รักเล่นกล

5.0

เขียนโดย พังพอน

วันที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2558 เวลา 21.30 น.

  3 ตอน
  1 วิจารณ์
  5,047 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 5 กันยายน พ.ศ. 2558 19.54 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) รักเล่นกล #3

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
... ตอนที่ 3...
 
 
ธารธาราดูเหมือนจะเป็นนักแสดงเพียงคนเดียวในเรื่องนี้ ที่ยังไม่มีรางวัลอะไรการันตีเลย แรกเริ่มเดิมทีก็ไม่ได้มีชื่อติดโผกับเขาหรอก ถ้านางแบบสาวชื่อดังเจ้าของรางวัลนักแสดงประกอบฝ่ายหญิงยอดเยี่ยมไม่บังเอิญประสบอุบัติเหตุจนได้รับบาดเจ็บสาหัสที่ใบหน้าเธอก็คงจะไม่ได้มีโอกาสเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของละครเรื่องนี้เป็นแน่
เพราะรูปร่างหน้าตาที่ละม้ายคล้ายคลึงกับนางแบบสาวคนเก่าที่ถูกวางตัวเอาไว้ให้รับบทนี้ ประกอบกับความสูงสีผิวรวมทั้งสัดส่วนที่เท่ากันพอดิบพอดีของธารธารา ทำให้หญิงสาวได้รับการติดต่อทาบทามจากกองละครให้มารับบทนี้ เพราะหากจะต้องรอให้บาดแผลที่ใบหน้าของนางแบบคนเก่าหายดี มีหวังละครเรื่องนี้ได้เริ่มถ่ายปีหน้า ดีไม่ดีอาจถูกถอดออกจากลิสรายชื่อละครอีกด้วย การตัดสินใจเลือกธารธารานางแบบสาวที่ยังไม่เคยผ่านละครมาแม้แต่เรื่องเดียวให้มารับบทนี้จึงกลายเป็นความจำเป็นเร่งด่วน
จะถือว่าเป็นโชคช่วยหรือวาสนาอะไรทำนองนั้นก็ได้ ที่อยู่ดีๆ ส้มใบเบ้อเร่อก็หล่นลงมาตรงหน้าธารธารา แค่ได้ยินชื่อเรื่องหญิงสาวก็แทบจะตอบตกลงโดยไม่คิดจะถามด้วยซ้ำว่าเขาให้เธอมาเล่นบทอะไร ก็ในเมื่อได้มีโอกาสมาเล่นละครเรื่องเดียวกันกับชายในฝัน จะบทอะไรธารธาราก็จะเล่นให้ได้ทั้งนั้นแหละ
ธารธาราพยายามและตั้งใจเก็บเกี่ยวความรู้ พยายามฝึกฝนและท่องบทตามคำแนะนำของครูผู้สอนการแสดงให้เธอ เพื่อให้ความเป็นมือใหม่ของเธอไม่ไปกระทบกับการถ่ายทำ การได้ชื่อว่าเป็นตัวถ่วง...มันคงไม่ค่อยจะน่าฟังซักเท่าไหร่ในความคิดเธอ
แม้การได้บทนี้มาครอบครองจะเป็นความบังเอิญล้วนๆ แต่ก็ยังไม่วายมีเสียงบ่นซุบซิบจากวงกินข้าว ของบรรดาช่างแต่งหน้าและคอสตูมเกี่ยวกับที่มาที่ไปของการที่ธารธาราได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องนี้แบบโชคช่วยสุดๆ จนทำให้บางคนหรืออาจจะหลายคนด้วยซ้ำคิดว่ามันบังเอิญเกินไปหรือเปล่า หรือจริงๆ แล้วการได้รับคัดเลือกให้มาเล่นละครเรื่องนี้ ได้รับบทเป็นถึงคนรักของพระเอกซึ่งถือว่าเป็นตัวละครที่เด่นรองๆ จากนางเอกทีเดียวเชียว นางแบบหน้าใหม่ผ่านงานถ่ายแบบเดินแบบมานับครั้งได้ แถมยังไม่เคยผ่านงานละครมาแม้แต่เรื่องเดียว ได้รับเลือกให้มาเล่นบทบาทที่สำคัญขนาดนี้ แน่นอนว่าอาจจะมีเบื้องลึกเบื้องหลังซึ่งก็คงจะไม่พ้นเรื่องคาวๆ ของดาราสาวๆ ที่มักอยากโด่งอยากดังจนต้องยอมเสียสละบางสิ่งบางอย่างเพื่อแลกมาซึ่งชื่อเสียง
สาวประเภทสองร่างสูงที่กำลังแต่งหน้าและจัดทรงผมให้เธอนามว่าชลธี หรือที่คนในวงการต่างรู้จักในนาม 'เจ้ชมพู่' ขาใหญ่ที่สุดด้านการแต่งหน้าทำผมในกองถ่ายละครแห่งนี้ จึงอดไม่ได้ที่จะออกรับแทนเสียงดัง แบบที่ไมได้มีเจตนาจะตอบโต้ใคร แต่ก็อยากให้ได้ยินไปพร้อมๆ กันทุกคน
"ใครว่าธารธาราไม่ได้รับรางวัลห๊า?" คนพูดจีบคอเสียงสูง "นางเดินเฉิดฉายขึ้นไปรับรางวัลบนเวที จนช่างภาพรัวชัดเตอร์เอาไปทำข่าวกันจนมือหงิกทีเดียวเชียว รึจะมีใครเถียง ว่างานประกาศผลรางวัลซุปเปอร์สตาร์อวอร์ดปีนี้ ธารธาราไม่ได้ขึ้นไปรับรางวัล"
ปากหอยปากปูทั้งหลายจึงเงียบเสียงลง แล้วก้มหน้าก้มตากันทำหน้าที่ของตัวเอง แบบไม่มีเสียงพึมพำงึมงำรบกวนสมาธิการแต่งหน้าอีก ไม่มีใครไม่รู้ว่าชลธีเส้นใหญ่แค่ไหนในช่องนี้ ลองใครทำอะไรไม่เข้าท่าผิดหูผิดตาดูสิสิมีหวังต้องได้โผบินออกไปหาช่องใหม่สังกัดใหม่เป็นที่พำนักแน่แท้
ชลธีเป็นสาวประเภทสองหน้าตาดี รูปร่างสูงใหญ่ค่อนไปทางท้วม ผิวขาวจัดจนเห็นรอยกระประปรายบนใบหน้าและที่แขนอวบอั๋น คงเป็นลักษณะเด่นเฉพาะตัวของคนเพศนี้กระมัง ที่ปากกับใจไม่ค่อยสวนทางกัน คิดเห็นอย่างไร รักใครชอบใคร รู้สึกเช่นไรก็มักจะแสดงออกมาแบบเปิดเผย ไม่อายหรือไม่ชอบปกปิด เช่นเดียวกับที่เธอกางปีกแก้ต่างให้กับธารธาราแม้จะไม่ได้รู้จักมักคุ้นกันมาก่อนหน้านี้
การพบกันวันนี้ก็เป็นครั้งแรกเสียด้วยซ้ำ เพราะธารธาราเป็นนางแบบหน้าใหม่ ที่ยังไม่เคยเล่นละคร งานเดินแบบถ่ายแบบก็มีบ้างแต่ประปราย ยังไม่ได้ขึ้นหิ้งเป็นระดับแนวหน้าที่ค่าตัวเฉียดล้านเหมือนบรรดานางแบบชื่อดังที่เอ่ยชื่อมาใครๆ ก็ต้องรู้จัก
แม้จะเป็นการพบกันครั้งแรก แต่ด้วยความอัธยาศัยดี และรอยยิ้มพิมพ์ใจของธารธาราที่มักจะมีให้ผู้คนที่เธอพาลพบและได้รู้จักเธอเสมอ ก็ทำให้ชลธีรู้สึกเอ็นดูรุ่นน้องร่วมวงการขึ้นมาทันที ด้วยความที่สนิทสนมกันดีกับตุลาระดับที่เรียกได้ว่า 'ซี้ปึ๊ก' เพราะฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ชลธีจะรู้ดีอยู่แก่ใจ ว่าไอ้เรื่องที่นกกระจิบนกกระจอกพากันจับกลุ่มจิกกัดคนอื่นอยู่นั้น ไม่เป็นความจริง ก็เรื่องมันไม่จริง...จะผิดอะไรถ้าเราจะเถียง และบอกความจริงออกไป
"อย่าไปสนใจเลย พวกปากหอยปากปู แต่งหน้าทำผมให้คนโน้นคนนี้ทั้งวันไม่ค่อยพูดกับใคร มันเหงาปากก็ต้องมีการบริหารปากบ้างเป็นธรรมดาล่ะ ไม่งั้น...เดี๋ยวกรามค้าง หรือไม่ก็น้ำลายบูดขึ้นมาจะยุ่ง"
คนพูดจีบปากจีบคอประชดประชันอย่างน่ารัก จนธารธาราอดอมยิ้มไม่ได้ ด้วยรู้ดีแม้น้ำเสียงที่ถูกบีบจนเล็กแหลมนั้นจะไม่ใช่เสียงจริงๆ ของคนพูด ทว่าเจตนาดีที่ชลธีมีให้กับเธอคือความจริงใจที่ทำให้เธอรู้สึกดี และจะไม่มีวันลืม บุญคุณในครั้งนี้จะประทับอยู่ในใจของเธอไปอีกนานแสนนานทีเดียว
"พี่ไม่คิดว่าธารจะได้บทนี้มาด้วยวิธีการแบบที่คนอื่นๆ เค้าว่ากันเหรอคะ" เรียวปากอิ่มฉีกยิ้มกว้าง ขณะเอ่ยถามลองใจ
คนถูกถามจิกหางตาค้อน เม้มริมฝีปากสีเปลือกมังคุดที่แต่งแต้มไว้อย่างงดงามไม่เสียชื่อช่างแต่งหน้ามือหนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้า "หื้อ....ใครคิดได้แบบนั้นก็บ้าแล้ว อีเจ้โต้งมันสวาปามหนูไม่ลงหรอก ไอ้เรื่องเอาเต้าไต่อะไรทำนองนี้ ไม่มีเด็ดขาด ที่หนักไปกว่านั้นผู้จัดละครทีนี้ก็มีแต่สปีชีเดียวกันกับเจ้ หนูจ๋า...หนูจะเอาอะไรไปไต่เค้า เค้าก็ไม่ชายตาแลหนูหรอกจ๊ะ"
เสียงหัวเราะคิกคักจึงตามมา ก่อนที่บทสนทนาอย่างถูกคอจะดำเนินต่อไปอีกหลายเรื่อง กระทั่งการแต่งหน้าทำผมแล้วเสร็จ นิ้วมืออวบยาวจับปลายคางมนพลิกซ้ายขวาตรวจเช็คคุณภาพฝีมือของตัวเองจนมั่นใจแล้ว จึงตะโกนเรียกคอสตูมสาวร่างเล็ก ให้มารับหน้าที่ต่อ ด้วยการพาดาราหน้าใหม่ไปเปลี่ยนเครื่องแต่งกาย
 
 
ฉากแรกเปิดกล้องของละครเรื่องรักเล่นกลกำลังจะเริ่มขึ้น ทุกอย่างถูกจัดเตรียมไว้พร้อมแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ อุปกรณ์ประกอบฉาก นักแสดงที่ต้องเข้าฉากนี้ทุกคน ดูแล้วก็ไม่น่าจะมีอะไรติดขัด เว้นเสียก็แต่นักแสดงมือใหม่ ที่นอกจากจะตื่นเต้นดีใจที่ได้เล่นละครเรื่องเดียวกับพระเอกในฝันแล้ว ยังได้เล่นละครบทแรกเป็นฉากหวานซึ้งกับหนุ่มคนรักที่รับบทโดยจิณณพัฒ ชญานนท์อีกด้วย
สองมือเรียวเย็นเฉียบประสานกันนิ่งนานทำสมาธิ ขณะผู้กำกับพยายามอธิบายลำดับขั้นตอนของละครฉากนี้ ว่าใครต้องทำอะไรที่ไหนอย่างไรบ้าง และที่สำคัญอารมณ์ในซีนนี้ต้องประมาณไหน ธารธารารู้สึกเหมือนหูอื้อมือชาไปหมด หญิงสาวแทบจะจับใจความไม่ได้ด้วยซ้ำว่าไอ้ที่ผู้กำกับพยายามพูดๆ อยู่เมื่อสักครู่ เธอต้องทำอะไรบ้าง
หญิงสาวเหลือแลมองเพื่อนสนิทคนเขียนบทที่คงจะช่วยเธอได้เป็นอย่างดีแน่ๆ ในเรื่องนี้บ่อยครั้ง หากว่ารายนั้นไม่ได้กำลังนอนรออยู่ที่รถและมาช่วยซ้อมบทที่ซ้อมกันเมื่อคืนนี้ให้เธออีกรอบก็คงจะดี ทว่าจะทำอย่างไรได้ ในเมื่อเธอบังคับเพื่อนรักได้แค่นั้น คือให้มาเป็นเพื่อนแต่ไม่เข้ามาในบริเวณกองถ่ายและจะรออยู่ที่รถจนกว่าการถ่ายทำจะแล้วเสร็จ ฝ่ายนั้นย้ำแล้วย้ำอีกว่าไม่อยากมาเจอนายหน้าปลาจวดพระเอกของเรื่อง เหตุผลเดียวที่ดูจะมีน้ำหนักที่สุดที่ธารธาราสามารถยกมาเอ่ยอ้างกับเพื่อนรักจนทำให้อีกฝ่ายยอมใจอ่อนมาด้วยในวันนี้ได้ จึงมีเพียงเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ธารธาราจะได้เล่นละคร เป็นครั้งแรก วันแรก และฉากแรกที่ต้องเข้าบทกับจิณณพัฒ
ด้วยความที่ไม่เคย และยังไม่มั่นใจในฝีมือการแสดงที่ไปร่ำเรียนมาในระยะเวลาเพียงแค่หนึ่งสัปดาห์ของตัวเอง ทำให้ธารธารารู้สึกประหม่าเป็นอย่างมาก หญิงสาวขยับเข้าไปใกล้ และเอ่ยเบาๆ เพื่อขอความเห็นใจจากพระเอกที่เธอชื่นชอบ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเขาคงจะเห็นใจ แน่ล่ะ...เขาต้องเห็นใจเธอเพราะเขาเป็นผู้ชายที่น่ารัก อ่อนโย และเพอเฟคที่สุดในสายตาของเธอนี่นา
"ธารยังไม่เก่ง ยอมรับเลยว่าอาจจะทำให้ต้องได้เทคหลายรอบ ยังไงคุณจิณณ์ช่วยแนะนำธารด้วยนะคะ" น้ำเสียงกึ่งขวยเขินกึ่งเกรงใจดังแผ่วเบา
คนถูกขอร้องหันมองดวงหน้าสวยของนักแสดงมือใหม่ที่จะมารับบทเป็นคนรักของเขาในเรื่อง และเริ่มฉากแรกของละครเรื่องนี้กับเขา ชายหนุ่มกระตุกมุมปากขึ้นเพียงเล็กน้อย แต่มิได้เอ่ยคำพูดใดๆ ตอบกลับมา เขารู้ว่าเธอยังไม่พร้อม และเขาก็ยินดีจะช่วยไม่ให้เธอต้องมาแสดงทั้งๆ ที่ยังไม่พร้อม เพียงแต่วิธีการที่เขาจะเลือกใช้นั้น ไม่ใช่วิธีการตามที่ธารธาราร้องขอมา
ทันทีที่ตุลาซักซ้อมบทบาทให้กับนักแสดงทุกคนที่ต้องเข้าร่วมในฉากนี้เป็นที่เข้าใจตรงกันทั้งหมดแล้ว เจ้าของร่างท้วมใหญ่จึงเดินไปนั่งประจำที่เก้าอี้ผ้าสีดำด้านหลังของจอมอนิเตอร์ ตรวจความพร้อมของอุปกรณ์เครื่องมืออื่นๆ ที่จำเป็นต่อการถ่ายทำ ก่อนจะเอ่ยย้ำ "แสงพร้อม ฉากพร้อม ไฟพร้อม คิวพร้อม" สิ้นเสียงบอกของตุลา เสียงสัญญาณการเริ่มต้นถ่ายทำก็เริ่มขึ้น
ฉากแรกเป็นฉากที่จิณณพัฒจะต้องเดินออกมารอคนรักบริเวณศาลาในสวนหลังบ้าน เพื่อร่ำลาก่อนจะไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ พร้อมกับมอบแหวนแทนใจเอาไว้ให้กับหญิงคนรัก พร้อมกับขอคำมั่นสัญญาว่าหญิงคนรักจะรอจนกว่าเขาจะกลับมาแต่งงานกับเธอในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ซึ่งถือเป็นบทเปิดเรื่องที่ต้องใช้อารมณ์ของตัวแสดงที่ทั้งรัก ทั้งเศร้า ทั้งห่วงหา และไม่อยากจากลา
เวลาผ่านไปเกือบหนึ่งนาที แต่จิณณพัฒพระเอกของเรื่องที่จะต้องทำหน้าที่เริ่มต้นบทของตัวเองกลับยังนิ่ง ขณะที่ทุกคนก็รอว่าเมื่อไหร่ที่เขาจะเริ่มต้นเปิดฉากทำหน้าที่ของตัวเองด้วยใจจดจ่อ ตุลานับหนึ่งถึงสิบในใจเพื่อรอเวลาเช่นกัน แต่นับมาแล้วสามรอบเห็นจะได้แต่จิณณพัฒก็ยังคงไม่ทำอะไร เสียงสั่งหยุดการถ่ายทำจึงดังขึ้น พร้อมๆ กับที่ร่างสูงใหญ่ของเจ้าของเสียงลุกเดิน เข้าไปหานักแสดง
"มีปัญหาอะไรรึป่าวจ๊ะจิณณ์ ทำไมถึงไม่ทำตามที่เราซักซ้อมกันไว้แล้วเมื่อกี้ หรือว่า...มีตรงไหนสงสัยที่พี่ยังอธิบายไม่ครบถ้วนรึเปล่า?"
ความเป็นมืออาชีพสอนให้ตุลาเลือกที่จะใช้คำพูดอย่างใจเย็น แม้ว่าในขณะนี้ภายในหัวอกเขาจะร้อนละอุเพราะความโมโหแทบจะอยากตะคอกด่าพ่อพระเอกที่ยืนอยู่ตรงหน้าให้มันรู้แล้วรู้รอดไปก็ตามเถอะ
"ผมเข้าใจตามที่พี่ซักซ้อมให้ทั้งหมดครับ" อีกฝ่ายตอบนิ่งๆ เช่นกัน
คิ้วหนาขมวดมุ่น พยายามสูดลมหายใจให้ลึกที่สุด แล้วถามต่อ "แล้วถ้าอย่างนั้น จิณณ์ติดปัญหาตรงจุดอื่นรึเปล่า หรือว่าไม่สบาย"
คนถูกถามแค่นยิ้มมุมปาก ก่อนจะบอกเหตุผลที่ทำให้เขาไม่ยอมทำหน้าที่ของตัวเองตามที่ควรจะเป็นเมื่อสักครู่ "ผมว่าบทมันยังไม่โอเค บทพูดยังดูขัดๆ ไม่ลื่นไหล ไม่รู้ว่าบทแบบนี้ผ่านมาได้ยังไง ผมว่าฉากนี้ บทพูดมันควรจะซาบซึ้ง ประทับใจกว่านี้ ถึงจะสามารถตรึงคนดูได้"
คนอธิบายเอ่ยเรียบๆ ราวกับไม่ได้มีเจตนาจะตำหนิใคร ไม่ว่าจะเป็นคนเขียนบทหรือแม้แต่คนที่เป็นคนพิจารณาบทละครนี้ให้ผ่าน
แต่ตุลาเดือดปุด ก่อนจะใช้น้ำเสียงที่เริ่มแสดงถึงความไม่พอใจมากขึ้น เอ่ยถาม "แล้วทำไมจิณณ์ไม่แจ้งพี่ตั้งแต่ตอนที่พี่เอาบทให้จิณณ์อ่านครั้งแรก ว่าจิณณ์อยากให้ปรับแก้ตรงไหน เพราะที่ผู้จัดเค้าพิจารณาให้ผ่าน ก็เพราะคิดว่ามันโอเคแล้ว แต่ถ้าจิณณ์มีข้อเสนอ ก็น่าจะบอกพี่ก่อน ไม่ใช่มาบอกตอนที่จะเริ่มถ่ายทำแล้วแบบนี้"
"เวลาแค่อาทิตย์เดียวให้ผมศึกษาบท มันน้อยไปรึเปล่าครับพี่ จริงๆ ผมไม่อยากรับเล่นละครโดยที่ผมยังไมได้เห็นบทด้วยซ้ำ แต่นี่ก็เพราะเชื่อในฝีมือพี่หรอกนะครับ ถึงได้รับที่จะเล่น ก่อนที่จะได้เห็นบทละคร ถ้าคนเขียนบทเค้าไม่มีฝีมือถึงขนาดที่จะปรับแก้ให้ได้ตอนนี้ ผมคิดว่า ผมคงจะขอถอนตัวจากละครเรื่องนี้ เพราะไม่อยากให้คนดูต้องมาดูถูกฝีมือการแสดงของผม ชื่อเสียงที่สั่งสมมาแรมปี จะมาป่นปี้เพียงเพราะบทละครที่ไม่ได้เรื่องแบบนี้ อย่าว่าแต่จะตั้งเป้าให้ได้เป็นละครยอดเยี่ยมแห่งปีเลยครับ เอาแค่เรตติ้งดีๆ ผมยังไม่แน่ใจเลยว่ามีได้หรือเปล่า"
จิณณพัฒพูดจบแล้วทำท่าเหมือนจะเดินหนี ตุลาพ่นหายใจเกือบจะแรงกว่าพายุฤดูร้อน ก่อนจะกัดริมฝีปากตัวเองจนรู้สึกเจ็บ แล้วพยายามกำมือให้แน่นที่สุดแนบข้างลำตัวหลับตาพริ้มสูดลมหายใจเข้าปอดให้ลึกที่สุด เพราะการกำกับละครเรื่องนี้ออกมาให้ประสบผลสำเร็จ คือเครื่องการันตีที่จะทำให้เขาได้รับความไว้วางใจจากทางผู้จัดและทางช่อง มีงานยักษ์อีกหลายงานรอเขาอยู่หากเขาสามารถทำผลงานชิ้นนี้ให้กลายเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงได้สำเร็จดังที่ตั้งเป้าหมายไว้
เพราะฉะนั้น แม้จะอยากกรีดร้อง กระโดดเข้าไปตบปากนักแสดงรูปหล่อที่บังอาจมาวิพากษ์วิจารณ์เขาเสียๆ หายๆ อยู่แบบนี้สักปานใด ตุลาก็จำต้องทำใจยอมรับให้ได้ ว่าจิณณพัฒเป็นพระเอกฝีมือดี หน้าตาดี สมกับที่ได้รับรางวัลอันทรงเกียรติ ซึ่งเขาจำเป็นจะต้องสละเกียรติยศที่ค้ำคอตัวเองไว้เพื่อร้องขอให้เขาอยู่เล่นละครเรื่องนี้ต่อ แม้จะไม่ชอบเลยสักนิดกับนิสัยรั้น และหยิ่งทะนงในตนเองของอีกฝ่าย
อันที่จริงเขาก็เคยได้ยินเพื่อนๆ ผู้กำกับคนอื่นที่เคยร่วมงานกับจิณณพัฒเล่ากิตติศัพท์ให้ฟังมาอยู่บ้าง ว่ากันว่าไม่เจอกับตัวไม่รู้สึกหรอก ตุลาเพิ่งจะแจ่มแจ้งในวันนี้นี่เอง เพราะก่อนหน้านี้ เขาก็เชื่อมั่นในตัวเองเหมือนกัน ว่าจะเอาจิณณพัฒอยู่ และฝ่ายนั้นคงไม่เรื่องมากปัญหาเยอะขนาดนี้
"โอเค งั้นพี่ก็คงต้องขอเวลากลับไปพิจารณาบทนี้อีกครั้ง แล้วก็จะให้คนเขียนบทปรับแก้ ตามที่จิณณ์ต้องการ ซึ่งก็คงต้องขอความร่วมมือจากจิณณ์ให้ช่วยตรวจดูบทก่อนที่จะเริ่มถ่ายทำอีกครั้ง วันนี้พี่ขอยกกองก่อนแล้วกัน พี่ขอเวลาหนึ่งสัปดาห์นะ" เวลาที่ขอออกไป ส่วนหนึ่งก็เพื่อคนเขียนได้มีเวลาปรับแก้ แต่อีกส่วนหนึ่งก็เพื่อให้ตัวเขาเองได้มีเวลาสงบและทำใจให้ลืมความขุ่นข้องที่มีต่อจิณณพัฒ ซึ่งถ้าเขาทำไม่ได้ การทำงานในกองละครเรื่องนี้ ที่ก็คงจะต้องดำเนินไปอีกหลายเดือน มีอันไม่เป็นสุขแน่ๆ
"ไม่ได้ครับ ผมขอวันนี้และเดี๋ยวนี้ จะได้ไม่ต้องเสียเวลายกกอง และถ่ายฉากนี้ให้เสร็จในวันนี้ ส่วนบทอื่นค่อยแก้มาทีหลังก็ได้ครับ"
ไม่ใช่แค่ตุลาที่อ้าปากค้างเติ่งหลังจากได้ยินข้อเสนอ ทีมงานที่กำลังจะช่วยกันเก็บข้าวของหลังจากได้รับคำสั่งเลิกกองในวันนี้จากผู้กำกับ ก็ถึงกลับหยุดมือที่ทำงานอยู่แทบจะทันที ราวกับมีใครมากดเมนูหยุดเวลาเอาไว้ก็ไม่ปาน
"วะ...ว่าไงนะจิณณ์ จิณณ์ล้อพี่เล่นใช่มั้ย" ตุลาเสียงติดขัด ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู "นี่มันจะบ่ายสามแล้ว พี่จะแก้บทให้ทันเวลาได้ยังไง อีกอย่างคนเขียนบทเค้าจะติดธุระอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้"
รอยยิ้มเจ้าเล่ย์ฉายวับ ดวงตาคมเหลือบมองไปอีกฝั่งถนนด้านหน้าสวนสาธารณะ ซึ่งเขาเห็นตั้งแต่ต้นแล้วว่าคนเขียนบทที่ตุลาเอ่ยถึงมาส่งธารธารา และจอดรถรออยู่ตรงนั้น ซึ่งเมื่อได้รับการร้องขอจากธารธาราให้ช่วยแนะนำ เขาจึงเลือกที่จะแนะนำคนเขียนบทมือใหม่ก่อน ในเรื่องการเขียนบท
จะด้วยเหตุผลอะไรก็ไม่อาจทราบได้ ที่ทำให้จิณณพัฒรู้สึกว่าทุกครั้งที่สายตาของนักเขียนบทละครคนนั้นมองสบมาที่เขา มีแววคล้ายๆ เกลียดชังหรือไม่พอใจแฝงมาด้วยตลอดเวลา ซึ่งแน่ล่ะ...มันทำให้เขาอยากท้าทายเธอ เพราะที่ผ่านมาจิณณพัฒเชื่อมั่นในตัวเองเสมอ ผู้ชายหน้าตาดี หน้าที่การงานเลิศ ฐานะครอบครัวดีระดับเขา มีแต่ผู้หญิงวิ่งเข้าหามา ห้อมล้อมและพร้อมจะทอดสะพานพลีกายให้ แต่สายตาชิงชังรังเกียจในแบบที่ผู้หญิงคนนั้นมักจะส่งมาที่เขาเสมอนั้น มันทำให้เขาอยากทำกลั่นแกล้งเธอ
แรกๆ ที่เขารู้ว่าละครเรื่องนี้มีคนเขียนบทละครหน้าใหม่ที่เพิ่งได้รับรางวัล นามปากกาว่ากันติชาเป็นคนเขียนบทให้ เขาก็ไม่ค่อยเชื่อในฝีมือซักเท่าไหร่ กลัวว่าบทละครไม่ดีจะทำให้ละครไม่ดัง และจะมาพลอยทำให้ชื่อเสียงทางการแสดงของเขาเสียตามไปด้วย เพราะบทละครถือเป็นหัวใจสำคัญไม่แพ้นักแสดงหรือองค์ประกอบอื่นๆ เลย แต่ก็นั่นแหละ อาจจะเป็นเพราะโชคชะตาที่ให้โอกาสเขาได้จัดการแม่ผู้หญิงอวดดีคนนั้น
เธอเป็นผู้หญิงคนแรกที่กล้าปฏิเสธไม่ชื่นชมเขา และมองเขาด้วยแววตาชิงชัง เขาจะสั่งสอนให้เธอได้รู้ รสชาติของการเย่อหยิ่ง ว่ามันจะเจ็บปวดและขมขื่นเพียงใด!
 
 
 
"คุณกันติชานักเขียนบทคนดัง เธออยู่ในรถที่ถนนด้านหน้านี่เองครับ" เขาบอกเรียบๆ ก่อนจะหันไปเพิ่มน้ำหนักให้คำพูดตัวเอง "จริงมั้ยครับ คุณธารธารา"
คนถูกถามเปลี่ยนสีหน้างุนงงเป็นเหรอหราแทน ก่อนจะพยักหน้ารับในทันที แม้เธอจะเริ่มรู้สึกว่าจิณณพัฒก็มีความเรื่องมากอยู่ในตัวเช่นกัน แต่เพราะความหลงใหลได้ปลื้มจึงทำให้ความคิดแง่บวกมีมากกว่าแง่ลบจนสามารถกลบทับสิ่งที่มีน้อยกว่าได้สนิท เธอเข้าใจในความต้องการของจิณณพัฒ ซึ่งมันก็คงจะจริงของเขา หากว่าบทละครมันไม่ช่วยเสริมส่ง นักแสดงที่แสดงในเรื่องก็พลอยจะต้องเสียชื่อเสียงไปด้วย อาจจะถูกมองว่าฝีมือไม่ดี เล่นละครได้แค่นี้ เพราะเวลาที่ละครออกอากาศออกไป คนดูไม่ค่อยจะมองลึกลงไปถึงเนื้อในของบทละคร แต่มักจะมองบทบาทของตัวแสดงเสียมากกว่า พร้อมทั้งตัดสินละครว่าดีไม่ดี สนุกไม่สนุกที่ตัวนักแสดงเสียด้วยซ้ำ น้อยคนนักที่จะมองลงไปลึกถึงว่าเพราะบทละครไม่ดี นักแสดงคนนี้จึงพลอยได้รับผลกระทบไปด้วย
อันนาถูกลากกึ่งบังคับให้ออกจากรถและเข้ามาเคลียร์ปัญหาที่กองถ่าย เพาะเธอเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะสามารถทำให้เรื่องนี้จบลงได้ สีหน้าบูดบึ้งกับแววตาเอาเรื่องของคนที่เพิ่งมาถึง ทำให้จิณณพัฒพอใจเป็นที่สุด
"มีอะไรให้อันน์ช่วยคะพี่โต้ง"
"คืองี้นะอันน์..." ตุลาพยายามคิดและเรียบเรียงประโยคที่คิดว่าดีที่สุด นุ่มนวลที่สุด "พอดีว่าบทละครมันมีจุดที่...อยากจะให้เปลี่ยนนิดหน่อยน่ะ" ตุลาเว้นว่างไม่พาดพิงถึงใครและไม่เอ่ยชื่อคนที่อยากให้เปลี่ยน โดยให้คนฟังคิดเอาเอง
"ตรงไหนบ้างคะที่คิดว่าต้องเปลี่ยน เผื่อว่าอันน์จะอธิบายเพิ่มเติมให้ได้ว่า เพราะอะไรอันน์ถึงเลือกใช้การสื่อสารผ่านตัวละครแบบนี้"
"ทั้งหมด..." เสียงเข้มแทรกขึ้น ไม่อยากเสียเวลารอให้ตุลาทำหน้าที่ประสานงานด้วยความนุ่มนวลอีกต่อไป
"มันจะไม่มากไปหน่อยเหรอคะ ทั้งหมด...อย่าบอกนะว่าคุณเป็นคนต้องการให้เปลี่ยนบท ไม่ใช่พี่โต้ง" คิ้วเข้มขมวดมุ่น แววเอาเรื่องเริ่มฉายชัดในดวงตาคู่สวย
อีกฝ่ายไม่ตอบเพียงแต่ยักไหล่
"หน้าที่พิจารณาบท ว่าเหมาะหรือไม่เหมาะดีไม่ดี มันควรจะเป็นของผู้จัดกับผู้กำกับ ไม่ใช่หน้าที่ของนักแสดงนะคะ ดังนั้นอันน์ไม่เห็นด้วยกับการที่จะต้องเปลี่ยนอะไรอีก ถ้าหากพี่โต้งเห็นว่ามันโอเคแล้ว"
เสียงหัวเราะในลำคอดังขึ้น "นี่น่ะเหรอกันติชา นักเขียนบทละครชื่อดัง เจ้าของรางวัลบทละครยอดเยี่ยมแห่งปี" คนพูดเบ้ปากพลางเลิกคิ้ว ทำสีหน้าดูถูกดูแคลน "ประโยคพูดแต่ละประโยคไม่ดึงดูด ไม่ตื่นเต้น จืดชืด นักแสดงฝีมือดีอย่างผมจะต้องมาเสียชื่อเสียง เพียงเพราะบทละครที่ไม่ได้เรื่องของคุณ ผมไม่โอเคเช่นกันครับที่จะเล่นต่อ พี่โต้งก็เลือกเอาแล้วกันว่าจะแก้บทหรือเปลี่ยนพระเอก"
"มันจะมากเกินไปแล้วนะคุณ"อันนาเดือดปุด กระแทกเสียงพลางใช้ฝ่ามือทุบโต๊ะ
"ตรงไหนที่ว่ามาก งานง่ายๆ แค่นี้ยังทำได้ไม่ดีเลย ละครขายไม่ออกขึ้นมา ใครจะรับผิดชอบ ผมและนักแสดงอีกหลายๆ คนไม่พลอยต้องตกงานไปตามๆ กันเหรอครับ ซึ่งผมคนหนึ่งล่ะที่ไม่เสี่ยง ถ้าพี่โต้งเห็นด้วยกับเค้า ผมก็ต้องขอตัวครับ"
พูดจบจิณณพัฒก็ทำท่าจะก้าวเดินออกไปทันที ตุลาไม่มีทางเลือกเพราะถ้าเขาเลือกที่จะทำตามใจเขาได้แต่แรก เขาคงไม่ถึงขนาดต้องขอร้องให้ธารธาราไปตามอันนามาจากรถ
"จิณณ์ รอเดี๋ยวนะ ขอเวลาสักครู่ ช่างแต่งหน้ามาพาจิณณ์ไปซับหน้าซับตาก่อนซิ" ประโยคหลังหันไปกำชับช่างแต่งหน้าของกองถ่ายให้รีบทำหน้าที่ระหว่างรอเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ก่อนที่มืออวบของคนร่างใหญ่จะคว้าหมับเข้าที่แขนเรียวเล็กของคนตัวบางที่ยืนทำท่าไม่ยอมและจะเถียงต่อ แล้วลากห่างออกไปเพื่อเจรจา
"ถือว่าพี่ขอนะอันน์...จะให้พี่ทำอะไรก็ได้ พี่ยอม ขอแค่ให้อันน์แก้ไขบทให้พี่ พี่ไม่มีทางเลือกจริงๆ นะ เพราะถ้าพี่เลือกได้ คนอย่างพี่ก็คงไม่มีทางยอมเหมือนกัน"
น้ำเสียงเว้าวอน กับสีหน้าแสดงออกอย่างจริงใจของตุลา ทำให้เจตนาที่ตั้งท่าจะมาเถียงในตอนแรกแปรเปลี่ยนไปเป็นเสียงลมหายใจเฮือกใหญ่ที่ถูกพ่นออกมาระบายความขับข้องใจ ในเมื่อฝ่ายผู้กำกับไม่มีทางเลือก และมาจนถึงป่านนี้แล้ว ถ้าเธอจะเป็นฝ่ายเลือกไม่ทำอะไรต่อและเดินออกไป จริงอยู่ว่ามันจะเป็นการกระทำที่สามารถงัดข้อกับจิณณพัฒได้ เผื่อเขาจะฉุกคิดขึ้นมาได้บ้างว่าไม่ใช่เขาคนเดียวที่สำคัญ ทว่าหากอันนาทำเช่นนั้น ก็แปลว่าเธอเอง...ก็คงเป็นคนประเภทที่ไม่ได้แตกต่างอะไรจากคนงี่เง่าเอาแต่ใจไม่ได้เรื่องอย่างจิณณพัฒ
คำพูดดูถูกดูแคลนยังคงลอยวนอยู่ในความคิด การยอมครั้งนี้ไม่ใช่เพราะอ่อนข้อแต่เพราะเธอจะแสดงฝีมือให้คนสบประมาทได้เห็นว่ากันติชาไม่ใช่นามปากกาไก่กาที่ได้รางวัลบทละครยอดเยี่ยมแห่งปีมาเพราะโชคช่วย และเธอจะต้องทำให้ละครเรื่องนี้ขายออกเรตติ้งกระฉูด
ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว เธอลงเรือกับคนทั้งกองมาจนป่านนี้ เธอไม่อยากเป็นตัวถ่วงทำให้ตุลาต้องลำบากใจอีก เธอรู้ดีว่าสำหรับตุลาแล้วทุกคนในกองนี้ล้วนมีความสำคัญเท่าเทียมกัน โดยไม่สามารถจะสละหรือไล่ใครให้ออกจากเรือได้หากไม่มีความจำเป็นมากพอ และเธอก็จะช่วยตุลาพยุงเรือลำนี้ให้ไปถึงอีกฝั่งฝันให้จงได้ แม้จะต้องแลกด้วยความขัดใจอันมหาศาลก็ตามที
"ตกลงค่ะพี่ แก้ก็แก้ แต่ขอบอกไว้เลย...ว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่อันน์จะยอมร่วมงานกับอีตาบ้านี่"
รอยยิ้มกว้างจนเกือบทำให้แก้มอวบของตุลาปริ คือผลตอบรับที่อันนาพอใจ หญิงสาวเดินกลับไปหยิบคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คคู่ใจที่พกติดตัวไปไหนมาไหนด้วยตลอดเผื่อมีงานเร่งด่วนที่ต้องทำในรถ ก่อนจะเดินไปเลือกหามุมสงบในการทำงานด่วนในครั้งนี้
ดวงตาคมของคนต้นเรื่อง จ้องความเคลื่อนไหวระหว่างตุลากับอันนาไม่วาง ก่อนจะแสยะยิ้มอย่างผู้กำชัย เมื่อเห็นว่าฝ่ายที่ถูกบีบยอมให้บีบแล้ว
 
 
รถสปอร์ตคันหรูถูกผู้เป็นเจ้าของขับวนวงเวียนน้ำพุกลางลานหน้าตึก แล้วแตะเบรกเบาๆ ขณะเคลื่อนเข้ามาจอดในบริเวณโรงจอดรถอย่างนุ่มนวล ผิดจากวิสัยปกติทุกวันที่รถคันนี้จะต้องเลี้ยวเข้าบ้านแบบหวาดเสียว เฉียดจะชนโน่นชนนี่ตลอด จนบางครั้งคนมาเปิดประตูก็ต้องวิ่งหลบกันจ้าละหวั่น ไม่อย่างนั้นมีหวังโดนซิวลงไปนอนแช่น้ำอยู่ในบ่อบัวเล็กๆ หน้าบ้าน ติดกับประตูเป็นแน่
บ้านชญานนท์เป็นตึกหลังใหญ่ท้ายสุดของซอยติดกับลำน้ำเจ้าพระยา ซึ่งถูกทุบรื้อจากเรือนไม้หลังเก่าสมัยเจ้าขุนมูลนายต้นตระกูล มาสร้างใหม่ด้วยแบบและสไตล์ที่ร่วมสมัยมากยิ่งขึ้น แต่บริเวณโดยรอบและเรือนหลังเล็กที่พักสำหรับคนงานข้าเก่าเต่าเลี้ยงทั้งหมด ก็ยังคงความเป็นไทยแบบเดิมไว้ ไม่รื้อทิ้งเพียงแต่ซ่อมแซมให้มีสภาพดี ทนทานมากยิ่งขึ้น
นอกเหนือไปจากเรือนไม้ที่พักคนงานแล้ว ต้นไม้ใหญ่และสวนหน้าบ้านซึ่งยังคงมีสระน้ำที่เชื่อมต่อเข้ามาจากแม่น้ำเจ้าพระยา เจ้าของเดิมนำบัวนิโลบลมาปลูกไว้ เจ้าของคนปัจจุบันยังให้คนสวนดูแลอย่างดี ศาลาพักริมน้ำที่แต่ก่อนเคยเป็นท่าน้ำสำหรับจอดเรือ ปัจจุบันแม้ไม่ได้ใช้งานแล้ว แต่ก็ยังทำการซ่อมแซมให้คงสภาพเดิมเอาไว้ เหมาะเป็นที่นั่งพักผ่อนรับลมในยามบ่าย
จิณณพัฒก้าวลงจากรถกดปิดล๊อคเรียบร้อย ก็เบี่ยงเสื้อแจ็คเก็ตที่ถือติดมือมาด้วยขึ้นพาดบ่า นำกุญแกรถหย่อนลงในกระเป๋าเสื้อเชิ้ตที่สวมอยู่ก่อนจะล้วงมือข้างที่ว่างอยู่ลงในกระเป๋ากางเกง เดินผิวปากเข้าบ้านอย่างอารมณ์ดี
ปกติเวลานี้ไม่ใช่เวลากลับบ้านของเขา เพราะมันเป็นช่วงเวลาที่บ้านหลังนี้กำลังตั้งโต๊ะมื้อเย็น ซึ่งเขาไม่เคยปรารถนาอยากจะร่วมวงด้วยซักเท่าไหร่นัก แต่วันนี้ความอารมณ์ดีที่สามารถบีบบังคับให้ผู้หญิงเย่อหยิ่งอย่างอันนายอมทำตามคำสั่งของเขาได้ ทำให้เขาลืมที่จะสนใจรายละเอียดอื่นๆ ไปเสียหมดสิ้น
"พระอาทิตย์ยังไม่ทันลับของฟ้า แกหาทางกลับบ้านถูกด้วยเหรอ?"
คำพูดทักทายที่ดังมาจากทางฝั่งห้องอาหาร ทำให้จิณณพัฒต้องชะงักปลายเท้าที่กำลังจะก้าวขึ้นบันไดบ้านขึ้นไปชั้นบน หันกลับมามองแล้วถอนใจ
"แล้วเมื่อไหร่ แกถึงจะเลิกเล่นละครบ้าบอไร้สาระนั่น เลิกไอ้อาชีพดาราเต้นกินรำกิน แล้วหันมาทำตัวมีประโยชน์ ช่วยงานชั้นที่โรงพยาบาลบ้าง" ชายสูงวัยที่นั่งประจำอยู่ที่หัวโต๊ะอาหารกล่าวซ้ำอีก
ครอบครัวชญานนท์เป็นต้นตระกูลของคนไทยเชื้อสายจีน ที่มาตั้งรกรากอยู่ที่เมืองไทยตั้งแต่สมัยอยุธยา ประกอบอาชีพรับราชการสืบเชื้อสายกันมา จนกระทั่งถึงรุ่นคุณจักรกฤษ ซึ่งไม่ชอบงานในสายอาชีพนี้ จึงเลือกที่จะหันไปเรียนทางด้านการแพทย์ แรกๆ ก็อาศัยยืมทุนเรียน จบออกมาใช้หนี้ทุนอยู่ไม่กี่ปี ก็เปิดคลินิคเล็กๆ ของตัวเอง ก่อนจะผันมาจับธุรกิจทางด้านสุขภาพอนามัยอย่างเต็มตัว ด้วยการเปิดโรงพยาบาลชญานนท์ขึ้นมา บริหารเองเป็นแพทย์เอง ดึงเอาเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่เรียนรุ่นๆ เดียวกันมาเป็นแพทย์ในโรงพยาบาล แล้วผันตัวเองมาเป็นผู้บริหาร ใช้ทักษะการบริหารอย่างมืออาชีพ พัฒนาจนทุกวันนี้โรงพยาบาลชญานนท์ ขยายสาขาไปแทบทุกจังหวัดในประเทศไทย
นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้ คุณจักรกฤษไม่ค่อยจะพอใจนัก เมื่อบุตรชายคนเล็กของท่าน ที่ท่านปลูกฝังให้ไปร่ำเรียนทางด้านการบริหารมาจากเมืองนอกเมืองนา แต่พอจบมากลับเลือกที่จะไปทำอาชีพเป็นนักแสดง แทนการสืบทอดความตั้งใจของท่าน ด้วยการมาดูแลกิจการโรงพยาบาลชญานนท์ตามที่ท่านตั้งใจไว้ ดังนั้น ทุกครั้งเมื่อเจอหน้ากันผู้เป็นพ่อจึงมักจะพูดถึงแต่เรื่องนี้ จนเป็นสาเหตุให้บุตรชายคนเล็ก ไม่ค่อยอยากจะกลับบ้านซักเท่าไหร่
"แล้วแบบไหนล่ะครับ ที่เรียกว่าทำตัวมีประโยชน์ มีสาระ" คนพูดเบ้ปากถาม ก่อนจะปลายหางตาไปยังอีกหนึ่งผู้ร่วมโต๊ะอาหารกับบิดา แล้วเอ่ยต่อ "ต้องแบบลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของคุณพ่อสินะครับ ถึงจะเรียกว่าดี"
"ใช่..." คุณจักรกฤษเสียงเข้ม สีหน้าเริ่มเอาเรื่องขึ้นมา เมื่อมีการเอ่ยอ้างไปถึงบุตรชายคนโต ซึ่งถูกพาดพิงแบบไม่รู้อิโหน่อิเหน่ "แกหัดทำตัวดีๆ เหมือนพี่ชายแกมั่ง"
"เค้าไม่ใช่พี่ชายผม"
จิณณพัฒเลือดขึ้นหน้าเมื่อบิดาเอ่ยชมพี่ชายต่างสายเลือด ขณะที่ไม่เคยมองเขาในแง่ดีเลยแม้แต่ครั้งเดียว ไม่ว่าจะด้วยเรื่องอะไรก็ตาม จึงไม่เคยมีสักครั้งเช่นกันที่จิณณพัฒจะให้เกียรติ หรือแม้แต่เกรงใจพี่ชายต่างสายเลือดที่บิดาพยายามยัดเยียดให้มาเกี่ยวดองกับเขา ทั้งๆ ที่เขาไม่เต็มใจรับ
"คุณพ่อความจำเสื่อมรึไง ถึงได้คิดว่าไอ้ลูกนอกไส้นั่นเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเอง ผมไม่มีทางยอมรับได้ว่าเค้าเป็นพี่"
"ไอ้จิณณ์..." คุณจักรกฤษเหลืออด วางช้อนส้อมในมือกระแทกลงบนจานข้าว แล้วก้าวฉับมาหาบุตรชายที่ยืนเถียงคอเป็นเอ็นอยู่ที่บันได
ด้วยวัยที่สูงเกือบเจ็ดสิบปีแล้ว จนต้องวางมือจากธุรกิจเพื่อมาพักผ่อนอยู่บ้าน เพราะสุขภาพเริ่มจะไม่แข็งแรง และหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะให้ลูกชายสายเลือดคนเดียวของท่านมาสานต่อสิ่งที่ตนเองสร้างไว้ ทว่ากลับไม่เป็นดังคาด นอกจากจิณณพัฒจะไม่ยอมทำตามความประสงค์ของผู้เป็นพ่อแล้ว การกระทำของเขาแต่ละอย่างยังเหมือนกับพยายามท้าทายผู้เป็นพ่ออยู่ตลอดเวลาอีกด้วย
"อ้อ! ผมลืมไปว่า นายแพทย์จักรกฤษ รักลูกนอกไส้มากกว่าลูกตัวเอง เค้ามันลูกรัก ผมมันลูกชัง แตะต้องอะไรนิดหน่อยก็ไม่ได้" คนพูดแค่นยิ้มสมเพชตัวเอง "ผมมันก็แค่ไอ้ลูกอิจฉา ที่ไม่ควรจะเกิดมาด้วยซ้ำ"
"ทำไมแกพูดแบบนี้ ...ห๊าจิณณ์" น้ำเสียงคนพูดสั่นเครือ เจ็บปวด
ร่างชายชราเริ่มโงนเงน บุตรชายคนโตทำท่าจะลุกเดินมาประคอง แต่ก็ถูกคุณจักรกฤษยกมือห้ามไว้เสียก่อน ท่านรู้ดีว่าจิรัชเป็นคนเช่นไร เช่นเดียวกับที่รู้ดีว่าจิณณพัฒเป็นคนเช่นไร ในเมื่อท่านเลี้ยงทั้งสองคนมาให้เป็นลูก ไม่ว่าจะเป็นลูกที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของท่านหรือไม่ก็ตาม ท่านก็จะรักลูกทั้งสองคนอย่างเท่าเทียม แต่น่าแปลกที่มีเพียงจิรัช บุตรชายคนโตเท่านั้นที่เข้าใจเจตนาของท่าน ขณะที่จิณณพัฒไม่เคยจะเข้าใจเลย
"ทำไมผมจะพูดไม่ได้ พ่อเกลียดผมไม่ใช่เหรอครับ ที่ผมเป็นสาเหตุทำให้แม่ต้องตาย แล้วพ่อก็รักลูกนอกไส้อย่างมันมากกว่าผม"
ถ้อยคำที่จิณณพัฒใช้หยาบคายขึ้นเรื่อยๆ จนคุณจักรกฤษทนฟังต่อไปไม่ได้ ปล่อยฝ่ามือเข้าไปประทะใบหน้าบุตรชายคนเล็กฉาดใหญ่
ซีกหน้าด้านที่เพิ่งผ่านฝ่ามือร้อนผ่าว ดวงตาคมเต็มไปด้วยแววหาเรื่อง น้อยเนื้อต่ำใจและเจ็บแค้นจ้องมองดวงหน้าของผู้เป็นบิดาด้วยความโมโหถึงขีดสุด ก่อนร่างสูงสมส่วนจะวิ่งหายออกไปทางประตูบ้านที่เพิ่งผ่านเข้ามาอีกครั้ง
คุณจักรกฤษได้แต่มองตามโดยไม่กล้าเอ่ยวาจาใดๆ กระทั่งร่างบุตรชายลับหายไปจากสายตา พร้อมๆ กับเสียงเครื่องยนต์ซึ่งดังกระหึ่มตามความรุนแรงของอารมณ์ผู้ขับขี่ ก่อนค่อยๆ ห่างออกจากตัวบ้านไป ดวงตาฝ้าฟางของชายชราจึงหันกลับมามองฝ่ามือที่เพิ่งจะใช้ลงทัณฑ์จิณณพัฒไปด้วยความรู้สึกเจ็บปวด ไม่เข้าใจยิ่งนัก...ว่าอะไรทำให้จิณณพัฒคิดและเชื่อว่าท่านรักลูกไม่เท่ากัน
"คุณพ่อครับ ผม..."
มือเหี่ยวย่นยกขึ้นห้ามก่อนที่จิรัช บุตรชายคนโตจะได้พูดอะไรต่อ เป็นสาเหตุให้จิรัช รวมทั้งเด็กรับใช้ในบ้านก้มหน้านิ่ง ด้วยรู้ดี สถานการณ์แบบนี้คนนอกสมควรอย่างยิ่งที่จะเงียบให้ถึงที่สุด แทรกหายไปกับแผ่นดินได้ยิ่งดี แม้เหตุการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้นบ่อยในบ้านชญานนท์ ทว่าครั้งนี้รุนแรงกว่าทุกครั้งตรงที่ ไม่ได้จบที่การมีปากเสียงทว่ารุนแรงถึงขั้นลงไม้ลงมือ
คุณจักรกฤษเดินเกาะราวบันไดขึ้นข้างบนแล้ว เป็นสัญญาณให้เด็กรับใช้รู้ว่าได้เวลาทำหน้าที่เก็บจานชามบนโต๊ะให้เรียบร้อย จิรัชมองตามร่างบิดาไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลายเช่นทุกครั้ง ที่แม้เขาจะนั่งอยู่ด้วยในเหตุการณ์ แต่เขาก็ไม่เคยมีความหมายในสายตาจิณณพัฒเลย
 
 
ชลฉัตรนั่งรออยู่ที่ผับชื่อดังใจกลางมือหลวงประมาณครึ่งชั่วโมง ชายหนุ่มที่เป็นคนโทรศัพท์ไปนัดหมายให้เธอออกมาเที่ยวเป็นเพื่อนจึงค่อยเดินทางมาถึง แม้จะเป็นเวลาที่ค่อนข้างจะดึกมากแล้ว และวันนี้เธอก็เหนื่อยเหลือเกินกับงานเดินแบบที่เพิ่งจะเสร็จสิ้น ยังไม่ทันจะได้อาบน้ำชำระร่างกายให้สดชื่นสมที่ใจปรารถนาเลยด้วยซ้ำ พอได้รับโทรศัพท์จากขอให้ออกมาพบ หญิงสาวก็ยินดีและไม่ลังเลซักนิดที่จะตอบตกลง
จะให้ทำอย่างไรได้ ก็ในเมื่อข่าวซุปซิปเกี่ยวกับเรื่องที่มาที่ไปของมรดกหนี้มหาศาลที่บิดาของเธอ พลเอกชวลิต รัตนไพศาลมอบไว้ให้เป็นภาระสำหรับเธอและมารดาซึ่งก็อายุมากแล้วนั้น เริ่มจะหนาหูขึ้นเรื่อยๆ จริงของพวกแมงเมาส์ที่นินทาว่าเธอต้องการจะเกาะจิณณพัฒเพื่อให้เงินทองอันมหาศาลของเขามาช่วยกอบกู้ฐานะทางการเงินให้กับครอบครัวของเธอ ซึ่งจะถูกยึดบ้านในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้แล้ว หากว่าหาเงินมาชดใช้หนี้สินไม่ทัน แต่อีกส่วนลึกๆ ในใจนั้น หญิงสาวก็มีความรู้สึกดีๆ ให้กับจิณณพัฒเช่นกัน เพราะคงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า เขาเป็นผู้ชายที่เพอเฟคมาก ไม่ว่าจะรูปร่างหน้าตา หน้าที่การงาน ชื่อเสียงในสังคม และที่สำคัญที่สุด ฐานะครอบครัว สมบูรณ์พร้อมไปเสียทุกอย่าง ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่หญิงสาวจะรู้สึกดีกับการที่บรรดานักข่าวสำนักต่างๆ มักจะเขียนข่าวซุปซิปถึงความสัมพันธ์เกินเลยความเป็นเพื่อนระหว่างเธอกับจิณณพัฒ
"มีอะไรให้เชอรี่ช่วย บอกมาได้เลยนะคะจิณณ์ เชอรี่พร้อมจะอยู่เคียงข้างคุณเสมอ" เชอรี่จีบปากจีบคอบอก พลางส่งส่ายตาแสดงความจริงใจหวังให้อีกฝ่ายรับรู้เจตนาบริสุทธิ์ของเธอ หลังจากที่สั่งเครื่องดื่มตัวโปรดมาเสิร์ฟให้เขาอย่างรู้ใจ หญิงสาวเชื่อมั่นเหลือเกินว่า ข่าวที่เธอกำลังพยายามให้สายของเธอในวงการข่าวปั่นให้มันดังอยู่ตอนนี้ เริ่มเข้าใกล้ความเป็นจริงแล้ว เพราะเวลานี้นอกจากเธอแล้วก็ไม่เห็นจิณณพัฒจะไปเข้าใกล้หรือยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงคนไหน
นางเอกกี่คนต่อกี่คนที่เล่นละครด้วยกันมา ก็มีแต่เธอที่เรียกได้ว่าเป็นคู่จิ้น ที่แฟนคลับทั้งในและนอกวงการต่างพยายามส่งเสริมให้เป็นคู่รักนอกจอขึ้นมาจริงๆ และตอนนี้ ด้วยท่าทีที่จิณณพัฒไม่เคยปฏิเสธความสนิทสนมทุกรูปแบบที่เธอพยายามหยิบยื่นให้ ก็น่าจะเป็นคำตอบที่ชัดเจนเพียงพอแล้ว สำหรับความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขาในเวลานี้
คนอื่นจะมองเช่นไรก็ช่าง แต่เธอจะต้องจับเขาให้อยู่หมัด... นี่คือคำบัญชาจากคุณหญิงจินตราผู้เป็นมารดาของเธอ เพราะเธอคือคนเดียวที่จะช่วยให้ครอบครัวรอดพ้นจากการถูกฟ้องล้มละลาย
"เชอรี่เห็นใจ และเข้าใจคุณทุกเรื่องนะคะจิณณ์ ขอให้ไว้ใจเชอรี่ เชอรี่คิดยังไงกับคุณ คุณก็รู้นี่คะ" หญิงสาวพยายามอีก เมื่อจิณณพัฒเอาแต่นิ่งเงียบ และตั้งหน้าตั้งตาดื่มเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์พวกนั้นแก้วต่อแก้วโดยไม่มีทีท่าว่าจะเล่าหรือระบายอะไรให้เธอฟังตามที่ควรจะเป็นเลย เพราะในฐานะคนรัก คนรู้ใจ เพื่อนสาวที่สนิทที่สุด หรืออะไรก็ตามแต่ที่คนทั่วไปจะเรียกกัน เธอก็น่าจะเป็นคนที่เขาอยากเจอในยามที่ทุกข์ และอยากจะปรับทุกข์ด้วย ซึ่งเธอก็พยายามยื่นความช่วยเหลือให้แก่เขา แต่ฝ่ายเขากลับนิ่งเงียบ
"วันนี้เสียดายที่เชอรี่ติดถ่ายแบบสำคัญ เลยไม่ได้ไปที่กองถ่าย เป็นไงบ้างคะ...ฉากเปิดกล้อง ผ่านไปด้วยดีมั้ย?"ด้วยจนปัญญาที่จะหาเรื่องมาชวนคุย เมื่อฝ่ายนั้นยังเงียบ ชลฉัตรจึงเปลี่ยนเรื่อง เผื่อมันมีผลทำให้เขายอมเปิดปากได้บ้าง
ซึ่งก็ได้ผล จิณณพัฒคลายสีหน้าเคร่งขรึมแล้วเหยียดริมฝีปากยิ้มอย่างผู้กำชัย ไม่มีประโยชน์อะไรที่เขาจะเสียเวลาหมกมุ่นอยู่แต่กับความเคียดแค้น ที่แน่นอนว่าบิดาของเขาหรือแม้แต่จิรัช ชายหนุ่มที่เขาเกลียดชังยิ่งนักไม่มีทางจะมารับรู้ด้วย เรื่องที่ชลฉัตรเอ่ยถามจึงกลายมาเป็นประเด็นที่น่าสนทนาและน่าคิดถึงมากกว่า เมื่อนึกถึงสีหน้าจำยอมของใครบางคน รอยยิ้มแบบสมใจจึงปรากฏบนใบหน้าคม
"ยิ้มแบบนี้...ต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ ใช่มั้ยคะจิณณ์" ชลฉัตรเดาจากสีหน้า
"ก็แค่...บทเรียนสั่งสอนพวกมือใหม่เล็กๆ น้อยๆ ก็เท่านั้น" เขาบอก เสียงเริ่มอ้อแอ้ ดวงหน้าเกลี้ยงเกลาเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงบริเวณสองแก้มและรอบดวงตา
"ไม่ต้องเล่าต่อ เชอรี่ก็พอจะเดาออกแล้วล่ะค่ะ ว่าตอนจบของฉากเปิดกล้องใครชนะ" เสียงหัวร่อต่อกระซิกแบบเอาใจดังขึ้น
ไม่ใช่ว่าไม่กังวล ทุกครั้งที่มีผู้หญิงหน้าตาดีเข้ามายุ่งเกี่ยวป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ จิณณพัฒ ทว่าจะทำอย่างไรได้ ในเมื่ออาชีพนักแสดง ในวงการย่อมมีแต่คนที่หน้าตาดีๆ และทุกครั้งที่จิณณพัฒต้องแสดงละครหรือร่วมงานกับคนอื่นชลฉัตรมักจะแอบระแวดระวัง และมักจะหาทางให้เพื่อนสนิทในวงการข่าวของเธอช่วยกระพือข่าวเธอกับจิณณพัฒ เพื่อเป็นการแสดงความเป็นเจ้าของกลายๆ ผู้หญิงเหล่านั้นจะได้ไม่กล้าเข้าใกล้ผู้ชายที่เธอหมายปองมากเกินกว่าความเป็นเพื่อนร่วมงาน
ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกันหญิงสาวแอบคอยสังเกตอยู่เหมือนกัน แม้แม่นักเขียนบทละครนั่นเธอจะยังไม่ได้เห็นหน้าค่าตาจริงๆ แต่เมื่อได้ยินสายข่าวในกองถ่ายโทรมารายงานว่าจิณณพัฒให้เกียรติถึงขั้นมีเรื่องด้วย เธอก็อดไม่ได้ที่จะระแวง หนำซ้ำยังมีแม่ธารธารานางแบบหน้าใหม่ที่รูปร่างหน้าตาไม่ได้ด้อยไปกว่าใครเลยอีกคน ยิ่งทำให้เธอต้องระแวดระวังมากยิ่งขึ้น ไม่ให้มีมือดีมาฉกชิ้นปลามันของเธอไป แต่เมื่อเธอได้รู้บทสรุปของเรื่องแล้ว เธอก็พอใจยิ่งนัก
เพราะมันทำให้เธอมั่นใจได้ว่า จิณณพัฒคงไม่ได้พิศวาสอะไรผู้หญิงสองคนนี้นัก โดยเฉพาะอันนา นักเขียนบทเจ้าของนามปากกากันติชา ที่ตอนแรกที่ได้ยินสายข่าวเล่าว่าผู้หญิงคนนี้หน้าตาดีมาก เธอก็เกิดหนักใจ และลองหาเรื่องคุยเพื่อหยั่งเชิงจิณณพัฒไปเท่านั้น ไม่ได้อยากรู้อะไร เพราะเธอรู้ทุกเรื่องหมดแล้วจากปากสายข่าว
แต่ท่าทางที่จิณณพัฒแสดงออกทุกครั้งที่เอ่ยถึงแม่นักเขียนบท ดูจะเกลียดชังมากเสียกว่าสนใจ จึงทำให้ชลฉัตรหายใจคล่อง และมั่นใจมากยิ่งขึ้นว่าเส้นทางรักระหว่างเธอกับจิณณพัฒคงอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแล้ว
ในโลกนี้ไม่น่าจะมีผู้หญิงคนไหนที่ได้เข้าใกล้ และรู้ใจเขาไปเสียหมดทุกอย่างมากเท่าเธออีกแล้ว
 
 
ร่างป้อแป้ของจิณณพัฒถูกพยุงออกมาที่รถก่อนเวลาผับปิดไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง หลังจากที่เขายกเครื่องดื่มกรอกรวดลงคอไปหลายแก้วจนแทบนับไม่ถ้วน เป็นเหตุให้เมามายเดินไม่ไหวจนต้องเป็นภาระให้ชลฉัตรต้องหิ้วปีกแบบทุลักทุเลมาขึ้นรถ ซึ่งฝ่ายหญิงแม้จะได้รับการเสนอตัวเข้าช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหน้าผับ หรือบริการหนุ่มร่างใหญ่หลายคนที่อาสาจะช่วยเธอพยุงพระเอกหนุ่มมาส่งให้ที่รถ แต่ก็กลับถูกเธอปฏิเสธทั้งหมด เพราะเธอจะได้มีภาพแอบถ่ายให้ปาปารัซซี่ในแบบฉบับที่ถึงเนื้อถึงตัวมากขึ้น
ที่ผ่านมา หลายครั้งแล้วที่เธอพยายามเสนอตัวทอดสะพานให้จิณณพัฒ ทั้งในยามที่เขามีสติสัมปชัญญะ หรือไม่มีก็ตาม แต่เขาก็ไม่เคยล่วงเกินเธอเลยแม้แต่ปลายเล็บ ซึ่งเธอก็แปลกใจเหมือนกันว่าพระเอกหนุ่มหน้าตาดี ท่าทางเหมือนคาสโนว่าอย่างเขา ทำไมถึงไม่สนใจใยดีสะพานคอนกรีตเสริมเหล็กที่เธอทอดให้ แต่ช่างเถอะ...ที่ผ่านมาไม่สนใจก็แล้วไป แต่ต่อไปนี้หญิงสาวจะพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อผูกพันเขาทางใจแทน เพราะมันคงจะเหนียวแน่นมากกว่าทางกายยิ่งนัก
 
 
รถคันเล็กซึ่งขับผ่านหน้าผับมาพอดีเลื่อนกระจกด้านข้างคนขับลงเพื่อเพ่งมองไปยังภาพหญิงชายที่กอดก่ายกันแบบเนื้อแนบเนื้อบริเวณที่จอดรถหน้าผับติดกับถนน เมื่อแน่ชัดแล้วว่าไม่ผิดจากที่เธอคาดการณ์ เรียวปากบางก็เบ้เบี้ยวบู้บี้ ก่อนจะแตะคันเร่งให้เร็วขึ้นเพื่อกลับถึงบ้านให้เร็วที่สุด
"ก็เค้าหล่อ รวยซะขนาดนั้น ยัยไฮโซนั่นก็คิดจะจับไปพยุงฐานะที่จะล้มแหล่มิล้มแหล่ของครอบครัวหล่อนน่ะสิ"
นี่คือผลตอบรับของเรื่องราวที่อันนาอุตส่าห์รีบบึ่งรถกลับมาบ้านเพื่อบอกเล่าให้แก่เพื่อนสาวฟัง โดยหวังว่าหลังจากได้ฟังเรื่องราวที่เธอเล่าเพราะได้เห็นมากับตาตัวเองแล้ว ฝ่ายนั้นจะตาสว่าง เลิกหลงใหลได้ปลื้มนายพระเอกหน้าปลาจวดนั่นเสียที
แต่การณ์กลับไม่เป็นดังคาด เพราะนอกจากจะไม่สามารถทำให้ธารธาราเลิกหลงใหลจิณณพัฒได้แล้ว ยังทำให้เธอได้รู้เพิ่มว่า ธารธาราคงปลื้มจิณณพัฒเอามากๆ มากถึงขนาดหูหนวกตาบอด และเธอก็คงจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้อีก แต่ถึงกระนั้นอันนาก็ยังไม่เลิกล้มความตั้งใจที่จะเปลี่ยนความคิดเพื่อนให้จงได้ สักวันหนึ่งเธอต้องพิสูจน์ให้ธารธาราได้เห็นว่าจิณณพัฒเป็นผู้ชายที่ไม่สมควรได้รับการชื่นชมแม้แต่น้อย
 
.........................................................................................................
ด้วยรักมากมาย...จากใจศรินทร์

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา