กาลกิริยา ผู้เสพดวงวิญาณ
2) กฎข้อที่ 2 จงอวยพรแก่เหล่าวิญญาณ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความหลังจากที่ผมกับอีพีอยู่เฝ้าศพที่เจออยู่ไม่นาน ลาสก็พาอาจารย์กับตำรวจมาถึงที่เกิดเหตุ ส่วนพวกผมผู้ซึ้งไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ทั้งหมด ผมกับอีพีก็ชิ่งหนีไปที่อื่นทันที และปล่อยให้ลาสในการกับตำรวจแทน ผมพาอีพีมาทที่ห้องของผม เพราะมันเป็นสถานที่เดียวที่น่าจะปลอดภัยที่สุดในเวลานี้
“นายไม่สงสัยใครบ้างเลยเหรอ” อีพีเอ่ยถามทันทีเมื่อผมปิดประตูห้อง
“ฉันไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ น่าจะเป็นฝีมือของกาลกิริยา” ผมพูด
“ทำไมนายถึงคิดแบบนั้น”
“แน่นอนอยู่แล้ว เพราะถ้าวิญญาณหายไปแบบนั้นก็คงจะเป็นเพราะกาลกิริยาคนอื่นเก็บไป แต่ที่น่าแปลกก็คือ เธอคนนั้นยังไม่สิ้นอายุไข แถมยังตายเพราะถูกฆาตกรรมอีก เรื่องนี้แหละที่ทำให้ฉันนึกอะไรไม่ออก เพราะกาลกิริยาไม่เก็บดวงวิญญาณที่ยังไม่สิ้นอายุไข และไม่ฆ่าใครเพื่อเก็บดวงวิญญาณ” ผมตอบ
“เฮอ เรื่องนี้มันช่างจะเริ่มน่าปวดหัวซะแล้วสิ” อีพีกล่าวก่อนจะเดินไปนั่งที่เก้าอี้ที่อยู่ใกล้ๆ
“บางที เราคงทำได้แค่ปล่อยมันผ่านไป” ผมพูด
“ก็นะ คงต้องเป็นแบบนั้น”เธอพูดก่อนจะหันมาทางผมแล้วพูดขึ้นต่อ “เอาละ งั้นก็มาเข้าเรื่องของเรากันเถอะ” เธอพูดก่อนจะหลับตาแล้วสลบไป จากนั้นก็มีเงาสีดำทมิฬลอยออกมาจากร่างของเธอและรวมกันจนเกิดเป็นรูปร่างใหม่ รูปร่างของยมทูต โครงกระดูกที่สวมผ้าคลุมสีดำ ในมือถือแอปเปิลสีแดงส่วนอีกข้างก็ถือเคียวยมทูต ซึ่งเป็นอาวุธประจำกาย
ว้าว! อะไรจะดูเท่ขนาดนั้นนะ ผมคิดอยู่ภายในใจ ไม่นานโครงกระดูกนั้นก็เริ่มก่อร่างสร้างตนมีเนื้อมีหนังจนเกิดเป็นร่างของอีพีที่สวมผ้าคลุมสีดำ มือหนึ่งถือแอปเปิลส่วนอีกมือก็ถือเคียวยมทูตแทน
“เป็นไง ร่างของฉัน” เธอเอ่ยถาม
“อ่า เท่สุดๆไปเลย แล้วเธอเผยร่างนี้ให้ฉันเห็นทำไมกัน” ผมถามด้วยความไม่เข้าใจ
“นี่เสียงนั้นไม่ได้บอกอะไรนายจริงๆเหรอ-_-” เธอถามพูดอีกครั้ง สีหน้าของเธอบ่งบอกอย่างชัดเจนว่า เบื่อหน่ายและเอือมระอาผมเต็มที
“เสียงนั้นบอกแค่เพียงว่า ฉันมีหน้าที่ทำอะไร และบอกความแตกต่างของกาลกิริยากับยมทูตเท่านั้น” ผมตอบ
“เฮอ ฉันละไม่อยากเชื่อเลยจริงๆ”เธอบ่นอย่างเซ็งๆ “แล้วพวกกฎอะไรนั้น นายรู้มาได้ยังไง” เธอถามต่อ
“ไม่รู้สิ มันคงรู้เองโดยสัญชาตญาณมั้ง” ผมพูดพร้อมกับยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจอะไร
“-_-”เธอไม่พูดอะไรต่อ ได้แต่มองผมด้วยสายตาเบื่อโลกก่อนจะถอนหายใจแล้วกล่าวขึ้นว่า “ไม่เป็นไร ฉันจะบอกนายทุกอย่างเอง ก่อนอื่นนายช่วยเผยร่างกาลกิริยาทีสิ” เธอพูด
“อ่า” ผมตอบรับ ก่อนจะเดินไปที่โซฟาที่มุมห้อง ก่อนจะหลับตาและถอดวิญญาณออกจากร่าง ร่างกาลกิริยาของผมก็ไม่ต่างอะไรกับยมทูตสักเท่าไร สวมผ้าคลุมสีดำเหมือนกันกับยมทูต ผิดแต่เพียงว่า พวกเราชาวกาลกิริยาไม่มีอาวุธสุดเจ๋งอย่างเคียวยมทูต มีเพียงนาฬิกาวิญญาณที่สามารถหยุดเวลาและหายตัวไปไหนมาไหนได้ ฟังดูเหมือนจะเจ๋งแต่มันไม่ได้เจ๋งอย่างที่คิด เพราะการที่จะควบคุมเวลาได้นั้นมันจะต้องฝึกฝนจนชำนาญและมีพลังจิตมากพอที่จะทำมันได้ แต่สถิติที่ผมทำได้ในตอนนี้ คือ สิบวินาที ซึ่งมันก็ช่วยผมได้แค่เก็บวิญญาณคนตายเสร็จเท่านั้น-_-
“เชื่อฟังกว่าที่คิดแหะ” เธอพูด
ว่าไงนะ -_-* ฉันไม่ได้เชื่อฟังเถอะสักหน่อย แค่ทำตามในสิ่งที่ควรทำต่างหาก ผู้หญิงคนนี้นี่มันอะไรกัน ไม่น่าตอนนั้นที่ไปออกเดทคู่กันถึงได้รู้สึกแปลกๆไม่ดีกับผู้หญิงคนนี้
“แล้วไงต่อ จะให้ฉันทำอะไรก็บอกมา” ผมพูดอย่างห้วนๆ ผมชักจะเริ่มไม่ถูกชะตากับยมทูตคู่หูผมคนนี้แล้วสิ
“ก็แค่พูด”
“หา?”
“พูดไง พูดออกมา” นี่เธอกำลังพูดอะไรของเธอกันเนี่ย เธอจะให้ผมพูดอะไร ต้องการให้ผมทำอะไรกันแน่
“พูดอะไร” ผมถามอย่างไม่เข้าใจ เธอมองผมด้วยสายตาเบื่อโลก
“ส่งมอบวิญญาณ...สู่เจ้าความตาย” เธอเอ่ย
“อะไรนะ” ผมถาม
“นายอยากตายใช่มั้ย” เธอพูดก่อนจะทำท่ายกเคียวยมทูตเหมือนกับว่าเธอกำลังเตรียมพร้อมที่จะฟาดมันลงมาฟันผม
“เอ่อๆ เข้าใจแล้ว” ผมขยับถอยห่างจากเธอก่อนจะกล่าวคำตามที่เธอพูดก่อนหน้า “ส่งมอบวิญญาณ...สู่เจ้าความตาย” พอสิ้นคำพูดของผม ไม่นาน บริเวณรอบข้างก็เริ่มมืดลง หมอกสีเทาเริ่มมีมากขึ้น ความเหน็บหนาวเริ่มย่างกรายเข้ามาในบริเวณที่ผมและอีพีอยู่ สายลมที่พัดผ่านมาเอื่อยๆ ก่อนจะปรากฏแสงสีฟ้าอมม่วงขึ้นรอบๆตัวของผม
(ขอบคุณนะ) เสียงกล่าวคำขอบคุณมากมายดังขึ้น มันทำให้ผมเข้าใจได้ในทันทีว่า แสงสีฟ้าเหล่านี้คือเหล่าดวงวิญญาณที่ผมเคยตามเก็บเอาไว้นั้นเอง แสงเล็กเหล่านั้นลอยเข้ามารายล้อมรอบตัวของผม ลอยวนไปวนมา อย่างกับว่าพวกเขาต้องการอะไรบางอย่างจากผม ผมเองก็ไม่รู้จะทำยังไง ได้แต่ยืนอยู่เฉยๆไม่กล้าทำอะไร เพราะไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อน
“พวกเขาคงอยากให้นายอวยพรให้” อีพีเอ่ยขึ้นหลังจากที่เงียบไปนาน
“เธอรู้ได้ยังไง” ผมเอ่ยถามอย่างสงสัย แต่ก็ยังไม่กล้าขยับตัว เพราะกลัวว่าจะโดนเหล่าแสงไฟดวงวิญญาณน้อยๆเหล่านี้
“เสียงขอบคุณพวกนั้นไง” เธอเอ่ย จริงสินะ! เธอเองก็คงจะเคยทำอะไรแบบนี้มาก่อน ถึงได้รู้ว่าที่เหล่าดวงวิญญาณพวกนี้ไม่ยอมไปจากตัวของผม มันเป็นเพราะอะไร
“อ่า...งั้นเหรอ” ผมรับคำ “พวกนายคงอยากให้ฉันอวยพรให้สินะ” ผมเอ่ย ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างดีใจ แล้วเอ่ยคำอวยพรให้กับพวกเขาเหล่านั้น “ขอให้เดินทางโดยสวัสดีภาพนะ” ................
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ