เมียบำเรอครึ่งคืน

-

เขียนโดย ศิริพารา

วันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 เวลา 21.53 น.

  11 ตอน
  3 วิจารณ์
  17.23K อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

9) เมียบำเรอครึ่งคืน ตอนที่ 9 100%

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
ปริ๊น... ปริ๊น...
เสียงแตรที่ดังขึ้นทำให้กันตาภาหันกลับไปมองด้านหลัง ในขณะที่เดินอีกไม่กี่ก้าวจะถึงสถานีรถไฟใต้ดิน รถสปอร์ตเปิดประทุนสีเหลืองบาดใจมาพร้อมกับคนขับหน้าตาหล่อเหลา หากแต่เขาเป็นผู้ชายหล่อที่ไม่น่าเข้าใกล้ควรอยู่ให้ห่างมากที่สุด!
“ส้มโอ... ขึ้นมาเร็ว” เวทิศบอกเมื่อเทียบรถยนต์เข้าจอดริมฟุตบาท
“ไม่ ฉันไปทำงานเองได้” พูดจบก็รีบเดินหนีเพราะไม่ชอบใจที่เห็นสายตาหลายคู่จ้องมองมาราวกับตนเป็นของเล่นของพวกเศรษฐี หากแรงรั้งที่ต้นแขนทำให้กันตาภาและดึงออกมาให้พ้นจากบันไดทางลงไปยังสถานีรถไฟใต้ดิน
“บอกว่าให้ไปขึ้นรถ จะไปทำงานไม่ใช่เหรอ ไปด้วยกันสิ จะไปเสียเวลานั่งรถไฟให้ลำบากทำไม” เวทิศพูดพลางหันไปมองรถยนต์ที่จอดสตาร์ทเครื่องไว้อยู่เป็นระยะๆ
“ก็บอกว่าจะไปเอง” พูดได้เพียงเท่านั้น กันตาภาก็ต้องเดินไปตามแรงดึงของผู้ชายที่ตัวโตกว่า แรงเยอะกว่าและไม่มีท่าทีว่าจะสู้แรงเขาได้แม้แต่น้อย “เอ๊ะ! ทำไมพูดไม่รู้เรื่องนะ ฉันบอกว่า...”
“เงียบ” เวทิศสั่งด้วยน้ำเสียงดุ หลังจากที่กดเธอให้นั่งในรถยนต์เรียบร้อยแล้วจึงเดินอ้อมไปอีกฝั่งพลางสอดตัวเข้ามานั่งเคียงคู่กับคนหน้าบึ้ง “กินข้าวเช้ารึยัง?”
“ลากฉันขึ้นมาทำไม พูดไม่เข้าใจหรือไงว่าต่อไปนี้ไม่ต้องมายุ่งเกี่ยว ไม่ต้องมาเจอหน้ากันอีก” กันตาภาไม่ได้ตอบคำถาม หากเบี่ยงตัวถามคนที่กำลังบังคับรถยนต์ให้เคลื่อนตัวอยู่บนถนนด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจเอามากๆ
“แสดงว่ายังไม่กิน งั้นเราแวะปั๊มน้ำมันก่อนแล้วกัน ในปั๊มมีร้านอาหารหลายร้าน ให้เธอเป็นคนเลือกแล้วกันว่าจะทานร้านไหน” เวทิศไม่ได้ตอบคำถามของเธอเช่นกัน
กันตาภาเหลืออดกับท่าทางของผู้ชายตรงหน้านัก เขาช่างไม่รับรู้ในสิ่งที่เธอสื่อสารหรือต้องการเอาเสียเลย “ดี... จอดปั๊มข้างหน้าแล้วแยกกันตรงนั้นเลย”
“แยกกันได้ก็ตามกลับมาได้” พูดจบก็ตีคิ้วใส่ดวงตากลมโตอย่างกวนอารมณ์
“แล้วจะเอายังไง?” กันตาภาระงับสติอารมณ์ พยายามถามอย่างใจเย็น
“จะกินข้าว หิว”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉัน คุณหิวก็ไปกินคนเดียวสิ จะมาลากฉันไปด้วยทำไม”
“เพราะเธอต้องกินยาจึงจำเป็นต้องกินข้าวก่อน รับรองว่าถ้าเธอหายดีเป็นปกติทุกอย่าง ฉันจะไม่มาให้เห็นหน้าเลย” เวทิศพูดพลางเลี้ยวรถเข้าไปจอดในปั๊มน้ำมันขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ซึ่งมีร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดทั้งไทยและต่างประเทศให้เลือกมากมาย
“หึ! คงจะกลัวความผิดมากสินะถึงได้มาทำดีกับฉันอย่างนี้ สบายใจได้เรื่องที่เกิดขึ้นฉันไม่คิดจะบอกพี่น้องหรอก” กันตาภาเอ๊ย... เขาไม่ได้เป็นห่วงอะไรเธอนักหนาหรอกก็แค่กลัวว่าพี่น้องของเธอจะมาเล่นงานเท่านั้นหรอก
เวทิศส่ายหน้าให้กับคำพูดไม่เพียงเห็นว่าเขาเป็นไอ้หื่นกาม แต่ตอนนี้ยังเป็นไอ้คนขี้ขลาด กลัวความผิดที่ตัวเองทำไว้อีกด้วย แต่ก็ขี้คร้านจะต่อความยาวสาวความยืดกับเธอ หากจะพูดออกไปตรงๆอย่างที่ใจคิด เดี๋ยวเธอจะรับไม่ได้ ร้องไห้ฟูมฟาย ใช่ว่าเขาจะชอบน้ำตาของเธอเสียเมื่อไหร่ เห็นมันทีไรปวดใจชะมัด
“อือ... รู้อย่างนี้ก็รีบหายไวๆ แต่ระหว่างที่ยังไม่หายดีก็ทนเหม็นหน้าฉันไปก่อนแล้วกัน” เวทิศบอกพลางดับเครื่องยนต์แล้วหันไปกระตุ้นผู้หญิงหน้าบึ้งที่ยังนั่งนิ่งเช่นเดิม “เร็วๆเข้า เลือกสักร้าน ฉันหิว”
“ชิ! ไอ้โรคจิต” กันตาภาว่าอย่างไม่เต็มเสียง แต่ก็มั่นใจว่าเขาได้ยินอย่างชัดเจนแล้วเปิดประตูเดินสะบัดนำหน้าไปทันที ทิ้งให้เวทิศมองตามด้วยความเจ็บใจ
“นี่! สะบัดเบาๆหน่อยนะแม่คุณ เดี๋ยวได้คอเคล็ดหรอก”
กันตาภาไม่สนใจกับเสียงดุที่ดังไล่หลังมานั่น เธอรีบเดินเข้ามาในร้านอาหารไทยที่มีสาขาอยู่มากมายทั้งในห้างสรรพสินค้าและปั๊มขนาดใหญ่ ไม่นานนักเวทิศก็เดินตามเข้ามานั่งลงบนเก้าอี้ตัวตรงกันข้าม ต่างคนต่างสั่งอาหารสำหรับตัวเอง ระหว่างรออาหารก็ไม่พูดไม่จากันสักคำ
ความจริงแล้วเวทิศก็อยากจะพูดคุยกับเธอ มีปฏิสัณฐานกันบ้างตามประสาคนนั่งร่วมโต๊ะอาหารกัน แต่ดูท่าทางเธอแล้วคงไม่ยอมญาติดีด้วยง่ายๆ จึงคิดว่าคอยสังเกตพฤติกรรมเธอไปเงียบๆดีกว่าที่ต้องทะเลาะเบาะแว้งกันอีก
 
ราวชั่วโมงต่อมา ก่อนที่รถสปอร์ตสุดหรูของเวทิศจะเคลื่อนตัวมาถึงหน้าบริษัท จู่ๆกันตาภาก็สั่งให้เขาจอดรถตรงป้ายรถเมล์ ซึ่งอยู่ห่างจากทางเข้าบริษัทราวสามร้อยเมตร
“จอด ฉันจะลงตรงนี้”
“ทำไมต้องลงตรงนี้” เวทิศถามอย่างแปลกใจ ก็อดทนนั่งด้วยกันมาตั้งนาน อีกไม่กี่อึดใจก็ถึงที่หมายแล้ว
“เพราะฉันอายที่ต้องเข้าบริษัทไปพร้อมคุณ ไม่อยากต้องเป็นขี้ปากชาวบ้าน เข้าใจไหม” กันตาภากระแทกเสียงตอบและมันได้ผล เมื่อรถยนต์สีบาดใจเบรกกะทันหันจนตัวโก่ง นี่ถ้าไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัยเนื้อตัวคงได้บาดแผลอีกเป็นแน่
เวทิศบดกรามเป็นสันนูน เมื่อเห็นว่าเธอก้าวลงจากรถเรียบร้อยก็เหยียบคันเร่ง บึ่งออกไปด้วยอารมณ์โกรธ...
ไม่เข้าใจว่าตัวเองต่ำต้อยด้อยค่าตรงไหน เธอถึงได้อับอายนักยามที่อยู่ด้วยกัน เธอเป็นผู้หญิงคนแรกที่ไม่เคยพะเน้าพะนอเขาอย่างเช่นผู้หญิงทุกคน เป็นผู้หญิงคนแรกที่ออกปากไล่เขาแทบจะทุกนาที และไม่เคยเอ่ยปากขอบคุณในสิ่งดีๆที่เขาตั้งใจทำให้เธอเลยสักครั้ง
เป็นอีกวันหนึ่งที่เธอทำให้อารมณ์อันเบิกบานของเขาต้องมัวหม่น เวทิศจอดรถยนต์แล้วเดินเข้ามาในบริษัทด้วยหน้าตาบึ้งตึงจนพนักงานหลายคนไม่กล้ามองหน้า ใครก็รู้ว่าเวลาท่านรองประธานโกรธต้องแก้ไขที่สาเหตุหรือตัวต้นเหตุของความโกรธเท่านั้น อารมณ์ของท่านจึงจะเบาบางลงได้
ปัง!...
เสียงประตูห้องทำงานของรองประธานดังอย่างแรงนั่นเกิดจากเจ้าผู้เป็นเจ้าของห้อง ซึ่งทำให้พนักงาน เลขานุการหน้าห้องมองหน้ากันเลิ่กลั่ก เพราะไม่รู้ว่าทำไมหมู่นี้เจ้านายของตนถึงอารมณ์ไม่อยู่กับร่องกับรอยนัก
“ใครทำให้คุณกายอารมณ์เสียแต่เช้าเลย เมื่อวานนี้ยังดีๆอยู่ไม่ใช่เหรอคะ?” ผู้ช่วยเลขานุการชายใจหญิงถามขึ้น ยังจำน้ำเสียงของเจ้านายในช่วงบ่ายที่ท่านสั่งงานทางโทรศัพท์ได้ดีว่านุ่ม ทุ้มน่าฟังแค่ไหน เดาได้ไม่ยากว่าท่านคงอารมณ์ดีสุดๆ แต่ทำไมตอนนี้ถึงได้อารมณ์เสียสุดๆทั้งที่เวลาห่างกันเพียงแค่ข้ามคืน
“ถามอะไรตอบยากจัง ฉันจะรู้ไหมเนี่ย ก็นั่งอยู่ด้วยกันตลอด” เลขานุการรุ่นพี่ได้แต่ส่ายหน้าพลางรีบเดินไปเตรียมกาแฟก่อนที่เจ้านายจะโมโหไปมากกว่านี้
สิ่งที่แรกที่เวทิศต้องทำคืออ่านเอกสารในแต่ละแฟ้มที่กองพะเนินอยู่บนโต๊ะให้จบแล้วลงนามรับทราบหรืออนุญาตซึ่งกินเวลาไปเกือบสองชั่วโมง งานแบบนี้สินะที่เขาเบื่อหน่ายนักหนา จากนั้นจึงหยิบเอาเอกสารต่างๆที่ส่งถึงตนโดยตรง ซึ่งเลขานุการหน้าห้องจะทำการเปิดผนึกจดหมายเหล่านี้เสียก่อน หากไม่มีอะไรสำคัญก็จะคัดแยกออกไปไม่ต้องเอาเรื่องเล็กน้อยเข้ามาให้เสียเวลา
เวทิศขมวดคิ้วมุ่นเมื่อเห็นแผ่นดิสก์ซึ่งซึ่งเขียนไว้ว่า “ลับเฉพาะเวทิศ” ซึ่งเป็นลายมือหวัดๆไม่คุ้นตา จึงนำแผ่นดิสก์นั้นใส่ในเครื่องคอมพิวเตอร์
เพียงแค่โปรแกรมเริ่มทำงานภาพเปลือยล่อนจ้อนของตัวเองแล้วกระโจนเข้าไปกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันตาภาก็ปรากฏขึ้นบนหน้าจออย่างชัดเจน มันเป็นภาพในโรงแรมเมื่อวันที่เกิดเรื่อง ไม่ต้องดูต่อจนจบก็รู้ว่าจากนี้มันมีแต่เขาและเธอที่กลายเป็นพระนางแสดงกันสองต่อสอง
“ไอ้ระยำ รับรองว่าแกไม่ตายดีแน่” เวทิศสบถออกมาด้วยความโกรธ รู้ได้ทันทีว่ามันคงติดต่อกลับมาเพื่อเรียกเงินในเร็ววัน เขาน่ะไม่เป็นไรหรอก แต่เธอน่ะสิจะรับได้ยังไง จะใช้ชีวิตอยู่ต่อไปได้ยังไง
ไวเท่าความคิดนิ้วมือเรียวยาวของเขาก็กดปุ่มอินเตอร์คอม สั่งการเลขนุการหน้าห้อง “เชิญคุณกันตาภามาพบฉันด่วน”
เวทิศใช้เม้าท์กดลัดเวลาในวิดีโอไปเรื่อยๆและรู้ได้ว่ามันได้ทำการตัดต่อเอามาเฉพาะในตอนที่กำลังร่วมรักกันเท่านั้น!
 
ห้องทำงานฝ่ายการตลาด
ผู้ช่วยเลขานุการชายใจหญิงวิ่งกระหืดกระหอบไปหยุดตรงหน้าโต๊ะทำงานของกันตาภา “คุณกันตาภาคะ ท่านรองประธานให้พบที่ห้องด่วนค่ะ”
เสียงห้าวที่พยายามบีบให้เล็กลงเลียนเสียงผู้หญิงดังขึ้นไม่เบานัก ทำให้หลายคนจ้องมองมายังเธอด้วยความสนใจ กันตาภาจึงทำได้เพียงแค่พยักหน้ารับเท่านั้น “ค่ะ ขอบคุณมากๆนะคะ”
“ด่วนเลยนะคะ ท่านอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่” ย้ำอีกครั้ง
“ค่ะ เดี๋ยวดิฉันจะตามไปค่ะ” กันตาภาตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบพลางยิ้มให้เธออย่างเป็นมิตร
ผู้ช่วยเลขานุการถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เมื่อได้ยินเสียงหวานรับคำอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะแล้วจึงเดินออกมาจากฝ่ายการตลาดด้วยคิดว่าเธอคงจะตามมาติดๆ
รุจิราเงยหน้าขึ้นจากเอกสารและมองเพื่อนร่วมงานอย่างแปลกใจ เมื่อเวลาผ่านไปได้ระยะหนึ่งแล้วกันตาภายังนั่งทำงานเช่นเดิม
“ส้มโอ เธอไม่ไปพบท่านรองเหรอ?” รุจิราขยับเข้ามาถามเบาๆให้พอได้ยินกันสองคน
“ก็บอกว่าเดี๋ยวไปไง” พูดจบก็มองนาฬิกาซึ่งใกล้ถึงเวลาพักเที่ยงเต็มที จึงเอ่ยปากชวนรุจิราไปรับประทานอาหาร “เดี๋ยววันนี้เราไปทานบะหมี่ฝั่งตรงข้ามกันนะ ฉันอยากทานเกี๊ยวกุ้ง หิวแล้วด้วย”
ความจริงแล้วไม่ได้หิวมากมายนักแต่ไม่อยากให้รุจิราซักไซ้ไล่เลียงต่อเท่านั้นเอง
“เออ ไปสิ” รุจิราตอบพลางเก็บของที่อยู่บนโต๊ะทำงานของตน และยิ้มออกมาอย่างดีใจที่คาดการไว้ไม่ผิดว่ากันตาภาจะไปรับประทานอาหารกลางวันที่ร้านบะหมี่ฝั่งตรงกันข้าม ที่เธอนัดแนะกับปราโมทย์ไว้ให้ไปรออยู่ก่อนแล้ว
ปราโมทย์ขอให้เธอเป็นแม่สื่อแม่ชักเพราะอยากคบหารู้ใจกับกันตาภา ซึ่งรุจิราก็ไม่ติดใจเพราะปราโมทย์นั้นก็เป็นคนดี ขยันทำงานคนหนึ่ง
ไม่นานนักทั้งคู่ก็เดินออกจากบริษัทข้ามสะพานลอยไปยังร้านบะหมี่ โดยปล่อยให้คนที่ร้อนใจต้องนั่งคอยเกือบสิบห้านาที
 
เวทิศเดินกลับไปกลับมาด้วยความร้อนใจอยู่คนเดียว หากเวลาที่นานเกินไปทำให้เขานึกขึ้นได้ว่าแม่ตัวดีคงแสดงฤทธิ์เดชเข้าให้แล้ว เธอคงไม่ยอมมาหาง่ายๆหรอกก็ในเมื่อเธอพูดเองว่าไม่ต้องมาเห็นหน้า ไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวกันอีก
ไม่ยุ่งก็ต้องยุ่งแล้วล่ะ ให้เธอมาดูหนังที่ตัวเองแสดงนำก่อนแล้วกัน อยากรู้นักว่าที่ร่ำๆไล่เขาไปให้พ้นเนี่ย ถ้าไปจริงๆใครหน้าไหนมันจะมาช่วยเธอแก้ปัญหานี้วะ! เวทิศคิดในใจพลางเดินออกจากห้องทำงานของตนไปยังฝ่ายการตลาดซึ่งเธอทำงานอยู่ หากต้องข่มอารมณ์โกรธไว้อย่างที่สุด เมื่อเดินมาถึงแล้วพบเพียงความว่างเปล่า
หากไม่ใช่เวลาพักกลางวันเช่นนี้พนักงานหลายคนคงกลัวจนตัวสั่นงันงก เมื่อได้เห็นสีหน้าของเจ้านายที่มีเพียงความร้ายกาจฉาบไว้บนหน้าตาอันหล่อเหลา ร่างกายสูงใหญ่ที่ดูน่าเกรงขามกลับกลายเป็นน่ากลัว เมื่อความฉุนเฉียวแผ่รังสีอยู่รอบตัว เขาต้องเดินกลับมายังห้องทำงานของตนอีกครั้งหนึ่งเพื่อปรึกษากับเพื่อนที่เป็นตำรวจ เพราะตามรูปการณ์แล้วอีกไม่นานรวิคงต้องเรียกร้องของมีค่าสักอย่างเพื่อแลกกับวิดีโอชุดนี้เป็นแน่
 
ในขณะที่อีกคนโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ กันตาภากลับรู้สึกสบายใจมากขึ้น หัวเราะได้บ่อยขึ้น เมื่อได้พูดคุยกับรุจิรา ทั้งยังมีเพื่อนใหม่อย่างปราโมทย์ซึ่งเป็นคนมีอารมณ์ขันที่สุด
หลังจากที่ทุกคนรับประทานอาหารเรียบร้อยแล้วและรอพนักงานนำเงินทอนมาคืนให้ ปราโมทย์ตั้งคำถามขึ้นอีกครั้ง หลังจากที่สองสาวซึ่งนั่งอยู่ตรงกันข้ามตอบคำถามของตนพลาดไปหลายคำถามนัก
“เหรียญบาด(บาท)ไปไหน?” ปราโมทย์ถามและอมยิ้มออกมาอย่างผู้ชายที่กำลังตกหลุมรักผู้หญิงสักคน เมื่อมองหน้าของกันตาภา
“ไปโรงพยาบาล” กันตาภาตอบพลางลุกขึ้นเดินนำหน้าออกมาจากร้านบะหมี่ ซึ่งเป็นเวลาพักกลางวันภายในร้านซึ่งเป็นอาคารพาณิชย์ห้องเดี่ยวจึงคับคั่งไปด้วยลูกค้า
“เออ... จริงด้วย ต้องไปโรงพยาบาล” รุจิราเสริมพลางเดินตามหลังกันตาภาก้าวขึ้นสะพานลอยกลับมายังบริษัท
“ถามมาหลายคำถามเลยถูกจับทางได้ ชักไม่สนุกแล้ว” ปราโมทย์พูดยิ้มๆ ท่าทางมีความสุขของกันตาภาทำให้เขาใจชื้น อยากสานสัมพันธ์ให้ต่อเนื่อง “เลิกงานเราไปกินหมูกระทะกันไหม นั่งรถไฟไปแค่สามสถานีก็ถึงแล้ว ไม่ไกลจากที่ทำงานของเราเท่าไหร่”
“ดีสิ ดีไปใหญ่ถ้านายเลี้ยงเราสองคน” รุจิราตอบ
“ไม่มีปัญหา ตัวเล็กๆแค่นี้จะกินได้สักเท่าไหร่กันเชียว” ปราโมทย์พูดออกมาด้วยน้ำเสียงและใบหน้าดีใจ เร่งความเร็วให้เดินนำหน้าทั้งสองสาวเมื่อเดินใกล้จะถึงหน้าบริษัทเต็มที “ตกลงเลิกงานเย็นนี้เราเจอกันที่หน้าบริษัทนะ”
“ไว้วันหลังได้ไหมคะ เพิ่งฟื้นจากไข้ใหม่ๆ ยังไม่นึกอยากทานเลย” กันตาภาบอก หากสีหน้าที่สลดลงอย่างเห็นได้ชัดของปราโมทย์ก็ทำให้กันตาภาสงสาร “เอาอย่างนี้ดีไหม เย็นวันศุกร์เราค่อยไปทานหมูกระทะกัน จะได้มีเวลานั่งคุยกันนานๆ”
ปราโมทย์เปิดยิ้มกว้างเมื่อได้ยินคำพูดนั้น “จริงๆนะ ส้มโอสัญญาแล้วนะ”
“ค่ะ” กันตาภารับคำพลางเดินเข้ามาบริเวณด้านหน้าของบริษัท โดยไม่รู้ตัวว่าตนเองอยู่ในสายตาของเวทิศอยู่ตั้งแต่เดินพ้นรั้วที่เปิดกว้างตรงทางเข้าบริษัทแล้ว
“ถ้าอย่างนั้นฝากคำถามไว้ให้สองสาวไปช่วยกันคิด ถ้าตอบถูกพรุ่งนี้จะเลี้ยงข้าวเที่ยง”
“อะไร รีบๆถามมาเลย” รุจิรารีบถาม หูผึ่งตั้งแต่ได้ยินว่าจะมีเจ้ามือเลี้ยงอาหารเที่ยง
“ม้าลายนี่สีขาวลายดำ หรือสีดำลายขาว?...” หากยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ สายตาของปราโมทย์ก็ปะทะเข้ากับร่างสูงใหญ่ของเจ้านายที่ยืนหน้าบึ้งจัดอยู่ตรงประตูด้านหน้าบริษัท
กันตาภามองผู้ชายที่อยู่กลางประตูเปิดปิดอัตโนมัติจนพนักงานหลายคนต้องเดินเลี่ยงไปใช้อีกประตู แต่คนวางอำนาจบาตรใหญ่ยังไม่ขยับตัวสักนิด ดูเหมือนว่าเขาจะโกรธจัดที่เธอไม่ไปพบตามคำสั่ง หากไม่เข้าใจว่าการฝ่าฝืนคำสั่งของตนต้องทำให้เขาอารมณ์เสียจนต้องถอดเนกไทและปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตออกหนึ่งเม็ด พันแขนเสื้อขึ้นไว้บริเวณข้อศอก แตกต่างจากที่เห็นเมื่อเช้าโดยสิ้นเชิง
เวทิศไม่พูดพร่ำทำเพลง เดินเข้าไปคว้าข้อมือบางของกันตาภาแล้วกลับเข้าไปในบริษัท เมื่อเธอขืนตัวไว้เขาก็ใช้อีกมือจับที่ข้อศอกแล้วกระซิบด้วยน้ำเสียงดุ “ถ้ามากเรื่องนัก ฉันจะอุ้มพาดบ่าเลย ไม่เชื่อก็ลองดู”
กันตาภากัดริมฝีปากตัวเองเพราะหากเถียงหรือต่อต้านสักน้อย ก็รู้ดีว่าเขาพร้อมทำอย่างที่พูดอีกทั้งสายตาหลายคู่ของพนักงานในบริษัทที่มองมามันทำให้เธออับอาย บางคนมองแล้วหลบตา บางคนมองแล้วหันไปซุบซิบกันราวกับเกิดเรื่องสนุกปากขึ้นแล้ว
“อย่าลากได้ไหม ฉันเจ็บ” กันตาภาบอกเมื่อเขาลากเข้ามาอยู่ในลิฟต์ผู้บริหารแล้วยังไม่ยอมปล่อยมือจากข้อศอกของตน
“ให้คนไปตามตั้งนาน ทำไมไม่มาหาฉัน” เวทิศถามพลางคลายแรงรัดที่ข้อศอกมนแต่ยังจับเธอไว้อยู่เช่นเดิม
“ก็มาแล้วนี่ไง มีอะไรก็รีบๆพูดมาสิ แล้วปล่อยฉันด้วย ลากฉันมาอย่างนี้เห็นไหมว่าคนมองกันใหญ่ ฉันคงไม่พ้นต้องเป็นขี้ปากชาวบ้าน”
เวทิศแทบจะตะโกนถามเธอว่าเขามีอะไรที่น่าอาย มีอะไรด้อยกว่าผู้ชายคนอื่นตรงไหน เธอถึงได้มองเขาเหมือนตัวเชื้อโรคอย่างนี้ ทั้งที่เมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมายังหัวร่อต่อกระซิกกับผู้ชาย ไม่เห็นจะกลัวเป็นขี้ปากชาวบ้านเลย
“ทำไมทีพูดเรื่องไร้สาระกับไอ้หนุ่มนั่นทำไมไม่เห็นอายใคร ถูกรองประธานของบริษัทจับแขนนี่มันเสียหายนักเหรอ” ถามด้วยน้ำเสียงเอาเรื่อง
“มากเลย...” กันตาภาลากเสียงยาว “รู้อย่างนี้ก็ปล่อยด้วย ถ้าอยากเจอฉันเพราะแค่อยากหาเรื่องทะเลาะแค่นี้”
“รับรองว่าเรื่องที่ฉันจะพูดจะพาไปดูให้เห็นกับตาเนี่ย มันมีสาระกว่าคำถามปัญญาอ่อน ม้าลายนี่สีดำลายขาวหรือสีขาวลายดำก็แล้วกัน”
“อือ... แล้วตอบได้ไหมล่ะว่ามันสีอะไรกันแน่ ถ้าคุณปัญญาแข็งนัก” กันตาภาถาม
“เฮอะ! ฉันต้องเสียเวลาอันมีค่ามาหาคำตอบให้กับมุขจีบสาวห่วยๆพวกนี้ด้วยเหรอ ไม่มีประโยชน์ ไร้สาระสิ้นดี” เวทิศอดประชดออกมาไม่ได้ เขามองปราดเดียวก็รู้ว่าไอ้หมอนั่นมันชอบเธอ กำลังจีบเธอ
“ก็โอเคนะ ถึงเขาจะไร้สาระสิ้นดีแต่ก็ทำให้ฉันยิ้มออก หัวเราะได้ น่าเบื่อน้อยกว่าอยู่ใกล้ๆคนมีสาระก็แล้วกัน” กันตาภาลอยหน้าลอยตาตอบ
“เออ... งั้นต่อไปนี้ชีวิตเธอก็ต้องผูกติดกับคนน่าเบื่ออย่างฉันไปจนกว่าทุกสิ่งอย่างมันจะคลี่คลายนั่นแหละ” จบคำพูดประตูลิฟต์ก็เปิดออก เวทิศจึงพาเธอเดินกึ่งลากกึ่งจูงไปจนถึงห้องทำงานของตัวเองพลางนึกอัศจรรย์ใจว่า... ทำไมเธอถึงได้ต่อปากต่อคำกับเขาอย่างไม่เคยจนแต้ม ทุกประโยคที่เธอตอกกลับมันเหมือนปล่อยหมัดฮุกเข้าตามส่วนต่างๆของร่างกาย ให้จุก มึนงงไปชั่วขณะทุกครั้งไป!

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา