ตราบฟ้าไร้ดาว

5.8

เขียนโดย Kankrao

วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2558 เวลา 15.46 น.

  27 ตอน
  2 วิจารณ์
  32.00K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 1 กันยายน พ.ศ. 2558 16.01 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) ชีวิตที่คล้ายฝัน ๑๐๐%

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
“ขอบคุณนะคะที่กรุณามาบอกเอ๋ยถึงที่นี่ แต่เอ๋ยคงทำอย่างที่คุณอยากให้เป็นไม่ได้หรอกค่ะ”
“ทำไมล่ะคะ ไหนคุณเอ๋ยบอกว่ารักและรอเขามาสิบสองปีไงคะ”
“ใช่ค่ะ เอ๋ยรักและรอเขามานาน และคงจะต้องรอต่อไปตลอดชีวิตโดยที่การรอคอยของเอ๋ยไม่มีทางเป็นจริงขึ้นมาได้แน่ เพราะคนที่เอ๋ยรอคอย กับคนที่เอ๋ยเห็นไม่ใช่คนคนเดียวกันอีกต่อไปแล้ว เขาคนนั้นเมื่อสิบสองปีก่อนจะรักและห่วงใยเอ๋ยตลอดเวลา แต่เขาคนนี้ไม่ได้รักและไม่เคยมีเอ๋ยอยู่ในใจเลยแม้แต่วินาทีเดียวค่ะ”
“ไม่จริงค่ะคุณเอ๋ย เขา...”
“กลับไปเถอะค่ะ ได้โปรดกรุณากลับไป แล้วลืมว่าเราเคยคุยกันเรื่องนี้อีก ได้โปรดสงสารเอ๋ย ได้โปรดอย่าทำร้ายจิตในเอ๋ยด้วยวิธีนี้ กลับไปเถอะนะคะเอ๋ยขอร้อง”
วริญรำไพหันไปคว้ากระเป๋าสะพายใบเดิมแล้วเดินออกห้องไปทั้งน้ำตา ทิ้งให้แขกมองตามอยู่อย่างนั้น โดยไม่สนใจว่าจะอยู่หรือไป เพราะหัวใจเจ็บช้ำเกินกว่าจะคิดถึงเรื่องไหนได้อีกแล้ว
วีโก้แชมป์สีดำมันวาวถูกควบออกไปอย่างเชื่องช้าและไร้ซึ่งจุดหมาย สุดท้ายก็จอดลงตรงสวนสาธารณะ เมื่อคนขับไม่อาจจะควบให้ไปต่อได้ ด้วยหัวใจจวนเจียนจะแตกสลายลงให้ได้
เบาะถูกเอนลงเป็นแนวราบ เพื่อหลบหลีกสายตาผู้คนไม่ให้เห็นน้ำตาที่หลั่งรินออกมามากมายก่ายกอง โดยไม่สนว่า ค่ำคืนที่ผ่านมานั้น มันได้หลั่งไหลออกมาจนแทบจะกลายเป็นสายเลือดแล้วด้วยซ้ำ
ร่างผอมบางนอนตะแคงกอดเข่าร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ในรถเพียงลำพังอย่างคนปริ่มใจจะขาดลงให้ได้ เพื่อสดุดีให้กับความรักที่ครอบงำหัวใจและวิญาณของเด็กสาวตัวเล็กๆ คนหนึ่งจวบจนย่างเข้าวัยสาวและคงจะดำเนินไปจนถึงวันสิ้นใจก็เป็นได้ ถึงจะเป็นเวลาแห่งการหลุดพ้นจากบ่วงรักอันแสนทุกข์ระทมนี้
นานนับชั่วโมงกว่าจะปรับอารมณ์ให้เป็นปกติได้ น้ำในขวดถูกเปิดออกมาเทใส่มือบางแล้วล้างหน้าล้างตาให้ได้รับความสดชื่น แม้นั่นจะไม่มีทางเป็นไปได้ แต่วริญรำไพก็ยังคงใช้น้ำทั้งขวดรินรดไปบนใบหน้าผิวสีน้ำผึ้ง ไร้ซึ่งเครื่องแต่งแต้มใดๆ อยู่ดี
ก่อนจะสตาร์ทรถแล้วขับออกไปด้วยหัวใจเหม่อลอย หักพวงมาลัยไปยังทิศทางของสตูดิโอ เพื่อทำงานที่ค้างคาไว้ให้จบสิ้น แม้ไม่อยากไปแต่ก็นัดเพื่อนร่วมงานไว้แล้ว และนี่คืองาน งานที่ต้องทำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เสร็จแล้วก็จะได้ส่งงานให้ลูกค้าซุปเปอร์วีไอพีของเจ้านายแล้วจะได้ปิดงานชิ้นที่สร้างความทุกข์ใจให้นับตั้งแต่วินาทีแรกที่รับกระทั่งวินาทีนี้ลงสักที จะได้ไม่ต้องพบเห็นลูกค้าคนนี้ตราบชั่วชีวิต
แต่เพราะจิตใจอันเหม่อลอย เลยทำให้ไม่ทันได้เห็นสองเด็กหญิงที่กำลังปั่นจักรยานออกมาจากหน้าบริษัท รปภ. ทางขวามือที่เป็นพื้นเนินลงไปหาถนนด้วยความรวดเร็ว โดยไม่ได้ดูรถที่แล่นมาเอาเสียเลย
“ว๊ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย”
รวินรำไพตกใจสุดขีดจนร้องออกมาเสียงหลง และด้วยสัญชาติญาณมือก็หักพวงมาลัยหนีจากสองเด็กไปทางซ้ายที่มีรถจอดเป็นแนวเต็มไปหมดอย่างเร่งด่วน แต่เท้าที่ตั้งใจจะย้ายไปเหยียบเบรคกลับกลายเป็นเหยียบคันเร่งแทน
“ว๊ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย”
เสียงหญิงสาวที่ร้องอยู่หน้ารถไม่ได้เข้าไปอยู่ในโสตประสาทของวริญรำไพเลยสักนิด
“ว๊ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย”
เพราะตัวเองก็ร้องออกมาสุดเสียงด้วยความตกใจและทำอะไรไม่ถูก
“โคร๊มมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม”
และแม้จะได้สติแล้วสั่งให้เท้าถอนออกจากคันเร่งไปแล้ว แต่ความเร็วของรถก็ยังคงอยู่ จนพุ่งชนหญิงสาวที่กำลังอ้อมหน้ารถตัวเองพอดิบพอดี แรงรถที่พุ่งเข้าใส่นั้นปะทะกับเนื้อหนังมังสาอันบอบบางอย่างจังแผ่นหลังชนโคร้มเข้ากับท้ายรถตู้ที่จอดอยู่เป็นคันต่อไป
จนเลือดในกายสาดกระเซ็นไปใส่กระจกหน้ารถของวริญรำไพเต็มไปหมด ก่อนที่ร่างเล็กๆ จะนอนคว่ำหน้าแน่นิ่งอยู่กับหน้าวีโก้ เรียกความสนใจจากผู้คนรอบข้างให้วิ่งออกมาดูทั้งซอยก็ว่าได้
“เอ๋ย!!!!”
วรินรำไปไม่ได้ยินเสียงของเจ้านายที่ร้องเรียก แม้เจ้านายจะเปิดประตูรถให้ และพาเดินลงมายืนอยู่หน้ารถแล้วก็ตามที แต่อาการช๊อกก็ยังไม่เลือนหายไป
สายตาคู่เศร้าโศกยังคงจับจ้องอยู่กับร่างที่นอนคว่ำอยู่หน้าวีโก้ ราดรดไปด้วยเลือดสดๆ แดงๆ ส่งกลิ่นคาวคละคลุ้งไปทั่วบริเวณอยู่อย่างนั้นแน่นิ่ง ไม่ไหวติง พร้อมกับคำถามว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
‘นี่เป็นความฝันหรือความเป็นจริง’
“เอ๋ย เอ๋ย เอ๋ย เอ๋ย เอ๋ย”
จิตใจ ความคิด สติทั้งหมดทั้งมวลของวริญรำไพไม่ได้อยู่ตรงจุดเกิดเหตุเสียแล้ว แต่มันกลับล่องลอยไปไกลแสนไกล ก้าวล้ำเข้าสู่ห้วงเวลาที่ผ่านมานานแสนนานนนนนนน
และเป็นห้วงเวลาที่วริญรำไพอยากให้มันคงอยู่กับตัวเองตลอดไป ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่หนีหายไปไหน เพราะมันเป็นห้วงเวลาที่มีความสุขสุดในชีวิตเพียงเท่านั้น
“เอ๋ยๆ อย่าไปเดินเล่นไกลนักนะลูก แม่เป็นห่วง”
“จ้ะแม่”
สาวน้อยวัยสิบสามปีเต็มหันกลับไปหาแม่ที่กำลังแบกกะละมังปลาหมึกอยู่เต็มออกไปตากตรงราวลวดแล้วส่งยิ้ม ก่อนจะก้าวเดินอย่างเชื่องช้าไปตามชายหาดขาวสะอาดเงียบสงบ กับบรรยากาศยามเช้าของเกาะเล็กๆ หนึ่งในหลายๆ เกาะในกระบี่
ร่างเล็กๆ สูงๆ ผอมๆ กับกางเกงยีนส์ขาสั้นสีเข้มเสื้อยืดสีขาวมอๆ ก้มลงเก็บเปลือกหอยสีน้ำเงิน ขาว ชมพู ม่วง ใส่ในพสาสติกอย่างเพลิดเพลิน สลับกับก้าวเดินไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ เรื่อยๆ
กระทั่ง!!!
ไปถึงโขดหินใหญ่หลายก้อนตั้งเกาะกลุ่มกันอยู่เป็นโพลง ในนั้นใครบางคนนอนคว่ำหน้าอยู่กับก้อนหินเล็กๆ สามสี่ก้อน เพราะความเป็นเด็ก ด้วยความที่ยังไม่เคยพานพบเรื่องน่าตื่นเต้นแบบนี้มาก่อน
“แม่!!!!!”
สาวน้อยทิ้งถุงแล้ววิ่งกลับไปทางเดิมอย่างไม่คิดชีวิต ปากก็ร้องเรียกไม่เรียกแม่สลับกับเรียกพ่อ
“พ่อ!!!!!”
“พี่ใหญ่!!!!”
และเรียกเพื่อนเล่นต่างวัยที่บ้านอยู่ติดกันเสียงหลง เท้าก็สาววิ่งอย่างไม่คิดชีวิตด้วยความวาดกลัว
“มีอะไรเอ๋ย! เป็นอะไรลูก! แล้ววิ่งหนีอะไรมา!”
รำไพตกใจไม่น้อย ทิ้งราวปลาหมึกแล้วอ้าแขนรับร่างลูกที่แทบจะกระโจนเข้าหาทันที “เอ๋ยเห็นคนตายจ้ะแม่!!!”
“อะไรนะ! เอ๋ยเห็นใคร! แล้วใครตาย!”
รำไพตัวสั่นงันงกตามลูกด้วยความตกใจ แล้วมองไปตามทิศทางที่ลูกชี้นิ้วไป ก่อนจะหันซ้ายแลขวาหาสามีที่น่าจะกำลังหอบแห อวนออกไปปะชุนอยู่หลังบ้านเป็นแน่
“พี่สิน!!!!!”
แล้วสองแม่ลูกก็วิ่งไปหลังบ้านด้วยความตกใจ “อะไรนะ! ใครตาย! แล้วอยู่ตรงไหน! เอ๋ยพาพ่อไปดูซิ!”
วสินเองก็ตกใจในคำบอกเล่าของลูกไม่น้อย แล้วเขาไม่รอช้าเมื่อเห็นทิศทางที่ลูกชี้ไป ก็ออกวิ่งทันที “ลุง! รอผมด้วย” ธนากรหรือ ‘ใหญ่’ เด็กหนุ่มบ้านติดกันเองก็ร้องและออกวิ่งตามไม่แพ้กัน สองแม่ลูกก็วิ่งตามไปติดๆ
แล้วภาพที่ทุกคนเห็นก็คือ หนุ่มน้อยในชุดกางเกงขาสั้นกับเสื้อกล้ามสีขาว หรืออาจจะเคยเป็นสีนี้มาก่อน แต่ตอนนี้ทั้งดำ ด่าง สกปรกไปหมด
“ยังไม่ตาย!”
วสินบอกทุกคน เมื่อเอาหูแนบฟังเสียงการเต้นของหัวใจหนุ่มนิรนามตรงหน้าอก นั่นทำให้ทุกคนค่อยมีสีหน้าดีขั้นมาหน่อย “ไอ้ใหญ่! มาช่วยลุงแบกทีวะ เจ้าหนุ่มนี่ตัวใหญ่แล้วก็หนักไม่น้อยเลย”
“ตามพ่อไปเร็วเข้าเอ๋ย”
รำไพคว้าแขนลูกสาวแล้วก้าวเดินตามหลังสามีไปอย่างเร่งด่วน “อ้าว! แล้วนี่ถุงเปลือกหอยของเอ๋ยใช่มั้ยลูก” แต่ก็เหลือบไปเห็นถุงของลูกก่อน
“จ้ะแม่”
ลูกสาวตอบแม่ด้วยสีหน้ายังคงตื่นตระหนกกับเหตุการณ์เมื่อครู่อยู่เลย ผู้แม่เลยรีบก้มลงไปคว้าถุงมาถือไว้ ก่อนจะรีบจูงลูกให้ก้าวเดินตามสามีกับใหญ่ที่ช่วยกันหามร่างไร้สติตรงไปยังบ้านอย่างเร่งรีบ
 
หนุ่มนิรนามนอนอยู่บนฟูกผืนบางๆ กางเกงเลกับเสื้อกล้ามเก่าๆ ของสินถูกเอามาสวมให้แทนเสื้อผ้าชุดเดิมกำลังขยับเปลือกตาอย่างเชื่องช้า
ตามด้วยใบหน้าคมคายหล่อเหลา แม้จะซีดแต่ก็ไม่อาจจะบดบังความเป็นคนหน้าตาดีจากสี่ชีวิตที่กำลังนั่งรอลุ้นอยู่รอบกายได้ ผิวพรรณก็ขาว แม้จะตรงแขนจะเป็นสีแทนแต่ตรงลำตัวนั้นขาวบ่งบอกได้ว่าเพิ่งผ่านการอาบแดดมาได้ไม่นาน
‘เฮือก!!!’
ร่างที่นอนอยู่สะดุ้งสุดชีวิตดีดตัวขึ้นนั่งทันที ทำเอาสี่ชีวิตตกใจตามไปด้วย แล้วต่างฝ่ายต่างก็จ้องมองกันและกันอย่างสงสัยใคร่อยากรู้ความเป็นไปเป็นมาของกันและกันอยู่บนแคร่ใต้ถุนบ้าน
“พวกคุณเป็นใคร แล้วผมมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงครับ”
หนุ่มนิรนามเป็นฝ่ายเอ่ยถามก่อน “แล้วพ่อหนุ่มล่ะ เป็นใคร มาจากไหน ทำยังไงถึงได้มานอนเกยอยู่ฝั่งได้” วสินเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน หลังจากที่พากันหันไปมองหน้ากันอยู่ครู่หนึ่ง
คนถูกถามนั่งอึ้ง คิดอะไรไม่ออก บอกอะไรไม่ถูก แม้จะใช้ความพยายามอยู่ครู่ใหญ่แต่คิดยังไงก็คิดไม่ออก จนเกิดอาการปวดหัวจี๊ดๆ ขึ้นมา สองมือเลยต้องยกขึ้นกุมขมับอย่างสับสน
“ว่าไงล่ะพ่อหนุ่ม จะตอบพวกเราได้หรือยัง ว่าพ่อหนุ่มเป็นใคร มาจากไหน ถึงได้ลอยคอมาถึงเกาะนี้ได้ เรือล่มจากพายุเมื่อคืนหรือเปล่า หรือว่าถูกใครทำร้ายร่างกายแล้วหิ้วมาทิ้งที่นี่ แต่ตามเนื้อตัวพ่อหนุ่มก็ไม่มีบาดแผลอะไรนะ นอกจากรอยพกช้ำดำเขียวจากการกระแทกเท่านั้น ตรงท้ายทอยก็เป็นรอยเขียวๆ อยู่เหมือนกัน”
วสินเลยย้ำถามอีก เมื่อรอให้หนุ่มนิรนามตอบไม่ไหว “ผมจำไม่ได้ครับ จำอะไรไม่ได้เลย”
สี่ชีวิตหันไปมองหน้ากันเลิกลั่ก แล้วหันไปหาเป้าหมายเดิมอีก “หมายความว่ายังไงจ๊ะที่บอกว่าจำอะไรไม่ได้เลย พ่อหนุ่มชื่ออะไรจ๊ะ” รำไพเลยส่งเสียงนุ่มนวลพร้อมกับยิ้มบางๆ ไปหา
“ผมไม่รู้ครับ ผมมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ผมเป็นใครมาจากไหน แล้วผมชื่ออะไร”
“...”
อีกครั้งที่สี่ชีวิตหันไปมองหน้ากันอย่างเป็นกังวลกว่าเมื่อครู่มาก โดยเฉพาะวสินกับรำไพที่เป็นเจ้าของบ้าน เพราะไม่รู้ว่าจะทำยังไงกับหนุ่มนิรนามที่แม้แต่ชื่อตัวเองก็จำไม่ได้
“โอ๊ย! ผมปวดหัวครับ ปวด! ปวด! ปวด!”
หนุ่มนิรนามส่งสีหน้าว่ากำลังทุกข์ทรมานกับการพยายามคิดว่าตัวเองเป็นใครมาจากไหนให้ทุกคนได้เห็น
“ใจเย็นๆ นะพ่อหนุ่ม ค่อยๆ คิด พ่อหนุ่มอาจจะยังเหนื่อย ร่างกายบอบช้ำ หรือสมองถูกระทบกระเทือนจากอะไรสักอย่างเลยยังจำไม่ได้ เอาเป็นว่ากินยาแก้ปวดแล้วนอนพักสักสองสามชั่วโมงก่อนดีกว่า ตื่นขึ้นมาแล้วอาจจะจำได้”
แต่สี่วันล่วงเลยผ่านมาแล้ว หนุ่มนิรนามก็ยังจำอะไรไม่ได้เลย แม้แต่ชื่อตัวเอง ทั้งๆ ที่ร่างกายก็แข็งแรงดีแล้ว รอยพกช้ำดำเขียวก็เริ่มจืดจางไปบ้างแล้ว
“แล้วจะทำยังไงดีล่ะลุง อะไรๆ ก็จำไม่ได้ แล้วเราจะส่งนายนี่กลับบ้านยังไงล่ะ”
ธนากรอดเป็นกังวลกับแขกของเพื่อนบ้านไม่ได้ ไม่ต่างจากสองเจ้าของบ้านนัก ที่ยังคงนั่งจ้องหน้า ‘พ่อหนุ่ม’ ที่ใช้เรียกชื่อแขกไปพลางๆ มาสี่วันแล้ว
“ก็รอดูไปเรื่อยๆ แล้วกัน เผื่อจะมีคนมาตามหาพ่อหนุ่มนี่ หรือไม่ก็เผื่ออยู่ๆ ไปจะจำอะไรได้บ้าง ระหว่างนี้ก็อยู่ที่นี่กับพวกเราก่อนก็แล้วกันนะ”
“ขอบคุณครับคุณลุง”
หนุ่มนิรนามยกมือไหว้อย่างนอบน้อมพร้อมใบหน้ายิ้มน้อยๆ ออกมาด้วยความดีใจ
“บ้านลุงไม่ได้ร่ำรวยอะไร ข้าวปลาอาหารก็อย่างที่พ่อหนุ่มเห็นนั่นล่ะนะ มีให้กินตามมีตามเกิด ระหว่างอยู่นี่พ่อหนุ่มก็ช่วยงานเล็กๆ น้อยๆ ในบ้านลุงไปก่อนก็แล้วกัน”
“ได้ครับ ถ้าลุงอยากให้ผมทำอะไรก็บอกนะครับ”
“ได้เลยพ่อหนุ่ม”
“แล้วเราจะเรียกพ่อหนุ่มนี่ว่าอะไรล่ะพี่สิน วันๆ จะให้เรียกพ่อหนุ่มๆ อยู่อย่างนี้หรือไง แล้วถ้าเกิดยังจำอะไรไม่ได้เป็นเดือนๆ เราจะต้องเรียกแบบนี้ไปเป็นเดือนๆ ด้วยหรือเปล่า” รำไพสงสัย
“จริงด้วยจ้ะพ่อ”
สาวน้อยในชุดมัธยมต้นก็เห็นด้วยกับแม่ ขณะจ้องมอง ‘พ่อหนุ่ม’ ที่พ่อแม่เรียกมาหลายวันด้วยสายตาที่สื่อว่าสงสารไม่น้อย
“เอ่อ! พี่ก็ลืมไป งั้นเรามาตั้งชื่อให้พ่อหนุ่มของเราดีกว่า จะได้เอาไว้เรียกไปพลางๆ ก่อน ว่าแต่จะให้ชื่ออะไรดีล่ะไพ”
“ไม่รู้สิพี่ คิดไม่ออก เอ๋ยล่ะมีชื่อเหมาะหรือเปล่า”
สาวน้อยเอามือกอดอกครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “คิดไม่ออกจ้ะแม่” แต่สุดท้ายก็ส่งยิ้มบางๆ ให้แม่อย่างยอมแพ้
“อ้าว! คิดตั้งนาน แม่ก็ดีใจนึกว่าเอ๋ยจะคิดออก”
“เราไปพบกพ่อหนุ่มนี่ที่โขดหิน นอนก็นอนฟุบอยู่กับก่อนหิน เอาเป็นว่าชื่อหินไปก่อนก็แล้วกันนะ”
“...”
สองแม่ลูกหันไปมองวสินเป็นตาเดียวกัน ส่วนหนุ่มนิรนามก็เลิกคิ้วกับชื่อของตัวเองอย่างฉงน เพราะมันทั้งห้วนและตรงเหลือเกิน
“ถ้าไม่เอาชื่อนี้ แล้วใครมีชื่อดีๆ เพราะๆ กว่านี้มั้ยล่ะ”
“ไม่มีหรอก เอ๋ยล่ะมีมั้ย” รำไพหันไปหาลูกสาว
“ไม่มีจ้ะแม่” ลูกสาวก็หันไปหาแม่แล้วทำหน้าอย่างคนยอมแพ้
“แล้วพ่อหนุ่มล่ะชอบชื่อนี้หรือเปล่า” วสินหันไปจ้องมองหนุ่มหน้าขาวอย่างอยากได้คำตอบ
“เอ่อ! ก็ได้ครับ หินก็หิน” หนุ่มนิรนามเห็นท่าทีของวสินแล้วเลยจำต้องยอมรับ
“งั้นต่อไปนี้เราก็จะเรียกพ่อหนุ่มว่า ‘หิน’ ล่ะนะ ใช้เรียกไปก่อน อีกไม่นานคงจะมีคนมาตาม หรือไม่พ่อหนุ่มอาจจะจำอะไรขึ้นมาได้แล้วเราค่อยว่ากัน”
“ครับ”
 
“หินเอ้ย! ใหญ่เอ้ย! ช่วยยกหลัวปลาหมึกออกไปให้ป้าที่ราวที วันนี้แดดีป้าจะได้รีบๆ ตาก”
รำไพที่กำลังซักผ้าอยู่กับลูกสาวตรงหลังบ้านร้องเรียกสองหนุ่มที่อยู่บนบ้านอีกหลัง ซึ่งเป็นบ้านของธนากร ไม่นานทั้งสองก็ลงจากบันไดเล็กๆ เดินไม่กี่ก้าวก็ถึงอีกบ้านแล้วช่วยกันหามหลัวออกไปวางตามคำสั่งของรำไพแล้ว
“เอ๋ยเอาผ้าไปตากคนเดียวนะลูก แม่จะรีบไปตากปลาเดี๋ยวแดดหมด”
“จ้ะแม่”
สาวน้อยในชุดกางเกงขาสั้นกับเสื้อยืดสีมอๆ รับคำแม่อย่างไม่เกี่ยงงอน แต่ตระกร้าผ้าก็หนักอึ้งเกินกว่าที่ร่างผอมๆ บางๆ จะยกไปได้
“พี่ช่วยนะ”
หินเลยรีบเข้าไปอาสาอย่างเต็มอกเต็มใจ แม้เวลาสองอาทิตย์ที่เขามาอยู่ร่วมชายคาบ้านนี้ จะไม่ค่อยได้เอ่ยปากพูดคุยกับสาวน้อยขี้อาย พูดน้อย ยิ้มน้อยคนนี้สักเท่าไหร่ก็ตาม
“จ้ะ”
วริญรำไพรับคำแค่นั้น แล้วก็เดิมตามร่างผอมสูงไปยังราวตากผ้าเงียบๆ “พี่ช่วยตาก” หินอาสาอีกครั้ง เพราะเห็นว่ามีเสื้อผ้าของตัวเองก็รวมอยู่ตระกร้านั้นด้วย
“จ้ะ”
สาวน้อยรับคำแล้วยิ้มบางๆ ให้ นี่ถือเป็นยิ้มครั้งแรกที่หินได้เห็นก็ว่าได้ “อันนั้นไม่ต้องตากพี่หิน เดี๋ยวเอ๋ยจัดการเอง”
วริญรำไพแทบจะกระโจนไปคว้าชุดชั้นในของตัว ของแม่และของยายจากตระกร้าทันทีที่หินกำลังจะก้มไปหยิบขึ้นมาตามอย่างไม่รังเกียจใดๆ
“พี่หินเอาอันนั้นไปตากเอง”
ใบหน้าน้อยๆ บุ้ยไปทางกางเกงในของคนตรงหน้ากับของพ่ออย่างใสซื่อ ตรงไปตรงมา หินไม่ว่าอะไรได้แต่ยิ้มกว้างออกมาแล้วคว้าขึ้นไปตากทันที
“หินๆๆ ตากผ้าช่วยน้องเสร็จแล้วก็พากันไปตักน้ำจากบ่อใส่โอ่งไว้ด้วยนะลูก พรุ่งนี้จะออกเรือแล้วเดี๋ยวน้องกับยายจะไม่มีใช้”
รำไพที่หันมาเห็นทั้งสองช่วยกันก็ตะโกนบอกมา จากที่ตอนแรกว่าจะบอกธนากร แต่ก็เห็นวิ่งไปหาสามีตัวเองที่กำลังปะอวนอยู่ชายหาดแล้ว
“ครับป้า”
หินรับคำอย่างไม่เกี่ยงงอนใดๆ ไม่ว่างานนั้นจะหนักเบายังไง งานผู้หญิงหรืองานผู้ชายเขาไม่เคยมีคำว่า ‘ไม่’ ให้สองลุงป้าที่มีพระคุณล้นหัวเลยสักครั้ง
และนั่นก็ทำให้ทั้งสองชอบใจที่มีเขามาอยู่ด้วย “หินเอ้ย! ยายฝากหิ้วมาใส่โอ่งบ้านยายด้วยนะลูก” รวมทั้งยายยวงซึ่งเป็นยายแท้ๆ ของธนากรเองก็เอ็นดูเขาไม่น้อย
เพราะไหว้วานได้ง่ายกว่าหลานตัวเองที่เวลาบอกอะไรแล้วจะรับคำทันที แต่จะมีคำว่า ‘เดี๋ยวหนูทำให้จ้ะยาย’ ตามมาทุกครั้ง และคำว่า ‘เดี๋ยว’ ของหลานนั้นบางทีก็นานเป็นวัน
“ครับยาย”
ยายยวงหันไปมองหินที่รับคำทันที ทั้งๆ ที่ตัวเองยังตากผ้าไม่เสร็จด้วยซ้ำ จากนั้นก็หันไปมองหลานชายตัวเองที่กำลังขมักเขม้นช่วยวสินปะอวนอยู่ไกลออกไปอีกหลายสิบเมตร
แม้หลานจะผลัดวันประกันพรุ่งยังไง แม้หินจะรับคำและทำตามทันทียังไง แต่สุดท้ายยายยวงก็รักและเอ็นดูหลายตัวเองมากมายก่ายกองกว่าอยู่ดี
เพราะยายยวงเหลือหลานชายเพียงคนเดียวในชีวิตแล้ว เนื่องจากลูกชายกับสะใภ้ถูกทะเลกลืนชีวิตไปทั้งคู่ ในค่ำคืนที่พายุโหมกระหน่ำอย่างบ้าคลั่งขณะที่ทั้งสองออกเรือหาปลาอยู่กลางทะเล
แม้แต่ศพก็ไม่มีกลับมาให้ยายยวงเอาไปเผาที่วัดด้วยซ้ำ ครั้นจะเดาว่าทั้งสองยังมีชีวิตอยู่ก็ไม่อาจจะทำได้ เพราะแปดปีล่วงเลยผ่านมาแล้วที่ทั้งสองจากไป
 “ไพเอ้ย! ไพ! เสร็จแล้วมาช่วยทางนี้หน่อยนะเดี๋ยวจะไม่ทัน เอาน้ำมาให้พี่กินด้วย”
เสียงวสินตะโกนมาจากชายหาดทำเอาทุกคนหันไปมองตามๆ กัน “จ้าพี่” รำไพรีบหิ้วหลัวเปล่ากลับใต้ถุนบ้าน แล้วก้าวขึ้นบันไดไปเปิดตู้เย็นเก่าๆ แล้วได้กระบอกน้ำพลาสติกติดมือมาด้วย
ก่อนจะออกไปชายหาดก็ไม่วายหันไปหาลูกสาว ที่กำลังหิ้วถังตามหลังหินไปที่บ่อน้ำไม่ห่างจากบ้านนัก แล้วก็ยิ้มบางๆ ออกมาก่อนตรงไปหาสามี
“พี่สินไม่ไปแจ้งผู้ใหญ่เรื่องหินหน่อยเหรอจ้ะ”
“แจ้งทำไมล่ะ”
“อ้าว! เผื่อคนในหมู่บ้านสงสัยว่าหินเป็นใครมาจากไหนล่ะจ๊ะ”
“โอ๊ย! บ้านเราอยู่ห่างจากคนในหมู่บ้านเป็นกิโลๆ ไม่มีใครมาสนใจหรอกว่าจะมีใครมาใครไป รีบมาช่วยพี่ปะอวนดีกว่า น่ะตรงใกล้ๆ ไอ้ใหญ่น่ะ รูเบ่อเร่อเลย”
“จ้ะพี่”
วสินชอบใจไม่น้อยที่เมียว่านอนสอนง่ายไม่เคยเปลี่ยนแปลง ผิดกับธนากรคนละเรื่อง ที่ไม่ใคร่จะชอบใจนักเมื่อมองทะลุใต้ถุนบ้านไปยังบ่อ เห็นเพื่อนตัวน้อยๆ เพียงคนเดียวที่เขามีอยู่ กำลังคุยกับสมาชิกใหม่ของบ้านมากกว่าวันอื่นๆ ที่เขาเคยเห็น
หัวใจหนุ่มวัยสิบแปดย่างสิบเก้ากระตุกว๊าบๆๆ ขึ้นอย่างไม่มีเหตุผล และหวาดหวั่นว่าหนุ่มในวัยเดียวหรือไล่เลี่ยกันอย่าง ‘ไอ้หิน’ จะมาแบ่งพื้นที่จากเพื่อนตัวน้อยๆ ของตัวเองไปจนหมดสิ้นในอีกไม่ช้าไม่นานนั่นเอง
 
“ลุงฝากน้องกับยายด้วยนะหิน กลางคืนก็พาน้องขึ้นไปนอนเป็นเพื่อนยาย ลุงกับป้าไปไม่นานหรอกสามสี่วันก็จะกลับ ไว้คราวหน้าลุงอาจจะให้หินไปช่วยแทนป้าก็ได้ เป็นผู้หญิงไม่ค่อยอยากให้ออกเรือเท่าไหร่ มันเหนื่อย”
วสินสั่งทันทีขณะทุกคนนั่งกินมื้อเย็นด้วยกันที่แคร่ไม้ใต้ถุนบ้าน หินหันไปมองแล้วส่งยิ้มให้วสินอย่างคนอารณ์ดี ก่อนจะรับคำอย่างยินดีปรีดายิ่ง
“ครับลุง”
“หินนอนนอกห้องนะ ปูฟูกตรงระเบียงบ้านก็ได้ ให้น้องกับยายนอนในห้อง เวลานอนก็อย่าหลับลึกนัก ให้ฟังเสียงแปลกๆ รอบตัวด้วย”
รำไพอดที่จะย้ำเตือนตรงจุดนี้ไม่ได้ เพราะยังไงๆ ลูกตัวเองก็เป็นผู้หญิง แม้จะอายุเพิ่งสิบสามย่างสิบสี่ก็ตามที แต่ก็ไม่อาจจะวางใจเมื่อมีหนุ่มวัยกระเตาะอาศัยร่วมชายคาบ้านด้วย
แม้สองเดือนเข้ามาแล้วที่มีหินอยู่ด้วย แม้จะเห็นว่าหินเป็นคนตรงๆ ซื่อๆ ดูไม่มีพิษมีภัย แต่ยังไงๆ รำไพก็ยังไม่อยากทิ้งไฟไว้ใกล้น้ำมันอยู่ดี
“รีบๆ กินเข้าเถอะต้องเตรียมของอีกมาก มัวแต่สั่งมัวแต่กลัวอยู่นั่นล่ะไพก็”
ทว่าวสินกลับไม่อยากให้เมียแหวกหญ้าให้งูตื่น หรือชี้โพลงให้กระรอก เพราะตัวเองก็ใช่ว่าจะไม่เฝ้าดูลูกสาวกับหินเอาเสียเลย แต่พินิจดูแล้วว่าไม่น่าจะมีอะไรมากไปกว่ามิตรภาพที่ต่างมีให้กันและกันแบบเด็กๆ เท่านั้น
“จ้ะพี่”
รำไพรับคำสามีอย่างว่าง่ายเช่นเคย “อย่าลืมคอยประคองยายตอนขึ้นลงบันไดด้วยนะเอ่ย เดี๋ยวยายพี่จะตกเหมือนครั้งก่อนอีก อย่ามัวแต่เล่นจนลืมยายพี่ล่ะ”
ธนากรอดห่วงไม่ได้ อีกทั้งอดห่วงว่าเพื่อนตัวน้อยจะลืมเลือนยายไปเพราะได้เพื่อนใหม่ที่หน้าตาดีกว่าตัวเองหลายโยช
“รู้แล้วล่ะน่าพี่ใหญ่ก็ย้ำจริง เดี๋ยวเอ่ยก็ทิ้งยายเลยนี่”
สาวน้อยเริ่มรำคาญพี่ชายที่ย้ำนักย้ำหนามาตั้งแต่บ่ายแล้วก็ว่าได้ ทำเอาทุกคนหัวเราะไปตามกันๆ รวมทั้งหินด้วยที่รู้สึกเป็นสุขใจกับอาหารพื้นๆ แบบนี้ไม่น้อย

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
4.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
5.3 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา