ทัณฑ์สวาทจอมเถื่อน

-

เขียนโดย ศิริพารา

วันที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 เวลา 12.17 น.

  10 ตอน
  0 วิจารณ์
  13.24K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 12.19 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) ทัณฑ์สวาทจอมเถื่อน ตอนที่ 3 100%

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

“แผลดีขึ้นมากแล้วนะคะ แห้งสนิทไม่บวมแดงแล้ว” มนตร์ลดาบอกหลังจากจัดการล้างทำความสะอาดแผลผ่าตัดที่ด้านหลังของอรอาภาแล้ว วันนี้สามีของอรอาภาออกไปทำงานตามปกติและเธอก็สุขภาพแข็งแรงขึ้นมากแล้ว ไม่รู้สึกง่วงนอนเหมือนวันที่ผ่านมา อีกเหตุผลหนึ่งคือยาหลังอาหารตอนเช้านั้นมีเพียงยาแก้อักเสบธรรมดาสองสาวจึงมีโอกาสพูดคุยกันมากขึ้น มนตร์ลดาเล่าเรื่องเกี่ยวกับเมืองไทยถึงสถานที่ต่างๆอยู่หลายแห่งไม่ว่าจะเป็นตลาดนัดจตุจักร ถนนข้าวสาร วัดพระแก้ว สนามหลวงและตอบข้อซักถามของอรอาภาได้ทุกข้อสงสัยแต่ใบหน้ารูปหัวใจของอรอาภากลับเศร้าสลดลงเมื่อยังไม่สามารถจำสิ่งที่ได้ยินเหล่านั้นได้เลย

                มนตร์ลดายิ้มอย่างให้กำลังใจพร้อมกับเล่าเรื่องราวของคนไข้รายหนึ่งที่เธอเคยดูแลตอนอยู่เมืองไทยให้อรอาภาฟัง

                “ฉันเคยดูแลผู้ป่วยที่มีอาการความจำเสื่อมชั่วคราวอยู่คนหนึ่งค่ะ เธอมาโรงพยาบาลในอาการที่สับสนหวาดกลัวมากเพราะว่านอนหลับไปและตื่นขึ้นมาอีกครั้งด้วยความคิดที่ว่าตัวเองมีอายุเพียงสิบห้าปี และกลับพบว่ามีเด็กผู้ชายคนหนึ่งนั่งเล่นเกมส์อยู่ไม่ห่างจากตัวเองนัก ที่สำคัญเด็กผู้ชายคนนั้นเรียกเธอว่าแม่!!”

                “ตายจริง!! มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นด้วยเหรอคะ?” อรอาภาทำหน้าตื่น

                “เธอรับไม่ได้สุดๆ กรีดร้องราวกับคนบ้าเพราะตอนนี้คนรอบข้างบอกว่าเธออายุสามสิบสองปีแล้ว แถมยังเป็นซิงเกิ้ลมัมอีกต่างหาก เธอต้องเข้ารักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลเกือบเดือนเชียวนะคะกว่าที่จะรับได้ว่าปัจจุบันตัวเองอยู่ในสถานภาพไหน” มนตร์ลดาพูดไปพลางทำอาหารไปด้วย “แล้วที่ทำให้ทั้งสงสารทั้งขำก็คือ เธอเอาแต่ร้องไห้คิดถึงโรงเรียน คิดถึงแฟนที่เพิ่งตกลงกันว่าจะคบกันได้ไม่นาน เธอไม่สามารถจะส่งอีเมล์ได้ด้วยซ้ำไป มีปัญหาเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีที่ล้ำหน้า แม้แต่โทรศัพท์มือถือก็ใช้ไม่เป็นค่ะ”

                “โอยตายจริง!! ฉันรู้ดีทีเดียวล่ะค่ะว่าไอ้ความสับสนที่ว่านั่นมันน่ากลัว น่าโมโหตัวเองแค่ไหน ฉันเองก็จำไม่ได้แม้กระทั่งสามีของตัวเอง นี่ดีนะคะที่ได้ยินหมอกับพยาบาลคุยกันแล้วบอกว่าเขาคือสามีของฉัน ไม่อย่างนั้นเฟลิกซ์คงได้งอนฉันมากกว่านี้แน่” อรอาภาเล่าความอึดอัดใจของตัวเองบ้าง

                “จริงเหรอคะ ไม่คิดว่าอย่างเซญอร์ฟาเบียโน่จะงอนเป็นด้วย!!” มนตร์ลดาบอกขำๆพลางตักข้าวที่ผัดเรียบร้อยแล้วลงในผลสัปปะรดที่คว้านไส้ในออกแล้วเพื่อทำข้าวอบสัปปะรด

                “เขาเป็นคนขี้งอนที่น่าโมโหที่สุดในโลก!!” ทั้งยังเป็นจอมหื่นที่เถียงเรื่องบนเตียงได้ทั้งวัน อรอาภาต่อเอาเองในใจเพราะไม่รู้ว่าจะพูดเรื่องน่าอายแบบนี้ออกไปได้ยังไง “แล้วคนไข้ของคุณ เธอใช้เวลานานแค่ไหนคะกว่าจะจำเรื่องราวทั้งหมดได้”

                “สองปีค่ะ” มนตร์ลดาตอบพลางเหลือบตาขึ้นไปเห็นสีหน้าตกใจ และหวาดหวั่นของอรอาภา “อย่าเพิ่งทำหน้าอย่างนั้นสิคะ ฉันเคยอ่านเจอในหนังสือบางคนใช้เวลาแค่ไม่ถึงเดือนก็จำเรื่องทั้งหมดได้แล้ว ทั้งนี้มันก็ขึ้นอยู่กับสภาวะแวดล้อมด้วยนะคะ คนรอบข้างนี่ก็สำคัญ คุณก็ให้เซญอร์ฟาเบียโน่เล่าเรื่องราวในอดีตที่ทำร่วมกันแล้วประทับใจให้ฟังบ่อยๆแบบนี้ก็ช่วยได้มากเหมือนกันนะคะ” พยาบาลสาวแนะนำพร้อมเดินถือถาดข้าวอบสัปปะรดเข้าตู้อบ

                จากนั้นสองสาวก็นั่งรับประทานข้าวอบสัปปะรดหน้าตาสวยงาม รสชาติอร่อยเป็นอาหารมื้อเที่ยง ต่อด้วยการนั่งฝึกสมองประลองหมากรุก ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะอยู่ราวชั่วโมงกว่า อรอาภาก็บอกว่าง่วงนอน ซึ่งเป็นเพราะฤทธิ์ยาที่รับประทานเข้าไปหลังอาหารเที่ยง โดยมนตร์ลดาทำหน้าที่พาอรอาภามาส่งถึงห้องนอนในตอนบ่ายของวันเช่นเคย

 

                เมื่อถึงเวลาเตรียมอาหารเย็นของวันมนตร์ลดาจึงเข้าครัวเพื่อช่วยแม่บ้านร่างท้วมทำอาหารอย่างเคย หากแต่วันนี้นอสซาแม่บ้านกลับต้องเป็นลูกมือของพยาบาลสาวเพราะเรียกร้องให้เธอสอนการทำอาหารไทยให้ มนตร์ลดาจึงสอนให้นอสซาทำแกงจืดลูกรอก ไข่ยัดไส้อาหารที่คิดว่าไม่ยุ่งยากนักเสียก่อน

                “เวลาต้มน้ำซุปนอสซาต้องตั้งหม้อแล้วใส่น้ำสะอาดลงไป พอน้ำเดือดแล้วก็หรี่ไฟลง ใช้ไฟอ่อนนะคะแล้วค่อยใส่พวกเนื้อสัตว์ลงไป ห้ามใช้ไฟแรงเด็ดขาดเพราะจะทำให้น้ำซุปสีขุ่น ไม่เหลืองใสน่าทานค่ะ” มนตร์ลดาได้รับการถ่ายทอดวิชาการทำอาหารหลายอย่างจากคุณป้า หญิงสาวนึกขอบคุณท่านเสมอมาเพราะการต้องมาใช้ชีวิตอยู่ในต่างแดนแบบนี้การเข้าครัวทำอาหารรับประทานเองเป็นการประหยัดเงินในกระเป๋าได้มากโขทั้งยังมีอาหารอร่อยๆทานอีกด้วย

                “เซญอริต้านี่เก่งทุกอย่างเลยนะคะ เป็นพยาบาลดูแลคนป่วยก็ได้ ทำอาหารก็เก่งแถมสวยมากๆอีกต่างหาก” นอสซาออกปากชม หลังจากที่มีโอกาสได้ลองชิมรสน้ำซุปแกงจืดลูกรอกฝีมือของพยาบาลสาว

                “แหม... ชมอย่างนี้มิ้นต์ก็เขินแย่สิคะ เอาเป็นว่าวันหลังนอสซาต้องสอนมิ้นต์ทำอาหารตำหรับบาเยียบ้างนะคะ” มนตร์ลดาบอกอย่างอารมณ์ดี หากเพื่อนร่วมงานในโรงพยาบาลที่ลาออกมามีมนุษย์สัมพันธ์ดีอย่างนี้ คงไม่ต้องกลายเป็นคนตกงานแตะฝุ่นอยู่อย่างนี้หรอก หญิงสาวคิดต่อในใจ

                “เซญอร์ต้องการอะไรรึเปล่าคะ?” เสียงของนอสซาที่ดังขึ้นทำให้มนตร์ลดาเงยหน้าขึ้นจากหม้อแกงตรงหน้ามองไปยังประตูห้องครัว

                “เปล่า... แค่ได้ยินเสียงก็เลยเดินมาดูเท่านั้นเอง” ฟาเบียโน่ตอบเสียงราบเรียบทั้งยังยืนอยู่ตำแหน่งเดิม “รบกวนคุณรึเปล่าครับมิ้นต์ ต้องดูแลจิงเจอร์แล้วยังต้องมาทำอาหารให้เราทานอีก”

                “ไม่เลยค่ะ! ความจริงแล้วเซญอร่าจิงเจอร์สามารถช่วยตัวเองได้ดี ฉันต่างหากล่ะคะที่ยังทำงานได้ไม่สมกับค่าตอบแทน เรื่องแค่นี้เล็กน้อยค่ะ” มนตร์ลดารีบตอบ

                “ผมมีเรื่องจะคุยกับคุณนิดหน่อย” ฟาเบียโน่บอกความต้องการของตนเอง

                มนตร์ลดาที่ได้ยินดังนั้นจึงสั่งการให้นอสซาทำอาหารที่ยังค้างอยู่ต่อจากตนเอง จัดการถอดผ้ากันเปื้อนออกและทำความสะอาดมือไม้เดินตามร่างสูงของเจ้านายชั่วคราว ผ่านห้องรับแขกโล่งกว้างสบายตาเข้าไปในห้องทำงานที่อยู่ลึกเข้าไปอีก

                “คุยกันคราวที่แล้ว ผมจำได้ว่าคุณว่ายังว่างงานอยู่ใช่ไหม?” ฟาเบียโน่ถามเข้าเรื่องทันทีที่เข้ามาในห้องทำงานของตน

                “ใช่ค่ะ... ดิฉันลาออกจากโรงพยาบาลที่บูซิโอสแล้ว หลังจากที่เซญอร่าจิงเจอร์แข็งแรงดีแล้วถึงจะไปสมัครงานที่โรงพยาบาลในรีโอเดอจาเนโรดูค่ะ”

                “ขอโทษนะที่ต้องถามนะ พอจะบอกผมได้ไหมว่าทำไมถึงได้ลาออกจากที่ทำงานเดิม?” ฟาเบียโน่ถามลึกลงไปอีก ปกติเขาเองไม่เคยสนใจใครอยู่แล้วแต่เพราะคิดว่าจะส่งเธอให้ไปดูแลคุณปู่ของเขาที่รีโอกรันดีโดซุล จึงอยากรู้ประวัติส่วนตัวของเธอบ้าง

                “ก็ปัญหาเหยียดเชื้อชาติในที่ทำงานค่ะ ฉันอดทนอยู่ที่นั่นมาเก้าเดือนพยายามปรับตัวแล้วแต่ต้องยอมรับว่าไม่มีอะไรดีขึ้น ถ้าฝืนอยู่ต่อไปก็รังแต่จะทำให้ผิดใจกันเปล่าๆเลยคิดว่าน่าจะออกมาอยู่ในที่ที่คนอื่นเห็นค่าของเรามากกว่าค่ะ” มนตร์ลดาเลือกบอกเหตุผลรวมๆออกไป

                “หึ!! ผมเกลียดนักไอ้คนพวกนี้ ดีแล้วล่ะที่คุณตัดสินใจออกมา พอดีว่าพยาบาลที่ดูแลคุณปู่ผมเธอลาออกกระทันหัน คุณสนใจที่จะไปดูแลท่านรึเปล่า?”

                “ท่านไม่สบายเหรอคะ?” มนตร์ลดาถาม

                “ท่านเกิดอุบัติเหตุเมื่อหลายสิบปีก่อนทำให้เป็นอัมพาตท่อนล่าง ต้องนั่งอยู่บนรถเข็นตลอด ตอนนี้อายุแปดสิบปีแล้ว แต่คุณไม่ต้องห่วงนะที่นั่นมีเด็กรับใช้อีกหลายคน คุณแค่ไปดูแลหายาให้ท่านกิน อาจจะต้องฉีดยาให้ท่านตามที่หมอสั่งบ้าง คอยคุยเป็นเพื่อนท่านบ้าง ค่าตอบแทนผมก็ให้ตามสมควรอยู่แล้ว ท่านอยู่กับน้องชายของผมที่รีโอกรันดีโดซุล มันอาจจะไกลจากที่นี่สักหน่อยแต่ที่นั่นร่มรื่น น่าอยู่มากเป็นบ้านในไร่องุ่นของเราเอง”

                “ดิฉันไม่ได้เกี่ยงว่าท่านช่วยเหลือตัวเองไม่ได้หรอกนะคะ แต่คุณแม่ของดิฉันพักหลังมานี้ท่านสุขภาพไม่แข็งแรงเท่าไหร่ ถ้าคุณปู่ของคุณท่านอยู่ที่นี่ดิฉันคงไม่รีรอต้องตอบตกลงแน่ค่ะ ยังไงขอไปปรึกษาคุณแม่ดูก่อนได้ไหมคะ ถ้าคุณยังไม่ได้รีบร้อนต้องการคำตอบในวันนี้?” มนตร์ลดาแบ่งรับแบ่งสู้ พูดกันตามตรงก็คือรีโอกรันดี โดซุล มันไกลจากที่นี่อยู่ไม่น้อยมันทำให้หญิงสาวกังวลเป็นห่วงมารดาของตน แต่ก็ยังไม่อาจจะปฏิเสธงานที่มีค่าตอบแทนสูงเช่นนี้ได้ คนที่ต้องหาเงินใช้เอง รู้คุณค่าของมันคิดในใจ

                “ไม่เป็นไร... กลับไปปรึกษาคิดดูสักสามสี่วันก่อนก็ได้แล้วค่อยมาให้คำตอบผม” ฟาเบียโน่พูดจบก็ลุกขึ้นทันทีเมื่อสิ่งที่จะพูดกับพยาบาลสาวมีเพียงเท่านี้ ชายหนุ่มเดินตามหลังพยาบาลสาวที่กำลังจะเดินออกไปจากห้องเพราะใกล้เวลาอาหารเย็นเต็มทีแล้ว มนตร์ลดาใช้มือเรียวของตนเองบิดลูกบิดประตูให้เปิดออก และหันหลังกลับมาอย่างกะทันหันเพราะนึกขึ้นได้ว่าตนเองยังมีเรื่องถามฟาเบียโน่อีก!

                ฟาเบียโน่ที่เดินตามหลังมนตร์ลดามาติดๆและไม่รู้ว่าเธอจะหันกลับมาอย่างกระทันหัน ทั้งสองก็ชนกันเข้าอย่างจัง!!

                อุ๊ย!!!

                เสื้อถักโครเชร์ตัวโปร่งที่มนตร์ลดาสวมทับเสื้อกล้ามไปเกี่ยวกับซิบกางเกงของฟาเบียโน่ทันที!!

                “ตายจริง! ชายเสื้อของฉันมันเกี่ยวเข้ากับซิบกางเกงของคุณน่ะค่ะ” มนตร์ลดาบอกทั้งยังแกะเสื้อของตนเองออก แต่แกะยังไงเสื้อของเธอมันก็ติดหนึบ พันกับซิบกางเกงของเขาแน่น! จนแล้วจนรอดก็ไม่มีท่าทีว่าจะหลุดออกจากกันได้โดยง่าย ฟาเบียโน่จึงหมุนตัวเองหันหน้าเดินกลับเข้ามาที่โต๊ะทำงานของตนเอง โดยมีมนตร์ลดาที่ค่อยๆก้าวถอยหลังตามไปด้วย

                ฟาเบียโน่ใช้แขนแข็งแรงของตัวเองหยิบกรรไกรที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานส่งให้พยาบาลสาว “ใช้นี่คงง่ายกว่าเยอะเลย”

                “ค่ะ ขอโทษจริงๆค่ะ ฉันไม่น่าจะหยุดแบบกระทันหันอย่างนั้น” มนตร์ลดาพึมพำบอกอยู่กับอกกว้างทั้งเล็งอย่างลำบากเมื่อต้องตัดเสื้อของตนเองออกจากจุดที่ชวนให้หวาดเสียวของชายชาตรี

                ดูเหมือนว่าฟาเบียโน่ก็จะรับรู้ได้ว่าพยาบาลสาวเกิดอาการประหม่า ชายหนุ่มจึงพูดติดตลกให้เธอได้ผ่อนคลายลงบ้างเพราะเธอต้องเอื้อมมือลงไปใกล้จุดสำคัญของเขา “เอาดีๆนะคุณพยาบาล คุณกำลังทำผมเสียวจะแย่แล้ว!”

                หากเรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่ออรอาภาเดินมาได้ยินสิ่งที่สามีของตนเองพูดพอดีพร้อมทั้งแอบสอดส่องสายตาเข้ามาในห้องทำงาน สิ่งที่เห็นทำให้หัวใจของอรอาภาห่อเหี่ยว เสียใจ ผิดหวังเมื่อร่างของฟาเบียโน่กับมนตร์ลดาก็ยืนซ้อนกันขยับเบียดเสียด ทั้งฟาเบียโน่ยังทำเสียงน่าเกลียดอีกด้วย อรอาภาถึงกับยกมือทั้งสองข้างขึ้นปิดปากกลั้นเสียงร้องของตนเองเอาไว้!! ร่างอ้อนแอ้นพลิกตัวกลับมายืนแนบหลังกับผนังปูนเย็นเฉียบฟังเสียงสนทนาที่ทำให้เกือบจะปล่อยโฮออกมาอย่างเหลืออด!!

                “อีกนิดเดียวก็ออกแล้วค่ะ โอ๊ะ! เสร็จแล้วค่ะ” มนตร์ลดาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ พร้อมๆกับเสียงของฟาเบียโน่ที่ทำให้อรอาภาเข้าใจผิดไปมากกว่าเดิม

                “ดีนะที่ได้ไอ้นี่ ไม่งั้นอีกนานแน่กว่าจะเสร็จ” ฟาเบียโน่บอกพร้อมกับชูกรรไกรที่มนตร์ลดาส่งคืนให้ แล้วหัวเราะออกมาพร้อมกัน ทั้งคู่ไม่รู้เลยว่าอรอาภาที่เพิ่งตื่นและเดินลงมาชั้นล่างจะได้เห็นภาพแนบชิดและเข้าใจผิดไปใหญ่โต ประกอบกับคำพูดสองแง่สองง่ามของฟาเบียโน่ทำให้อรอาภาคิดว่าทั้งคู่แอบมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกันลับๆ

                “เซญอร์หิวรึยังคะ ดิฉันจะได้เร่งมือทำอาหารให้เสร็จเร็วขึ้น” มนตร์ลดาถามพลางเดินออกมาด้านนอกห้องทำงาน

                “ตามสบายเถอะครับไม่ต้องรีบก็ได้ อีกอย่างจิงเจอร์ยังไม่ตื่นเลย ผมว่าจะขึ้นไปปลุกเธอก่อนเดี๋ยวคืนนี้จะนอนไม่หลับ ตาค้างเพราะนอนกลางวันมากไป” ทั้งคู่จึงแยกจากกัน ฟาเบียโน่เดินขึ้นชั้นบนกลับเข้าห้องนอนอีกครั้ง ส่วนมนตร์ลดากลับเข้าไปในห้องครัวเพื่อทำอาหารต่อโดยที่ไม่มีใครรู้เลยว่าอรอาภานั้นวิ่งออกไปร้องไห้ที่ชายหาดตั้งแต่ที่ได้ยินเสียงซี้ดซ้าดของฟาเบียโน่แล้ว!!

 

                หลังอาหารมนตร์ลดาขออนุญาตนายจ้างทั้งคู่มาค้างที่บ้านกับมารดาแถบชายหาดโคปาคาบาน่า โดยฟาเบียโน่สั่งให้คนขับรถมาส่งจนถึงหน้าบ้านที่ใช้ชั้นล่างเปิดเป็นบาร์ พยาบาลสาวอดแปลกใจกับท่าทีแปลกๆของอรอาภาอยู่หลายอย่าง ระหว่างที่รับประทานอาหารเย็นนั้นสังเกตเห็นแววตาของอรอาภาที่มองมายังตนดูเหมือนกับเจ็บปวดยิ่งนัก ดวงตาบวมช้ำเหมือนคนผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก หากแต่เจ้าตัวก็ปฏิเสธบอกเพียงว่าผงเข้าตา จึงไม่มีใครอยากกวนใจคนป่วยที่อยู่ในระยะพักฟื้นตัวนัก คำพูดแปลกหูที่ดูเหมือนประชดประชัน ไม่พอใจเท่าไหร่นักที่ฟาเบียโน่ทราบว่าแม่ของเธอสุขภาพไม่แข็งแรงนัก มนตร์ลดาส่ายหน้าขับไล่ความคิดอกุศลออกไปจากใจเพราะอรอาภาคือผู้ป่วยความจำเสื่อมทั้งยังเพิ่งจะถูกลอบยิงมา จิตใจของเธอย่อมไม่ปกติและอ่อนไหวกว่าคนทั่วไปอยู่แล้ว

                มนตร์ลดาก้าวลงจากรถหรูเมื่อรถถึงบริเวณริมหาดโคปาคาบานา เสียงเพลงอึกทึกครึกโครม ผู้คนมากหน้าหลายตาเดินกันให้วุ่นวายไปหมด บางคนมาเที่ยว บางคนมาหาเงินประทังชีวิตซึ่งมีทั้งถูกกฏหมายและผิดกฏหมายแต่ส่วนมากคงจะเป็นแบบผิดกฏหมายเสียมากกว่า นั่นก็คือการล้วงกระเป๋า ชิงทรัพย์ ขายบริการทางเพศหรือแม้กระทั่งขายยาเสพติดก็มีให้เห็นอยู่กลาดเกลื่อน!

                “อ้าว... มาได้ไงเนี่ย โดนไล่ออกจากงานมาล่ะซิ ถึงได้ซมซานหอบข้าวหอบของกลับมาแบบนี้!?” เสียงคำถามจิกกัดของพ่อเลี้ยงชาวบราซิลเลี่ยนดังขึ้น หลังจากที่มนตร์ลดาเดินเข้ามาในร้านผ่านหน้าเคาน์เตอร์ที่มีน้องชายต่างบิดาทำหน้าที่เป็นบาร์เทนเดอร์ยืนอยู่

                มนตร์ลดาถอนหายใจดังเฮือกแต่ก็ยังยกมือขึ้นไหว้พ่อเลี้ยงอย่างคนที่ถูกสอนมารยาทมาเป็นอย่างดี แต่เปาโลพ่อเลี้ยงก็หาได้ใส่ใจในวัฒนธรรมอันดีที่ลูกเลี้ยงปฏิบัติต่อตน ซึ่งมันเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ที่ก้าวเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้แล้วแต่หญิงสาวก็ไม่อยากถือสาหาความเพราะไม่อยากให้แม่ของตัวเองต้องลำบากใจ

                “ว่าไงล่ะ!? ไม่ตอบแบบนี้แสดงว่าใช่ล่ะสิ ฉันจะบอกเอาไว้ก่อนนะว่าถ้าจะอยู่ที่นี่ก็ต้องจ่ายค่าน้ำค่าไฟเอง ส่วนเรื่องข้าวปลาอาหารก็ให้เรียบร้อยมาจากข้างนอก ถ้าฝากท้องที่นี่ฉันจะคิดราคาเท่ากับลูกค้าทั่วไปนะ ข้าวของยิ่งแพงๆอยู่ด้วย” เปาโลชายวัยห้าสิบปีพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเอามากๆ

                “ไม่เอาน่าพ่อ... ถ้ามิ้นต์มาอยู่ที่นี่ก็ดีสิเราจะไม่ต้องเสียเงินจ้างเด็กล้างชาม” อัลเวสน้องชายต่างบิดา เด็กหนุ่มปากมอมคิดอย่างรวดเร็วที่จะจิกหัวใช้พี่สาว

                “ดิฉันแค่มาอาศัยอยู่ชั่วคราวเท่านั้นล่ะค่ะ ถ้าหางานทำได้จะออกไปเช่าอพาร์ตเมนต์อยู่เอง ลุงเปาโลไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ” มนตร์ลดากำมือไว้ข้างตัวแน่นอย่างข่มอารมณ์ “ขอตัวขึ้นไปหาแม่ก่อนนะคะ”

                พูดเพียงเท่านั้นมนตร์ลดาก็เดินเข้ามาด้านในของร้านซึ่งเป็นทางเดินแคบๆเพื่อที่จะขึ้นบันไดไปยังชั้นบน

                “มิ้นต์! มิ้นต์ของแม่มาได้ยังไงลูก แล้วทำไมไม่โทรมาบอกแม่ซักคำว่าจะมา?” จันทร์แรมรีบพูดด้วยความดีใจ เมื่อเงยหน้าขึ้นจากการถักโครเชต์ในมือ แล้วพบว่าร่างอ้อนแอ้นของลูกสาวคนเดียวเดินใกล้เข้ามาโดยที่ไม่ทันตั้งตัว

                “แม่ขา... มิ้นต์คิดถึงแม่ที่สุดในโลกเลย” มนตร์ลดาไม่ตอบคำถามใดๆแต่กลับโผเข้าหาอ้อมกอดที่อบอุ่นและโหยหาที่สุดในโลก หญิงสาวกดจมูกลงที่แก้มนุ่มของมารดาหลายทีจนคนเป็นแม่หัวเราะอย่างมีความสุข

                “พอแล้วลูกรัก... ทำอย่างกับว่าไม่ได้เจอแม่มาเป็นปีอย่างนั้นแหละ สามเดือนที่แล้วหนูเพิ่งจะมาเยี่ยมแม่เองจำได้ไหม?” จันทร์แรมประคองใบหน้าสวยหวานของลูกสาวไว้ในอุ้งมือทั้งสองข้างพร้อมมองด้วยสายตารักใคร่ เอ็นดู

                “ก็คนมันคิดถึงนี่คะ รู้ไหมว่าห่างแม่แค่วันเดียวหนูก็อยากหอม อยากกอดแม่แบบนี้ทุกทีนั่นแหละ” ไม่พูดเปล่าแต่คนคิดถึงแม่กลับก้มลงไปสูดความหอมเข้าเต็มปอดอีกครั้ง

                เสียงหัวเราะของคนเป็นแม่นั้นบ่งบอกว่ามีความสุขเหลือเกิน “แสดงว่ายังไม่มีแฟนใช่ไหมสาวน้อย ถ้าหนูมีแฟนแล้วจะไม่พูดแบบนี้กับแม่เด็ดขาด”

                มนตร์ลดาทำตาโตมองมารดาอย่างน่ารัก “โอ๊ย!... แม่พูดอะไรอย่างนั้นล่ะคะ หนูน่ะจะไม่มีแฟน จะไม่แต่งงาน จะอยู่กับแม่สองคนตลอดไปเลย”

                “แสดงว่าแม่ไม่เคยเล่าให้ฟังว่า ตอนเด็กๆเพื่อนแม่ที่พูดว่าจะไม่มีแฟนจะไม่แต่งงานนี่... ชิงแต่งงานก่อนเพื่อนทุกคนในกลุ่มเลยรู้ไหมคนสวย?”

                “โหย... แม่ขา ถ้าหนูจะแต่งงานก็คงแต่งไปแล้วล่ะค่ะแต่ตอนนี้ยังเป็นโสด ไม่มีกระทั่งแฟน!”

                “ผู้ชายบราซิลนี่ตาถั่วกันหมดหรือไงน๊า... ถึงมองไม่เห็นว่าลูกสาวของแม่สวยแค่ไหน”

                “คงใช่อย่างที่แม่ว่าล่ะค่ะ ผู้ชายพวกนี้ตาถั่ว!” พูดจบสองแม่ลูกก็หัวเราะครื้นเครง

                “แล้วหนูกินข้าวกินปลามารึยังล่ะลูก?”

                “เรียบร้อยแล้วค่ะแม่” มนตร์ลดาลุกขึ้นตามแรงดึงของมารดาขึ้นมานั่งที่โซฟาตัวยาว “คือหนูลาออกจากโรงพยาบาลที่บูซิโอสแล้วนะคะ มิ้นต์กะว่าจะกลับมาทำงานที่รีโอเดอจาเนโร”

                “ก็ดีแล้วลูก อย่าไปคิดมากเลยค่อยๆหางานทำไปเรื่อยๆ แม่ว่ามันต้องมีสักที่ที่เห็นความสามารถของลูกสาวแม่ แล้วนี่มิ้นต์กลับมายังไงของตั้งเยอะแยะขนกลับมายังไงลูก?”

                มนตร์ลดาขมวดคิ้วมุ่น แปลกใจที่แม่ของตนเองไม่ถามถึงเหตุผลที่ลาออกจากโรงพยาบาล “แล้วแม่ไม่อยากรู้เหรอคะว่าทำไมหนูถึงได้ลาออก”

                จันทร์แรมส่ายหน้าพลางทัดผมที่ใบหูลูกสาวอย่างอ่อนโยน “ก็หนูลาออกมาอยู่ตรงหน้าแม่แล้ว ก็ต้องมีเหตุผลสิ แม่รู้ว่าลูกสาวของแม่เป็นคนมีความอดทนถ้าไม่ถึงขั้นหนักหนาจริงๆคงไม่ตัดสินใจทำอะไรลงไปแน่ จริงไหม?”

                มนตร์ลดายิ้มสดใส “หนูโชคดีที่เป็นลูกแม่ โชคดีอีกครั้งเพราะก่อนที่จะกลับมารับเคสเฝ้าไข้พิเศษไว้อยู่รายนึง แม่เคยได้ยินรึเปล่าคะเขาชื่อเซญอร์ฟาเบียโน่ โอลีเวย์ร่าน่ะค่ะ ภรรยาเขาถูกลอบยิงที่นั่น”

                “คุณพระช่วย! แล้วเธอเป็นยังไงบ้าง?!”

                “ปลอดภัยแล้วล่ะค่ะ เธอโดนยิงเข้าจุดที่ไม่สำคัญเท่าไหร่ ความจริงหนูกลับมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว เมื่อคืนนี้หนูก็ค้างที่บ้านของเขาตรงสุดหาดอีปาเนมาที่มีแต่บ้านหรูๆน่ะค่ะ”

                “อืม... ใครบ้างไม่รู้จักเซญอร์ฟาเบียโน่ ตระกูลโอลีเวย์ร่านี่รวยระดับอภิมหาเศรษฐีเลยล่ะเพราะว่ามีทั้งเหมืองเพชร เหมืองทองคำนี่ยังไม่รวมไร่องุ่น ไร่กาแฟที่อยู่รัฐทางตอนใต้อีกด้วยนะ” จันทร์แรมเล่าให้ลูกสาวฟังพลางมองใบหน้าละออตาที่ได้มีโอกาสเข้าไปรู้จักคนระดับที่เกินจากฐานะของตนเองอยู่มาก “หนูตกลงทำงานกับเขานานแค่ไหนล่ะลูก?”

                “เคสดูแลภรรยาของเซญอร์ฟาเบียโน่นี่ก็ไม่นานหรอกค่ะ เธอใกล้จะหายดีแล้วแต่เมื่อหัวค่ำนี่เขาบอกว่าคุณปู่ที่อยู่รีโอกรันดีโดซุล พยาบาลประจำตัวของท่านลาออกกระทันหัน เขาเลยถามหนูว่าสนใจอยากไปทำงานที่นั่นไหม เห็นบอกว่าอยู่ในไร่องุ่นอย่างที่แม่ว่านี่ล่ะค่ะ แม่ว่าไงคะ?” มนตร์ลดาถามความคิดเห็น

                “แล้วหนูลองไปสมัครงานตามโรงพยาบาลในรีโอเดอจาเนโรดูรึยัง”

                “หนูส่งใบสมัครทางอีเมลแล้วค่ะแต่ว่ายังไม่มีที่ไหนเรียกตัวเลย กะว่าจะไปยื่นสมัครด้วยตัวเองอีกที” มนตร์ลดารู้ว่าต้องมีเรื่องคุยกันอีกยาว ความที่เป็นลูกสาวคนเดียว อาการอ้อนมารดานั้นไม่ด้อยกว่าใครอยู่แล้วหญิงสาวจึงวางศรีษะได้รูปลงที่ตักนุ่มของมารดาทันที

                “ความจริงแม่ว่าไปอยู่ที่โน่นก็น่าจะมีสภาพแวดล้อมที่ดีกว่าอยู่ที่นี่ ระหว่างที่ยังไม่มีที่ไหนเรียกตัวหนูไปสัมภาษณ์ แม่ว่าลองไปทำงานที่โน่นก็ดีเหมือนกัน ถ้าหากว่าไปอยู่ที่โน่นแล้วมันไม่น่าอยู่ก็คุยกับเขาดูดีๆ ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร หาประสบการณ์ให้ตัวเองด้วยเราเคยแต่ทำงานในโรงพยาบาล ลองฉีกแนวออกไปทำแบบอื่นดูบ้างแม่ว่าไม่น่าจะมีอะไรเสียหาย” จันทร์แรมบอกพร้อมทั้งลูบเรือนผมสลวยสีดำขลับ หากแต่เส้นเล็กลื่นดุจแพรไหม

                “แม่พูดเหมือนไม่อยากให้หนูอยู่ที่นี่ ความจริงหนูจากเมืองไทยมาก็ตั้งใจจะมาดูแลแม่แต่ก็ยังไม่ได้ทำอย่างที่ตั้งใจเลย หนูเป็นห่วงแม่อยากอยู่กับแม่” มนตร์ลดาคว้าเอามือนุ่มของมารดามากุมเอาไว้

                “ดูแลอะไรกัน แม่ยังแข็งแรงไม่ตายง่ายๆหรอกจะอยู่รอดูหน้าลูกเขยก่อนว่าจะหน้าตาเป็นยังไง” จันทร์แรมหยอกล้อลูกสาวให้ได้อายเล่น

                “แม่ก็... ชอบล้อหนูเรื่อยเลย หนูพูดจริงๆนะคะ แม่มีโรคประจำตัวหนูอยากอยู่ดูแลแม่ หนูเข้าใจว่าแม่ไม่อยากให้หนูอยู่บ้านหลังนี้เพราะอะไร หนูจะหางานทำที่นี่แล้วก็เช่าบ้านอยู่สักหลัง แม่ไปอยู่กับหนูนะคะ” มนตร์ลดาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังทั้งผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็วเพื่อที่จะได้จ้องหน้ามารดาอย่างชัดเจน

                “หนูจะห่วงอะไรนักหนา คนเราเริ่มมีอายุก็ต้องมีโรคประจำตัวกันทั้งนั้น แม่เป็นโรคความดันโลหิตสูงกับโรคเบาหวานแม่ก็หาหมอทานยาเป็นประจำไม่เคยขาด เราน่ะคิดมากเกินไปแล้วรู้ตัวไหม” จันทร์แรมรั้งร่างอ้อนแอ้นให้ทรุดตัวลงหนุนตักตัวเองดังเดิม “ความจริงถ้าแม่รู้ว่าหนูจะมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่แรกแม่จะห้ามไม่ให้มาด้วยซ้ำ ตอนแรกแม่คิดว่าหนูจะมาเยี่ยมแม่ถือโอกาสมาเที่ยวด้วยแม่ก็เลยไม่ห้าม หนูก็รู้ว่าที่นี่มันไม่ใช่แหล่งที่ผู้หญิงสาวอย่างลูกของแม่ต้องอยู่ มันมีแต่อันตรายรอบด้าน สภาพแวดล้อมที่บ้านต้องเป็นผับเป็นบาร์เป็นแหล่งมั่วสุมตอนกลางคืน ไม่มีแม่ที่ไหนอยากให้ลูกของตัวเองต้องมาอยู่แบบนี้หรอก แต่ขอสารภาพว่าตอนที่ได้ยินว่าหนูจะมาอยู่ที่นี่กับแม่เพราะเป็นห่วงแม่ ทิ้งหน้าที่การงานที่มั่นคงของตัวเองมามันก็ทำให้แม่รู้แล้วว่าลูกของแม่กตัญญูแค่ไหน”

                “งั้นเราไปอยู่ด้วยกัน แม่เลี้ยงหนูให้โตมาได้ ต่อไปนี้หนูก็จะดูแลแม่เอง”

                น้ำเสียงมั่นคงของลูกสาว ทำให้คนเป็นแม่ถึงกับน้ำตาคลอเบ้า ทั้งปลื้มใจและตื้นตันใจยิ่งนักที่ได้ยินเช่นนี้ ถึงแม้มนตร์ลดาจะไม่ได้อยู่ดูแลอย่างใกล้ชิด แต่ตั้งแต่ที่เรียนจบมีงานทำ ลูกสาวของเธอก็โอนเงินเข้าบัญชีให้ทุกเดือนโดยที่ไม่เคยขาดแม้แต่น้อย “แล้วน้องจะอยู่ยังไงล่ะลูก? ถึงอัลเวสจะไม่ใช่ลูกพ่อเดียวกับหนูแต่เขาก็เป็นลูกของแม่เหมือนกันกับหนูนะ เขาอาจจะเป็นวัยรุ่นใจร้อน แก่แดดแก่ลม แต่นั่นก็เป็นเพราะว่าเขาโตขึ้นมาในสภาพแวดล้อมที่ต้องเอาตัวรอด ไม่ได้โชคดีเหมือนหนูนะลูก อัลเวสอาจจะไม่ให้ความเคารพหนูเหมือนพี่น้องที่คลานตามกันออกมาแต่นั่นเป็นเพราะลูกสองคนไม่ได้เติบโตมาด้วยกัน แต่เนื้อแท้ของอัลเวสแล้วแม่รู้ว่าเขาเป็นคนดีคนนึง”

                 มนตร์ลดาได้รู้ถึงมุมมองอีกด้านหนึ่งของหัวอกคนเป็นแม่แล้วถึงกับพูดไม่ออก ต้องถอนหายใจเฮือกเงียบกริบฟังต่อไป

                “ทำไมแม่จะไม่รู้ว่าอัลเวสอยู่ข้างล่างนั่นทำอะไรบ้าง ดีว่าที่ยังมีแม่อยู่น้องถึงได้ไม่ประเจิดประเจ้อนักแล้วถ้าหากว่าไม่มีแม่อยู่ล่ะ น้องอายุไม่ถึงสิบเจ็ดปีดีด้วยซ้ำนะลูก หนังสือก็ไม่เรียนถ้าบีบบังคับมากไปแม่ก็กลัวว่าจะเตลิดไปกันใหญ่ ถึงได้ตกลงให้ทำงานเป็นบาร์เทนเดอร์อยู่ข้างล่าง มันยังดีซะกว่าที่น้องจะออกไปเป็นนักเลงอันธพาลตามเพื่อนๆของเขา” จันทร์แรมรู้ว่าลูกชายของตนเกเรไม่เรียนหนังสือจนอาจารย์ต้องเรียกผู้ปกครองไปพบและทำทัณฑ์บนไว้หลายครั้ง จนถึงที่สุดต้องถูกพักการเรียนว่าง่ายๆก็คือโดนไล่ออกจากโรงเรียนเพราะเกเร อัลเวสอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อและจะเกรงใจคนเป็นแม่มากกว่าพ่อ เพราะเปาโลผู้เป็นพ่อนั้นสนใจแต่รายได้ที่เข้ามาในร้าน เขาทำเอาหูไปนาเอาตาไปไร่อยู่เสมอ ทั้งที่รู้ดีแก่ใจว่าลูกชายได้เงินมาด้วยวิธีใด ทั้งยังปกปิดภรรยาด้วย จันทร์แรมจึงไม่เคยรู้ว่าลูกชายของตัวเองนั้นเริ่มเสียคนหนักมากขึ้นทุกที

                “หนูเข้าใจแม่ใช่ไหมลูก”

                “เข้าใจค่ะ แต่หนูไม่รู้ว่าแม่จะดึงอัลเวสออกมาอยู่ในแบบที่แม่ต้องการได้รึเปล่า จริงอยู่ที่อัลเวสจะทำอะไรก็เกรงใจแม่อยู่มากแต่แม่ไม่ได้อยู่กับเขาตลอดเวลา สิ่งยั่วยุที่เขาเจอทุกวันมันหนักข้อขึ้นเรื่อยๆมันอาจทำให้เขาถอนตัวไม่ขึ้น เขาเจอสภาพแวดล้อมแบบนี้มาจนโตก็เลยเห็นว่ามันเป็นเรื่องปกติ ถ้าอยู่ที่เมืองไทยเลี้ยงกันเหมือนที่มิ้นต์ถูกเลี้ยงมาล่ะก็ อัลเวสจะยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องผสมเหล้ายังไง” มนตร์ลดาพูดถึงน้องชายต่างบิดาที่นับวันเขาก็จะกลายเป็นเด็กที่โตขึ้นมาอย่างไม่รู้หน้าที่ของตัวเองทุกที

                จันทร์แรมพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของลูกสาว “ใช่ว่าแม่ไม่รู้... คนเราจะดีจะชั่วนั่นขึ้นอยู่ที่การเลี้ยงดู แล้วก็อยู่ที่ตัวบุคคลด้วยว่าใฝ่ดีแค่ไหน แต่แม่ก็มีส่วนผิดที่ปล่อยให้อัลเวสเติบโตขึ้นมาแบบนี้และทำอะไรไปไม่ได้มากกว่าไปกว่าเฝ้าดูอยู่ใกล้ๆ แม่แค่หวังว่าน้องจะไม่ทำอะไรนอกลู่นอกทางมากไปนัก แม้พูดไม่ได้เต็มปากว่าเขาจะเป็นคนดีเต็มร้อย แต่แค่ไม่เป็นโจร! ไม่เกี่ยวข้องกับของผิดกฏหมาย สามารถหาเลี้ยงตัวเองได้โดยไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนเท่านี้แม่ก็พอใจแล้ว”

                มนตร์ลดายิ้มอย่างอ่อนโยนเข้าอกเข้าใจในสิ่งที่แม่ของตนพูดอย่างชัดเจน คนเป็นแม่ไม่ได้หวังให้ลูกเลี้ยงดูตนเองในยามแก่ชรา หากแต่ต้องการแค่ให้ลูกสามารถดำรงชีวิตอยู่บนโลกนี้ได้อย่างที่ไม่เป็นปัญหาของสังคมเท่านั้นเอง แล้วทำไมเธอต้องไปทำให้แม่ลำบากใจมากอีก “เอาล่ะค่ะ... หนูยอมแม่แล้ว หนูเข้าใจว่าแม่ต้องเป็นห่วงลูกทุกคน แม่ว่ายังไงหนูก็ว่ายังงั้นเนอะ”

                จันทร์แรมยิ้มพลางกระชับอ้อมแขนโอบกอดลูกสาวด้วยความรัก... เมื่อไม่มีใครติดใจในเรื่องที่คุยกันจบไปแล้วสองแม่ลูกก็หันมาไถ่ถามสาระทุกข์สุกดิบ ชีวิตความเป็นอยู่ทั่วไปที่ไม่ค่อยได้เล่าสู่กันฟังนัก ไม่นานร่างท้วมของเปาโลก็เดินขึ้นมาชั้นบน พูดถึงเรื่องที่ทำให้มนตร์ลดาต้องตั้งใจฟัง

                “ที่รัก... เมื่อกี้ผมเพิ่งคุยกับคาฟู เขาตกลงให้เราเช่าร้านข้างๆแล้วนะ ทำสัญญาปีต่อปี ค่าเช่าเดือนละสี่พันเฮอัล” เปาโลบอกภรรยาด้วยท่าทางดีใจ

                “ทำไมแพงนักล่ะคะตั้งเดือนละสี่พัน แล้วเราจะหาค่าเช่าส่งเขาไหวเหรอ!?” จันทร์แรมถามพลางคิดคำนวณในใจ มนตร์ลดาเองก็คิดว่าแพงอยู่เหมือนกัน เดือนละสี่พันเฮอัลซึ่งเป็นสกุลเงินที่ใช้ในประเทศบราซิลนั้นเมื่อคำนวนเป็นเงินไทยแล้วต้องจ่ายค่าเช่าที่ราวเดือนละห้าหมื่นปลายๆเกือบหกหมื่นบาทเชียว!

                “คิดมากน่า... ร้านข้างๆนี่ใครก็อยากเช่ากันทั้งนั้นนี่ดีนะที่คาฟูชอบใจในลีลาการผสมเหล้าของลูกชายเราเขาเลยคิดถูกกว่าให้คนอื่น ถ้าเราขยายร้านออกไปข้างๆนี่ได้ก็สามารถรับลูกค้าเพิ่มมากขึ้น ค่าเช่าเดือนละแค่สี่พันนี่ไหวอยู่แล้วน่า...”

                จันทร์แรมถอนหายใจ ในเมื่อว่าสามีของเธอตัดสินใจแล้วก็ไม่มีใครขวางเขาได้ เธอจึงได้แต่เงียบไม่ว่าอย่างไร

                “พรุ่งนี้เช้า ผมเชิญให้คาฟูมาทำสัญญาที่ร้าน เขาบอกให้เราเตรียมค่าเช่าล่วงหน้าไว้สามเดือนเป็นมัดจำ พอครบสัญญาเช่าเขาก็จะคืนเงินก้อนนี้ให้เรา” เปาโลบอกภรรยาอีก

                “ค่าเช่าก็แพงมากอยู่แล้ว ยังต้องจ่ายมัดจำล่วงหน้าตั้งสามเดือนอีกแล้วคุณจะไปเอาเงินจากไหน” จันทร์แรมถาม

                “ผมจะดึงเอาเงินทุนที่ใช้หมุนเวียนในร้านออกไปก่อน ให้ได้ร้านมาจริงๆแล้วค่อยหาเข้าไปคืน” เปาโลคิดคำนวณมาเสร็จสรรพ

                “แล้วถ้าคุณทำอย่างนั้นร้านนี้จะเอาเงินที่ไหนไปซื้อของเข้าร้าน คุณก็รู้ว่าเราต้องซื้อของสดเข้าร้านทุกวันถึงจะใช้เงินไม่มากแต่พวกเครื่องดื่มแอลกอฮอร์ที่ต้องซื้อทีละมากๆมันต้องใช้เงินเยอะนะ!!”

                “เรื่องนั้นผมรู้แล้วและคิดว่าหมุนเงินทันแน่คุณไม่ต้องห่วงหรอกน่า... ถ้าเราปล่อยให้คนอื่นได้ร้านข้างๆไป มีหวังเราต้องหาอาชีพใหม่ทำกันแน่” เปาโลบอกด้วยน้ำเสียงติดรำคาญแล้วจึงหันมาพูดกับมนตร์ลดาที่นั่งฟังเงียบๆอยู่ข้างจันทร์แรม “หนูมินต์ช่วยมาเซ็นเป็นพยานในสัญญาให้ลุงด้วยนะ”

                เปาโลนั้นจะปฏิบัติตัวกับมนตร์ลดาสองแบบ ถ้าอยู่ต่อหน้าจันทร์แรมแล้วเขาจะเป็นพ่อเลี้ยงที่อัธยาศัยดี แต่เมื่อลับหลังจะพูดจาดูถูกเพราะมีอคติอยู่แล้วกลัวว่าลูกติดภรรยาจะมาสร้างภาระให้ตัวเองและครอบครัว เปาโลจึงไม่เคยชอบหน้ามนตร์ลดาเลย

                “ทำไมต้องให้มิ้นต์เซ็นเป็นพยานด้วยล่ะ ฉันเป็นพยานก็ได้นี่” จันทร์แรมแย้งขึ้นมาทันที

                “คุณเป็นภรรยาถูกต้องตามกฏหมายของผม จะมาเป็นพยานได้ยังไง อีกอย่างเราทำธุรกิจนี้ด้วยกันทั้งครอบครัว คาฟูต้องการให้คนที่ไม่ได้มีส่วนร่วมในธุรกิจนี้มาเป็นพยาน เผื่อว่าเราไม่มีค่าเช่าจ่ายเขาเขาก็ยังมีพยานที่สามารถตามค่าเช่าได้” เปาโลมองหน้าของจันทร์แรมที่แสดงความไม่พอใจออกมาทันที จึงแก้คำพูดของตนใหม่ “มันอาจจะฟังดูน่ากลัวนะ แต่หนูมิ้นต์ไม่ต้องกลัวยังไงซะเราก็ไม่มีทางค้างค่าเช่าอยู่แล้ว พวกเจ้าของที่ก็แค่อยากได้หลักประกันที่มั่นคงเท่านั้นเอง”

                “แต่ฉันไม่อนุญาตมันเป็นธุรกิจของเรา มิ้นต์ไม่ควรมาเกี่ยวกับเรื่องนี้ ถ้าพวกเขาไม่พอใจให้เราเช่าก็ไม่ต้องเช่า!” จันทร์แรมยื่นคำขาด

                “แล้วคุณจะให้คนอื่นมาข้ามหัวเราไปอย่างนั้นเหรอ ถ้าทำอย่างนั้นแล้วเท่ากับว่าร้านเราเจ๊งไปโดยปริยาย เดี๋ยวนี้คนมาเที่ยวก็อยากเข้าร้านใหญ่ๆทั้งนั้น ถ้าเราไม่คว้าโอกาสนี้ไว้ก็เท่ากับปล่อยโอกาสดีๆให้หลุดมือไป” เปาโลทำใจเย็นอธิบาย “ที่รัก... คุณคงไม่อยากเห็นร้านที่เราร่วมกันสร้างมันขึ้นมาด้วยน้ำพักน้ำแรงต้องพังพินาศไปกับตาหรอกนะ”

                “คุณก็รู้ว่าฉันไม่อยากเห็นมันเป็นอย่างนั้นหรอก ร้านนี้ฉันสร้างมันขึ้นมาตั้งใจให้มันเป็นร้านอาหารอย่างเดียว ไม่ได้อยากให้มันเป็นผับเป็นบาร์เหมือนที่คุณทำอยู่”

                “โธ่ที่รัก!... ทำร้านอาหารอย่างเดียวมันจะไปพอค่าใช้จ่ายของครอบครัวเราหรือยังไง หนูมิ้นต์ว่าไงจะปล่อยให้ร้านที่แม่กับลุงสร้างขึ้นมานี้ล้มไป หรือว่าจะช่วยเรา” เมื่อเห็นว่าพูดกับภรรยาไม่ได้ผล เปาโลจึงหันไปถามเจ้าตัวเอง “ไม่มีอะไรเสียหายแค่เซ็นเป็นพยานเท่านั้นเอง เรื่องแค่นี้หนูมิ้นต์จะใจดำไม่ช่วยคนในครอบครัวเลยหรือไง?”

                “คุณอย่าเอาเรื่องนี้มาพูดเลยมันคนละเรื่องกัน!” จันทร์แรมยังไม่ยอมท่าเดียว แต่เปาโลก็ไม่ได้สนใจยังจ้องอยู่ที่ใบหน้าของสาวสวยเพราะถ้าทำให้มนตร์ลดายอมได้ ความต้องการของเขาก็บรรลุผล

                “คิดดูก่อนก็ได้มีเวลาเหลืออีกตั้งคืนนึง”

                “เปาโล! นี่คุณไม่ฟังฉันแล้วใช่ไหม?” จันทร์แรมเริ่มโมโหขึ้นมาบ้าง

                “ลุงฝากหนูมิ้นต์คิดดูให้ดีนะ ถ้าคนในครอบครัวไม่ช่วยเหลือกันแล้วใครที่ไหนจะมาช่วย” เปาโลเข้าใจพูดให้มนตร์ลดาได้คิดหนัก พร้มทั้งวางมือของตนลงบนบ่าบอบบางอย่างขอความเห็นใจจากนั้นจึงเดินกลับลงไปชั้นล่างทันที โดยไม่สนใจเสียงทัดทานของภรรยาแม้แต่น้อย

                “มิ้นต์ไม่ต้องคิดมากเรื่องที่ลุงเปาโลพูดนะลูก ปัญหาของเขาก็ให้เขาหาทางแก้ไขกันเอง” จันทร์แรมเสียงแข็งด้วยความโมโหที่ไม่สามารถทัดทานสามีได้!

                มนตร์ลดายิ้มให้แม่ของเธออย่างเอาใจ ชวนคุยเรื่องอื่นเพราะไม่อยากให้ท่านโมโห ความรู้สึกหงุดหงิดใจ อารมณ์เสียนั้นมันไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพของท่าน “แม่นั่นแหละค่ะ อย่าคิดมากโกรธมาก เดี๋ยวความดันขึ้น หน้าดุแบบนี้เดี๋ยวก็แก่เร็วอีก เราคุยเรื่องอื่นกันดีกว่านะคะ”

                จันทร์แรมมองมือเรียวบอบบางของลูกสาวที่ลูบขึ้นลงอยู่เหนือหน้าอกซ้ายของตนเองเชิงปลอบใจ ทั้งยังซบศรีษะลงกับหัวไหล่อย่างออดอ้อน อาการปลอบประโลมอันนุ่มนวลนั้นทำให้จันทร์แรมยิ้มออกมาอย่างง่ายดาย คืนนี้สองแม่ลูกนอนกอดกัน พูดคุยกันอยู่นานจนดึกดื่นจนผล็อยหลับไปทั้งคู่

 

                ในขณะเดียวกันนั้นอเตต้าร์เดินทางมาถึงบ้านริมชายหาดของพี่ชายในรีโอเดอจาเนโร หลังจากที่มนตร์ลดาออกจากบ้านไปได้ไม่นานนัก ร่างสูงของอเตต้าร์ยืนพิงกรอบประตูห้องอาหารมองสองสามีภรรยากำมะลอที่ยื้อยุดฉุดแขนกันเหมือนกำลังมีเรื่องไม่เข้าใจกันอยู่ อเตต้าร์ตั้งใจกระแอมเสียงดัง ทำให้ทั้งคู่หันมามองที่ตนเอง

                “อ้าว! มาตั้งแต่เมื่อไหร่??” เสียงของฟาเบียโน่ดังขึ้นทักทายน้องชาย

                อเตต้าร์ไม่ได้ตอบคำถามของพี่ชายแต่กลับมองใบหน้าสวยหวาน รับกับผิวพรรณผุดผ่องที่มองปราดเดียวก็พอรู้ว่าเธอสวยอย่างนี้นี่เองที่ทำให้ฟาเบียโน่เปลี่ยนใจจากสาวทรงโต หุ่นดินระเบิดมาเป็นสาวร่างอ้อนแอ้นแบบนี้ “พี่จะไม่แนะนำให้ผมรู้จักกับพี่สะใภ้หน่อยหรือไง เฟลิกซ์?”

                อเตต้าร์ไม่ได้ตอบคำถามของพี่ชายแต่กลับมองใบหน้าสวยหวาน รับกับผิวพรรณผุดผ่องที่มองปราดเดียวก็พอรู้ว่าเธอสวยอย่างนี้นี่เองถึงทำให้ฟาเบียโน่เปลี่ยนสเปกจากสาวทรงโต หุ่นดินระเบิดมาเป็นสาวร่างอ้อนแอ้นแบบนี้พลางยิ้มให้เธออย่างเป็นมิตร “พี่จะไม่แนะนำให้ผมรู้จักกับพี่สะใภ้หน่อยหรือไง เฟลิกซ์?”

                “จิงเจอร์... นี่อเตต้าร์น้องชายของผมเอง” ฟาเบียโน่ทำตามอย่างว่าง่ายพลางปล่อยข้อมือของอรอาภาแล้ววาดวงแขนไปโอบไหล่บอบบางรั้งเธอเข้ามาแนบอกตัวเองแทน

                อรอาภาไม่อยากเสียมารยาทจึงยอมอยู่ในอ้อมแขนอบอุ่นแต่กลับทำให้เธอเจ็บปวดไปพร้อมกันอย่างไม่ขัดขืน พลางยิ้มอย่างอ่อนโยนให้กับชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่ยืนอยู่ตรงหน้า หน้าตาของเขาหล่อเหลาไม่แพ้ฟาเบียโน่แต่หากดูห้าวหาญ เถื่อนดิบมากกว่านักและสิ่งหนึ่งที่อรอาภาเห็นว่าแตกต่างกับสามีของตัวเองโดยสิ้นเชิงก็คือการแต่งตัว!!

                อเตต้าร์รู้สึกขำนักกับสายตาที่มองตนเองอย่างสำรวจตรวจตราตั้งแต่หัวจรดเท้า หากแต่สายตาของเธอกลับไม่ได้ทำให้เขาโกรธเพราะมันเป็นสายตาที่คาดไม่ถึงว่าตนเองและฟาเบียโน่จะเป็นพี่น้องที่คลานตามกันออกมา สายตาที่ได้เห็นจนชาชินจากคนทั่วไป หนุ่มมาดเซอร์จึงยื่นมืออกไปรอพร้อมเอ่ยทักทายเธอก่อน “ยินดีที่ได้พบคุณครับ เรียกผมว่าอาร์ตี้ก็ได้ครับ”

                “อรอาภาค่ะ ยินดีที่ได้พบคุณเช่นกันเรียกฉันว่าจิงเจอร์ก็ได้นะคะ” อรอาภายิ้มให้หนุ่มหล่อเถื่อน! ดูๆไปเขาก็เหมือนเทพบุตรแดนเถื่อน!! บุคลิกแตกต่างกันกับสามีของเธอโดยสิ้นเชิง ฟาเบียโน่นั้นหล่อเหลามาดเข้มขรึมเป็นผู้ดีทุกกระเบียดนิ้ว เขาต้องโกนหนวดทุกวัน สวมสูทแต่งกายเนี้ยบก่อนออกจากบ้านทุกครั้ง แต่อเตต้าร์กลับดูเหมือนหนุ่มคาวบอยมาดเถื่อน มีเคราเขียวครึ้มตามแนวสันคาง ตัดผมสกินเฮด ใส่ต่างหูเพชรเม็ดเบ้อเร่อที่หูข้างซ้ายอีกด้วย แสงแวววาวของมันตัดกับผิวสีแทนอย่างคนกลำแดดส่งผลให้เขาดูเป็นผู้ชายเร้าใจยิ่งนัก! หากแต่เธอกลับชอบผู้ชายมาดขรึมอย่างคนที่กอดเธอไว้แนบอกอยู่ข้างๆนี่มากกว่า ถึงแม้ว่าเขาจะทำให้รู้สึกชอกช้ำหัวใจก็ตาม อรอาภาลอบถอนหายใจออกมาฟังสามีกับน้องชายของเขาคุยกันอยู่เงียบๆ

                “กินอะไรมารึยังล่ะ เราเพิ่งกินข้าวเสร็จกันเดี๋ยวนี้นี่เอง” ฟาเบียโน่ถามขึ้นหลังจากที่ทั้งคู่ทำความรู้จักกันเรียบร้อยแล้ว

                “ยังเลย กะว่าจะมาหาข้าวกินที่นี่ ค้างสักคืนพรุ่งนี้เย็นผมต้องรีบกลับแล้ว” อเตต้าร์ว่าพลางทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ของโต๊ะอาหารที่มีร่องรอยของการรับประทานอาหารหลงเหลืออยู่

                “รอแป๊บเดียวนะคะ เดี๋ยวฉันจัดมาให้ใหม่” อรอาภาบอกยิ้มๆพลางดันตัวเองออกจากอ้อมกอดของฟาเบียโน่

                “เดี๋ยวเรียกให้นอสซามาทำดีกว่า คุณยังไม่หายดีเลยนะที่รัก” ฟาเบียโน่บอกน้ำเสียงเอื้ออาทรพลางรั้งร่างอ้อนแอ้นให้นั่งลงข้างตัวเองอีกครั้ง มืออีกข้างก็สั่นกระดิ่งเรียกแม่บ้านทั้งหลายให้ตั้งอาหารใหม่อีกครั้งหนึ่ง

                “นั่นสิครับ คุณนั่งลงดีกว่าจะได้คุยกัน ทำความรู้จักกันไว้ เผื่อผมกลับรีโอกรันดีโดซุล แล้วตอบคำถามของปู่ไม่ได้คงได้ตายแน่ๆ” อเตต้าร์บอก

                “คุณปู่ท่านสบายดีนะคะ” อรอาภาเอ่ยถามถึงญาติผู้ใหญ่ของฟาเบียโน่ที่เหลืออยู่เพียงคนเดียว

                “ครับ... สบายดีแต่อยากเห็นหน้าหลานสะใภ้ ก็เลยต้องให้ผมมาสืบข่าวถึงที่นี่ ความจริงปู่ไม่ได้สนใจคุณสองคนหรอก ใจจริงท่านอยากเห็นหน้าเหลนมากกว่า”

                อรอาภาหน้าเห่อแดงเมื่อพูดถึงสิ่งมีชีวิตน้อยๆที่ยังไม่มีโอกาสได้ถือกำเนิดขึ้น และก็อดยิ้มออกมาไม่ได้กับความตรงไปตรงมาของหนุ่มหล่อเถื่อนตรงหน้า ไม่เพียงแค่บุคลิกเท่านั้นที่แตกต่างกับฟาเบียโน่แม้แต่คำพูดคำจาก็แตกต่างกันมากทีเดียว “คุณเป็นน้องชายของเฟลิกซ์จริงๆเหรอคะ?” 

                หนุ่มมาดเถื่อนหัวเราะชอบใจกับความเป็นคนพูดจาตรงไปตรงมาของพี่สะใภ้ “ฮ่า... ก็น้องจริงๆน่ะสิครับ แต่เฟลิกซ์ขายเพชรขายทองก็เลยดูเป็นผู้ดี ส่วนผมมันแค่ชาวไร่ชาวสวนก็เลยดูเถื่อนๆไม่ค่อยมีมารยาทอย่างที่เห็นนี่ล่ะครับ”

                กริ๊ง... กริ๊ง... กริ๊ง...

                “คุยกันไปก่อนนะ” ฟาเบียโน่บอกเมื่อเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ตนเองดังขึ้น อรอาภาชะเง้อมองตามร่างสูงใหญ่ของสามีที่รีบร้อนออกไปรับสายโทรศัพท์ลึกลับนอกระเบียงที่กั้นด้วยกระจกใส ในใจอยากรู้เหลือเกินว่าใครโทรเข้ามา เขาถึงต้องแยกตัวออกไปรับสายตามลำพังแบบนี้!!

                อเตต้าร์อมยิ้มกับสายตาหึงหวงที่แสดงออกมาอย่างโจ่งแจ้งของอรอาภา พร้อมกับคิดว่าฟาเบียโน่คงทำนิสัยเจ้าชู้ให้เธอได้เห็นเป็นแน่ เธอถึงได้แสดงท่าทางออกมาแบบนี้!! “เฟลิกซ์มีพฤติกรรมไม่น่าไว้ใจเหรอครับ? คุณถึงมองเขาไม่วางตาอย่างนั้น” ชายหนุ่มแกล้งแซวเล่นทันที

                “ฉันต้องถามคุณมากกว่าว่าสองพี่น้องคงเจ้าชู้น่าดู ใช่ไหมคะ??” อรอาภาไม่ตอบแต่กลับหลุดปากส่งคำถามที่อยากออกมาทันที

                “อะไรกันจิงเจอร์! คุณมองผมกับเฟลิกซ์ออก... ง่ายอย่างนั้นเชียว?” อเตต้าร์ยักไหล่พร้อมถามพร้อมหัวเราะออกมาอย่างถูกใจ เมื่อสาวสวยตรงหน้าพยักหน้ารับเร็วๆอย่างที่ไม่ต้องเสียเวลาคิดเลย “คุยเรื่องอื่นดีกว่า ผมมีลางสังหรณ์ว่าถ้าคุยเรื่องนี้กับคุณแล้วคงต้องเผลอปากพูดเรื่องที่ไม่ควรพูดแน่”

                “เล่าให้ฟังหน่อยสิคะ ฉันเองก็เคยคิดอยู่เสมอว่าเฟลิกซ์คงไม่เล่าทุกอย่างให้ฉันฟังแน่” อรอาภาขยับตัวเข้าหา ทำท่าตั้งใจฟัง!!

                “ผมชักไม่แน่ใจแล้วว่ามาถูกวันรึเปล่า?” อเตต้าร์บอกพลางสังเกตท่าทีของเธอ จริงอยู่ว่าไม่เคยได้รู้จักมักคุ้นกันมากก่อน แต่ท่าทางที่เธอแสดงออกมานั้นมันเหมือนกับผู้หญิงกำลังหึงหวงที่รู้ว่าผู้ชายของตนไปมีผู้หญิงคนอื่น หรือมีพฤติกรรมนอกใจจากตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ชายอย่างอเตต้าร์พยายามกันตัวเองออกจากความหึงหวง เป็นเจ้าข้าวเจ้าเหล่านั้นอย่างที่สุดเพราะยังไม่ต้องการผูกมัดตัวเองกับผู้หญิงหน้าไหนทั้งสิ้น

                แต่เรื่องนั้นมันไม่ใช่ประเด็นหลักในตอนนี้! อเตต้าร์รู้ได้ทันทีจากสายตาหึงหวงขุ่นมัวของอรอาภา เธอกำลังมีเรื่องระแวงคลางแคลงใจในตัวของฟาเบียโน่ จึงไม่รีรอที่จะถามออกไปทันที “ผมว่าคุณต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายเล่าเรื่องที่สงสัยอยู่ให้ผมฟัง?”

                อรอาภากระพริบตาถี่ๆ มองใบหน้าของอเตต้าร์และก้มลงมองฝ่ามือตนเองสลับกันไปมาอย่างคนกำลังชั่งใจ แต่ยังไม่ทันได้ข้อสรุปในใจฟาเบียโน่ก็เดินเข้ามาซะก่อน ทั้งอเตต้าร์และอรอาภาจึงต้องยุติหัวข้อที่กำลังจะเปิดบทสนทนาขึ้นโดยปริยาย หลังอาหารเย็นของอเตต้าร์ทั้งหมดนั่งคุยอยู่นานพอสมควร ส่วนมากฟาเบียโน่จะถามถึงเรื่องงานในไร่องุ่นและเรื่องที่ไร่องุ่นถูกไฟไหม้เสียหายอยู่มากโขทีเดียวและถามถึงสุขภาพของคุณปู่การันก้า

                อเตต้าร์มองฝ่ามือใหญ่ของพี่ชายที่โอบกอดสาวร่างอ้อนแอ้นไว้ตลอดเวลาที่พูดคุยกัน แต่กลับสังเกตแววตาของหญิงสาวได้อย่างชัดเจนว่าเต็มไปด้วยความผิดหวังและเจ็บปวด หากยังไม่รู้ต้นสายปลายเหตุว่ามันเรื่องอะไรกัน! ดึกพอสมควรฟาเบียโน่ก็บอกว่าจะพาผู้หญิงในอ้อมกอดเข้านอนแล้ว

                อเตต้าร์พยักหน้ายิ้มรับไม่ว่าอะไรแต่ยังได้เห็นสายตาเจ็บปวดนั้นอยู่ตลอดและจากคำถามเมื่อสักครู่นี้มันทำให้เขาคิดไปว่าฟาเบียโน่อาจจะซ่อนอีหนูไว้นอกบ้านรึเปล่า หากแต่ก็ยังไม่ปักใจเชื่อเพราะโดยนิสัยของคนในตระกูลโอลีเวย์ร่าแล้ว ตอนเป็นหนุ่มอาจจะเป็นนักรัก มีผู้หญิงมากหน้าหลายตาเข้ามาพัวพันกันทุกคนแต่เมื่อเรียกใครว่าเมียอย่างเต็มปากเต็มคำแล้วก็จะรักและซื่อสัตย์กับเธอผู้นั้นเพียงคนเดียว!

                ชายหนุ่มเดินไปเปิดกระจกบานใหญ่ออกเพื่อรับลมทะเลยามดึกสงัด แล้วกลับมาทิ้งตัวนั่งทอดอารมณ์บนโชฟาตัวใหญ่ มือหนาควานหาบุหรี่และไลท์เตอร์ขึ้นมาอย่างเคยชิน กลิ่นหอมฉุนที่สูดเข้าไปในร่างกายมาตลอดหลายปีนั้น มันยิ่งท้าทายให้อเตต้าร์อยากเผชิญหน้ากับมัจจุราชมาตลอด เขาอยากรู้นักว่าไอ้สารพิษที่สูดเข้าร่างกายทุกวันนี้มันจะสามารถคร่าชีวิตเขาจากโลกใบนี้ เหมือนกับที่คร่าชีวิตของบิดาให้จากตนเองไปตั้งแต่ยังจำความไม่ได้หรือไม่!!?

 

                รุ่งเช้ามนตร์ลดามาถึงบ้านหรูริมหาดตั้งแต่เช้าตรู่ตามที่ได้รับปากกับเจ้านายไว้ตั้งแต่เมื่อคืนและพบว่าฟาเบียโน่กำลังนั่งดื่มกาแฟ อ่านหนังสือพิมพ์อยู่บนโต๊ะอาหารเพียงลำพัง

                “อ้าว... มิ้นต์มาถึงแต่เช้าเชียว ทานอะไรมารึยัง” ฟาเบียโน่ละสายตาจากหนังสือพิมพ์ธุรกิจรายวันทักทายพยาบาลสาว

                “ยังเลยค่ะ พอดีรีบออกมาแต่เช้ากลัวว่าเซญอร่าจิงเจอร์เธอจะตื่นก่อนน่ะค่ะ” ถึงแม้ว่าทั้งฟาเบียโน่และอรอาภาจะให้ความเป็นกันเองกับเธอ แต่พยาบาลสาวก็ให้เกียรติและใช้ถ้อยคำสุภาพเรียกทั้งคู่เสมอ

                “งั้นก็มาทานด้วยกันซะเลยสิ” ฟาเบียโน่ยิ้มและผายมือเชิญ “ความจริงไม่ต้องรีบนักก็ได้ ตอนที่ผมลงมาจิงเจอร์ยังไม่ตื่นเลย เมื่อคืนผมผิดเองที่พาเธอเข้านอนดึกกว่าปกติ พอดีว่าน้องชายมาเยี่ยมเลยคุยกันติดพันไปหน่อย”

                มนตร์ลดานั่งลงด้านซ้ายของฟาเบียโน่ พลางมองนอสซาที่ทำการเสิร์ฟอาหารเช้าให้อย่างยิ้มแย้ม “เรื่องที่เซญอร์ฟาเบียโน่ให้ดิฉันไปคิดดูเมื่อคืนนี้คงยังไม่รีบเอาคำตอบใช่ไหมคะ ดิฉันปรึกษากับแม่แล้วค่ะแต่พอดีว่าไม่ได้เจอกันหลายเดือนเลยมีหลายเรื่องคุยกัน กว่าจะได้นอนก็ดึกค่ะเลยยังสรุปไม่ได้ว่าจะเอายังไง”

                “จะถามว่ารีบไหมก็ไม่เชิงนะ คุณปู่ท่านอยู่ที่นั่นก็มีคนดูแลอยู่แต่คนเป็นลูกเป็นหลานอยู่ไกลก็เป็นห่วง ถ้าได้คนที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางอยู่กับท่านก็อุ่นใจ เอาเป็นว่าผมให้เวลาอีกสามวันพอไหม?

                “ค่ะ... เซญอร์คะคือวันนี้ดิฉันมีธุระต้องไปเซ็นเป็นพยานในการเช่าร้านน่ะค่ะ หลังจากที่เซญอร่าตื่นแล้วดิฉันว่าขออนุญาตเซญอร์ออกไปสักสองชั่วโมงค่ะ พอเสร็จแล้วจะรีบกลับมาก่อนเที่ยงค่ะ” มนตร์ลดาบอกอย่างเกรงใจ

                “เช่าร้านอะไรเหรอ? แถวไหนล่ะ?” ฟาเบียโน่ถาม

                “แถวชายหาดโคปาคาบานาค่ะ คือครอบครัวของดิฉันเปิดร้านอาหารอยู่แถวนั้นกลางคืนจะเปิดเป็นบาร์ค่ะ แล้วร้านข้างๆเขาย้ายออกเราเลยตกลงเช่ากับเจ้าของร้านไว้ วันนี้ช่วงเช้านัดกันทำสัญญาค่ะ”

                ฟาเบียโน่พยักหน้ารับ “ดูดีๆนะ อ่านสัญญาให้ชัดเจน เท่าที่ผมรู้พวกที่อ้างตัวว่าเป็นเจ้าของห้องเช่าแถวนั้นน่ะ ความจริงเป็นพวกนี้เป็นนายหน้าทั้งนั้นมาเรียกเก็บค่าเช่ากับพ่อค้าแม่ค้าราคานึงแล้วส่งให้เจ้าของที่ดินไม่เท่าไหร่หรอก”

                “จริงสิคะ ค่าเช่าร้านเล็กเท่านั้นให้เช่าตั้งเดือนละสี่พันเฮอัล แล้วไม่มีเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าไปปราบปรามเหรอคะ?” มนตร์ลดาถามเพราะเรื่องที่ฟาเบียโน่พูดนั้นถูกเผงอย่างที่ตนเองได้ยินมา

                “ก็เพราะมีเจ้าหน้าที่เข้าไปปราบนั่นแหละ มันถึงได้เป็นแบบนี้ แต่ก่อนนี้พ่อค้าต้องจ่ายค่าเช่าให้เจ้าของที่แล้วก็ต้องจ่ายค่าคุ้มครองให้พวกนักเลงที่คุมแถวนั้นอีกต่างหาก พอมีตำรวจเข้าไปปราบปรามพวกมันก็เลยต้องหาวิธีหากินแบบใหม่”

                “โดยการที่เรียกเก็บค่าเช่าแพงขึ้นน่ะเหรอคะ แล้วพวกเจ้าของที่ดินยอมได้ยังไงคะ?”

                “ทำไมจะไม่ยอมล่ะ ได้เงินค่าเช่าเท่าเดิมแถมมีนักเลงเก็บให้ทุกเดือนไม่ต้องกลัวว่าใครหน้าไหนจะเบี้ยว ไม่มีอะไรเสียหายนี่ จริงไหมล่ะ?” ฟาเบียโน่แสยะยิ้มให้กับวงจรอุบาทว์ที่รู้ดีว่านักเลงอันธพาลพวกนี้หากินด้วยวิธีไหน

                “เฮ้อ... แล้วดิฉันจะทำยังไงดีล่ะคะ?” มนตร์ลดาถอนหายใจพร้อมถามออกมาคล้ายว่ารำพึงรำพันกับตัวเอง

                “ความจริงถ้าคำนวณดูว่ารายได้ที่เข้ามาพอกับค่าเช่าเหลือเป็นกำไรอีกนิดหน่อยก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงหรอก ถ้าเดาไม่ผิดพวกมันคงเอาสัญญาเช่าที่พวกมันทำขึ้นเองเตรียมมาด้วยซึ่งจะต่างจากสัญญาเช่าบ้านทั่วไปตรงที่พยานจะต้องรับผิดชอบค่าเช่าหากว่าผู้เช่าเบี้ยวค่าเช่า ตอนทำสัญญาต้องอ่านให้ละเอียดอย่าให้พวกมันเอาเปรียบได้เด็ดขาด ห้ามเซ็นสัญญาเปล่าต้องให้พวกมันกรอกลายละเอียดให้หมด แล้วสัญญาก็ต้องทำขึ้นมาสองฉบับเนื้อความก็ต้องเหมือนกันเข้าใจไหม?” ฟาเบียโน่แนะนำอย่างละเอียด

                “ค่ะ” มนตร์ลดาก็รับคำอย่างหนักแน่นเช่นกัน

                “ความจริงวันนี้คุณลาหยุดก็ได้ จิงเจอร์เขาดูดีขึ้นมากแล้ว จะได้ไม่ต้องรีบกลับไปกลับมา เดี๋ยวออกไปพร้อมกันเลยก็ได้ แถวนี้เป็นหาดส่วนตัวหารถแท็กซี่ลำบาก” ฟาเบียโน่พูดขึ้น เมื่อเห็นว่ามนตร์ลดาจัดการกับอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว มนตร์ลดากล่าวคำขอบคุณพร้อมลุกขึ้นเดินตามเจ้านายร่างสูง ใบหน้าเคร่งขรึมแต่เมื่อได้จักกับเขาแล้ว พูดได้เต็มปากว่าเขาไม่เพียงแค่มีฐานะที่ร่ำรวยเท่านั้น เขายังรวยน้ำใจมอบให้กับคนที่เพิ่งรู้จักอย่างเธอด้วย เพียงแค่ไม่ถึงยี่สิบนาทีมนตร์ลดาก็มาถึงหน้าร้านอาหารของแม่ตนเองแล้ว ก่อนจะก้าวลงจากรถคันหรูฟาเบียโน่ยังย้ำว่าให้ดูสัญญาอย่างละเอียด ถ้าหากว่าพวกมันดูผิดปกติหรือมีอะไรที่ไม่ชอบมาพากลให้โทรศัพท์หาเขาทันที พร้อมยื่นนามบัตรใบจิ๋วให้อีกด้วย มนตร์ลดายิ้มซาบซึ้งในน้ำใจจึงพนมมือไหวอย่างนอบน้อมตามแบบปฏิบัติอันดีงามของคนไทย

 

                แปดโมงเช้าของวันเดียวกันนั้นอเตต้าร์เดินลงมาจากชั้นบนของบ้านพักริมหาดสุดหรูที่ตนเองใช้พักผ่อนมาตลอดคืน แต่ในบ้านกลับเงียบเชียบได้ยินเพียงเสียงคลื่นกระทบฝั่งและเสียงลมทะเลเท่านั้น มีเพียงนอสซาแม่บ้านร่างท้วมยืนยิ้มรอต้อนรับอยู่หน้าห้องอาหาร

                “เชิญเซญอร์อาร์ตี้ค่ะ”

                “ไม่เจอนอสซาตั้งนานยังสวยเหมือนเดิมนะเนี่ย...” อเตต้าร์แซวแม่บ้านที่รู้จักกันมานานอย่างเป็นกันเอง

                “โธ่!... เซญอร์ชอบล้อคนแก่ให้ได้อายเรื่อยเลย แล้วคุณท่านเป็นยังไงบ้างคะ ท่านสบายดีนะคะ?” นอสซาเกิดและเติบโตมาก็ทำงานเป็นแม่บ้านให้ตระกูลโอลีเวย์ร่าจนเกือบครึ่งชีวิตของเธอแล้วกำลังถามถึงคุณท่านการันก้า โอลีเวย์ร่า ที่อยู่ในรีโอกรันดีโดซุล

                “ตัวก็คงสบายดีแต่ใจไม่สบายเท่าไหร่ถึงได้ส่งฉันมาดูเฟลิกซ์ว่ามีเมียจริงไหม ความจริงท่านไม่ได้อยากรู้หรอกว่าเฟลิกซ์จะมีเมีย แต่อยากได้เหลนมากกว่า สองคนนั่นก็ยังไม่มีข่าวดีสงสัยก่อนกลับฉันคงต้องไปเดินเลือกอีหนูที่นอนเปลือยอกอยู่หาดโคปาคาบานา ซักสองสามคนไปฝากท่านแล้ว เผื่อท่านใจร้อนจะได้ทำลูกเองตอนอายุแปดสิบปี โอลีเวย์ร่าคงได้ดังกันก็คราวนี้ล่ะ”

                “พูดอะไรก็ไม่รู้ค่ะ ไปว่าท่านได้” นอสซาส่ายหน้าให้กับอเตต้าร์ผู้ที่มีบุคลิกต่างกับพี่ชายอย่างสิ้นเชิง ความห่ามที่ติดตัวชายหนุ่มมาตั้งแต่ไหนแต่ไรก็ยังอยู่อย่างเดิมหรืออาจจะมากขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ แต่ไม่รู้ว่าทำไมสาวๆของเซญอร์อเตต้าร์ถึงได้มีมากเป็นพรวนก็ไม่รู้ สงสัยสาวสวยพวกนี้จะชอบผู้ชายตรงไปตรงมาแบบเซญอร์ของเธอ นอสซาคิดในใจพลางรินน้ำสะอาดลงในแก้วแล้วเลื่อนให้อย่างสุภาพ คอยสอดส่องอำนวยความสะดวกเป็นอย่างดี

                “มาทานอาหารเช้าด้วยกันสิครับจิงเจอร์” อเตต้าร์เอ่ยชวนอรอาภาที่เดินเข้ามาในห้องอาหารด้วยสีหน้าไม่สบายใจนักพลางพับหนังสือพิมพ์ในมือของตัวเองแล้ววางมันลงบนโต๊ะ ยิ้มแย้มให้เธออย่างเป็นมิตร

                อรอาภายิ้มตอบด้วยสีหน้าเศร้าๆพลางทรุดตัวนั่งลงที่เก้าอี้ประจำของตนเอง

                “วันนี้เซญอร์ฟาเบียโน่ออกไปตั้งแต่เช้าเลยค่ะ เห็นว่ามีเรื่องสำคัญเลยต้องรีบออกไปค่ะ” นอสซารายงานตามปกติพลางวางแก้วนมสดให้เจ้านายสาว จากนั้นจึงถอยออกมายืนข้างหลังรอดูห่างๆว่าเจ้านายจะต้องการสิ่งใดเพิ่มหรือไม่

                อรอาภาพยักหน้ารับ “มิ้นต์ยังไม่มาเหรอคะ?”

                “มาถึงตั้งแต่เช้าแล้วก็ออกไปพร้อมเซญอร์ฟาเบียโน่อีกครั้งค่ะ แต่ไม่ได้บอกว่าจะกลับมากี่โมง เซญอร่าต้องการอะไรรึเปล่าคะ?”

                เพล้ง!!

                ทันทีที่จบคำพูดของแม่บ้านเก่าแก่เสียงช้อนสเตนเลสอย่างดีที่อยู่ในมือของอรอาภาตกกระทบกับชามกระเบื้องดังเพล้ง! ทำให้อเตต้าร์ชะงักจากการรับประทานอาหารทันที

                “เป็นอะไรไปคะ เซญอร่ารู้สึกไม่สบายตรงไหนรึเปล่าคะ?” นอสซาก้าวเข้ามาถามด้วยน้ำเสียงร้อนรน

                “ขอโทษค่ะ ฉันขอตัวนะคะ” หญิงสาวส่ายหน้าตอบพร้อมผลุนผลันวิ่งออกไปจากห้องอาหารทันที ทิ้งให้อเตต้าร์และนอสซามองตามอย่างงงๆ

 

                อเตต้าร์เดินตามร่างอ้อนแอ้นของอรอาภาออกมาด้านนอกทันที ตอนนี้เธอนั่งอยู่ริมสระว่ายน้ำ เพียงแค่เห็นหัวไหล่และแผ่นหลังที่สะท้านไหว ก็รู้ได้ทันทีว่าเธอกำลังร้องไห้อย่างหนัก!!

                ชายหนุ่มค่อยๆเดินเข้าไปนั่งลงบนแผ่นไม้ระแนงอย่างดีที่ปูอยู่รอบริมสระว่ายน้ำข้างๆคนที่กำลังร้องไห้สะอึกสะอื้น น้ำตานองหน้า “เป็นอะไรไปเหรอครับ? พอจะบอกผมได้ไหม”

                อรอาภาเงยหน้าขึ้นมองน้องชายสามี ไม่อาจสะกดกลั้นความเสียใจที่ได้รู้ว่าฟาเบียโน่และมนตร์ลดาออกไปข้างนอกด้วยกัน น้ำตาและเสียงสะอื้นไห้จึงล้นทะลักออกมาไม่ขาดสาย

                “เฟลิกซ์กับพยาบาลที่มาดูแลฉัน ขะ...เขาทั้งคู่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกันค่ะ” อรอาภาพูดทั้งน้ำตา

                “เฮ้ย!! ไม่จริงมั้ง!” อเตต้าร์ตอบกลับออกไปทันที ไม่อยากเชื่อว่ามันจะเป็นเรื่องจริง “เอ่อ... คือผมไม่ได้ไม่เชื่อที่คุณพูดนะจิงเจอร์ แต่คุณเข้าใจอะไรผิดไปรึเปล่า?? พยาบาลที่คุณว่าเนี่ยคือผู้หญิงไทยที่เฟลิกซ์จ้างเธอให้มาดูแลคุณตอนที่อยู่โรงพยาบาลในบูซิโอสคนนั้นน่ะเหรอ?”

                “ใช่ค่ะ เธอนั่นแหละ” อรอาภาพยักหน้าย้ำคำพูดของตัวเองว่ามันเป็นเรื่องจริง เมื่อเห็นสีหน้าไม่แน่ใจของอเตต้าร์ “เมื่อวานฉันเห็นกับตาได้ยินกับหู พวกเขามีอะไรกันในห้องทำงานของเฟลิกซ์!”

                “เป็นไปได้ไง เฟลิกซ์ไม่น่าจะทำอย่างนั้นในบ้านทั้งที่คุณก็อยู่ด้วย” จริงอยู่ทั้งเขาและพี่ชายอาจจะเป็นคนที่มีพลังขับเคลื่อนทางเพศสูงแต่ก็ยับยั้งใจตัวเองได้ตลอด เพราะไม่ใช่เด็กหนุ่มที่เพิ่งหัดมีเซ็กส์!! อเตต้าร์คิด

                “พวกเขาคิดว่าฉันหลับอยู่บนห้อง ตอนที่ฉันลงมาเห็นพวกเขา! กำลัง... ฮือ...” อรอาภาพูดต่อไปไม่ได้แล้ว หญิงสาวยกมือขึ้นปิดปากไม่อยากให้เสียงร้องไห้ของตัวเองดังไปมากกว่านี้

                อเตต้าร์มองหญิงสาวตรงหน้าร้องไห้จนตัวโยนโดยไม่รู้ว่าจะช่วยเธอแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างไร

                “ขะ...เขามันคนหลอกลวง จอมสร้างภาพ! เขาบอกว่ารอฉันได้ จะรอจนกว่าฉันจะจำได้ แต่พอลับหลังก็ไปมีคนอื่น ฮือ... ฉันน่าจะรู้ว่าผู้ชายอดทนเรื่องแบบนี้ไม่ได้นานอยู่แล้ว ฉันมันโง่เอง! โดนพวกเขามาสวมเขาให้ถึงในบ้าน ฮือ...”

                อเตต้าร์สงสารผู้หญิงตรงหน้ายิ่งนัก แม่พยาบาลร่านรัก! นั่นก็เหลือเกินเป็นคนไทยเหมือนกันแท้ๆยังทำกันได้ถึงขนาดนี้!! นี่ขนาดว่าเพิ่งรู้จักกันได้ไม่กี่วันยังไวไฟมีเซ็กส์กันในห้องทำงานแล้ว เฮอะ!... แต่ก็อย่างว่าล่ะนะผู้หญิงสมัยนี้ชอบเงินกันทั้งนั้น ขนาดรู้ว่าเขามีเมียอยู่เป็นตัวเป็นตนก็ยังไม่เว้น

                โธ่เอ๊ย!! แล้วยังมีหน้ามามองเขาหัวจรดเท้าแบบดูถูกเหยียดหยามราวกับเขาเป็นกุ๊ยข้างถนนอีก

                “ใจเย็นๆก่อนดีกว่าครับ เอาไว้ผมจะลองคุยกับเฟลิกซ์ดู เขาอาจจะควบคุมตัวเองไม่ได้เพราะแม่พยาบาลร้อนรักนั่นยั่วยวนก็เป็นได้ ผมว่าคุณไปกินข้าวก่อนดีกว่า รีบรักษาตัวให้หายแล้วจะได้ทำหน้าที่ของตัวเองก่อนที่คนอื่นจะมาแย่งไปทำมากกว่านี้” อเตต้าร์พูดเย้าให้หญิงสาวอารมณ์ดีขึ้น ไม่สามารถพูดออกมาได้ว่าเธอเป็นใคร มาจากไหน?? แท้จริงแล้วเธอเป็นเพียงแค่เมียตีทะเบียนของฟาเบียโน่เท่านั้นเอง บางทีมันก็อาจเป็นได้ที่ฟาเบียโน่จะเผลอใจไป แต่ก็ควรให้เกียรติคนที่ตัวเองเรียกว่าเมียบ้าง

                คำพูดของอเตต้าร์ไม่ได้ทำให้อรอาภาขำแต่อย่างใด มันกลับทำให้เธอฉุกคิดขึ้นมาว่า จริงสินะ! หากตนเองสามารถทำหน้าที่ของภรรยาได้อย่างสมบูรณ์เพียบพร้อมทุกอย่างแล้ว ปัญหาแบบนี้คงไม่เกิดขึ้นมากวนใจแน่นอน หญิงสาวจึงเดินกลับเข้ามาในห้องอาหารอีกครั้งและปล่อยให้อเตต้าร์ได้นั่งอยู่ริมสระว่ายน้ำดังเดิม ราวเที่ยงวันอเตต้าร์ก็ควบขับรถสปอร์ตคู่ใจออกมาข้างนอก รู้สึกหงุดหงิดใจนักที่ได้รู้ว่าแม่คิตตี้คนงามนั่นกลายมาเป็นเมียน้อยของพี่ชายตัวเอง!!

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา