จำนนเสน่หาแบดบอย
3.7
เขียนโดย ศิริพารา
วันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2558 เวลา 21.04 น.
21 ตอน
0 วิจารณ์
21.91K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 22.11 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) จำนนเสน่หาแบดบอย ตอนที่ 1 50%
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความกรุงเทพมหานคร... สำนักงานใหญ่บริษัท เงินทุนสิริแอทเซท จำกัด
เสียงเคาะประตูห้องที่ดังขึ้นติดๆและประตูก็ถูกเปิดออกอย่างแรง บ่งบอกถึงความร้อนใจของเลขานุการวัยกลางคนได้เป็นอย่างดี เธอก้มศีรษะให้เจ้านายสาวที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ ด้านหลังเป็นฉากไม้ มีสัญลักษณ์และตัวอักษรชื่อของบริษัทติดเอาไว้อย่างสง่างาม
“ขอโทษที่เสียมารยาทค่ะ แต่เรากำลังเกิดวิกฤต” สุรีรัตน์บอกกับเจ้านายสาวด้วยน้ำเสียงและสีหน้าร้อนใจ
“อะไรคะ?” พิลาสินีลอบถอนหายใจและถามกลับทันควัน
“คุณชวนพิศให้ข่าวว่าที่กลุ่มเงินทุนดับเบิ้ลซี ขาดสภาพคล่องแบบนี้เพราะว่าต้องเอาเงินมาอุดรอยรั่วของสิริแอทเซท แถมยังบอกว่าสิริแอทเซทก็มีปัญหาภายใน บางทีอีกไม่กี่วันอาจจะประกาศข่าวร้ายช็อกวงการก็เป็นได้” สุรีรัตน์พูดถึงแม่สามีของพิลาสินีด้วยสีหน้าตำหนิ เพราะไม่เห็นด้วยกับการกระทำเช่นนี้ ไม่ช่วยแล้วแต่กลายเป็นบ่อนทำลายเสียเอง “ไม่รู้อะไรใจดลให้คุณชวนพิศพูดกับนักข่าวแบบนั้นนะคะ หุ้นของสิริแอทเซทที่ติดลบต่อกันมาหลายวัน พอมีข่าวนี้ออกไปไม่อยากคิดเลยนะคะว่าบ่ายวันนี้จะดิ่งลงไปอีกกี่จุด”
พิลาสินีขมวดคิ้วมุ่นเปิดหน้ากระดานหุ้นในจอคอมพิวเตอร์ขึ้นมาทันทีทั้งคิดอย่างไม่เข้าใจจุดประสงค์ของชวนพิศ ผู้เป็นแม่สามี หากเส้นกราฟที่ลดลงอีกไปถึงสองจุด ทั้งที่ปิดตลาดในภาคเช้าก็อยู่ในแดนลบอยู่แล้ว ทำให้พิลาสินีพูดไม่ออก ไม่รู้ว่าจะแก้ไขวิกฤตที่เผชิญอยู่นี้ได้อย่างไร
“พี่ว่าคุณเพลงน่าจะขอร้องให้ท่านประธานออกโรงเองนะคะ ถ้าท่านแถลงข่าวเองน่าจะเรียกความเชื่อถือจากนักลงทุนได้ในระดับหนึ่ง” สุรีรัตน์ออกความคิดเมื่อเห็นดวงตาของเจ้านายสาวยังจ้องที่จอคอมพิวเตอร์เช่นเดิม
“ตอนนี้คุณป๋าเข้า-ออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น เพลงไม่กล้าเสี่ยงเอาข่าวร้ายนี้ไปบอกท่านหรอกค่ะ” พิลาสินีส่ายหน้าและไม่เคยคิดจะทำเช่นนั้นเป็นอันขาด
“แต่คุณเพลงจะแบกปัญหานี้ไว้คนเดียวไม่ได้นะคะ คุณชินเขตก็หายเงียบทิ้งดับเบิ้ลซี ไว้ให้คุณเพลงออกหน้ารับแทนคนเดียว แล้วไหนจะบริษัทของเราอีก” สุรีรัตน์ที่เป็นเลขานุการให้เจ้าสัวสันต์ สิริสกุล และยังเทรนงานต่างๆให้กับพิลาสินีในเวลาที่เพิ่งเข้ามารับช่วงต่อจากเจ้าสัวสันต์ กล่าวเตือนด้วยความหวังดี ซึ่งคนฟังก็ได้แต่ยิ้มรับและไม่เคยคิดว่าเลขานุการวัยกลางคนจะก้าวก่ายการตัดสินใจแต่อย่างใด
“เพลงจัดการได้ค่ะ” พิลาสินียังยิ้มรับและบอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ได้ยังไงไหวล่ะคะ... ดูซิ! ผอมจนจะปลิวลมอยู่แล้ว ดิฉันว่าห้าเดือนที่ผ่านมานี้น้ำหนักคุณเพลงลดไปไม่ต่ำกว่าห้ากิโล” สุรีรัตน์พูดด้วยความเป็นห่วง แต่ก็รีบตัดความคิดนั้นออกไปอย่างฉับไวเพราะมีเรื่องสำคัญรออยู่ “แล้วเราจะทำยังไงต่อไปดีล่ะคะ ถ้าหุ้นของสิริแอทเซทยังดิ่งลงต่อไปแบบนี้ หุ้นส่วนรายอื่นคงดาหน้าเข้ามาขอคำชี้แจงแน่ๆค่ะ”
“เพลงจะเปิดแถลงข่าวแน่ค่ะ แต่ขอเวลาอีกสักวัน” พิลาสินีสบสายตาหญิงวัยกลางคนที่เป็นมากกว่าเลขานุการคนสนิท สุรีรัตน์คืออีกคนที่ยืนเคียงข้างไม่หนีหน้าในยามที่เธอทุกข์ร้อนหรือกำลังเผชิญอุปสรรคอันหนักหนา “ให้เวลาเขาอีกสักวัน เพลงอยากรู้ว่าเขาจะทำอย่างที่พูดเอาไว้ได้รึเปล่า”
สุรีรัตน์ส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย รู้ดีว่าเจ้านายสาวกำลังหมายถึงชินเขต ผู้เป็นสามีที่ไม่เคยทำแบ่งเบาภาระหรือทำตามคำสัญญาได้เลยสักครั้ง “พี่ว่า... คุณชินเขตไม่กลับมาหรอกค่ะ ป่านนี้คงนอนนับเงินกับแม่อินทุอรสบายอารมณ์ไปแล้ว”
พิลาสินียิ้มนึกขันท่าทางจีบปากจีบคอที่เลขานุการของตนเลียนแบบอินทุอรนัก แม้ว่าชินเขตจะสนิทสนมกับอินทุอรจนเกิดเสียงครหาอย่างหนาหู แต่เธอก็มีเหตุผลมากพอที่ไม่เชื่อว่าทั้งคู่ไม่ได้มีอะไรเกินเลยกว่าความเป็นเจ้านายและลูกน้อง
“ขอโทษนะคะที่พี่พูดถึงคุณชินเขตแบบนั้น” สุรีรัตน์เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นเจ้านายสาวเงียบไปครู่หนึ่ง
“ไม่เป็นไรค่ะ เอาตามที่เพลงว่าแล้วกันนะคะ ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เพลงจะให้โอกาสเขา” พิลาสินีบอก หากคนฟังสามารถสังเกตท่าที น้ำเสียงที่ซ่อนเร้นบางอย่างเอาไว้ จึงรีบถามกลับด้วยน้ำเสียงมีความหวัง
“พูดแบบนี้คุณเพลงมีทางออกให้กับสิริแอทเซทแล้วใช่ไหมคะ?”
พิลาสินียิ้มเศร้าๆเพราะมันคือทางออกที่เธอไม่คิดว่าจะได้ยินจากปากผู้เป็นสามี และหากเลือกทำเช่นนั้นความเป็นสามีภรรยาในทางนิตินัยระหว่างเธอและชินเขต คงสิ้นสุดลงในทันที
“ก็... ยังไม่แน่ใจว่าจะสำเร็จรึเปล่าค่ะ แต่คิดว่าเราคงไม่โชคร้ายจนถึงกับต้องถูกฟ้องล้มละลาย เพลงคงไม่ยอมให้บริษัทที่คุณป๋าสร้างมาทั้งชีวิตมาพังพินาศด้วยมือของเพลงแน่ๆ” พิลาสินีบอกอย่างไม่ยอมแพ้ หากอีกใจก็ยังหนักอึ้งเพราะยังไม่มีทางให้เลือกเดินนอกเหนือไปจากนั้นเลย
“เอาเถอะค่ะ ไม่ว่าคุณเพลงจะเลือกจัดการด้วยวิธีไหน พี่ก็จะสู้อยู่ข้างๆตลอดไป” สุรีรัตน์บอกด้วยน้ำเสียงมั่นคง รอยยิ้มจริงใจที่ปรากฏบนใบหน้าเป็นกำลังชั้นดีให้กับพิลาสินีในยามที่กำลังเผชิญปัญหารอบด้านเช่นนี้ “แต่ตอนนี้คุณเพลงออกจากบริษัทเร็วกว่าปกติดีกว่านะคะ พี่กลัวว่านักข่าวจะมาดักรอหรือไม่พวกหุ้นส่วนที่จ้องจะหาแต่ผลประโยชน์จะมาอาละวาดเอาเพราะเราปล่อยให้หุ้นดิ่งลงแบบนี้”
“แต่เพลงยังเคลียร์งานไม่เสร็จเลยค่ะ วันนี้ว่าจะไปค้างกับคุณป๋า เพลงไม่อยากเอางานกลับไปทำด้วยน่ะค่ะ กลัวว่าท่านจะเป็นกังวลไปด้วย” พิลาสินีบอก แค่ท่านได้ยินว่าตลอดเดือนที่ผ่านมานี้หุ้นของสิริแอทเซท ยังปิดตลาดที่แดนลบทุกวันท่านก็คิดมากจนโรคหัวใจกำเริบ หามส่งโรงพยาบาลในวันที่สี่ของการเฝ้าติดตามจากช่องข่าวธุรกิจ ด้วยมีโรคหัวใจเป็นโรคประจำตัวอยู่แล้วอาการจึงไม่น่าวางใจนัก ทั้งยังตรวจพบการอุดตันของเส้นเลือดในสมองแต่โชคยังดีที่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที กระนั้นท่านยังมีอาการปากเบี้ยวข้างหนึ่ง ร่างกายซีกซ้ายอ่อนแรงจนต้องพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล เมื่อสองวันที่แล้วก็เพิ่งได้กลับมาพักฟื้นที่บ้าน
“ถ้าอย่างนั้นอีกสักชั่วโมงพี่จะเข้ามาเตือนอีกครั้งนะคะ คราวนี้ถ้ายังไม่เสร็จก็คงต้องพักเอาไว้ก่อน พี่ไม่อยากให้คุณเพลงเสี่ยง ช่วงนี้ต้องเซฟตัวเองให้ดีค่ะ”
พิลาสินียิ้มรับกับคำเตือนอย่างจริงใจนั้นและมองดูเลขานุการวัยกลางคนที่เดินออกไปจากห้องทำงาน แม้จะสั่งตัวเองให้รีบสะสางงานตรงหน้าให้เรียบร้อยเพียงใด จิตใจยังไพล่คิดถึงเรื่องไม่คาดฝันร้ายๆที่กำลังรุมเร้าอยู่ไม่ได้ ทั้งที่ตั้งใจทำงาน คิดว่ารับผิดชอบทุกอย่างดีที่สุดแล้วแต่เธอก็ยังนำพาบริษัทของผู้เป็นพ่อดำดิ่งลงเหว การแต่งงานเมื่อห้าปีที่ผ่านมาซึ่งใครๆต่างกล่าวขานว่าเธอและชินเขตเหมาะสมกันราวกับกิ่งทองใบหยก ต่างคนต่างมีธุรกิจของครอบครัวที่กำลังรุ่งเรือง เขาว่าเงินต่อเงินเป็นเหมือนใบเบิกทางที่ทำให้เรื่องต่างๆราบรื่น ชีวิตแต่งงานที่เริ่มต้นจากความเหมาะสม เห็นฟ้องต้องกันจากผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายซึ่งมักพูดกรอกหูอยู่เสมอว่า...
‘ชีวิตคู่ดำเนินไปไม่ได้ด้วยความรักเพียงอย่างเดียว แต่ต้องมีปัจจัยอื่นเข้ามาประกอบด้วย ในกรณีของเธอเองนั่นคือความเหมาะสม ฐานะทางสังคม การเงิน ชื่อเสียงวงศ์ตระกูล ทุกสิ่งจะทำให้ชีวิตในวันข้างหน้าพบแต่ความสำเร็จและจะนำมาซึ่งความสุขสบายทั้งกายและใจ’
ในวันนั้นที่พิลาสินีไม่ค่อยเห็นด้วยกับคำพูดนั้นนักแต่ไม่อยู่ในฐานะที่จะโต้แย้งหรือบอกความต้องการของตัวเองได้ การทดแทนบุญคุณบุพการีในวิธีที่ชาวไทยเชื้อสายจีนบ้านไหนก็ทำจึงเป็นสิ่งไม่ควรหากเธอจะแหกกฎนั้น จึงได้แต่ฝืนหัวใจตัวเองเข้าพิธีวิวาห์กับชินเขต โชควาณิชย์
...แต่เมื่อเวลาล่วงเลยมาถึงตอนนี้ พิลาสินีก็ได้พบความจริงและเห็นด้วยกับคำพูดนั้นเป็นอย่างดี ชีวิตคู่ของเธอที่คนภายนอกมองว่าราบรื่น มีความสุขด้วยฐานะทางสังคม การเงินที่เอื้อประโยชน์ต่อกันนั้น ภายในใจของเธอกำลังกลัดหนองด้วยความเสียใจหลายอย่าง เธอยังยืนยันว่าชีวิตคู่ที่มีเพียงความรักไม่สามารถดำเนินไปได้ แต่ความรัก เป็นปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญที่สุดในการประคับประคองให้หญิงชายคู่หนึ่ง เดินเคียงคู่กัน ร่วมทุกข์ร่วมสุข ฝ่าฟันปัญหานานับประการอยู่กินกันจนแก่เฒ่า
กริ๊ง... กริ๊ง... กริ๊ง...
เสียงโทรศัพท์ทีกรีดร้องขึ้นทำให้พิลาสินีกะพริบตาถี่ๆ รีบตัดเรื่องในความคิดออกไปอย่างรวดเร็วและรีบเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์เครื่องบางที่วางอยู่ไม่ไกล
“ฮัลโหล... เพลงพูดสายค่ะ”
“นี่แม่เล็กพูดนะจ๊ะ” เพกา ภรรยาคนที่สองของเจ้าสัวสันต์กรอกเสียงมาตามสาย “วันนี้แม่เล็กจะรบกวนให้คุณเพลงไปรับน้องพลับที่โรงเรียน แล้วกลับมาทานข้าวเย็นพร้อมกัน แม่เล็กทำตุ๋นไก่ดำไว้ตั้งแต่บ่ายแล้ว”
พิลาสินีลอบถอนหายใจ เมื่อเรื่องที่ได้ฟังไม่ใช่อาการทรุดหนักของผู้เป็นพ่อเช่นคราวก่อน “ได้ค่ะ เดี๋ยวเพลงจะไปรับน้องเอง”
“อย่ากลับบ้านเย็นนักนะคะ ห้ามหอบงานกลับมาทำที่บ้าน กองมันไว้ที่บริษัทนั่นแหละ อะไรจะเกิดก็ปล่อยให้มันเกิดไป คุณเพลงอย่าเอาสุขภาพของตัวเองเข้าแลก แม่เล็กไม่อยากให้เป็นเหมือนคุณป๋าอีกคน” เพกาบอกด้วยความเป็นห่วง
“แม่เล็กไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ เพลงแข็งแรงดีค่ะ”
“ผอมจนแม่เล็กกลัวว่าเอวจะหักอยู่แล้ว ยังจะมาบอกว่าแข็งแรงได้ยังไง ไม่รู้ล่ะ วันนี้คุณป๋ากับแม่เล็กจะรอทานข้าวและจะไม่ลงมือก่อนเด็ดขาดถ้าคุณเพลงยังไม่กลับบ้าน” ถ้ารู้ว่าเจ้าสัวสันต์รอทานข้าว พิลาสินีคงไม่กล้าทำงานจนลืมเวลาเป็นแน่ เพกาคิดในใจ
พิลาสินีต้องรับคำอย่างหนักแน่น เพกาถึงยอมตัดสายโทรศัพท์ หากคนที่ได้รับรู้ถึงความห่วงใยของคนในครอบครัว แม้ว่าจะเกิดปัญหาหนักหนาเพียงใดก็รู้สึกอบอุ่นไปถึงขั้วหัวใจ แม้ชีวิตคู่จะไม่ได้โรยไปด้วยกลีบกุหลาบ ราบรื่นเช่นคำอวยพรและบอกกล่าวของผู้ใหญ่ แต่ความรักความอบอุ่นในครอบครัวใหญ่ก็ทำให้เธอดำเนินชีวิตได้อย่างปกติสุขและหวังว่าจะฝ่าฟันอุปสรรคครั้งใหญ่นี้ไปได้ในที่สุด
ราวสี่สิบนาทีต่อมา... สุรีรัตน์ก็เข้ามาเตือนเจ้านายสาวของตนให้เดินทางออกจากบริษัทก่อนเวลาปกติ แม้ว่าจะถูกห้ามจากคนรอบข้างแต่พิลาสินีก็ยังไม่วายหอบงานกลับไปสะสางที่บ้านทั้งยังดักคอสุรีรัตน์เสียก่อน เลขานุการวัยที่เป็นทั้งเพื่อนเป็นทั้งที่ปรึกษาจึงได้แต่ถอดหายใจและมองตามร่างอ้อนแอ้นที่เดินหายเข้าไปในลิฟต์ พลางคิดในใจว่า... นี่สินะคือนิสัยของพิลาสินี ผู้หญิงที่มีเครื่องหน้างดงามอยู่ภายในกรอบใบหน้ารูปไข่ รอยยิ้มหวานละมุนสามารถตรึงใจของผู้พบเห็นได้เป็นอย่างดี ท่าทางอ่อนโยน ไร้ซึ่งพิษสงหรือชั้นเชิงทางธุรกิจทำให้ผู้พบเห็นและคู่ค้าธุรกิจประเมินความสามารถต่ำกว่าศักยภาพจริง แต่เวลาห้าปีที่พิลาสินีเข้ามารับช่วงต่อจากเจ้าสัวสันต์ ก็เป็นเครื่องพิสูจน์แล้วว่าเธอไม่ใช่เด็กอ่อนหัดที่พลัดตกลงไปในสนามประลองเกมแห่งธุรกิจให้ใครๆได้รุมจิกรุมทึ้ง
ทว่าปัญหาใหญ่ที่เกิดขึ้นในสิริแอทเซทตอนนี้ เป็นเหมือนแผลเรื้อรังที่รับเชื้อโรคอย่างต่อเนื่อง คนในองค์กรกำลังเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว ทั้งคนใกล้ชิดก็ยังเป็นต้นเหตุที่ทำให้สิริแอทเซทเดินมาถึงทางตัน หากยังไม่ได้คนที่มีความสามารถยื่นมือเข้าช่วยเหลือและกำจัดแกะดำออกไป สิริแอทเซทคงถึงคราวอวสาน หลงเหลือไว้เพียงซากปรักหักพัง กลายเป็นร่องรอยแห่งความสำเร็จในอดีตเท่านั้น!
เสียงเคาะประตูห้องที่ดังขึ้นติดๆและประตูก็ถูกเปิดออกอย่างแรง บ่งบอกถึงความร้อนใจของเลขานุการวัยกลางคนได้เป็นอย่างดี เธอก้มศีรษะให้เจ้านายสาวที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ ด้านหลังเป็นฉากไม้ มีสัญลักษณ์และตัวอักษรชื่อของบริษัทติดเอาไว้อย่างสง่างาม
“ขอโทษที่เสียมารยาทค่ะ แต่เรากำลังเกิดวิกฤต” สุรีรัตน์บอกกับเจ้านายสาวด้วยน้ำเสียงและสีหน้าร้อนใจ
“อะไรคะ?” พิลาสินีลอบถอนหายใจและถามกลับทันควัน
“คุณชวนพิศให้ข่าวว่าที่กลุ่มเงินทุนดับเบิ้ลซี ขาดสภาพคล่องแบบนี้เพราะว่าต้องเอาเงินมาอุดรอยรั่วของสิริแอทเซท แถมยังบอกว่าสิริแอทเซทก็มีปัญหาภายใน บางทีอีกไม่กี่วันอาจจะประกาศข่าวร้ายช็อกวงการก็เป็นได้” สุรีรัตน์พูดถึงแม่สามีของพิลาสินีด้วยสีหน้าตำหนิ เพราะไม่เห็นด้วยกับการกระทำเช่นนี้ ไม่ช่วยแล้วแต่กลายเป็นบ่อนทำลายเสียเอง “ไม่รู้อะไรใจดลให้คุณชวนพิศพูดกับนักข่าวแบบนั้นนะคะ หุ้นของสิริแอทเซทที่ติดลบต่อกันมาหลายวัน พอมีข่าวนี้ออกไปไม่อยากคิดเลยนะคะว่าบ่ายวันนี้จะดิ่งลงไปอีกกี่จุด”
พิลาสินีขมวดคิ้วมุ่นเปิดหน้ากระดานหุ้นในจอคอมพิวเตอร์ขึ้นมาทันทีทั้งคิดอย่างไม่เข้าใจจุดประสงค์ของชวนพิศ ผู้เป็นแม่สามี หากเส้นกราฟที่ลดลงอีกไปถึงสองจุด ทั้งที่ปิดตลาดในภาคเช้าก็อยู่ในแดนลบอยู่แล้ว ทำให้พิลาสินีพูดไม่ออก ไม่รู้ว่าจะแก้ไขวิกฤตที่เผชิญอยู่นี้ได้อย่างไร
“พี่ว่าคุณเพลงน่าจะขอร้องให้ท่านประธานออกโรงเองนะคะ ถ้าท่านแถลงข่าวเองน่าจะเรียกความเชื่อถือจากนักลงทุนได้ในระดับหนึ่ง” สุรีรัตน์ออกความคิดเมื่อเห็นดวงตาของเจ้านายสาวยังจ้องที่จอคอมพิวเตอร์เช่นเดิม
“ตอนนี้คุณป๋าเข้า-ออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น เพลงไม่กล้าเสี่ยงเอาข่าวร้ายนี้ไปบอกท่านหรอกค่ะ” พิลาสินีส่ายหน้าและไม่เคยคิดจะทำเช่นนั้นเป็นอันขาด
“แต่คุณเพลงจะแบกปัญหานี้ไว้คนเดียวไม่ได้นะคะ คุณชินเขตก็หายเงียบทิ้งดับเบิ้ลซี ไว้ให้คุณเพลงออกหน้ารับแทนคนเดียว แล้วไหนจะบริษัทของเราอีก” สุรีรัตน์ที่เป็นเลขานุการให้เจ้าสัวสันต์ สิริสกุล และยังเทรนงานต่างๆให้กับพิลาสินีในเวลาที่เพิ่งเข้ามารับช่วงต่อจากเจ้าสัวสันต์ กล่าวเตือนด้วยความหวังดี ซึ่งคนฟังก็ได้แต่ยิ้มรับและไม่เคยคิดว่าเลขานุการวัยกลางคนจะก้าวก่ายการตัดสินใจแต่อย่างใด
“เพลงจัดการได้ค่ะ” พิลาสินียังยิ้มรับและบอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ได้ยังไงไหวล่ะคะ... ดูซิ! ผอมจนจะปลิวลมอยู่แล้ว ดิฉันว่าห้าเดือนที่ผ่านมานี้น้ำหนักคุณเพลงลดไปไม่ต่ำกว่าห้ากิโล” สุรีรัตน์พูดด้วยความเป็นห่วง แต่ก็รีบตัดความคิดนั้นออกไปอย่างฉับไวเพราะมีเรื่องสำคัญรออยู่ “แล้วเราจะทำยังไงต่อไปดีล่ะคะ ถ้าหุ้นของสิริแอทเซทยังดิ่งลงต่อไปแบบนี้ หุ้นส่วนรายอื่นคงดาหน้าเข้ามาขอคำชี้แจงแน่ๆค่ะ”
“เพลงจะเปิดแถลงข่าวแน่ค่ะ แต่ขอเวลาอีกสักวัน” พิลาสินีสบสายตาหญิงวัยกลางคนที่เป็นมากกว่าเลขานุการคนสนิท สุรีรัตน์คืออีกคนที่ยืนเคียงข้างไม่หนีหน้าในยามที่เธอทุกข์ร้อนหรือกำลังเผชิญอุปสรรคอันหนักหนา “ให้เวลาเขาอีกสักวัน เพลงอยากรู้ว่าเขาจะทำอย่างที่พูดเอาไว้ได้รึเปล่า”
สุรีรัตน์ส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย รู้ดีว่าเจ้านายสาวกำลังหมายถึงชินเขต ผู้เป็นสามีที่ไม่เคยทำแบ่งเบาภาระหรือทำตามคำสัญญาได้เลยสักครั้ง “พี่ว่า... คุณชินเขตไม่กลับมาหรอกค่ะ ป่านนี้คงนอนนับเงินกับแม่อินทุอรสบายอารมณ์ไปแล้ว”
พิลาสินียิ้มนึกขันท่าทางจีบปากจีบคอที่เลขานุการของตนเลียนแบบอินทุอรนัก แม้ว่าชินเขตจะสนิทสนมกับอินทุอรจนเกิดเสียงครหาอย่างหนาหู แต่เธอก็มีเหตุผลมากพอที่ไม่เชื่อว่าทั้งคู่ไม่ได้มีอะไรเกินเลยกว่าความเป็นเจ้านายและลูกน้อง
“ขอโทษนะคะที่พี่พูดถึงคุณชินเขตแบบนั้น” สุรีรัตน์เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นเจ้านายสาวเงียบไปครู่หนึ่ง
“ไม่เป็นไรค่ะ เอาตามที่เพลงว่าแล้วกันนะคะ ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เพลงจะให้โอกาสเขา” พิลาสินีบอก หากคนฟังสามารถสังเกตท่าที น้ำเสียงที่ซ่อนเร้นบางอย่างเอาไว้ จึงรีบถามกลับด้วยน้ำเสียงมีความหวัง
“พูดแบบนี้คุณเพลงมีทางออกให้กับสิริแอทเซทแล้วใช่ไหมคะ?”
พิลาสินียิ้มเศร้าๆเพราะมันคือทางออกที่เธอไม่คิดว่าจะได้ยินจากปากผู้เป็นสามี และหากเลือกทำเช่นนั้นความเป็นสามีภรรยาในทางนิตินัยระหว่างเธอและชินเขต คงสิ้นสุดลงในทันที
“ก็... ยังไม่แน่ใจว่าจะสำเร็จรึเปล่าค่ะ แต่คิดว่าเราคงไม่โชคร้ายจนถึงกับต้องถูกฟ้องล้มละลาย เพลงคงไม่ยอมให้บริษัทที่คุณป๋าสร้างมาทั้งชีวิตมาพังพินาศด้วยมือของเพลงแน่ๆ” พิลาสินีบอกอย่างไม่ยอมแพ้ หากอีกใจก็ยังหนักอึ้งเพราะยังไม่มีทางให้เลือกเดินนอกเหนือไปจากนั้นเลย
“เอาเถอะค่ะ ไม่ว่าคุณเพลงจะเลือกจัดการด้วยวิธีไหน พี่ก็จะสู้อยู่ข้างๆตลอดไป” สุรีรัตน์บอกด้วยน้ำเสียงมั่นคง รอยยิ้มจริงใจที่ปรากฏบนใบหน้าเป็นกำลังชั้นดีให้กับพิลาสินีในยามที่กำลังเผชิญปัญหารอบด้านเช่นนี้ “แต่ตอนนี้คุณเพลงออกจากบริษัทเร็วกว่าปกติดีกว่านะคะ พี่กลัวว่านักข่าวจะมาดักรอหรือไม่พวกหุ้นส่วนที่จ้องจะหาแต่ผลประโยชน์จะมาอาละวาดเอาเพราะเราปล่อยให้หุ้นดิ่งลงแบบนี้”
“แต่เพลงยังเคลียร์งานไม่เสร็จเลยค่ะ วันนี้ว่าจะไปค้างกับคุณป๋า เพลงไม่อยากเอางานกลับไปทำด้วยน่ะค่ะ กลัวว่าท่านจะเป็นกังวลไปด้วย” พิลาสินีบอก แค่ท่านได้ยินว่าตลอดเดือนที่ผ่านมานี้หุ้นของสิริแอทเซท ยังปิดตลาดที่แดนลบทุกวันท่านก็คิดมากจนโรคหัวใจกำเริบ หามส่งโรงพยาบาลในวันที่สี่ของการเฝ้าติดตามจากช่องข่าวธุรกิจ ด้วยมีโรคหัวใจเป็นโรคประจำตัวอยู่แล้วอาการจึงไม่น่าวางใจนัก ทั้งยังตรวจพบการอุดตันของเส้นเลือดในสมองแต่โชคยังดีที่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที กระนั้นท่านยังมีอาการปากเบี้ยวข้างหนึ่ง ร่างกายซีกซ้ายอ่อนแรงจนต้องพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล เมื่อสองวันที่แล้วก็เพิ่งได้กลับมาพักฟื้นที่บ้าน
“ถ้าอย่างนั้นอีกสักชั่วโมงพี่จะเข้ามาเตือนอีกครั้งนะคะ คราวนี้ถ้ายังไม่เสร็จก็คงต้องพักเอาไว้ก่อน พี่ไม่อยากให้คุณเพลงเสี่ยง ช่วงนี้ต้องเซฟตัวเองให้ดีค่ะ”
พิลาสินียิ้มรับกับคำเตือนอย่างจริงใจนั้นและมองดูเลขานุการวัยกลางคนที่เดินออกไปจากห้องทำงาน แม้จะสั่งตัวเองให้รีบสะสางงานตรงหน้าให้เรียบร้อยเพียงใด จิตใจยังไพล่คิดถึงเรื่องไม่คาดฝันร้ายๆที่กำลังรุมเร้าอยู่ไม่ได้ ทั้งที่ตั้งใจทำงาน คิดว่ารับผิดชอบทุกอย่างดีที่สุดแล้วแต่เธอก็ยังนำพาบริษัทของผู้เป็นพ่อดำดิ่งลงเหว การแต่งงานเมื่อห้าปีที่ผ่านมาซึ่งใครๆต่างกล่าวขานว่าเธอและชินเขตเหมาะสมกันราวกับกิ่งทองใบหยก ต่างคนต่างมีธุรกิจของครอบครัวที่กำลังรุ่งเรือง เขาว่าเงินต่อเงินเป็นเหมือนใบเบิกทางที่ทำให้เรื่องต่างๆราบรื่น ชีวิตแต่งงานที่เริ่มต้นจากความเหมาะสม เห็นฟ้องต้องกันจากผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายซึ่งมักพูดกรอกหูอยู่เสมอว่า...
‘ชีวิตคู่ดำเนินไปไม่ได้ด้วยความรักเพียงอย่างเดียว แต่ต้องมีปัจจัยอื่นเข้ามาประกอบด้วย ในกรณีของเธอเองนั่นคือความเหมาะสม ฐานะทางสังคม การเงิน ชื่อเสียงวงศ์ตระกูล ทุกสิ่งจะทำให้ชีวิตในวันข้างหน้าพบแต่ความสำเร็จและจะนำมาซึ่งความสุขสบายทั้งกายและใจ’
ในวันนั้นที่พิลาสินีไม่ค่อยเห็นด้วยกับคำพูดนั้นนักแต่ไม่อยู่ในฐานะที่จะโต้แย้งหรือบอกความต้องการของตัวเองได้ การทดแทนบุญคุณบุพการีในวิธีที่ชาวไทยเชื้อสายจีนบ้านไหนก็ทำจึงเป็นสิ่งไม่ควรหากเธอจะแหกกฎนั้น จึงได้แต่ฝืนหัวใจตัวเองเข้าพิธีวิวาห์กับชินเขต โชควาณิชย์
...แต่เมื่อเวลาล่วงเลยมาถึงตอนนี้ พิลาสินีก็ได้พบความจริงและเห็นด้วยกับคำพูดนั้นเป็นอย่างดี ชีวิตคู่ของเธอที่คนภายนอกมองว่าราบรื่น มีความสุขด้วยฐานะทางสังคม การเงินที่เอื้อประโยชน์ต่อกันนั้น ภายในใจของเธอกำลังกลัดหนองด้วยความเสียใจหลายอย่าง เธอยังยืนยันว่าชีวิตคู่ที่มีเพียงความรักไม่สามารถดำเนินไปได้ แต่ความรัก เป็นปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญที่สุดในการประคับประคองให้หญิงชายคู่หนึ่ง เดินเคียงคู่กัน ร่วมทุกข์ร่วมสุข ฝ่าฟันปัญหานานับประการอยู่กินกันจนแก่เฒ่า
กริ๊ง... กริ๊ง... กริ๊ง...
เสียงโทรศัพท์ทีกรีดร้องขึ้นทำให้พิลาสินีกะพริบตาถี่ๆ รีบตัดเรื่องในความคิดออกไปอย่างรวดเร็วและรีบเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์เครื่องบางที่วางอยู่ไม่ไกล
“ฮัลโหล... เพลงพูดสายค่ะ”
“นี่แม่เล็กพูดนะจ๊ะ” เพกา ภรรยาคนที่สองของเจ้าสัวสันต์กรอกเสียงมาตามสาย “วันนี้แม่เล็กจะรบกวนให้คุณเพลงไปรับน้องพลับที่โรงเรียน แล้วกลับมาทานข้าวเย็นพร้อมกัน แม่เล็กทำตุ๋นไก่ดำไว้ตั้งแต่บ่ายแล้ว”
พิลาสินีลอบถอนหายใจ เมื่อเรื่องที่ได้ฟังไม่ใช่อาการทรุดหนักของผู้เป็นพ่อเช่นคราวก่อน “ได้ค่ะ เดี๋ยวเพลงจะไปรับน้องเอง”
“อย่ากลับบ้านเย็นนักนะคะ ห้ามหอบงานกลับมาทำที่บ้าน กองมันไว้ที่บริษัทนั่นแหละ อะไรจะเกิดก็ปล่อยให้มันเกิดไป คุณเพลงอย่าเอาสุขภาพของตัวเองเข้าแลก แม่เล็กไม่อยากให้เป็นเหมือนคุณป๋าอีกคน” เพกาบอกด้วยความเป็นห่วง
“แม่เล็กไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ เพลงแข็งแรงดีค่ะ”
“ผอมจนแม่เล็กกลัวว่าเอวจะหักอยู่แล้ว ยังจะมาบอกว่าแข็งแรงได้ยังไง ไม่รู้ล่ะ วันนี้คุณป๋ากับแม่เล็กจะรอทานข้าวและจะไม่ลงมือก่อนเด็ดขาดถ้าคุณเพลงยังไม่กลับบ้าน” ถ้ารู้ว่าเจ้าสัวสันต์รอทานข้าว พิลาสินีคงไม่กล้าทำงานจนลืมเวลาเป็นแน่ เพกาคิดในใจ
พิลาสินีต้องรับคำอย่างหนักแน่น เพกาถึงยอมตัดสายโทรศัพท์ หากคนที่ได้รับรู้ถึงความห่วงใยของคนในครอบครัว แม้ว่าจะเกิดปัญหาหนักหนาเพียงใดก็รู้สึกอบอุ่นไปถึงขั้วหัวใจ แม้ชีวิตคู่จะไม่ได้โรยไปด้วยกลีบกุหลาบ ราบรื่นเช่นคำอวยพรและบอกกล่าวของผู้ใหญ่ แต่ความรักความอบอุ่นในครอบครัวใหญ่ก็ทำให้เธอดำเนินชีวิตได้อย่างปกติสุขและหวังว่าจะฝ่าฟันอุปสรรคครั้งใหญ่นี้ไปได้ในที่สุด
ราวสี่สิบนาทีต่อมา... สุรีรัตน์ก็เข้ามาเตือนเจ้านายสาวของตนให้เดินทางออกจากบริษัทก่อนเวลาปกติ แม้ว่าจะถูกห้ามจากคนรอบข้างแต่พิลาสินีก็ยังไม่วายหอบงานกลับไปสะสางที่บ้านทั้งยังดักคอสุรีรัตน์เสียก่อน เลขานุการวัยที่เป็นทั้งเพื่อนเป็นทั้งที่ปรึกษาจึงได้แต่ถอดหายใจและมองตามร่างอ้อนแอ้นที่เดินหายเข้าไปในลิฟต์ พลางคิดในใจว่า... นี่สินะคือนิสัยของพิลาสินี ผู้หญิงที่มีเครื่องหน้างดงามอยู่ภายในกรอบใบหน้ารูปไข่ รอยยิ้มหวานละมุนสามารถตรึงใจของผู้พบเห็นได้เป็นอย่างดี ท่าทางอ่อนโยน ไร้ซึ่งพิษสงหรือชั้นเชิงทางธุรกิจทำให้ผู้พบเห็นและคู่ค้าธุรกิจประเมินความสามารถต่ำกว่าศักยภาพจริง แต่เวลาห้าปีที่พิลาสินีเข้ามารับช่วงต่อจากเจ้าสัวสันต์ ก็เป็นเครื่องพิสูจน์แล้วว่าเธอไม่ใช่เด็กอ่อนหัดที่พลัดตกลงไปในสนามประลองเกมแห่งธุรกิจให้ใครๆได้รุมจิกรุมทึ้ง
ทว่าปัญหาใหญ่ที่เกิดขึ้นในสิริแอทเซทตอนนี้ เป็นเหมือนแผลเรื้อรังที่รับเชื้อโรคอย่างต่อเนื่อง คนในองค์กรกำลังเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว ทั้งคนใกล้ชิดก็ยังเป็นต้นเหตุที่ทำให้สิริแอทเซทเดินมาถึงทางตัน หากยังไม่ได้คนที่มีความสามารถยื่นมือเข้าช่วยเหลือและกำจัดแกะดำออกไป สิริแอทเซทคงถึงคราวอวสาน หลงเหลือไว้เพียงซากปรักหักพัง กลายเป็นร่องรอยแห่งความสำเร็จในอดีตเท่านั้น!
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
4 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
4 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ