มลทินปรารถนา

-

เขียนโดย ศิริพารา

วันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 เวลา 20.58 น.

  8 ตอน
  1 วิจารณ์
  11.00K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 21.07 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

8) มลทินปรารถนา ตอนที่ 8 100%

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

                การหยุดรถยนต์อย่างกะทันหันทำให้นีราภาเกือบศีรษะกระแทกกระจก หากไม่ได้เข็มขัดนิรภัยช่วยป้องกันไว้เสียก่อน

                “เบรกเบาๆก็ได้ ไม่เห็นต้องทำอย่างนี้เลย มันอันตรายนะ!” นีราภาหันไปดุ เมื่อรถยนต์หยุดอยู่หน้าหอพักของตน

                “ฉันร้อนใจ บอกฉันหน่อยสิองุ่น เธอไปทำอะไรที่นั่น ไปอยู่ในนั้นได้ยังไง ที่ฉันติดต่อไม่ได้มาวันสองวันนี้เธออยู่กับไอ้ขี้เก็กนั่นน่ะเหรอ?” ชีวินระรัวคำถามเข้าใส่หญิงสาวทันที และต้องกำกำปั้นทุบพวงมาลัยอย่างแรงเมื่อเห็นท่าทางอึกอักของเธอ “ตอบมาสิ! เธอไปนอนกับมันมาใช่ไหม?”

                เพียะ!...

                นีราภาสะบัดฝ่ามือใส่ใบหน้าของชีวินเต็มแรง “เธอเป็นคนพาฉันออกมาก็จริง แต่ไม่ได้หมายความว่าจะมาหยาบคายกับฉันอย่างนี้นะ!”

                “องุ่น... ฉัน ฉันขอโทษ!” แรงของฝ่ามือที่กระแทกลงบนใบหน้าทำให้ความวู่วามที่เกิดขึ้นในตัวของเขาลดลงได้เป็นอย่างดี “คือฉันเป็นห่วงเธอมาก แล้วก็ตกใจจนพูดไม่ออกที่เห็นเธอที่นั่นแล้วพนักงานก็ยังบอกว่าเอเป็นนางบำเรอลับของเจ้านายพวกหล่อน”

                “นางบำเรอลับที่ไหนจะกล้ามาเดินลอยหน้าลอยตาให้คนอื่นเห็นอย่างนั้น ถ้าเธอเชื่อคำพูดของคนพวกนั้นแล้วจะมาคาดคั้นเอาอะไรจากฉันอีก” นีราภาหลับตาอย่างระงับอารมณ์โกรธของตัวเอง ในหนึ่งก็รู้ว่ามันไม่ยุติธรรมเท่าใดนักที่จะเอาความเคียดแค้น คับข้องใจจากคำนินทาว่าร้ายนั้นมาลงที่ชีวินเพียงคนเดียว “ฉันขอโทษนะวิน ขอโทษที่ทำรุนแรงกับเธอ ฉันคงเครียดมากเกินไป”

                ชีวินพยักหน้ารับ “ฉันก็ต้องขอโทษเธอที่ใช้คำถามแย่ๆแบบนั้น แล้วตกลงเธอไปอยู่ที่นั่นได้ยังไง”

                “ฉันไปทำงาน ละ...แล้วเกิดเรื่องเข้าใจผิดกันนิดหน่อย ฉันเลยหาทางออกจากที่นั่นไม่ได้” นีราภาตอบไม่เต็มเสียงนักและคำชี้แจงนั้นมันก็ทำให้ชีวินงุนงงมากขึ้น

                “ฉันไม่เข้าใจ เธอหมายความว่าได้งานทำที่นั่นเหรอ แล้วเกิดเรื่องเข้าใจผิดอะไรถึงได้ถูกกักตัวอยู่ในนั้น”

                “คะ...คือ” นีราภาไม่รู้ว่าจะหาเหตุผลใดมาอธิบายให้เขาเข้าใจ ตอนนี้สมองมันตีบตันจนไม่สามารถคิดหาข้อแก้ตัวดีๆเพื่อให้เขาเข้าใจได้

                “เธอไม่ไว้ใจเพื่อนอย่างฉันแล้วใช่ไหมองุ่น?”

                นีราภาส่ายหน้าดิกหันไปสบสายตาเพื่อนอย่างจริงใจ “ไม่ใช่อย่างนั้นวิน คือฉะ...ฉันยังไม่พร้อมที่จะพูดหรืออธิบายอะไรตอนนี้ ฉันอยากพักผ่อน เอาเป็นว่าเรื่องเข้าใจผิดทุกอย่างมันจบลงแล้ว ฉันก็กลับมาใช้ชีวิตปกติของตัวเองตามเดิม เธอก็ยังเป็นเพื่อนของฉันเหมือนเดิม”

                ชีวินนิ่งงันเมื่อได้ยินคำตอบที่คลุมเครือนั้น แต่มันกลับทำให้ข้อสันนิษฐานที่ตั้งขึ้นไว้ในใจแจ่มชัดว่ามันจะเป็นจริงอย่างที่พนักงานสาวเหล่านั้นพูดกัน

                “ขอบคุณที่มาส่ง ฉันไปล่ะ” นีราภาบอกพลางเอื้อมมือไปเปิดประตูรถ หากแต่เสียงเย็นยะเยือกที่ดังขึ้นก็สามารถหยุดการเคลื่อนไหวได้เป็นอย่างดี

                “เธอพลาดท่าเสียทีมันแล้วใช่ไหม?” แต่คำถามนั้นก็สามารถหยุดเธอไว้ได้เพียงชั่วขณะ มีเพียงเสียงถอนหายใจหนักๆ ก้าวขาลงจากรถแล้วโน้มตัวลงมาเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่มั่นคงนัก

                “ขอบคุณที่มาส่งนะวิน” นีราภาตอบไม่ตรงคำถาม

                “ฉันจะไปเอาเลือดหัวมันออก มันย่ำยีเธออย่างนี้ได้ยังไง?!!” ชีวินแค้นเสียงรอดไรฟันออกมาอย่างเจ็บใจ

                “ถ้ายังอยากเห็นฉันใช้ชีวิตอยู่อย่างเดิม ไม่ต้องไปเป็นนกน้อยในกรงทองที่ไม่รู้ตัวว่าเศรษฐีจะเบื่อขึ้นมาเมื่อไหร่ เธอก็ถือซะว่าไม่เคยได้ยินเรื่องนี้ แต่ถ้าอยากเห็นฉันไปเป็นนางบำเรอลับของเขาก็ไปเอาเรื่องกับเขาเลย ฉันเชื่อว่าเขาต้องตามฉันเจอเพราะความวู่วามของเธอ” จบคำพูดนีราภาก็ปิดประตูรถยนต์คันหรูแล้วเดินมุ่งหน้าขึ้นสู่ห้องพักของตนทันที เสียงบึ่งรถยนต์ออกไปอย่างแรงทำให้หญิงสาวหันกลับมามองตามรถสุดหรูที่วิ่งออกไปจากหน้าหอพัก ความเร็วที่เขาใช้มันมากเกินจนทำให้หลายคนต้องหลีกทาง เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มบ่งบอกอารมณ์ของผู้ขับขี่ได้เป็นอย่างดีว่าตอนนี้ความเกรี้ยวกราดที่เกิดขึ้นมันรุนแรงจนทำให้รู้สึกเป็นกังวลกลัวว่าเขาจะคิดทำอะไรวู่วามไปอีก!

                ชีวินบึ่งรถคันหรูออกมาด้วยความแรง เร็ว เสียงดังกระหึ่มของมันกลายเป็นเป้าสายตาของใครหลายคน หากไม่ได้ทำให้เขาใส่ใจเพราะตอนนี้หัวใจของเขามันกำลังปวดร้าวอย่างหนัก เธอไม่ได้พูดตรงๆว่าพลาดพลั้งเสียท่าให้กับมัน แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธแต่อย่างใด

                อาการเจ็บปวดหัวใจที่เกิดขึ้นมันสาหัสสากรรจ์กว่าครั้งที่เธอบอกปัดว่าไม่ได้คิดเกินเลยไปมากกว่าความเป็นเพื่อน มันบีบคั้นหัวใจเหมือนของรักที่เฝ้าติดตามหลุดลอยไปต่อหน้าต่อตา ความรักความจริงใจที่เฝ้ารอคอยมันถูกไอ้ขี้เก็กชุบมือเปิบไปต่อหน้าต่อตา ใจจริงแล้วอยากไปคุยกับมันให้รู้ดำรู้แดง อยากใช้กำลังของลูกผู้ชายตัดสินดูสักครั้ง แต่ถ้าทำเช่นนั้นมันคงไม่เป็นผลดีต่อเธอและครอบครัวของตนที่เพิ่งได้ทำธุรกิจกับมันสักเท่าไหร่จึงต้องห้ามใจตัวเองไว้และในตอนนี้คงมีเพียงเหล้าแรงๆเท่านั้นที่จะดับความทุกข์ซึ่งรุมเร้าจนแทบจะบ้าตาย!

 

                ในขณะที่โชว์รูมสุดหรูใจกลางย่านธุรกิจของเมืองเชียงใหม่ กำลังวุ่นวาย อลหม่านไปทุกแผนกเพราะผู้หญิงของเจ้านายหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย!

                “ไม่เจอร่องรอยของเธอเลยครับคุณเทมส์” สาธิตเข้ามารายงานความคืบหน้าในห้องทำงานใหญ่จนนับครั้งไม่ถ้วน ตลอดเวลาเกือบสองชั่วโมงที่ผ่านมา

                ปัง!...

                เสียงตบมือลงบนโต๊ะอย่างไม่พอใจของเจ้านาย ทำให้สาธิตรีบก้มหน้า ไม่กล้าสบสายตาเพราะเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นท่านแสดงสีหน้าร้อนใจ และมีอาการร้อนรนถึงเพียงนี้

                “มันจะเป็นไปได้ยังไงวะ คนทั้งคนยังหาไม่เจอ เธอจะหายตัวได้หรือยังไงกัน” ทัตเทพเดินกลับไปกลับมาอย่างใช้ความคิด “แกไปถามพนักงานรักษาความปลอดภัยดูรึยัง เห็นเธอออกไปรึเปล่า”

                “เรียกมาสอบถามอย่างละเอียดทุกคนแล้วครับ ครั้งสุดท้ายที่มีคนเห็นคือเธอเดินไปดูรถยนต์ที่จอดโชว์ไว้บนชั้นยี่สิบ ราวสองชั่วโมงที่แล้ว จากนั้นก็ไม่มีใครเห็นเธออีกเลยครับ” สาธิตรายงานละเอียดยิบ

                “บัดซบ! แย่สุดๆ ทำงานกันยังไง แค่ผู้หญิงตัวเล็กๆคนเดียวก็ดูแลไม่ได้ แล้วฉันจะจ้างพนักงานรักษาความปลอดภัยมาไว้ทำไม ไล่มันออกให้หมดเลยดีไหม” ทัตเทพตวาดด้วยน้ำเสียงดุกร้าว

                “อะ...เอ่อ คือผมไม่เข้าใจว่าทำไมเธอต้องหนีด้วยล่ะครับ ปกติมีแต่ท่านคอยสลัดพวกเธอทิ้ง แล้วทำไมคนนี้เธอถึงได้...” สาธิตยังไม่ทันพูดจบประโยคก็ต้องก้มหน้างุดลงอีกครั้ง

                “ไล่แกออกคนแรกเลยดีไหม ฉันโมโหขนาดนี้แกยังมีเวลามาตั้งคำถามงี่เง่า” ทัตเทพจ้องมองคนสนิทด้วยสายตาดุดันพลางตวาดเสียงดุออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด “แกรีบไปหาเธอมาให้ฉันเดี๋ยวนี้ ต่อให้พลิกแผ่นดินหาก็ต้องทำ อย่าให้ฉันต้องโมโหไปมากกว่านี้ ไป!”

                ทันทีที่จบคำสั่งอันเฉียบขาด สาธิตที่รีบลนลานออกจากห้องทำงานใหญ่ของเจ้านายอย่างรีบเร่ง มือแกร่งปิดประตูบานใหญ่ลงพร้อมทั้งอยากเอาหัวตัวเองโขกกับมันแรงๆนัก คนทั้งคนหายไปเมื่อไหร่ ตอนไหนไม่มีใครรู้ แล้วเชียงใหม่ก็ไม่ใช่เมืองเล็กๆจะไปควานหาตัวเธอกลับมาคืนท่านได้ยังไงกัน สาธิตส่ายหน้าให้กับหนทางอันมืดมิดของตัวเองในขณะที่พนักงานทั้งนับร้อยชีวิตทั้งโชว์รูมไม่เป็นอันทำงานเพราะต่างตกใจกับท่าทางอันเกรี้ยวกราดของเจ้านายที่เพิ่งเคยได้เห็นกับตาเป็นครั้งแรก ความดุ น้ำเสียงอันทรงพลังที่สั่งให้ตามหาผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่งซึ่งตลอดสองวันที่ผ่านมานี้เป็นเหมือนเงาของท่าน มันทำให้ทุกคนขวัญหนีดีฝ่อระคนตกตะลึงว่าทำไมท่านถึงได้ดูรักใคร่ หวงโหดในตัวสาวน้อยคนนั้นถึงเพียงนี้!!

 

                ทัตเทพก้าวเดินไปหยุดอยู่ตรงกระจกใสบานใหญ่ที่มองออกไปเห็นท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ แสงแดดสีส้มในยามบ่ายคล้อยยังไม่ร้อนแรงเท่าความห่วงใยที่รุมเร้าในใจเขาตอนนี้ เธอติดปีกโบยบินหนีเขาไปได้ยังไงกัน เธอไม่รับรู้ถึงความห่วงใย เอาใจใส่ที่เขาแสงดออกมาอย่างไม่ปิดบังหรืออย่างไร ถึงแม้ว่าช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกันมันจะสั้นนักแต่ก็มั่นใจว่า... เธอก็รู้สึกดี อบอุ่นทุกครั้งที่ได้อยู่ในอ้อมกอดของเขาเช่นกัน

                ดีล่ะ! เมื่อเธอคิดจะลองดีกับคนอย่างเขา ไม่เชื่อฟังคำพูด คำสั่งของเขา ต่อให้เธอหนีไปสุดหล้าฟ้าเขียวเขาก็จะไล่ล่าเธอกลับมาบิดตัวด้วยความเสียวซ่านอยู่ใต้ร่างเขาอีกครั้ง ไม่มีผู้หญิงคนไหนกล้าดีก้าวลงจากเตียงของทัตเทพ วิชิตเมธาได้ หากไม่ได้รับอนุญาตจากปากของเขา!!

 

                สามวันต่อมา... นีราภายังเริ่มต้นชีวิตในรุ่งเช้าด้วยการออกไปสมัครงานตามบริษัทต่างเช่นเคย และไม่กล้าเฉียดกรายเข้าไปในร้านสปาสุดหรูของคุณพิศมัยอีกเลย แต่ความจริงแล้วใจหนึ่งก็อยากเข้าไปขอโทษที่ตัวเองไม่สามารถทำตามคำพูดที่รับปากไว้ทั้งที่คุณพิศมัยเป็นผู้ใหญ่ใจดี ตกปากรับคำให้ตนเข้าทำงานทั้งไม่ได้มีประสบการณ์ในการทำงานด้านนี้มาก่อน แต่อีกใจหนึ่งก็กลัวว่าหากกลับไปที่นั่นอีกครั้งจะต้องพบเจอกับผู้ชายร้ายกาจเอาแต่ใจตัวเองอย่างเขาอีกครั้ง

                สามวันที่ผ่านมานั้นนีราภาเฝ้าคิดถึงแต่ความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นกับผู้ชายแปลกหน้า ทั้งไม่เข้าใจตัวเองว่าเพราะเหตุใดเมื่อไม่เห็นผู้ชายแปลกหน้าคนนี้วนเวียนอยู่ใกล้ๆถึงเกิดความอ้างว้าง หงอยเหงาใจเช่นนี้นัก ใจหนึ่งโหยหาคนที่พรากเอาความสาวที่หวงแหนไป แต่อีกใจก็ปวดร้าวเมื่อไม่สามารถทำตัวตามคำสั่งสอนของบุพการีว่าให้รักนวลสงวนตัว เก็บความรักและตัวเองไว้ให้ชายคนรักในวันที่พร้อม

                นีราภาสะบัดหน้าขับไล่ความคิดหดหู่ที่กำลังรุมเร้าออกไปเมื่อคิดขึ้นมาได้ว่าหลายวันที่ผ่านมานี้ ตนไม่ได้ติดต่อพี่สาวอีกสองคนเลย เพราะไม่มีอุปกรณ์สื่อสารใดๆอยู่กับตน จึงรีบอาบน้ำขำระร่างกายหลังจากที่ต้องออกไปเผชิญมลภาวะในเมืองใหญ่มาตลอดทั้งวัน ร้านอินเทอร์เน็ตด้านล่างหอพักคงทำให้สามารถติดต่อสื่อสารกับพี่สาวทั้งสองได้บ้างก่อนที่จะหาโทรศัพท์ราคาเบากระเป๋ามาทดแทนเครื่องที่สูญหายไป

 

                ราวยี่สิบนาทีต่อมานีราภาซึ่งอยู่ในชุดกางเกงขาสั้นผ้าฝ้ายเนื้อนิ่มกับเสื้อยืดพอดีตัว มันเป็นชุดที่ชื่นชอบมากเป็นพิเศษ ใส่สบายๆที่สามารถใส่เดินออกไปซื้อกับข้าวหน้าปากซอยหรือออกไปเดินเล่นผ่อนคลายความตึงเครียด หญิงสาวลงมายังชั้นล่างสุดของตึกซึ่งแบ่งพื้นที่เป็นล็อกให้ผู้คนได้มาจับจองเปิดร้านเล็กๆ ไม่ว่าจะเป็นร้านเสริมสวย ซักรีด รวมไปถึงร้านอินเทอร์เน็ต

                “ไม่เห็นหน้าหลายวันเลยองุ่น ได้งานทำรึยัง?” เจ้าของร้านอินเทอร์เน็ตวัยสามสิบปลายซึ่งรู้จักกันพอสมควรทักทายเมื่อลูกสาวค้าเปิดประตูเข้ามาในร้าน

                นีราภาส่ายหน้ายิ้มแหยๆพลางเดินไปทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ตัวใหญ่ที่ติดกับโต๊ะทำงานของเจ้าของร้าน “ยังเลยค่ะ นี่ก็ว่าจะมาหาข้อมูลเพิ่ม”

                “อ้าว... แล้วทำไมไม่ใช้โทรศัพท์ล่ะจะได้ไม่ต้องเปลืองตังค์ สำหรับองุ่นน่ะ พี่ไม่คิดเล็กคิดน้อยหรอกนะ” เจ้าของร้านอินเทอร์เน็ตนั้นเอ็นดูในความรู้จักคิด ขยันหมั่นเพียรของนีราภามาตลอดเพราะหากไม่มีเรียนก็จะเห็นว่าสาวน้อยผู้นี้ทำงานพาร์ทไทม์หารายได้ส่งเสียตัวเองอยู่ตลอดเวลา จึงไม่เคยคิดค่าบริการเลยแถมยังบอกพาสเวิร์ดให้ใช้ไวเลสฟรีอีกด้วย

                “องุ่นทำโทรศัพท์หายน่ะค่ะ ไม่ได้ติดต่อพี่สาวมาหลายวันแล้ว เลยจะถือโอกาสมาเข้าเฟสบุ๊กด้วย”

                “จ้ะ... งั้นตามสบายนะ มีอะไรให้พี่ช่วยเหลือก็บอกได้” เจ้าของร้านอินเทอร์เน็ตบอกอย่างใจดีพลางยกมือรับไหว้สาวน้อยที่นั่งอยู่ไม่ไกลอย่างยิ้มแย้ม

                จากนั้นนีราภาจึงล็อกอินเข้าในโปรแกรมโซเชียลมีเดียที่คนทั่วโลกนิยมใช้กันติดต่อสื่อสาร เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ทำให้ช่วยประหยัดค่าโทรศัพท์ไปได้มากโข หากแต่ในหน้าแรกนั้นไม่ได้มีความเคลื่อนไหวของพี่สาวทั้งสองคนเลยจึงเข้าไปเปิดกล่องข้อความ จึงได้พบว่าพี่สาวของเธอฝากข้อความไว้เมื่อหกวันที่ผ่านมา

                ‘องุ่นจ๊ะ... พี่โอนเงินเข้าบัญชีให้เรียบร้อยแล้วนะ ไม่ต้องตกใจว่าทำไมพี่ถึงได้โอนเงินเข้าไปมากขนาดนั้น พอดีพี่ต้องไปทำงานที่ภูเก็ตกับเจ้านายใหม่และคิดว่าคงไม่ได้ติดต่อกันบ่อยเหมือนเคย ไม่ต้องเป็นห่วงพี่ พี่โชคดีมากที่ได้งานดีๆและได้ค่าตอบแทนที่สามารถดูแลเราองุ่นกับส้มโอได้สบาย ไม่ต้องเร่งรัด บีบคั้นตัวเอง งานดีๆต้องรอเวลาและจังหวะ อย่าใจร้อนนะ ดูแลตัวเองให้ดีด้วย คิดถึงเสมอ พี่ชมพู่’

                นีราภาขมวดคิ้วมุ่น แปลกใจนักว่าพี่สาวทำงานบริษัทใดถึงต้องเดินทางไปไกลขนาดนั้น และหากมีโทรศัพท์อยู่กับตนคงได้รู้ว่าพี่สาวโอนเงินเข้ามาให้จำนวนเท่าไหร่ แต่พี่สาวของเธอนั้นเป็นคนรอบคอบคงไม่เกิดอันตรายใดๆขึ้นอย่างแน่นอน หญิงสาวคิดพลางยินดีกับพี่สาวที่สามารถหางานดีๆได้แล้วโดยที่ไม่เคยล่วงรู้เลยว่า ชยาภาผู้เป็นพี่สาวคนโตนั้นต้องแลกทั้งชีวิตเพื่อปกป้องกันตาภาซึ่งเป็นฝาแฝดของนีราภานั่นเอง

                แต่นีราภาก็ไม่ได้มีโอกาสขบคิดเรื่องของพี่สาวนานนักเพราะจู่ๆหน้าต่างข้อความใหม่ก็ปรากฏขึ้นมาบนหน้าจอ

                ‘ตอนนี้เธออยู่ไหน องุ่น’ หนึ่งในเพื่อนผู้ชายที่เคยเรียนคณะเดียวกันส่งข้อความถาม

                ‘อยู่หอพักน่ะสิ ทำไมเหรอ’ นีราภาตอบกลับไปทันที

                ‘รู้ไหมว่าไอ้วินมันเป็นอะไร ทำไมมันถึงไม่ยอมกลับบ้านกลับช่อง นี่มันขลุกอยู่ที่ร้านของฉันมาสองวันสองคืนแล้วนะ!’

                นีราภาถอนหายใจเฮือกใหญ่เพราะรู้ถึงสาเหตุว่าทำไมชีวินถึงได้ทำเช่นนั้น ‘เธอก็ดูแลวินหน่อยก็แล้วกัน หรือไม่ก็โทรไปบอกป๊ากับแม่ของวินให้มารับสิ’

                ‘โทรไปแล้วแต่ป๊ากับแม่ไอ้วินไปสิบสองปันนาตั้งแต่เมื่อวาน’

                ‘งั้นเธอก็ต้องดูแลวินไปพลางรอป๊ากับแม่วินกลับมา’ มันเป็นทางออกที่นีราภาคิดได้ในตอนนี้

                ‘เธอใจร้ายมากเลยนะองุ่น เสียแรงที่ไอ้วินมันรักมันเทิดทูนเธอมานาน จะไม่มาดูมันหน่อยเหรอ เธอรู้ไหมว่าสองคืนที่ผ่านมา ไอ้วินมันกินเหล้าเมาหัวราน้ำแถมยังท้าตีท้าต่อยคนอื่นไปทั่ว นี่ดีนะที่พ่อแม่ฉันไม่อยู่ ไม่อย่างนั้นไอ้วินมันถูกโยนออกไปนอกร้านแล้ว’

                ‘แล้วจะให้ฉันทำยังไง ฉันไม่เคยรับรักวินหรือทำอะไรให้เขาเข้าใจว่าเราเป็นมากกว่าเพื่อนเลยสักครั้ง’ นีราภาถอนหายใจพิมพ์คำถามลงไปเมื่อสามารถสัมผัสถึงความรู้สึกที่ส่งผ่านมาทางตัวหนังสือได้ว่า ตนเองนั้นช่างแล้งน้ำใจเสียเหลือเกิน

                ‘ถ้าเธอคิดอย่างนั้น ฉันก็ไม่มีอะไรที่จะพูดอีก แต่ไม่ต้องห่วงนะยังไงวันนี้ถ้าไอ้วินมันเมาแล้วไปท้าต่อยกับคนอื่นอีก ฉันคงต้องเข้าไปช่วยมันเหมือนสองคืนที่ผ่านมา อย่างมากก็แค่ตาย แต่มันก็ไม่เกี่ยวกับเธอหรอก’

                นีราภานั่งนิ่งเมื่อได้อ่านข้อความของเพื่อนที่เคยเรียนมาด้วยกัน รู้ดีว่าการชกต่อยที่เกิดขึ้นนั้นไม่ใช่เรื่องที่กุขึ้นมาสร้างสถานการณ์ให้ตนเป็นกังวลแต่อย่างใด เพราะโดยนิสัยของชีวินแล้วเขาเป็นคนใจร้อน บ้าระห่ำอย่างเช่นตอนที่เธอบอกปัดความรักที่เขามอบให้ในฐานะคนรัก ชีวินถึงกับขาดเรียนไปทั้งอาทิตย์ กินเหล้าเมามายจนต้องตามไปพูดคุยกันด้วยเหตุผล เขาถึงยอมกลับมาเรียนดังเดิม แต่นีราภาก็รู้ดีว่าชีวินยังคอยมองอยู่ห่างๆ หากมีผู้ชายเข้ามาตามจีบ วอแว ชีวินก็จะแอบไปจัดการประกาศความเป็นเจ้าของจนหนีเตลิดไปตามๆกัน

                “อ้าว! จะไปไหนล่ะ เพิ่งดูได้ไม่กี่นาทีเอง?” เจ้าของร้านอินเทอร์เน็ตถาม เมื่อเห็นสาวน้อยผลุนผลันลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว

                นีราภาวางเหรียญค่าใช้อินเทอร์เน็ตลงบนโต๊ะทำงานของเจ้าของร้านพลางตอด้วยน้ำเสียงรีบร้อน “พอดีว่านัดกับเพื่อนไว้น่ะค่ะ เพิ่งนึกขึ้นได้”

                “จ้ะ... งั้นก็รีบไปเถอะ แล้วเก็บเงินนี่ไว้ด้วย บอกแล้วว่าพี่ไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเรา เก็บไว้เป็นค่ารถเมล์นะ”

                นีราภารับเงินมาหย่อนลงในกระเป๋ากางเกงพลางยกมือไหว้ผู้ใหญ่ใจดี ที่ให้ความเมตตากับตนมาเสมอ จากนั้นออกจากร้านอินเทอร์เน็ต เดินกลับเข้าสู่ห้องพักของตนอีกครั้งหนึ่งเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ทะมัดทะแมงขึ้น อยากจัดการปัญหาที่คาราคาซังมานาน หากชีวินต้องทำตัวย่ำแย่ลงเพราะตนแล้วเกิดอันตรายถึงชีวิต มันก็คงเป็นตราบาปที่ติดตัวไปจนวันตาย เห็นจะมีแต่การเปิดอกพูดคุยกันให้กระจ่างชัดเท่านั้นที่จะคลี่คลายทุกอย่าง นีราภาคิดพร้อมเดินออกจากหอพักโดยใช้มอเตอร์ไชค์รับจ้างเป็นพาหนะ ยังไงเสียวันนี้เธอต้องพูดกับชีวินให้เข้าใจเสียที

 

                ในขณะเดียวกันทัตเทพก็รีบบึ่งสปอร์ตคาร์สมรรถนะสูงออกจากโชว์รูมด้วยความรวดเร็ว หลังจากสามวันที่ผ่านมาแทบจะพลิกแผ่นดินหาแม่ตัวแสบ แต่ก็ไม่มีร่องรอยของเธอเลยแม้แต่น้อย เขาส่งคนไปเฝ้าร้านสปาของคุณพิศมัยแต่ก็ไร้วี่แวว ไม่มีใครรู้ที่ไปที่มาของเธอ จนเมื่อเช้าต้องจ้างนักสืบมืออาชีพตามหาตัวเธอให้วุ่นวายไปหมด แต่ที่วุ่นวายมากกว่านั้นก็คือใจที่เคยนิ่ง แน่วแน่ของเขา บัดนี้มันสับสน ร้อนรนไม่มีสมาธิในการทำงาน เบื่อกระทั่งอาหารที่ต้องใช้ประทังชีวิต ไม่ดูแลตัวเองจนหนวดเคราขึ้นเขียวครึ้มตามโครงหน้า ทุกอย่างมันขวางหูขวางตา คิดเป็นห่วงแต่ความปลอดภัยของแม่ตัวดีที่บังอาจโบยบินออกจากอ้อมกอดของเขาไป

                แต่ท้ายที่สุดก็มาพบเบาะแสของเธออยู่ใต้จมูกตัวเอง!

                เมื่อไม่กี่นาทีที่เขาจะบึ่งรถออกมานี้ สาธิตได้นำเอาใบสมัครงานพร้อมประวัติส่วนตัวของเธอเข้ามาให้ รายละเอียดที่บอกไว้ในนั้นสามารถทำให้เขายิ้มออกมาได้ในรอบสามวัน ความจริงแล้วเธอเคยมาสมัครงานที่นี่แต่กลับไม่ปริปากบอกกันสักคำ ชื่อที่อยู่ที่กรอกไว้อย่างชัดเจนทำให้เขารู้สึกโล่งใจขึ้นมาได้อีกเล็กน้อยและหวังว่าเธอคงจะไม่ติดปีกหนีเขาไปอีกครั้ง

                ทัตเทพคิดในใจว่ายังไงเสียต้องลากตัวเธอกลับมาอยู่ด้วยกันให้ได้ เธอบังอาจมาเล่นตลกตบตาเขา เอาความน่ารักของตัวเองมาล่อ ใช้สัมผัสทางกายอันน้อยนิดมาอ่อยเหยื่อให้เขาตกหลุมพราง ทำให้ตายใจจนสมันสาวย่ามใจหนีออกมาจากข้อตกลงที่มีร่วมกัน แต่จากนี้ไปหากได้เธอกลับเข้าสู่อ้อมกอด เขาจะไม่ยอมให้เธอคลาดสายตาแม้เพียงเสี้ยววินาที ถ้าจะต้องมัดต้องกักขังกันไว้ก็ต้องยอมล่ะ!

                ราวยี่สิบนาทีต่อมา... สปอร์ตคาร์สุดหรูก็เคลื่อนตัวเข้ามาจอดสนิทอยู่หน้าหอพักแห่งหนึ่งซึ่งเป็นที่อยู่ที่ระบุไว้ในใบสมัครงาน ร่างสูงใหญ่ของทัตเทพเดินตรงเข้าไปยังห้องกระจกที่ติดสติกเกอร์สีแดงไว้อย่างชัดเจน

                “ขอโทษครับ ผมมาหาผู้หญิงในภาพนี้ คุณพอจะรู้จักเธอรึเปล่าครับ?” ทัตเทพก้มตัวลงเล็กน้อยเพราะสบสายตากับผู้หญิงร่างท้วมที่นั่งอยู่ภายในห้องกระจกซึ่งกำลังกวาดสายตามองตนอย่างไม่ไว้ใจ

                “แล้วคุณเป็นใคร มาถามถึงเธอทำไมกัน?” ไม่ตอบแต่กลับเป็นฝ่ายตั้งคำถามแทน

                ทัตเทพควานหานามบัตรใบจิ๋วออกมายื่นให้หญิงร่างท้วมตรงหน้าพลางข่มความร้อนใจ พูดกับเธอด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ผมเป็นเจ้านายของเธอครับ เธอไปทำงานได้แค่สองวันแล้วก็หายไป เบอร์โทรศัพท์ที่ให้ไว้ก็ติดต่อไม่ได้ผมก็เลยต้องมาหาตามที่อยู่ที่ให้เอาไว้ ถ้าหากว่าเธอไม่อยากร่วมงานกับเราแล้ว เราก็จะได้หาพนักงานคนใหม่”

                “อ้าว! นี่หนูองุ่นได้งานทำแล้วเหรอ” หญิงร่างท้วมที่ดูแลหอพักพูดราวกับรำพึงรำพันกับตัวเอง รู้จักแม่หนูในรูปภาพนี้เป็นอย่างดีเพราะเช่าอาศัยกันมาเกือบสองปีก็ไม่เคยมีปัญหาเรื่องค่าเช่าสักที

                “ว่ายังไงครับ เธอพักอยู่ที่นี่ใช่ไหม?” ทัตเทพย้ำถามอีกครั้ง

                หญิงร่างท้วมมองนามบัตรใบจิ๋ว แล้วชะโงกหน้าไปมองรถยนต์สุดหรูที่จอดอยู่ด้านหน้าจากนั้นจึงกวาดสายตามองผู้ชายตรงหน้าอีกครั้ง การแต่งกายของเขาก็ดูภูมิฐาน มีฐานะดีอยู่หรอกแต่ติดตรงที่ว่าทำไมถึงไม่โกนหนวดโกนเคราให้เรียบร้อยสมกับที่เป็นถึงเจ้าของโชว์รูมรถยนต์สุดหรูที่ใหญ่ที่สุดในภาคเหนือนี้ และดูเหมือนว่าชายหนุ่มจะสามารถเดาใจของเธอได้เป็นอย่างดี

                “คือช่วงนี้ผมไม่ค่อยได้ดูแลตัวเองเท่าไหร่ ทำงานหนักน่ะครับ” ทัตเทพตอบพลางยิ้มที่มุมปาก ความหล่อเหลาอย่างร้ายกาจนั้นส่งตรงไปยังหญิงร่างท้วมทันที “คงไม่คิดว่าผมเป็นโจรหรือผู้ร้ายหรอกนะครับ หรือต้องให้ผมโชว์บัตรประชาชนด้วยรึเปล่า?”

                หญิงร่างท้วมส่ายหน้าพลางยิ้มแหยๆ “ไม่ต้องหรอกจ้ะพ่อหนุ่ม แต่หนูองุ่นเพิ่งออกไปข้างนอกก่อนที่พ่อหนุ่มจะมาถึงราวๆสิบห้านาทีนี้เอง”

                “แล้วบอกรึเปล่าว่าไปไหน ออกไปมืดๆค่ำๆแบบนี้น่ะเหรอ?”

                “ที่นี่เป็นหอพักนักศึกษาก็จริง แต่เราก็ไม่มีสิทธิ์หรือห้ามไม่ให้ใครออกไปไหนมาไหนนะจ๊ะ” ตอบด้วยความจริง แต่เพียงไม่กี่อึดใจก็ต้องร้องเรียกเจ้าของร้านอินเทอร์เน็ตที่กำลังเดินผ่านหน้าไป “คุณแก้วๆ มีคนมาตามหาหนูองุ่นแน่ะ เมื่อก่อนที่หนูองุ่นจะออกไปฉันเห็นเดินเข้าไปหาคุณแก้วในร้านใช่ไหม”

                เจ้าของร้านอินเทอร์เน็ตเดินมาหยุดหน้าห้องกระจกพลางพยักหน้ารับ “ค่ะ มีอะไรเหรอคะ”

                “คุณคนนี้เป็นเจ้านายมาตามหนูองุ่นไปทำงาน แต่ฉันเห็นหนูองุ่นออกไปก่อนหน้านี้ไม่นาน คุณแก้วรู้รึเปล่าว่าหนูองุ่นไปไหน” หญิงร่างท้วมถาม

                “อือ... แกเข้าๆไปใช้อินเทอร์เน็ตไม่นานก็นึกขึ้นได้ว่านัดเพื่อนเอาไว้ แต่ดิฉันก็ไม่รู้ว่านัดไว้ที่ไหน ทำไมคุณไม่ลองโทรถามดูล่ะคะ แต่เอ๊ะ! ไม่ได้สิ เพราะดิฉันได้ยินแกบ่นว่าทำโทรศัพท์หาย”

                “โทรศัพท์หาย...” ทัตเทพทวนคำพลางนึกขึ้นได้ว่าเธอไม่มีโทรศัพท์ติดตัวคงต้องติดต่อเพื่อนผ่านทางโปรแกรมโซเซียลมีเดีย และความจริงแล้วโทรศัพท์มันอยู่ที่เขาตลอดเวลา หากแต่ความร้อนใจที่เกิดขึ้นมาตลอดสามวันที่พลิกแผ่นดินตามหาเธอก็ทำให้ลืมไปเสียสนิทใจว่าตนเองนั้นโยนโทรศัพท์ไว้ในลิ้นชักหน้าคอนโซลรถยนต์ “โอเคๆ ผมขอบคุณคุณสองคนมากๆ”

                ทัตเทพก้าวขายาวๆด้วยความรีบร้อนออกมาจากสองสาวที่ยังยืนซุบซิบกันอย่างแปลกใจว่า เจ้านายต้องมาตามลูกจ้างไปทำงานด้วยตัวเองอย่างนั้นหรือ แต่ดูเหมือนเรื่องนี้จะถูกสองสาวลืมชั่วขณะเพราะความหล่อเหลา รูปร่างสูงใหญ่ บุคลิกที่มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูงทั้งยังเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ดึงดูดต่อเพศตรงข้ามที่ทำเอาสองสาวยังมองตามด้วยความเคลิบเคลิ้มแม้รถยนต์สุดหรูจะเคลื่อนที่ออกไปแล้วก็ตาม

สวัสดีค่า นักอ่านที่รัก

มลทินปรารถนาตีพิมพ์เป็นรูปเล่มแล้วและสามารถ หิ้วคุณเทมส์+องุ่นไปครอบครองได้ที่ ร้านนายอินทร์  เว็บสำนักพิมพ์อินเลิฟ เว็บบุ๊กสไมล์ และสามารถพูดคุยกับศิริพาราได้ตามช่องทางดังนี้

ติชมหรือแสดงความคิดเห็นได้ตามสบายค่า เม้ามอยหอยขมกันได้ไม่เฉพาะเรื่องนิยาย ศิริพารายังมีเกมกติกาแสนง่ายดาย แจกของรางวัลเล็กน้อยเพื่อตอบแทนนักอ่านที่รัก อย่าลืมกดlikefanpage ศิริพารา รายาฤดีนะคะ

จบเรื่องนี้แล้ว ศิริพาราจะเอานิยายทั้งหมดมาอัพให้นักอ่านที่รักได้อ่านกันทุกเรื่อง ขอบคุณที่ติดตามและแสดงความคิดเห็นค่ะ

 

จุ๊บๆๆ

ศิริพารา

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา