แรดชิบหาย เมียอย่างมึง!
5.5
เขียนโดย LemonNest
วันที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 เวลา 21.06 น.
42 chapter
66 วิจารณ์
54.42K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 21.17 น. โดย เจ้าของนิยาย
6) ตอนที่ 5
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความตอนที่ 5
เพทาย
ร่างกายแข็งแรงเคลื่อนไหวหนักหน่วงกระหน่ำใส่ร่างบางเอวขอดไม่ยั้ง สองมือตะปบเข้ากับหน้าอกใหญ่บีบเค้นเป็นรอยแดงเถือก ริมฝีปากสีซีดจูบซับซอกคอไล้เลียแผ่วเบา กลิ่นน้ำหอมลอยมาแตะจมูกมันฉุนจนต้องย่นจมูกพ่นลมหายใจร้อนออกมา
“อ้า...เพ...อืม...” เสียวครางหวานบิ้วอารมณ์รักให้เพิ่มขึ้น สะโพกสอบยกสูงดันแท่งร้อนเข้าไปสุดแรงใบหน้าหล่อผละออกจากอกนุ่มมาลิ้มลองริมฝีปากนิ่มที่ติดสีแดงเหมือนเชอร์รี่
“ซี้ดดด อ้ะ อา ไหวไหมครับออม” ผมกระซิบกัดใบหูนิ่มของเพื่อนร่วมชั้นที่พ่วงตำแหน่งคู่นอน
“วะ ไหว แฮ่กๆๆ อื้มม ซี๊ดดด ขยับตรงนั้น อ๊ายย เพคะ”
ท่าร่วมรักแสนธรรมดากับอากาศภายนอกที่เย็นจัดไม่ได้ทำให้ทั้งคู่รู้สึกเย็นขึ้นแม้แต่น้อย เสียงซ่าของสายฝนสาดกระทบหน้าต่างดังกึกๆเหมือนพายุเข้า แม้ตอนนี้จะเป็นเวลาหกโมงกว่าแล้วก็ตามเพทายยังคงร่วมรักกับสาวสวยไม่มีทีท่าจะจบง่ายๆ
หน้าจอสว่างขึ้นโชว์เบอร์ลูกน้องคนสนิทนับยี่สิบสาย คนตกลงรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะตั้งใจเรียนผลีผลามพรวดออกมาเที่ยวเล่นข้างนอกไม่ได้บอกใคร มันน่าโมโห! ยิ่งห้ามยิ่งทำ ไม่รู้ว่าจุดประสงค์ของคนทำมันต้องการอะไรแต่...
ไอ้ตัวต้นเหตุมันต้องรับโทษหนักแน่
…………………………………………………………
ต้นข้าว
ผมปั่นจักรยานออกมาซื้อของเข้าร้านที่ขาดกะทันหัน พี่แซมอาสาจะช่วยแต่ผมเกรงใจบอกปฏิเสธไป แต่กว่าจะยอมยื้อยุดฉุดกระชากใบรายการจนเกือบขาด วันนี้ว้าเหว่โคตรไอ้เต้ยมันกลับบ้านไปก่อนลูกพี่ลูกน้องมันมาเยี่ยม แต่ก็ดีอย่างจะได้ไม่ต้องหาเหตุผลข้ออ้างในการกลับบ้านเองครั้งนี้
โครม!
เพราะช่วงหักมุมทางโค้งพอดีรถจักรยานสองคันจึงชนกันล้มทั้งคู่ ดีที่เป็นแค่จักรยานไม่อยากจะคิดว่าถ้าเป็นมอ'ไซค์หรือรถใหญ่จะเจ็บเพียงใด คู่กรณีก็เจ็บไม่ต่างกันต่างคนต่างรีบเลยขอโทษกันช่วงเวลาสั้นๆ
“กลับแล้วนะครับพี่ สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้พี่ๆในร้านสะพายกระเป๋าเดินออกมานั่งรอเพทายหน้าร้านโทรไปก็ไม่รับสายสงสัยขับรถอยู่
ผ่านไป 30 นาที...
ซ่าาา ซ่าาา
ผมกระเถิบตัวเองเข้ามาด้านในหลบละอองฝนที่กระหน่ำตกลงมาไม่หยุด จะเข้าไปรอในร้านก็ไม่ทันเห็นรถพี่พิมขับออกไปตั้งแต่สอบนาทีก่อน รู้อย่างนี้ยอมนั่งไปกับพี่พิมก็หมดเรื่อง จะให้กูรอทำเหี้ยอะไร รอแล้วก็ไม่มา!
Rrrrr
“ไอ้เหี้ย! มึงอยู่ไหน” กดรับได้ผมสาดเสียงใส่ปลายสายด้วยความโมโห คิดว่ามันจะสำนึกแต่มันไม่ใช่
(....ใครให้มึงรอ กูบอกให้รอก็รอจริง?)
“.......” ผมกำลังสะอึกกับคำพูดที่ได้ยิน
(หึ ลืมไป มึงคงไม่มารอกูหรอก ไอ้เชี้ยนั่นมันต้องอาสาไปส่งอยู่แล้ว)
“มึงหมายถึงใครวะ! จะมาไม่มาฝนตกกูไม่อยากโทรนานๆ” เสียงฟ้าเปรี้ยงผมรีบย่นคออยากจะวางสายกลัวมันจะผ่าลงมา
(อย่ามาอ้าง! มึงอยู่กับมันก็บอกมาไม่ต้องทำเป็นรอกู หึ เนียนซะด้วยนะ)
“เนียนอะไรวะ กูยืนรอมึงอยู่ข้างร้านเนี้ยไอ้สัส!” ผมไม่เดินตากฝนกลับหรอกนะเว้ย อย่างน้อยก็ต้องรอให้หยุดตกก่อน พี่ต้นน้ำก็ปิดเครื่อง เห้อ
(...โกหก ทำไมมึงชอบโกหกกูวะ!! แล้วรูปที่กูเห็นคือเหี้ยอะไร! มึงบอกมึงไม่เคยกับผู้ชายแล้วรูปนี้มันอะไรวะ!!)
ผมยืนกำโทรศัพท์แน่นมือสั่นปากสั้นทั้งหนาวทั้งโกรธ ดวงตาร้อนผ่าวเงยหน้ากลืนน้ำลายลงคอเลียริมฝีปากซีด มึงก็รู้อยู่แก่ใจว่าคนแรกกูเป็นใครทำไมยังถามอีกวะ โกหก...ผมเพิ่งรู้ว่าคำพูดมึงมีอิทธิพลก็วันนี้แหละ
“...เห็นกูเป็นคนนี้แบบนี้ใช่ไหมวะ” ผมไม่ควรจะถามมันต่อ แต่ในใจลึกๆก็ไม่อยากให้มันเข้าใจผิด
(เอาอะไรกับกูวะ มึงคิดว่าแค่ไม่กี่วันจะทำกูเชื่อใจมึงได้? เหอะ...ฝันไปหน่อยไหมต้นข้าว)
เปรี้ยง! ครืนนนน
ผมหลับตาลงช้าๆปล่อยให้น้ำหยดใสที่เอ่อมันล้นออกมาตามอำเภอใจ เนิ่นนานที่ทั้งผมและมันพากันเงียบเหมือนเราต่างจมอยู่ในความคิดของตัวเอง มันไม่ตัดสายและผมก็ไม่มีแรงที่จะเอาหูออกเพื่อกดวาง
“....ฮึก...ฮึก....ฮืออออ...” หนุ่มหน้าคมปล่อยโฮออกมาไม่อายใคร สายฝนยังกระหน่ำลงมาแรงขึ้นตอกย้ำความโง่เขลาครั้งนี้ ผมรู้มันได้ยินแต่ไม่ยอมพูดหรือวาง
ไม่ได้ต้องการจะเรียกความสงสาร แต่นาทีที่อ่อนแอใครมันจะห้ามไหวแม้แต่ตัวเองยังห้ามไม่อยู่
“ทำไมมึงทำกับกูแบบนี้วะ...ฮึก...ทำไมมึงไม่วาง...กูรอมึงอยู่แล้วมึงคิดว่ากูอยู่กับใครวะ...ฮึก...ทำไมมึงต้องตบกู...ทำไมทำเหมือนหึงทั้งที่บอกกูไม่สำคัญ...มึงจะรั้งกูไว้ด้วยข้อเสนอนั้นทำไม....ฮึก...” ผมยกมือปาดน้ำตาทิ้ง
“มึงไม่ต้องกลัวว่ากูคิดจะจับมึงเพราะกูจนหรอกนะ ถึงกูจนแต่กูก็มีศักดิ์ศรีมีมือมีตีนหากินเองได้ แล้วเรื่องพี่ต้นน้ำกูจะไม่ให้เขาไปสอนมึงอีก ฮึก มะ...”
(คิดเหี้ยอะไร! รออยู่ตรงนั้นแหละเดี๋ยวกูไปรับ)
ผมสูดน้ำมูกยกแขนเสื้อเช็ดปะปนกับน้ำตา มองหน้าจอที่ดับลงไป ไม่รู้ว่าคำพูดของผมมันไปเปลี่ยนใจเพทายได้ตอนไหนแต่มันก็ได้ผล!
บอกตามตรงว่าเรื่องที่พูดๆออกไปแม่งมาจากใจล้วนๆตอนมันพูดโคตรเจ็บแต่ไม่ถึงขั้นดราม่า ถ้าจะจบกันผมขอให้เป็นเหตุผลที่ต่างคนต่างยอมรับทั้งคู่ดีกว่า ไม่ใช่เพราะมือที่สาม ไม่ใช่เพราะเข้าใจผิด แต่ขอเป็นเราทั้งคู่พร้อมใจกันเดินห่างกันจะดีกว่า
อย่าให้รู้นะไอ้สัสว่าใครคิดเล่นตลกอยู่ เพทายคนโง่หลงเชื่อคำพูดใครมาวะ
………………………………………………………..
ปัง
ผมบีบจมูกสูดลมหายใจเข้าออกฟืดฟาด ขึ้นรถมาได้ก็ต้องสะดุ้งกับความเย็นของแอร์ที่เย็นเข้าไปถึงกระดูกเรียกว่าครั้งแรกเลยก็ได้ที่ผมได้นั่งรถของมันจริงๆ เพทายเหล่มองผมไปทั้งตัวสบถจิ๊จ๊ะในลำคอเอื้อมมือไปเบาะหลังโยนเสื้อแขนยาวของมันมาให้
“เสื้อสีอื่นไม่มีไงวะ ใส่ไปเกะกะลูกตากู” ผมรับมาคลุมส่วนหน้ามือกุมกันสั่นหงึกๆ มันคงรู้ว่าผมไม่ไหวยังอุตส่าห์ลดแอร์ให้มองกระจกหลังออกรถทันฝ่าสายฝนที่เริ่มเบาลงออกไป
“ทำไมมารับ?” เสียงแหบแห้งของคนกำลังจับไข้ถามขึ้น ใบหน้าขาวเริ่มซีดหน้าไร้เลือดฝาด
“หุบปาก กูจะขับรถ” เสียงเข้มดุ ต้นข้าวหลับลงด้วยความเพลีย
เพทายจอดรถปลดเข็มขัดออกหันมามองใบหน้าคมที่หลับอยู่เบาะข้างกัน มือใหญ่แตะสัมผัสแผ่วเบาที่โครงหน้าแอบหยิกแก้มนิ่มหมันเขี้ยว ริมฝีปากซีดขยับเม้มเข้าออกกำลังขัดใจกับสิ่งรบกวนภายนอก พลิกตัวหันไปอีกด้านพ่นลมหายใจออกมาสม่ำเสมอมือลูบแขนตัวเองคลายหนาว
ภาพถ่ายของเบอร์ปริศนาถูกส่งเข้ามาหลังจากที่เพทายออกมาจากร้านได้สักพัก กดเข้าไปดูเป็นภาพต้นข้าวกำลังจับมือกับหนุ่มนักศึกษาแพทย์ที่แตงเพื่อนสาวบอกว่าดีนักดีหนา เพราะมันดีนี่แหละเขาเลยกลัว กลัวว่าคนที่นั่งอยู่ข้างๆจะหันไปชอบ เลยออกไประบายอารมณ์คอนโดของออมก่อนจะกลับมาบ้าน
ส่วนการเรียนวันนี้ก็ได้โดดอย่างไม่ต้องคิด
“กูเชื่อมึงต้นข้าว แต่กูไม่เชื่อมัน...อย่าไว้ใจคนอื่นได้ไหมวะ” เสียงพึมพำพูดขึ้น คนที่นอนไม่ได้สติหลับตานิ่งไม่ไหวติงลำบากต้องอุ้มเข้าห้องอีก
“เจ้านาย!” โจ้เบิกตากว้างสาวเท้าเข้ามาชิด ยื่นมือจะไปรับร่างหนุ่มน้อยมาอุ้มแต่เจอสายตาดุส่งให้
“ไม่ต้อง มึงไปเปิดประตูที”
“ครับ”
ร่างขาวนวลล้มตัวลงนอนบนเตียงนุ่มขดตัวปากสั่นหนักกว่าเดิม โจ้เห็นท่าไม่ดีเดินหายไปห้องข้างๆหยิบสารพัดยาเข้ามาในห้องนอนเพทาย หนุ่มหล่อทำอะไรไม่ถูกยืนนิ่งมองอยู่อย่างนั้น
“เอ่อ...ต้นข้าวน่าจะไม่สบายผมว่าจะเช็ดตัวให้” โจ้ลังเลมองสีหน้าเจ้านาย เพทายหันขวับมามอง
“ไม่ต้อง! กูเช็ดเอง”
“แล้วเจ้านายทำเป็นเหรอครับ” โจ้ก้มหน้างุดเมื่อเจอสายตาเย็น
“ครับๆ งั้นผมจะเอากะละมังกับผ้ามาให้แล้วกัน” ใครมันจะไปอยู่ให้โดนกระทืบ ถึงไม่ตอบแต่ใครก็เดาออกโกรธเขาแต่ก็มาเช็ดตัวให้มันขัดกันยังไงอยู่
โจ้วางกะลังมังที่ใส่น้ำเพียงครึ่งกับผ้าที่ลอยอยู่ก่อนจะเดินออกไปรอข้างนอก เพทายทรุดตัวลงนั่งข้างผู้ป่วยบิดน้ำให้หมาดคลี่ผ้าออกซับไปที่ใบหน้านวล ลำคอที่ขาวสะอาดสะอ้านมีรอยช้ำเป็นจ้ำอยู่สองจุด มันน่าโมโหถ้าคนอื่นทำ แต่เจ้าตัวคนทำมันก็นั่งอยู่นี่ไง
“ขาวจังวะ มึงผู้ชายจริงๆรึเปล่าวะ” ต้นข้าวได้ยินเสียงพึมพำกับสัมผัสเย็นๆที่ตัวลืมตาปรือขึ้นมาดู มองเห็นหน้าหล่อที่ก้มลงเช็ดหน้าอกเขาสีหน้าจริงจังเหงื่อออกย้อยไหลตามไรผม
ไม่รู้นานแค่ไหนที่ผมเผลอใจเต้นแรงกับการกระทำที่อ่อนโยน ใบหน้าของมันยามสะท้อนกับแสงไฟช่างงดงามเหมือนเทพบุตร มันหล่อมันรวยใครๆก็อยากวิ่งเข้าหา แต่ผมไม่ได้คิดแบบนั้น ผมว่ามันมีอะไรหลายๆอย่างที่น่าดึงดูด เพทายเงยหน้าขึ้นมาสบตากับผมจังๆมันหน้าเหวอแต่ผมมองว่าโคตรน่ารักเลย
“ตื่นมาก็ดี เช็ดข้างล่างต่อเองแล้วกัน” มันโยนผ้าทิ้งลงบนหัวผมแปะอยู่กลางหน้าผาก ผมยิ้มให้ดึงผ้าออกยื่นให้มัน
“เช็ดให้หน่อย” น้ำเสียงออดอ้อนที่ไม่เคยได้ยินส่งผ่านมาพร้อมสายตาขอร้อง เพทายเม้มปากลังเล
“อะไร มึงก็ลุกขึ้นมาเช็ดเองสิวะ เดี๋ยวก็หาว่ากูลวนลามอีก”
“นะ เช็ดให้หน่อย กูไม่มีแรงแล้วเนี้ย” ผมวางแขนที่ถือผ้าลงข้างตัว หัวก็ปวดตุบๆหนาวๆร้อนๆ
“...เออๆ อย่ามาบ่นที่หลังแล้วกัน” เพทายรับผ้าไปเช็ดต่อ มือปลดกระดุมกางเกงสั่งให้คนป่วยยกสะโพกขึ้น ต้นข้าวยอมทำตามว่านอนสอนง่าย เพทายมือสั่นใจสั่นเช็ดไปเหงื่อไหลไป
“ร้อนเหรอวะ?” ผมแกล้งถามมันชันเข่าขึ้นตั้งสองข้างไม่ได้อายเลยว่าตัวเองใส่เพียงซับในและสีขาวอีก
“เชี้ย! จะยกขาหาพ่อง วางลงๆกูเช็ดได้” เพทายรีบพูดกดขาลงแนบกับเตียง ก็ผมกลัวมันเช็ดซอกขาไม่ได้อ่า
“เพทาย...”
“อืม”
“เพ...เราลองมาพูดดีๆกันไหม” ผมขี้เกียจทะเลากับมันแล้วว่ะ ไม่สนุกเลยสักนิด
“....เพื่ออะไร ถ้ามันไม่มีเรื่องกูก็พูดดีๆอยู่หรอก” หนุ่มหล่อเงยหน้ามาสบตาคนป่วยที่หน้าเริ่มแดงระเรื่อจากพิษไข้ ถ้ารู้ว่าป่วยแล้วน่าเอาขนาดนี้กูไม่มาเช็ดตัวให้หรอกสัส!
“แล้ววันนี้ทำไมมึงไม่มารับกู?”
“ไม่อยากตอบ มึงไม่ต้องถามมากได้ป่ะวะ” ต้นข้าวถอนหายใจทิ้ง เพทายลูบขาขาวเล่นพลางคิดไปด้วย
“กูรอมึงนะ...กูไม่ได้ไปกับใคร ถ้ามีอะไรก็พูดกันตรงๆ”
“แล้วรูปเหี้ยนั่นมันอะไรวะ! บอกอย่าถามๆทำกูขึ้นจนได้” เสียงตะคอกดังลั่นห้อง เพทายโยนผ้าทิ้งเดินออกไปหยิบโทรศัพท์ยื่นให้ดู
“มึงตอบกูมาสิว่ากูเข้าใจผิด มึงตอบกูมาว่ามันไม่ได้จับมือมึงอยู่!!” นัยน์ตาแข็งกร้าวมองต้นข้าวหายใจถี่อยากจะระเบิดออกมาให้คนป่วยรับรู้
“ถ้ากูบอกว่าใช่...มึงคงไม่เชื่อ แต่กูไม่ได้โกหก” ผมพูดความจริงจ้องเข้าไปในตามัน
“งั้นพิสูจน์ดิ ยอมให้กูเอาแล้วกูจะเชื่อว่ามึงไม่ได้มีอะไรกับมัน” เพทายเดือดดาลเอ่ยท้าออกไป ต้นข้าวน้ำตาคลอจากเดิมที่เสียใจพออยู่แล้วมาเจอคำพูดดูถูกซ้ำเข้าไปอีก
“ฮึก...กูมีแค่มึง กูยอมแค่มึงคนเดียวมึงยังไม่เชื่อใจกู?”
“ก็ยอมให้กูเอาจะได้รู้ว่าคำพูดมึงน่าเชื่อถือแค่ไหน” ยังไม่ยอมหยุดความคิดนี้ใช่ไหม ผมเบี่ยงหน้าหนี
“มึงออกไปเหอะ...ออกไปให้พ้นๆหน้ากู พอแล้ว กูเหนื่อย กูยอมแล้ว...ฮึก...”
สวบ
ร่างกายแข็งแรงนอนสวมกอดร่างบอบบางทางด้านหลังยกขาขึ้นก่ายใบหน้ายื่นวางอยู่แนบซอกคอหอมกรุ่นจรดริมฝีปากจูบและดูดดึงให้เกิดรอย
“อย่าพูดมันออกมา...อย่าบอกว่าจะไปจากกูอีก” แก้มใสเปื้อนคราบน้ำตา ใบหน้านิ่งสงบสะอื้นหนัก
“......”
“เออ กูหึง กูงี่เง่าเองจบไหมวะ ก็มึงแม่ง...” ต้นข้าวพลิกตัวเข้าหามองหน้าหล่อที่จ้องมองอยู่ก่อนแล้ว
“ทำไม?”
“ก็เมียกูน่ารักไง อย่าอ่อยดิวะเดี๋ยวแม่งก็ติดกันหมด” เพทายพูดยิ้มๆไร้อารมณ์เคืองหมดสิ้น ผมอมยิ้มตบหน้ามึนของมันที่จู่ๆก็ชมออกมาแถมเรียกเมียเต็มปาก
“ชอบกูแล้วไง?” ผมใจเต้นลุ้นกับคำตอบของมัน ตอนถามก็ไม่อายหรอก ตอนรอคำตอบเนี้ยโคตรเหี้ยเลย
“ไม่รู้เว้ย แล้วจะมองกูหาพ่อง เชี้ยยย บอกว่าอย่ามองไงวะ” เพทายหลบสายตายกมือปิดหน้าผมอีก
>///< บอกเลยกูเขินนน
ผมปัดมือมันออกแต่มันก็ยกขึ้นมาปิดใหม่ เหมือนเราจะบ้ากันทั้งคู่ไม่มีใครยอมใครและไม่มีใครถามเรื่องชวนเครียดอีก มันคงทนไม่ไหวรวบผมเข้าไปกอดกดหน้าให้ซุกอกแกร่งกลิ่นหอมอ่อนๆของร่างกายโชยมาแตะจมูก ผมไม่ดิ้นแต่กลับยกมือมันออกสวมกอดไว้เอง
“เนื้อแนบเนื้อไหมวะ” ผมงงจนเห็นมันถอดเสื้อถอดกางเกงเหลือแต่ซับในที่ซ่อนท่อนซุงใหญ่ไว้ เพทายดึงผ้าห่มมาปิดกายเราสองคนปิดไฟหัวเตียงห้องทั้งห้องจึงมีแต่แสงจากข้างนอกสาดส่องเข้ามา
“อุ่นเนอะมึงว่าไหม” ผมพยักหน้าแทนคำตอบ
ที่จริง...อยู่แบบนี้ก็ดีนะ
เสียงอัตราการเต้นหัวใจของมันดังเร็วมาก ผมยกมือทาบอกตัวเองก็เร็วไม่ต่างกัน มันตื่นเต้นและผมก็ตื่นเต้นไม่แพ้มัน เท่ากับว่าหัวใจเราตรงกันใช่ไหม ผมสามารถคิดแบบนั้นได้รึเปล่า
“กูไม่เคยกอดใครอุ่นเท่ามึงเลย เอ่อ...ที่จริงก่อนหน้านี้กูไปเอาผู้หญิงมา” ผมเงียบไป ใจมันสะอึกไปชั่วครู่
“อืม”
“กูโมโหมากและหึงจนอยากหาที่ระบาย กู...กู...ไม่ได้ตั้งใจ” เสียงปลายแผ่วกลัวว่าผมจะต่อว่าอะไรอีก
“.......” ผมจุกว่ะ แต่ทำอะไรไม่ได้ อิจฉาผู้หญิงคนนั้นที่ได้แตะต้องร่างกายที่เป็นของผม!
สองมือที่กอดมันผมคลายออกมันจับมือผมกอดไว้ตามเดิมแต่ผมสะบัดออก ไม่รู้ว่าที่แตะไปมันจะโดนคราบผู้หญิงคนนั้นไหม ผมรับไม่ได้และเลือกที่จะผลักมันออกหันหลังให้ตามเดิม
หมับ
มันรวบเอวผมลอยขึ้นสูงไม่คิดว่าร่างกายผู้ชายอย่างผมมันจะยกไหว เพทายยกร่างบนให้นอนทับร่างกายตัวเองขาสองข้างเกี่ยวขาผมไว้ไม่ให้ดิ้นหนี มือใหญ่บีบก้อนเนื้อนิ่มกดสะโพกผมให้แนบชิดกับส่วนร่างที่เริ่มดิ้นจนรู้สึกได้
“ตอนกูเอากับเธอกูนึกถึงมึง...ใบหน้ามึง...สัมผัสของมึง...ขอโทษ...”
“กูไม่ได้อยากรู้” ผมหันหน้าหนี
“แต่กูอยากบอก แล้วที่กูไปรับมึง...เพราะกูทนเสียงมึงร้องไห้ไม่ได้ กูทนใจแข็งไม่ได้ทั้งที่มึงทำผิด”
“บอกว่ากูกับพี่แซมไม่ได้มีอะไรกัน!”
“กูหึงแค่ไหนมึงไม่รู้หรอก แค่จับมือกูยังยอมไม่ได้ แล้วถ้ามันทำอย่างอื่นกูไม่ดิ้นตายเลยเหรอวะ” พูดไปเสียงก็เข้มขึ้น มือมันสอดเข้ามาใต้ซับในของผมสัมผัสส่วนอ่อนไหวลูบแผ่วเบา
“ทะ ทำอะไร” ผมหายใจติดขัดใบหน้าตื่นพยายามลุกขึ้นแต่ไม่สำเร็จ
“ตรงนี้กูหวงมาก! ขอได้ไหมวะอย่าใส่กางเกงขาสั้นอีก นั่งทีเห็นแทบจะทุกส่วนเลยสัสเอ๊ย!!”
“ยุ่งอะไรกับกูอีกล่ะ” ผมดิ้นพล่านมือมันโยกรูดส่วนนั้นของผม แม้จะมืดแต่แสงไฟเพียงเล็กน้อยก็ทำให้
ผมเห็นหน้าหื่นๆของมัน
“เสื้อขาวส้นตีนนี่อีก แม่ง! กูจะเอาไปเผาให้หมดทุกตัว” มันเริ่มบ่นไปมืออีกข้างก็ลามไปทั่วทั้งตัวผม
มันกำลังโมโห หรือกลบเกลื่อนความหื่น
“โว๊ยยย มึงเอามือออกไปเดี๋ยวนี้เลยนะ!!” ผมทนไม่ไหวกัดฟันกรอดข่มอารมณ์อ่อนไหวที่เกิดขึ้น
“เรื่องดิ กำลังเพลินมือเลย น้องมึงพอดีมือกูเลยว่าไหม” มันยิ้มล้อเลียนเลียริมฝีปากมองโลมเลีย ผมทำเหี้ยอะไรได้ล่ะกัดเนื้อที่หน้าท้องมันระบายความเสียว แล้วดูมันครับ เสือกร้องครางเพิ่มอารมณ์กูอีก
เพทายยิ้มมีความสุขที่ได้ระบายสิ่งที่อัดอั้นออกไปจนหมด มันก็ไม่ได้แย่เมื่อมีต้นข้าวอยู่ด้วย กลับดีซะอีกที่มันบอกยอมผมแค่คนเดียว ไม่รู้ว่าหนทางหน้าผมจะยอมรับมันได้ไหม แต่วันนี้ผมก็ยอมไประดับหนึ่ง
โจ้เอาหูแนบประตูอมยิ้มปิดปากขำเบาๆ ไหนว่าจะฆ่าให้ตายแล้วสรุปมานอนกอดกันบนเตียงได้ยังไง ถ้าพรุ่งนี้เช้าตื่นมาแล้วรู้ว่าต้องไปอยู่บ้านเดียวกับต้นข้าวคงไม่มีปัญหาอีกแล้วมั้ง เห้อ เห็นเจ้านายได้กัน เอ๊ย! มีความสุขลูกน้องอย่างเขาก็เบาใจ อย่างว่า...
ผัวเมียทะเลาะกัน จบลงบนเตียงแล้วจะแฮปปี้ถ้าจะจริง
โจ้เดินออกจากห้องไปไม่ลืมกดล็อคประตูให้อีกด้วยความหวังดี เงาชายหนุ่มอีกคนมายืนหยุดอยู่ตรงหน้า โจ้เงยหน้าขึ้นมองกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่
“ไอ้เพมันพาใครมาโจ้ น่ารักดีนะ” รอยยิ้มที่สาวๆค่อนประเทศพากันหลงรักแย้มขึ้น ใบหน้าหล่อเหลาคล้ายคลึงกับคนน้องยื่นมาใกล้โจ้จนต้องผละหนี
“คุณเพลง” โจ้เรียกชื่อออกมาตกใจไม่หาย น้องว่าร้ายเจอคนพี่เข้าไปต้นข้าวต้องตายแน่ ก็คนพี่คนนี้รสนิยมเด่นชัดว่าชอบผู้ชาย แถมนายท่านก็ไม่ได้ว่าอะไรอีก โอ๊ย! เจ้านายซวยแล้ว
TBC.
เพทาย
ร่างกายแข็งแรงเคลื่อนไหวหนักหน่วงกระหน่ำใส่ร่างบางเอวขอดไม่ยั้ง สองมือตะปบเข้ากับหน้าอกใหญ่บีบเค้นเป็นรอยแดงเถือก ริมฝีปากสีซีดจูบซับซอกคอไล้เลียแผ่วเบา กลิ่นน้ำหอมลอยมาแตะจมูกมันฉุนจนต้องย่นจมูกพ่นลมหายใจร้อนออกมา
“อ้า...เพ...อืม...” เสียวครางหวานบิ้วอารมณ์รักให้เพิ่มขึ้น สะโพกสอบยกสูงดันแท่งร้อนเข้าไปสุดแรงใบหน้าหล่อผละออกจากอกนุ่มมาลิ้มลองริมฝีปากนิ่มที่ติดสีแดงเหมือนเชอร์รี่
“ซี้ดดด อ้ะ อา ไหวไหมครับออม” ผมกระซิบกัดใบหูนิ่มของเพื่อนร่วมชั้นที่พ่วงตำแหน่งคู่นอน
“วะ ไหว แฮ่กๆๆ อื้มม ซี๊ดดด ขยับตรงนั้น อ๊ายย เพคะ”
ท่าร่วมรักแสนธรรมดากับอากาศภายนอกที่เย็นจัดไม่ได้ทำให้ทั้งคู่รู้สึกเย็นขึ้นแม้แต่น้อย เสียงซ่าของสายฝนสาดกระทบหน้าต่างดังกึกๆเหมือนพายุเข้า แม้ตอนนี้จะเป็นเวลาหกโมงกว่าแล้วก็ตามเพทายยังคงร่วมรักกับสาวสวยไม่มีทีท่าจะจบง่ายๆ
หน้าจอสว่างขึ้นโชว์เบอร์ลูกน้องคนสนิทนับยี่สิบสาย คนตกลงรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะตั้งใจเรียนผลีผลามพรวดออกมาเที่ยวเล่นข้างนอกไม่ได้บอกใคร มันน่าโมโห! ยิ่งห้ามยิ่งทำ ไม่รู้ว่าจุดประสงค์ของคนทำมันต้องการอะไรแต่...
ไอ้ตัวต้นเหตุมันต้องรับโทษหนักแน่
…………………………………………………………
ต้นข้าว
ผมปั่นจักรยานออกมาซื้อของเข้าร้านที่ขาดกะทันหัน พี่แซมอาสาจะช่วยแต่ผมเกรงใจบอกปฏิเสธไป แต่กว่าจะยอมยื้อยุดฉุดกระชากใบรายการจนเกือบขาด วันนี้ว้าเหว่โคตรไอ้เต้ยมันกลับบ้านไปก่อนลูกพี่ลูกน้องมันมาเยี่ยม แต่ก็ดีอย่างจะได้ไม่ต้องหาเหตุผลข้ออ้างในการกลับบ้านเองครั้งนี้
โครม!
เพราะช่วงหักมุมทางโค้งพอดีรถจักรยานสองคันจึงชนกันล้มทั้งคู่ ดีที่เป็นแค่จักรยานไม่อยากจะคิดว่าถ้าเป็นมอ'ไซค์หรือรถใหญ่จะเจ็บเพียงใด คู่กรณีก็เจ็บไม่ต่างกันต่างคนต่างรีบเลยขอโทษกันช่วงเวลาสั้นๆ
“กลับแล้วนะครับพี่ สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้พี่ๆในร้านสะพายกระเป๋าเดินออกมานั่งรอเพทายหน้าร้านโทรไปก็ไม่รับสายสงสัยขับรถอยู่
ผ่านไป 30 นาที...
ซ่าาา ซ่าาา
ผมกระเถิบตัวเองเข้ามาด้านในหลบละอองฝนที่กระหน่ำตกลงมาไม่หยุด จะเข้าไปรอในร้านก็ไม่ทันเห็นรถพี่พิมขับออกไปตั้งแต่สอบนาทีก่อน รู้อย่างนี้ยอมนั่งไปกับพี่พิมก็หมดเรื่อง จะให้กูรอทำเหี้ยอะไร รอแล้วก็ไม่มา!
Rrrrr
“ไอ้เหี้ย! มึงอยู่ไหน” กดรับได้ผมสาดเสียงใส่ปลายสายด้วยความโมโห คิดว่ามันจะสำนึกแต่มันไม่ใช่
(....ใครให้มึงรอ กูบอกให้รอก็รอจริง?)
“.......” ผมกำลังสะอึกกับคำพูดที่ได้ยิน
(หึ ลืมไป มึงคงไม่มารอกูหรอก ไอ้เชี้ยนั่นมันต้องอาสาไปส่งอยู่แล้ว)
“มึงหมายถึงใครวะ! จะมาไม่มาฝนตกกูไม่อยากโทรนานๆ” เสียงฟ้าเปรี้ยงผมรีบย่นคออยากจะวางสายกลัวมันจะผ่าลงมา
(อย่ามาอ้าง! มึงอยู่กับมันก็บอกมาไม่ต้องทำเป็นรอกู หึ เนียนซะด้วยนะ)
“เนียนอะไรวะ กูยืนรอมึงอยู่ข้างร้านเนี้ยไอ้สัส!” ผมไม่เดินตากฝนกลับหรอกนะเว้ย อย่างน้อยก็ต้องรอให้หยุดตกก่อน พี่ต้นน้ำก็ปิดเครื่อง เห้อ
(...โกหก ทำไมมึงชอบโกหกกูวะ!! แล้วรูปที่กูเห็นคือเหี้ยอะไร! มึงบอกมึงไม่เคยกับผู้ชายแล้วรูปนี้มันอะไรวะ!!)
ผมยืนกำโทรศัพท์แน่นมือสั่นปากสั้นทั้งหนาวทั้งโกรธ ดวงตาร้อนผ่าวเงยหน้ากลืนน้ำลายลงคอเลียริมฝีปากซีด มึงก็รู้อยู่แก่ใจว่าคนแรกกูเป็นใครทำไมยังถามอีกวะ โกหก...ผมเพิ่งรู้ว่าคำพูดมึงมีอิทธิพลก็วันนี้แหละ
“...เห็นกูเป็นคนนี้แบบนี้ใช่ไหมวะ” ผมไม่ควรจะถามมันต่อ แต่ในใจลึกๆก็ไม่อยากให้มันเข้าใจผิด
(เอาอะไรกับกูวะ มึงคิดว่าแค่ไม่กี่วันจะทำกูเชื่อใจมึงได้? เหอะ...ฝันไปหน่อยไหมต้นข้าว)
เปรี้ยง! ครืนนนน
ผมหลับตาลงช้าๆปล่อยให้น้ำหยดใสที่เอ่อมันล้นออกมาตามอำเภอใจ เนิ่นนานที่ทั้งผมและมันพากันเงียบเหมือนเราต่างจมอยู่ในความคิดของตัวเอง มันไม่ตัดสายและผมก็ไม่มีแรงที่จะเอาหูออกเพื่อกดวาง
“....ฮึก...ฮึก....ฮืออออ...” หนุ่มหน้าคมปล่อยโฮออกมาไม่อายใคร สายฝนยังกระหน่ำลงมาแรงขึ้นตอกย้ำความโง่เขลาครั้งนี้ ผมรู้มันได้ยินแต่ไม่ยอมพูดหรือวาง
ไม่ได้ต้องการจะเรียกความสงสาร แต่นาทีที่อ่อนแอใครมันจะห้ามไหวแม้แต่ตัวเองยังห้ามไม่อยู่
“ทำไมมึงทำกับกูแบบนี้วะ...ฮึก...ทำไมมึงไม่วาง...กูรอมึงอยู่แล้วมึงคิดว่ากูอยู่กับใครวะ...ฮึก...ทำไมมึงต้องตบกู...ทำไมทำเหมือนหึงทั้งที่บอกกูไม่สำคัญ...มึงจะรั้งกูไว้ด้วยข้อเสนอนั้นทำไม....ฮึก...” ผมยกมือปาดน้ำตาทิ้ง
“มึงไม่ต้องกลัวว่ากูคิดจะจับมึงเพราะกูจนหรอกนะ ถึงกูจนแต่กูก็มีศักดิ์ศรีมีมือมีตีนหากินเองได้ แล้วเรื่องพี่ต้นน้ำกูจะไม่ให้เขาไปสอนมึงอีก ฮึก มะ...”
(คิดเหี้ยอะไร! รออยู่ตรงนั้นแหละเดี๋ยวกูไปรับ)
ผมสูดน้ำมูกยกแขนเสื้อเช็ดปะปนกับน้ำตา มองหน้าจอที่ดับลงไป ไม่รู้ว่าคำพูดของผมมันไปเปลี่ยนใจเพทายได้ตอนไหนแต่มันก็ได้ผล!
บอกตามตรงว่าเรื่องที่พูดๆออกไปแม่งมาจากใจล้วนๆตอนมันพูดโคตรเจ็บแต่ไม่ถึงขั้นดราม่า ถ้าจะจบกันผมขอให้เป็นเหตุผลที่ต่างคนต่างยอมรับทั้งคู่ดีกว่า ไม่ใช่เพราะมือที่สาม ไม่ใช่เพราะเข้าใจผิด แต่ขอเป็นเราทั้งคู่พร้อมใจกันเดินห่างกันจะดีกว่า
อย่าให้รู้นะไอ้สัสว่าใครคิดเล่นตลกอยู่ เพทายคนโง่หลงเชื่อคำพูดใครมาวะ
………………………………………………………..
ปัง
ผมบีบจมูกสูดลมหายใจเข้าออกฟืดฟาด ขึ้นรถมาได้ก็ต้องสะดุ้งกับความเย็นของแอร์ที่เย็นเข้าไปถึงกระดูกเรียกว่าครั้งแรกเลยก็ได้ที่ผมได้นั่งรถของมันจริงๆ เพทายเหล่มองผมไปทั้งตัวสบถจิ๊จ๊ะในลำคอเอื้อมมือไปเบาะหลังโยนเสื้อแขนยาวของมันมาให้
“เสื้อสีอื่นไม่มีไงวะ ใส่ไปเกะกะลูกตากู” ผมรับมาคลุมส่วนหน้ามือกุมกันสั่นหงึกๆ มันคงรู้ว่าผมไม่ไหวยังอุตส่าห์ลดแอร์ให้มองกระจกหลังออกรถทันฝ่าสายฝนที่เริ่มเบาลงออกไป
“ทำไมมารับ?” เสียงแหบแห้งของคนกำลังจับไข้ถามขึ้น ใบหน้าขาวเริ่มซีดหน้าไร้เลือดฝาด
“หุบปาก กูจะขับรถ” เสียงเข้มดุ ต้นข้าวหลับลงด้วยความเพลีย
เพทายจอดรถปลดเข็มขัดออกหันมามองใบหน้าคมที่หลับอยู่เบาะข้างกัน มือใหญ่แตะสัมผัสแผ่วเบาที่โครงหน้าแอบหยิกแก้มนิ่มหมันเขี้ยว ริมฝีปากซีดขยับเม้มเข้าออกกำลังขัดใจกับสิ่งรบกวนภายนอก พลิกตัวหันไปอีกด้านพ่นลมหายใจออกมาสม่ำเสมอมือลูบแขนตัวเองคลายหนาว
ภาพถ่ายของเบอร์ปริศนาถูกส่งเข้ามาหลังจากที่เพทายออกมาจากร้านได้สักพัก กดเข้าไปดูเป็นภาพต้นข้าวกำลังจับมือกับหนุ่มนักศึกษาแพทย์ที่แตงเพื่อนสาวบอกว่าดีนักดีหนา เพราะมันดีนี่แหละเขาเลยกลัว กลัวว่าคนที่นั่งอยู่ข้างๆจะหันไปชอบ เลยออกไประบายอารมณ์คอนโดของออมก่อนจะกลับมาบ้าน
ส่วนการเรียนวันนี้ก็ได้โดดอย่างไม่ต้องคิด
“กูเชื่อมึงต้นข้าว แต่กูไม่เชื่อมัน...อย่าไว้ใจคนอื่นได้ไหมวะ” เสียงพึมพำพูดขึ้น คนที่นอนไม่ได้สติหลับตานิ่งไม่ไหวติงลำบากต้องอุ้มเข้าห้องอีก
“เจ้านาย!” โจ้เบิกตากว้างสาวเท้าเข้ามาชิด ยื่นมือจะไปรับร่างหนุ่มน้อยมาอุ้มแต่เจอสายตาดุส่งให้
“ไม่ต้อง มึงไปเปิดประตูที”
“ครับ”
ร่างขาวนวลล้มตัวลงนอนบนเตียงนุ่มขดตัวปากสั่นหนักกว่าเดิม โจ้เห็นท่าไม่ดีเดินหายไปห้องข้างๆหยิบสารพัดยาเข้ามาในห้องนอนเพทาย หนุ่มหล่อทำอะไรไม่ถูกยืนนิ่งมองอยู่อย่างนั้น
“เอ่อ...ต้นข้าวน่าจะไม่สบายผมว่าจะเช็ดตัวให้” โจ้ลังเลมองสีหน้าเจ้านาย เพทายหันขวับมามอง
“ไม่ต้อง! กูเช็ดเอง”
“แล้วเจ้านายทำเป็นเหรอครับ” โจ้ก้มหน้างุดเมื่อเจอสายตาเย็น
“ครับๆ งั้นผมจะเอากะละมังกับผ้ามาให้แล้วกัน” ใครมันจะไปอยู่ให้โดนกระทืบ ถึงไม่ตอบแต่ใครก็เดาออกโกรธเขาแต่ก็มาเช็ดตัวให้มันขัดกันยังไงอยู่
โจ้วางกะลังมังที่ใส่น้ำเพียงครึ่งกับผ้าที่ลอยอยู่ก่อนจะเดินออกไปรอข้างนอก เพทายทรุดตัวลงนั่งข้างผู้ป่วยบิดน้ำให้หมาดคลี่ผ้าออกซับไปที่ใบหน้านวล ลำคอที่ขาวสะอาดสะอ้านมีรอยช้ำเป็นจ้ำอยู่สองจุด มันน่าโมโหถ้าคนอื่นทำ แต่เจ้าตัวคนทำมันก็นั่งอยู่นี่ไง
“ขาวจังวะ มึงผู้ชายจริงๆรึเปล่าวะ” ต้นข้าวได้ยินเสียงพึมพำกับสัมผัสเย็นๆที่ตัวลืมตาปรือขึ้นมาดู มองเห็นหน้าหล่อที่ก้มลงเช็ดหน้าอกเขาสีหน้าจริงจังเหงื่อออกย้อยไหลตามไรผม
ไม่รู้นานแค่ไหนที่ผมเผลอใจเต้นแรงกับการกระทำที่อ่อนโยน ใบหน้าของมันยามสะท้อนกับแสงไฟช่างงดงามเหมือนเทพบุตร มันหล่อมันรวยใครๆก็อยากวิ่งเข้าหา แต่ผมไม่ได้คิดแบบนั้น ผมว่ามันมีอะไรหลายๆอย่างที่น่าดึงดูด เพทายเงยหน้าขึ้นมาสบตากับผมจังๆมันหน้าเหวอแต่ผมมองว่าโคตรน่ารักเลย
“ตื่นมาก็ดี เช็ดข้างล่างต่อเองแล้วกัน” มันโยนผ้าทิ้งลงบนหัวผมแปะอยู่กลางหน้าผาก ผมยิ้มให้ดึงผ้าออกยื่นให้มัน
“เช็ดให้หน่อย” น้ำเสียงออดอ้อนที่ไม่เคยได้ยินส่งผ่านมาพร้อมสายตาขอร้อง เพทายเม้มปากลังเล
“อะไร มึงก็ลุกขึ้นมาเช็ดเองสิวะ เดี๋ยวก็หาว่ากูลวนลามอีก”
“นะ เช็ดให้หน่อย กูไม่มีแรงแล้วเนี้ย” ผมวางแขนที่ถือผ้าลงข้างตัว หัวก็ปวดตุบๆหนาวๆร้อนๆ
“...เออๆ อย่ามาบ่นที่หลังแล้วกัน” เพทายรับผ้าไปเช็ดต่อ มือปลดกระดุมกางเกงสั่งให้คนป่วยยกสะโพกขึ้น ต้นข้าวยอมทำตามว่านอนสอนง่าย เพทายมือสั่นใจสั่นเช็ดไปเหงื่อไหลไป
“ร้อนเหรอวะ?” ผมแกล้งถามมันชันเข่าขึ้นตั้งสองข้างไม่ได้อายเลยว่าตัวเองใส่เพียงซับในและสีขาวอีก
“เชี้ย! จะยกขาหาพ่อง วางลงๆกูเช็ดได้” เพทายรีบพูดกดขาลงแนบกับเตียง ก็ผมกลัวมันเช็ดซอกขาไม่ได้อ่า
“เพทาย...”
“อืม”
“เพ...เราลองมาพูดดีๆกันไหม” ผมขี้เกียจทะเลากับมันแล้วว่ะ ไม่สนุกเลยสักนิด
“....เพื่ออะไร ถ้ามันไม่มีเรื่องกูก็พูดดีๆอยู่หรอก” หนุ่มหล่อเงยหน้ามาสบตาคนป่วยที่หน้าเริ่มแดงระเรื่อจากพิษไข้ ถ้ารู้ว่าป่วยแล้วน่าเอาขนาดนี้กูไม่มาเช็ดตัวให้หรอกสัส!
“แล้ววันนี้ทำไมมึงไม่มารับกู?”
“ไม่อยากตอบ มึงไม่ต้องถามมากได้ป่ะวะ” ต้นข้าวถอนหายใจทิ้ง เพทายลูบขาขาวเล่นพลางคิดไปด้วย
“กูรอมึงนะ...กูไม่ได้ไปกับใคร ถ้ามีอะไรก็พูดกันตรงๆ”
“แล้วรูปเหี้ยนั่นมันอะไรวะ! บอกอย่าถามๆทำกูขึ้นจนได้” เสียงตะคอกดังลั่นห้อง เพทายโยนผ้าทิ้งเดินออกไปหยิบโทรศัพท์ยื่นให้ดู
“มึงตอบกูมาสิว่ากูเข้าใจผิด มึงตอบกูมาว่ามันไม่ได้จับมือมึงอยู่!!” นัยน์ตาแข็งกร้าวมองต้นข้าวหายใจถี่อยากจะระเบิดออกมาให้คนป่วยรับรู้
“ถ้ากูบอกว่าใช่...มึงคงไม่เชื่อ แต่กูไม่ได้โกหก” ผมพูดความจริงจ้องเข้าไปในตามัน
“งั้นพิสูจน์ดิ ยอมให้กูเอาแล้วกูจะเชื่อว่ามึงไม่ได้มีอะไรกับมัน” เพทายเดือดดาลเอ่ยท้าออกไป ต้นข้าวน้ำตาคลอจากเดิมที่เสียใจพออยู่แล้วมาเจอคำพูดดูถูกซ้ำเข้าไปอีก
“ฮึก...กูมีแค่มึง กูยอมแค่มึงคนเดียวมึงยังไม่เชื่อใจกู?”
“ก็ยอมให้กูเอาจะได้รู้ว่าคำพูดมึงน่าเชื่อถือแค่ไหน” ยังไม่ยอมหยุดความคิดนี้ใช่ไหม ผมเบี่ยงหน้าหนี
“มึงออกไปเหอะ...ออกไปให้พ้นๆหน้ากู พอแล้ว กูเหนื่อย กูยอมแล้ว...ฮึก...”
สวบ
ร่างกายแข็งแรงนอนสวมกอดร่างบอบบางทางด้านหลังยกขาขึ้นก่ายใบหน้ายื่นวางอยู่แนบซอกคอหอมกรุ่นจรดริมฝีปากจูบและดูดดึงให้เกิดรอย
“อย่าพูดมันออกมา...อย่าบอกว่าจะไปจากกูอีก” แก้มใสเปื้อนคราบน้ำตา ใบหน้านิ่งสงบสะอื้นหนัก
“......”
“เออ กูหึง กูงี่เง่าเองจบไหมวะ ก็มึงแม่ง...” ต้นข้าวพลิกตัวเข้าหามองหน้าหล่อที่จ้องมองอยู่ก่อนแล้ว
“ทำไม?”
“ก็เมียกูน่ารักไง อย่าอ่อยดิวะเดี๋ยวแม่งก็ติดกันหมด” เพทายพูดยิ้มๆไร้อารมณ์เคืองหมดสิ้น ผมอมยิ้มตบหน้ามึนของมันที่จู่ๆก็ชมออกมาแถมเรียกเมียเต็มปาก
“ชอบกูแล้วไง?” ผมใจเต้นลุ้นกับคำตอบของมัน ตอนถามก็ไม่อายหรอก ตอนรอคำตอบเนี้ยโคตรเหี้ยเลย
“ไม่รู้เว้ย แล้วจะมองกูหาพ่อง เชี้ยยย บอกว่าอย่ามองไงวะ” เพทายหลบสายตายกมือปิดหน้าผมอีก
>///< บอกเลยกูเขินนน
ผมปัดมือมันออกแต่มันก็ยกขึ้นมาปิดใหม่ เหมือนเราจะบ้ากันทั้งคู่ไม่มีใครยอมใครและไม่มีใครถามเรื่องชวนเครียดอีก มันคงทนไม่ไหวรวบผมเข้าไปกอดกดหน้าให้ซุกอกแกร่งกลิ่นหอมอ่อนๆของร่างกายโชยมาแตะจมูก ผมไม่ดิ้นแต่กลับยกมือมันออกสวมกอดไว้เอง
“เนื้อแนบเนื้อไหมวะ” ผมงงจนเห็นมันถอดเสื้อถอดกางเกงเหลือแต่ซับในที่ซ่อนท่อนซุงใหญ่ไว้ เพทายดึงผ้าห่มมาปิดกายเราสองคนปิดไฟหัวเตียงห้องทั้งห้องจึงมีแต่แสงจากข้างนอกสาดส่องเข้ามา
“อุ่นเนอะมึงว่าไหม” ผมพยักหน้าแทนคำตอบ
ที่จริง...อยู่แบบนี้ก็ดีนะ
เสียงอัตราการเต้นหัวใจของมันดังเร็วมาก ผมยกมือทาบอกตัวเองก็เร็วไม่ต่างกัน มันตื่นเต้นและผมก็ตื่นเต้นไม่แพ้มัน เท่ากับว่าหัวใจเราตรงกันใช่ไหม ผมสามารถคิดแบบนั้นได้รึเปล่า
“กูไม่เคยกอดใครอุ่นเท่ามึงเลย เอ่อ...ที่จริงก่อนหน้านี้กูไปเอาผู้หญิงมา” ผมเงียบไป ใจมันสะอึกไปชั่วครู่
“อืม”
“กูโมโหมากและหึงจนอยากหาที่ระบาย กู...กู...ไม่ได้ตั้งใจ” เสียงปลายแผ่วกลัวว่าผมจะต่อว่าอะไรอีก
“.......” ผมจุกว่ะ แต่ทำอะไรไม่ได้ อิจฉาผู้หญิงคนนั้นที่ได้แตะต้องร่างกายที่เป็นของผม!
สองมือที่กอดมันผมคลายออกมันจับมือผมกอดไว้ตามเดิมแต่ผมสะบัดออก ไม่รู้ว่าที่แตะไปมันจะโดนคราบผู้หญิงคนนั้นไหม ผมรับไม่ได้และเลือกที่จะผลักมันออกหันหลังให้ตามเดิม
หมับ
มันรวบเอวผมลอยขึ้นสูงไม่คิดว่าร่างกายผู้ชายอย่างผมมันจะยกไหว เพทายยกร่างบนให้นอนทับร่างกายตัวเองขาสองข้างเกี่ยวขาผมไว้ไม่ให้ดิ้นหนี มือใหญ่บีบก้อนเนื้อนิ่มกดสะโพกผมให้แนบชิดกับส่วนร่างที่เริ่มดิ้นจนรู้สึกได้
“ตอนกูเอากับเธอกูนึกถึงมึง...ใบหน้ามึง...สัมผัสของมึง...ขอโทษ...”
“กูไม่ได้อยากรู้” ผมหันหน้าหนี
“แต่กูอยากบอก แล้วที่กูไปรับมึง...เพราะกูทนเสียงมึงร้องไห้ไม่ได้ กูทนใจแข็งไม่ได้ทั้งที่มึงทำผิด”
“บอกว่ากูกับพี่แซมไม่ได้มีอะไรกัน!”
“กูหึงแค่ไหนมึงไม่รู้หรอก แค่จับมือกูยังยอมไม่ได้ แล้วถ้ามันทำอย่างอื่นกูไม่ดิ้นตายเลยเหรอวะ” พูดไปเสียงก็เข้มขึ้น มือมันสอดเข้ามาใต้ซับในของผมสัมผัสส่วนอ่อนไหวลูบแผ่วเบา
“ทะ ทำอะไร” ผมหายใจติดขัดใบหน้าตื่นพยายามลุกขึ้นแต่ไม่สำเร็จ
“ตรงนี้กูหวงมาก! ขอได้ไหมวะอย่าใส่กางเกงขาสั้นอีก นั่งทีเห็นแทบจะทุกส่วนเลยสัสเอ๊ย!!”
“ยุ่งอะไรกับกูอีกล่ะ” ผมดิ้นพล่านมือมันโยกรูดส่วนนั้นของผม แม้จะมืดแต่แสงไฟเพียงเล็กน้อยก็ทำให้
ผมเห็นหน้าหื่นๆของมัน
“เสื้อขาวส้นตีนนี่อีก แม่ง! กูจะเอาไปเผาให้หมดทุกตัว” มันเริ่มบ่นไปมืออีกข้างก็ลามไปทั่วทั้งตัวผม
มันกำลังโมโห หรือกลบเกลื่อนความหื่น
“โว๊ยยย มึงเอามือออกไปเดี๋ยวนี้เลยนะ!!” ผมทนไม่ไหวกัดฟันกรอดข่มอารมณ์อ่อนไหวที่เกิดขึ้น
“เรื่องดิ กำลังเพลินมือเลย น้องมึงพอดีมือกูเลยว่าไหม” มันยิ้มล้อเลียนเลียริมฝีปากมองโลมเลีย ผมทำเหี้ยอะไรได้ล่ะกัดเนื้อที่หน้าท้องมันระบายความเสียว แล้วดูมันครับ เสือกร้องครางเพิ่มอารมณ์กูอีก
เพทายยิ้มมีความสุขที่ได้ระบายสิ่งที่อัดอั้นออกไปจนหมด มันก็ไม่ได้แย่เมื่อมีต้นข้าวอยู่ด้วย กลับดีซะอีกที่มันบอกยอมผมแค่คนเดียว ไม่รู้ว่าหนทางหน้าผมจะยอมรับมันได้ไหม แต่วันนี้ผมก็ยอมไประดับหนึ่ง
โจ้เอาหูแนบประตูอมยิ้มปิดปากขำเบาๆ ไหนว่าจะฆ่าให้ตายแล้วสรุปมานอนกอดกันบนเตียงได้ยังไง ถ้าพรุ่งนี้เช้าตื่นมาแล้วรู้ว่าต้องไปอยู่บ้านเดียวกับต้นข้าวคงไม่มีปัญหาอีกแล้วมั้ง เห้อ เห็นเจ้านายได้กัน เอ๊ย! มีความสุขลูกน้องอย่างเขาก็เบาใจ อย่างว่า...
ผัวเมียทะเลาะกัน จบลงบนเตียงแล้วจะแฮปปี้ถ้าจะจริง
โจ้เดินออกจากห้องไปไม่ลืมกดล็อคประตูให้อีกด้วยความหวังดี เงาชายหนุ่มอีกคนมายืนหยุดอยู่ตรงหน้า โจ้เงยหน้าขึ้นมองกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่
“ไอ้เพมันพาใครมาโจ้ น่ารักดีนะ” รอยยิ้มที่สาวๆค่อนประเทศพากันหลงรักแย้มขึ้น ใบหน้าหล่อเหลาคล้ายคลึงกับคนน้องยื่นมาใกล้โจ้จนต้องผละหนี
“คุณเพลง” โจ้เรียกชื่อออกมาตกใจไม่หาย น้องว่าร้ายเจอคนพี่เข้าไปต้นข้าวต้องตายแน่ ก็คนพี่คนนี้รสนิยมเด่นชัดว่าชอบผู้ชาย แถมนายท่านก็ไม่ได้ว่าอะไรอีก โอ๊ย! เจ้านายซวยแล้ว
TBC.
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
6.4 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
4.8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
5.4 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ