ลิขิตรักฉบับคานทอง
6.3
เขียนโดย Dashathone
วันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2558 เวลา 23.38 น.
14 บท
1 วิจารณ์
18.01K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 19 กันยายน พ.ศ. 2558 14.14 น. โดย เจ้าของนิยาย
11) ฉบับที่ 11 ตามง้อ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความฉบับที่ 11
ตามง้อ
“เดี๋ยวเกรซ” ภวินท์ดึงแขนเรียวของณธิดาไว้ เมื่อเห็นหญิงสาวเบือนหน้าหนีกำลังจะเดินเข้าหลังร้านทันที หลังจากพิรารัตน์เดินออกจากร้านไปแล้ว
“เกรซ...คุณหึงผม” ชายหนุ่มพูดล้อเลียนเมื่อเห็นสีหน้าบึ้งตึงค้อนขวับให้หลายครั้งหลายครา
“บ้ารึไง ฉันโมโหต่างหากเล่า” ณธิดาพูดกลบเกลื่อนอาการหน้าแดงเขินอาย ความโกรธที่คาดโทษเขาไว้ว่าจะจัดการให้หมอบนั้น หายวับไปกับตา เมื่อถูกชายหนุ่มล้อเลียนอย่างรู้ทัน
“ก็หน้าคุณน่ะ แสดงออกว่าหึงผมซะจนหน้าแดงรามไปถึงหูเชียว” ชายหนุ่มใช้นิ้วมือหนาไล้ใบหน้าเนียนใส จ้องมองอย่างตั้งใจพิจารณาให้เต็มตา สมกับความคิดถึงที่เขามีให้เธอทุกๆวินาทีที่หายใจเข้าออก ‘ยัยแม่มดร้ายกาจ’ ทำไมเขาถึงทั้งรักทั้งหลงเธอ ทั้งๆที่เธอยังไม่ได้ทำอะไรด้วยซ้ำ แต่เขากลับเป็นห่วงความรู้สึกเธอทันทีที่เห็นข่าวตัวเองในหน้าหนังสือพิมพ์ เขาอยากเห็นหน้า อยากสัมผัส อยาก...จูบ...ปากอวบอิ่มสีชมพูระเรื่อนั่น เขาอยากลิ้มรสหวานปานน้ำผึ้งที่เขาเคยได้รับมาแล้วอีกครั้ง ภวินท์ก้มใบหน้าคมเข้มเข้าไปใกล้ใบหน้าพริ้มเพรา ท่ามกลางสายตาหลายสิบคู่ของลูกค้าในร้าน ต่างก็กำลังรอดูฉากโรแมนติกอย่างใจจดใจจ่อ
“เอ่อ...ฉันมีงานต้องทำต่อค่ะ” ณธิดาได้สติหันซ้ายหันขวา เมื่อรู้ว่าไม่ได้อยู่กันสองคน จึงรีบผละออกอย่างรวดเร็ว หันหลังเดินกึ่งวิ่งไปทางห้องทำงานที่อยู่ด้านหลังร้าน
“ผมจะรอคุยกับคุณหลังเลิกงานนะครับ เกรซ” ร่างสูงพูดไล่หลังเธอไป ยังไงซะเขาจะต้องง้อผู้หญิงที่เขารักให้สำเร็จให้ได้
กว่าที่เจ้าของร้านคนสวยจะเคลียร์ระบบบัญชีรายรับรายจ่ายประจำวันเสร็จ นาฬิกาเรือนหรูของชายหนุ่มบอกว่าเป็นเวลาเกือบจะสี่ทุ่มแล้ว แต่ที่หนักไปกว่านั้นคือเสียงร้องดังมาจากกระเพาะภายใต้กล้ามท้องขึ้นลอนสวย ซึ่งเป็นผลมาจากการออกกำลังกายเป็นประจำมันช่างตอกย้ำความทรมานคนหิวอย่างเขาซะจริง เพราะนั่งรอเธออยู่ตรงมุมใกล้เคาท์เตอร์นี่มาหลายชั่วโมง จนพนักงานพากันกลับบ้านกันหมดแล้ว ก็ยังไม่มีทีท่าว่าณธิดาจะออกมาจากหลังร้านสักที แต่พอเขาแอบไปส่องดูข้างหน้าต่าง ก็เห็นว่าหญิงสาวกำลังเคร่งเครียดกับกองเอกสารมากมาย ‘นี่คุณจะทรมานผมไปอีกนานไหม ที่รัก’
“ผมนึกว่าคุณจะปล่อยให้ผมรอจนเป็นโรคกระเพาะซะอีก เกรซ” ภวินท์เงยหน้าขึ้นมองเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้ และเขายังคงใช้น้ำเสียงนุ่มนวลกับผู้หญิงตรงหน้าเหมือนเดิม แม้จะปล่อยให้เขารอจนไส้กิ่ว หรือว่า ‘เธอจะแกล้งเอาคืนเขาเรื่องเมื่อตอนบ่าย’
“ขี่ตู่จริงๆเลยคุณเนี้ยะ” ณธิดาว่าชายหนุ่มพลางยิ้มมุมปากอย่างมั่นไส้ ก็เธอไม่เคยรับปากว่าจะให้เขารอสักหน่อย ใครจะไปคิดว่าชายหนุ่มหน้าตาหล่อคมทายาทมหาเศรษฐี จะมีความอดทนสูงรอเธอจนดึกดื่นแบบนี้ ‘โถๆ น่าสงสารจริงๆ หนุ่มน้อยของป้า’
“ผมขี้ตู่....เรื่องอะไรไม่ทราบครับ ที่รัก” ภวินท์เอ่ยถามเสียงทะเล้นสดใส สาวเท้าเข้าใกล้หญิงสาว ยิ้มกว้างขวางสว่างจ้า จนทำให้คนมองตาพร่าเลยทีเดียว
“ก็ทั้งเรื่องที่คุณโมเมว่าฉันเป็นว่าที่คุณผู้หญิง แล้วก็...ภรรยาคุณไง” ณธิดาพูดไปก็เอานิ้วเรียวจิ้มอกแกร่งของภวินท์ไปด้วย เพื่อเน้นย้ำว่าเขาพูดออกมาจริงๆ ทั้งๆที่เธอยังไม่ได้ตอบตกลงเขาสักตำแหน่งเดียว ‘ผู้ชายอะไรเจ้าเล่ห์จริงๆ’
“มันเป็นความจริงต่างหากล่ะ เกรซ” ชายหนุ่มยังคงทึกทักเอาอย่างหน้าด้านๆ เพราะเขาถือคติที่ว่า ‘ด้านได้อายอด’ แต่ก็เพราะเขาตั้งใจมอบตำแหน่งนี้ให้เธออย่างที่เขาประกาศต่อหน้าพิรารัตน์จริงๆ
“แล้วฉันไปตกปากรับคำกับคุณตอนไหน” ณธิดาเริ่มพูดเสียงแข็งอย่างจนปัญญา เมื่อเห็นว่าเขายังหน้ามึนตู่คิดเองเออเองต่อไป ณธิดาก้าวเข้ามาเข้ายืนประจันหน้า เอามือบอบบางท้าวเอวทั้งสองข้าง เงยหน้าสบสายตาเข้มเป็นเชิงถามอย่างท้าทาย แต่เมื่อได้จังหวะก็ถูก ภวินท์ดึงเอวคอดเล็กเข้ามาแนบชิดร่างสูงด้วยมือหนาทั้งสองข้าง ทำให้หน้าอกอวบอูมนั้นปะทะเข้ากับอกแกร่งทันที ส่งผลให้ใบหน้าขาวใสมีรอยริ้วแดงขึ้นบนแก้มทั้งสองข้าง บ่งบอกว่าเธอกำลังเขินอายหรือกำลังคิดอะไรกับร่างกายของเขาอยู่ในสายตาภวินท์ ชายหนุ่มยิ้มกว้างมากขึ้นไปอีก เมื่อเขาเริ่มเดาความคิดเธอออก ณธิดาจึงกลบเกลื่อนความรู้สึกนั้นด้วยใบหน้าบึ้งตึงราวกับโกรธเขาหนักหนา
“โอ๋ๆ อย่าทำหน้าบึ้งสิ เดี๋ยวก็แก่กันพอดี” ภวินท์แกล้งปลอบเมื่อเห็นว่าหญิงสาวพยายามกลบอาการของตัวเอง
“นี่คุณว่าฉันแก่เหรอ คุณวินท์!!!” คราวนี้ณธิดาชี้หน้าพูดเสียงดังด้วยความโกรธเขาจริงๆ เรื่องอะไรมาว่าเธอแก่ สำหรับผู้หญิงแล้วมันคือ ‘คำพูดต้องห้าม!!!’
“ถึงแก่แต่ก็.....น่ารักนะ ฟอด!” พูดไม่พูดเปล่า ภวินท์บีบจมูกโด่งของเธอด้วยความมันเขี้ยว ‘คนอะไรแม้แต่ตอนโกรธก็ยังน่ารัก’ และตบท้ายด้วยการแอบหอมแก้วหญิงสาวเร็วๆหนึ่งที
“คุณวินท์!!!” ณธิดาฟาดมือเรียวลงบนกล้ามแขนเขา เธอทั้งโกรธแกมอายเมื่อโดนเขาขโมยหอมแก้มเธอเสียฟอดใหญ่
“ครับที่รัก” ชายหนุ่มขานรับอย่างแข็งขัน พร้อมกับส่งสายตาพราวเจ้าเล่ห์มาให้
“จะไปกันรึยัง!!!” หญิงสาวจึงผละออกเดินหนีสายตาแวววาวทอประกายแล้วตรงไปที่รถทันที
“ไปครับไป” ภวินท์วิ่งตามหลังหญิงสาวให้ทัน เพื่อไปเปิดประตูรอด้านข้างคนขับให้ณธิดาขึ้นไปนั่งบนรถคันหรู ซึ่งสั่งให้คนรถขับมาจอดตั้งแต่ช่วงเย็นที่ผ่านมา
หลังจากภวินท์ออกรถไปเพียงไม่กี่วินาที ปรากฏร่างชายหนุ่มผิวขาว หน้าตาสะอาดสะอ้าน สูงร้อยแปดสิบ แต่งกายสุภาพเรียบร้อยดูภูมิฐาน ในมือมีช่อดอกกุหลาบสีขาวบริสุทธิ์ ชายหนุ่มก้าวออกมายืนมองท้ายรถของรุ่นน้องคนสนิท เมื่อตอนเรียนเมืองนอกด้วยกัน ซึ่งมีผู้หญิงที่เขาชื่นชอบเข้าขั้นหลงรักมาหลายปี นั่งเคียงข้างกันอยู่ในรถคันหรูราคาหลายสิบล้าน ‘ทำไมโลกถึงลำเอียงแบบนี้’
ธีร์ภพมองภาพท้ายรถที่เคลื่อนออกไปไกลทุกทีด้วยสายตาร้าวราน ราวกับเขาไม่สามารถเอื้อมถึงได้ ไม่ว่าวันนี้หรืออนาคต เขาก็ยังห่างไกลกับคำว่า ‘ทายาทมหาเศรษฐี’ ยิ่งนัก แม้ว่าเขาจะพยายามขวนขวายได้ทุนไปเรียนเมืองนอกนานนับหลายปี และกลับมาตั้งใจที่จะสร้างฐานะให้มั่นคง เพื่อวางแผนว่าชีวิตของเขาและผู้หญิงที่เขารักจะไม่ลำบาก และพยายามเทียบเท่ากับฐานะทางสังคมในระดับเดียวกับเธอ ณธิดา ณราวรกลากุณ คือผู้หญิงที่เขาแอบปลื้มในความสวยใส แต่ก็แอบเซ็กซี่ ตรงไปตรงมา และชัดเจนกับการใช้ชีวิตเสมอ เขาพยายามติดตามข่าวเธอจากพิมพ์ภัทร เพื่อนสนิทของหญิงสาวมาตลอดช่วงที่เขาไปเรียนต่อ เท่าที่รู้มาหญิงสาวยังไม่เคยเปิดรับใครเข้ามาในชีวิต แต่ภาพที่เขาเห็นมันบั่นทอนความเชื่อมั่นและมั่นใจของเขาไปเกือบหมด ที่สำคัญผู้ชายซึ่งนั่งขับรถเคียงข้างณธิดานั้น ยังเป็นรุ่นน้องที่เขารู้จักดีอีกต่างหาก ภวินท์ ภาวสุทธิธานันท์ ทายาทมหาเศรษฐีเจ้าของบริษัทค้าเพชรรายใหญ่ของประเทศ ภาพความใกล้ชิดสนิทสนมระหว่างทั้งสองคนนั้น ยิ่งบอกบอกว่าณธิดาก็รู้สึกดีกับภวินท์มากแค่ไหน เพราะหญิงสาวเป็นคนถือตัวมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว การที่เธอเปิดโอกาสให้ภวินท์ได้สนิทแนบชิดขนาดนั้น แสดงว่า...
‘โธ่เอ้ย ยิ่งคิดก็ยิ่งเจ็บปวด’ ธีร์ภพสบถในใจอย่างท้อแท้ ยังไม่ทันได้เริ่มต้นจีบ เขาก็อกหักซะแล้ว
ส่วนบรรยากาศในรถนั้นกลับเงียบสนิท ไม่มีใครพูดอะไรตั้งแต่ขับรถออกมาจากร้าน ภวินท์กำลังครุ่นคิดหาวิธีว่าเขาจะเริ่มพูดอธิบายอย่างไรให้หญิงสาวที่นั่งอยู่บนเบาะข้างคนขับนั้น ให้เข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงบ่าย และเชื่อมั่นในตัวเขาว่าจะไม่ย้อนกลับไปหาอดีตอีก ต่างกับณธิดาที่กำลังชั่งน้ำหนักระหว่างความรู้สึกของตัวเอง ที่มีต่อความจริงใจของเขาที่แสดงออกมา มันมากพอที่เธอจะไว้ใจเชื่อว่าชายหนุ่มรุ่นน้องคนนี้จะทำให้เธอมีความสุขได้ไหม แล้วเขาจะสามารถปกป้องเธอจากสิ่งร้ายๆที่จะเข้ามาในชีวิต อย่างที่เขาได้พูดไว้รึเปล่า ‘เธอควรตัดสินใจไปต่อ’ หรือ ‘ควรหยุด’
“เกรซครับ” เสียงนุ่มทุ่มของภวินท์นั้น เรียกสติหญิงสาวให้หันมามองใบหน้าหล่อเข้มของเขา ซึ่งหันมาสบตากับดวงตามกลมโตพอดิบพอดี
“คะ” ณธิดาขานรับเป็นเชิงถามเสียงแผ่วเบาแหบพร่าราวกับเสียงกระสิบ เพราะดวงตาสีน้ำตาลหม่นนั้นมันส่งผลให้หัวใจเธอเต้นกระหน่ำอีกครั้ง ทั้งๆที่เพิ่งจะเป็นปกติได้ไม่นาน ‘หนุ่มน้อยกรุบกริบทำป้าใจสั่นอีกแล้ว เฮ้อ’
“ถ้าคุณตอบเสียงแบบนี้ ผม...เปลี่ยนใจไปคอนโดคุณดีกว่า ไม่ไปกินมันล่ะ ข้าวน่ะ” ภวินท์ยื่นหน้าเข้าไปพูดใกล้ๆหน้าของหญิงสาว เขาเองก็กำลังต่อสู้กับความร้อนรุ่มที่เกิดขึ้นภายใน เพราะหน้าตาสวยหวานทำท่าไร้เดียงสาบวกกับน้ำเสียงเซ็กซี่นั่น มันทำให้เขาอยากเข้าไปจูบเธออย่างเร้าร้อนซะจริง เธอจะรู้ไหมว่าตัวเองมีแรงดึงดูดมากแค่ไหน
“ฉันตอบเสียงแบบไหนเหรอคะ” ณธิดาถามด้วยความสงสัย ริมฝีปากเผยอออกนิดๆ ดวงตากกลมใสจ้องใบหน้าหล่อเหลาตรงๆ คิ้วเรียวเลิกขึ้นเป็นเชิงถาม ซึ่งเจ้าตัวไม่มีทางรู้ว่าท่าทางเหล่านี้มันมีผลต่อความรู้สึกภายในร่างแกร่งของภวินท์ขนาดไหน
“ก็...น้ำเสียงเซ็กซี่ราวกับแม่เสือสาวยั่วสวาทไงล่ะ ฮึๆ” ภวินท์ส่งสายตาแพรวพราวเจ้าเล่ห์อย่างเปิดเผย ไปให้ ‘แม่เสือสาว’ ของเขา ด้วยสื่อความนัย ว่าเธอสามารถทำให้เขาอยากทำอะไรๆกับเธอมากแค่ไหน
“เพี้ยะ” เสียงมือเรียวฟาดลงบนลำแขนภวินท์เต็มแรงด้วยความหมั่นไส้กึ่งขัดเขิน ให้กับความทะเล้นของชายหนุ่ม แต่เขากลับฉกฉวยโอกาสดึงมือนุ่มนิ่มมาไว้ในมือหนาอย่างหน้าตาเฉย แล้วจรดริมฝีปากหนาลงเร็วๆหนึ่งครั้ง
“คุณวินท์!!!” ณธิดาแหวเสียงใส่เมื่อเธอพยายามดึงมือกลับ แต่เขายังคงยึดมือเธอแน่นไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยง่ายๆ
“ผมไม่มีทางจะยอมปล่อยมือคุณหรอกครับ เกรซ” พูดจบชายหนุ่มก็ยกมือเรียวนุ่มในอุ้มมือหนาอบอุ่นขึ้นมาจุมพิตอีกครั้ง ทว่าแผ่วเบาอย่างทะนุถนอม ราวกับกลัวว่าสิ่งนั้นจะแตกสลายหายไปต่อหน้าต่อตา แม้จะฟังดูเป็นคำพูดที่แสนจะธรรมดา แต่กลับตราตรึงเข้าไปในความรู้สึกของคนฟัง ให้อิ่มเอมใจอย่างบอกไม่ถูก ส่วนคนพูดก็รู้สึกไม่ต่างกันนัก ภวินท์เองก็มั่นใจและหมายความอย่างที่พูดจริงๆ ว่าเขาจะสามารถประคองมือนี้ไปได้ตลอดบนถนนสายอนาคต หากเขาและเธอจะร่วมกันสร้างสายทางแห่งรักไปด้วยกัน ณธิดามองเสี้ยวหน้าของ ผู้ชายอ่อนกว่าที่นั่งเคียงข้าง แล้วเห็นเขายิ้มในหน้าขณะจับมือกันอยู่ เธอจึงปล่อยเลยตามเลย ‘ไว้คิดบัญชีทีหลังนะน้องชาย’
ภวินท์ขับรถเข้ามาจอดที่ลานจอดรถคอนโดฯของณธิดา หลังจากเปลี่ยนใจไม่ไปทานข้าวข้างนอก ก็เพราะกิริยาเซ็กซี่ขยี้ใจนั่นแหละ ที่ทำให้เขาตัดสินใจอยากมีเวลาได้ใกล้ชิดกับเธอมากขึ้นกว่านี้ อีกอย่างเขาต้องการความเป็นส่วนตัว เพื่อจะได้ปรับความเข้าใจเรื่องข่าวหน้าหนึ่งกับเธอตามลำพังด้วย
“ขอบคุณค่ะที่มาส่ง” ณธิดาเอ่ยจบก็เตรียมตัวจะลงจากรถ แต่กลับถูกมือหนาของภวินท์ดึงไว้ไม่ยอมปล่อย เธอจึงหันไปมองเขาด้วยสีหน้าเชิงถาม
“เดี๋ยวสิครับเกรซ ใจคอคุณจะให้ผมขับรถกลับบ้าน ทั้งๆที่หิวจนท้องร้องจ๊อกแบบนี้เหรอครับที่รัก” ท่าทางมือกุมท้องราวกับปวดท้องมากมายนั้น และเสียงท้องร้องที่ดังขึ้นมานั้นช่วยยืนยันอาการของเขาได้เป็นอย่างดี
“แต่คอนโดฯฉันไม่มีอาหารเหลาเลิศหรูให้คุณกินหรอกนะคะ” ส่วนใหญ่หญิงสาวจะทานข้าวฝีมือพนักงานที่ร้าน ซึ่งช่วยกันทำแล้วทานรวมกันมากกว่า เธอจึงไม่เคยซื้อของสดมาตุนไว้เลย จะมีก็แต่อาหารสำเร็จรูปหรือของแห้งที่เก็บไว้ได้นานๆ
“ผมกินได้ทุกอย่างถ้าเป็นฝีมือเกรซ แม้แต่...สาวแก่ผมยังอยากกินเลย” ชายหนุ่มพูดไปก็จ้องหน้าหญิงสาวไป เขาส่งสายตาหวานเยิ้มเปิดเปลือยความรู้สึกทั้งหมด ไปให้คนตรงหน้าอย่างไม่มีปิดบัง
“งั้นก็เชิญ” ณธิดาหันหน้าหนีซ่อนใบหน้าอมยิ้ม แล้วเบี่ยงตัวลงจากรถเดินนำหน้าเข้าตึกไปด้วยหัวใจที่เบิกบานกระชุ่มกระชวย ทำไมเธอถึงไม่โกรธเขา ทั้งๆที่เขาว่าเธอแก่นะ หรือว่าจะเป็นเพราะน้ำเสียงนุ่มทุ้มลึกที่เน้นคำว่า ‘อยากกิน’ นั่น ซึ่งมันหมายถึงอยากกินเธอ!!! เพียงไม่กี่นาทีลิฟต์ที่คนทั้งสองโดยสารมาก็มาจอดเกือบชั้นบนสุดของตึก ณธิดาใช้คีย์การ์ดรูดข้างมือจับประตู ก่อนจะใช้ลูกกุญแจไขแล้วบิดมือจับลงเสียงดังกริ๊ก เพื่อเปิดประตูเข้าไปด้านใน เผยให้เป็นห้องขนาดกว้างกินพื้นที่เกือบครึ่งของชั้นนี้ ขวามือตรงทางเข้าเป็นตู้เก็บสะสมรองเท้าทรงสูง และมีเก้าอี้สำหรับนั่งสวมรองเท้า เมื่อเดินเข้ามาก็จะเจอมุมรับแขกโซฟาหนังหนานุ่มตัวใหญ่สีน้ำตาล บนโต๊ะกระจกเตี้ยๆนั้นมีนิตยสารเกี่ยวกับขนมที่เธอโปรดปราน บนผนังติดทีวีจอแบนขนาดหกสิบนิ้ว ถัดมาขวามือริมหน้าต่างเป็นที่วางโซฟาเบดขนาดใหญ่ ซึ่งดูท่าจะเหมาะแก่การนอนอ่านหนังสือเป็นที่สุด แต่คงจะดีกว่านี้หากเปลี่ยนเป็นภาพเธอกับเขานอนกอดกันแอบอิงแนบชิดกันอยู่บนโซฟาตัวนั้นแทน ฮึฮึ ภวินท์ขำกับการมโนนึกคิดของตัวเอง ที่จินตนาการว่าเขาได้ใช้ชีวิตอยู่กับเธอตามลำบังในห้องนี้กันสองคน แต่เมื่อมองไปทางซ้ายมือจะเห็นประตูปิดสนิทอยู่ ถ้าให้เดาก็น่าจะเป็นห้องนอนใหญ่สำหรับหญิงสาว ส่วนมุมครัวก็อยู่ถัดจากโต๊ะทำงานไปด้านหลังสุดของห้อง สไตล์การตกแต่งเป็นแบบเรียบหรู แต่เน้นฟังชันก์การใช้งานมากกว่า บ่งบอกวิถีชีวิตที่เรียบง่ายเมื่อยามหญิงสาวใช้ชีวิตอยู่กับบ้าน
“รอสักครู่นะคะ เดี๋ยวฉันไปดูก่อนว่ามีอะไรให้คุณทานบ้าง” ณธิดาหันไปพูดกับภวินท์เมื่อเธอเดินออกจากห้อง หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดเสื้อกล้ามสีขาวกับกางเกงขาสั้นเนื้อนิ่มใส่สบายสีเทา แล้วเดินหายเข้าครัวไปสักพัก
ครึ่งชั่วโมงต่อมา....
“มีแค่นี้ล่ะ คุณทานได้นะ” หญิงสาวกลับออกมาพร้อมข้าวผัดไส้กรอกง่ายๆเพียงสองจานสำหรับเขากับเธอ
“หอมจัง ทั้งอาหารแล้วก็...แม่ครัว” ภวินท์เดินมาถือจานข้าวผัดไว้ แล้วทำท่าหอมอาหารและเลยไปหอมแก้มหญิงสาวด้วยหน้าตาเฉย
“จะกินหรือไม่กิน!!!” ณธิดาแหวเสียงดังกลบเกลื่อนอาการแก้มแดงของตัวเองแทบไม่ทัน ก็พ่อไก่อ่อนเล่นจู่โจมแบบไม่ทันตั้งตัวแบบนี้ จะไม่ให้เธอรู้สึกเขินอายได้อย่างไรกันเล่า
“กินสิครับกิน ว่าที่ภรรยาทำให้กินทั้งที” ภวินท์ยังคงหยอดไม่เลิก แถมยังส่งสายตาหวานเชื่อมไปให้หญิงสาวอีกต่างหาก
“คุณวินท์!!!”
“ครับที่รัก.....”
เมื่อทานอาหารกันจนอิ่มเรียบร้อยแล้ว ภวินท์เป็นคนขออาสาล้างจานเอง หญิงสาวจึงปลีกตัวมายืนรับลมที่ริมระเบียงเหมือนที่เคยทำเป็นประจำทุกวัน เธอเห็นวิวแสงสียามค่ำคืนของกรุงเทพฯที่สว่างไสวไปทั่วเมือง ทำให้บดบังหมู่ดาวบนท้องฟ้าระยิบระยับบนท้องฟ้า แต่ก็มีความสวยงามน่าหลงใหลและเสน่ห์ในตัวของมันเอง
ความรู้สึกเพลินเพลินกินลมชมวิวกลับสะดุดลง เมื่อถูกขัดจังหวะด้วยการถูกกอดจากด้านหลัง ณธิดาพยายามขืนตัวเอาไว้ แต่ภวินท์สอดลำแขนทั้งสองข้างโอบรอบเอวเล็กของคนร่างบาง แล้วดึงให้แผ่นหลังบอบบางแนบสนิทกับอกแกร่งอบอุ่นของเขา ยิ่งหญิงสาวดิ้นรนมากเท่าไหร่ ชายหนุ่มก็ยิ่งกอดเธอแนบชิดมากขึ้น มีหรือที่แรงเธอจะสู้แรงเขาได้
“เกรซ ผมขอกอดคุณแบบนี้สักห้านาทีได้ไหม” ภวินท์เอ่ยเสียงกระซิบแผ่วเบาข้างใบหูเล็กธิดา จึงทำให้เธอค่อยๆหยุดดิ้นรนยืนให้เขากอดตามคำขอ
“ผมอยากอธิบายเรื่องที่ร้านคุณเมื่อตอนบ่ายให้ฟัง” ชายหนุ่มรู้ว่านี่อาจจะเป็นโอกาสเดียว ที่เธอจะยอมฟังเขาพูดปรับความเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดตามลำพัง
“ว่ามาสิคะ” เธอก็อยากรู้เหมือนกันว่าเขาจะแก้ตัวยังไง หลังจากที่พยายามหลบหน้าเขามาเกือบตลอดทั้งวัน
“ผมกับแพทคบกันตอนเราไปเรียนต่อเมืองนอกในมหาวิทยาลัยเดียวกัน เขาเป็นรักครั้งแรกของผม ทำให้ผมรักเขามากจนไม่สนใจสิ่งต่างๆรอบตัวแม้แต่เรื่องเรียน เพราะแพทชอบท่องราตรีมาก ซึ่งต่างกับผมที่ชอบเข้าพิพิธภัณฑ์ แต่ผมก็ยอมรับในตัวเขาได้ พอผมเริ่มพูดคุยเรื่องการแต่งงานของเรา หลังจากเรียนจบแล้วกลับมาเมืองไทย แต่สิ่งที่ทำให้ผมต้องเสียน้ำตาครั้งแรกคือ ผมกลับถึง อพาร์ทเมนท์แล้วเปิดประตูเข้าไป.....เห็นผู้หญิงที่ผมรักที่สุดกำลังสำราญรักกับผู้ชายคนอื่นอยู่ในห้องนอนของเรา คุณรู้ไหมว่ามันเจ็บปวดมากแค่ไหน เมื่อรู้ว่าถูกคนที่เรารักหักหลังมานาน โดยที่เราเป็นคนสุดท้ายที่รู้เรื่อง ผมต้องใช้เวลาอยู่นานกว่าจะตั้งหลักได้ แล้วกลับมาตั้งใจเรียนมากกว่าเดิม เพื่อที่จะได้รีบกลับบ้านมาหาพ่อ” น้ำเสียงราบเรียบปนเศร้านั้น ทำให้คนฟังรู้สึกหดหู่ไปด้วย เธอไม่รู้ว่าควรจะปลอบใจเขาอย่างไรดี มันก็น่าเห็นใจเขาอยู่ไม่น้อยที่ความรักแรกซึ่งตั้งความหวังเอาไว้มาก กลับล้มเหลวสร้างความเจ็บปวดให้ไม่รู้ลืม นี่ก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้เธอไม่กล้าเสี่ยงคบกับเขา แม้เธอจะรู้สึกดีกับเขามากแค่ไหนก็ตาม
“นั่นล่ะค่ะคือสิ่งที่ฉันกลัว กลัวว่าจะเจ็บปวดเพราะผิดหวังจากรักครั้งแรกเหมือน.....กับคุณ” แทนที่ณธิดาจะพูดปลอบใจชายหนุ่ม แต่กลับเปิดเผยเหตุผล ที่ทำให้เธอยังไม่สามารถตัดสินใจได้ ภวินท์วางมือหนาบนไหล่หญิงสาวทั้งสองข้าง แล้วหมุนให้เธอกลับมาเผชิญหน้ากับเขาตรงๆ ณธิดาช้อนดวงตากลมโตขึ้นสบกับดวงตาสีน้ำตาลหม่นที่กำลังจ้องมองอยู่พอดี ต่างคนต่างก็มองเห็นเงาของตัวเองในดวงตาของอีกคน มันสะท้อนว่าในเวลานี้ทั้งเขาและเธอนั้นมีกันและกันอยู่
“เกรซ ผมเข้าใจความรู้สึกกลัวของคุณนะ แม้ว่าผมอาจจะไม่ใช่ผู้ชายที่ดีที่สุดสำหรับคุณ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือผมรักคุณ รักด้วยหัวใจทั้งหมดที่ผมมีอย่างจริงใจและจริงจัง ผมอยากให้คุณเชื่อมั่น ว่าผมไม่มีทางกลับไปหาอดีต ที่เคยทำให้ผมเจ็บปวดเจียนตายอีกเด็ดขาด และคุณไม่จำเป็นต้องให้โอกาสผม แต่คุณควรให้โอกาสตัวเองได้รู้จักกับความรัก....สักครั้ง ” น้ำเสียงอบอุ่นแต่แฝงไว้ด้วยความจริงจังของผู้ชายคนนี้ มันมีผลทำให้เธอรู้สึกอิ่มเอมในหัวใจ และปลอดภัยในเวลาเดียวกันอย่างบอกไม่ถูก แต่สิ่งที่เธอไม่คาดคิดก็คือ น้ำใสๆซึ่งเอ่อคลออยู่ในดวงตาสีเข้มของผู้ชายที่กำลังบอกรักเธออยู่ตรงหน้า มาดนักธุรกิจทายาทมหาเศรษฐีผู้เฉยชา หรือหนุ่มทะเล้นนั้นหายวับไป เหลือเพียงผู้ชายธรรมดาคนนึงที่กำลังระบายความรู้สึกในใจที่เขามีออกมาอย่างหมดเปลือก แม้จะไม่มีหลักฐานมายืนยันสิ่งที่เขาพูดให้เห็น แต่สิ่งหนึ่งที่เธอสัมผัสได้คือ ความจริงใจที่แสดงออกมากับสายตาคมพร้อมๆกับน้ำตาปริ่มอยู่เหนือขอบตาล่างนั่น ชายหนุ่มคงพยายามอย่างมากเพื่อบังคับไม่ให้มันไหลออกมาปรากฏต่อสายตาเธอ
“คุณยังไม่ต้องให้คำตอบตอนนี้ก็ได้ แต่คุณควรรับรู้เอาไว้ว่า ตั้งแต่ครั้งแรกที่เราพบกัน ผมมั่นใจว่าคุณคือคนที่จะอยู่เคียงข้างกันตลอดไป”
“คุณวินท์ ฉัน......” ยังไม่ทันที่ณธิดาจะพูดต่อ ภวินท์ก็ดึงเธอเข้าไปกอดแนบแน่นด้วยความรักทั้งหมดที่เขาต้องการจะสื่อ
“คุณได้ยินไหม ว่าเราจะอยู่เคียงข้างกันตลอดไป” ถึงตรงนี้แล้ว น้ำตาที่ชายหนุ่มคิดว่าจะกลั้นเอาไว้ได้ กลับไหลหยดอาบแก้มสากลงมา เสียงที่เปล่งออกมาก็สั่นเครือ ไม่คิดว่าการบอกรักผู้หญิงคนหนึ่ง และจะเป็นคนสุดท้ายในชีวิต นอกจากมารดาผู้ล่วงลับไปแล้ว ทำให้เสียน้ำตาลูกผู้ชาย แต่ก็เป็นไปด้วยเพราะความสุขอิ่มเปรมมากกว่า คนที่ถูกบอกรักไม่รู้จะทำอย่างไร เมื่อเห็นชายหนุ่มอายุอ่อนกว่าพูดเสี่ยงสั่นๆพร้อมกับน้ำตาหยดลงบนไหล่เธออย่างคาดไม่ถึง เธอจึงทำได้แค่ยืนกอดตอบเขาอยู่อย่างนั้น เพื่อหวังว่าจะช่วยปลอบให้เขาสงบลงในที่สุด สำหรับเรื่องความรักแล้ว ไม่ว่าหญิงหรือชายมักอ่อนไหวเสมอ เพราะขนาดเธอเองก็อดรู้สึกเต็มตื้นในอกข้างซ้ายไม่ได้ เมื่อมีผู้ชายผู้หล่อเหลามาบอกรักตรงๆต่อหน้าแบบนี้ โดยเฉพาะพ่อหนุ่มน้อยคนนี้ ไม่ใช่ว่าเธอไม่รัก... รักเหรอ! ไม่สิ อาจจะแค่รู้สึกดีด้วยมากๆ มากพอที่จะใกล้เคียงกับคำว่า ‘รัก’ เธออยากขอเวลาอีกสักหน่อย เพื่อให้เธอมั่นใจว่าในหัวใจของตัวเองจะรักเขาได้อย่างไม่มีข้อแม้เช่นกัน เพื่อให้เรื่องคาราคาซังทุกอย่างจบลงเสียก่อน ถึงวันนั้นเธอจะให้โอกาสตัวเองได้รู้จักความรัก ด้วยทั้งหมดของหัวใจที่เธอมี
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
6 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ