กับดักรักจอมบงการ

7.7

เขียนโดย ศิริพารา

วันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2558 เวลา 00.55 น.

  12 ตอน
  35 วิจารณ์
  14.92K อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

12) กับดักรักจอมบงการ ตอนที่ 12 100%

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
ราวชั่วโมงต่อมา... อลินธิดาเดินแกมวิ่งเข้ามาถึงหน้าห้องผ่าตัด บรรยายกาศ กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อโรคในโรงพยาบาลชื่อดังแห่งหนึ่งนั้นบีบคั้นหัวใจยิ่งนัก มันทำให้นึกย้อนกลับไปถึงวันที่ต้องสูญเสียบิดาไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ แต่ครั้งนี้เธอจะไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้นแน่! ระหว่างทางที่ออกจากห้างแม็กซ์มอลล์มาถึงโรงพยาบาลนี้ อลินธิดาบนบาลศาลกล่าวสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลก ทั้งผู้เป็นพ่อซึ่งล่วงลับไปแล้วให้คุ้มครอง และตัวเธอก็จะยอมทำทุกอย่าง หาทุกวิถีทางที่จะทำให้ผู้เป็นแม่ได้ผ่านพ้นวิกฤตในครั้งนี้
“คุณน้ำผึ้ง ทางนี้ครับ” ยอด คนดูแลบ้านของอาทิตย์พงษ์ร้องเรียก เมื่อเห็นสาวในฝันของเจ้านายเดินใกล้เข้ามา
“พี่ยอดมาด้วยเหรอคะ แม่ล่ะคะ แม่ของน้ำผึ้งอยู่ไหน?” อลินธิดาถามด้วยน้ำเสียงและสีหน้าเป็นกังวล
“ใจเย็นๆนะครับ คุณพงษ์กำลังช่วยอยู่ครับ ตอนนี้อยู่ด้านในครับ”
หากเสียงที่ดังขึ้น ทำให้อลินธิดาหันขวับไปยังต้นกำเนิดเสียง “ญาติคุณอมรา วัฒนาคุณค่ะ”
“ดิฉันค่ะ ดิฉันเป็นลูกสาว” อลินธิดาปรี่เข้าไปหาพยาบาลซึ่งถือชาร์ตประวัติผู้ป่วยไว้ในมือ
“ค่ะ เดี๋ยวเชิญข้างในนะคะ คุณหมอต้องการคุยเกี่ยวกับอาการของคนป่วยค่ะ”
อลินธิดาก้าวเข้าไปในห้องกระจกที่พยาบาลสาวเปิดประตูให้ ดวงตากลมโตกวาดมองสภาพแวดล้อมรอบกาย ความเย็นเฉียบในห้องนี้ผสมรวมเข้ากับความหวาดกลัวส่งผลให้อลินธิดาหนาวเหน็บเข้าไปถึงขั้วหัวใจ
“เชิญด้านนี้ค่ะ คุณหมอรออยู่” พยาบาลสาวพูดขึ้นพร้อมนำทางมายังห้องๆหนึ่งซึ่งด้านในอาทิตย์พงษ์กำลังปรึกษากับนายแพทย์อีกคนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“น้ำผึ้ง” อาทิตย์พงษ์ซึ่งสวมเสื้อกาวน์สีขาวสะอาด ทักทายเมื่อเห็นหญิงสาวเดินเข้ามาพร้อมแนะนำให้เธอรู้จักกับนายแพทย์อีกท่านหนึ่ง “นี่อาจารย์หมอ... ท่านเป็นผู้อำนวยการศูนย์หัวใจของโรงพยาบาล”
อลินธิดายกมือไหว้สวัสดีพร้อมเอ่ยถามถึงอาการของผู้เป็นแม่ด้วยความร้อนใจ “คุณแม่อาการเป็นยังไงบ้างคะ”
“ท่านช็อกหมดสติไป ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นเพราะได้รับข่าวสารที่น่าตกใจ เสียใจหรืออะไรก็ตามแต่ เราคงต้องสอบถามพี่สายใจให้ละเอียดอีกที” อาทิตย์พงษ์บอก “แต่เรื่องที่น่าเป็นห่วงก็คือ เราตรวจพบว่ากล้ามเนื้อหัวใจห้องล่างซ้ายหนาผิดปกติ”
“ละ...แล้วจะเป็นอันตรายมากไหมคะ เราจะรักษาท่านยังไง” อลินธิดาถามพลามองหน้าของสองนายแพทย์สลับกันไปมาด้วยความวิตกกังวล
“อธิบายตามตรงเลยนะครับ คนเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจหนา2นี้ต้องรักษาตามอาการ สาเหตุเกิดจากที่ผู้ป่วยมีภาวะความดันโลหิตสูง” ผู้อำนวยการศูนย์หัวใจบอก
“แต่เรารักษาโรคความดันสูงมาตลอดนะคะ ทานยาไม่เคยขาด” อลินธิดาแย้ง
“ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจนะครับว่าเราดูแลใกล้ชิดก็จริง แต่ความดันโลหิตของคนเรานี่มันเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ยิ่งเกิดร่วมในคนที่เป็นโรคหัวใจด้วยแล้ว ทุกอย่างมันเกิดขึ้นได้ คือตัวผู้ป่วยเองอาจจะมีอารมณ์ซึมเศร้า โกรธ เหงา สิ่งเร้าเหล่านี้จะทำให้ความดันโลหิตสูงชั่วขณะได้ แต่ก็ถือว่าโชคดีที่เราตรวจพบเสียแต่เนิ่นๆ”
อลินธิดาพยักหน้ารับ “แปลว่าตอนนี้คุณแม่พ้นขีดอันตรายแล้วใช่ไหมคะ อาการท่านไม่น่าเป็นห่วงแล้วใช่ไหม?”
“ก็ไม่เชิงอย่างนั้น คืออาการของท่านน่าเป็นห่วง ท่านคงได้รับรู้เรื่องสะเทือนใจอย่างมากถึงทำให้ตกใจจนช็อก แล้วหมดสติไปตรงนั้น ตอนนี้เราช่วยท่านให้พ้นขีดอันตรายแล้ว แต่ยังต้องเฝ้าดูแลอย่างใกล้ชิดไม่ให้เกิดภาวะอื่นๆเข้าแทรกซ้อนอีก” อาทิตย์พงษ์อธิบายด้วยน้ำเสียงราบเรียบ รู้สึกเห็นใจผู้หญิงตรงหน้านัก “ส่วนกล้ามเนื้อหัวใจที่หนาขึ้นเราก็จะใช้ยารักษา ป้องกันไม่ให้กล้ามเนื้อหัวใจหนาเพิ่มขึ้น”
ผู้อำนวยการศูนย์หัวใจรู้สึกสงสารหญิงสาวตรงหน้ายิ่งนัก ความกลัว ความหวาดระแวงที่ปิดเอาไว้ไม่มิด มันมักเกิดขึ้นและเห็นได้จากญาติผู้ป่วยทุกคนจึงปลอบใจด้วยน้ำเสียงทุ้ม น่าฟัง “ทำใจให้สบายนะ... ตอนนี้คุณแม่อาจจะต้องอยู่ในห้องไอ ซี ยู สักพักแต่ก็มั่นใจได้ว่าจะได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด ทางแพทย์และพยาบาลก็จะให้ความช่วยเหลืออย่างสุดความสามารถ ที่สำคัญกำลังใจของคนป่วยและญาตินั้นสำคัญมาก”
อลินธิดายกมือไหว้ขอบคุณนายแพทย์วัยกลางคน และหันมาถามอาทิตย์พงษ์ด้วยความกังวลใจ เมื่อผู้อำนวยการศูนย์หัวใจเดินออกไปจากห้องแล้ว “แล้วเราจะรู้ได้ยังไงคะว่ามันจะไม่หนาเพิ่มขึ้น”
“ต่อไปคงจะต้องนัดตรวจคลื่นหัวใจให้ถี่ขึ้น ควบคุมอาหารที่มีรสเค็ม ควบคุมความดันโลหิตให้เข้มงวดมากกว่าเดิม คือรักษาตามอาการ แต่นั่นหมายถึงว่าท่านอาการไม่น่าเป็นห่วง สามารถกลับไปใช้ชีวิตที่บ้านได้นะ"
“แล้วไม่มียาที่จะรักษาให้หายขาดได้เลยเหรอคะ” ทั้งที่รู้ว่าไม่อาจจะเป็นเช่นนั้น แต่อลินธิดาก็อดที่จะถามออกมาไม่ได้
“น้ำผึ้งใจเย็นๆนะ” อาทิตย์พงษ์เอื้อมมือไปแตะที่หัวไหล่บอบบางอย่างเห็นใจ ขยับเก้าอี้เคลื่อนตัวเข้าไปใกล้ๆ อธิบายอย่างให้กำลังใจ “เมื่อเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจหนาขึ้นแล้ว มันไม่มียาที่จะทำให้กล้ามเนื้อหัวใจกลับมาอยู่ในสภาพเดิม แต่เราสามารถป้องกันไม่ให้มันหนาเพิ่มขึ้นได้เท่านั้น เราจะควบคุมความดันโลหิต เพราะถ้าความดันสูงมันจะทำให้หลอดเลือดแดงสูงขึ้น กล้ามเนื้อหัวใจทำงานหนักและหนาขึ้น สุดท้ายส่งผลให้หัวใจโตและล้มเหลวลงในที่สุด ซึ่งเราจะป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้น น้ำผึ้งเข้าใจนะครับ”
อลินธิดาถอนหายใจเฮือก ใช่ว่าไม่เข้าใจแต่ตอนนี้สมองไม่สั่งการ มืดแปดด้านไปหมด สิ่งเดียวที่ปรารถนาคืออยากให้มารดาหายขาดจาดอาการเหล่านี้และกลับไปใช้ชีวิตอย่างปกติสุข แต่ก่อนที่จะเป็นเช่นนั้นก็ต้องรักษาท่านให้อาการทุเลาลงเสียก่อน “แล้วตอนนี้นำผึ้งต้องทำยังไงบ้างคะ”
เมื่อได้ฟังคำแนะนำของอาทิตย์พงษ์ซึ่งเป็นการปฏิบัติตัวต่อผู้ป่วยเมื่อครั้งที่สามารถกลับไปพักฟื้นที่บ้าน แต่ตอนนี้สิ่งที่อลินธิดาทำได้คือปล่อยให้ท่านอยู่ในความดูแลของแพทย์และพยาบาล คอยให้กำลังใจให้ท่านหายวันหายคืน กลับมาใช้ชีวิตได้เช่นเดิม ทว่าในตอนนี้กลับอยากรู้ว่าเพราะเหตุใดท่านถึงได้ช็อกจนหมดสติไปเช่นนี้
 
ไม่กี่นาทีต่อมาอลินธิดาก็เดินออกมาจากห้องกระจกและพบว่าสายใจและยอดนั่งรออยู่หน้าห้องเช่นเดิม
“คุณอ้อยเป็นยังไงบ้างคะ?” สายใจปรี่เข้าไปถามเจ้านายสาวทันที
“หมอบอกว่าต้องรักษาตัวอยู่ในห้องไอ ซี ยู ไปก่อนค่ะ รอดูอาการไปเรื่อยๆ แล้วเมื่อกี้นี้พี่สายใจไปไหนมา น้ำผึ้งมาถึงเจอแต่พี่ยอด” อลินธิดาถามพลางทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ ตามแรงรั้งของสายใจ
“ตอนพาคุณอ้อยขึ้นรถออกมา เจ้าช็อกโกมันกระโดดข้ามรั้ววิ่งตามออกมาน่ะสิคะ พี่เลยต้องกลับไปขังมันไว้ในกรงเสียก่อน แต่กว่าจะจับขังกรงได้เล่นเอาแทบแย่ค่ะ มันแรงเยอะมาก ร้องโหยหวนเหมือนรู้ว่าคุณอ้อยไม่สบายจะตามมาให้ได้ ตอนที่พี่ออกมายังเห็นมันแทะเหล็กกรงขัง กระชากๆจนเลือดกบปากเลยนะคะ”
“มันคงรู้นะคะ คงเป็นห่วงแม่ไม่แพ้กัน”
“ค่ะ กลับไปค่อยไปดูอาการก็แล้วกัน”
อลินธิดาพยักหน้ารับเนือยๆ แล้วหันไปซักถามสายใจที่นั่งอยู่ข้างๆทันที “แล้วทำไมจู่ๆแม่ถึงได้ช็อกไปล่ะคะ?”
จบคำถามของเจ้านายสาว สายใจก็ดึงกระดาษสีขาวแผ่นหนึ่งออกมาจากกระเป๋า แล้วยื่นให้ทันที “คุณน้ำผึ้งอ่านเองนะคะ เขาบอกว่าให้แปะเอาไว้หน้าบ้าน ห้ามดึงออกเด็ดขาด แต่พอเขากลับพี่สายใจเลยขัดคำสั่งของเขาดึงออกเสียเลยค่ะ”
อลินธิดาไล่เลียงสายตาไปตามข้อความในกระดาษแผ่นดังกล่าว ซึ่งเป็นของกรมบังคับคดีที่แจ้งให้ทราบว่า บัดนี้บ้านและที่ดินของเธอได้ถูกขายทอดตลาด และมีเจ้าของใหม่เรียบร้อยแล้ว กระดาษแผ่นนี้เป็นการแจ้งเตือนให้ผู้บุกรุก ย้ายออกจากเคหะสถานนี้ภายในระยะเวลา60 วันนับจากนี้
“คุณพระช่วย นี่มันเรื่องอะไรกัน!?” อลินธิดาอุทานออกมาด้วยความตกใจ ปลายเสียงเบาแทบจะหายไปในลำคอด้วยไม่เชื่อว่า...
ครอบครัวของตนจะเปลี่ยนสถานะจาก ‘เจ้าของบ้าน’ เป็น ‘ผู้บุกรุก’ ได้อย่างไร? กระดาษแผ่นบางร่วงหล่นจากมือของคนที่กำลังตกใจสุดขีด!
“คุณน้ำผึ้ง... คุณน้ำผึ้งคะ” สายใจเขย่าร่างบอบบางของเจ้านายซึ่งอยู่ในภาวะใกล้เคียงกับแม่ของเธอ หากแต่ยังโชคดีกว่ามากเพราะไม่ได้หมดสติไปเหมือนกัน และอาทิตย์พงษ์ก็เดินออกมาเห็นเหตุการณ์นั้นพอดี จึงก้มเก็บกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาไว้ในมือและเห็นเนื้อความในกระดาษแผ่นนั้นเช่นกัน
“เป็นไปได้ยังไง เป็นไปไม่ได้...” อลินธิดาครางออกมาอย่างไม่เชื่อ ตลอดเวลาเธอรู้แค่ว่าบ้านและโฉนดที่ดินผืนนี้เป็นชื่อของมารดา ทั้งยังปลอดภาระหนี้สินใดๆ และที่ผ่านมาก็ไม่ได้มีความจำเป็นที่ต้องใช้เงินจนต้องนำบ้านไปจำนองกับใครทั้งสิ้น แล้วเหตุใดเรื่องถึงเป็นเช่นนี้ได้
“น้ำผึ้ง... โอเครึเปล่าครับ นอนพักก่อนไหม จะเป็นลมรึเปล่า หน้าซีดมากเลย” อาทิตย์พงษ์ก้มตัวลงถามด้วยความเป็นห่วง หลังจากที่ได้อ่านรายละเอียดทั้งหมดแล้ว ก็พอที่จะทราบได้ว่าทำไมอมราถึงได้ช็อกจนหมดสติ อลินธิดาถึงได้มีใบหน้าซีดเซียวเช่นนี้
“มะ...ไม่ ไม่เป็นไรค่ะ แต่น้ำผึ้งต้องรู้รายละเอียดเรื่องนี้ให้ได้ ทำไมจู่ๆบ้านถึงได้ถูกยึดแล้วขายทอดตลาดแบบนี้” จบคำพูดอลินธิดาก็ผุดลุกขึ้นเพื่อจะไปหาความกระจ่างใจทันที โชคดีที่อาทิตย์พงษ์รั้งต้นแขนเอาไว้เสียก่อน
“พี่ว่าใจเย็นๆก่อนดีไหม ถึงไปตอนนี้ก็ใช่ว่าจะได้เรื่อง”
“ปล่อยนะคะ ยังไงวันนี้น้ำผึ้งก็ต้องรู้ให้ได้ว่ามันเกิดเรื่องอะไรกันแน่” อลินธิดาพยายามสะบัดตัวออกจากการเกาะกุม หากแต่ไม่เป็นผล
“ไม่ทันแล้วน้ำผึ้ง ตอนนี้มันเกือบสองทุ่มแล้ว ไม่ว่าจะไปที่กรมบังคับคดีหรือที่ไหนๆ เขาก็กลับบ้านกันหมดแล้ว” อาทิตย์พงษ์บอกพลางใช้สองมือรั้งร่างของเธอให้นั่งลงที่เดิม กดหัวไหล่บอบบางแล้วอธิบายด้วยความใจเย็น “พี่รู้ว่าน้ำผึ้งกำลังสับสน ทุกอย่างมันประดังประเดเข้ามาโดยที่ไม่ทันตั้งตัว แต่น้ำผึ้งต้องตั้งสติแล้วค่อยๆแก้ปัญหาทุกอย่าง ไม่อย่างนั้นมันจะพังไปกันใหญ่ สุดท้ายคนที่เสียใจที่สุดก็คือคุณน้า อีกอย่างรู้ตัวไหมว่าน้ำผึ้งหน้าซีดมาก ถ้าเป็นอะไรไปอีกคนแล้วคุณน้าจะทำยังไง”
“จริงด้วยค่ะ แล้วคุณน้ำผึ้งได้ทานอะไรบ้างรึยังคะ?” สายใจถามด้วยความเป็นห่วง
อลินธิดาส่ายหน้า ความจริงแล้วอาหารมื้อสุดท้ายที่ตกถึงท้องคือมื้อเช้า หลังจากนั้นก็ออกทำงานและถูกหลอกให้เสียเวลาตามคนเจ้าเล่ห์มาค่อนวัน จนกระทั่งได้รับข่าวว่าผู้เป็นแม่หมดสติ ความหิวไม่ได้บังเกิดขึ้นเลย มีเพียงแค่ความเป็นห่วง กังวลใจเท่านั้นที่รุมเร้าอยู่ในขณะนี้
“งั้นเดี๋ยวพี่ไปหาอะไรมาให้ทาน คุณน้ำผึ้งอยากทานอะไรคะ” เมื่อได้รับคำตอบเป็นการส่ายหน้าอีกครั้ง อาทิตย์พงษ์เลยออกคำสั่งให้ยอดเป็นคนไปซื้อนมสดอุ่นๆแทน เพราะเห็นว่าสายใจควรอยู่ใกล้ๆกับหญิงสาวมากกว่า
“น้ำผึ้งอยากเยี่ยมแม่ได้ไหมคะ อยากเห็นว่าท่านเป็นยังไงบ้าง” อลินธิดาขอร้องเพราะสายตานั้นเหลือบไปเห็นเวลาที่อนุญาตให้เข้าเยี่ยมผู้ป่วยตั้งแต่แรกแล้ว และตอนนี้ก็เลยเวลามามากเต็มที
“เดี๋ยวพี่จะคุยกับหัวหน้าเวรให้ แต่น้ำผึ้งต้องทานอะไรรองท้องเสียก่อน” ไม่เช่นนั้นเมื่อเข้าไปเห็นภาพของแม่ที่มีอุปกรณ์หลายอย่างช่วยยื้อชีวิต อาจจะเป็นลมไปก็ได้ คุณหมอหนุ่มคิดต่อในใจ มองหญิงสาวตรงหน้าด้วยความสงสารและเป็นห่วง
อลินธิดาพยักหน้ารับเร็วๆ ไม่กีนาทีต่อมาก็สามารถทานนมสดอุ่นและแซนวิชหมดอย่างรวดเร็วเพราะต้องการเข้าไปเห็นผู้เป็นแม่กับตาตัวเองโดยเร็วที่สุด ท่าทีที่หญิงสาวตั้งหน้าตั้งตารับประทานอย่างไม่ได้รับรู้รสชาตินั้นทำให้คนมองถึงกับต้องเบือนหน้าหนีด้วยความสงสาร
หลังจากนั้นอลินธิดาก็ได้เข้าไปในห้องไอ ซี ยู ซึ่งมีเตียงของผู้ป่วยตั้งเรียงรายไว้ราวสิบเตียง ใกล้ๆเคาน์เตอร์พยาบาลทั้งสองด้านมีห้องกระจกปลอดเชื้อแยกไว้อย่างเป็นสัดส่วน ใจของอลินธิดานั้นชาวาบเพราะรับรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าอาการแม่ของตนต้องหนักและไม่สู้ดีนัก ท่านถึงได้แยกอยู่ในห้องปลอดเชื้อ ใกล้ๆกับเคาน์เตอร์พยาบาล เพราะถ้าเกิดนาทีวิกฤตจะได้เข้าช่วยเหลือได้ทันท่วงที
เมื่อได้เห็นกับตาว่าร่างของท่านนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียง โดยมีอุปกรณ์จับสัญญาณชีพ ออกซิเจน และสายระโยงระยางอีกมากมายก็ทำให้อลินธิดาเข่าอ่อน ซวนเซจนเกือบทรุดลงไปกองกับพื้น โชคดีที่อาทิตย์พงษ์เดินอยู่ด้านหลังและประคองไว้ได้ทัน
“ไม่เป็นไรนะน้ำผึ้ง”
หญิงสาวส่ายหน้าพร้อมกล่าวขอบคุณด้วยน้ำเสียงเบาหวิว สองขาค่อยๆก้าวเข้าไปนั่งลงบนเก้าอี้ที่วางไว้ข้างเตียง ปากของท่านมีท่อพลาสติกสอดไว้ น้ำตาของคนเป็นลูกก็ตกในเพราะรู้ดีว่าแม่นั้นต้องเจ็บตัวจากการยื้อชีวิตครั้งนี้ แต่ไม่กล้าที่จะร้องไห้ออกมาเพราะต้องเข้มแข็ง คอยส่งกำลังใจให้ท่านได้ต่อสู้และกลับมาใช้ชีวิตเช่นเดิม
อลินธิดาค่อยๆจับมือเย็นชืดของแม่ขึ้นมาบีบกระชับเป็นจังหวะ พร้อมคิดว่าหากเลือกได้ก็ขอรับเอาความเจ็บป่วยทั้งหมดนั้นไว้กับตัว ไม่ว่าจะเป็นท่อพลาสติก เข็มที่ทิ่มแทงเข้าสู่เนื้อหนังของท่านจริงอยู่ว่ามันคือการช่วยชีวิตแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่ามันสร้างความเจ็บปวดให้กับร่างกาย ทว่าเธอกลับไม่สามารถแบ่งเบาความเจ็บปวดนั้นจากท่านได้เลย “แม่คะ... น้ำผึ้งมาหาแล้วนะคะ”
ไร้การตอบสนอง มีเพียงอัตราการเต้นของหัวใจที่หน้าจอมอนิเตอร์เท่านั้นที่บอกว่าท่านยังไม่ได้จากไปไหน
“แม่อย่ากังวลเรื่องบ้านนะคะ อย่าคิดเรื่องอะไรทั้งนั้น น้ำผึ้งไม่มีวันปล่อยบ้านหลังนี้ไปให้ใครแน่” อลินธิดาบอกพลางแนบแก้มของตัวเองเข้ากับฝ่ามือของท่าน เอียงใบหน้ามาจุมพิตลงกลางฝ่ามือ พร้อมมองใบหน้าของท่านอย่างขอร้อง “หายไวๆนะคะ น้ำผึ้งรอแม่อยู่”
“ไม่ต้องห่วงนะคะ เราจะดูแลคนป่วยอย่างใกล้ชิด” เสียงของพยาบาลคนหนึ่งดังขึ้นอีกฟากหนึ่งของเตียง
อลินธิดายิ้มรับ “ขอบคุณค่ะ ถ้าต้องการอะไรบอกดิฉันเลยนะคะ”
“ตอนนี้ไม่ขาดอะไรนะคะ ของใช้ส่วนตัวผู้ป่วยที่จำเป็นทางโรงพยาบาลก็มีให้ครบครันค่ะ ญาติของคุณหมอพงษ์ พวกเราดูแลให้เป็นพิเศษ ไม่ต้องห่วงนะคะ ห้องไอ ซี ยู เป็นห้องของผู้ป่วยหนัก ทางโรงพยาบาลกำหนดให้ญาติเข้าเยี่ยมตามเวลาที่ติดไว้ด้านหน้า ที่เป็นเช่นนี้เพราะเราต้องการให้ผู้ป่วยหนักได้พักผ่อนมากที่สุดค่ะ” นางพยาบาลแนะนำอย่างดี
“พี่ว่าวันนี้เรากลับบ้านก่อนดีกว่า พรุ่งนี้น้ำผึ้งค่อยมาเยี่ยมคุณน้าใหม่นะ” อาทิตย์พงษ์บอกพลางก้มลงกระซิบที่ข้างหู เมื่อเห็นว่าหญิงสาวทำท่าว่าไม่อยากจะจากไป “พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่ มารอตั้งแต่ก่อนวอร์ดเปิดเลย แต่ตอนนี้ต้องกลับก่อนเพราะพยาบาลต้องทำงาน เราอยู่ไปเขาก็ทำงานไม่สะดวกนะ”
อลินธิดาถอนหายใจพลางวางมือของท่านไว้ที่ข้างลำตัวอย่างเบามือ ก้มตัวลงจูบแผ่วเบาที่หน้าผาก “พักผ่อนนะคะ พรุ่งนี้น้ำผึ้งจะมาเยี่ยมแต่เช้าเลย...”
“กลับบ้านนะน้ำผึ้ง” อาทิตย์พงษ์บอกพลางรั้งร่างอรชรให้เดินออกมาจากห้องกระจกใสนั้น พลางหันไปกำชับให้พยาบาลเฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิด จากนั้นจึงพาหญิงสาวออกมาด้านนอกและสั่งให้ยอดขับรถของตนกลับ โดยมีสายใจนั่งไปเป็นเพื่อน ส่วนตนนั้นก็ขับรถของอลินธิดากลับเพราะไม่ไว้ใจให้หญิงสาวขับรถกลับในตอนที่จิตใจย่ำแย่เช่นนี้
ยอดมองเจ้านายและผู้หญิงในดวงใจเดินห่างออกไปยังรถอีกคันด้วยความหวัง พลางหันไปถามผู้หญิงที่เดินซึมอยู่ข้างกาย “หวังว่าเหตุการณ์ในครั้งนี้ คุณน้ำผึ้งจะหันมามองคุณหมอของพี่บ้างนะ”
“ตายจริงพี่ยอด! ทำไมถึงมาพูดเรื่องรักๆใคร่ๆในเวลาอย่างนี้” สายใจดุพลางบิดเข้าที่ต้นแขนสุดแรง
“โอ๊ย... เนื้อหลุดแล้วจ้ะ” ยอดสูดปากด้วยความเจ็บ ลูบที่ต้นแขนของตัวเองไปมา “พี่รู้ว่ามันไม่ควร จะพูดแต่ก็อดไม่ได้ ดูสิ... ทั้งคู่เหมาะสมกันแค่ไหน”
“เฮ้อ! ฉันยังไม่อยากคิดเรื่องรักๆใคร่ๆตอนนี้หรอกพี่ยอด เจ้านายกำลังมีเรื่อง บ้านก็ไม่รู้จะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน” สายใจบอกด้วยความหนักใจหลังจากที่ขึ้นมานั่งบนรถแล้ว
“โธ่... จะไปคิดมากเรื่องนี้ทำไม ไม่ได้อยู่บ้านนั้นก็ย้ายเข้ามาอยู่บ้านหมอพงษ์สิจ๊ะ คุณน้ำผึ้งตกล่องปล่องชิ้นกับหมอพงษ์ สายใจก็มาเป็นเมียพี่ ไม่ต้องย้ายไปไหนไกล ไม่ต้องคิดมาก” ยอดบอกด้วยน้ำเสียงขี้เล่น ผ่อนคลายความตึงเครียดให้คนรักบ้างพลางเคลื่อนรถออกจากโรงพยาบาล โล่งอกขึ้นมาบ้างที่ได้เห็นว่าคนรักของตนยิ้มออก คลายความเครียดลงเล็กน้อย...
 
ในขณะเดียวกันที่พบกรันต์เดินทางถึงคฤหาสน์โภไคยสกุลก่อนเวลาอาหารเย็นเริ่มขึ้นเล็กน้อย สร้างความประหลาดใจให้กับคุณหญิงประไพศรีเป็นอย่างมาก
“คุณพระช่วย! มิน่าล่ะวันนี้ฝนฟ้าตั้งเค้าจะกระหน่ำผิดฤดู” ประไพศรีทักทายลูกชายคนเดียวที่เดินเข้ามาในห้องอาหาร แล้วหันกลับไปยังทีวีจอยักษ์ที่ติดไว้อยู่ผนังห้อง “แล้วนี่ทานอะไรมารึยัง ทานข้าวเย็นกับแม่ไหม?”
“ทานครับ” พบกรันต์ตอบพลางขมวดคิ้วเมื่อเห็นแม่ของตนถามโดยไม่ละสายตาจากทีวี ราวกับกำลังติดตามข่าวสารสำคัญที่พลาดไม่ได้ จึงทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ประจำของตนพร้อมเหลือบสายตาไปมองยังทีวีที่ท่านกำลังให้ความสนใจ ภาพที่เห็นทำให้พบกรันต์ยิ้มที่มุมปากออกมาโดยไม่รู้ตัว เมื่อได้เห็นผู้ประกาศข่าวพยากรณ์อากาศ ผู้ซึ่งมีใบหน้าจิ้มลิ้มแต่งกายโดนเด่นในชุดสีส้ม ซึ่งบ่งบอกให้ท่านผู้ชมผ่านจอโทรทัศน์ทราบว่าวันนี้คือวันพฤหัสบดี การรายงานลมฟ้าอากาศที่มีท่าทีสบายๆ ผ่อนคลาย บางวันเธอก็แต่งกายตามสภาพอากาศที่เกิดขึ้นแต่ยังคงสีสันสดใสตามวันไว้ ประกอบกับภาพซีจีด้านหลังที่เปลี่ยนไปตามสภาพอากาศจริงมันดึงดูดความสนใจของผู้ชมได้เป็นอย่างดี
“ชอบเหรอครับ ดูไม่กระพริบตาเชียว” พบกรันต์ถามเมื่อละสายตาจากใบหน้างดงาม แล้วยังเห็นว่าแม่ของตนอดยิ้มมองด้วยความชื่นชม
“ชอบ... แม่ชอบผู้หญิงเก่ง ชอบผู้หญิงทำงาน” หันมาตอบลูกชายพลางเริ่มลงมือรับประทานอาหาร
“หมายถึงชอบเธอหรือชอบผู้หญิงเก่ง” ย้ำถามอีกครั้งเมื่อได้คำตอบที่ไม่ตรงกับคำถามเท่าไหร่นัก
ประไพศรีหัวเราะอย่างพอใจ ลูกชายของเธอเป็นคนทีมีความชัดเจนในตัวเองมาก คงจะรู้อย่างละเอียดทุกเรื่องไปสินะ “แม่ชอบผู้หญิงทำงาน มีความมั่นใจในตัวเอง วันๆไม่เที่ยววิ่งไล่จับผู้ชายให้ตัวเองดูด้อยค่า และเห็นๆกันอยู่ว่าอลินธิดาเป็นอย่างนั้น”
เมื่อได้ยินคำตอบอย่างกระจ่างใจ พบกรันต์ไม่ได้ตอบโต้อย่างไรเพียงแค่ไหวไหล่อย่างไม่ใส่ใจแล้วลงมือรับประทานอาหารบ้าง เอาไว้ให้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเธอเสียก่อน แสบสันไม่แพ้ใคร ขนาดผู้หญิงมากมารยาที่เที่ยววิ่งไล่จับผู้ชายยังต้องหงอเมื่อเจอกับอลินธิดา
“เคยได้ยินว่าอลินธิดาคบกับพีทอยู่พักหนึ่ง ทำไมถึงเงียบไปซะล่ะ เธอน่าเบื่อหรือรู้ทันพีทไปซะทุกเรื่อง พีทถึงได้ไม่สานต่อ”
“มีอะไรในตัวผมที่แม่ไม่รู้บ้างครับ” พบกรันต์ถามราวกับประชด หากแต่ความจริงแล้วประหลาดใจมากกว่า ไม่อยากคิดว่าท่านจะส่งนักสืบคอยติดตามพฤติกรรมอีกคนหรอกนะ คิดมาถึงตรงนี้พบกรันต์ก็อยากจะหัวเราะให้ก้องฟ้า มิน่าล่ะ! ผู้หญิงสองคนนี้มีอะไรที่เหมือนกันนี่เอง เป็นครั้งแรกที่ได้ยินแม่ของตนเอ่ยปากว่าชอบผู้หญิงสักคน
“ถึงจะไม่ตกข่าวแต่ก็ไม่เคยเข้าไปก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวนะ”
“คร้าบ... ผมก็ยังไม่ได้ว่าอะไรเลย ยินดีด้วยซ้ำที่รู้ว่ามีผู้หญิงสวยๆคนหนึ่งรักผมมาก ชนิดที่ไม่ยอมปล่อยให้คลาดสายตา”
“เว้นแม่ไว้สักคนเถอะพบกรันต์ พีทก็รู้ว่าแม่ไม่มีวันชอบผู้ชายเจ้าชู้อย่างพีท เพราะฉะนั้นเก็บคำพูดหวานหูเอาไปใช้กับผู้หญิงที่ต้องเดินตามพีทเถอะ และขอเดาว่าอลินธิดาคงจะเป็นผู้หญิงที่คุยด้วยแล้วต้องวิ่งตามเธอใช่ไหม ถึงทำให้ถอยออกมาอย่างนี้” ประไพศรีดักคออย่างรู้ทัน
“มันก็ไม่เชิงอย่างนั้นหรอกครับ” พบกรันต์ตอบพลางวางช้อนส้อมในมือลง เงยหน้าขึ้นมองไปอย่างไร้จุดหมายจนทำให้คนเป็นแม่อดแปลกใจไม่ได้ เพราะไม่เคยเห็นลูกชายพูดถึงผู้หญิงคนไหนด้วยสายตาเป็นประกายเช่นนี้มาก่อน “บุคลิกของเธอมีทั้งอ่อนหวาน มั่นใจ เข้มแข็ง ผสมปนเปกันจนแยกไม่ออก เวลาคุยด้วยต้องคิดตามตลอดเวลา มันทำให้เส้นประสาทของผมตื่นตัวตลอดเวลา”
หลายต่อหลายครั้งของบทสนทนาระหว่างกัน เธอทำให้เขารู้สึกเหมือนเป็น ‘ผู้ล่า’ แต่เพียงแค่ไม่กี่อึดใจต่อมาก็รู้สึกได้ว่าตัวเองตกเป็น ‘ผู้ถูกล่า’ เสียเอง
“แปลว่าพีทรักเธอ”
คำถามจี้ใจดำทำให้พบกรันต์หลุดออกจากความคิดของตัวเอง หันมามองแม่ของตนแล้วส่ายหน้าช้าๆ
“งั้นคงจะแค่ชอบ แล้วทำไมถึงไม่สานต่อเสียล่ะ” ประไพศรีลดระดับความรู้สึกลงถามอย่างอยากรู้เพราะอลินธิดาเป็นผู้หญิคนแรกที่ไม่ขัดหูขัดตา แต่จู่ๆลูกชายของเธอกลับตีห่างไปเสียดื้อๆ
“คง... ยังไม่ถึงเวลามั้งครับ” ตอบเลี่ยงๆ แม้จะติดตามชีวิตของเขาได้ทุกเวลาแต่ก็ไม่จำเป็นต้องเปิดเผยความรู้สึกทุกอย่างออกมา
“จะหวงไปถึงไหน ชีวิตโสดน่ะ” ประไพศรีถามพลางรวบช้อนไว้อย่างในจานอย่างคนมีระเบียบ
พบกรันต์หัวเราะในลำคอ เหล่มองด้วยสายตาขี้เล่น “พูดอย่างนี้อย่าบอกว่าจะแนะนำผู้หญิงให้ผมรู้จักนะครับ”
“ไม่มีทาง เพราะแม่ไม่ใครชอบหรือนิยมการคลุมถุงชน พีทอาจจะเห็นว่าแม่คอยขัดแข้งขัดขาผู้หญิงในสต็อกของพีท แต่นั่นแม่คิดว่ามันเป็นสิทธิ์ของแม่ที่จะปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายออกไปจากตัวลูก”
พบกรันต์สำลักทันทีเมื่อได้ยินว่าผู้หญิงที่ช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดของตนเป็น ‘สิ่งชั่วร้าย’ แต่ก็ไม่ได้โต้แย้งว่าอย่างไร นั่งรับประทานอาหารพร้อมฟังท่านพูดต่อไปเงียบๆ
ประไพศรีมองลูกชายด้วยความหมั่นไส้ “พีทก็รู้ว่าแม่เกลียดการนอกใจในคู่สมรสแค่ไหน ป๋าของพีทสร้างบาดแผลไว้ในใจให้กับแม่จนเกินทน นี่ยังดีนะที่แม่ไม่ใช่ผู้หญิงแร้นแค้น ไม่มีสมบัติพัสถานติดตัว ไม่งั้นป๋าของพีทคงจะไม่เห็นหัว เอาเมียน้อยกับลูกนอกสมรสเข้ามาอยู่ในบ้านแล้ว”
“แม่ครับ... เรื่องมันผ่านไปแล้ว อย่ามาเอาใส่ใจเลยนะ” พบกรันต์เอื้อมมือไปบีบมือของคนเป็นแม่ รู้ดีว่าช่วงที่ตนกำลังเรียนอยู่ต่างประเทศนั้น ท่านต้องทุกข์ใจกับเรื่องนี้มากแค่ไหน แต่ก็เข้าใจผู้เป็นพ่อเช่นกันเพราะความรักของท่านเช่นกัน ดูผิวเผินอาจจะมองว่าท่านเป็นผู้ชายเจ้าชู้ มากรักแต่แท้จริงแล้วท่านรักและมั่นคงกับผู้หญิงคนหนึ่งมาก
“หึ... ที่สองแม่ลูกนั่นมีหน้ามีตาอยู่ในสังคมได้อย่างทุกวันนี้ นั่นก็เป็นเพราะเงินของโภไคยสกุลทั้งนั้น แล้วเด็กไม่รู้ความคนนั้นยังไม่สำนึก ไม่ว่าจะเป็นประเพณีจีนหรือไทยที่ทำขึ้นเพื่อพ่อของตัวเอง เคยโผล่หน้ามาบ้างรึเปล่า แม่มันมัวแต่คิดวางแผนฮุบเอาหุ้นของเรามากจนไม่มีเวลาสั่งสอนลูก โตขึ้นมาถึงได้จองหองพองขน ไม่รู้สำนึกบุญคุณ”
“ความจริงแล้วชีวิตพริกหวานน่าสงสารนะครับ เขาโตมาในโรงเรียนประจำ แน่ล่ะว่าความอ้างว้าง เดียวดายมันส่งผลให้พริกหวานมีบุคลิกแข็งๆ ขนาดผมที่เป็นพี่ชายยังไม่รู้จักน้องของตัวเองเท่าไหร่เลย” พบกรันต์พูดอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้ แต่เรื่องราวของคะนึงนิจ น้องสาวต่างมารดาของตนนั้นลึกลับซับซ้อนเกินกว่าที่อธิบายให้กระจ่างชัดตอนนี้ ยังจำได้ดีว่าในตอนที่รับปากผู้เป็นพ่อไว้ว่าจะทำให้เรื่องทุกอย่างถูกต้อง แต่นั่นต้องรอเวลาให้เขาเสร็จจากการจัดการกับพอล เฉิน คู่แข่งทางธุรกิจเสียก่อน “อย่าเอามาใส่ใจเลยนะครับ แต่ละคนก็มีความทุกข์ที่แตกต่างกันออกไป ป๋าเองก็คงรู้สึกผิดมากที่ทำให้แม่เสียใจอย่างนี้”
“เขากับแม่เริ่มต้นกันด้วยความเชื่อโบราณผิดๆ เขาเป็นคนจีน ขยัน ทำงานเก่ง ฉลาดรอบด้านแม่เป็นลูกสาวนักการเมืองใหญ่ที่มีคนนับหน้าถือตา มีฐานะ มีอำนาจ เป็นคุณหนูที่ไม่เคยประพฤติปฎิบัติตัวนอกกรอบที่พ่อแม่ขีดไว้ให้ ใครๆก็เห็นว่าเราเหมาะสมกันยังกับกิ่งทองใบหยก เริ่มต้นจากความเหมาะสมที่อาศัยความเชื่อว่าสักวันจะเปลี่ยนเป็นความรัก แต่ชีวิตจริงมันไม่ได้ง่ายอย่างนั้น” ประไพศรีถอนหายใจออกมาหนักๆ มองหน้าลูกชายด้วยความข่มขื่นใจที่ตอกย้ำมาเนิ่นนานจนกลายเป็นชินชา “เมื่อผู้ชายปันใจนั่นแปลว่าหมดใจ แล้วแม่ก็ใช่ผู้หญิงที่จะร้องไห้ฟูมฟาย ลดศักดิ์ศรีของตัวเองไม่ตามงอนง้อขอความรักจากใคร พีทน่าจะรู้ว่าต่อจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น”
“ครับ” พบกรันต์รับคำสั้นๆ ทำไมจะไม่รู้ว่าครอบครัวที่สร้างขึ้นโดยปราศจากความรักนั้น มันเปราะบางเหลือเกินและก็ปฏิญาณกับตัวเองว่าจะไม่ทำให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเดิมเป็นอันขาด
“ทีนี้พีทก็คงจะวางใจได้แล้วว่าแม่จะไม่บังคับ หรือแม้แต่นัดดูตัวอย่างที่คนอื่นชอบทำกันเด็ดขาด คู่ใคร คู่เรา เลือกเอาเอง จะดีจะร้ายก็ต้องปรับตัวเข้าหากันให้ได้ ถ้าไปกันไม่รอดจะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจ โทษคนโน้นคนนี้ที่จับคู่ให้ เข้าใจไหม... พ่อหนุ่มเพลย์บอย?”
พบกรันต์หัวเราะร่วนเมื่อได้ยินคำถามและน้ำเสียงที่ดีขึ้นเป็นอย่างมาก
“ที่เล่าให้ฟังแม่ไม่ได้คิดมาก แค่เล่าเป็นอุทาหรณ์ ไม่เคยเร่งวันเร่งคืนให้พีทมีครอบครัว พร้อมเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น ในตอนที่มีสิทธิ์เลือกก็เลือกให้เต็มที่ เพราะถ้าหากเลือกแล้วพีทจะทำอย่างป๋า แม่คงต้องเหม็นหน้าพีทอีกเป็นแน่”
“ฮ่า... ให้สิทธิ์ผมในการเลือกเต็มที่เพราะแม่ก็จะได้ใช้สิทธิ์ในการขัดแข้งขัดขาพวกเธอได้เต็มที่เหมือนกันใช่ไหมครับ”
“แม่ว่าแม่เลือกใช้วิธีรับมือกับลูกชายของตัวเองไม่ผิดนะ แล้วก็รีบๆทานข้าวเสีย อาหารเย็นหมดแล้ว วันนี้ลองหลับก่อนสี่ทุ่มดูมั่ง เผื่อพรุ่งนี้ชีวิตเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น” ประไพศรีประชดลูกชายของตัวเองพลางหันไปสั่งให้แม่บ้านเอาของหวานเข้าไปเสิร์ฟในห้องนั่งเล่น “อ้อ... แม่เบื่อ ไม่ชอบใจ ไม่ชอบหน้าแม่รัตน์ระพีนั่นเหลือเกิน ไม่เข้าใจว่าพีทชอบหล่อนตรงไหน”
“หึ... ก็คงต้องมีดีในตัวบ้างล่ะครับ ไม่งั้นผมคงอยู่ใกล้นานๆไม่ได้”
“ระวังไว้ให้ดีเถอะ อย่าให้ขัดหูขัดตาแม่มากกว่านี้ก็แล้วกัน พีทก็รู้จักแม่ดีนี่” จบคำพูดก็เดินออกจากห้องอาหารราวกับถูกขัดใจนักหนา
ไม่รู้ทำไมภาพของอลินธิดาและแม่ของตนถึงได้แจ่มชัดนัก ทั้งคู่มีนิสัยที่คล้ายคลึงกันมาก อ่อนหวานแต่ไม่อ่อนแอ ถ้าหากมีผู้หญิงสองคนนี้เดินอยู่ในบ้านหลังนี้ เขาจะเหลือสิทธิอะไรบ้าง? ทั้งคู่คงพากันข่มให้เขาหงอจนตัวเล็กกระจ้อยร่อย!
โอ... นี่คือหายนะของเขาสินะ!

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา