เมียบำเรอครึ่งคืน
11) เมียบำเรอครึ่งคืน ตอนที่ 11 100%
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความหกนาฬิกาของวันต่อมา รวิงัวเงียลุกจากฟูกในห้องเช่าเก่าๆของตนไปยังเปิดประตูด้วยความหงุดหงิดใจ เมื่อมีคนส่งเสียงเรียกและเคาะประตูติดๆกัน
“มีอะไรวะ มาเรียกแต่ไก่ยังไม่โห่อย่างนี้” รวิเปิดประตูออกมาพร้อมถามเพื่อนด้วยน้ำเสียงติดรำคาญ
“มึงไปทำอะไรไว้วะ รู้ไหมว่าเมื่อคืนมีคนมาตามหาที่ผับ”
“ใครวะ?” รวิถามพลางหลีกทางให้เพื่อนเดินเข้ามาในบ้านเช่าของตนเอง
“ท่าทางเหมือนพวกตำรวจนอกเครื่องแบบ แต่ฉันไม่แน่ใจนะ... อาจจะเป็นคนที่แกรู้จักก็ได้” ก้านเดินมานั่งลงบนเก้าอี้ไม้ที่วางไว้ตรงมุมห้องพลางเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้
รวินั่งนิ่งอย่าคนกำลังใช้ความคิด ประกอบกับคำอธิบายของเพื่อนก็ทำให้เดาได้ไม่ยากว่าใครที่มาตามหาตนเมื่อคืนนี้ “พวกมันมากันกี่คน มาถามว่าอะไรบ้าง?”
“ผู้ชายมาด้วยกันสองคน แต่ไม่แน่ใจนะว่าใช่ตำรวจไหม แต่คำถาม เวลาที่ซักไซ้นี่ฉันว่าตำรวจไม่ผิดว่ะ” ก้านอธิบาย
“แล้วแกตอบพวกมันไปว่าไงวะ บอกหรือเปล่าว่าฉันอยู่ที่นี่” รวิถาม
“บ๊ะ! ถ้าปากโป้งบอกไป แล้วแกจะยังเสนอหน้าอยู่ตรงนี้ได้เหรอวะ?”
“แล้วทำไมแกถึงได้คิดว่าพวกมันเป็นตำรวจ?” รวิย้ำถามเพื่อความมั่นใจ
ก้านถอนหายใจหนักๆเพราะตนเองอยู่ในแหล่งชุมชนแออัดมาหลายปี พวกตำรวจที่มาหาเบาะแสเรื่องยาเสพติดหรือคนร้ายที่มักจะมากบดานก็จะใช้คำถามไม่ต่างกันนัก “พวกมันมีรูปแกมาด้วย ถามว่ารู้จักผู้ชายในรูปนี้ไหม พอฉันตอบว่าไม่รู้จัก พวกมันก็มองหน้ากันทำท่าเหมือนไม่เชื่อ พวกมันยังรู้อีกว่าสองวันที่แล้วแกไปทำงานที่ผับ”
“แล้วแกตอบมันว่าไงวะ?” รวิถามอย่างอยากรู้แต่ในใจนั้นโมโหเป็นอย่างมากที่เวทิศเล่นไม่ซื่อ
“ก็ตอบว่าสองวันที่แล้วฉันไม่สบายไม่ได้มาทำงาน น่าจะเป็นเด็กของเสี่ยเล็กที่มาทำงานแทน ถ้าอยากรู้อะไรมากกว่านี้ต้องไปถามเสี่ยเล็กเอาเอง แล้วแกคิดว่าพวกมันจะได้เจอเสี่ยเล็กง่ายๆเหรอวะ?” ก้านอ้างชื่อเจ้าของผับที่ตนทำงานอยู่ออกไป ซึ่งน้อยคนนักจะกล้ามีปัญหากับเสี่ยเล็ก แต่ท่าทางและสีหน้าครุ่นคิดอย่างหนักของเพื่อนทำให้ก้านตัดสินใจถามออกไปตรงๆ “เฮ้ย! แกไปมีปัญหากับใครวะ ถ้ากลิ่นไม่ดีอย่างนี้ฉันว่าแกอยู่ที่นี่ไม่ได้นานหรอก สักพักพวกมันคงตามสืบจนรู้”
“เออ... ขอบใจแกว่ะก้าน แต่เรื่องแค่นี้ฉันจัดการเองได้” รวิบอกพลางสบถออกมาอย่างเจ็บใจ “พวกมึงกล้าลองดีกับกูใช่ไหม”
เมื่อก้านได้ยินเช่นนั้นก็รู้ทันทีว่าเพื่อนกำลังมีปัญหา จึงย้ำถามอีกครั้ง “จัดการยังไงวะ ตัวเองยังเอาไม่รอด งานก็ไม่มีเงินก็ไม่มี ถ้ายังเห็นฉันเป็นเพื่อนก็พูดมาให้หมด ไม่อย่างนั้นแกลำบากกว่านี้แน่”
รวิมองหน้าเพื่อนอย่างละล้าละลังหากเสียงรบเร้าไม่หยุดหย่อนทำให้ตัดสินใจเล่าเรื่องทั้งหมดให้ก้านได้รับรู้
...ก้านกลืนน้ำลายที่ติดอยู่กลางลำคอลงอย่างยากลำบาก ก็ใครบ้างล่ะจะไม่รู้จักสองเสือแห่งกลุ่มวิชิตยนต์ อีกทั้งเรื่องที่เกิดขึ้นยังพัวพันไปถึงอัครรัฐ เจ้าของโรงแรมหลายสาขา พวกเขาคือสามนักธุรกิจจากสองตระกูลใหญ่มีอิทธิพลมากๆ เรื่องที่เกิดขึ้นเหมือนรวิเดินเข้าไปกระตุกหนวดเสือ มันยิ่งซะกว่าการเอาไม้ซีกไปงัดไม้ซุงและก้านก็มองไม่เห็นทางที่รวิจะรอดพ้น แล้วได้เงินห้าสิบล้านบาทไปครอง
“พูดอะไรบ้างสิวะ นั่งเงียบเป็นท่อนไม้อยู่ได้ ไหนว่าจะหาทางช่วยฉัน” รวิถามเมื่อเล่าความเป็นมาทั้งหมดแล้วยังเห็นก้านนั่งอยู่ในอาการตกใจ
“คะ...ใครจะไปรู้ว่าแกกล้าอย่างนั้น” ก้านแทบจะหาเสียงตัวเองไม่เจอ
“แกไม่มาเป็นฉันไม่รู้หรอกว่าการถูกแย่งของรักมันเป็นยังไง พวกมันก็ชั่ว เอาดีใส่ตัวเอาชั่วให้คนอื่น เลวไม่น้อยไปกว่าฉันหรอก แค่พวกมันรวย พวกมันเลยทำผิดก็ไม่ผิด ทำถูกยิ่งกลายเป็นพระเจ้า” รวิระบายความคับแค้นใจออกมา
ก้านถอนหายใจหนักๆ รู้สึกเห็นใจกับชะตากรรมของเพื่อนนัก “แล้วจะทำยังไงต่อไปวะ ถ้าจะสู้เพื่อเรียกเงินกับพวกมันต่อไปก็คงต้องหาที่อยู่ใหม่ ตำรวจมันตามมาใกล้แล้ว ฉันว่าอยู่นี่ไม่ปลอดภัย”
“อย่างมากก็กอดคอกันตาย ถ้าไม่ได้เงินจริงๆ ฉันจะเอาคลิปไปปล่อยในยูทูป เอาให้แม่งมันดังข้ามปีให้พวกมันอับอายจนไม่มีแผ่นดินอยู่” รวิกัดฟันพูด เมื่อหลังชนฝาแล้วก็ต้องสู้ให้ถึงที่สุด
“ทำอย่างนั้นก็ได้แค่ความสะใจ สุดท้ายคนที่ต้องรับกรรมก็คือแก ที่แกทำนี่มันคือกรรโชกทรัพย์ติดคุกหัวโตนะโว้ย...” ก้านเตือนสติเพื่อนทั้งสมองก็ยังคิดหาหนทางที่จะช่วยรวิให้รอดพ้นจากวิกฤตในครั้งนี้ อย่างน้อยถ้ารวิมีเงินสดมากมายเช่นนั้น เขาเองก็น่าจะได้ส่วนแบ่งอยู่บ้างสักเล็กน้อย
แต่... ปัญหามันอยู่ที่ว่าใครจะกล้ามาต่อกรกับเวทิศ วิชิตเมธา!
“ถ้าถึงคราวซวยอย่างนั้นก็ต้องก้มหน้ารับ ดีซะอีก! มีที่ให้ซุกหัวนอน มีข้าวให้กิน” รวิพูดเพราะหากวันนั้นมาถึงก็ต้องยอมรับให้ได้
“ใคร! ใครกันนะที่จะช่วยแกได้ คิดสิวะไอ้ก้าน คิดๆ” ก้านบอกตัวเอง เหมือนกับเห็นหนทางรอดอยู่รำไร “ใช่! ใช่แล้ว เขาต้องช่วยเราได้”
รวิตกใจเมื่อจู่ๆ ก้านก็ตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงดีใจระคนตื่นเต้น “ใคร อะไรของแกวะ?”
“แกเคยได้ยินชื่อเสี่ยเกรียง เกรียงศักดิ์ไหมวะ” ก้านถามพลางขยับเข้ามาใกล้ๆรวิ ราวกับกลัวว่าจะมีบุคคลที่สามได้ยิน
“เสี่ยเกรียงศักดิ์” รวิทวนชื่อพลางทบทวนความทรงจำของตนเอง
เกรียงศักดิ์หรือเสี่ยเกรียง นักธุรกิจนำเข้ารถยนต์หรูที่หลายปีก่อนต้องพลาดท่าเสียทีให้กับสองเสือหนุ่มแห่งกลุ่มวิชิตยนต์ สองบริษัทนำเข้ารถยนต์หรูที่เป็นคู่แข่งกันมาตลอด หากเสี่ยเกรียงศักดิ์ต้องพ่ายแพ้อย่างราบคาบด้วยการแข่งขันทางการตลาดที่กลุ่มวิชิตยนต์ทุ่มงบจำนวนมหาศาลจนได้เป็นเอเย่นนำเข้ารถยนต์หรูหลากหลายยี่ห้อในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สุดท้ายเสี่ยเกรียงศักดิ์ต้องหันมาจับตลาดนำเข้ารถยนต์จากญี่ปุ่น เกาหลีใต้และจีนแทน ซึ่งก็ทำกำไรได้อย่างมหาศาลไม่แพ้กันด้วยกำลังซื้อของคนในประเทศนิยมรถจากญี่ปุ่นมากกว่า
หากใครๆก็รู้ดีว่าเสี่ยเกรียงศักดิ์ยังไม่เลิกล้มความตั้งใจที่จะขึ้นมาเป็นใหญ่เทียบชั้นกับกลุ่มวิชิตยนต์ แม้ว่ากลุ่มวิชิตยนต์จะขยายธุรกิจไปจนเกือบทั่วภูมิภาคเอเชีย เหลือเพียงแค่กลุ่มเอเชียใต้ซึ่งเป็นเป้าหมายต่อไป เสี่ยเกรียงศักดิ์ก็พยายามเจรจาขอเป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์หรูในภูมิภาคเอเชียใต้ ถึงแม้ว่าดูมีภาษีด้อยกว่ากลุ่มวิชิตยนต์ก็ตาม
รวิรู้ถึงรายละเอียดพวกนี้อยู่บ้างเพราะข่าวสังคมธุรกิจต่างก็ประโคมข่าวกันให้คึกโครม หากรอยยิ้มพรายที่ปรากฏบนใบหน้าของรวิก็ทำให้ก้าน รู้ใจเพื่อนว่าคิดแผนการได้ไม่ต่างจากตน
รวิหัวเราะออกมาได้ไม่นานก็ต้องเงียบเสียง ทำหน้าวิตกกังวลอีกครั้ง “แต่ฉันไม่รู้จักเสี่ยเกรียงว่ะ แล้วคนระดับนั้นก็ไม่น่าจะมาให้ความช่วยเหลือฉันด้วย ดีไม่ดีจะเจ็บตัวเปล่าๆ”
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง เสี่ยเกรียงชอบมาเปิดหูเปิดตาที่ผับบ่อยๆ ฉันเคยไล่จับพวกที่มาปล่อยลมยางรถยนต์เสี่ยเกรียงได้ เขาเลยให้นามบัตรมาแล้วยังบอกด้วยว่าถ้ามีอะไรให้ช่วยเหลือก็โทรมาได้เลย” ก้านบอกพลางยิ้มอย่างมีเจ้าเล่ห์
“แกมั่นใจว่าเขาจะช่วยเหรอวะ ของที่เรามีอาจจะไม่มีประโยชน์อะไรกับเสี่ยเกรียง ดีไม่ดีเขาอาจจะคิดว่าเราเอาเรื่องเดือดร้อนไปให้” รวิถาม
“เอาน่า... ไม่ลองไม่รู้ ถ้าของๆเราไม่มีประโยชน์กับเสี่ยเกรียง ก็ค่อยมาคิดหาหนทางอื่น แต่ยังไงก็ยังดีกว่าเอาตัวเองที่ไม่มีอำนาจอะไรเลยไปงัดข้อกับพวกมันแล้วกัน” ก้านบอกพลางผุดลุกขึ้น “ตกลงจะไปไหมหรือจะนั่งรอให้ตำรวจมาลากคอเข้าตะรางอยู่ตรงนี้?”
“ไปสิวะ คราวนี้เป็นไงเป็นกัน” รวิบอกพลางลุกขึ้นยืนอย่างคนมีกำลังใจฮึดสู้ขึ้นมาอีกครั้ง “ขอบใจนะไอ้เพื่อนยาก แกไม่ทิ้งฉันฉันก็จะไม่ทิ้งแก”
“เออ! รวยแล้วอย่าลืมคำพูดตัวเองก็แล้วกัน” ก้านบอกพลางเดินไปที่ประตู
“ฮ่า... ถ้าฉันได้ห้าสิบล้าน แกเอาไปเลยห้าล้าน แล้วกลับไปอยู่บ้านนอกนอกกอดหญิงกัน” รวิบอกอย่างอารมณ์ดี
“งั้นรีบไปอาบน้ำแต่งตัว ฉันจะไปหานามบัตรเสี่ยเกรียงด้วย อีกสามสิบนาทีเจอกัน”
“ขออีกชั่วโมงได้ไหมวะ ขอทำธุระสำคัญก่อน ไปเจอกันที่ป้ายรถเมล์หน้าปากซอยเลย” รวิบอกพลางมองเพื่อนที่พยักหน้ารับแล้วเดินออกจากห้องเช่าของตน จากนั้นจึงเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าแล้วหยิบแฟลชไดร์ที่บรรจุข้อมูลภาพและเสียงทั้งหมดไว้ในนี้
“อย่าว่าพี่เลยนะส้มโอ เธอมันรนหาที่เองแล้วไอ้กายมันก็ตุกติกเป็นคนผิดสัญญา ลองดูซิ! ต่อไปนี้จะกล้าเล่นตลกกับกูอีกไหม” รวิพูดพลางสอดแฟลชไดร์อันเล็กไว้ในเสื้อเชิ้ตที่จะใส่ในวันนี้ จากนั้นจึงรีบจัดการกับตัวเองแล้วออกจากบ้านเช่าไปอย่างรีบเร่งเพื่อทำการสั่งสอนให้พวกมันได้รู้สำนึกว่าการเล่นตลกกับตน ต้องได้รับผลตอบแทนเช่นไร!
ภายในห้องทำงานของเวทิศ กันตาภานั่งถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายเมื่อต้องอยู่ในห้องทำงานใหญ่คนเดียว ชีวิตที่ต้องผูกติดกับผู้ชายตัวโตที่บอกตัวเองว่าต้องอยู่ให้ห่างเขาที่สุด แต่ในทางปฏิบัติแล้วเธอกลับต้องอยู่กับเขาราวกับคู่รักที่ต้องใช้ชีวิตร่วมกัน!
หลังจากที่ตกลงใจว่าจะอยู่ในความดูแลของเขา กันตาภาก็ต้องกลับบ้านพร้อมกับเขา ออกมาทานข้าวด้วยกันตามลำพังและกลับเข้าคอนโดมิเนียมด้วยกัน แม้จะแยกห้องนอนแต่ก็เป็นครั้งแรกที่ได้อยู่ในห้องสองต่อสองกับผู้ชาย ซึ่งเขาก็ไม่ได้มีนิสัยเลวร้ายอย่างที่เคยคิดไว้ การปฏิบัติตัวต่อเธอดูจะเป็นสุภาพบุรุษด้วยซ้ำถ้าไม่คิดถึงเรื่องคำพูดที่ตรงไปตรงมาจนเกินไป บางครั้งมันก็จริงอย่างที่เขาพูดแต่บางครั้งมันก็ตรงจนทำให้เธอพูดไม่ออก แล้วไม่พ้นต้องเป็นหัวข้อโต้เถียงเล็กๆ
อีกสิ่งหนึ่งที่ค้นพบในตัวผู้ชายที่ไม่เคยเรียบเรียงหรือประดิษฐ์คำพูดให้รื่นหูก็คือ เขาสามารถถกเถียงกับเธอด้วยเรื่องไร้สาระอยู่หลายนาทีแต่สุดท้ายก็ยอมลงให้อย่างง่ายดาย มันทำให้เธอสับสน มึนงง ในนิสัยและตัวตนที่ได้สัมผัส ซึ่งแตกต่างกับเสียงล่ำลือที่เคยได้ยินได้ฟังมาลิบลับ
แน่ล่ะว่าเธอรู้สึกเหงาเพราะไม่มีคนคอยพูดแหย่ให้โมโห แต่ต้องตกใจเมื่อไม่เข้าใจว่าทำไมถึงได้เกิดความรู้สึก ‘เหงา’ ปฏิเสธไม่ได้ว่ารู้สึกดี แจ่มใส เบิกบานที่ได้โต้เถียงเรื่องเล็กน้อยกับเขา!
‘อย่าเชียวนะกันตาภา ห้ามคิดนอกลู่นอกทาง ห้ามเผลอใจไปกับความมีน้ำใจของเขา ที่เขาต้องดูแลเธอเป็นอย่างดีก็เพราะต้องรับผิดชอบเรื่องที่เกิดขึ้น เขาก็เหมือนผู้ชายร่ำรวย รักสนุกทั่วไป ที่ชอบก้อร่อก้อติกกับสาวๆไปทั่ว ถ้าเธอเล่นด้วยแน่นอนว่าเขาไม่ปฏิเสธ’ กันตาภาคิดในใจและจะไม่ยอมเป็นของเล่นให้กับเขาอย่างแน่นอน
เพียงแค่เธอต้องเข้ามาขลุกอยู่ในห้องทำงานของเขาทั้งวันอย่างนี้ คนอื่นก็สงสัยกันไปทั่วแต่ที่ดูเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นนั้นเพราะไม่มีใครกล้าพูดกล้าถามออกมาต่างหาก และไม่รู้ว่าเวทิศไปสั่งอะไรไว้ หัวหน้าฝ่ายและเพื่อนร่วมงานในฝ่ายของเธอถึงได้ไม่ซักถามว่าอย่างไรเลย แต่สิ่งที่เลี่ยงไม่ได้คือคำครหาของเพื่อนร่วมงานที่จะมองเธอไม่ต่างจากผู้หญิงทางผ่านของเวทิศ ที่เขาใช้แล้วเขี่ยทิ้ง!
กันตาภาบอกกับตัวเองว่าอดทนอีกไม่กี่ชั่วโมง เรื่องเลวร้ายทั้งหมดก็จะจบลง และเธอก็จะฝังเรื่องร้ายๆที่เกิดขึ้นเอาไว้ให้ลึกสุดใจและเริ่มต้นชีวิตใหม่ หางานทำใหม่เพราะคงไม่อาจลืมมันได้ถ้าหากยังต้องเห็นหน้าเขาอยู่เช่นนี้! เมื่อคิดได้ดังนั้นเวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงต่อจากนี้ก็หมดไปกับการกรอกใบสมัครงานโดยเครื่องคอมพิวเตอร์บนโต๊ะทำงานใหญ่ของเวทิศ
กันตาภาเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์พลางแปลกใจว่าเลยเวลาพักกลางวันมาได้หลายนาทีแล้ว ทำไมเวทิศถึงยังไม่ออกจากห้องประชุม จึงเดินออกไปนอกห้องทำงานเพื่อหาขนมขบเคี้ยวรองท้องเพราะไม่ได้รับอนุญาตให้ไปไหนมาไหนโดยที่ไม่มีเขาอยู่ข้างกาย
“คุณส้มโอต้องการอะไรไหมคะ เดี๋ยวดิฉันจะจัดการให้” ผู้ช่วยเลขานุการชายบีบเสียงให้เล็กลงถามเมื่อเห็นหญิงสาวที่ได้รับคำสั่งจากเจ้านายให้ดูแลเธอเป็นพิเศษ เดินออกมาจากห้องทำงาน
“ว่าจะเข้าไปหาอะไรในห้องพักมาทานเล่นสักหน่อยค่ะ” กันตาภาตอบพลางยิ้มให้อย่างเป็นมิตร
“รู้สึกหิวแล้วใช่ไหมคะ” ถามอย่างรู้ใจพลางมองนาฬิกาบนข้อมือของตัวเอง “อีกสักพักท่านรองคงจะออกมาแล้วล่ะค่ะเพราะนี่ก็เลยเวลาพักกลางวันมาเกือบสามสิบนาทีแล้ว สงสัยคงจะประชุมติดพัน คุณส้มโอนั่งรอในห้องก็ได้นะคะ เดี๋ยวดิฉันจะไปจัดของว่างมาให้”
“อย่าเลยค่ะ เรื่องแค่นี้เอง ให้ดิฉันจัดการเองนะคะ” กันตาภาบอกพลางยิ้มอย่างเกรงใจให้พนักงานที่นั่งอยู่บริเวณนั้นราวสิบกว่าคน ไม่ค่อยชอบใจที่ต้องตกเป็นเป้าสายตาของใครนักจึงรีบเดินไปยังห้องพักที่มีทั้งเครื่องดื่ม ของว่าง ขนมขบเคี้ยวหลายอย่าง
ในห้องพักมีพนักงานกลุ่มหนึ่งกำลังนั่งรับประทานอาหารกันอยู่บนโต๊ะ ทั้งหมดหันมายิ้มให้เธออย่างเป็นมิตรพร้อมชวนให้มารับประทานอาหารด้วยกัน
“ทานกันเถอะค่ะ ขอบคุณมากนะคะ” กันตาภาตอบแล้วเปิดตู้เย็นหยิบเอาน้ำสะอาดออกมาหนึ่งขวดพร้อมกับมันฝรั่งที่วางไว้บนตะกร้าใกล้ๆกัน หากเสียงซุบซิบของสาวๆที่นั่งล้อมวงรับประทานอาหารก็เรียกความสนใจของกันตาภาได้เป็นอย่างดี
“ว้ายตายแล้ว! นี่มันใครกัน?”
“อะไรยะหล่อน ใครตาย?” พนักงานสาวหนึ่งคนที่นั่งอยู่ในกลุ่มถามขึ้นพลางชะโงกหน้าไปมองโทรศัพท์ที่อยู่ในมือของเพื่อนอย่างอยากรู้
“ก็นี่ไง เขาบรรยายว่า ‘ภาพลับไฮโซชื่อดังกำลังอึ๊บสาวอย่างเมามัน เสียงดังรบกวนเพื่อนข้างห้องจนต้องแอบถ่ายภาพเก็บเอาไว้’ ใครกันนะ?” เจ้าของโทรศัพท์อ่านพลางมองหน้าเพื่อนอย่างสงสัย “ดูสิๆ นี่มีแต่ภาพเด็ดๆทั้งนั้น”
“อื้อหือ... ดูแผ่นหลังสิ!”
“หล่อนมองแผ่นหลังแน่เหรอยะ! มองก้นเขาก็พูดมาตรงๆเถอะ แล้วหาผ้ามาซับน้ำลายด้วย”
กันตาภาไม่ได้สนใจว่าใครจะเป็นคนพูด หากแต่สายตากลับจ้องมองภาพนิ่งที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์ซึ่งอยู่ในแนวที่เธอมองเห็นได้อย่างชัดเจน หากจำไม่ผิดนั่นคือภาพของเธอและเวทิศ
“ว้า... ไอ้คนเอาภาพมาปล่อยก็ไม่รู้ว่าจะเบลอหน้าไว้ทำไม ดูซิ! เลยไม่รู้กันว่าเป็นไฮโซคนไหน รูปร่างถึงได้น่าฟัดอย่างนี้” ท้ายประโยคยังส่งเสียงกรี้ดกร๊าดแล้วใช้มือเลื่อนภาพลงไปเรื่อยๆ
“นั่นสิ! แต่ดูคุ้นๆอยู่นะ เหมือนจะเคยเห็นที่ไหน?”
กันตาภาไม่สามารถอดทนมองภาพอันน่าอดสูใจของตัวเองได้อีก จึงรีบเดินออกมาจากห้องพักในขณะที่เสียงกรี๊ดของสาวๆกลุ่มเดิมยังดังขึ้นอยู่เป็นระยะๆ ทว่าท่าทางราวกับคนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวของเธอ ทำให้เวทิศที่เพิ่งเดินออกจากห้องประชุมมองตามด้วยความสงสัย เธอเดินผ่านหน้าเขาไปโดยไม่ยิ้ม มองผ่านราวกับเป็นธาตุอากาศ
“ส้มโอ... ส้มโอ...” เวทิศเรียกพลางเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น หากต้องขมวดคิ้วมุ่นเมื่อเธอสะดุ้งตกใจจนข้าวของในมือหล่นลงพื้น เขาจึงก้มเก็บมันขึ้นมาและถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงระคนแปลกใจ “เป็นอะไรรึเปล่า ทำไมใจลอยอย่างนี้”
“คุณกาย...” กันตาภาคว้าเข้าที่ข้อมือแข็งแรงแล้วเป็นฝ่ายเดินนำเขาเข้าไปในห้องทำงานโดยไม่สนใจว่าจะเป็นเป้าสายตาของใครหลายคน
หากเป็นครั้งแรกที่ทำให้เวทิศรู้สึกว่าเธอไว้ใจเขามากขึ้น น้ำเสียงที่เรียกชื่อเขาอย่างสนิทสนม สีหน้าและแววตาที่ดีใจราวกับเด็กถูกเพื่อนรังแกแล้ววิ่งมาหาผู้ปกครอง มันทำให้หัวใจแกร่งของเขาพองโต รู้สึกดีจนเปิดยิ้มกว้างให้เธอเมื่อเข้ามาอยู่ในห้องทำงานด้วยกันตามลำพัง
“เป็นอะไรส้มโอ หิวข้าวมากขนาดนั้นเลยเหรอ?” เวทิศถามพลางนึกขันในใจ
กันตาภาไม่รู้ว่าจะยิ้มตอบหรือร้องไห้ให้กับเขาที่ยิ้มให้เธออย่างจริงใจ แทนคำอธิบายเธอต้องให้เขาเห็นภาพนั้นด้วยตาจึงรีบเดินไปเปิดคอมพิวเตอร์ เพียงแค่พิมพ์คำว่า ‘ภาพหลุดไฮโซชื่อดัง’ ในยูทูป วีดีโอหนึ่งนาทีเต็มก็ปรากฏให้เห็น มันสามารถหาได้อย่างง่ายดายเพราะเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงที่มีการอัพโหลด ก็มียอดวิวหลายแสนครั้ง!
“มันเอาภาพเรามาลงในยูทูป” กันตาภาบอกสั้นๆพร้อมกับหมุนจอคอมพิวเตอร์ให้เขาได้เห็นชัดๆ
เวทิศเดินเข้ามามองภาพนิ่งราวห้าภาพ ซึ่งมีทั้งภาพที่ตนกำลังกอดรัดเธออยู่ขอบเตียง เห็นตลอดด้านหลังเปลือยเปล่า ภาพที่ดูแรงที่สุดก็เห็นจะเป็นภาพที่เขากำลังซุกหน้าลงหว่างขาของเธอโดยที่มือทั้งสองข้างกำลังเคล้นคลึงทรวงอกจึงทำให้ไม่เห็นเนื้อตัวในส่วนที่ไม่ควรจะเปิดเผยเท่าไหร่ และไอ้ระยำนั่นมันก็เบลอใบหน้าของเขาและเธอเอาไว้ทุกภาพ!
“ไอ้เลว ไอ้ชั่ว!” เวทิศสบถออกมาด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด เงื้อมือขึ้นจะกวาดทุกสิ่งที่ขวางหน้าอย่างระบายความโกรธแค้นแต่ก็ต้องชะงักมือเมื่อเธอลุกขึ้นแล้วยื่นมือมาจับจอคอมพิวเตอร์ไว้เสียก่อน
“อย่านะ อย่าทำลายข้าวของ!” กันตาภาบอก มองเขาด้วยสายตาหวาดหวั่นเพราะเพิ่งเคยเห็นว่าตอนเขาโมโหมันน่ากลัวเหลือเกิน
ปัง!... ปัง!...
เวทิศตบมือลงบนโต๊ะทำงานหนักๆถึงสองครั้ง หลับตาลงอย่างระงับโทสะที่เกิดขึ้น มันกล้าดียังไงถึงได้ทำอย่างนี้ “เอาโทรศัพท์มาส้มโอ ฉันต้องคุยกับมันให้รู้เรื่อง มันจะเอายังไงกับฉันกันแน่”
กันตาภารีบยื่นโทรศัพท์ของตนให้เขาทันที “บันทึกว่าพี่โต้งนะคะ”
“ลบมันออกจากสารระบบได้แล้ว มันทำกับเราถึงขนาดนี้แล้วยังจะไปเรียกมันอย่างนั้นอีก” เวทิศว่าพลางกดโทรศัพท์หาชื่อที่เธอบันทึกไว้ หากได้ยินเพียงเสียงของโอเปอร์เรเตอร์ที่ระบบตัดเข้าสู่การฝากข้อความ
“หรือเขาจะรู้ว่าเราแจ้งความ?” กันตาภาสันนิษฐาน
เวทิศพยักหน้ารับพลางยื่นโทรศัพท์คืนให้เธอ “คงเป็นอย่างนั้น ฉันคิดว่าตำรวจคงไปสืบแล้วมันไหวตัวทัน ถึงได้เอาภาพมาลงเพื่อขู่สั่งสอนเรา”
“แต่ฉันกลัวว่าเขาจะเอาคลิปมาอัพโหลด”
“ไม่หรอก เพราะที่มันอยากได้คือเงินถ้าทำอย่างนั้นคนก็รู้หมด ดูได้ว่ามันเบลอหน้าของเราเอาไว้ทุกภาพ ถ้ามันไม่อยากได้เงินก็คงเปิดเผยหมดแล้ว” เวทิศตอบพลางใช้ความคิดอย่างหนัก “เห็นทีเรื่องนี้จะไม่ง่ายอย่างที่คิดไว้แล้ว ฉันคงต้องปรึกษากับเพื่อนอย่างจริงๆจังๆอีกสักที”
คิดได้ดังนั้นเวทิศก็ต่อสายถึงเพื่อนที่เป็นตำรวจ ทั้งคู่คุยกันถึงเรื่องที่เกิดขึ้นไม่นานก็สรุปได้ว่า ตำรวจจะเข้ามาพบและวางแผนรวบตัวรวิในช่วงเย็นของวันนี้ที่บริษัท เพราะหากให้เวทิศเข้าไปแจ้งความก็อาจจะทำให้รวิ เอาภาพต่างๆออกมาเปิดเผยซึ่งไม่แน่ว่าอาจจะหนักข้อขึ้นกว่าภาพชุดแรกก็เป็นได้
เมื่อนัดแนะกันเรียบร้อยแล้ว เวทิศก็หมุนตัวเดินกลับมายังโต๊ะทำงานอีกครั้ง ซึ่งเห็นว่ากันตาภากำลังนั่งมองรูปอยู่เช่นเดิม ด้วยสีหน้าท่าทางสับสน กังวลใจ ขอบตาแดงๆราวกับคนจะร้องไห้ ภาพนั้นทำให้เขานึกสงสารขึ้นมาจับหัวใจ
“พอแล้ว จะดูให้มันได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา” เวทิศเอื้อมมือไปปิดคอมพิวเตอร์แล้วหมุนเก้าอี้ทำงานของตัวเองซึ่งเธอกำลังนั่งทำหน้าเศร้าอยู่ให้เลื่อนออกมาถึงโต๊ะกลางที่ตั้งอยู่หน้าโซฟา โดยที่เขานั่งลงบนโต๊ะกลางนั้นแล้วแยกขาออกกว้าง ดึงทั้งคนทั้งเก้าอี้เข้ามาใกล้ที่สุด
“คุณว่าคนทั่วไปเขาจะรู้ไหม จะเดาได้ไหมว่าคนในภาพเป็นเรา” ถามไม่เต็มเสียงนัก
“ไม่รู้ หรือต่อให้รู้ เธอก็ไม่ต้องไปสนใจ” เวทิศบอกแต่คนฟังกลับส่ายหน้าไม่ยอมรับอย่างเด็ดขาด
“ไม่ให้สนใจได้ยังไง นั่นมันตัวฉันนะ คุณไม่อายแต่ฉันอายแทบจะไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ตรงไหน อายจนไม่กล้ามองหน้าใคร รู้ไหมว่าฉันกลัว ฉันกลัวที่สุด” กันตาภาพูดและเพียงแค่เขาใช้สองมือประคองใบหน้าไว้ น้ำตาร้อนๆก็ไหลออกมาไม่ขาดสาย ไหลออกมาอย่างที่บังคับให้หยุดไม่ได้! “ฉันกลัวที่สุดในชีวิต ฮือ... คุณดูรูปนั่นสิ ฉันไม่ต่างจากผู้หญิงอย่างว่า ฉันเปิดเผยเนื้อตัวให้ใครต่อใครเห็นอย่างไม่มียางอาย ฉัน...”
“โอเคๆ ฉันผิดเอง” เวทิศไม่เคยปลอบผู้หญิงร้องไห้มาก่อน แต่ความอ่อนแอที่เธอแสดงออกมาให้เห็นมันทำให้เขาใช้นิ้วเกลี่ยน้ำตาออกจากแก้มนวลอย่างเบามือ ดึงเธอมานั่งซ้อนบนขาข้างหนึ่งแล้วกดศีรษะลงบริเวณซอกคอ ลูบหัวไหล่ ต้นแขนขึ้นลงเร็วๆเป็นการปลอบใจ
“ทำไมฉันถึงต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ด้วย ฉันไปทำบาปทำกรรมกับเขาไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ฮือ...”
เมื่อได้ปล่อยความอัดอั้นตันใจที่เก็บกดไว้มาหลายวัน ความรู้สึกยอดแย่ทุกอย่างมันก็ไหลบ่าราวกับสายน้ำอันเชี่ยวกราด
“อยากร้องไห้ก็ร้องออกมาให้หมด อย่าไปเก็บไว้ คนเราเมื่อมีความโกรธความโมโหมันต้องระบายออก อย่าเก็บเอาไว้” เวทิศปลอบ
“ฉันคิดจนสมองล้าไปหมดแต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะแก้ปัญหายังไง กลัวไปสารพัด คิดถึงพี่ คิดถึงองุ่นแต่ก็ไม่รู้จะเริ่มต้นเล่าเรื่องน่าอายให้พวกเขาฟังยังไง คิดถึงพ่อกับแม่อยากให้ท่านกอดแต่ก็รู้สึกผิดหวังในตัวเองที่เชื่อคนง่าย ปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ฮือ...” กันตาภาระบายความความในใจออกมาทั้งน้ำตา พลางใช้กำปั้นทุบที่หน้าอกเขา อดต่อว่าไม่ได้ทั้งที่รู้ดีว่าเขาเองก็ไม่ได้ตั้งใจ “คุณด้วย ไม่เปิดโอกาสให้ฉันพูด หน้ามืดตามัว ในสมองมีแต่ตัณหาราคะ ฮือ...”
เวทิศนิ่วหน้าเกร็งตัวรับแรงประทุษร้ายที่ไม่เบานักแต่ก็ไม่ปริปากบ่น อยากให้เธอระบายความอัดอั้นตันใจออกมาแล้วคงจะรู้สึกปลอดโปร่งกว่านี้บ้าง เธอรู้พอๆกับเขาว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะโทษใครคนใดคนหนึ่งเพียงฝ่ายเดียวก็ไม่ได้
รวิ ซึ่งเป็นคนก่อเรื่องก็มีปมในใจถึงได้คิดทำเรื่องชั่วร้ายเช่นนี้ขึ้น แต่การแก้แค้นเช่นนี้มันทำให้คนบริสุทธิ์เดือดร้อนอย่างไม่น่าให้อภัย
เธอเองก็ใจซื่อ จนถูกคนคิดร้ายใช้ความซื่อนั้นกลับมาทำร้ายเธอเอง
เขาก็ผิดที่ตอนนั้นไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ แต่ถามว่าเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นรึเปล่า ก็ต้องตอบว่าเสียใจ แต่มันก็เป็นความเสียใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างผิดที่ผิดเวลาเท่านั้น การได้ครอบครองเธอนั้นถือว่าเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ที่ไม่เคยเชื่อว่าตัวเองจะรู้สึกวิเศษยอดเยี่ยมเหนือคำบรรยาย
“นี่ๆ อยากฆ่าให้ตาย” กันตาภาทุบเขาตามอารมณ์เสียใจที่เกิดขึ้น หากไม่หนำใจเพราะตัวเองก็ผิดเช่นกันจึงทุบที่หน้าอกตัวเองแรงๆ
“หยุดๆ อย่าทำร้ายตัวเองอย่างนี้ จะตีก็ตีฉันสิ” เวทิศบอกพลางยึดกำปั้นน้อยๆไว้ในมือ
“ปล่อย! เห็นภาพตัวเองแล้วฉันมันก็ไม่ต่างจากผู้หญิงใจง่าย ต้องตีให้รู้สำนึก” กันตาภาหอบหายใจจ้องหน้าคนที่ไม่ยอมทำตามคำสั่งของตัวเองอย่างโกรธๆ โกรธทุกคน โมโหทุกสิ่ง
หากคำต่อว่าต่อขานที่แบ่งรับแบ่งสู้ในความผิดพลาดที่เกิดขึ้นทำให้เวทิศทั้งสงสารทั้งขันในเวลาเดียวกัน จึงพูดติดตลกออกมาเพื่อให้เธอได้คลายความกังวลใจบ้าง “ขี้แยเหมือนกันนะเรา ไหนว่าจะแจ้งความให้ตำรวจมาลากฉันเข้าคุก ทั้งด่าทั้งว่าฉันหน้าดำหน้าแดงแล้วตอนนี้ทำไมร้องไห้โยเยเหมือนเด็ก ที่สำคัญจะทำร้ายตัวเองให้เจ็บทำไม ทำอะไรไม่เข้าท่า”
“ฉันไม่ได้รวยอย่างคุณนี่ จะได้ทำลายข้าวของแล้วควักสตางค์ซื้อใหม่ ก็ต้องตีตัวเอง ลงโทษตัวเองจะได้หลาบจำ” กันตาภาแหวออกไปอีกครั้ง
“งั้นก็ตีฉัน ทุบฉันแทน แต่จะตีตัวเองไม่ได้ ยิ่งตรงนี้ยิ่งไม่ได้ ฉันหวง!” เวทิศโต้กลับทันควัน เขาหลงใหลใฝ่ฝันถึงเรือนร่างน่าปรารถนาของเธอแค่ไหน เทิดทูนบูชาส้มโอสองลูกนั่นทุกลมหายใจเข้าออก จะมาทำร้ายอย่างนั้นได้ยังไง
“แล้วมายุ่ง มาหวงอะไรกับร่างกายของคนอื่น?!” กันตาภาขมวดคิ้วมุ่น
โอ... ไอ้กาย แกนี่มันเก็บความปรารถนาต่อเธอไว้ไม่มิดเลยสินะ! แล้วถ้าบอกความจริงที่คิดมาตลอดเวลานี่ แม่คุณจะไม่ลุกขึ้นมาต่อยหน้าเอาเหรอวะ คิดในใจแต่ไม่กล้าพูด
‘ต่อยหน้าก็จูบหน้า ต่อยปากก็จูบปากสิวะ เคยบอกเธอไปแล้วนี่ เธอก็ไม่เถียงถือว่ารับทราบ’ คนที่โหยหาความหอมหวานในร่างอวบอิ่มคิดเข้าข้างตัวเองอย่างย่ามใจ
“ก็ฉันหวงเธอทั้งตัวนั่นแหละ เป็นของฉันแล้ว หน้าอกคู่นี้ก็เป็นของฉันจะทุบอย่างนั้นก็ช้ำหมดพอดี” เพียงแค่เห็นกำปั้นเล็กๆเงื้อขึ้นจะซัดเข้าที่เบ้าตา เวทิศก็เอียงแก้มให้หมัดของเธอกระทบกับริมฝีปากตัวเองทันที
กันตาภาอมยิ้ม “สมน้ำหน้า”
จบคำพูดคนเจ้าเล่ห์ก็ตีคิ้วใส่ตาอย่างมีเลศนัย ออกแรงรัดเธอแน่นขึ้นในขณะที่สอดอีกมือตรึงท้ายทอยได้รูปให้อยู่นิ่ง รับจุมพิตอันหิวกระหายของตน
“อื้อ...” กันตาภาครางอู้อี้ เบิกตากว้างมองคนที่สอดลิ้นเข้ามาในโพลงปากตัวเองด้วยความตกใจ แต่เขากลับไม่สนใจ ตั้งหน้าตั้งตาจูบเอาๆจนแทบหายใจไม่ทัน
เวทิศไม่สนใจกับกำปั้นเล็กๆที่ทุบไม่ยั้งบริเวณหัวไหล่ มันคือความเจ็บอันน้อยนิดเมื่อเทียบกับความหอมหวานจากริมฝีปากยั่วใจที่กำลังสัมผัสอยู่นี้ ไม่รู้ว่าตัวเองทนอยู่กับความต้องการนี้ได้อย่างไร เธออยู่ใกล้แค่เอื้อมมือแต่กลับต้องซ่อนความต้องการ เก็บไม้เก็บมือไม่ให้ดึงเธอเข้ามากอดจูบทั้งที่อยากทำเช่นนั้นทุกลมหายใจเข้าออก
กันตาภาถอนหายใจให้กับตัวเอง เมื่อรสจุมพิตซ่านทรวงนั้นมีทั้งอ่อนหวาน เร่าร้อน เรียกร้องให้เธอตอบสนองกลับอย่างเต็มที่ เมื่อดิ้นรนหนีเขาก็จะใช้จุมพิตร้อนรุ่มละลายอาการขัดขืน เมื่อโอนอ่อนผ่อนตามเขาก็จูบอย่างลึกซึ้ง ค่อยๆละเลียดไปทั่วโพรงปาก จนต้องพ่ายแพ้ราบคาบ
เวทิศจูบเธออย่างลึกซึ้ง พอใจเป็นอย่างมากเมื่อเวลาผ่านไปไม่นานอาการขัดขืนนั้นมลายหายไป มือเล็กๆที่เคยทุบตีต่อต้านเปลี่ยนเป็นเกาะเกี่ยวที่บ่าราวกับเป็นสัญญาณว่าพร้อมจะให้เขาชักนำอย่างศิโรราบ
กันตาภาหน้ามืดกับจุมพิตดูดดื่ม ไม่รู้ว่าตัวเองทอดกายลงบนโซฟาแล้วปล่อยให้เขาจูบซับไปทั่วโครงหน้า ซอกคอตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้แต่เพียงว่าสัมผัสของเขาช่างล่อลวงให้ต้องพ่ายแพ้ เผลอตัวอย่างง่ายดาย “พะ...พอเถอะค่ะ คุณกาย”
เสียงหวานที่ดังกระเส่าอยู่บนศีรษะทำให้เวทิศถอนหายใจหนักๆอยู่กับทรวงอกใหญ่ไซส์พิเศษ เพียงแค่แตะต้องต้องเล็กน้อยเขาก็รวดร้าว แข็งแกร่งจนต้องซุกทั้งใบหน้าอยู่กลางหว่างอก คลอเคลียปากและจมูกอยู่กับส้มโอสองลูกที่ฝันหาทุกเช้าค่ำ สอดมือเข้าใต้ร่างอวบอิ่ม กอดเธอไว้แน่นอย่างหักห้ามใจ รู้ดีว่ามีความปรารถนาไม่ต่างกัน เพียงแค่อยากให้เธอยอมรับและพร้อมที่จะเรียนรู้สัมผัสชายหญิงอย่างเต็มใจ
เธอเป็นผู้หญิงคนแรกที่เขาอยากเห็นเงาสะท้อนจากแววตา ในยามที่เป็นหนึ่งเดียว เขาแทบบ้าตายกับความรู้สึกผิดที่ได้เห็นเพียงความหวาดกลัวจากดวงตาดำขลับของเธอ แม้ไม่กี่นาทีต่อมาจะโอนอ่อนผ่อนตาม เสนอตัวให้เชยชมก็ตาม
“รู้ไหมว่าฉันลำบากแค่ไหน ส้มโอของฉัน” เวทิศพร่ำบอกกับทรวงอกอิ่ม จูบสะเปะสะปะไม่เลือกที่ทั้งที่มีเสื้อเชิ้ตสีสะอาดและบราเซียร์ขวางกั้น
กันตาภาหลับตาลงเพราะไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่าการอยู่นิ่ง ปล่อยให้เขาได้กอดรัด กดส่วนกลางของลำตัวที่ดิ้นขยับหาเธอราวกับดีใจหนักหนา หากไม่เข้าใจว่าทำไมปฏิกิริยาของร่างกายตัวเองถึงได้ตอบรับเขาอย่างเต็มใจเช่นนี้!
“ถอยออกไปก่อนได้ไหม ฉันหนัก” กันตาภาบอกเมื่อเวลาผ่านไปพักใหญ่ และคนที่กอดเธออยู่อย่างแนบแน่นก็ไม่มีทีท่าว่าจะขยับตัวสักที
“ปากแข็ง ทีเมื่อกี้นี้ไม่เห็นบ่นสักคำ” เวทิศผงกศีรษะขึ้นจากทรวงอกขนาดพิเศษ เย้าเธออย่างขันๆด้วยไม่คิดว่าคนฟังจะตีความหมายไปอีกแบบ
“แล้วจะให้พูดว่ายังไง มาเลยค่ะ ขืนใจฉันบนโซฟาในห้องทำงานนี่เลย อย่างนั้นน่ะเหรอ คุณจะทำให้ฉันขาดศรัทราในตัวเองอีกแค่ไหนถึงจะพอใจ”
เวทิศอยากจะบ้าตายกับความละเอียดอ่อนของผู้หญิงที่เขาไม่คิดอยากจะเรียนรู้นัก แต่ตอนนี้กลับก่นด่าตัวเองในใจวันละหลายรอบเพราะไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงได้เป็นคนพูดจาขวานผ่าซากอย่างนี้ แล้วทำไมเขาถึงไม่เคยใส่ใจกับความรู้สึกของผู้หญิงที่ผ่านมากันนะ
“ขอโทษก็ได้... แต่อย่าทำหน้าเหมือนฉันจะเอาเปรียบเธอสิ” เวทิศว่าเสียงอ่อย
“แล้วฉันควรดีใจที่คุณเอาเปรียบงั้นสิ?” กันตาภาถามอย่างประชด “ไม่ว่าฉันจะเป็นฝ่ายยอมง่ายๆหรือคุณบังคับเอา มันก็ไม่ทำให้ลบเลือนภาพในวันนั้นได้ง่ายๆหรอกนะ”
“แล้วจะให้ทำยังไง ขอโทษก็แล้ว พูดดีก็แล้ว หรือจะเอาคืนฉันเธอถึงจะลบภาพนั้นออกจากใจ” เวทิศถามด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดใจเล็กน้อย
“เอาคืน เอาคืนยังไง?” กันตาภาถามอย่างเอาเรื่องเช่นกัน
“ยอมให้ขืนใจหรือข่มขืนก็ได้ เอาเลยสิ จะทำทุกอย่างตามที่เธอบัญชา รู้ไหมว่าฉันก็รู้สึกแย่ที่เธอมองฉันเป็นไอ้หื่นกาม หักหาญน้ำใจเธอเหมือนกัน ถ้าเธอข่มขืนฉันกลับแล้วรู้สึกดีขึ้นบ้าง ฉันยอม”
กันตาภาอ้าปากค้างไม่รู้ว่าเขาเอาความคิดแบบนี้มาจากไหน หากคนพูดกลับพูดจริงเพราะไม่รู้ว่าไถ่โทษให้ตัวเองอย่างไรแล้ว “มันมีที่ไหนเล่า ผู้หญิงข่มขืนผู้ชาย หรือต่อให้มีจริง ฉันก็ไม่หน้ามืดทำอะไรบ้าๆอย่างนั้น”
เสียงตวาดแวดๆที่ดังขึ้นทำให้เวทิศต้องบดกรามแน่น เอาอีกแล้วนะ เธอใช้เสียงดุๆตวาดเขา ข่มขู่ให้รู้สึกผิดอีกแล้วนะ!
“แล้วจะเอายังไง จะทำยังไงถึงหายโกรธ ทำยังไงถึงจะยอมให้ฉันรักดีๆ”
“อะไรนะ? อะไรคือยอมให้รักดีๆ” กันตาภาถามด้วยน้ำเสียงสูงปรี๊ด...
“ก็ร่วมรักกันไง รู้ไหมว่าฉันจะคลั่งตายแล้วนะ เห็นเธอเดินไปเดินมาแต่จะกอดก็ยังไม่ได้เลย” เวทิศบอกทั้งสีหน้าและน้ำเสียงแสดงอารมณ์ว่าเซ็งสุดๆ
“ไอ้... ไอ้บ้า ถึงฉันจะไม่โกรธแล้วก็ไม่ยอมให้มาทำอย่างนั้นหรอก กรี๊ด... ไม่ไหวแล้วนะ รอชาติหน้าเถอะ!” กันตาภากรีดร้องออกมาอย่างเหลืออด
“ทำไม ผัวจะมีอะไรกับเมียนี่ต้องรอกันข้ามชาติ?” เวทิศเริ่มไม่พอใจ ก็เธอกับเขาเข้ากันได้ดีอย่างนั้น ทำไมต้องห้ามตัวห้ามใจด้วย
“หยาบคาย! ฉันไปจดทะเบียนสมรสรับคุณเป็นสามีเมื่อไหร่ แค่ความผิดพลาดครั้งเดียวอย่ามาเหมารวมนะ” กันตาภาตะโกนใส่หน้าเขาอย่างเหลืออด สองมือพยายามผลักไหล่เขาให้ถอยห่างแต่กลับไม่เป็นผล
“สามครั้ง ไม่รวมที่เธอไม่รู้ตัวด้วย” เมื่อความโมโหเข้าครอบงำ เวทิศก็ไม่คิดจะปรุงแต่งคำพูดให้น่าฟังอย่างที่เธอเคยบอก และเอาความจริงที่สุดมากองตรงหน้าเธอ “ผู้หญิงนี่ต้องได้กอดทะเบียนสมรสก่อนงั้นสิ ถึงจะยอมมอบกายถวายชีวี ถามหน่อยเถอะ ทำไมถึงอยากได้กันนักก็แค่กระดาษแผ่นเดียว”
“ฉันจะไม่อธิบายอะไรที่มันลึกซึ้งเกินกว่าที่จิตใจและสมองของคุณจะตีความได้หรอกเพราะพูดไปก็ไม่เกิดประโยชน์ แต่สำหรับฉันถ้าสัมผัสได้ว่าเขารักฉันคนเดียว ไม่ต้องบังคับหรือรอชาติไหนก็เต็มใจมอบให้ตลอดเวลา แต่กับคนอย่างคุณ อย่าหวัง!”
“ทำไม คนอย่างฉันมันเป็นยังไง แล้วที่พูดอย่างนี้หมายความว่าเป็นเมียฉันแล้วก็ไม่สน แต่มีคนรักแล้วว่างั้นเถอะ” เวทิศถาม เธอทำให้อารมณ์อันงดงามของเขาเหือดหาย หากยังไม่ทันได้คำตอบเสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้นขัดจังหวะ
เวทิศขยับตัวลุกขึ้นจากร่างอวบอิ่มและมองหน้าเธอด้วยสายตาคาดโทษ เมื่อเห็นว่าเธอรีบลุกขึ้นจัดเสื้อผ้าให้เขาที่แถมยังใช้มือปัดตามเนื้อตัวราวกับขับไล่สัมผัสของเขา
“อะไร?” เวทิศถามออกไปเมื่อเสียงเคาะประตูห้องครั้งที่สองเงียบลง
“อาหารกลางวันมาแล้วค่ะ”
กันตาภาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เสียงของเลขานุการที่ดังขึ้นนั้นเหมือนเสียงระฆังที่ช่วยเธอให้หลุดพ้นจากเงื้อมือของตัวอันตราย ไม่กี่นาทีที่ได้ใกล้ชิดกันเขาทำให้เธอเกือบเชื่อใจ เชื่อมั่นในมิตรภาพอันดี แต่ไม่กี่นาทีต่อมาเขาก็แสดงธาตุแท้ของผู้ชายเสเพลที่หายใจเข้าออกมีแต่เรื่องพรรค์นั้น
เหนือสิ่งอื่นใดสิ่งที่กลัวที่สุดไม่ใช่แค่เขา แต่มันคือหัวใจของตัวเองที่มักเผลอเลอโอนอ่อนไปตามที่เขาชักนำอย่างง่ายดาย
อาหารกลางวันที่เลยเวลามากว่าชั่วโมงครึ่งไม่ได้ทำให้หิวหรือเพิ่มความเอร็ดอร่อยขึ้นเลย เพราะต่างคนต่างรับประทานอาหารไปเงียบๆราวกับกำลังคิดทบทวนถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ช่วงบ่ายของวันที่เหลือกันตาภาจึงถือโอกาสเดินออกจากห้องทำงานโดยไม่ได้ขออนุญาต เวทิศก็ทิฐิเกินกว่าที่จะยอมเอ่ยปากพูดกับผู้หญิงหัวรั้นอย่างเธอก่อนแต่ก็ยังสั่งให้ผู้ช่วยเลขานุการอยู่ใกล้ๆเป็นเงาตามตัว
สวัสดีค่า นักอ่านที่รัก
ศิริพาราแถมคุณกายสุดห่ามให้อ่านกันอีกตอนนะคะ ตอนนี้เป็นตอนสุดท้าย เมียบำเรอครึ่งคืนตีพิมพ์เป็นรูปเล่มแล้วและสามารถ หิ้วคุณกายจอมห่ามไปครอบครองได้ที่ ร้านนายอินทร์ เว็บสำนักพิมพ์อินเลิฟ เว็บบุ๊กสไมล์ และสามารถพูดคุยกับศิริพาราได้ตามช่องทางดังนี้
ติชมหรือแสดงความคิดเห็นได้ตามสบายค่า เม้ามอยหอยขมกันได้ไม่เฉพาะเรื่องนิยาย ศิริพารายังมีเกมกติกาแสนง่ายดาย แจกของรางวัลเล็กน้อยเพื่อตอบแทนนักอ่านที่รัก อย่าลืมกดlikefanpage ศิริพารา รายาฤดีนะคะ
จบเรื่องนี้แล้ว ศิริพาราจะเอานิยายทั้งหมดมาอัพให้นักอ่านที่รักได้อ่านกันทุกเรื่อง ขอบคุณที่ติดตามและแสดงความคิดเห็นค่ะ
จุ๊บๆๆ
ศิริพารา
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ