ตราบฟ้าไร้ดาว
เขียนโดย Kankrao
วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2558 เวลา 15.46 น.
แก้ไขเมื่อ 1 กันยายน พ.ศ. 2558 16.01 น. โดย เจ้าของนิยาย
21) เมื่อหัวใจไม่อยากจาก ๑๐๐%
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ“เอ่อ! คุณถ่ายตรงไหนก็ได้ครับ งั้นระหว่างนี้ผมไปเอาน้ำในรถมาให้นะครับ ผมว่าคุณคงเหนื่อยแล้วก็หิวแล้วล่ะ”
“ค่ะ”
เพราะรู้สึกอย่างที่เขาว่าจริงๆ เมื่อเขาวิ่งกลับทางเดิมแล้ว วริญรำไพเลยได้ทำงานสักที ด้วยการเดินถ่ายรูปตรงนั้นทีตรงนี้ที ที่คิดว่าเขาจะเอาไปใช้ประโยชน์ได้
กระทั่งเดินไปถึงต้นมะม่วงที่มีลูกกำลังจะสุกสีเหลืองปนเขียวน่ากินเข้า เลยเอากล้องยัดใส่กระเป๋า แล้วเขย่งขึ้นเพื่อคว้ามะม่วงมาให้ได้
แต่ความสูงร้อยเจ็ดสิบของตัวเองก็ช่วยอะไรไม่ได้เลย แม้จะเขย่งยืดตัวให้มากที่สุดแล้วก็ตาม ก็ยังไม่อาจจะพามือไปถึงมะม่วงได้
“อุ๊ย!!!”
กระทั่งมีร่างสูงใหญ่เข้ามารวบตัวจากด้านหลังขึ้น มือจึงได้แตะกับพวงมะม่วง แต่วริญรำไพไม่ได้เด็ดมัน เพราะมัวแต่ตกใจและก้มลงไปหาคนที่มาอุ้มขึ้นแทน
“โห! เห็นตัวคุณเล็กแค่นี้ไม่เบาเลยนะครับ ผมชักอยากจะรู้ซะแล้วว่าคุณกินข้าววันละกี่จานกัน”
“...”
วริญรำไพถึงกับอึ้งในคำนี้ เพราะมันช่างเหมือนคำพูดพี่หินเมื่อสิบสองปีก่อนไม่มีผิดเพี้ยนอีกแล้ว จนต้องหัวเราะออกมาเมื่อในความคิดกำลังวาดภาพว่าเขาคือพี่หินของเอ๋ยอยู่
“รีบเด็ดมะม่วงลงมาสิครับ อย่ามัวแต่หัวเราะ และห้าวกระดุกกระดิก เดี๋ยวผมพาล้มนะ”
และเมื่อถูกเสียงเขาย้ำเตือน สองมือบางจึงรีบคว้าพวงมะม่วงลงมาทันที ชลธิปค่อยๆ ย่อตัวลงเพื่อให้คนในอ้อมแขนยืนกับพื้นได้ แม้ในใจอยากจะให้พื้นดินอยู่ต่ำลงไปสักสิบเมตรก็ตามที
เพราะยังไม่อยากปล่อยร่างนุ่มนิ่มให้ห่างกายไปไหน หรืออีกนัยอยากจะกอด อยากจะหอม อยากจะจูบ อยากจะลูบ อยากจะไล้ ให้สมกับที่หัวใจคิดถึงมาเป็นอาทิตย์มากกว่า
“อุ๊ย!!! เสื้อคุณเปื้อนยางมะม่วงหมดแล้วล่ะค่ะ”
แต่มะม่วงเจ้าปัญหาก็ทำให้ความอยากของเขาต้องเป็นหมันลงทันที “คุณถอดออกมาก่อนสิคะ ฉันจะเอาน้ำล้างให้” วริญรำไพรีบวางมะม่วงลงกับพื้น
แล้วตรงไปหยิบขวดน้ำที่เขาทิ้งไว้กับพื้นขึ้นมาทันที ส่วนเขาก็ถอดเสื้อสีขาวส่งให้ทันที เพราะยังมีเสื้อกล้ามสีขาวตัวในใส่ไว้อยู่
“ผมไม่ยักรู้ว่าคุณอยากกินมะม่วง ทำไมไม่บอกล่ะครับ ผมจะได้ให้ลุงเก็บให้ แถมผลไม้อื่นๆ ด้วยเป็นเข่งเลย แต่มีข้อแม้ว่าคุณจะต้องเลี้ยงมื้อเที่ยงผมนะครับ”
ข้าวกระเพราจากกล่องกับกาแฟในถุงกระดาษถูกเจ้ามือสาวยกชูขึ้นให้เขาเป็นทันทีที่ลงจากเมอร์เซเดส-เบนซ์ของเขาได้ ส่วนเขาก็ชี้สายตาไปหามะม่วงกับผลไม้อื่นๆ ที่กองอยู่ใต้ต้น ขณะรอให้เจ้ามือสาวออกไปซื้อข้าวมาเลี้ยง
ลุงคนสวนกับเมียและหลานได้ไปสี่กล่องจากวริญรำไพที่มีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ให้ ชลธิปเพิ่งเห็นเป็นอย่างแรกที่คู่หมั้นกับสาวตรงหน้ามีความเหมือนกัน แต่หัวใจเขาเป็นสุขมากกว่าเวลาได้อยู่ใกล้ๆ
แม้จะเพียงแค่ได้นั่งกินมื้อเที่ยงด้วยกัน ใต้ต้นมะม่วงในสวนเท่านั้น และแม้ข้าวกระเพราจะมาจากร้านอาหารตามสั่งธรรมดาๆ ทว่าเขากลับเห็นว่ามันอร่อยล้ำยิ่งกว่าได้กินจากฝีมือเชฟในโรงแรมของเขาอีกเช่นเคย
และเขาก็ไม่เคยกินอาหารเหลือจากจานหรือจากกล่องของใครเลยในชีวิต ยกเว้นจากกล่องของคนข้างๆ ที่ยื่นมาให้เท่านั้น หัวใจเต้นตึกๆ ขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผลอีกแล้ว
เมื่อได้ยินรอยยิ้มจากเธอขณะยื่นถุงกาแฟให้ แล้วเขาก็รับมาดูดต่อหลอดเดียวกันอย่างไม่เกี่ยงงอน เมื่อถุงของตัวเองเหลือแต่น้ำแข็งเท่านั้น
“ผมจะตอบแทนมื้อเที่ยงที่คุณกรุณาเลี้ยงด้วยกันพาเที่ยวก่อนเรากลับนะครับ แต่ก่อนอื่นต้องช่วยกันขนผลไม้พวกนี้ไปไว้หลังรถผมก่อน ถ้าคุณยังยืนยันว่าอยากได้ไปฝากน้องๆ ที่ออฟฟิศ”
“คุณจะพาไปเที่ยวไหนคะ”
มือบางถูกมือหนาและแข็งแรงประคองไว้ ขณะลงเรือเพื่อนั่งชมเกาะเกร็ด “คุณจะเชื่อหรือเปล่าว่าผมไม่เคยเที่ยวแถวนี้เลย เพราะมัวแต่ทำงานเท่านั้น ผมเองก็เพิ่งรู้ตอนหาข้อมูลไว้ส่งโปรเจคเสนอคุณพ่อตอนคิดจะสร้างตาเบบูญาที่บางใหญ่นี่เองครับ”
“เหรอคะ”
วริญรำไพที่มีแว่นกันแดดปิดดวงตาไว้ หันไปมองแล้วส่งยิ้มให้คนที่ปกปิดสายตาคมเอาไว้ไม่แพ้กัน ก่อนจะหันไปหาธรรมชาติข้างของฟากฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา และวัดน้อยใหญ่ที่เรือขับผ่าน
“ขึ้นไปไหว้พระด้วยสิครับ เกิดชาติไหนจะได้เป็นคู่กันอีกทุกชาติไป”
สองใบหน้าหล่อสวยต่างหันไปมองกันและกันเพียงเท่านั้น ไม่มีใครคิดจะพูดอะไรออกมา โดยเฉพาะวริญรำไพที่ก้มหน้ามองท้องเรือหนีอายเพียงเท่านั้น
“งั้นเราไปกัน”
แต่ไม่นานก็ถูกเขาคว้ามือมากุมไว้ แล้วรั้งให้ลุกขึ้นเพื่อพาก้าวไปหาท่าตามคำแนะนำของคนเรือ ที่เขาเห็นว่าพูดถูกใจไม่น้อย เห็นทีจะต้องตบรางวัลให้อย่างงามเมื่อทัวร์เสร็จสิ้นหน่อยแล้ว
และเวลาที่มีความสุข มันก็มักจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว แม้จะออกมาด้วยกันตั้งแต่เข้า แล้วกลับเข้าไปจอดรถไว้ใต้คอนโดในเวลาสามทุ่มแล้วก็ตาม แต่ชลธิปงก็ไม่อยากจากไปไหน
“ขอบคุณค่ะที่มาส่ง”
จนวริญรำไพต้องเอ่ยคำนี้ออกมา “คุณเอาผลไม้มาจากสวนผมตั้งเยอะแยะไม่คิดจะจ่ายค่าปลูกให้บ้างเหรอครับ” เขาเลยรีบทวงทันที ทำเอาอีกคนหันมาส่งยิ้มด้วยท่าทีหมั่นไส้น้อยๆ ให้ ก่อนเอ่ยย้อน
“เศรษฐีหมื่นล้านอย่างคุณสนใจการทำกำไรเล็กๆ น้อยๆ กับคนยากจนอย่างฉันด้วยเหรอคะ” แล้วหันไปมองสบตาเขา ที่กำลังมองมาหาด้วยนัยตาหวานซึ้งอยู่ก่อนแล้ว
“นี่ไม่ใช่กำไรเล็กๆ น้อยๆ นะครับ แต่เป็นกำไรมีค่ามหาศาลเพราะผมไม่ได้ตีค่าผลไม้เป็นเงิน แต่ผมขอคิดเป็น...”
แผ่นหลังระหงเอนไปจนติดเบาะ เมื่อในแสงไฟจากลานจอดสาดส่องเข้ามาในรถ ให้ได้เห็นว่าเขากำลังโน้มกายไปหาใกล้ๆ ใกล้ๆ ใกล้ๆ
จนสุดท้ายทาบริมฝีปากลงไปอีกกลีบบุหงาที่เม้มเข้าหากันอย่างหวาดหวั่นในสัมผัสที่จะได้จากเขาอีกวาระ จากจูบบางเบาและเนิ่นนานก็ผันผ่านเป็นหนักขึ้นกว่าที่เคยเป็น
มือของเขาที่เคยประคองสองไหล่หรือโอบกอดไว้ ก็มีความกล้ามากพอที่จะเลื่อนไปหาบัวงามใต้เสื้อยืดสีขาวสะอาดตา แม้จะเป็นเพียงการลูบไล้ไปตามร่มผ้า
ทว่าผู้เป็นเจ้าของก็ถึงกับกายอ่อนระทวยลงอย่างยากจะทนฝืนอยู่ได้ เพราะหัวใจเป็นสุขเหลือเกิน เมื่อมีพี่หินคอยมอบสัมผัสรักให้แบบนี้
จนอดคิดถึงค่ำคืนในเก๋งเรือไม่ได้ ที่ตัวเองเสียดายมาตลอดเวลาที่พี่หินจากไป เสียดายที่ไม่ได้อยู่ใกล้ๆ กับพี่หินแบบนั้นอีก แต่ตอนนี้ความเสียดายได้ถูกกลืนหายไปจนเกือบจะหมดสิ้นแล้ว
เมื่อพี่หินคนนี้กำลังกลืนกินริมฝีปากนุ่มอยู่เนิ่นนาน และกำลังจะเลื่อนลงไปดูดดื่มปทุมงามที่มือเขากำลังจะดึงชายเสื้อยืดขึ้น เพื่อให้ได้เชยชมให้สมกับความคิดถึงคนึงหามาช้านาน
“เอ่อ! อย่าค่ะ ดึกแล้วคุณกลับเถอะนะคะ ฉันต้องตื่นแต่เช้าไปทำงานด้วย”
ชลธิปที่สติกำลังจะหลุดลอยไปจำใจต้องสะกัดกลั้นความต้องการของร่างกายเอาไว้ แล้วผละออกห่างร่างที่ทำให้ใจเขากระเจิดกระเจิงได้ทุกครั้งที่อยู่ใกล้อย่างยากลำบาก
“ครับ! ผมจะช่วยขนเข่งผลไม้ไปใส่หลังรถให้ แล้วขึ้นไปส่งคุณที่ห้อง”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันขึ้นไปเองดีกว่า คุณจะได้รีบกลับ”
เพราะไม่อาจจะเชื่อใจตัวเองได้ว่า ถ้าปล่อยให้เขาไปถึงหน้าห้องได้แล้ว จะใจแข็งมากพอที่จะไม่ยินยอมให้เขาเข้าไปด้านในได้ ถ้าเขายื่นความจำนงค์แบบเมื่อครู่อีก
“งั้นก็ตกลงครับ”
ชลธิปเองก็ใช่ว่าจะมั่นใจในตัวเองมากนัก หนทางที่จะผลักให้ตัวเองไม่เดินก้าวล้ำไปในเรื่องที่ไม่ควรที่ดีที่สุด ก็คือรีบยกผลไม้ไปใส่หลังรถแล้วก็รีบออกรถไปเมื่อร่างผอมบางเข้าไปในล็อบบีได้แล้ว
และกับความรีบร้อนที่จะหนีไปนั้น ทำเขาให้ไม่อาจจะล่วงรู้ได้ว่า นับตั้งแต่ล้อรถหมุนออกจากใต้คอนโดเมื่อเช้า กระทั่งขับกลับเข้ามาอีกนั้น ถูกรถอีกคันที่ไม่คุ้นตาตามติดไปทุกหนทุกแห่งก็ว่าได้
ใบหน้าขาวสวยใสแม้ในยามไม่แต่งแต้มใดๆ ดูหมองคล้ำลงไปถนัดตา เมื่อดลยาจอมจ่มอยู่กับอาการบาดเจ็บทางใจนับตั้งแต่รถตู้แล่นออกจากใต้คอนโดเมื่อคนนี้แล้ว
ภาพบาดตาที่ได้เห็นคู่หมั้นของตัวเอง กอดจูบอยู่กับผู้หญิงที่ตัวเองเชื่อมั่นว่าเป็นคนดีมาโดยตลอดนั้น ริดรอนเรี่ยวแรงที่มีในตัวไปจนหมดสิ้น และไม่อาจจะลุกไปทำงานได้เฉกเช่นทุกวัน
อยากจะโทรไปหาเขาเพื่อย้ำถามให้แน่ใจ ว่ายังอยากจะให้งานแต่งที่จะมีขึ้นในอีกสองอาทิตย์ข้างหน้านี้หรือไม่ แต่อีกใจก็ไม่กล้า เพราะกลัวกับคำตอบที่จะได้ และไม่รู้ว่าความสัมพันระหว่างเขา
กับสาวผมยาวนั้น จะจริงจังมั่นคงยังไง หรือเป็นไปเพียงเพราะความเห็นแก่ตัวของเพศชาย ที่มีฝ่ายหญิงมาคอยทอดสะพานให้ เลยไม่ยอมปล่อยไปให้หลุดมือ แต่จะต้องตักตวงเอาไว้ก่อนจะได้ไม่เสียชายกันแน่
‘ก๊อกๆๆ ก๊อกๆๆ ก๊อกๆๆ’
เสียงเคาะประตูดังรัวเร็ว ทำให้ดลยาต้องรีบยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาออกจากสองแก้ม เพราะรู้ดีว่าคนเคาะคือแม่นั่นเอง
“ย่า! รีบไปอาบน้ำแต่งตัวเร็วๆ เข้า ป้ารัตน์กับหนูดวงมารออยู่ข้างล่างแล้ว เราต้องรีบไป”
ดลพรสั่งลูกเสียงเฉียบขาด เพราะยังโกรธคงค้างตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว กับภาพอันบัดสีที่เห็น และเป็นการเห็นพร้อมกันสี่คน
ถ้าไม่มีลูกห้ามไว้ล่ะก็ ตอนนั้นดลพรเชื่อแน่ว่าคงได้ลงจากรถตู้ไปจิกหัวแม่ราพันเซลมาตบล้างน้ำให้หายแค้นไปหลายรอบแล้วด้วยซ้ำ
“ไปไหนคะแม่”
ดลยางงไม่น้อย เพราะบอกทุกคนไว้แล้วว่าวันนี้จะไม่เข้าออฟฟิศหรือไปไหนทั้งนั้น แม้กระทั่งเอาการ์ดชุดที่เหลือไปแจก เพราะไม่มั่นใจในตัวว่าที่เจ้าบ่าวมากขึ้นกว่าที่เคยเป็นมา
“ไม่ต้องถามแม่ แต่รีบไปอาบน้ำแต่งตัวแล้วลงไปข้างล่างเร็วๆ อย่าให้ผู้ใหญ่รอนานนะแม่ไม่ชอบ!”
เห็นสีหน้าและท่าทางของแม่แล้ว ดลยาก็รู้ได้ทันทีว่าโกรธมาก และแม้จะยังเสียใจในเรื่องคู่หมั้น แต่ก็ไม่อยากทำให้แม่โกรธมาก ดลยาเลยเลือกที่จะฝืนใจทำตามคำแม่
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ