ทัณฑ์สวาทจอมเถื่อน

-

เขียนโดย ศิริพารา

วันที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 เวลา 12.17 น.

  10 ตอน
  0 วิจารณ์
  12.99K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 12.19 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) ทัณฑ์สวาทจอมเถื่อน ตอนที่ 1 100%

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในเมืองตากอากาศบูซิโอส ประเทศบราซิล

                “มิ้นต์ครับ วันนี้หลังเลิกงานเราไปฟังเพลงกันดีไหม?” คุณหมอหนุ่มใหญ่วัยสี่สิบปีเอ่ยปากชวนพยาบาลสาวชาวไทยผู้มีใบหน้างดงามติดตราตรึงใจตั้งแต่แรกพบ

                “ขอโทษด้วยนะคะคุณหมอวันนี้ดิฉันมีธุระสำคัญน่ะค่ะ เอาไว้โอกาสหน้านะคะ” มนตร์ลดา กิตติพานิชย์ พยาบาลสาวเอ่ยปฏิเสธทันทีเพราะไม่อยากมีปัญหากับลูกสาวเจ้าของโรงพยาบาล ตลอดระยะเวลาเก้าเดือนเต็มที่เข้ามาทำงานในโรงพยาบาลแห่งนี้ พูดได้เต็มปากว่ามีเพื่อนร่วมงานที่เป็นมิตรเพียงไม่กี่คน คนแรกคือพยาบาลรุ่นพี่ชื่อลูลา อีกคนคือคุณหมอปาโต้ซึ่งพักหลังๆนี้ คุณหมอหนุ่มใหญ่คอยขายขนมจีบตามตื้ออยู่บ่อยครั้ง จนเป็นที่รู้กันไปทั่วโรงพยาบาล และนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เซเรน่าลูกสาวเจ้าของโรงพยาบาลแห่งนี้ไม่ชอบหน้าเธอเป็นอย่างมาก!

                ปาโต้นั้นรู้ได้ทันทีว่าสาวสวยตรงหน้าหลีกเลี่ยงไม่อยากจะพูดคุยกับตน จึงเอ่ยถามออกไปตรงๆ “คุณมีอะไรไม่พอใจผมก็บอกตรงๆได้นะครับ อย่าหลบหน้ากันแบบนี้เลย... มันทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองแย่มาก”

                “ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะคุณหมอปาโต้ เข้าใจผิดไปใหญ่แล้ว วันนี้ดิฉันติดธุระสำคัญจริงๆค่ะ ไม่ได้คิดจะหลบหน้าคุณหมอเลยนะคะ แล้วไม่รู้ว่าจะทำอย่างนั้นทำไมเพราะเราทำงานด้วยกัน ต้องเจอหน้ากันทุกวันอยู่แล้ว” มนตร์ลดารีบอธิบาย แต่แท้จริงแล้วหญิงสาวกำลังหาทางออกให้กับตัวเองเพราะไม่อยากให้เซเรน่าต้องชังน้ำหน้าตนมากไปกว่านี้ จนต้องหาเรื่องกลั่นแกล้งตลอดเวลาต่างหาก

                “จริงๆนะครับ” ปาโต้ถามย้ำอีกครั้งพลางยิ้มออกมาอย่างโล่งอก เมื่อพยาบาลสาวพยักหน้ารับเร็วๆ

                “ค่ะ คุณหมอปาโต้ให้คำแนะนำดีๆหลายอย่าง เป็นเพื่อนร่วมงานที่ดีมาก บางทีดิฉันยังคิดว่าอยากมีพี่ชายแบบคุณหมอซักคน” มนตร์ลดาย้ำความสัมพันธ์ให้หนุ่มใหญ่ตรงหน้าได้เข้าใจ ไม่คิดเกินเลยไปมากกว่านี้ “เอ่อ... ต้องขอตัวก่อนนะคะ เอาไว้วันหลังค่อยคุยกันวันนี้ดิฉันรีบจริงๆค่ะ”

                มนตร์ลดารีบพูดตัดบทเพราะเหลือบสายตาข้ามบ่ากว้างของคุณหมอไปเห็นเซเรน่า ซึ่งกำลังเดินใกล้เข้ามาเต็มทีแล้ว พร้อมหมุนตัวเดินออกมาหลบอยู่ตรงมุมตึก แนบแผ่นหลังบางของตนเองเข้ากับผนังเย็นเฉียบพลางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

                จากนั้นจึงเดินตรงเข้าไปในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า จัดการเปลี่ยนชุดสีฟ้าทั้งตัวที่สวมใส่ในเวลาทำงานมาเป็นเสื้อยืดกางเกงยีนส์เข้ารูปแบบที่ชอบใส่อยู่เป็นประจำ โดยไม่ลืมหยิบซองสีขาวในล็อกเกอร์ส่วนตัวออกมาด้วย มันถึงเวลาแล้วที่ต้องตัดใจลาออกจากโรงพยาบาลแห่งนี้เสียที ด้วยเหตุผลหลายอย่างที่คับข้องใจ นานวันมันยิ่งกลายเป็นความอึดอัดใจจนไม่สามารถที่จะดำเนินชีวิตได้อย่างปกติเหมือนเพื่อนร่วมงานคนอื่น

                เซเรน่า เป็นลูกสาวเจ้าของโรงพยาบาลแห่งนี้ เธอเพิ่งจะหย่าขาดจากสามีชาวอเมริกันและเดินทางกลับจากอเมริกามาใช้ชีวิตอยู่บ้านเกิด เมื่อเข้ามาบริหารงานในโรงพยาบาลเกิดถูกตาต้องใจคุณหมอปาโต้ซึ่งเป็นพ่อหม้ายมีลูกติดเป็นลูกชายวัยหกขวบ แต่คนส่วนมากในโรงพยาบาลก็รู้ทั้งนั้นว่าคุณหมอหนุ่มใหญ่พึงพอใจในตัวของมนตร์ลดา พยาบาลสาวผู้มีใบหน้างดงาม ผิวเนื้อขาวกระจ่างตา ทำให้เซเรน่าไม่พอใจ เกิดเป็นความริษยา จนต้องหาเรื่องใส่ความอยู่บ่อยครั้ง และเมื่อสองเดือนที่แล้วนี้มนตร์ลดาได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้าพยาบาลแผนกอายุกรรมแต่เซเรน่ากลับคัดค้านกลางห้องประชุมด้วยเหตุผลที่ว่า มนตร์ลาดพูดภาษาโปรตุกีสซึ่งเป็นภาษาทางราชการของประเทศบราซิลได้ไม่ชัดเจนเท่าที่ควร จึงไม่สมควรได้รับตำแหน่งนี้เพราะต้องใช้ภาษาติดต่อสื่อสารกับคนส่วนมาก ซึ่งจะทำให้โรงพยาบาลพลอยเสียชื่อเสียงไปด้วย

                เหตุผลนั้นของเซเรน่ายังไม่ทำให้มนตร์ลดาหมดหวัง หญิงสาวตัดสินใจควักกระเป๋าเข้าเรียนภาษาโปรตุกีสอยู่เป็นเวลาหนึ่งเดือน แต่ก็ยังไม่ได้การยอมรับจากเซเรน่าอยู่เช่นเดิม หากเหตุผลใหม่ของเซเรน่านั้นกลับทำให้มนตร์ลดาหมดความอดทนที่จะพิสูจน์ตัวเองอีกต่อไป นั่นคือการดูถูกว่าเธอเป็นหญิงเอเชียมาจากประเทศด้อยพัฒนา เป็นที่อับอายขายหน้าของโรงพยาบาลที่ต้องมีพยาบาลเป็นหญิงผิวเหลือง ตัวเล็กผอมแห้งแรงน้อย! ทำงานไม่สมกับค่าจ้างที่ได้รับ!!

                ‘นี่มิ้นต์! ไม่ต้องไปสนใจคำพูดของเซเรน่าหรอก ต่อให้มิ้นต์ทำงานดีจนคนทั้งโลกพูดเป็นเสียงเดียวกัน เซเรน่าก็ไม่มีวันลบอคติในใจไปได้เพราะอะไรรู้ไหม? ก็เพราะว่าคุณหมอปาโต้มีใจให้มิ้นต์ยังไงล่ะ ที่เซเรน่าพล่ามจนน้ำลายแตกฟองทั้งหมดทั้งปวงนั่น ก็เพราะความอิจฉาริษยาที่คุณหมอปาโต้ชอบมิ้นต์ แต่ไม่ชอบเธอทั้งๆที่เธอเป็นลูกสาวเจ้าของโรงพยาบาล สามารถทำให้หน้าที่การงานของคุณหมอปาโต้ก้าวหน้าได้’ นั่นคือคำพูดของลูลา พยาบาลรุ่นพี่เพียงคนเดียวที่สนิทที่สุดในโรงพยาบาลแห่งนี้ ซึ่งทำให้มนตร์ลดาให้ได้คิดตามและมองออกว่า ควรจะก้าวออกจากที่นี่ไปแสวงหาที่ทำงานใหม่ที่มองเห็นคุณค่าของความสามารถในตัวเธอ

               

                ก๊อก... ก๊อก...

                มนตร์ลดาเคาะประตูห้องผู้อำนวยการโรงพยาบาล พลางก้าวเข้าไปด้านในเมื่อได้ยินเสียงอนุญาตดังลอดออกมา

                “มีอะไรเหรอคุณมนตร์ลดา?” ชายวัยหกสิบปีร่างท้วมใหญ่ เจ้าของโรงพยาบาลถามขึ้นเมื่อเห็นพยาบาลสาวสวยเดินเข้ามาในห้องทำงานของตน ทั้งยังจำได้อย่างแม่นยำเพราะว่าเซเรน่าลูกสาวนั้นชอบหาเรื่อง หาความกับเธออยู่บ่อยครั้ง

                “ดิฉันขอลาออกค่ะ” มนตร์ลดาพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพ ราบเรียบ พร้อมวางซองสีขาวลงบนโต๊ะทำงานแล้วถอยหลังกลับมายืนที่เดิม

                “ทำไมล่ะ มีปัญหาอะไรบอกผมได้นะ หรือถ้าเป็นเรื่องของเซเรน่าล่ะก็ ผมจะปรามเขาให้เอง คุณเป็นคนเก่งมีความสามารถ ผมยังต้องการคนเก่งอย่างคุณร่วมงานอยู่นะ”

                “ความจริงนั่นก็เป็นอีกปัญหาหนึ่งค่ะ แต่ปัญหาที่ทำให้ดิฉันต้องลาออกก็เพราะว่าอยากกลับไปดูแลคุณแม่ค่ะ ท่านสุขภาพไม่ค่อยสู้ดีนัก ดิฉันอยู่ทางนี้ก็ไม่ได้ดูแลท่านเท่าที่ควรค่ะ” มนตร์ลดาตอบแบ่งรับแบ่งสู้

                “แม่ของคุณอยู่ที่ไหน?”

                “ท่านเปิดร้านอาหารอยู่ในรีโอเดอจาเนโรค่ะ”

                “ถ้าคุณยืนยันอย่างนั้น ผมก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะขัดข้องอะไรแต่ถ้าจัดการปัญหาทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว อยากกลับเข้ามาทำงานที่นี่อีกครั้ง ผมก็ยินดีต้อนรับคุณเสมอนะมนตร์ลดา” ผู้อำนวยการพูดด้วยน้ำเสียงจริงใจ

                “ขอบคุณนะคะท่านผู้อำนวยการ” มนตร์ลดาระบายยิ้มให้ผู้สูงวัยอย่างเป็นมิตร มองมือท้วมจรดปากกาเซ็นอนุมัติให้ แล้วจึงเดินกลับออกมาด้วยความรู้สึกโล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอก!

                หนึ่งสัปดาห์เท่านั้น! อดทนไว้มนตร์ลดา อีกเพียงแค่เจ็ดวันก็ไม่ต้องเจอหน้า พบเห็นสายตาเกลียดชังของเซเรน่าแล้ว หญิงสาวท่องเอาไว้ในใจพร้อมเดินออกจากโรงพยาบาลด้วยความรู้สึกปลอดโปร่ง ไม่เหมือนคนเพิ่งตกงานสักนิด

                ก่อนกลับเข้าอพาร์ตเมนต์หญิงสาวแวะจับจ่ายของสดในตลาดยามเย็นที่ตั้งแผงขายริมถนนไปเป็นแนวยาวไปจนสุดลูกหูลูกตา

                บูซิโอสเป็นเมืองตากอากาศเล็กๆที่ยังคงรูปแบบของชาวประมงท้องถิ่นเอาไว้เกือบสมบูรณ์ เพราะทางการได้เข้ามาแบ่งแยกพื้นที่รีสอร์ทหรู บ้านพักตากอากาศของคนรวยไว้อย่างชัดเจน จึงทำให้นักท่องเที่ยวที่มาเยือนเมืองชายทะเลแห่งนี้ได้สัมผัสกับบรรยากาศท้องถิ่นครบถ้วนเป็นอย่างดี

                มนตร์ลดาเลือกซื้อของสดหลายอย่างกักตุนไว้ประกอบอาหารรับประทานเองเพื่อความประหยัดอย่างที่เคยทำมา เมื่อซื้อของครบทุกอย่างแล้วจึงเดินกลับมายังอพาร์ตเมนต์ที่ตนเองเช่าอยู่ซึ่งไม่ไกลจากตลาดนัก หญิงสาวจึงเลือกใช้วิธีการเดินเท้าเพราะบูซิโอสเป็นเมืองเล็กๆระยะทางจากอพาร์ตเมนต์ถึงโรงพยาบาลก็ไม่ไกลนักถือเป็นการออกกำลังกายไปในตัวด้วย หลังจากกลับมาถึงอพาร์ตเมนต์แล้วจึงจัดการอาบน้ำชำระร่างกายและทำอาหารเย็นง่ายๆสำหรับตัวเอง หญิงสาวหยิบเอาสมุดบัญชีธนาคารที่เก็บหอมรอบริบเอาไว้ขึ้นมาเปิดดู คำนวณค่าใช้จ่ายประจำเดือนในช่วงที่ต้องว่างงานอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ เพราะมนตร์ลดาต้องส่งเงินให้แม่ที่อยู่รีโอเดอจาเนโรทุกเดือน ทั้งยังต้องส่งให้คุณป้าราตรี ผู้พี่สาวของแม่ที่อยู่เมืองไทยทุกเดือน ความจริงแล้วผู้ใหญ่ทั้งสองท่านไม่เคยเรียกร้องเลยแม้แต่น้อยเพราะคุณป้าราตรีเองไม่มีครอบครัว ท่านเป็นคุณครูสอนในโรงเรียนประถมแห่งหนึ่งใกล้ๆบ้าน ส่วนมารดาของเธอนั้นก็เปิดร้านอาหารในรีโอเดอจาเนโร มีรายได้เป็นของตนเองอยู่แล้ว หากแต่มนตร์ลดาก็เป็นเด็กดีมีความกตัญญูรู้คุณ ตั้งแต่เรียนจบมีงานการทำแล้วก็ไม่เคยบกพร่องต่อหน้าที่ที่ตั้งใจไว้แล้วเลยสักครั้งเดียว

 

                มนตร์ลดาเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของประกอบและจันทร์แรม ครอบครัวเล็กๆที่มีฐานะทางการเงินปลานกลาง ประกอบและจันทร์แรมเปิดร้านอาหารตามสั่งเล็กๆรายได้ไม่ได้มากมายแต่ไม่มีหนี้สินเป็นภาระ จึงสามารถเลี้ยงดูตนเองและครอบครัวได้อย่างสบาย แต่เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น

                เช้าวันหนึ่งประกอบต้องขับรถจักรยานยนต์ไปส่งลูกสาววัยห้าขวบที่โรงเรียนอนุบาลไม่ไกลจากบ้านนัก ขากลับเกิดอุบัติเหตุรถชนประสานงาเข้ากับรถกะบะคันหนึ่งทำให้ประกอบ เสียชีวิตคาที่!! เหตุการณ์ร้ายแรงดังกล่าวทำให้จันทร์แรมและมนตร์ลดาขาดเสาหลักของครอบครัว ร้านอาหารตามสั่งที่เคยเปิดอยู่ลูกค้าก็น้อยลงจนผิดหูผิดตาเพราะประกอบเป็นพ่อครัวลงมือทำอาหารทุกอย่างเอง และมีภรรยาเป็นผู้ช่วย เมื่อไม่มีประกอบแล้วลูกค้าจึงไม่คิดว่าจันทร์แรมจะทำอาหารได้ถูกปากอย่างเคยจึงเลือกที่จะไปอุดหนุนร้านใหม่

                จันทร์แรมเป็นผู้นำครอบครัวจึงทนเห็นสภาพการเงินของตนเองถอยหลังลงไปทุกวันไม่ได้ เธอตัดสินใจฝากลูกสาวผู้น่ารักไว้กับราตรี ผู้เป็นพี่สาว แล้วตนเองจึงเดินทางไปพัทยาลงทุนด้วยเงินที่มีอยู่อย่างจำกัดทำอาหารทะเลง่ายๆขายอยู่ริมชายหาด เก็บเงินส่งกลับมาให้ลูกสาวเพียงคนเดียวได้กินอยู่อย่างสบายตามอัตภาพ ระหว่างที่จันทร์แรมทำงานอยู่พัทยานั้นก็มีหนุ่มทั้งไทยและต่างชาติเข้ามาชอบพออยู่หลายคน หากมีเพียงเปาโล หนุ่มบราซิลเลี่ยนคนเดียวที่จันทร์แรมถูกใจในความเป็นคนเอาการเอางานของเขา เขาเป็นเพียงผู้ชายคนเดียวที่มายืนดูเธอขายอาหารโดยไม่ชวนเข้าโรงแรมหรือถามไถ่ค่าตัวเพื่อซื้อหาความสุขชั่วครั้งชั่วคราว แต่เปาโลกลับกุลีกุจอช่วยยกอาหารไปเสิร์ฟให้กับลูกค้า ช่วยเก็บกวาดทำความสะอาดทุกอย่างโดยไม่เคยปริปากบ่นสักคำ

                ระยะเวลาห้าเดือนเต็มที่เปาโลคอยช่วยเหลือจันทร์แรมมาตลอดนั้น ต่างคนต่างก็เปิดใจเล่าเรื่องส่วนตัวให้กับอีกฝ่ายฟังมาตลอด เปาโลนั้นไม่เคยถือสาเรื่องที่จันทร์แรมมีลูกแล้วทั้งยังบอกว่ารักและแคร์เพียงเธอคนเดียวเปาโลไม่เคยปกปิดฐานะที่แท้จริงของตนเอง บอกเสมอว่าไม่ได้เป็นคนร่ำรวยอะไร แต่ก็มีที่ดินผืนเล็กๆอยู่แปลงหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากหาดโคปาคาบานานัก สามารถเปิดร้านอาหารเล็กๆขึ้นมาได้อย่างสบาย หากจันทร์แรมรับปากจะว่าไปเริ่มต้นใช้ชีวิตคู่กับเขาอีกครั้งที่รีโอเดอจาเนโร

                ความรักความเอาใจใส่ ความขยัน หนักเอาเบาสู้ของเปาโลนั้นทำให้จันทร์แรมต้องคิดหนัก ผู้หญิงที่สามีมาด่วนจากไปทั้งยังต้องหาเลี้ยงลูกตัวคนเดียวนั้น พอมีใครสักคนเดินเข้ามาในชีวิตก็ทำให้จิตใจคล้อยตามไปอย่างง่ายดาย ประกอบกับคำพูดหว่านล้อมของเปาโลที่ว่าหากเปิดร้านอาหารที่ริมหาดโคปาคาบานา จะมีรายได้ดีกว่าที่เป็นอยู่นี้หลายเท่า สามารถหาค่าเลี้ยงดูส่งกลับมาให้ลูกสาวของเธอได้เติบโตขึ้นมาอย่างสุขสบาย คำพูดจี้ใจนั้นทำให้จันทร์แรมตัดสินใจใช้ชีวิตคู่ร่วมกับเปาโล ทั้งสองกลับมายังกรุงเทพเพื่อบอกกล่าวกับราตรี ผู้เป็นพี่สาวและยังได้ฝากฝังมนตร์ลดา ลูกสาววัยห้าขวบไว้ให้ราตรีดูแล

                สองปีต่อมาจันทร์แรมส่งข่าวกลับมาบอกพี่สาวว่าตนเองคลอดลูกชายอีกคนแล้วและอยากจะรับมนตร์ลดามาเลี้ยงดูเอง แต่ราตรีนั้นผูกพันธ์กับมนตร์ลดาเป็นอย่างมากทั้งยังมองสายตาของน้องเขยออกตั้งแต่แรกแล้วว่า รักเพียงแค่น้องสาวของตัวเองเท่านั้น หากปล่อยให้มนตร์ลดาไปอยู่ด้วยอาจจะเกิดปัญหาร้ายๆขึ้นมา ตามที่เป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ไม่เว้นแต่ละวันจึงบอกกับจันทร์แรมว่า อยากให้มนตร์ลดาเรียนหนังสืออยู่ที่เมืองไทยให้จบปริญญาตรีเสียก่อน แล้วจะให้มนตร์ลดาเป็นคนเลือกเอาเองว่าจะใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองไทยหรือจะย้ายไปอยู่กับผู้เป็นแม่ที่ประเทศบราซิล จากนั้นมามนตร์ลดาจึงเติบโตขึ้นมาอย่างเด็กมีคุณภาพเพราะได้รับการอบรมสั่งสอนอย่างดีจากผู้เป็นป้า ซึ่งมีอาชีพเป็นแม่พิมพ์ของชาติ หญิงสาวติดต่อกับมารดาโดยวิธีการเขียนจดหมายมาตลอดเนื่องจากไม่อยากเปลืองค่าโทรศัพท์ จันทร์แรมเองก็ไม่เคยได้ขาดส่งค่าเลี้ยงดูลูกสาวเลยแม้แต่เดือนเดียว มันยิ่งทำให้คนเป็นลูกรู้ซึ้งว่าต้องทำตัวให้เป็นคนดีเพราะเงินทุกบาททุกสตางค์ที่ตนเองใช้อย่างสบายนั้นแลกมาจากหยาดเหงื่อแรงกายของมารดาที่อยู่ในแดนไกล

 

                มนตร์ลดา กิตติพานิชย์หรือมิ้นต์ หญิงสาวผู้มีวงหน้ารูปไข่ ดวงตาดำขลับ จมูกโด่งรั้นตรงปลายเล็กน้อย รับกับริมฝีปากอิ่มสีเชอร์รี่ ผิวพรรณขาวใสราวกับนมสด รูปร่างระเหิดระหงยิ่งนัก สำเร็จการศึกษาได้เป็นพยาบาลวิชาชีพเต็มตัวในวัยยี่สิบเอ็ดปีเต็ม วันแห่งความภาคภูมิใจของมนตร์ลดานั้นผู้เป็นแม่ไม่ได้บินกลับมาร่วมแสดงความยินดีตามที่สัญญากันไว้ เพราะจันทร์แรมล้มป่วยต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล ด้วยโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง หลังจากนั้นหญิงสาวก็ได้เข้าทำงานในโรงพยาบาลของรัฐแห่งหนึ่งได้หนึ่งปีเต็มก็เป็นอันต้องลาออกเพราะได้ทราบข่าวว่ามารดาล้มป่วยหนักกว่าครั้งก่อน จึงอยากไปดูแลท่านด้วยตนเองทำให้ตัดสินใจกราบลาผู้เป็นป้า เดินทางมารีโอเดอจาเนโรเพื่อดูแลมารดาตามที่ตั้งใจโดยไม่รีรอ

 

                รีโอกรันดีโดซุล รัฐทางตอนใต้ของประเทศบราซิล

                “อาร์ตี้ นี่แกจะไม่ไปดูหน้าผู้หญิงที่เป็นข่าวกับพี่ชายแกหน่อยหรือยังไง ฉันอยากรู้ว่าหล่อนสวยขนาดไหนถึงได้ทำให้พี่ชายแกเรียกหล่อนได้เต็มปากว่าเมีย!” การันก้า โอลีเวย์ร่า คุณปู่วัยแปดสิบปีบ่นว่ามาได้หลายวันแล้ว แต่หลานชายคนเล็กก็ยังยิ้ม... ไม่โต้ตอบออกความคิดเห็นว่าอย่างไร แม้คุณปู่จะนั่งอยู่บนรถเข็นเพราะขาทั้งสองข้างได้รับอุบัติเหตุจากการปะทะกับศัตรูในทางธุรกิจเมื่อหลายสิบปีก่อน แต่ท่านก็ไม่เคยตกข่าวจากเรื่องส่วนตัวของหลานชายทั้งสองเลย

                อเตต้าร์ส่ายหน้าพลางยิ้มหน่ายใจให้คนเป็นปู่ “เฟลิกซ์โตจนหมาเลียก้นไม่ถึงแล้วนะ ปู่จะห่วงไปทำไม หรือไม่ก็น่าจะให้ไอ้คนที่มันเป็นสายสืบที่รีโอเดอจาเนโรส่งรูปของเธอมาให้ล่ะ”

                ชายชราหรี่ตามองหลานชายคนรอง เบื่อที่มันรู้ทันไปทุกเรื่อง! ความจริงไม่ได้ห่วงหลานชายสักนิดแต่อยากเห็นหน้าหลานสะใภ้มากกว่า “ฉันก็ไม่ได้ว่าจะบังคับใจแกซักหน่อย ไม่อยากไปก็ไม่ต้องไปสิวะ!” คุณปู่ว่าพลางยื่นมือออกไปรับแก้วน้ำและยาหลังอาหารเย็นที่พยาบาลประจำตัวเอามาให้ พร้อมกินยาสองสามเม็ดเข้าไปทันที

                “คุณท่านจะเข้านอนเลยไหมคะ?” พยาบาลวัยกลางคนเอ่ยถาม

                “ยังหรอก เธอช่วยไปบอกแม่บ้านตั้งโต๊ะให้อาร์ตี้หน่อยแล้วกัน ส่วนตัวเธอก็ไปพักผ่อนได้” คุณปู่การันก้าสั่ง พลางหันมามองหลานชาย “ถ้าแกไม่ว่างเดี๋ยวปู่จะไปเยี่ยมพี่แกที่รีโอเดอจาเนโรเองก็ได้”

                “แล้วปู่จะไปเมื่อไหร่?” อเตต้าร์ทิ้งตัวลงบนเก้าอี้โต๊ะอาหารไม่เบานัก มือหยาบใหญ่ก็ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตลงมาสองสามเม็ด เผยให้เห็นแผงอกแกร่งของชายชาตรี ขณะเดียวกันก็วาดขาแข็งแกร่งพาดกับเก้าอี้นั่งตัวตรงกันข้ามอย่างสบายเกินเหตุ!

                คุณปู่ส่ายหน้าให้กับความเถื่อน ไร้มารยาทของหลานชายคนรอง สมแล้วที่อเตต้าร์ดูแลกิจการไวน์ในท้องทุ่งอันกว้างใหญ่แห่งนี้ ตาสีเขียวมรกต ริมฝีปากบางเฉียบรับกับโครงหน้าคร้ามคม มีเคราครึ้มขึ้นอยู่ทั่วแนวสันคาง ผมสกินเฮด ผิวสีแทนกรำแดดอย่างชายชาตรีนั้นตัดกับต่างหูเพชรเม็ดงามที่อยู่บนติ่งหูซ้ายข้างเดียวอย่างยิ่ง ส่งผลให้อเตต้าร์ดูเป็นบุรุษจอมเถื่อนแดนอะเมซอนมากขึ้นไปอีก บุคลิกแตกต่างกับฟาเบียโน่หลานชายคนโตที่ดูแลกิจการเพชรและทองคำที่อยู่รีโอเดอจาเนโรยิ่งนัก

                “ก็กะว่าจะไปอาทิตย์หน้านี่แหละ แต่ในช่วงที่ปู่ไม่อยู่ที่นี่แกคงต้องต้อนรับมิเชลด้วยนะเพราะเธอเพิ่งโทรฯมาเมื่อหัวค่ำนี้เอง ว่าจะมาพักที่บ้านเราสักวันสองวัน”

                คำพูดของคุณปู่ทำให้หลานชายที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาลำเลียงอาหารลงท้อง สำลักพรวดออกมาทันที ตามด้วยเสียงไอแค่กๆ “ปู่ว่าใครจะมาบ้านเรานะ??” อเตต้าร์ถามเสียงสูงพลางดื่มน้ำสะอาดบรรเทาอาการสำลักอาหาร

                “มิเชล! เห็นว่าจะมาชิมไวน์ของเราที่จะเปิดตัวใหม่ จะพาเพื่อนมาอีกหลายคน ยังบอกปู่ด้วยว่าถ้ารสชาติดีเธอจะวางขายในซุปเปอร์มาร์เก็ตของเธอด้วย มิเชลนี่จิตใจดีจริงๆ” คุณปู่การันก้าพูดชื่นชมหญิงอเมริกันทรงโต ผมบลอนด์ หุ่นอวบอัดยังกับหลุดออกมาจากหนังสือเอ็กซ์! เธอคือลูกสาวเจ้าของซูปเปอร์มาร์เก็ตดังหลายสาขาในอเมริกา รู้จักมักคุ้นกับอเตต้าร์ตั้งแต่ตอนที่ชายหนุ่มเรียนอยู่อเมริกา คบกัน รักๆเลิกๆตามประสาวัยรุ่นทั่วไป แต่ฝ่ายหญิงกลับไม่ยอมหยุดความสัมพันธ์จนอเตต้าร์กลับมาบริหารไร่องุ่นและโรงบ่มไวน์อย่างเต็มตัว ความสัมพันธ์ของทั้งคู่จึงได้ห่างเหินกันไปโดยปริยาย

                มิเชลก้าวเข้ามาทำธุรกิจของครอบครัวจึงทำให้มีเรื่องต้องติดต่อกับอเตต้าร์บ่อยครั้ง มันเป็นวิธีที่เธอใช้โหมกระพือถ่านไฟเก่าให้มันคุกรุ่นขึ้นอีกครั้งโดยที่อเตต้าร์ไม่อาจปฏิเสธได้เลย

                “ล้อผมเล่นรึเปล่า!? ขวดบรรจุไวน์เป็นแบบไหน ผมยังไม่รู้ไม่เห็นด้วยซ้ำ!! แล้วเธอจะมาชิมไวน์เสียแล้ว อะไรจะมาจมูกดีขนาดนั้น หรือว่าปู่เป็นคนบอกเธอเอง?” อเตต้าร์ถามพร้อมมองสีหน้าของคุณปู่อย่างไม่ไว้ใจ!

                “อย่าลืมสิว่า เซฮา เดอ ชาโต กระดิกตัวทำอะไรนิดอะไรหน่อยก็เป็นข่าวไปทั่ว” การันก้า เอ่ยถึงเซฮา เดอ ชาโต ซึ่งเป็นแบรนด์ไวน์ของตระกูลโอลีเวย์ร่าที่ออกสู่สายตาคนทั่วโลก คำว่า ‘เซฮา’ นั้นมาจาก เซฮา กาอูชา เป็นชื่อของเทือกเขาที่โด่งดังที่สุด มีไร่องุ่นหลายพันเอเคอร์ปลูกอยู่เต็มไปหมด การันก้าซื้อที่ดินอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ไว้ตั้งแต่เมื่อราวสี่สิบปีที่แล้วที่ที่ดินยังไม่มีราคาเท่าไหร่นัก เพราะอยากหลบหลีกความวุ่นวายของผู้คนในเมืองมาใช้ชีวิตอยู่ในท้องทุ่งอันเขียวขจี

                “จริงสิ! ผมถึงต้องปวดหัวตามล้างตามเช็ดไอ้พวกระยำนั่นไม่จบซักที” อเตต้าร์จัดการอาหารตรงหน้าต่อพลางพูดถึงเรื่องที่ต้องตามจัดการพวกก่อกวนที่ไม่รู้แน่ชัดว่าพวกมันเป็นกลุ่มไหน บังอาจเข้ามาก่อความวุ่นวายวางเพลิงเผาไร่องุ่นที่กำลังออกผลผลิต ทำให้เขาต้องสูญเสียผลผลิตไปไม่น้อย ที่สำคัญยังไม่สามารถจับพวกมันมารับโทษได้! แน่ล่ะว่าหากจอมเถื่อนอย่างอเตต้าร์จับพวกมันได้ คงไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามันพวกมันคงไม่มีลมหายใจอยู่บนโลกกลมๆใบนี้แน่!!

                “ช่างเถอะน่า... เล็กๆน้อยๆก็ปล่อยพวกมันไปเถอะ” คุณปู่มองหลานชายที่เริ่มหน้าเครียดขึ้นมาในทันทีเมื่อคิดถึงเรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้นไม่กี่วันมานี้ ทั้งยังรู้ว่าคนอย่างอเตต้าร์นิสัยดุดันเพียงใด ตาต่อตา ฟันต่อฟัน เป็นรีแอ็คชั่นที่อเตต้าร์มีต่อคนทั่วไปอยู่แล้ว และนิสัยนั้นในตัวของหลานชายถอดแบบออกมาจากตนเองทั้งหมด “ว่าแต่เมื่อไหร่จะจัดงานเปิดตัวไวน์ตัวใหม่ล่ะ?”

                “ใจผมอยากเปิดตัววันนี้วันพรุ่งนี้เลยล่ะครับ แต่ยังไงทุกอย่างก็ต้องเป็นไปตามขั้นตอนของมัน อีกอย่างผมไม่อยากให้มิเชลมาเลยถ้าเธอจะมาด้วยเหตุที่ว่าจะมาชิมไวน์เนี่ย มันเท่ากับเป็นการประกาศให้ทุกคนรู้กลายๆว่าเราจะให้เธอเป็นตัวแทนจัดจำหน่าย ทั้งที่ความจริงแล้วมันไม่ใช่” พูดมาถึงตรงนี้หนุ่มมาดเถื่อนสบตากับคุณปู่ราวกับกำลังตัดสินใจอะไรบางอย่าง “ผมจะไปหาเฟลิกซ์เอง จะไปสืบทุกอย่างที่ปู่อยากรู้มาให้ละเอียดทุกเม็ด แต่ปู่ต้องหาทางขัดขวางไม่ให้มิเชลมาที่นี่จนกว่าผมจะมีบัตรเชิญไปให้เธอพร้อมกับแขกทุกคนในวันเปิดตัวไวน์ของเรา โอเคม่ะ??”

                “อืม... ไม่รู้ว่ามิเชลจะเชื่อคำพูดของไอ้แก่อย่างฉันรึเปล่า เฮ้อ...” คุณปู่ทำท่าคิดหนักทั้งที่ในใจโห่ร้องด้วยความยินดีแล้ว ก็จะอยากเดินทางไปไหนมาไหนให้ลำบากคนอื่นทำไม ในเมื่อพิการเดินไม่ได้นั่งอยู่บนรถเข็นแบบนี้!!

                “ทุกสิ่งทุกอย่างที่ปู่อยากรู้ ผมจะถ่ายภาพกับสะใภ้ใหญ่ของปู่มาหลายๆภาพเลย” อเตต้าร์เคลื่อนตัวรวดเร็วเหลือเชื่อมาคุกเข่าเกาะอยู่ที่ข้างรถเข็นทันที พร้อมทั้งเลิกคิ้วหนาอย่างรอคอยคำตอบ

                “ฉันอยากรู้ว่าสองคนนั่นจะมีเจ้าตัวเล็กกันหรือยัง? ฉันอยากอุ้มเหลนนะ” คนเป็นปู่ว่าพร้อมยังทำหน้าตาสลดน่าสงสาร เล่นเอาอเตต้าร์ขำก๊าก...

                “โธ่!... นั่นมันเรื่องบนเตียงของเขาผมจะขอเข้าไปดูเขาสองคนทำลูกกันได้ยังไงเล่า ปู่ก็?!”

                “แต่สายฉันรายงานมาว่า เฟลิกซ์เรียกผู้หญิงคนนั้นเต็มปากว่าเมีย จดทะเบียนสมรสกันแล้วด้วย”

                “โอเคๆ เอาเป็นว่าอาทิตย์หน้าผมจะไปรีโอเดอจาเนโร ไปถามเฟลิกซ์ให้มันรู้ดำรู้แดงกันไปเลย พอใจรึยังครับ?”

                คุณปู่การันก้าพยักหน้ารับทั้งอมยิ้มเมื่อได้ทุกอย่างสมใจ ไม่โต้แย้งใดๆ เมื่อหลานชายเป็นคนบังคับเข็นรถไฟฟ้าจากห้องอาหารไปส่งถึงเตียงนอน

               

                อเตต้าร์ เมนดิส โดส ซานโตส โอลีเวย์ร่าหรืออาร์ตี้ บุรุษร่างสูงใหญ่วัยสามสิบสามปีเต็ม ทายาทอันดับสองของตระกูลโอลีเวย์ร่าผู้มั่งคั่งที่สุดในแถบละตินอเมริกา อเตต้าร์ชายผู้มีบุคลิกดิบเถื่อนเหมาะที่จะอยู่กับท้องทุ่งกว้าง ไร่องุ่นและไร่กาแฟกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาของโอลีเวย์ร่าทั้งหมดล้วนอยู่ในความดูแลของจอมเถื่อนผู้นี้ หากองุ่นทุกเม็ดกลับแปรเปลี่ยนเป็นน้ำหมักชั้นเลิศที่คนทั่วไปเรียกกันว่า ‘ไวน์’ เครื่องดื่มแบรนด์ เซฮา เดอ ชาโต ที่คนในสังคมชั้นสูงต่างก็กล่าวขานถึงรสชาติอันล้ำเลิศราวกับน้ำทิพย์จากสรวงสวรรค์!! อเตต้าร์คือผู้ที่ทำให้มูลค่าของมันต่อขวดให้มีราคาแสนแพงที่สุดในโลก ส่งผลให้ธุรกิจของตระกูลที่รับช่วงมาในรุ่นที่สามนั้นเจริญเติบโตอย่างมั่นคง มั่งคั่งเป็นอย่างยิ่ง

                อเตต้าร์จบการศึกษาปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกา ชายหนุ่มเลือกที่จะเรียนในอเมริกาแทนที่จะเดินตามรอยของพี่ชายที่เรียนอยู่อังกฤษก่อนหน้าแล้ว ด้วยเหตุผลที่ว่าเขาเป็นคนง่ายๆ สบายๆ ทั้งออกจะเกเรนักหากเทียบกับพี่ชาย มันคงเป็นการดีกว่าที่จะต้องไปอยู่ในเมืองที่ได้ชื่อว่าผู้ดีอังกฤษ คนที่ไม่เคยรู้จักอเตต้าร์มาก่อนอาจจะมองว่าเขามันพวกกุ๊ยดีๆนี่เอง ชายหนุ่มชอบใส่เสื้อยืดกางเกงยีนส์ใช้ชีวิตในต่างแดนอย่างวัยรุ่นอเมริกันทั่วไป หลังเลิกเรียนก็รับไปจ้างเสิร์ฟอาหารหารายได้พิเศษ ไอ้เรื่องชกต่อยนั้นมีแทบไม่เว้นแต่ละวันแต่มีสิ่งเดียวที่จะมีเหนือกว่าคนทั่วไปก็คือรถสปอร์ตสุดหรู!!

                มันน่าหมั่นไส้นักล่ะสำหรับเพื่อนนักศึกษาที่เขม่นกันเอง เมื่อหลังเลิกงานเป็นเด็กเสิร์ฟหรือหลังจากชกต่อยกันรู้แพ้รู้ชนะแล้ว ไอ้หน้าหล่อนี่มันจะกระโดดขึ้นรถสปอร์ตราคาแพงหูฉี่กลับอพาร์ตเมนต์หน้าตาเฉย!! สิ่งที่ตามไอ้รูปหล่อคนนี้เป็นพรวนอีกอย่างก็คือสาวๆ ไม่ว่าจะเป็นสาวอเมริกัน ดารา นางแบบเป็นต้องเสร็จเขาทุกราย ก็อย่างว่าล่ะ... ใครไม่ชอบคนรวย ทั้งหล่อเถื่อนกระชากใจทั้งรวยไม่ลืมหูลืมตา แล้วจะมีผู้หญิงที่ไหนบ้างไม่ชอบ!??

                อเตต้าร์สามารถเรียนจบด้านบริหารธุรกิจภายในเวลาสี่ปีตามกำหนด สิ่งที่ทำให้คุณปู่การันก้าแปลกใจก็คือหลังจากที่หลานชายจอมเกเรเรียนจบ ก็เดินทางกลับมารับช่วงทำธุรกิจต่อจากตนเองทันทีโดยที่ไม่มีมีการออกคำสั่งบังคับอย่างที่คุณปู่คิดเอาไว้ในใจ อเตต้าร์เลือกที่จะดูแลไร่องุ่นและไร่กาแฟ แล้วให้ฟาเบียโน่ผู้เป็นพี่ชายดูแลเหมืองเพชรและเหมืองทองคำ การันก้าจึงสามารถวางมือจากธุรกิจแล้วออกมาคอยมองดูอยู่ข้างหลัง เลือกใช้ชีวิตสงบกับหลานชายคนรองที่รีโอกรันดีโดซุล รัฐทางตอนใต้ของประเทศบราซิล โดยได้สร้างคฤหาสน์หลังมโหฬารตามสไตล์ฝรั่งเศสให้เห็นเด่นเป็นสง่าบนภูเขาที่โอบล้อมไปด้วยไร่องุ่นเขียวขจี

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา