักวัน”
พ่อขุนรามได้แต่ถอนใจเมื่อถึงวันนั้นไม่ข้าก็พ่อของเจ้าต้องเสียชีวิตหรือไม่ก็นางอาจจัก...เกลียดชังข้า จนมิอาจฮ่วมทาง
เสียงช้างม้าศึกดังฮึกเหิมเสียงกลองศึกลั่นประโคมลั่นป่าลั่นทุ่ง ลานกว้างเต็มพรึบพร้อมเพรียงไปด้วยหมู่นักรบทั้งสองฝั่ง ทัพใหญ่เมืองฉอดปะทะกับทัพใหญ่เมืองสุโขไทย ณ ด่านเมืองตาก ย่านแควน่าน
“พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ นามนี้กระเดื่อง ไผอู้กันนักว่า ในน้ำมีปลาในนามีข้าว ใครจักใคร่ค้าช้างค้า ใครจักใคร่ค้าม้าค้า เจ้าเมือง บ่ เอาจังกอบในไพร่ลู่ทาง เพื่อนจูงวัวไปค้า ขื่ม้าไปขาย...งามแต้พ่อขุนรามคำแหง.....โอรสนางเสือง คำแหง ข้าขุนสามชน เจ้าเมืองฉอดเป็นผู้อ้องบอกต่อชาวเมืองทั่วแคว้นกินแดนกินดิน อ้ายพ่อขุนบางกลางหาว อย่ารีอย่ารอเกรงว่าจักมิทันใจข้า....เอาวา ตะลุมบอน”
ฝุ่นตลบไปทั่วลานกว้างทั้งแปดทิศมองไปทางไหนมืดฟ้ามัวดิน น่ำตาไหลทวยทหารนักรบใช้ผ้าโพกศีรษะปิดจมูกปิดปากกันฝุ่นละอองธุลีเข้าปากเข้าจมูก พลางสองมือสองเท้าฟาดฟันไล่ล่าอริศัตรูด้วยหวังให้พ่ายให้แพ้ให้ยับย่อยกลับเมือง บ่ ฮึก บ่ หาญมาต่อกรอีก
พ่อขุนรามคำแหงไสช้างเข้ากั้นพ่อขุนบางกลางหาวผู้พ่อ ใช้ตะของ้าวจ้วงฟันต้องหัวสะบ้าไหล่ของพ่อขุนสามชน มาลาหลุดกระเด็นร้องโอ๊ก พลางทรุดฮวบสิ้นลมสิ้นอายุขัยในเพลาไม่กี่เท่าไรนัก
“เจ้าขุนรามคำแหงได้ชื่อได้ลาภยศมาแต่ครั้งกระโน้น แม่เฝ้าชำเลืองดูเจ้าเหมือนอมทุกข์อมโศกโทมนัสใจ แต่ว่า นางอ่อนซ้อนมันถูกกะเกณฑ์มาถวายตัวแก่เจ้ารามลูกแม่ เยี่ยงนี้เป็นการควรตามจาฮีตครรลองการศึกด้วยเมืองสุโขไทยได้ชัยชนะแต้”
เสียงนางเสืองเฝ้าปลอบโยนใจ พ่อขุนรามได้แต่ถอนใจยามนี้หัวอกหัวใจใคร่กินแหนงแคลงใจ ด้วยท่าทีนางอ่อนซ้อนเปลี่ยนไปอย่างมิใยดีต่อตนเยี่ยงกาลก่อนเกยพบเกยหันหน้ากัน
“ข้าเจ้า บ่ แม่นยินดี บ่ แม่นเสียใจ จาฮีตครรลองพ่อข้าต๋ายทัพเมืองข้าพ่ายแม่นควรเยี่ยงใดก็เยี่ยงนั้น”
นางอ่อนซ้อนในใจโทมนัสส่วนในใจลึก ๆ ยิ่งช้ำยิ่งเจ็บใจใคร่ตีอกชกหัวตัวเองใคร่ไห้ใคร่ต๋ายตามพ่อตน
“น่อง บ่ มีใคร บ่ มีเฮือนใดอยู่พัก จักติดสอยห้อยตามใครได้ดีเท่าผัว แม่นเป็นผู้ฆ่าพ่อหาก บ่ มีวาสนาใดดีเท่า”
หลักศิลาจารึกสลักอักษรราวปี พ.ศ 1826 จึ่งแล้วเสร็จ
“พ่อกูชื่อศรีอินทราทิตย์ แม่กูชื่อนางเสือง พี่กูชื่อบานเมือง ตูพี่น้องท้องเดียวห้าคน ผู้ชายสาม ผู้หญิงสอง พี่เผือผู้อ้ายตายจากเผือเตียมแต่ยังเล็ก เมื่อกูขึ้นใหญ่ได้สิบเก้าเข้า ขุนสามชนเจ้าเมืองฉอดมาท่เมืองตาก พ่อกูไปรบขุนสามชนหัวซ้าย ขุนสามชนขับมาหัวขวา ขุนสามชนเกลื่อนเข้า ไพร่ฟ้าหน้าใสพ่อกู หนีญญ่ายพ่ายจะแจ กูบ่หนี กูขี่ช้างเบกพล กูขับเข้าก่อนพ่อกู กูต่อช้างด้วยขุนสามชน ตนกูพุ่งช้างขุนสามชนตัวชื่อมาสเมืองแพ้ ขุนสามชนพ่ายหนี พ่อกูจึงขึ้นชื่อกู ชื่อพระรามคำแหง เพื่อกูพุ่งช้างขุนสามชน”
วันพระใหญ่กลางปี ในศกนั้นเอง พ่อขุนรามได้งำเมืองสุโขไทย ท่านนั่งฟังธรรมเทศนาจากครูบาบนพระแท่นหินมนังคศิลามือกระพุ่มไหว้ประณมกรรับศีลรับพระ
นางอ่อนซ้อนค่อยคลานเข่าถอยหลังกลับขึ้นเฮือนหลวงพลางกรวดน้ำอุทิศบุญแก่พ่อขุนสามชนผู้บิดาน้ำตาไหลอาบแก้ม “อนิจจา พ่อข้ามาด่วนลาจากลูก บ้านเมืองถูกควบถูกงำ ข้าเป็นแม่หญิง บ่ มีแฮงต่อกรกอบกู้”
เสียงฝีเท้าดังตุ๊บตับสะดุดหยุดลงสักพักเจ้าของฝีเท้าเหวี่ยงกิ่งไม้ที่เจ้าตัวเก็บมาจากในป่าหมากใส่นางอ่อนซ้อนพลางส่งเสียงอ้องว่า “พี่อ่อนซ้อนข้าเองอำนาจ จำกัน บ่ ได้ก๋า” เสียงพ่อขุนอำนาจน้องชายลำดับต่อจากนางส่งเสียงทักด้วยสีหน้าไม่สู้ดีเหมือนตัดพ้อต่อว่าพี่สาว นางอ่อนซ้อนยิ่งทุกขเวทนาร่ำไห้หนัก ทั้งสองพี่น้องได้แต่กอดคอกันร่ำไห้
การที่พ่อขุนอำนาจวัยเพียงสิบห้าปีหาญกระทำคือการหักหาญให้แตกหักแลบังคับตัวพี่สาวให้กลับเมืองฉอด
“หาไม่ข้าจัก บ่ เอ็นดูพี่อ่อนซ้อน ข้า บ่ อู้ความใดเท็จข้าตระเตรียมทุกสิ่งไว้พรักพร้อม”
นางอ่อนซ้อนจำใจจรจากพ่อขุนรามคำแหงผู้เป็นผัวติดตามน้องชายกลับไปด้วยอาลัย “ชาตินี้น่องมีกรรมข้าจำพรากจากอ้ายราม”
พ่อขุนอำนาจฉลาดหลักแหลม บ่ ใช้กองทัพพุ่งเข้าชน แต่ใช้ความกินดองกับเหล่าบรรดาวงศาคณาญาติ ค่อย ๆ รวบรวมพลพรรค “บ่ แม่นเอาต๋ายแต่มันฆ่าพ่อข้า” นางอ่อนซ้อนได้แต่สวดมนต์ไหว้พระไหว้สาหลวงไปด้วยกินแหนงแคลงใจลึก ๆ “บ่ แม่นศัตรูแต่ฆ่าพ่อเฮา”
พ่อขุนรามคำแหงมิได้วางใจพยายามรวบรวมกำลังไว้รับศึก แต่ในใจล่วงรู้การในข้างหน้า “ทัพสุโขไทยมีศึกปิดล้อมรอบพระนคร ด้วยเมืองลูกหลวงทั้งในแลนอกล้วนกินดองรวมหัวกันล้อมเวียง”
สายลมพัดแผ่วเบา สายน้ำไหลเอื่อยราวกับจะล้างความเคลือบแคลงที่นานเนาว์ราวสักพันปีที่ทับถมอยู่ในใจของนางสาวสกาวเดือน ลักษมันต์ เธอรู้สึกรักใคร่ผูกพันความเป็นขอมเป็นสุโขทัยอย่างแนบแน่นเหมือนรู้สึกรักใคร่แต่เจ็บปวดกับทุกอย่างที่พบที่เห็น แม้เพียงแค่รูปวิวทิวทัศน์ใด ๆ ที่เป็นเมืองสุโขทัย
“ไปทำมันทำไมนะ สะเก็ดดาว พี่ไม่เข้าใจ หมามันมีเจ้าของเค้าเอาเรื่องถึงคุกเชียวดูซิมันตายแล้ว ยุ่งแล้วล่ะทำไมเธอเป็นอย่างนี้” สกาวเดือนมองหน้าแฝดผู้น้องตามธรรมชาติด้วยสีหน้ายุ่งยากทุกทีที่มีปัญหาประมาณนี้ เธอเหมือนมีสองภาคเหมือนพระแม่อุมากับพระแม่กาลีคือเธอและน้องสาวฝาแฝดซึ่งเธอคลอดทีหลังราวสักสามนาทีตามที่แม่และพ่อของเธอเล่าความหลังให้ฟังในวันนั้นเพ็ญเดือนมืดสนิทแรมสิบห้าค่ำราวสองยามหรือเที่ยงคืนกว่าแล้วเล่นเอาทุกคนดีใจกันยกใหญ่ที่มีฝาแฝดหน้าตาน่ารักน่าชังถึงขนาดประคบประหงมกันเต็มที่ แต่ยิ่งนับวันเธอกับน้องสาวยิ่งดูเข้าลักษณะแบ่งภาคกันแบบเดือนหงายกับเดือนแรม
“ทำไมใจร้ายเยี่ยงนี้นะเร้อเชอะ...เจ้นิ่มเอ้ยเอาตัวไม่รอดหรอกจะบอกให้”
ครั้นพอเติบใหญ่เป็นสาวเต็มวัย เดือนทำงานในลักษณะมัคคุเทศก์อยู่ในบริษัททัวร์เล็ก ๆ ย่านบางรัก ส่วนดาวชอบงานถ่ายภาพทุกชนิดเรียกได้ว่าหลงใหลแบบทุ่มเทเต็มตัว
“รูปคุณดูแปลกตาทุกรูปแบบนี้ก็ไม่เคยเห็น เอ...นี่มันรูป อ้อ...เจดีย์พุ่มข้าวบิณฑ์ สุโขทัยเร้อ...ดีนะผมเคยไปตอนประมาณหนีมาที่นี่ใหม่ ๆ แต่ว่าป๋าผมเค้าติดยาก็เลยไปหลบไกล ๆ หน่อย จนเค้าเตลิดแล้วผมเลยติดแหงกอยู่ที่นี่พอดีพ่อของคุณสองคนช่วยเป็นธุระดูแลรับเป็นลูกบุญธรรมเลยกลายเป็นหมาหลงเก็บตกอย่างที่พ่อแกเรียก ฮ่ะ ๆ ๆ”
พี่บิ๊กพี่ชายบุญธรรมมีอายุมากกว่าสองสาวฝาแฝดราวสักแค่สามปีกว่าแต่ในใจรักความเป็นไทยแต่ชอบค้าขายเหมือนคนจีนคือทางแม่ของทั้งสองคนทุกวันนี้ทั้งพ่อและแม่ต่างล้มหายตายจากไปด้วยวัยไม่ถึงห้าสิบแปดปีดีเพราะมีอาการหัวใจวายกะทันหัน แต่ในใจลึก ๆ คนที่รู้สาเหตุคือเดือนและดาว
“นั่นเพราะใจร้ายใจดำอย่างแกนังดาว แกมันบ้าแล้วมานั่งแหกปากร้องไห้ไม่ต้องไปบอกตำรวจ พ่อแม่ตายแล้วแกติดคุกแล้วฉันล่ะ ฮือ ๆ ๆ”
สาเหตุคือยายดาวจอมแสบเอายาฆ่าแมลงที่แม่ใช้สำหรับฆ่าหนอนฆ่าเพลี้ยไปผสมในน้ำเต้าหู้ที่พ่อเพิ่งหิ้วมาหยก ๆ แล้ววางไว้บนโต๊ะพลางเรียกคนโน้นคนนี้กินตามปกติของพ่อ แต่ดาวต้องการเอาไปหลอกให้ไอ้หมาที่ชื่อว่าดิกกี้ที่พี่บิ๊กพี่ชายบุญธรรมของตนเอามาเลี้ยงไว้ด้วยความรักใคร่เป็นเหมือนสิ่งที่แทนความคิดถึงพ่อบังเกิดเกล้าที่เป็นฝรั่งอังกฤษขี้ยา ในบ่ายวันนั้นเองไอ้ดิกกี้จอมจุ้นดันก่อเรื่องนั่นคือ ไปกัดรองเท้าผ้าใบคู่โปรดของเธอเข้าและนิสัยสะเก็ดดาวแค่เรื่องเล็กเรื่องน้อยก็สามารถฆ่าแกงสัตว์เลื้ยงทุกชนิดได้ถึงตายเยี่ยงนี้ แต่กลับกลายเป็นว่าพ่อแม่ของพวกเธอเองกลับมารับเคราะห์เป็นแพะรับบาปเสียนี่ “สงสัยดาวมันเทวางไว้แล้วลืมกินมาแบ่งกับฉันเอาแก้วเธอมาวาง”
ตอนนั้นเดือนและดาวอายุย่างสักยี่สิบสี่ส่วนพี่บิ๊กของพวกเธออายุราวสักยี่สิบเจ็ด ในเวลานี้ผ่านมาราวสักสองสามปีเห็นจะได้แต่ทั้งเดือนและดาวต่างลืมไม่ลง
“ลูกไม่ได้ตั้งใจสิ่งใดที่ลูกได้ทำลงไปลูกขออโหสิกรรม...” เสียงสายลมพัดผ่านทันทีที่น้ำจากแก้วน้ำใสใส่น้ำฝนตามธรรมชาติที่ทั้งดาวและเดือนรวมทั้งบิ๊กได้รดลงกระถางต้นไม้ข้าง ๆ วัดช้างล้อมเดิม เสียงดังกราวสนั่นใบไม้ทั้งหลายหมุนเคว้งไปมาตามกระแสลมแรง ทำให้เดือนรู้สึกน้ำตารื้นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ในยามนี้แม้แต่ดาวเองก็ยังรู้สึกสลดใจวูบน้ำตาเริ่มเอ่อขึ้นมาท่วมกระบอกตา บิ๊กหันมามองพลางลอบยิ้มด้วยมิรู้ความจริงว่าดาวทำอะไรลงไปหนักหนาสาหัสขนาดนั้น
“นี่ถึงขั้นติดคุกติดตารางปิตุฆาตมาตุฆาตกรรมหนักไม่ได้ผุดได้เกิด โธ่เรา”
ดาวนั่งนิ่งไม่ไหวติงเมื่อจู่ ๆ ร่างชายหนุ่มผมเกล้ามวยมุ่นทำหน้ายุ่งยากคล้ายกับพี่เดือนพี่สาวฝาแฝดของตนจ้องเป๋งมองตรงมา
“เอ้ย อะไรว่ะ”
แต่มือดาวไวเท่าความคิดคว้ากล้องตัวเล็กจิ๋วที่คล้องคอรีบกดชัดเตอร์เสียงดังแชก ทำเอาทั้งเดือนและบิ๊กรีบโพสต์ท่าเพราะเข้าใจว่าดาวกดภาพที่ระลึกเอาไว้ดูต่างหน้า
“ถ้าเราเป็นอะไรไปรบกวนทำบุญอุทิศกรวดน้ำแผ่ส่วนบุญให้ด้วยนะเรากลัวไม่ได้ผุดได้เกิด เรากลัวจริง ๆ นะ”
ดาวรีบชิงพูดกลบเกลื่อนเพราะความรู้สึกสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่บอกไม่ถูกแต่พอเอากล้องมารีวิวดูภาพกลับไม่มีรูปผู้ชายคนนั้น
“แปลก หรือว่าเราจะถึงคราวชดใช้หนี้ชีวิตให้กับเจ้ากรรมนายเวรทั้งหมด ก็ดีเหมือนกัน เวรกรรมของเราทำเองกับมือทำไงได้”
ตกบ่ายวันนั้นพี่บิ๊กขับรถกลับด้วยอารมณ์สดชื่นกว่าปกติด้วยซ้ำส่วนเดือนรู้สึกหดหู่อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน และดาวพร่ำพูดถึงชีวิตหลังความตายเวรกรรมที่มีตัวมีตนทำเอาเดือนยิ่งรู้สึกสลดหดหู่
หลายครั้งทนฟังไม่ได้ต้องเอ็ดดาวให้หยุดพูดบ้าง “ดาวแกอย่าพูดอะไรอย่างนี้เรากำลังเดินทางนั่งอยู่ในรถในราทางสายเหนือน่ากลัวน้อยอยู่รึไงแกก็ฉันฟังแล้วยังกลับบอกไม่ถูกพอทีเถอะโบราณเค้าถือนะไม่รู้เร้อดาว”
ดาวกลับหัวร่อคิกคักอย่างสบอารมณ์เต็มที่ “เจ้นิ่มก็น่าเอาน่าไม่มาหลอกมาหลอนเจ้นิ่มหรอกไม่ต้องกลัวยังไงอย่าลืมกันเพราะเราเป็นแฝดเกิดมาพร้อมกันนะ ส่วนพี่บิ๊กก็ถึงไม่ได้ออกมาจากท้องแม่เดียวกันก็ไม่ได้แตกต่างจริงมั้ยพี่บิ๊กคิดมากไม่เอาอย่าคิดเยอะแค่พูดเผื่อ ๆ ไว้เจ้นิ่มก็”
สักพักเหมือนมีร่างสุนัขตัวเขื่องคล้ายเจ้าด่างที่ชื่อว่าไอ้เตยบางเตี้ยที่เป็นหมาของญาติ ๆของทั้งดาวและเดือนไอ้เจ้าด่างตัวนี้มันเคยกินดีทีทีผสมข้าวคลุกปลากระป๋องจนตายชักน้ำลายฟูมปากคาจานข้าวของมันเอง สาเหตุเพียงแค่มันไปกัดกระเป๋าถือใบเล็กที่แม่ซื้อมาจากห้างในกลางกรุงใกล้ที่ทำงานของแม่มาให้เป็นของขวัญวันเกิดครบรอบสิบสองปีของทั้งคู่ แต่เพียงแค่นั้นดาวก็ผูกอาฆาตจนถึงกับเอาตาย
รถเหหัวรถเอนไปมาโดยไม่ทราบสาเหตุทั้ง ๆที่บิ๊กแค่พยายามเบนหัวรถหักหนีไปแค่นั้นเอง สักพักเสียงดังโครมใหญ่ดังสนั่นหวั่นไหวพร้อมกับข้างรถด้านที่ดาวนั่งอยู่กระแทกกับข้างทาง จนที่กั้นขอบทางยุบลงไปกองกับข้างถนนดาวเสียชีวิตเพราะศีรษะกระแทกจนสมองมีเลือดคลั่ง
“ถึงผ่าตัดเค้าก็ไม่ปกติมีชีวิตแบบคนพิการทางสมองแพทย์ก็แล้วแต่ญาติจะตัดสินใจไอ้เรื่องค่าใช้จ่ายก็สูงเอาการทีเดียวครับแล้วหลังจากนั้นก็ต้องมีค่ารักษาต่าง ๆ อยู่เป็นประจำแม้กระทั่งคนดูแลนะครับ”
นางสาวสะเก็ดดาว ลักษมันต์ ถูกนำร่างอันไร้วิญญาณมาเผาที่วัดใกล้บ้านในเขตชานเมืองกรุงเทพฯและแล้วเรื่องราวความจริงทุกสิ่งทุกอย่างที่ดาวได้กระทำลงไปด้วยไม่ตั้งใจก็ถูกเล่าสู่กันฟังในหมู่เพื่อนและญาติของดาวและเดือนทุกคนได้แต่รับฟังด้วยความรู้สึกสำนึกถึงบาปบุญคุณโทษมากขึ้น
“นี่เรียกว่ายังโชคดี แต่ถ้าเกิดว่าสักวันตำรวจจับได้มีหวังยายดาวแฝดน้องแกเอ๋ยได้เสวยพระชาติในคุกในตารางแล้วทั้งพ่อทั้งแม่ เอ้อเว้ยไม่รู้จะพูดยังไงไม่แก่ตายในคุกก็กรรมจริง ๆ เล้ยดูเอามันทำไปได้ยังไงนี่ตายยังเรียกว่าเดชะบุญของดาวมันแล้วล่ะอย่าไปคิดอะไรมากเลยเดือนเอ้ย”
ดาวแต่งตัวประหลาดอย่างไม่เคยแต่งตัวแบบนี้มาก่อน ตัวดาวเองรู้ว่าเหลือแค่วิญญาณเพราะร่างถูกเผามอดไหม้ไปแล้ว แต่นี่มันชีวิตหลังความตายเร้อไง อะไรฟ่ะ
“แม่เมืองเจ้าวันพระนี้กรองมาลัยเตรียมไว้บนตั่ง แต่เอ้อพ่อเมืองรามเจ้าท่านมาด้วยพ่อเมืองอำนาจ” นางในก้มลงหมอบกราบราบกับพื้น ดาวหันมามองสบตากับแม่นางหนึ่งสายตาคมกริบอย่างเอาเรื่อง “เป็งนี้จักเอาโคมใดลอยดีแม่นโคมเมืองฉอดรึไม่” เหล่านางในพากันหัวร่อต่อกระซิกเพราะดูรู้ว่าเกิดศึกริษยาขึ้นแล้วในเมืองฉอด
นางแจ่มจันทร์หนึ่งในสนมของพ่อขุนรามเดิมเคยเป็นน้องสาวร่วมอุทรของพระมเหสีแม่มิ่งเมือง
“แม่นคน บ่ งาม แต่หันแล่วงามกว่านางพระมเหสีเสียอีก แต้ก๋า”
ดาวแกล้งอู้ยั่วเล่นให้นางแจ่มจันทร์ได้ยินอย่างแจ่มชัด เท่านั้นเองนางแจ่มจันทร์หันควับเดินปรี่มาเงื้อมืออย่างหมายจะตบให้หน้าหันดาวรีบคว้าข้อมือหมับแล้วจับตัวนางแจ่มจันทร์โยนหวือออกไปอย่างแรงจนร่างของนางแจ่มจันทร์กระแทกกับพื้นดินร้องเสียงโอดโอย
“เป็งนี้ยังไงก็ต้องเป็นโคมแม่เมืองฉอดอย่างข้าเจ้า นางอ่อนซ้อน ฮ่ะ ๆ ๆ”
พิธีจองเปรียงในวันพระกลางเดือนสิบสองผู้คนคราคร่ำไปทั่วบริเวณพ่อขุนรามนั่งก้มหน้าลงอธิษฐานจิตระลึกถึงคุณแม่พระคงคาพลางใช้มือประคองโคมบุปผาใบย่อมฝีมือแม่มิ่งเมืองเมียใหญ่ผู้มีฝีมือในการประดิดประดอยสิ่งต่าง ๆ อยู่เป็นนิจ ทุกอย่างล้วนแล้วงดงามละเอียดลออด้วยลายเล็กลายน้อยสลักเสลา แม้กระทั่งหมากส้มสุกที่วางเรียงไว้รอท่าพ่อขุนรามคำแหงผู้เป็นผัวด้วยเหตุนี้ท่านจึงผูกสมัครอยู่ด้วยใจรักใคร่แลยกย่องนางเสมอพระแม่มิ่งเมืองมเหสีแม่แก้วเมียขวัญ
แม่นางอ่อนซ้อนชอบไปนั่งชมดาวบนดอยย่อม ๆ ทุกยามค่ำใกล้สางจึ่งผินหน้าลงมาห้อมล้อมด้วยนางในจัดเตรียมสำรับอาหารเพื่อถวายภัตตาเช้าแก่ครูบาเยี่ยงนี้เป็นนิจสินตราบจนสิ้นบุญพ่อขุนรามผู้ผัว ยอดดอยนั้นเล่าขานกันสืบต่อมาว่า ดอยสะเด็ด ภายหลังเรียกเสียงเพี้ยนเป็นว่า ดอยสะเก็ด
เหล่าบรรดาพระแม่เมืองพระสนมแลบรรดานางในทั้งหลายพากันกลับสู่บ้านสู่เฮือนตน บ่ แม่นจาฮีตแต่ย่อมจักต้องทำตามบางแม่นางสนม บ่ เกยเสียนวล จักต้องยอมอยู่ด้วยตนเองจักมีป้อชายใหม่ บ่ ได้แม้จักสาวจักแส้เพี้ยงวัยยังไม่ซาวปี ส่วนแม่นางอ่อนซ้อนหรือดาวนั้น ก็ บ่ ได้ ทุกข์ร้อนเพราะเธอนั้นเล่าอยู่ในสถานภาพของดวงจิตหรือวิญญาณหนึ่งดวงแม้จักกระทำกรรมลงไปด้วยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ว่าจะเกิดผลถึงขนาดคร่าชีวิตของ พ่อแม่บังเกิดเกล้าของตนเองให้เกิดทุกขัง อนัตตา อันเรียกว่ากรรมหนักหนาสาหัสสำหรับมนุษย์ทุกผู้ทุกนามแต่ผลกรรมยังคงวนเวียนอยู่รอบ ๆ ไม่ไปไหนเพียงรอวันชดใช้กรรม ไม่ช้าก็เร็วหลายคนอาจคิดเหมาเอาว่า ครูปุ้ยชอบหลอก .....
แม่นข้อยยินมาลักษณาบอบบาง
ดังอัปสรอ่อนซ้อนเอ๋ยลงมาเอย
แม่คุณเอ๋ยข้อย บ่ เกยพบเจ้า
สูนางลำเพาสูเจ้าสิงามตา
หาใดไป่เหมือนสูเจ้าอ่อนซ้อนนา
แต่ข้อยแลตาลักขณาถูกใจ
ด้วยความซาบซึ้งและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ที่ทรงบำเพ็ญคุณประโยชน์ต่อประเทศอย่างอเนกอนันต์นับแต่อดีตกาล ข้าพระพุทธเจ้าจึงขอตั้งจิตให้สัตยาธิษฐานต่อพระองค์ ว่า....
² ข้าพระพุทธเจ้าจะจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ จะประพฤติปฏิบัติหน้าที่ความรับผิดชอบทั้งหลายด้วยความขยันหมั่นเพียร ซื่อสัตย์สุจริต และเสียสละ ทั้งนี้เพื่อเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมและความมั่นคงของชาติเป็นสำคัญ
² ข้าพระพุทธเจ้าจะตั้งใจศึกษาค้นคว้าเพิ่มพูนความรู้ใส่ตนอยู่ตลอดเวลา เพื่อนำความรู้และประสบการณ์ที่ได้นั้น มาพัฒนาให้เกิดคุณประโยชน์ทั้งแก่ตนเองและแก่สังคมส่วนรวม เพื่อความสุขของประชาชนและความเจริญรุ่งเรืองของประเทศชาติ
² ข้าพระพุทธเจ้าจะธำรงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ของความเป็นไทย ตลอดจนวัฒนธรรมอันดีงามอันมีมาแต่บรรพบุรุษ เพื่อให้นานาชาติและอนุชนรุ่นหลังได้ตระหนักว่าชนชาติไทยนั้นเป็นชนชาติที่มีเอกราช มีอารยะสูงทั้งทางวัตถุและจิตใจมาช้านาน ซึ่งผู้ใดจะดูแคลนมิได้
² ข้าพระพุทธเจ้าจะประพฤติตนให้อยู่ในศีลธรรมอันดี มีเมตตา ยึดมั่นในคุณธรรม ไม่เบียดเบียนทำความเดือดร้อนให้เกิดขึ้นทั้งต่อตนเองและต่อบุคคลอื่น ยอมสละประโยชน์สุขส่วนตนเพื่อประโยชน์สุขส่วนรวม เพื่อความสามัคคีของคนในสังคมและความผาสุกของชาติบ้านเมือง
นี่คือปณิธานของเด็กในรั้วรามคำแหงทุกคนแม้บางคนจะไม่สามารถเรียนจบการศึกษาหรือสำเร็จการศึกษาได้ แต่ทุกคนต่างก็เคยปฏิญาณคำสัตย์นี้มาแล้วทั้งสิ้นแม้จะในพิธีไหว้ครูหรือตั้งจิตอธิษฐานไว้ในใจของแต่ละคนล้วนบ่งบอกถึงความเป็นคนดีมีศีลธรรมและตั้งใจจะเป็นคนดีของบ้านเมืองถึงแม้จะเรียนไม่จบแต่ทุกคนก็คือลูกพ่อขุนที่ตั้งใจจะทำงานหาเลี้ยงชีพด้วยความสุจริตแม้ปริญญาบัตรจะเป็นสิ่งที่คาดหวังไว้และไม่สมดังเจตนาที่คาดหวังไว้แต่แรก แต่ทุกคนก็ยังยืนหยัดที่จะรักษาคำสัตย์มิเคยเปลี่ยนแปลงไม่ว่ากาลเวลาจะผ่านไปเนิ่นนานสักเพียงใดตราบเท่าอสงไขยเวลาเลยทีเดียว
วันที่ ๒๖ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๑๘ นับเป็นวันที่สำคัญยิ่งของชาวรามคำแหง เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินมาทรงประกอบพิธีเปิดพระบรมราชานุสาวรีย์พ่อขุนรามคำแหงมหาราช และประทับ ณ ห้องรามคำแหงอนุสรณ์ถือเป็นความภาคภูมิใจหนึ่งของมหาวิทยาลัยและชาวรามคำแหง เพราะเป็นห้องที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถประทับพักพระราชอิริยาบถ ทรงฉลองพระองค์ชุดครุย และวันเดียวกันในช่วงบ่ายมีพิธีทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายปริญญานิติศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ทางสังคมวิทยา แด่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ จากนั้นพระราชทานปริญญาบัตรแก่บัณฑิตมหาวิทยาลัยรามคำแหงรุ่นแรก ณ บริเวณหน้าสำนักหอสมุดกลางฯ มหาวิทยาลัยรามคำแหงจึงจารึกวันมหามงคลนี้ กำหนดเป็นวันสถาปนามหาวิทยาลัยอย่างเป็นทางการ
พระราชทานพระบรมราโชวาท
หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานปริญญาบัตรแล้ว ได้พระราชทานพระบรมราโชวาทแก่บัณฑิต ความตอนหนึ่งว่า...
...มหาวิทยาลัยรามคำแหงนี้เป็นมหาวิทยาลัยในแบบที่ให้โอกาสแก่ ผู้ปรารถนาวิชาความรู้ ให้เข้ามาศึกษาค้นคว้าวิทยาการต่างๆ ได้อย่างกว้างขวาง และอย่างอิสระจึงอำนวยประโยชน์ได้มาก ในด้านสนับสนุนส่งเสริมบุคคลทั่วไป และโดยเฉพาะผู้ที่ทำงานแล้ว ให้ได้ฟื้นฟูเพิ่มพูนความสามารถของตนทางด้านวิชาการ เพื่อนำไปปรับปรุง การงานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และยกฐานะหน้าที่ให้สูงขึ้น มหาวิทยาลัยมีความมุ่งหมายสำคัญประการหนึ่งที่จะส่งเสริม ผู้ที่เข้ามาศึกษาดังนี้ผู้ที่สำเร็จการศึกษาแล้วทุกคนควรจะได้มองเห็น และควรที่จะได้น้อมนำมาเป็นคติในการดำเนินชีวิต และการงานต่อไป โดยทำความตั้งใจและความเพียรให้มั่นคง ในอันที่จะฝึกฝนและปรับปรุงตนเอง ในการทำงานให้มีคุณภาพและประสิทธิภาพ และสำคัญที่สุดควรจะได้พยายาม หาทางนำความคิดวิทยาการซึ่งอุตส่าห์ฝึกฝนศึกษามาได้ด้วยยากนั้นมาใช้ ให้เป็นประโยชน์แก่ส่วนรวมให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อความ เจริญมั่นคงของชาติบ้านเมืองของเรา...
— พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช
ในบรรดาศิษย์เก่าที่เอ่ยนามในรายนามศิษย์เก่าผู้สร้างชื่อเสีย(ง)ของมหาวิทยาลัยล้วนแล้วแต่ไม่มีตัวตนที่ถูกต้องเลยแม้แต่ตนเดียวทุกสาขาทุกวิชาชีพเกือบทุกคนไม่เคยแม้แต่สวมเครื่องแบบ ไม่เคยแม้แต่ลงทะเบียน และย่อมไม่เคยแม้แต่เข้านั่งสอบชวนให้คิดว่า นี่มันเป็นการดับแสงเทียนของเด็กจน ๆ อย่างครูปุ้ยที่มันริบหรี่อยู่แล้วให้มันดับมืดไปเลยทีเดียว ฟังแล้วเสียวไส้ รู้สึกมั้ยว่าตนเองมิใช่นักศึกษา รู้สึกมั้ยว่าตนเองทำอะไร เป็นใคร ชื่อไร สกุลว่าไร ไม่รู้คือบ้า เป็นบัณฑิตที่มีคุณความดีสมควรจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยได้อย่างไร ไม่รู้ตน ไม่รู้ตัว แล้วอยู่ที่ไหน สัญชาติล่ะ ห้ามตอบเด็ดขาดว่าไทย หรือที่ใดในโลกต้องตอบคำตอบเดียวคือ นรกภูมิส่วนสัญชาติแล้วแต่พวกคุณจะเลือกเอาว่ายังไงดีตามใจแล้วแต่คิดว่าตนเป็นสายพันธุ์ไหนบ้างก็เอาเลยแต่นี่ศิษย์เก่าลูกพ่อขุนและไม่ยอมคนห้ามไปบอกกับใคร ๆ เด็ดขาดว่าเป็นลูกพ่อขุนหรือศิษย์เก่าที่นี่เพราะว่าต้องรู้ตัวกันดีอยู่แล้วว่า “ไม่ใช่” เป็นโรคยายเจ้ณีเร้อเปล่าว่ะ อย่าให้ได้ยิน อย่าให้รู้ กูตัดลิ้น....สมุนกูเยอะ เพชฌฆาตกูเพียบรอบตัวมึง....
“พ่อกูชื่อศรีอินทราทิตย์ แม่กูชื่อนางเสือง พี่กูชื่อบานเมือง ตูพี่น้องท้องเดียวห้าคน ผู้ชายสาม ผู้หญิงสอง พี่เผือผู้อ้ายตายจากเผือเตียมแต่ยังเล็ก เมื่อกูขึ้นใหญ่ได้สิบเก้าเข้า ขุนสามชนเจ้าเมืองฉอดมาที่เมืองตาก พ่อกูไปรบขุนสามชนหัวซ้าย ขุนสามชนขับมาหัวขวา ขุนสามชนเกลื่อนเข้า ไพร่ฟ้าหน้าใสพ่อกู หนีญญ่ายพ่ายจะแจ กูบ่หนี กูขี่ช้างเบกพล กูขับเข้าก่อนพ่อกู กูต่อช้างด้วยขุนสามชน ตนกูพุ่งช้างขุนสามชนตัวชื่อมาสเมืองแพ้ ขุนสามชนพ่ายหนี พ่อกูจึงขึ้นชื่อกู ชื่อพระรามคำแหง เพื่อกูพุ่งช้างขุนสามชน”
ในปี พ.ศ ๒๕๑๘ มีเหตุการณ์ระเบิดที่เพนนินซูลาร์ทาวน์ในกรุงพนมเปญมีศิษย์เก่าอย่างพวกนี้ไปโดนระเบิดตายนอนกองรวมกับเค้าด้วยนับสิบ “ท่านไปฉลองก่อนรับพระราชทานปริญญาบัตรทั้งกลุ่มท่านแต่กลับต้องมาตายสังเวยระเบิดเสียหมดทุกท่านเลยครับไม่เหลือเลยแขนขาก็ขาดกระเด็นพวกเครื่องประดับทองหยองของมีค่าที่พวกท่านนำติดตัวกันไปล้วนสูญหายไปหมดสิ้นไม่เหลือเหมือนกัน....” ระวังนะระเบิดอารมณ์คนไทยมาก ๆ ไม่เห็นเร้อไงคูณ ระเบิดที่พระพรหม สามจังหวัดอ่ะ ระวังนะจะเอาไปได้หรือเปล่าในรุ่นแรกบัณฑิตแบบพวกคูณนะเป็นไง...นั่นล่ะรุ่นแรกเล้ยนะแต่แบบนี้นี่นะสมควรอย่างแรง...ตายซ้าด้วยแรงระเบิดแห่งกรรมของตนของมีค่าที่นำมาประดับกายล้วนมาจากไหนอ่ะแล้วเป็นไงอ่ะสภาพศพเอย ทองเท่าหนวดกุ้งพอไปนอนสะดุ้งระเบิดตายเป็นไงล่ะ...เอาไปได้มั้ยอ่ะคูณเอ๋ย...ระวังบอกแล้วนะทุกคนเป็นพยานให้เจ้ด้วยนะโว้ย...บอกแล้วบอกอีก...บอกอีกบอกแล้ว....ระวัง....หกปีที่แล้วป้าแม่ครัวที่โรงพยาบาลรามคำแหงคนทำอาหารยังจำต้องเวียนไปให้การในชั้นศาลในฐานะจำเลยต้องคดีข้อหาร้ายแรงว่าพยายามฆ่าคนดังระดับพวกคุณอ่ะ....แกทำที่ไหนอ่ะ...
“ป้าทำอาหารจริงคนช่วยก็เยอะแต่ป้าเป็นหัวหน้าแล้วไม่รู้ยังไงว่ะแม่ง...เอายาพิษใส่ให้เค้ากินหามส่งโรงพยาบาลรามคำแหง กูเลยโดนซ้าหาว่าพยายามฆ่าพวกแก...แล้วแต่ละคนคนดังระดับนั้น...โธ่ ๆ”
ห้ามสำนักพิมพ์ทุกแห่งลอกเลียนแบบ
อนุญาตเฉพาะผู้ว่างงานทุกประเภท
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ