ตราบฟ้าไร้ดาว
เขียนโดย Kankrao
วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2558 เวลา 15.46 น.
แก้ไขเมื่อ 1 กันยายน พ.ศ. 2558 16.01 น. โดย เจ้าของนิยาย
22) ความหวังพังในพริบตา ๑๐๐%
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ“เป็นไปได้เหรอคะคุณป้า ปกติแล้วสุไม่เคยเห็นเอ๋ยมองผู้ชายคนไหนมาก่อนนะคะ สุรู้จักเอ๋ยมาตั้งแต่เรียนอยู่ปีหนึ่งแล้ว สุยืนยันได้ว่าเอ๋ยไม่เคยชายตามองใคร หรือไม่เคยเปิดโอกาสให้ใครเข้าใกล้ได้เลย ยิ่งจะบอกว่ากอดจูบกับคุณร๊อกด้วยแล้ว สุทำใจให้เชื่อยากค่ะ สุว่าน่าจะมีการเข้าใจอะไรกันผิดๆ อยู่บ้างนะคะ”
สุภาภรณ์ที่แม้จะมี สองแม่หนึ่งเพื่อนและหนึ่งเพื่อนของเพื่อน บุกมาถึงออฟฟิศและยืนยันเป็นเสียงเดียวกันกับเหตุการณ์เมื่อวานนี้ยังไง ก็ยังไม่อยากจะเชื่ออยู่ดี และถ้าเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่ลูกค้ากระเป๋าหนักรายนี้มาบอก
ป่านนี้สุภาภรณ์มั่นใจว่าคงได้ตอกให้หน้าหงายกลับไปแล้ว โทษฐานที่มาปรักปรำลูกน้องที่ตัวเองรักและเอ็นดูมาตั้งรู้จักกันในรั้วมหาวิทยาลัยก็เป็นได้
“นี่คุณสุหาว่าพวกเรามาปรักปรำไม่นั่นเหรอคะ ทั้งๆ ที่พวกเรามีตาสี่คู่ เห็นเหมือนกันนี่นะคะ จะให้เรียกคนขับรถมาอีกก็ได้นะคะ ถ้ายังไม่เชื่อกัน”
อติรัตน์ออกจะเดือดไม่น้อยที่อุตส่าห์มาหาเจ้านายแม่ราพันเซลให้ช่วยจัดการถึงที่ แต่กลับไม่ได้อะไรเลย “ไม่ใช่ยังนั้นค่ะคุณรัตน์ สุเพียงแค่ตั้งข้อสงสัยเท่านั้น แล้วสุจะเรียกเอ๋ยมาถามให้แน่ใจอีกทีนะคะ”
“เรียกมาถาม! มันจะไปยอมรับทำไมล่ะ ในเมื่อมันอยากจับพ่อร๊อกไว้ทำผัวจนตัวสั่นซะขนาดนั้น ที่บอกว่าไม่เคยมองผู้ชายคนไหนนั่นเพราะยังหาถูกใจไม่ได้น่ะสิ” ดลพรเองก็เลือดขึ้นหน้า
“ใช่! พอเห็นตาร๊อกที่ทั้งหล่อทั้งรวย เลยได้โอกาสรีบเอาตัวไปประเคนให้ถึงโรงแรม โดยไม่สนใจว่าจะมีคู่หมั้นและกำลังจะแต่งงานอยู่ในอีกไม่กี่วันนี้ด้วยซ้ำ พูดแล้วมันน่าโมโห!” อติรัตน์เดือดยิ่งกว่าเดิม จนดลยาเห็นว่าท่าจะไม่ดีแล้ว
“คุณป้าคะ เรารอให้คุณสุจัดการเองดีกว่านะคะ เรากลับกันเถอะค่ะ รบกวนเวลาคุณสุมานานแล้ว”
เลยรีบห้ามไว้ และเมื่อเห็นแม่กำลังจะอ้าปากแย้ง ดลยาเลยรีบกระตุกแขนแม่แรงๆ เพราะไม่อยากให้สุภาภรณ์มองแม่ในแง่ไม่ดี ด้วยแม่นั้นเวลาโมโหจนน๊อตหลุดน่ากลัวแค่ไหน
“เรากลับกันเถอะค่ะคุณแม่ นะคะคุณป้า”
ดลยาเลยจูงแขนแม่ตัวกับว่าที่แม่ผัวออกจากห้องโดยมีสุภาภรณ์รีบลุกไปเปิดประตูห้องให้ แล้วลงมาส่งชั้นล่างที่น้องๆ กำลังพักเที่ยงกันอยู่
และกำลังกินมะม่วงที่วริญรำไพเอามาฝากเป็นเข่งๆ อย่างเอร็ดอร่อย ทุกคนเห็นแขกซุปเปอร์วีไอพีลงมาและกำลังทำท่าว่าจะกลับเลยรีบพากันยกมือไหว้ ช่างภาพผมยาวก็ไหว้ทุกคนอย่างนอบน้อมเหมือนเคย
“นังหน้าด้าน!!!” แต่ดลพรทนเห็นกิริยาแบบนั้นไม่ได้ เลยตรงรี่เข้าไปแล้ว
‘เผียะ’ ตบเข้าไปที่แก้มวริญรำไพเต็มแรง จนหน้าหันไปอีกทาง ทำเอาทุกคนต่างยืนงง
อึ้ง!
ทึ่ง!
และสงสัยไปตามๆ กัน วริญรำไพก็งงเช่นกัน แต่ก็ใช่ว่าจะเดาไม่ออก ว่าการถูกตบครั้งนี้อาจจะสืบเนื่องมาจากเจ้าของมือหรือแม้แต่ดลยาได้ล่วงรู้ถึงความสัมพันที่ตัวเองทำตัวเสมือนแมวไปขโมยกินปลาย่างอย่างเงียบๆ ก็เป็นได้
“ผู้ชายหมดโลกแล้วเหรอ หล่อนถึงได้หน้าด้านแย่งคู่หมั้นของลูกฉัน หน้าด้าน! ไม่มียางอาย!”
“...”
วริญรำไพไม่ได้โต้ตอบดลพรกลับไป แต่เงียบกับยกมือขึ้นลูบแก้มเท่านั้น และนั่นทำให้อติรัตน์ที่เกลียดผู้หญิงตรงหน้าเข้าไส้ เมื่อได้คำตอบจากนักสืบมาสดๆ ร้อนๆ เมื่อเช้านี้
นั่นคือเหตุผลที่ตัวเองนั่งไม่ติดบ้าน จนต้องรีบไปหาว่าที่สะใภ้ชวนให้มาบอกสุภาภรณ์ให้จัดการกับเสี้ยนหัวใจที่อาจจะทำให้ชีวิตของลูกชายตัวเองต้องตกไปอยู่ที่ต่ำๆ เลยก็ว่าได้
‘เผียะ’ รอยเดิมเมื่อครู่จึงถูกมือของอติรัตน์ตบซ้ำลงไปอย่างแรง
“แล้วหล่อนอย่าคิดนะ ว่าแผนตื้นๆ ที่ใช้ไว้จับผู้ชายของหล่อนจะสำเร็จ ฉันไม่มีวันยอมให้หล่อนได้ลูกฉันไปหรอก ไม่ว่าหล่อนจะใช้วิธีไหนอ่อยก็ตามที”
“...”
วริญรำไพเอาแต่ยืนนิ่ง จ้องมองผู้หญิงตรงหน้าอยู่แค่นั้น เพราะไม่อาจจะตอบโต้ได้ในเมื่อตัวเองเป็นอย่างที่ทุกคนคิดหรือพูดจริงๆ แม้จะเป็นเพียงเพื่อต้องการดูให้แน่ใจว่าเขาเป็นพี่หินหรือไม่ก็ตาม
“อย่างหล่อนถ้าจะเป็นได้ก็แค่นางบำเรอที่เก็บไว้หาความสุขเพื่อคลายเหงาชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น พอเบื่อตาร๊อกก็จะเขี่ยหล่อนทิ้ง แล้วไปหาคนที่คู่ควรและคนที่ฉันกับทุกคนเห็นว่าเหมาะสมที่จะยืนเคียงข้างตาร๊อกเท่านั้น”
“...”
ดลยามองไม่เห็นประโยชน์อะไรที่จะพูดกับคนหน้าด้านหน้าทน และไม่แสดงท่าทีว่าโกรธเกลียดหรือความรู้สึกที่แท้จริงออกมา นอกจากเก็บไว้ภายใต้ใบหน้าเรียบเฉย
แต่ลึกๆ แล้วกลับซ่อนมีดไว้แทงคนอื่นข้างหลังอย่างไม่อยากจะเชื่อ “คุณป้าคะ เรากลับเถอะค่ะ คนมองใหญ่แล้ว ลูกค้าคุณสุกำลังจะเข้ามาแล้วด้วยค่ะ นะคะกลับกันค่ะ ย่าขอร้อง”
ทุกคนรีบหันไปมองกระจก ก็เห็นหนุ่มสาวกำลังเดินตรงเข้ามาถึงสองคู่ ต่างคนเลยต่างแยกย้ายไปคนละทิศ สุภาภรณ์รีบออกไปส่งแขกเก่าถึงรถ แล้วยกมือไหว้ขอโทษขอโพยเป็นระวิง
แม้จะไม่รู้ว่าสิ่งที่ได้ยินมาเป็นจริงมากน้อยแค่ไหน พอกลับเข้ามาก็ต้องไหว้ลูกค้ารายใหม่ แล้วให้เวลากับลูกค้ารายใหม่อยู่เป็นชั่วโมงๆ
“ทำไมเอ๋ยไม่บอกอะไรพี่ออกมาล่ะ แทนที่จะนั่งเงียบอยู่แบบนี้”
กว่าจะได้เรียกลูกน้องเข้าไปถามในห้องแบบส่วนตัว แต่ลูกน้องก็ไม่ตอบอะไรนอกจากเงียบ และรับฟังคำบอกเล่ากล่าวโทษของตัวเอง ที่บังอาจไปข้องแวะกับคนมีเจ้าของอย่างเขา
“...”
สุภาภรณ์ถอนหายใจให้กับคำตอบแบบเดิมๆ ที่ลูกน้องมีให้มาเกือบชั่วโมงแล้ว “ถ้าเอ๋ยไม่พูดอะไรพี่จะสรุปเอาว่าเอ๋ยเป็นอย่างที่พวกนั้นว่ามานะ และเพื่อกันไม่ให้เกิดปัญหาอีก พี่จะให้หนิงไปทำงานแทนเอ๋ยทุกงานที่ต้องใช้ตาเบบูญาเป็นโลเคชั่น”
“...”
ก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวหรืออะไรไหลออกมาจากปากลูกน้องอีก “และในฐานะเจ้านาย พี่ขอห้ามไม่ให้เอ๋ยพบกับคุณร๊อกที่อยู่ในฐานะลูกค้าของพี่อีกไม่ว่าจะกรณีใดๆ ก็ตาม เมื่อกี้คุณย่าโทรมาบอกพี่แล้วว่าให้พี่หาคนอื่นไปถ่ายภาพในงานแต่งของแกด้วย”
“...”
อีกครั้งที่เจ้านายต้องถอนใน เมื่อลูกน้องไม่พูดอะไรออกมา “งั้นก็กลับไปทำงานได้ อย่าลืมส่งรับงานกับหนิงให้เรียบร้อยด้วยนะ”
“ค่ะ”
วริญรำไพลุกออกจากเก้าอี้แล้วเดินออกจากห้องทันที แต่ก็ถูกสายตาของทุกคนในสตูฯ มองมาหาประหนึ่งรอคำตอบว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่เมื่อได้สายตาเย็นชาจากช่างภาพสาวมองกลับไปแล้วนั้น
ทุกคนก็ต่างหันหน้ากลับไปหางานทันที วริญรำไพจึงเดินออกไปสตูฯ ทันที และกดไปหาสองนักสืบทันที “อาทิตย์หน้าผมจะสรุปแล้วเอารายงานไปให้คุณครับ”
และเมื่อยังไม่มีอะไรคืบหน้า ก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรได้ นอกจากทำตามคำของเจ้านายสั่ง ด้วยการไม่พาตัวไปข้องเกี่ยวกับเขาอีก ไม่ว่าจะในกรณีใดๆ ก็ตาม
‘เย็นนี้สนใจอยากจะให้ผมเลี้ยงข้าวบนร้านอาหารยอกตึกโรมิโอหรือเปล่าครับ’
‘แต่คงจะมีแขกอื่นๆ ร่วมด้วย หรือถ้าอยากมีแค่เราสองคน ก็ต้องรอหลังห้าทุ่มครับ’
‘ผมรอคำตอบอยู่นะครับ/ร๊อก’
ด้วยการไม่ตอบรับข้อความจากเขา ที่ส่งมาให้สองสามครั้งในรอบอาทิตย์ และปิดมือถือทิ้ง เมื่อมีสายเรียกเขาจากเขาวันละไม่ต่ำกว่าสามรอบ
‘ด้วยรัก...ด้วยหวงห่วงกัน
อย่าถามใจฉัน...รักเธอเพียงไหน
กระซิบข้างหู ให้รู้ว่าใจ ไม่เคยรักใคร’
ชลธิปไม่เข้าใจว่าทำไมคนที่แทบจะเรียกได้ว่ากุมหัวใจเขาไว้ทั้งดวงต้องเงียบหายไป ไม่ตอบข้อความ ไม่รับสายเรียกเข้า ไม่มาทำงานที่โรงแรม
‘คุณสุบอกนงค์ว่าให้คุณเอ๋ยออกต่างจังหวัดค่ะ’
‘คุณหนิงที่มาถ่ายรูปแทนก็บอกนงค์ว่าไม่รู้คุณเอ๋ยไปทำงานที่ไหนเหมือนกันค่ะ’
‘คุณอินก็บอกนงค์ว่าไม่เห็นคุณเอ๋ยมาสามวันแล้วค่ะ’
คำตอบจากเลขาฯ คู่ใจที่มีให้เขานั้น สร้างความกังวลให้เป็นอย่างมาก ด้วยไม่รู้ว่าเพราะอะไรการติดต่อสื่อสารถึงได้ขาดหายแบบนี้ ชลธิปไม่รอช้า รีบออกจากห้องนอนลงไปชั้นล่างทันที
“จะไปไหนเหรอร๊อก”
พ่อที่อ่านหนังสือพิมพ์อยู่ร้องถามออกมาจนเขาต้องหยุดกึกลง “เอ่อ! ออกไปธุระข้างนอกครับ” แล้วก็กำลังจะก้าวไปเอากุญแจที่อ่างทองคำตรงข้างบันได
“ไปทำธุระหรือจะไปไหนกันแน่ล่ะร๊อก”
ผู้แม่ที่เดินออกมาจากครัว ส่งเสียงเข้ม สีหน้าบึ้งตึงมาหาอย่างไม่เคยมีมาก่อน “ไปธุระครับคุณแม่” เพราะเขาไม่ถนัดนักกับการต้องโกหกพ่อแม่หรือใครมาแต่ไหนแต่ไหรแล้ว สิ่งเดียวที่ทำได้คือเลี่ยงไม่ตอบหรือตอบแบบเลี่ยงๆ เท่านั้น
“ธุระของลูกใช่กำลังจะไปหา...”
“คุณ! ลูกจะไปไหน ไปทำอะไรก็อย่าถามมากนักสิ”
ชลธีรีบขัดเมียเสียงดัง ด้วยเดาออกว่าเมียกำลังจะหลุดปากเอ่ยอะไรออกมา เพราะนั่นจะยิ่งเป็นการแหวกหญ้างูตื่นเปล่า ส่วนเมียก็หันไปมองหน้าผัวด้วยความสงสัย
“จะไปธุระก็รีบๆ ไปสิร๊อก พ่อกับแม่จะขึ้นห้องแล้วล่ะ อย่ากลับดึกนักนะ”
สามีเลยรีบลุกไปจูงมือเมียไว้ “ครับคุณพ่อ” ชลธิปอยากขอบคุณพ่อไม่น้อย ที่ช่วยให้อะไรต่อมิอะไรง่ายขึ้น จึงรีบคว้ากุญแจแล้วออกไปทันที
“ทำไมคุณไม่ให้รัตน์พูดกับลูกล่ะคะ” อติรัตน์ที่ถูกสามีจูงให้เดินตรงไปหาบันไดอดสงสัยไม่ได้
“ถ้ายังไม่ถึงเวลาสำคัญและไม่ถึงที่สุด เราก็ไม่ควรจะพูดเรื่องนี้ หรือถ้าพูดแล้วจะต้องให้ลูกปฏิเสธไม่ได้ คุณจำไม่ได้เหรอวิธีที่เราเอาลูกอยู่หมัดมาตลอด ทำไมต้องให้ผมสอนด้วย”
“ฉันโกรธจนลืมตัวนี่คะ แล้วคิดเหรอคะว่าลูกจะไม่ไปหานังเด็กนั่น”
“ก็เอาไว้ให้นายร่วมมารายงานพวกเราสิ จะไปเดาสุ่มทำไม”
าแล้วชลธีก็ล้วงมือถือจากกระเป๋ากางเกงกดไปหาคนรถของตัวเองทันที แทนการใช้นายไก่คนรถประจำของลูกที่ยังไงๆ ก็อาจจะปิดเรื่องนี้ให้เจ้านายเป็นแน่
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ