Red Umbrella
10.0
2) โลกแห่งภาพวาด
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ1
-โลกแห่งภาพวาด-
...เลือดหยดที่หนึ่งไหลลงมา...
...เลือดหยดที่สองกลับสู่ร่างกาย...
...ด้วยมนต์แห่งควีนโพธิ์แดง...
อา... เพื่อนเอ๋ย เพื่อนเอ๋ย
จงสังเวยโลหิต
มาเลโล่ลืมตาขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงเพลงสวดอะไรสักอย่างอย่างรวดเร็ว หญิงสาวยันตัวขึ้นจากพื้นหญ้าที่อยู่ที่ไหนสักแห่ง เส้นผมสีฟ้าครามของเธอสยายอยู่บนพื้นหญ้าจนดูราวกับเป็นผ้าห่มผืนขนาดย่อมๆ มาเลโล่ขยี้ตาสีทองของเธอเบาๆก่อนจะล้วงกระเป๋ากระโปรงเพื่อหยิบที่ปิดตาออกมาแล้วจึงสวมเข้ากับใบหน้าของเธอ ก่อนจะค่อยๆยันตัวยืนขึ้นแลัวมองไปรอบๆ
ที่ๆมาเลโล่ยืนอยู่คือป่าดงดิบ มาเลโล่หันซ้ายหันขวาอย่างหวาดๆ แล้วในทันใดนั้นเธอก็เหลือบไปเห็นร่มสีแดงคันหนึ่งวางอยู่บนพื้น เธอไม่รอช้ารีบเดินไปหยิบมันขึ้นมาตรวจสอบอย่างละเอียด ก็พบว่ามันเป็นร่มที่น่าจะมีราคาแพงอยู่ทีเดียว ตรงคันจับของมันทำจากทองคำแท้ ตัวร่มนั้นก็ทำจากเพรชที่อัดกันอยู่อย่างแน่นหนา และผ้าร่มนั้นก็ทำจากผ้าชั้นดีอย่างกับว่านำใยไหมที่ดีที่สุดในโลกมาทองั้นแหละ มาเลโล่กอดร่มสีแดงคันนั้นไว้แน่นราวกับว่ามันคือตุ๊กตาตัวโปรดของเธอ แล้วจึงเดินตามทางเข้าไปในป่าดงดิบ
"โอ้ ไม่นะ ที่นี้มันที่ไหนเนี่ย ในศตวรรษที่21ยังมีสถานที่แบบนี่อยู่อีกหรือ?!" มาเลโล่เริ่มบ่นเบาๆ เพื่อกลบความเงียบที่น่าสะพรึงของป่าราวกับว่ากำลังจะกล่อมให้มาเลโล่สติแตกจนกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง รอบๆตัวเธอมีแต่ต้นไม้เต็มไปหมดมีแต่เสียงลมพัดเบาๆ นำพาให้ผมของมาเลโล่พริ้วตามแรงลมไป มาเลโล่เริ่มเดินเข้ามาในป่าลึกขึ้นเรื่อยๆ เธอเริ่มสั่นกลัวแบบเด็กๆที่กำลังนั่งฟังเรื่องราวสยองขวัญกระชากใจอยู่ หญิงสาวเริ่มเหนื่อยจึงหยุดพักนั่งลงข้างๆต้นไม้ต้นใหญ่
อย่าหยุดเดินนะ!
อยู่ๆก็มีเสียงของเด็กหญิงคนหนึ่งแว่วเสียงแผ่วเบามา ทำให้มาเลโล่ที่กำลังจะเคลิ้มหลับเพราะความเหนื่อยถึงกับต้องสะดุ้งตื่นอย่างรวดเร็ว เธอรีบหันหลังกลับไปมองตามเสียงแต่ก็ไม่พบใคร ทำให้เธอเริ่มขวัญเสียรีบวิ่งออกไปโดยไม่ลืมร่มไว้อย่างรวดเร็ว
มาเลโล่เริ่มวิ่งอย่างไร้จุดหมายเธอวิ่งออกมานอกเส้นทาง เลือกที่จะวิ่งเข้ามาในป่าแทน ระหว่างที่วิ่งอยู่ก็มีลมพัดแรงมาเป็นช่วงๆราวกับว่ามันกำลังไล่จับเธอ ตอนนี้มาเลโล่กลายเป็นหนูปั่นจักรเสียแล้วเธอวิ่งอยู่ที่เดิม วิ่งวนไปมาอย่างน่าประหลาดทั้งๆที่เธอพยายามวิ่งไปข้างหน้าอย่างสุดกำลังแต่ก็รู้สึกเหมือนกับว่าถูกดึงมาที่เดิม เธอเริ่มเหนื่อยจึงหยุดพักแต่ตอนนี้หญิงสาวไม่มีแรงเหลือแม้แต่จะยืนตรงๆยังไม่ได้จึงใช้ร่มสีแดงคันนั้นค้ำตัวไว้ ในขณะที่ปลายร่มแตะพื้นดินป่าทั้งป่าก็หายกลายเป็นเมือง อย่างน่าประหลาด
หญิงสาวเงยหน้าที่แสนเหนื่อยล้าขึ้นมามองรอบๆตัว ตอนนี้รอบตัวเธอกลายเป็นเมืองแห่งหนึ่งที่ผู้คนพลุ่กพล่านและต่างมีความสุข ทุกคนล้วนถือร่มลักษนะเดียวกับเธอแต่สีต่างกันออกไป ผู้คนที่เดินผ่านเธอต่างทำสีหน้าตกใจแล้วจึงเดินออกห่างไปอย่างรวดเร็ว มาเลโล่ที่เริ่มปรับตัวได้ก็รีบเดินออกจากถนนที่เธอยืนอยู่ หนีเข้าไปยังตรอกซอยเล็กๆเดินไปเรื่อยๆจนไปโผล่ยังที่แห่งหนึ่ง ก่อนจะมีใครสักคนเดินเข้ามาหาเธอก่อนจะค่อยๆถอดเสื้อคลุมที่คลุมอยู่ให้เธอ
มาเลโล่เงยหน้าขึ้นมามองอย่างแปลกใจ ก่อนจะเอ่ยน้ำเสียงอันเหนื่อยล้าถาม "คุณเป็นใครกัน?..."
"ผมคือผู้ถือร่มสีดำชื่อว่า ซานริโน่ คีล ยินดีที่ได้รู้จักนะนานๆทีผมจะเห็นผู้ถือร่มสีแดงมาเดินแถวนี้ น่าแปลกจังนะ"มาเลโล่พอเห็นคีลแนะนำตัวจึงสำรวจใบหน้าของเขาอย่างรวดเร็ว คีลเป็นชายหนุ่มที่พอมองดูแล้วอายุน่าจะราวๆ12-13ได้เขามีผมสีควันบุหรี่แลดูเหมือนกับว่าผมของเขานั้นจะสามารถล่องลอยไปได้เหมือนกับสีผม ดวงตาเป็นสีแดง... ไม่สิ... ดวงตาของเขานั้นอย่างกับภาพวาดที่แต่งแต้มแม่สีสามสีลงไปอย่างงดงามและชวนฝันมันเหมือนกับดวงตาของมาเลโล่มากทำให้เธอรู้สึกแปลกใจ
"คารอส มาเลโล่ แล้วที่ว่าฉันเป็นผู้ถือร่มสีแดงมันหมายความว่ายังไงกัน"มาเลโล่ถามคีลเพราะเริ่มสงสัยตั้งแต่ที่คีลพูดในตอนต้น
"คุณไม่รู้หรืออ่างั้นสินะ อย่างนี้เองยังว่าอยู่ว่าทำไมเสียงของคุณไม่เหมือนกับคนๆนั้น ตามมาสิ"คีลที่รัวคำพูดเสร็จสรรพก็ดึงมือของมาเลโล่ให้เดินตามเข้าไปยังบ้านเล็กๆหลังหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากจุดที่ยืนอยู่มากนัก
หลังจากที่คีลเปิดประตูเข้าไปเขาก็เดินไปหยิบตะเกียงมาจุดแล้ววางลงกับโต๊ะก่อนจะพามาเลโล่มานั่งที่โซฟาแล้วจึงเดินไปจุดไฟในเตาผิง
"ที่นี่มันที่ไหนกันมิสเตอร์คีล?"มาเลโล่เริ่มถามคีลเพื่อทำลายความเงียบ
"อืม จะอธิบายยังไงดีล่ะ ที่นี่เป็นโลกที่เต็มไปด้วยจินตนาการถ้าเราคิดสิ่งใดหรืออยากไปที่ไหนก็แค่คิดภาพมันขึ้นมาก่อนจะใช้ปลายร่มแตะลงที่พื้นแบบนี้" คีลหยิบร่มที่วางไว้กับโต๊ะก่อนจะใช้ปลายร่มแตะพื้นไม้ โอ้พระเจ้า.... คีลหายไปจากตรงนั้นในพริบตาเดียว! มาเลโล่ผู้มาใหม่รีบหันขวับกลับไปมองทางประตูทางเข้าก่อนจะพบว่าคีลยืนอยู่ตรงนั้นซึ่งเป็นไปไม่ได้แน่นอนเพราะจุดที่คีลยืนอยู่กับประตูทางเข้ามันอยู่ห่างกันประมาณ5เมตรได้
"ผมว่าผมต้องสอนคุณอีกเยอะเลยแม่หญิงคารอส มาเลโล่"พอจบประโยคที่คีลพูดไฟในตะเกียงและจากเตาผิงก็ดับพรึบลง
-โลกแห่งภาพวาด-
...เลือดหยดที่หนึ่งไหลลงมา...
...เลือดหยดที่สองกลับสู่ร่างกาย...
...ด้วยมนต์แห่งควีนโพธิ์แดง...
อา... เพื่อนเอ๋ย เพื่อนเอ๋ย
จงสังเวยโลหิต
มาเลโล่ลืมตาขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงเพลงสวดอะไรสักอย่างอย่างรวดเร็ว หญิงสาวยันตัวขึ้นจากพื้นหญ้าที่อยู่ที่ไหนสักแห่ง เส้นผมสีฟ้าครามของเธอสยายอยู่บนพื้นหญ้าจนดูราวกับเป็นผ้าห่มผืนขนาดย่อมๆ มาเลโล่ขยี้ตาสีทองของเธอเบาๆก่อนจะล้วงกระเป๋ากระโปรงเพื่อหยิบที่ปิดตาออกมาแล้วจึงสวมเข้ากับใบหน้าของเธอ ก่อนจะค่อยๆยันตัวยืนขึ้นแลัวมองไปรอบๆ
ที่ๆมาเลโล่ยืนอยู่คือป่าดงดิบ มาเลโล่หันซ้ายหันขวาอย่างหวาดๆ แล้วในทันใดนั้นเธอก็เหลือบไปเห็นร่มสีแดงคันหนึ่งวางอยู่บนพื้น เธอไม่รอช้ารีบเดินไปหยิบมันขึ้นมาตรวจสอบอย่างละเอียด ก็พบว่ามันเป็นร่มที่น่าจะมีราคาแพงอยู่ทีเดียว ตรงคันจับของมันทำจากทองคำแท้ ตัวร่มนั้นก็ทำจากเพรชที่อัดกันอยู่อย่างแน่นหนา และผ้าร่มนั้นก็ทำจากผ้าชั้นดีอย่างกับว่านำใยไหมที่ดีที่สุดในโลกมาทองั้นแหละ มาเลโล่กอดร่มสีแดงคันนั้นไว้แน่นราวกับว่ามันคือตุ๊กตาตัวโปรดของเธอ แล้วจึงเดินตามทางเข้าไปในป่าดงดิบ
"โอ้ ไม่นะ ที่นี้มันที่ไหนเนี่ย ในศตวรรษที่21ยังมีสถานที่แบบนี่อยู่อีกหรือ?!" มาเลโล่เริ่มบ่นเบาๆ เพื่อกลบความเงียบที่น่าสะพรึงของป่าราวกับว่ากำลังจะกล่อมให้มาเลโล่สติแตกจนกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง รอบๆตัวเธอมีแต่ต้นไม้เต็มไปหมดมีแต่เสียงลมพัดเบาๆ นำพาให้ผมของมาเลโล่พริ้วตามแรงลมไป มาเลโล่เริ่มเดินเข้ามาในป่าลึกขึ้นเรื่อยๆ เธอเริ่มสั่นกลัวแบบเด็กๆที่กำลังนั่งฟังเรื่องราวสยองขวัญกระชากใจอยู่ หญิงสาวเริ่มเหนื่อยจึงหยุดพักนั่งลงข้างๆต้นไม้ต้นใหญ่
อย่าหยุดเดินนะ!
อยู่ๆก็มีเสียงของเด็กหญิงคนหนึ่งแว่วเสียงแผ่วเบามา ทำให้มาเลโล่ที่กำลังจะเคลิ้มหลับเพราะความเหนื่อยถึงกับต้องสะดุ้งตื่นอย่างรวดเร็ว เธอรีบหันหลังกลับไปมองตามเสียงแต่ก็ไม่พบใคร ทำให้เธอเริ่มขวัญเสียรีบวิ่งออกไปโดยไม่ลืมร่มไว้อย่างรวดเร็ว
มาเลโล่เริ่มวิ่งอย่างไร้จุดหมายเธอวิ่งออกมานอกเส้นทาง เลือกที่จะวิ่งเข้ามาในป่าแทน ระหว่างที่วิ่งอยู่ก็มีลมพัดแรงมาเป็นช่วงๆราวกับว่ามันกำลังไล่จับเธอ ตอนนี้มาเลโล่กลายเป็นหนูปั่นจักรเสียแล้วเธอวิ่งอยู่ที่เดิม วิ่งวนไปมาอย่างน่าประหลาดทั้งๆที่เธอพยายามวิ่งไปข้างหน้าอย่างสุดกำลังแต่ก็รู้สึกเหมือนกับว่าถูกดึงมาที่เดิม เธอเริ่มเหนื่อยจึงหยุดพักแต่ตอนนี้หญิงสาวไม่มีแรงเหลือแม้แต่จะยืนตรงๆยังไม่ได้จึงใช้ร่มสีแดงคันนั้นค้ำตัวไว้ ในขณะที่ปลายร่มแตะพื้นดินป่าทั้งป่าก็หายกลายเป็นเมือง อย่างน่าประหลาด
หญิงสาวเงยหน้าที่แสนเหนื่อยล้าขึ้นมามองรอบๆตัว ตอนนี้รอบตัวเธอกลายเป็นเมืองแห่งหนึ่งที่ผู้คนพลุ่กพล่านและต่างมีความสุข ทุกคนล้วนถือร่มลักษนะเดียวกับเธอแต่สีต่างกันออกไป ผู้คนที่เดินผ่านเธอต่างทำสีหน้าตกใจแล้วจึงเดินออกห่างไปอย่างรวดเร็ว มาเลโล่ที่เริ่มปรับตัวได้ก็รีบเดินออกจากถนนที่เธอยืนอยู่ หนีเข้าไปยังตรอกซอยเล็กๆเดินไปเรื่อยๆจนไปโผล่ยังที่แห่งหนึ่ง ก่อนจะมีใครสักคนเดินเข้ามาหาเธอก่อนจะค่อยๆถอดเสื้อคลุมที่คลุมอยู่ให้เธอ
มาเลโล่เงยหน้าขึ้นมามองอย่างแปลกใจ ก่อนจะเอ่ยน้ำเสียงอันเหนื่อยล้าถาม "คุณเป็นใครกัน?..."
"ผมคือผู้ถือร่มสีดำชื่อว่า ซานริโน่ คีล ยินดีที่ได้รู้จักนะนานๆทีผมจะเห็นผู้ถือร่มสีแดงมาเดินแถวนี้ น่าแปลกจังนะ"มาเลโล่พอเห็นคีลแนะนำตัวจึงสำรวจใบหน้าของเขาอย่างรวดเร็ว คีลเป็นชายหนุ่มที่พอมองดูแล้วอายุน่าจะราวๆ12-13ได้เขามีผมสีควันบุหรี่แลดูเหมือนกับว่าผมของเขานั้นจะสามารถล่องลอยไปได้เหมือนกับสีผม ดวงตาเป็นสีแดง... ไม่สิ... ดวงตาของเขานั้นอย่างกับภาพวาดที่แต่งแต้มแม่สีสามสีลงไปอย่างงดงามและชวนฝันมันเหมือนกับดวงตาของมาเลโล่มากทำให้เธอรู้สึกแปลกใจ
"คารอส มาเลโล่ แล้วที่ว่าฉันเป็นผู้ถือร่มสีแดงมันหมายความว่ายังไงกัน"มาเลโล่ถามคีลเพราะเริ่มสงสัยตั้งแต่ที่คีลพูดในตอนต้น
"คุณไม่รู้หรืออ่างั้นสินะ อย่างนี้เองยังว่าอยู่ว่าทำไมเสียงของคุณไม่เหมือนกับคนๆนั้น ตามมาสิ"คีลที่รัวคำพูดเสร็จสรรพก็ดึงมือของมาเลโล่ให้เดินตามเข้าไปยังบ้านเล็กๆหลังหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากจุดที่ยืนอยู่มากนัก
หลังจากที่คีลเปิดประตูเข้าไปเขาก็เดินไปหยิบตะเกียงมาจุดแล้ววางลงกับโต๊ะก่อนจะพามาเลโล่มานั่งที่โซฟาแล้วจึงเดินไปจุดไฟในเตาผิง
"ที่นี่มันที่ไหนกันมิสเตอร์คีล?"มาเลโล่เริ่มถามคีลเพื่อทำลายความเงียบ
"อืม จะอธิบายยังไงดีล่ะ ที่นี่เป็นโลกที่เต็มไปด้วยจินตนาการถ้าเราคิดสิ่งใดหรืออยากไปที่ไหนก็แค่คิดภาพมันขึ้นมาก่อนจะใช้ปลายร่มแตะลงที่พื้นแบบนี้" คีลหยิบร่มที่วางไว้กับโต๊ะก่อนจะใช้ปลายร่มแตะพื้นไม้ โอ้พระเจ้า.... คีลหายไปจากตรงนั้นในพริบตาเดียว! มาเลโล่ผู้มาใหม่รีบหันขวับกลับไปมองทางประตูทางเข้าก่อนจะพบว่าคีลยืนอยู่ตรงนั้นซึ่งเป็นไปไม่ได้แน่นอนเพราะจุดที่คีลยืนอยู่กับประตูทางเข้ามันอยู่ห่างกันประมาณ5เมตรได้
"ผมว่าผมต้องสอนคุณอีกเยอะเลยแม่หญิงคารอส มาเลโล่"พอจบประโยคที่คีลพูดไฟในตะเกียงและจากเตาผิงก็ดับพรึบลง
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ