ตราบฟ้าไร้ดาว
5.8
เขียนโดย Kankrao
วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2558 เวลา 15.46 น.
27 ตอน
2 วิจารณ์
32.01K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 1 กันยายน พ.ศ. 2558 16.01 น. โดย เจ้าของนิยาย
9) ไม่อาจจะฝืนทน ๑๐๐%
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความโดยไม่ได้ล่วงรู้ว่าทุกอิริยาบทอยู่ภายใต้สายตาของว่าที่เจ้าบ่าวที่มีแว่นกันแดดบทบังไว้ระหว่างรอให้ทุกอย่างเรียบร้อย ไม่รู้ทำไมเขาถึงอยากจะรู้นักว่าช่างภาพสาวทำไมถึงไว้ผมสาวมากเป็นพิเศษ
อาจจะเป็นเพราะมองแล้วสะดุดตา น่ามองกว่าสาวผมยาวปะหลังก็เป็นได้ หรืออาจจะเพราะใบหน้าหวานใส นัยตาคู่เศร้าเวลาที่เขามองไปก็เป็นได้ เขาเองก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าทำไมชอบแอบบมองเธอนัก
นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมบ่ายเมื่อวานนี้กระทั่งวันนี้เขาถึงได้หาแว่นกันแดดมาบดบังสายตาเอาไว้ เพราะอยากมอง อยากจ้อง อยากรู้จักสาวผมยาวสะดุดตานั่นเอง
“คุณย่ากับคุณร๊อกยิ้มนิดเดียวนะคะ ค้างไว้นะคะ เด็กๆ ค่อยๆ ปล่อยด้ายเรื่อยๆ เรื่อยๆ เรื่อยๆ แล้วปล่อยมือเลย นั่นล่ะๆ ยิ้มค่ะยิ้ม”
ร่างกายสูงใหญ่สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อประโยคนี้ดังเข้าหู เคราะห์ดีที่คนข้างๆ ไม่รู้ไม่เห็น ตัวถึงได้ทำตามคำสั่ง ขณะสองสายตาก็จังไปยังช่างภาพสาว
ที่ปากก็สั่งไป มือบางก็รัวชัตเตอร์ไปไม่ยั้ง ขาก็ก้าวขึ้นบันไดไปให้สูงอีกขั้น เพื่อเก็บภาพสวยๆ โดยไม่ได้ห่วงว่าตัวเองจะตกแต่อย่างใด แต่สุดท้ายงานก็ออกมาสมบูรณ์แบบ
จนได้ย้ายลงไปถ่ายที่ชายหาดเทียมที่ลาดพื้นปูนครอบหากเลนเอาไว้ แล้วหาทรายมาโรยทับไว้ที่ความหาหนึ่งฟุตและทอดยาวไปสองกิโลเมตร เท่าความยาวของเนื้อที่โรงแรม
ท่ามกลางฝูงนกนางนวล “แซ้งเอาปลาโปรยนำหน้าไปก่อน คุณย่ากับคุณร๊อกค่อยวิ่งตามไปนะคะ เข้าไปให้ทันฝูงนกเลยค่ะ”
+++++++++++++++
ตากล้องร้องสั่ง ตัวก็กำลังนั่งกึ่งนอนอยู่กับเก้าอี้เล็กๆ เพื่อรอจับภาพ “นับสามแล้ววิ่งนะคะ แซ้งโปรย หนึ่ง สอง สาม วิ่งค่ะ เร็วๆ ค่ะ ให้ทันฝูงนกค่ะ”
มือก็รัวชัตเตอร์ไม่ยั้งเช่นเคย และกว่าจะได้ภาพสวยๆ ก็หมดปลาไปหลายถัง สองว่าที่บ่าวสาวก็วิ่งจนเหนื่อยไปตามๆ ก่อน โดยเฉพาะว่าที่เจ้าสาวที่ไม่ใคร่ได้ออกกำลังกายนัก
ตามเนื้อตัวของช่างภาพก็เปื้อนไปด้วยทราย เพราะทั้งนั่ง นอนคว่ำ นอนหงายไปกับทราย เพื่อให้ได้มุมกล้องแปลกตา สวยเก๋ไก๋กว่าใคร ตามคอนเซฟของเจ้าสาวที่อยากได้ความแตกต่างไม่ซ้ำใคร
“พักทานข้าวได้แล้วใช่หรือเปล่าคะคุณเอ๋ย”
เจ้าสาวหอบน้อยๆ ขณะถามออกไป “ค่ะ คุณย่าขึ้นไปเปลี่ยนชุดเลยก็ได้ค่ะ บ่ายค่อยใส่ใหม่ หรือจะแต่งชุดตอนบ่ายลงมาเลยก็ได้นะคะ ถ้าไม่กลัวเปื้อน” นี่ดูเหมือนจะเป็นประโยคที่ยาวสุดเท่าที่ดลยาได้ยินช่างภาพสาวพูดมาก็ว่าได้
“ไม่เอาดีกว่าค่ะ คุณแม่กับน้องของย่าจะมากินเที่ยงด้วย แม่ของร๊อกก็มาด้วย ขอแต่งสบายๆ ก่อนดีกว่าค่ะ คุณเอ๋ยกับน้องๆ ก็ไปทานด้วยกันนะคะ เราเตรียมไว้แล้ว ใช่มั้ยคะร๊อก”
มือบางๆ ขาวๆ กับแขนเรียวคว้าแขนแฟนหนุ่มขณะหันไปถาม พร้อมกับรอยยิ้มพิมใจก็ส่งให้พร้อมกัน “ครับ เชิญทุกคนที่ห้อง จัสมินได้เลยนะครับ ผมขอตัวไปคุยธุระครู่หนึ่ง แล้วจะตามไป”
+++++++++++++++
เพราะมีงานรออยู่ให้ต้องไปเซ็นหลายแฟ้ม ชลธิปถึงต้องรีบผละไป ทิ้งให้คู่หมั้นมองตามหลังด้วยใบหน้ายิ้มน้อยๆ ก่อนจะหันมาหาช่างภาพสาว “ร๊อกยุ่งทั้งวันทั้งคืนค่ะคุณเอ๋ย เพราะกำลังจะจัดงานเปิดโรงแรมพอดี”
“ค่ะ”
ดลยาอยากจะคุยต่อ แต่เห็นสาวตรงหน้าไม่มีทีท่าว่าจะอยากอ้าปากเอ่ยอะไรนัก เลยพยักหน้าให้ติ้งช่างแต่งหน้าเป็นการชวนขึ้นห้องชั้นบนเพื่อเปลี่ยนชุด
“ว่าไงจ๊ะเจ้าสาว ถ่ายไปถึงไหนแล้ว แล้วถ่ายใกล้จะเสร็จกันหรือยัง”
พอลงมาที่ห้องอาหาร ดลพรผู้เป็นแม่ก็ทักทายขึ้นด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “คุณแม่มาถึงนานหรือยังคะ” ดลยายกมือไหว้แม่ตัว และไหว้อติรัตน์ว่าที่แม่สามีอย่างนอบน้อม
“แม่เพิ่งมาถึงจ้ะ”
“ถ่ายมาตั้งแต่เช้าเหนื่อยหรือเปล่าจ๊ะหนูย่า” อติรัตน์รับไหว้ว่าที่สะใภ้ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มไม่แพ้กัน “ไม่เหนื่อยค่ะคุณป้า เชิญที่โต๊ะเลยค่ะ อีกหน่อยร๊อกคงจะลงมาค่ะ”
ดลยาเดินนำไปยังโต๊ะอาหารใหญ่สามารถมองออกไปเห็นวิวทะเลได้สบาย “ช่าจ๊ะ พี่ฝากดูแลแป๊บหนึ่งนะ เดี๋ยวพี่ไปชวนคุณเอ๋ยมานั่งกินด้วยกัน”
“ค่ะ”
ดลชารับคำพี่อย่างเต็มอกเต็มใจ แล้วเลื่อนเก้าอี้ให้ตัวเอง เพราะผู้จัดการร้านอาหารกับเด็กเสิร์ฟอีกคนกำลังเลื่อนให้ผู้ใหญ่ทั้งสองอยู่ “พี่เราจะไปชวนใครมากันล่ะช่า”
+++++++++++++++
น้ำเสียงของดลพรแปร่งไปนิด ขณะหันไปมองลูกที่ยืนอยู่โต๊ะอีกตัวตรงมุมห้อง “นั่นสิคะ รัตน์เองก็ไม่เคยเห็น ดูแต่งตัวเข้าสิคะ มอซอจังเลย ยีนส์เก่าๆ ขาดๆ เสื้อยืดตราห่านอีก หนูย่าไปรู้จักได้ยังไงกัน”
อติรัตน์เองก็มองไปยังว่าที่สะใภ้เช่นกัน ยิ่งไม่ชอบใจเมื่อเห็นมือสะใภ้จับอีกมือผิวสีน้ำผึ้งเดินตรงมา “คุณแม่คะ นี่คุณ...”
“อ้าว! พ่อร๊อกลงมาแล้วเหรอจ๊ะ นั่งข้างน้าก็ได้จ้ะ เป็นไงบ้างเหนื่อยหรือเปล่า” ประจวบเหมาะกับที่ชลธิปก็กำลังเดินเข้ามาหาที่โต๊ะพอดี ดลพรเลยทำเป็นหันไปทักทาย
“วันนี้มีเมนูเด็ดอะไรจะแนะนำแม่บ้างจ๊ะท่านเจ้าของโรงแรม”
อติรัตน์เองก็ไม่คิดจะให้ความสนใจคนที่สะใภ้พามาเช่นกัน และเลี่ยงที่จะหันไปหาลูกชายที่ลงมาในชุดสูทราคาแพง ที่ส่งให้ลูกหล่อเหลาบาดตาบาดใจสาวๆ ทั้งเมืองแทน
“สวัสดีครับคุณน้า คุณแม่ เดี๋ยวเชฟจะมาเสิร์ฟและแนะนำอาหารด้วยตัวเอง เพื่อเป็นเกียรติกับเจ้าของเงินที่ผมเอามาใช้สร้างโรงแรมนี้ครับ”
ชลธิปยกมือไหว้แม่ตัว แม่แฟนแล้วเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มน้อยๆ ขณะทรุดกายลงนั่ง “คุณเอ๋ยนั่งตรงนี้นะคะ นี่คุณแม่ของย่า นั่นคุณแม่ของร๊อกค่ะ” ดลยาเห็นท่าทีแม่ตัวและแม่ว่าที่สามีแล้ว เลยตัดสินใจให้วริญรำไพนั่งคั่นกลางระหว่างตัวเองกับน้องสาวแทน
“สวัสดีค่ะ”
+++++++++++++++
สองมือบางยกไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสองด้วยท่าทีนอบน้อม และหากจะไม่ถือว่ามองในแง่ร้อยเกินไป วริญรำไพก็เห็นทั้งสองยกมือรับไหว้ด้วยท่าทีไม่เต็มใจ ด้วยท่าทีเสียไม่ได้
“อีกหน่อยสองหนุ่มก็คงจะตามมา” อติรัตน์หันไปหาลูกกับว่าที่สะใภ้ ขณะเบี่ยงตัวให้พนักงานยกอาหารมาลงโต๊ะ ดลยาอดสงสัยไม่ได้ เพราะเมื่อเช้าพ่อบอกว่าจะประชุมถึงบ่ายๆ
“อ้าว! คุณพ่อกับคุณลุงมาด้วยเหรอคะ”
“ตอนแรกว่าจะไม่จ๊ะหนูย่า แต่พอดีป้าโทรไปชวนด้วยตัวเอง เลยพากันเปลี่ยนใจ และอยากจะมาดูช่างติดตั้งหลอดไฟรอบตึกด้วยจ๊ะ” อติรัตน์หันมาอธิบาย
“นั่นไงมากันแล้วค่ะคุณพร” ดลพรมองไปยังประตูห้องอาหารก็เห็นสามีเดินมา
“คุณสุก็มาพอดีเลยค่ะคุณเอ๋ย ดีจังจะได้กินข้าวพร้อมกันเลย” ดลยาที่มองไปตามคำแม่ก็เห็นสุภาภรณ์เดินตามหลังพ่อตัวกับพ่อว่ามีสามีมาพอดี
ชลธิปรีบลุกขึ้นต้อนรับอย่างสุภาพ ดลยากับน้องสาวทำเหมือนกัน วริญรำไพก็เลยต้องลุกตาม แล้วยกมือไหว้ตามทั้งสองเมื่อดลยาแนะนำให้รู้จัก และยังพอชื้นใจกว่าเมื่อครู่ที่คนทั้งสองยกมือรับไหว้พร้อมด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสมาให้
แม้ต่อจากนั้นแทบจะไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาเลย นอกจากตักอาหารเข้าปากช้าๆ ควบคู่กับการฟังสองครอบครัวคุยกันอย่างสนุกสนาน และดึงเอาเจ้านายสาวเข้าไปร่วมวงคุยด้วยอย่างเต็มอกเต็มใจ โดยเฉพาะสองแม่ที่คุยเก่งกว่าสองพ่อ
+++++++++++++++
“เห็นคุณสุบอกว่าคุณเอ๋ยอยู่กระบี่เหรอคะ ย่าล่ะอิจฉาจังเลยกลับบ้านทีคงได้เที่ยวเกาะจนเพลินเลยนะคะ”
นานๆ ทีดลยาจะว่างจากคุยกับคนอื่นแล้วหันมาหาสักครั้ง “ค่ะ” ส่วนตัวเองก็ตอบสั้นๆ ออกไปแค่นั้นเพราะไม่รู้ว่าจะพูดอะไร
“แล้วตกลงว่าร๊อกจะจัดงานเปิดโรงแรมก่อนค่อยจัดงานแต่งใช่มั้ยลูก เปลี่ยนมาเป็นแต่งก่อนแล้วค่อยเปิดไม่ได้เหรอ”
ดลยาละความตั้งใจที่จะหันไปถามช่างภาพสาว เมื่ออติรัตน์ชิงเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาก่อน แม้จะไม่ใคร่ชอบใจนักที่เรื่องนี้ถูกหยิบยกมาคุยต่อหน้าคนนอก แต่ดลยาก็เข้าใจว่าน้อยหนักหนาที่สองครอบครัวจะมีเวลาว่างได้มาอยู่พร้อมหน้ากันแบบนี้
“ผมตั้งใจว่าอย่างนั้นครับ ก็กฤษ์แต่งงานของคุณแม่เลื่อนขึ้นหรือลงไม่ได้นี่ครับ อีกอย่างผมก็เตรียมงานเปิดไปหลายอย่างแล้ว คงเปลี่ยนอะไรไม่ได้หรอกครับ”
ชลธิปรู้ดีว่าแม่ประสงค์จะให้มีงานแต่งเกิดขึ้นเร็วๆ เพราะอยากอุ้มหลานเร็วๆ “จริงด้วยค่ะคุณป้า อีกอย่างย่าก็ไม่อยากทำอะไรแบบรีบๆ กลัวจะออกมาไม่ดี ทีมงานคุณสุก็ยังบอกด้วยว่าสองเดือนกว่าที่เหลือเตรียมอะไรแทบไม่ทันค่ะ จริงมั้ยคะคุณสุ”
ดลยารู้ดีว่าแฟนหนุ่มคิดยังไง เลยรีบสมทบ “ค่ะ มีหลายอย่างต้องทำค่ะ งานแต่งสมัยนี้จะทำแบบรีบๆ เร่งๆ เหมือนสมัยก่อนไม่ได้หรอกค่ะ” รวมทั้งสุภาภรณ์ด้วย ที่บอกออกมาตามจริงทุกอย่าง
+++++++++++++++
“ป้าก็ถามดูจ๊ะหนูย่า เผื่อพ่อนักธุรกิจจอมงานยุ่งของป้าจะสับเปลี่ยนตารางได้บ้าง”
อติรัตน์ส่งสายตาเอ็นดูไปหาลูกชาย “จะเปลี่ยนได้ยังไงล่ะคุณก็ งานลูกวางไว้ดีแล้ว และเกี่ยวข้องกับคนหลายคน คงจะทำอะไรตามอำเภอใจเราไม่ได้หรอก”
ชลธีที่ฟังเมียพูดมากว่าพูดเองเลยต้องรีบส่งน้ำเสียงเรียบเรื่อย ทว่าเสียงนั้นทรงพลังน่าเกรงขามในความคิดวริญรำไพ เพราะสะกดทุกคนให้เงียบลงได้ รวมทั้งชลธิปด้วยที่ไม่ว่าอะไรนอกจากตักอาหารใส่จานให้แม่ตัวและแม่แฟนเพียงเท่านั้น
วินาทีนี้เองที่ภาพพี่หินลอยมาอยู่ตรงหน้าวริญรำไพอย่างเด่นชัด ชัดเสียจนทนดูไม่ได้ ต้องรีบก้มหน้าไปมองจานอาหารแทน “เอ๋ยขอตัวไปดูโลเคชั่นรอก่อนนะคะ”
กระนั้นก็ยังเก็บอาการเจ็บร้าวในใจไม่ได้ เลยต้องรีบค้อมตัวให้ผู้ใหญ่ แล้วผละไปจากห้องอาหารทันที โชคดีที่ไม่มีใครผิดสังเกตใดๆ นอกจากกินต่อ คุยกันต่ออย่างสนุกสนานเท่านั้น
ผิดกับคนที่อยู่ในห้องน้ำ ที่เป็นทุกข์อย่างแสนสาหัส และมีเพียงน้ำตาคอยเป็นเพื่อน คอยเป็นเครื่องระบายความอัดอั้นตันใจที่มีออกมาแทน
เพราะไม่อาจจะบอกใครๆ ได้เลยใจก็เฝ้าภาวนาขอให้งานนี้จบลงโดยเร็ว จะได้ไปจากสภาพแวดล้อมที่บั่นทอนจิตใจให้หมองเศร้าไม่ส่างซานี้สักที
+++++++++++++++
“งั้นงานคุณอิ่มกับคุณทัชพรุ่งนี้พี่เปลี่ยนมาให้เอ๋ยรับแทนอิ้งนะ เพราะทั้งสองคนระบุมาว่าต้องเป็นเอ๋ยเท่านั้น อีกอย่างเอ๋ยคุ้นเคยกับโลเคชั่นดีแล้ว ถ่ายที่ตาเบบูญาเสร็จแล้วก็ลงไปที่สถานีรถไฟฟ้าได้เลย แล้วไปถ่ายที่อยุธยาเป็นอันจบ”
แต่เจ้านายสาวก็ไม่ยอมให้ทำแบบนั้นได้ เมื่อมีคำเรียกร้องจากลูกค้ามาแบบนั้น วริญรำไพเองก็รู้ดีว่าไม่มีทางหลีกเลี่ยงที่จะไม่ไปสถานที่แห่งนั้นได้แน่
“ค่ะ”
เลยจำต้องรับคำแค่นั้น อีกทั้งก็คาดว่าคงไม่ได้มีโอกาสได้พานพบกับเจ้าของโรงแรมนัก เพราะเห็นยุ่งกับงานตลอดเวลาตอนที่ไปถ่ายพรีเวดดิ้งให้แล้ว นั่นทำให้ใจชื้นขึ้นมาบ้าง
แต่อีกใจกลับแห้งเหี่ยวลงอย่างบอกไม่ถูก เมื่อคิดว่าย่างก้าวเข้าไปใกล้เขาขนาดนั้นแล้วแต่กลับจะไม่ได้เห็นหน้ากันอีก เพราะยังแยกเขากับพี่หินออกจากกันไม่ได้สักที แม้บนหน้าจอที่คีย์คำว่า
‘ชลธิป จิระธนานนท์’
ลงไปแล้ว ผลจะบอกออกมาอย่างโจ่งแจ้ง ว่าเขาเป็นลูกชายคนเดียวของ อติรัตน์และชลธี จิระธนานนท์เท่านั้น ไม่มีคู่แฝด ไม่มีญาติพี่น้องที่หน้าเหมือนกันเลยแม้แต่คนเดียวด้วยซ้ำ
อีกทั้งประวัติโดยย่อของเขาก็ระบุว่า อยู่เมืองไทยตั้งแต่เกิดถึงอายุสิบสองปี แล้วไปเรียนต่อมัธยมกระทั่งจบปริญญาโทที่อังกฤษ โดยไม่ได้กลับมาเมืองไทยเลย
+++++++++++++++
เรียนจบก็ทำงานหาประสบการณ์จนอายุยี่สิบเจ็บถึงได้กลับมาสานต่อกิจการหลายอย่างช่วยพ่อ ควบคู่กับการสร้าง ‘ตาเบบูญา บางปูปาร์ค รีโซเทล แอนด์ สปา’
ที่เขาเป็นคนรับผิดชอบด้วยตัวเองทั้งหมด เป็นกิจการของตัวเองที่กู้เงินจากผู้พ่อมาถึงสี่พันล้าน บนที่ดินเก้าสิบเก้าไร่อันเป็นมรดกตกทอดมาจากตระกูล ที่เขาจะต้องจ่ายค่าเช่าไปให้พ่อด้วย
“คุณเกี่ยวข้องยังไงกับพี่หินของเอ๋ยคะคุณร๊อก หรือคุณกับเขาจะเป็นคนคนเดียวกัน หรือพวกคุณจะมีพี่น้องฝาแฝดที่ต่างก็ไม่รู้จักกันและกันคะ”
กระนั้น วริญรำไพก็ยังไม่อยากจะเชื่อข้อมูลตรงหน้าจนนิดเดียว เพราะยังหวังให้มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นกับรักแรกและรักเดียวของตัวเองอยู่อย่างไม่เคยย่อท้อ นับตั้งแต่ไม่มีพี่หินให้เห็นอีกแล้วเมื่อสิบสามปีที่ผ่านมา
นั่นทำให้ตากล้องสาวตัดสินใจที่จะพาตัวเองเข้าไปให้อยู่ใกล้ๆ เขา เพื่อสืบเสาะหาข้อมูลเชิงลึก ที่อาจจะไม่มีใครรู้ หรือมีใครปิดบังอยู่จากหน้าที่การงานที่ได้รับมอบหมายในที่สุด
+++++++++++++++
“วันนี้ประชุมที่บริษัททัวร์แล้ว ผมมีประชุมเรื่องเปิดงานที่ตาเบบูญาต่อครับย่า อาจจะเลิกค่ำหรือดึก เพราะจะต้องให้บริษัทมาทำพรีเซ้นเทชั่น ภาพนิ่งทำโบชัวร์เข้ามาพรีเซ้นท์งานก่อนตัดสินใจจ้างด้วย”
เจ้าของร่างสูงร้อยแปดสิบห้า กำลังก้าวเดินลงตามบันไดโค้งวนจากชั้นสองลงมาขณะตอบคำถามแฟนสาวที่โทรมาหาทุกเช้า เพื่อถามไถ่สารทุกข์สุกดิบตั้งแต่หมั้นกันมาเมื่อสี่เดือนก่อนแล้ว
‘ร๊อกจะเสียเวลาหาทำไมล่ะคะ ก็ให้บริษัทคุณสุทำเลยสิคะ แล้วระบุไปด้วยเลยว่าให้คุณเอ๋ยเป็นตากล้องให้ ฝีมือฝีไม้เราก็เห็นตอนถ่ายงานของเราแล้วนี่คะ ย่าชอบมากๆ ค่ะ’
พอถึงชั้นล่างก็เดินตรงเข้าห้องอาหาร ที่มีแม่กับพ่อเพิ่งจะลงมาก่อนหน้าได้ไม่นาน ผู้แม่กำลังจะอ้าปากถาม เมื่อเห็นลูกคุยอยู่กับใครเลยเปลี่ยนใจ หันไปหาเด็กรับใช้ให้ตักอาหารแทน
“ยังไม่รู้ครับ แต่วันนี้คงจะยกเลิกบริษัทพวกนั้นไม่ได้หรอกครับเพราะนัดไว้แล้ว ถ้าฝีมือไม่เข้าตา เดี๋ยวผมเสนอในห้องประชุมเองก็แล้วกัน เผื่อคนอื่นๆ จะเห็นด้วยกับย่า”
ชลธิปนั่งลงตรงข้ามแม่ มีพ่อนั่งอยู่หัวโต๊ะ อีกมือก็คว้าหนังสือพิมพ์ฉบับที่พ่ออ่านจบแล้วมาถือไว้ ปากก็คุยไป แม้อยากจะวางสายแล้วสักแค่ไหนก็ไม่กล้าทำ
‘อ้าว! แล้วร๊อกไม่ชอบเหรอคะ งานคุณเอ๋ยออกมาดีจะตาย ยัยช่าเห็นแล้วยังบ่นบอกอยากมีแฟนไวๆ จะได้จัดงานแต่งเหมือนเราอยู่เลยนะคะ’
อาจจะเป็นเพราะมองแล้วสะดุดตา น่ามองกว่าสาวผมยาวปะหลังก็เป็นได้ หรืออาจจะเพราะใบหน้าหวานใส นัยตาคู่เศร้าเวลาที่เขามองไปก็เป็นได้ เขาเองก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าทำไมชอบแอบบมองเธอนัก
นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมบ่ายเมื่อวานนี้กระทั่งวันนี้เขาถึงได้หาแว่นกันแดดมาบดบังสายตาเอาไว้ เพราะอยากมอง อยากจ้อง อยากรู้จักสาวผมยาวสะดุดตานั่นเอง
“คุณย่ากับคุณร๊อกยิ้มนิดเดียวนะคะ ค้างไว้นะคะ เด็กๆ ค่อยๆ ปล่อยด้ายเรื่อยๆ เรื่อยๆ เรื่อยๆ แล้วปล่อยมือเลย นั่นล่ะๆ ยิ้มค่ะยิ้ม”
ร่างกายสูงใหญ่สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อประโยคนี้ดังเข้าหู เคราะห์ดีที่คนข้างๆ ไม่รู้ไม่เห็น ตัวถึงได้ทำตามคำสั่ง ขณะสองสายตาก็จังไปยังช่างภาพสาว
ที่ปากก็สั่งไป มือบางก็รัวชัตเตอร์ไปไม่ยั้ง ขาก็ก้าวขึ้นบันไดไปให้สูงอีกขั้น เพื่อเก็บภาพสวยๆ โดยไม่ได้ห่วงว่าตัวเองจะตกแต่อย่างใด แต่สุดท้ายงานก็ออกมาสมบูรณ์แบบ
จนได้ย้ายลงไปถ่ายที่ชายหาดเทียมที่ลาดพื้นปูนครอบหากเลนเอาไว้ แล้วหาทรายมาโรยทับไว้ที่ความหาหนึ่งฟุตและทอดยาวไปสองกิโลเมตร เท่าความยาวของเนื้อที่โรงแรม
ท่ามกลางฝูงนกนางนวล “แซ้งเอาปลาโปรยนำหน้าไปก่อน คุณย่ากับคุณร๊อกค่อยวิ่งตามไปนะคะ เข้าไปให้ทันฝูงนกเลยค่ะ”
+++++++++++++++
ตากล้องร้องสั่ง ตัวก็กำลังนั่งกึ่งนอนอยู่กับเก้าอี้เล็กๆ เพื่อรอจับภาพ “นับสามแล้ววิ่งนะคะ แซ้งโปรย หนึ่ง สอง สาม วิ่งค่ะ เร็วๆ ค่ะ ให้ทันฝูงนกค่ะ”
มือก็รัวชัตเตอร์ไม่ยั้งเช่นเคย และกว่าจะได้ภาพสวยๆ ก็หมดปลาไปหลายถัง สองว่าที่บ่าวสาวก็วิ่งจนเหนื่อยไปตามๆ ก่อน โดยเฉพาะว่าที่เจ้าสาวที่ไม่ใคร่ได้ออกกำลังกายนัก
ตามเนื้อตัวของช่างภาพก็เปื้อนไปด้วยทราย เพราะทั้งนั่ง นอนคว่ำ นอนหงายไปกับทราย เพื่อให้ได้มุมกล้องแปลกตา สวยเก๋ไก๋กว่าใคร ตามคอนเซฟของเจ้าสาวที่อยากได้ความแตกต่างไม่ซ้ำใคร
“พักทานข้าวได้แล้วใช่หรือเปล่าคะคุณเอ๋ย”
เจ้าสาวหอบน้อยๆ ขณะถามออกไป “ค่ะ คุณย่าขึ้นไปเปลี่ยนชุดเลยก็ได้ค่ะ บ่ายค่อยใส่ใหม่ หรือจะแต่งชุดตอนบ่ายลงมาเลยก็ได้นะคะ ถ้าไม่กลัวเปื้อน” นี่ดูเหมือนจะเป็นประโยคที่ยาวสุดเท่าที่ดลยาได้ยินช่างภาพสาวพูดมาก็ว่าได้
“ไม่เอาดีกว่าค่ะ คุณแม่กับน้องของย่าจะมากินเที่ยงด้วย แม่ของร๊อกก็มาด้วย ขอแต่งสบายๆ ก่อนดีกว่าค่ะ คุณเอ๋ยกับน้องๆ ก็ไปทานด้วยกันนะคะ เราเตรียมไว้แล้ว ใช่มั้ยคะร๊อก”
มือบางๆ ขาวๆ กับแขนเรียวคว้าแขนแฟนหนุ่มขณะหันไปถาม พร้อมกับรอยยิ้มพิมใจก็ส่งให้พร้อมกัน “ครับ เชิญทุกคนที่ห้อง จัสมินได้เลยนะครับ ผมขอตัวไปคุยธุระครู่หนึ่ง แล้วจะตามไป”
+++++++++++++++
เพราะมีงานรออยู่ให้ต้องไปเซ็นหลายแฟ้ม ชลธิปถึงต้องรีบผละไป ทิ้งให้คู่หมั้นมองตามหลังด้วยใบหน้ายิ้มน้อยๆ ก่อนจะหันมาหาช่างภาพสาว “ร๊อกยุ่งทั้งวันทั้งคืนค่ะคุณเอ๋ย เพราะกำลังจะจัดงานเปิดโรงแรมพอดี”
“ค่ะ”
ดลยาอยากจะคุยต่อ แต่เห็นสาวตรงหน้าไม่มีทีท่าว่าจะอยากอ้าปากเอ่ยอะไรนัก เลยพยักหน้าให้ติ้งช่างแต่งหน้าเป็นการชวนขึ้นห้องชั้นบนเพื่อเปลี่ยนชุด
“ว่าไงจ๊ะเจ้าสาว ถ่ายไปถึงไหนแล้ว แล้วถ่ายใกล้จะเสร็จกันหรือยัง”
พอลงมาที่ห้องอาหาร ดลพรผู้เป็นแม่ก็ทักทายขึ้นด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “คุณแม่มาถึงนานหรือยังคะ” ดลยายกมือไหว้แม่ตัว และไหว้อติรัตน์ว่าที่แม่สามีอย่างนอบน้อม
“แม่เพิ่งมาถึงจ้ะ”
“ถ่ายมาตั้งแต่เช้าเหนื่อยหรือเปล่าจ๊ะหนูย่า” อติรัตน์รับไหว้ว่าที่สะใภ้ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มไม่แพ้กัน “ไม่เหนื่อยค่ะคุณป้า เชิญที่โต๊ะเลยค่ะ อีกหน่อยร๊อกคงจะลงมาค่ะ”
ดลยาเดินนำไปยังโต๊ะอาหารใหญ่สามารถมองออกไปเห็นวิวทะเลได้สบาย “ช่าจ๊ะ พี่ฝากดูแลแป๊บหนึ่งนะ เดี๋ยวพี่ไปชวนคุณเอ๋ยมานั่งกินด้วยกัน”
“ค่ะ”
ดลชารับคำพี่อย่างเต็มอกเต็มใจ แล้วเลื่อนเก้าอี้ให้ตัวเอง เพราะผู้จัดการร้านอาหารกับเด็กเสิร์ฟอีกคนกำลังเลื่อนให้ผู้ใหญ่ทั้งสองอยู่ “พี่เราจะไปชวนใครมากันล่ะช่า”
+++++++++++++++
น้ำเสียงของดลพรแปร่งไปนิด ขณะหันไปมองลูกที่ยืนอยู่โต๊ะอีกตัวตรงมุมห้อง “นั่นสิคะ รัตน์เองก็ไม่เคยเห็น ดูแต่งตัวเข้าสิคะ มอซอจังเลย ยีนส์เก่าๆ ขาดๆ เสื้อยืดตราห่านอีก หนูย่าไปรู้จักได้ยังไงกัน”
อติรัตน์เองก็มองไปยังว่าที่สะใภ้เช่นกัน ยิ่งไม่ชอบใจเมื่อเห็นมือสะใภ้จับอีกมือผิวสีน้ำผึ้งเดินตรงมา “คุณแม่คะ นี่คุณ...”
“อ้าว! พ่อร๊อกลงมาแล้วเหรอจ๊ะ นั่งข้างน้าก็ได้จ้ะ เป็นไงบ้างเหนื่อยหรือเปล่า” ประจวบเหมาะกับที่ชลธิปก็กำลังเดินเข้ามาหาที่โต๊ะพอดี ดลพรเลยทำเป็นหันไปทักทาย
“วันนี้มีเมนูเด็ดอะไรจะแนะนำแม่บ้างจ๊ะท่านเจ้าของโรงแรม”
อติรัตน์เองก็ไม่คิดจะให้ความสนใจคนที่สะใภ้พามาเช่นกัน และเลี่ยงที่จะหันไปหาลูกชายที่ลงมาในชุดสูทราคาแพง ที่ส่งให้ลูกหล่อเหลาบาดตาบาดใจสาวๆ ทั้งเมืองแทน
“สวัสดีครับคุณน้า คุณแม่ เดี๋ยวเชฟจะมาเสิร์ฟและแนะนำอาหารด้วยตัวเอง เพื่อเป็นเกียรติกับเจ้าของเงินที่ผมเอามาใช้สร้างโรงแรมนี้ครับ”
ชลธิปยกมือไหว้แม่ตัว แม่แฟนแล้วเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มน้อยๆ ขณะทรุดกายลงนั่ง “คุณเอ๋ยนั่งตรงนี้นะคะ นี่คุณแม่ของย่า นั่นคุณแม่ของร๊อกค่ะ” ดลยาเห็นท่าทีแม่ตัวและแม่ว่าที่สามีแล้ว เลยตัดสินใจให้วริญรำไพนั่งคั่นกลางระหว่างตัวเองกับน้องสาวแทน
“สวัสดีค่ะ”
+++++++++++++++
สองมือบางยกไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสองด้วยท่าทีนอบน้อม และหากจะไม่ถือว่ามองในแง่ร้อยเกินไป วริญรำไพก็เห็นทั้งสองยกมือรับไหว้ด้วยท่าทีไม่เต็มใจ ด้วยท่าทีเสียไม่ได้
“อีกหน่อยสองหนุ่มก็คงจะตามมา” อติรัตน์หันไปหาลูกกับว่าที่สะใภ้ ขณะเบี่ยงตัวให้พนักงานยกอาหารมาลงโต๊ะ ดลยาอดสงสัยไม่ได้ เพราะเมื่อเช้าพ่อบอกว่าจะประชุมถึงบ่ายๆ
“อ้าว! คุณพ่อกับคุณลุงมาด้วยเหรอคะ”
“ตอนแรกว่าจะไม่จ๊ะหนูย่า แต่พอดีป้าโทรไปชวนด้วยตัวเอง เลยพากันเปลี่ยนใจ และอยากจะมาดูช่างติดตั้งหลอดไฟรอบตึกด้วยจ๊ะ” อติรัตน์หันมาอธิบาย
“นั่นไงมากันแล้วค่ะคุณพร” ดลพรมองไปยังประตูห้องอาหารก็เห็นสามีเดินมา
“คุณสุก็มาพอดีเลยค่ะคุณเอ๋ย ดีจังจะได้กินข้าวพร้อมกันเลย” ดลยาที่มองไปตามคำแม่ก็เห็นสุภาภรณ์เดินตามหลังพ่อตัวกับพ่อว่ามีสามีมาพอดี
ชลธิปรีบลุกขึ้นต้อนรับอย่างสุภาพ ดลยากับน้องสาวทำเหมือนกัน วริญรำไพก็เลยต้องลุกตาม แล้วยกมือไหว้ตามทั้งสองเมื่อดลยาแนะนำให้รู้จัก และยังพอชื้นใจกว่าเมื่อครู่ที่คนทั้งสองยกมือรับไหว้พร้อมด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสมาให้
แม้ต่อจากนั้นแทบจะไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาเลย นอกจากตักอาหารเข้าปากช้าๆ ควบคู่กับการฟังสองครอบครัวคุยกันอย่างสนุกสนาน และดึงเอาเจ้านายสาวเข้าไปร่วมวงคุยด้วยอย่างเต็มอกเต็มใจ โดยเฉพาะสองแม่ที่คุยเก่งกว่าสองพ่อ
+++++++++++++++
“เห็นคุณสุบอกว่าคุณเอ๋ยอยู่กระบี่เหรอคะ ย่าล่ะอิจฉาจังเลยกลับบ้านทีคงได้เที่ยวเกาะจนเพลินเลยนะคะ”
นานๆ ทีดลยาจะว่างจากคุยกับคนอื่นแล้วหันมาหาสักครั้ง “ค่ะ” ส่วนตัวเองก็ตอบสั้นๆ ออกไปแค่นั้นเพราะไม่รู้ว่าจะพูดอะไร
“แล้วตกลงว่าร๊อกจะจัดงานเปิดโรงแรมก่อนค่อยจัดงานแต่งใช่มั้ยลูก เปลี่ยนมาเป็นแต่งก่อนแล้วค่อยเปิดไม่ได้เหรอ”
ดลยาละความตั้งใจที่จะหันไปถามช่างภาพสาว เมื่ออติรัตน์ชิงเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาก่อน แม้จะไม่ใคร่ชอบใจนักที่เรื่องนี้ถูกหยิบยกมาคุยต่อหน้าคนนอก แต่ดลยาก็เข้าใจว่าน้อยหนักหนาที่สองครอบครัวจะมีเวลาว่างได้มาอยู่พร้อมหน้ากันแบบนี้
“ผมตั้งใจว่าอย่างนั้นครับ ก็กฤษ์แต่งงานของคุณแม่เลื่อนขึ้นหรือลงไม่ได้นี่ครับ อีกอย่างผมก็เตรียมงานเปิดไปหลายอย่างแล้ว คงเปลี่ยนอะไรไม่ได้หรอกครับ”
ชลธิปรู้ดีว่าแม่ประสงค์จะให้มีงานแต่งเกิดขึ้นเร็วๆ เพราะอยากอุ้มหลานเร็วๆ “จริงด้วยค่ะคุณป้า อีกอย่างย่าก็ไม่อยากทำอะไรแบบรีบๆ กลัวจะออกมาไม่ดี ทีมงานคุณสุก็ยังบอกด้วยว่าสองเดือนกว่าที่เหลือเตรียมอะไรแทบไม่ทันค่ะ จริงมั้ยคะคุณสุ”
ดลยารู้ดีว่าแฟนหนุ่มคิดยังไง เลยรีบสมทบ “ค่ะ มีหลายอย่างต้องทำค่ะ งานแต่งสมัยนี้จะทำแบบรีบๆ เร่งๆ เหมือนสมัยก่อนไม่ได้หรอกค่ะ” รวมทั้งสุภาภรณ์ด้วย ที่บอกออกมาตามจริงทุกอย่าง
+++++++++++++++
“ป้าก็ถามดูจ๊ะหนูย่า เผื่อพ่อนักธุรกิจจอมงานยุ่งของป้าจะสับเปลี่ยนตารางได้บ้าง”
อติรัตน์ส่งสายตาเอ็นดูไปหาลูกชาย “จะเปลี่ยนได้ยังไงล่ะคุณก็ งานลูกวางไว้ดีแล้ว และเกี่ยวข้องกับคนหลายคน คงจะทำอะไรตามอำเภอใจเราไม่ได้หรอก”
ชลธีที่ฟังเมียพูดมากว่าพูดเองเลยต้องรีบส่งน้ำเสียงเรียบเรื่อย ทว่าเสียงนั้นทรงพลังน่าเกรงขามในความคิดวริญรำไพ เพราะสะกดทุกคนให้เงียบลงได้ รวมทั้งชลธิปด้วยที่ไม่ว่าอะไรนอกจากตักอาหารใส่จานให้แม่ตัวและแม่แฟนเพียงเท่านั้น
วินาทีนี้เองที่ภาพพี่หินลอยมาอยู่ตรงหน้าวริญรำไพอย่างเด่นชัด ชัดเสียจนทนดูไม่ได้ ต้องรีบก้มหน้าไปมองจานอาหารแทน “เอ๋ยขอตัวไปดูโลเคชั่นรอก่อนนะคะ”
กระนั้นก็ยังเก็บอาการเจ็บร้าวในใจไม่ได้ เลยต้องรีบค้อมตัวให้ผู้ใหญ่ แล้วผละไปจากห้องอาหารทันที โชคดีที่ไม่มีใครผิดสังเกตใดๆ นอกจากกินต่อ คุยกันต่ออย่างสนุกสนานเท่านั้น
ผิดกับคนที่อยู่ในห้องน้ำ ที่เป็นทุกข์อย่างแสนสาหัส และมีเพียงน้ำตาคอยเป็นเพื่อน คอยเป็นเครื่องระบายความอัดอั้นตันใจที่มีออกมาแทน
เพราะไม่อาจจะบอกใครๆ ได้เลยใจก็เฝ้าภาวนาขอให้งานนี้จบลงโดยเร็ว จะได้ไปจากสภาพแวดล้อมที่บั่นทอนจิตใจให้หมองเศร้าไม่ส่างซานี้สักที
+++++++++++++++
“งั้นงานคุณอิ่มกับคุณทัชพรุ่งนี้พี่เปลี่ยนมาให้เอ๋ยรับแทนอิ้งนะ เพราะทั้งสองคนระบุมาว่าต้องเป็นเอ๋ยเท่านั้น อีกอย่างเอ๋ยคุ้นเคยกับโลเคชั่นดีแล้ว ถ่ายที่ตาเบบูญาเสร็จแล้วก็ลงไปที่สถานีรถไฟฟ้าได้เลย แล้วไปถ่ายที่อยุธยาเป็นอันจบ”
แต่เจ้านายสาวก็ไม่ยอมให้ทำแบบนั้นได้ เมื่อมีคำเรียกร้องจากลูกค้ามาแบบนั้น วริญรำไพเองก็รู้ดีว่าไม่มีทางหลีกเลี่ยงที่จะไม่ไปสถานที่แห่งนั้นได้แน่
“ค่ะ”
เลยจำต้องรับคำแค่นั้น อีกทั้งก็คาดว่าคงไม่ได้มีโอกาสได้พานพบกับเจ้าของโรงแรมนัก เพราะเห็นยุ่งกับงานตลอดเวลาตอนที่ไปถ่ายพรีเวดดิ้งให้แล้ว นั่นทำให้ใจชื้นขึ้นมาบ้าง
แต่อีกใจกลับแห้งเหี่ยวลงอย่างบอกไม่ถูก เมื่อคิดว่าย่างก้าวเข้าไปใกล้เขาขนาดนั้นแล้วแต่กลับจะไม่ได้เห็นหน้ากันอีก เพราะยังแยกเขากับพี่หินออกจากกันไม่ได้สักที แม้บนหน้าจอที่คีย์คำว่า
‘ชลธิป จิระธนานนท์’
ลงไปแล้ว ผลจะบอกออกมาอย่างโจ่งแจ้ง ว่าเขาเป็นลูกชายคนเดียวของ อติรัตน์และชลธี จิระธนานนท์เท่านั้น ไม่มีคู่แฝด ไม่มีญาติพี่น้องที่หน้าเหมือนกันเลยแม้แต่คนเดียวด้วยซ้ำ
อีกทั้งประวัติโดยย่อของเขาก็ระบุว่า อยู่เมืองไทยตั้งแต่เกิดถึงอายุสิบสองปี แล้วไปเรียนต่อมัธยมกระทั่งจบปริญญาโทที่อังกฤษ โดยไม่ได้กลับมาเมืองไทยเลย
+++++++++++++++
เรียนจบก็ทำงานหาประสบการณ์จนอายุยี่สิบเจ็บถึงได้กลับมาสานต่อกิจการหลายอย่างช่วยพ่อ ควบคู่กับการสร้าง ‘ตาเบบูญา บางปูปาร์ค รีโซเทล แอนด์ สปา’
ที่เขาเป็นคนรับผิดชอบด้วยตัวเองทั้งหมด เป็นกิจการของตัวเองที่กู้เงินจากผู้พ่อมาถึงสี่พันล้าน บนที่ดินเก้าสิบเก้าไร่อันเป็นมรดกตกทอดมาจากตระกูล ที่เขาจะต้องจ่ายค่าเช่าไปให้พ่อด้วย
“คุณเกี่ยวข้องยังไงกับพี่หินของเอ๋ยคะคุณร๊อก หรือคุณกับเขาจะเป็นคนคนเดียวกัน หรือพวกคุณจะมีพี่น้องฝาแฝดที่ต่างก็ไม่รู้จักกันและกันคะ”
กระนั้น วริญรำไพก็ยังไม่อยากจะเชื่อข้อมูลตรงหน้าจนนิดเดียว เพราะยังหวังให้มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นกับรักแรกและรักเดียวของตัวเองอยู่อย่างไม่เคยย่อท้อ นับตั้งแต่ไม่มีพี่หินให้เห็นอีกแล้วเมื่อสิบสามปีที่ผ่านมา
นั่นทำให้ตากล้องสาวตัดสินใจที่จะพาตัวเองเข้าไปให้อยู่ใกล้ๆ เขา เพื่อสืบเสาะหาข้อมูลเชิงลึก ที่อาจจะไม่มีใครรู้ หรือมีใครปิดบังอยู่จากหน้าที่การงานที่ได้รับมอบหมายในที่สุด
+++++++++++++++
“วันนี้ประชุมที่บริษัททัวร์แล้ว ผมมีประชุมเรื่องเปิดงานที่ตาเบบูญาต่อครับย่า อาจจะเลิกค่ำหรือดึก เพราะจะต้องให้บริษัทมาทำพรีเซ้นเทชั่น ภาพนิ่งทำโบชัวร์เข้ามาพรีเซ้นท์งานก่อนตัดสินใจจ้างด้วย”
เจ้าของร่างสูงร้อยแปดสิบห้า กำลังก้าวเดินลงตามบันไดโค้งวนจากชั้นสองลงมาขณะตอบคำถามแฟนสาวที่โทรมาหาทุกเช้า เพื่อถามไถ่สารทุกข์สุกดิบตั้งแต่หมั้นกันมาเมื่อสี่เดือนก่อนแล้ว
‘ร๊อกจะเสียเวลาหาทำไมล่ะคะ ก็ให้บริษัทคุณสุทำเลยสิคะ แล้วระบุไปด้วยเลยว่าให้คุณเอ๋ยเป็นตากล้องให้ ฝีมือฝีไม้เราก็เห็นตอนถ่ายงานของเราแล้วนี่คะ ย่าชอบมากๆ ค่ะ’
พอถึงชั้นล่างก็เดินตรงเข้าห้องอาหาร ที่มีแม่กับพ่อเพิ่งจะลงมาก่อนหน้าได้ไม่นาน ผู้แม่กำลังจะอ้าปากถาม เมื่อเห็นลูกคุยอยู่กับใครเลยเปลี่ยนใจ หันไปหาเด็กรับใช้ให้ตักอาหารแทน
“ยังไม่รู้ครับ แต่วันนี้คงจะยกเลิกบริษัทพวกนั้นไม่ได้หรอกครับเพราะนัดไว้แล้ว ถ้าฝีมือไม่เข้าตา เดี๋ยวผมเสนอในห้องประชุมเองก็แล้วกัน เผื่อคนอื่นๆ จะเห็นด้วยกับย่า”
ชลธิปนั่งลงตรงข้ามแม่ มีพ่อนั่งอยู่หัวโต๊ะ อีกมือก็คว้าหนังสือพิมพ์ฉบับที่พ่ออ่านจบแล้วมาถือไว้ ปากก็คุยไป แม้อยากจะวางสายแล้วสักแค่ไหนก็ไม่กล้าทำ
‘อ้าว! แล้วร๊อกไม่ชอบเหรอคะ งานคุณเอ๋ยออกมาดีจะตาย ยัยช่าเห็นแล้วยังบ่นบอกอยากมีแฟนไวๆ จะได้จัดงานแต่งเหมือนเราอยู่เลยนะคะ’
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
4.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
5.3 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ