มลทินปรารถนา

-

เขียนโดย ศิริพารา

วันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 เวลา 20.58 น.

  8 ตอน
  1 วิจารณ์
  10.99K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 21.07 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

7) มลทินปรารถนา ตอนที่ 7 100%

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

หลังอาหารกลางวันของวันต่อมาซึ่งนีราภาต้องรับประทานอาหารร่วมกับผู้ชายเอาแต่ใจตัวในห้องทำงานอีกเช่นเคย เกือบสองวันที่ต้องติดแหงกอยู่กับเขา หญิงสาวไม่สามารถที่จะขอความช่วยเหลือจากใครได้เลย ไม่สามารถติดต่อพี่สาวและฝาแฝดของตัวเองได้เพราะไร้ซึ่งอุปกรณ์สื่อสารใดๆ และอย่าหวังว่าผู้ชายเอาแต่ใจคนนี้จะให้ได้เฉียดกรายเข้าใกล้คอมพิวเตอร์ แต่มีสิ่งหนึ่งที่นีราภาสามารถจับจุดเขาได้ก็คือ หากเธอดื้นรั้น ไม่เชื่อฟังคำสั่งของเขาก็ไม่พ้นจะต้องเกิดวิวาทะ และจบลงด้วยน้ำตาจากการพ่ายแพ้เจ็บช้ำน้ำใจ แต่หากเธอยอมอ่อนข้อทำตามที่เขาสั่งแต่โดยดีเขาก็จะกลายเป็นผู้ใหญ่ใจดีจนน่าตกใจ

                “ขอไปเดินดูรอบๆได้ไหมคะ ฉันอยู่ในนี้ดูทีวีอย่างเดียวมันน่าเบื่อ” นีราภากระอ้อมกระแอ้มบอก เมื่อเช้าบอกว่าขออยู่บ้านอยากดูซีรีส์ฮ่องกงแต่เขากลับไม่ยินยอมบอกว่าที่โชว์รูมก็มีเช่นกัน พอเดินทางมาถึงในห้องทำงานก็เห็นซีรีส์ฮ่องกงที่ชื่นชอบเป็นพิเศษวางเรียงรายอยู่เต็มชั้นจนอดคิดประชดตัวเองไม่ได้ว่า วิถีชีวิตผู้หญิงลับของมหาเศรษฐีก็คงราบรื่น ชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้เช่นนี้กระมัง! แต่เธอจะไม่ยอมงอมืองอเท้าใช้ร่างกายแลกกับเงินทองเพื่อประทังชีวิตเช่นนั้นแน่

                “ทำไมล่ะ ดูหมดแล้วเหรอ เดี๋ยวจะให้สาธิตไปหามาเพิ่มให้เอาไหม?” ทัตเทพถามด้วยน้ำเสียงเอื้ออาทรหากแต่สายตายังกวาดดูเอกสารที่สาธิต ผู้จัดการสาขาเอาเข้ามาให้ตรวจทานเป็นครั้งสุดท้าย

                “ยังไม่หมดหรอก แต่มันน่าเบื่อใครจะนั่งดูทีวีได้ทั้งวัน” นีราภาโกหกคำโตเพราะทุกครั้งที่หลวมตัวดูซีรีส์มันก็ทำให้ติด อยากดูไปเรื่อยๆจนจบเรื่องต่างหาก “ฉันยอมทำตามคุณทุกอย่างแค่จะขอออกไปเดินรอบๆก็ไม่ได้ ไหนเมื่อคืนนี้คุณบอกว่าถ้าฉันไม่มีปัญหากับคำพูดของคุณก็จะยอมให้ฉันทำอะไรก็ได้ตามใจ นับตั้งแต่ที่คุณพูด ฉันยังไม่ได้ขัดคำสั่งคุณเลยนะ ขนาดจะออกไปเดินเล่นยังขออนุญาตก่อนเลย”

                ทัตเทพละสายตาจากเอกสารตรงหน้า เมื่อได้ยินเสียงหวานตัดพ้อต่อว่าทำนองน้อยอกน้อยใจ และก็ต้องเผลอยิ้มเอ็นดูออกมาโดยไม่รู้ตัว เมื่อได้เห็นใบหน้างดงามกำลังมองมาด้วยสายตาเว้าวอน แถมยังเป็นฝ่ายเดินมาหาถึงข้างเก้าอี้ทำงานเสียด้วย

                “นะ... นะคะ ยังไงบ่ายนี้คุณก็ต้องเข้าประชุมจะลากฉันเข้าห้องประชุมด้วยก็คงไม่เหมาะ เท่านี้คนอื่นก็มองฉันด้วยสายตาแปลกๆแล้ว ยังไงฉันก็ต้องอยู่คนเดียวแค่ขอออกไปเดินเล่นเท่านั้นจะหนีไปไหนได้ คุณสั่งยามให้จับตาดูฉันไว้อย่างนั้น นะ...”

                โอ... แม่คุณเอ๊ย! อย่ามาอ้อนป๋านักเลย เดี๋ยวอดใจไม่ไหวจับกดลงบนโต๊ะทำงานนี่เสียหรอก อยากดึงเธอมาระดมจูบให้ทั่วทั้งตัวแล้วรักให้สมกับที่ต้องอดใจมาตลอดเวลาแต่กลับต้องแสร้งทำหน้าตึงกดเสียงต่ำ “ใครมันมองเธออย่างนั้น สายตาแปลกๆน่ะมันแปลกยังไง เล่ามาซิ?”

                “ช่างเขาเถอะค่ะ ก็ฉันไม่ได้เป็นอย่างที่เขามองทำไมต้องสนใจด้วย คุณอย่ามาเปลี่ยนเรื่องได้ไหม นะ... ขอออกไปเดินดูข้างนอกหน่อย คุณให้คนจับตามองฉันอย่างนั้นถึงมีปีกก็หนีไม่พ้นหรอก อีกอย่างฉันมาคิดๆดูแล้วว่าให้หมอเป็นคนตรวจมันน่าจะมั่นใจและปลอดภัยกว่า รับรองไม่หนี” นีราภาชักแม่น้ำทั้งหมดในโลกมาจูงใจให้ผู้ชายเอ่ยปากอนุญาต

                “แต่...”

                จุ๊บ!... นีราภากดปากและจมูกเข้าที่แก้มสากอย่างรวดเร็ว ฉวยโอกาสที่เขายังอยู่ในอาการนิ่งงันย้ำถามอีกครั้งหนึ่ง

                “ขอออกไปเดินเล่นข้างนอก นะคะ...”

                “จ้ะ...” ทัตเทพรับคำราวกับละเมอ มองดวงตาสีน้ำตาลสดใสกระพริบตาถี่ๆอย่างรอคอยคำตอบ

                นีราภาแย้มยิ้มสดใสให้คนที่ตกอยู่ในภวังค์ได้มองตาค้างพลางวิ่งออกไปจากห้องด้วยความดีใจ โดยที่ไม่รู้ว่าการกระทำอันน่ารักเช่นนั้นมันทำให้นักธุรกิจหนุ่มเกิดอาการหัวใจเต้นแรงแทบทะลุออกมานอกอก มีเพียงเสียงปิดประตูที่ดังขึ้นไม่เบานักดึงสติของเขาให้กลับเข้ามาสู่โลกของความจริง

                ทัตเทพอยากจะบ้าตายให้กับความเผอเรอของตัวเองนัก แค่เธอส่งยิ้มน่ารัก บดจูบหวานจับใจออดอ้อนออเซาะก็หลุดปากรับคำเธอไปง่ายๆ นี่แม่ตัวดีคงรู้สินะว่าจะจัดการควบคุมเขาให้อยู่หมัดได้ด้วยวิธีใด เธอถึงได้กล้าหาญแสดงความสนิทชิดเชื้อถึงเพียงนี้ ทั้งที่ความจริงแล้วเธอหวงเนื้อหวงตัวราบกับฉาบไว้ด้วยทองคำ! แต่มันก็ทำให้หัวใจของเขาแช่มชื่น สมองปลอดโปร่ง เป็นครั้งแรกที่สามารถอมยิ้มกับเอกสารที่มีแต่ข้อตกลง บทลงโทษหากผิดสัญญาอยู่เต็มไปหมด!

 

                ในขณะที่ด้านล่างของโชว์รูมสุดหรูมีโอกาสได้ต้อนรับอาเสี่ยเจ้าของธุรกิจขนส่งสินค้ารายใหญ่ในภาคเหนือ ซ่งเดินทางมาเซ็นสัญญาการขนส่งรถยนต์สุดหรูทั้งครอบครัว

                “ทำหน้าให้มันดีกว่านี้หน่อยได้ไหม ตาวิน” นารีสั่งลูกชายคนเดียวของตนที่ทำหน้าบอกบุญไม่รับเพราะเกิดอคติกับคู่ค้าธุรกิจตั้งแต่เจอหน้ากันครั้งที่แล้ว ชีวินไม่พอใจอย่างมากที่ทัตเทพกล้าดีมาสั่งสอนตนทั้งที่ไม่ใช่ญาติ

                “ก็ผมไม่ได้อยากมา ปะป๊ากับแม่ลากผมมาเอง” ชีวินด้วยน้ำเสียงและท่าทางไม่ยี่หระจนทำให้ผู้เป็นพ่อต้องหันกลับมาตวาดลูกชายด้วยความไม่พอใจ

                “แล้วแกคิดว่าฉันพอใจนักหรือไงที่มันสั่งสอนแกอย่างนั้น มันฉีกหน้าฉัน ทำราวกับว่าเราสองคนไม่รู้จักอบรมสั่งสอนลูก แต่ที่ฉันต้องกล้ำกลืนฝืนยิ้มนี่ก็เพราะกลัวว่าหากขัดใจมันแล้วจะไม่ได้เซ็นสัญญาทำงานใหญ่ครั้งนี้ รู้ไหมว่าที่ฉันต้องบากหน้า เตรียมเอกสารหลายอย่างที่พวกมันร้องขอมานี่ก็เพื่ออนาคตของแกทั้งนั้น แกโตจนเรียนจบแต่ไม่เคยสนใจกิจการของครอบครัว ดีแต่ถลุงใช้เงินไปวันๆ ถ้าถึงวันที่ไม่มีงานไม่มีเงินใช้แล้วแกจะทำยังไง?” วสันต์ถามลูกชายด้วยสีหน้าจริงจัง

                “ก็ผมขอเวลาปีเดียวผ่อนคลายความตึงเครียดที่เรียนมาก่อน ครบปีเมื่อไหร่ผมจะสานต่อธุรกิจของครอบครัวเราเอง” ชีวินตอบด้วยความไม่พอใจเท่าไหร่นักแต่ก็ยอมเดินตามพ่อแม่เข้าไปด้านในแต่โดยดี

                “ลูกผู้ชายพูดได้ก็ต้องทำได้เหมือนกันนะ” วสันต์หันมาบอกกับลูกชาย ก่อนที่จะหันกลับไปยิ้มให้ผู้จัดการสาขาที่เดินออกมาต้อนรับตนเองถึงหน้าประตูพลางทักทายด้วยอัธยาศัยอันดีเยี่ยม

                จากนั้นทั้งหมดก็ถูกเชิญให้เข้าไปในห้องประชุมเล็ก ซึ่งจัดเตรียมไว้สำหรับการเซ็นสัญญาในครั้งนี้ ไม่นานนักร่างสูงใหญ่ของทัตเทพก็เดินเข้ามาในห้อง การตรวจตราเอกสารของทั้งสองฝ่ายก็เริ่มขึ้นทันที และต้องใช้เวลาพอสมควรเพราะเอกสารประกอบด้วยคู่มือการจดทะเบียนรถยนต์เล่มจริง ซึ่งต้องให้ฝ่ายกฎหมายทำการตรวจสอบกับสำนักงานขนส่งให้ถูกต้อง ประวัติและใบอนุญาตของพนักงานขับรถซึ่งต้องใช้ความละเอียดเป็นพิเศษเพราะมันเป็นการขนส่งสินค้าที่มีราคาสูง หากเกิดความผิดพลาดขึ้นมาก็ต้องมีข้อตกลงที่ชัดเจนว่าใครจะเป็นผู้รับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้น เวลาผ่านไปราวยี่สิบนาที ชีวินก็ขอตัวออกมาด้านนอกเพราะไม่ชอบสายตาของทัตเทพที่มองตนราวกับเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม มันเป็นแววตาเย้ยหยันที่ไม่สามารถทำอะไรตอบโต้ได้ จนต้องเดินออกมาด้านนอกก่อนที่จะระงับสติอารมณ์ไว้ไม่ได้

               

                ในขณะที่นีราภาเดินไปรอบๆโชว์รูม ไม่อยากสนใจกับสายตาและเสียงนินทาที่ลอยมากระทบหู มันล้วนแล้วแต่เป็นคำพูดดูแคลนที่มองเธอไม่ต่างจากนางบำเรอคนหนึ่ง ดวงตาสีน้ำตาลสดใสกวาดมองดูรถยนต์สุดหรูที่จอดเรียงรายอยู่หลายคัน ป้ายรายละเอียดของรถยนต์แต่ละคันที่มีราคากำหนดไว้ทำให้หญิงสาวต้องใช้มือขยี้ตา มองตัวเลขให้ชัดเจนอีกครั้งเพราะเท่าที่เห็นมันมีแต่ราคาเกินหกหลักขึ้นไป บางคนถึงกับเป็นเลขเจ็ดหลักเสียด้วยซ้ำ

                “บริการคุณทัตเทพดีๆสักเดือน อาจจะได้รถยนต์หรูไปขับโฉบไปเฉี่ยวมาก็ได้ แหม... ทำไมท่านไม่หันมามองฉันบ้างนะ” ผู้หญิงคนหนึ่งเอ่ยขึ้น เมื่อเห็นคู่นอนคนใหม่ของเจ้านายเดินมาด้อมๆมองๆรถยนต์สุดหรูราวกับอยากได้เป็นเจ้าของ

                “จะถึงเดือนเหรอเธอ คุณทัตเทพเปลี่ยนผู้หญิงบ่อยกว่าเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียอีก แล้วยังดูเด็กขนาดนี้ ฉันว่าพรุ่งนี้อาจจะไม่ได้มาเดินลอยหน้าลอยตาอย่างนี้ก็ได้” สาวนุ่งสั้นอีกคนออกความคิดเห็นทั้งยังกวาดสายตามองดูนีราภาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า “แต่จะว่าไป เหมือนฉันเคยเห็นหน้าหล่อนที่ไหนนะ คิดไม่ออก!?”

                ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้นนีราภาก็ข่มความโกรธ รีบเดินออกจากความอึดอัดนั่นออกมาหลบมุมอยู่ด้านหลังในส่วนที่เป็นเขตหวงห้ามเฉพาะพนักงานเท่านั้น กระจกใสที่มองออกไปเห็นรถราวิ่งขวักไขว่บนถนน ผู้คนตัวเล็กราวกับมดตัวน้อยกำลังดำเนินชีวิตไปตามความต้องการของแต่ละคน

                อีกสองวันสินะที่จะได้กลับไปใช้ชีวิตตามปกติของตัวเองแล้ว ป่านนี้พี่สาวทั้งสองคงเป็นห่วงอยู่มากเพราะไม่ได้พูดคุยกันอย่างทุกวันที่เคยทำมา นีราภาถอนหายใจออกมาหนักๆ เดินมุ่งหน้าออกจากส่วนที่เป็นเขตหวงห้ามของพนักงานเพื่อออกไปใช้ลิฟต์ตัวเดิมกลับขึ้นไปยังชั้นบนสุด เก็บตัวอยู่ในห้องที่ปลอดภัยจากวาจาร้ายกาจ เชือดเฉือนความรู้สึกให้ได้เจ็บช้ำน้ำใจ ทั้งที่รู้แก่ใจดีว่ามันเป็นการหนีปัญหาแต่เธอจะเอาอะไรไปเปลี่ยนความคิดของคนเหล่านั้น จะห้ามคำนินทาของคนได้เช่นไร การไม่ต้องรับรู้รับฟังคำว่าร้ายเหล่านั้น คงจะเป็นทางออกที่ทำได้ดีที่สุดในตอนนี้

 

                ทันที่ที่นีราภาเปิดประตูบานทึบออกมาจากส่วนของพนักงานก็ได้พบกับร่างของชีวิน ยืนจังก้าอยู่หลังประตู

                “ชีวิน! เธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง นี่ฉันไม่ได้ตาฝาดไปใช่ไหม??” นีราภาถามราวกับไม่เชื่อสายตาตัวเอง

                “ฉันมากกว่าต้องถามเธอว่ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” ชีวินถามด้วยสีหน้าเอาเรื่อง ตอนแรกตั้งใจเดินออกมาทำธุระส่วนตัวแต่สายตาก็ปะทะเข้ากับร่างระหงของผู้หญิงที่หลงรักมาเป็นแรมปี ทั้งวันสองวันมานี้ยังไม่สามารถติดต่อเธอได้เลย คำซุบซิบนินทาของพนักงานที่เขาได้ยินนั้นทำให้เกิดความสงสัยจนต้องออกเอ่ยปากถามว่ากำลังหมายถึงผู้หญิงที่เดินหายเข้าไปในห้องนี้ใช่หรือไม่!?

                และคำตอบที่ได้จากพนักงานสาวเหล่านั้นซึ่งพูดออกมาราวกับอิจฉาก็เหมือนสายฟ้าผ่าลงกลางร่าง ให้เขายืนนิ่งรอให้เธอเดินกลับออกมาอีกครั้งเพื่อถามความจริง แต่เมื่อได้เห็นใบหน้างดงาม ผ่องใสของเธอ ท่าทางดีใจจนออกนอกหน้ามันก็ทำให้เขาไม่กล้าเอ่ยปากเค้นถามความจริงจากเธอ

                “อย่าเพิ่งถามมากได้ไหม ฉันมีเรื่องให้เธอช่วย” นีราภาถือวิสาสะคว้าเข้าที่ข้อมือของเพื่อนดึงเขาให้เข้ามาหลบอยู่ตรงมุมห้อง พลางสอดส่ายสายตาเพราะกลัวว่าจะมีใครมาพบเห็นเข้า “พาฉันออกไปจากที่นี่ก่อน แล้วจะเล่าทุกอย่างให้ฟัง”

                “ฉันไม่เข้าใจ ทำไมต้องทำเหมือนโดนลักพาตัวมาแบบนี้ แล้วใครมันทำอย่างนั้น ไอ้ทัตเทพนั่นใช่ไหม?” ชีวินถามด้วยน้ำเสียงร้อนใจ

                “ไม่ใช่ๆ พาฉันออกไปจากที่นี่ก่อน เรื่องอื่นเอาไว้คุยกันทีหลัง” นีราภาขอร้องด้วยน้ำเสียงร้อนรน “เธอมานี่ที่ทำไม มายังไง?”

                “ฉันมากับพ่อแม่มาเซ็นสัญญา ว่าแต่เธอเป็นอย่างที่พวกพนักงานสาวๆพูดกันรึเปล่าองุ่น?”

                “มันเป็นเรื่องเข้าใจผิด แล้วถ้าฉันเป็นอย่างที่คนพวกนั้นพูด ฉันจะมาขอช่วยพาฉันออกไปจากที่นี่ทำไม” นีราภาถอนหายใจเฮือกใหญ่ “พาฉันออกไปจากที่นี่ก่อนได้ไหม แล้วฉันจะเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟังทีหลัง”

                “งั้นก็ไป” ชีวินบอกพร้อมคว้าเข้าที่ข้อมือบางทันที หากแต่ต้องหันกลับมามองใบหน้าของเธอด้วยความไม่เข้าใจ

                นีราภาขืนตัวไว้สุดแรง “ไม่ได้นะ ฉันจะออกไปจากที่นี่โดยให้ใครเห็นไม่ได้”

                “ทำไม?”

                “ก็บอกว่าจะเล่าให้ฟังทีหลัง เรื่องมันยาว เร็วๆชีวิน รีบคิดว่าจะพาฉันออกไปจากที่นี่ได้ยังไงก่อน”

                ชีวินจ้องดวงตาสีน้ำตาลสดใสอย่างไม่เข้าใจนักแต่ก็ยอมคิดหาวิธีที่จะพาเธอออกไปจากที่นี่โดยไม่ให้มีใครรู้เห็น ไม่กี่อึดใจต่อมาก็นัดแนะให้หญิงสาวทำตามแผนการของตน “เธอลงไปชั้นล่างสุดแล้วออกไปรอที่ประตูหนีฉุกเฉิน มันจะทะลุกับลานจอดรถข้างนอก พอได้ยินฉันบีบแตรเธอก็ค่อยเปิดประตูออกมา”

                “ทำอย่างนั้นพนักงานรักษาความปลอดภัยจะไม่เห็นฉันเหรอ?”

                “ฉันจะขับรถไปจอดแล้วเปิดประทุนท้ายขึ้น เธอต้องอยู่ในนั้นเสียก่อน ให้ฉันไปส่งปะป๊ากับแม่ที่บ้านเรียบร้อยแล้วเธอค่อยออกมา”

                นีราภาพยักหน้ารับเร็วๆ “โอเค ฉันจะไปรออยู่ตรงประตูฉุกเฉิน แล้วอีกนานไหมกว่าจะเสร็จธุระ”

                ชีวินยกข้อมือของตนขึ้นพลางมองเวลา “ไม่หรอก ฉันว่าน่าจะเสร็จแล้วล่ะ เพราะตอนที่ฉันเดินออกมานี่ก็เกือบสิบห้านาทีแล้ว”

                “งั้นรีบไป ฉันจะไปรอข้างล่างตอนนี้เลย” นีราภาบอกพลางแยกกับชีวิน

                หญิงสาวใช้ลิฟต์จากชั้นที่ยี่สิบลงมาถึงชั้นล่างสุดในเวลาอันรวดเร็ว จังหวะหัวใจเต้นระทึกจนต้องใช้มือกดบริเวณหน้าอกเอาไว้ กลัวว่าจะมีใครล่วงรู้แผนการนี้เสียก่อน โชคชะตาเข้าข้างนักที่ได้มาเจอกับชีวินในเวลาที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นที่สุดเช่นนี้ เพียงชั่วอึดใจประตูลิฟต์ก่อนค่อยๆเปิดออก นีราภาโผล่หน้าออกไปด้านนอกใช้สายตาสอดส่องลาดเลาเพื่อความปลอดภัย เมื่อเห็นว่าปราศจากผู้คนจึงรีบเดินออกมาจากลิฟต์และเปิดประตูด้านฉุกเฉินที่อยู่ติดกัน สอดตัวเข้าไปด้านในยืนชิดอยู่กับประตูทางออก รออย่างใจจดใจจ่อ

 

                ราวสิบห้านาทีต่อมา... เสียงแตรที่ดังขึ้นพร้อมกับประตูที่เปิดออกจากด้านนอกเข้ามา ก็ทำให้นีราภารีบก้มตัวลงต่ำ เดินหลบอยู่หลังชีวินเพียงแค่ไม่กี่ก้าวก็สามารถเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในฝากระโปรงท้ายรถยนต์คันใหญ่

                “อย่าขยับตัวแรงนะ เดี๋ยวปะป๊ากับแม่ฉันจะสงสัย” ชีวินกำชับเมื่อเห็นว่าเพื่อนที่ตนมีใจให้เข้าไปนอนขดตัวอยู่บนรถแล้วเรียบร้อย

                นีราภาพยักหน้ารับก่อนที่ฝาประโปรงท้ายรถจะปิดสนิทลง ความมืดกับการเคลื่อนตัวของรถเกิดขึ้นพร้อมๆกับความเบาโหวงในหัวใจ ทันทีที่รู้สึกได้ว่ารถยนต์เลี้ยวออกจากอาณาบริเวณของเขา ก็เกิดความรู้สึกใจหายขึ้นมาทันใดทั้งที่ตอนอยู่กับเขา อยากหนีหน้าจากผู้ชายคนนี้ให้ไกล ไม่อยากมองเห็นใบหน้าหล่อเหลาที่จ้องมองตัวเองราวกับจะกลืนกิน อย่านะนีราภา! อย่าได้คิดถึงผู้ชายคนนั้นอีกเป็นอันขาด เขาคือความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในชีวิต นับจากนี้จะต้องกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง ถือเอาเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นบทเรียนสำคัญกับชีวิต อย่าให้เกิดเรื่องพลาดพลั้งเช่นนี้ได้อีกแล้วกลับไปดำเนินชีวิตให้เป็นปกติเช่นเดิม หญิงสาวบอกกับตัวเองแต่ลึกๆในใจแล้วก็ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าตอนนี้ในใจนั้นคิดถึงผู้ชายร้ายกาจคนนั้นเหลือเกิน!!

 

                บรรยากาศในรถยนต์คันใหญ่ของชีวินนั้นดูมีความสุขยิ่งนัก เมื่อผู้เป็นพ่อและแม่ยังรู้สึกยินดีที่ได้เซ็นสัญญาทำการค้ากับเอเย่นนำเข้ารถยนต์รายใหญ่ในภูมิภาคเอเชียตะวันตกเฉียงใต้อย่างทัตเทพ

                “ถึงจะต้องเตรียมเอกสารยุ่งยากไปหน่อยแต่ในที่สุดทุกอย่างก็ราบรื่น เป็นไปตามที่เราคิดเอาไว้ คราวนี้จะทำอะไรๆก็ง่ายขึ้นแล้วนะคะคุณ” วารีพูดด้วยความโล่งอกพลางกวาดตาดูคู่สัญญาที่ได้มาไว้กับตนอีกฉบับหนึ่ง

                “อืม... ผมคิดว่างานของเราน่าจะง่ายขึ้น เมื่อทุกอย่างง่ายขึ้น ทางสะดวก เราก็จะหาเงินเข้ากระเป๋าได้มากขึ้น ฮ่า...” วสันต์หัวเราะออกมาอย่างพึงพอใจ เมื่อแผนการทุกอย่างที่วางไว้มันเริ่มชัดเจนขึ้นมาทีละน้อย ในยุคที่ผู้คนวัดความสำคัญกันที่ความมั่งคั่ง เงินสามารถบันดาลความสุขได้ทุกอย่าง เขาก็ไม่เคยที่จะสนใจว่าจะหาเงินมาด้วยวิธีใด ไม่ว่ามันจะถูกหรือผิดกฏหมาย สุดท้ายแล้วเงินจะสามารถทำให้ครอบครัวของตนอยู่อย่างมีหน้ามีตา ไม่ต้องเดือดร้อนเหมือนเมื่อก่อน แต่เสียงแหลมของภรรยาที่ดังขึ้นจากเบาะนั่งด้านหลัง ก็ทำให้ตนหันไปมองลูกชายที่กำลังใช้ความเร็วจนกลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุ!

                “ตายแล้วตาวิน ขับรถให้มันช้าๆลงกว่านี้หน่อยได้ไหม แม่กลัวนะ!”

                “นั่นสิ! แกเป็นอะไรไปตาวิน ป๊าบอกให้ลดความเร็วลงเดี๋ยวนี้” วสันต์บอกพลางถอนหายใจเมื่อลูกชายยอมทำตามความต้องการแต่โดยดี “ทำอะไรก็อย่าใจร้อนนักสิตาวิน วันนี้ฉันตั้งใจให้แกไปเรียนรู้ ไปดูอาณาจักรของคนที่มีความสามารถอย่างไอ้ทัตเทพ แกกลับเดินออกมาเสียดื้อๆอย่างนั้น ไม่อยากได้ใครดีกับคนอื่นเขาบ้างหรือไง”

                “ป๊าจะดีใจอะไรนักหนาก็แค่ได้ทำงานกับไอ้ขี้เก็กนั่น ถึงเราไม่ได้ทำงานกับมันก็มีลูกค้าคนอื่นอีกถมเถไป” ชีวินบอกพลางค่อยๆเร่งความเร็วขึ้นอีกนิดเพื่อให้ถึงบ้านของตนเร็วที่สุด

                “นี่แกจะขัดใจฉันไปถึงไหนกัน ไม่ช่วยทำงาน ไม่แบ่งเบาภาระป๊ากับแม่ไม่ว่า แต่ยังไม่รู้สำนึกอีกว่าที่ทำไปทั้งหมดนั่นเพื่ออนาคตของแก...” วสันต์ทำการอบรมสั่งสอนลูกชายเพียงคนเดียวไปเรื่อยๆ โดยมีวารีผู้เป็นภรรยาคอยยื่นมือมาลูบบ่าให้ใจเย็นลงบ้าง วสันต์จึงได้ปรับเสียงให้นุ่มขึ้นเพื่อเล่าเรื่องราวในอดีตที่ตั้งทำงานหาเช้ากินค่ำ อดทนต่อความยากลำบากกว่าจะสร้างฐานะให้มั่นคง มั่งคั่งได้เช่นนี้ เพราะอยากให้ลูกชายซึมซับว่าความยากลำบาก ความจนนั้นเป็นสิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยงให้ไกล

                หากแต่หนุ่มวัยคะนองอย่างชีวินเติบโตมาอย่างสุขสบายจนเคยชิน เขาไม่ได้สนใจกับเรื่องราวของพ่อแม่สักเท่าไรเพราะจิตใจยังกังวล อยากรู้ว่าสิ่งที่ได้ยินจากพนักงานสาวในโชว์รูมที่ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ผู้หญิงที่ตนแอบรักมาเป็นแรมปีคือนางบำเรอลับของไอ้ขี้เก็กทัตเทพ!

 

                ราวยี่สิบนาทีต่อมา... ชีวินก็บึ่งรถยนต์คันใหญ่ออกจากคฤหาสน์หลังงามของตน หลังจากที่ส่งผู้เป็นพ่อและแม่ถึงหน้าบันไดตึกใหญ่ โดยไม่ได้สนใจเสียงเรียกของผู้เป็นแม่ที่แปลกใจนักว่าทำไมวันนี้ลูกชายถึงไม่เปลี่ยนเอารถสปอร์ตคันโปรดไปเช่นเคย

                ชีวินค่อยๆจอดรถยนต์ที่ริมถนนเมื่อขับออกจากรั้วคฤหาสน์หลังงามมาได้ไม่ไกลนัก ชายหนุ่มเดินอ้อมมาเปิดกระโปรงรถอย่างรวดเร็วพลางพยุงเพื่อนสาวให้ออกมาจากการนอนคุดคู้อยู่หลังกระโปรงท้าย ไม่กี่อึดใจต่อมา นีราภาก็สอดตัวเข้ามานั่งเคียงข้างกับชายหนุ่มที่ช่วยเหลือตัวเองให้เป็นอิสระ ใบหน้าบึ้งตึง อาการเงียบ นิ่งเฉยผิดวิสัยของคนขี้เล่นอย่างชีวิน ทำให้ต้องลอบถอนหายใจเมื่อรู้ว่าเขาไม่พอใจเอามากๆ

                นีราภาเองก็ใช่จะไม่รู้ว่าผู้ชายที่นั่งข้างๆนี้คิดกับตนมากกว่าความเป็นเพื่อน แต่ตนนั้นไม่เคยจะคิดเกินเลยเป็นอื่นจึงไม่รู้ว่าต้องทำเช่นไรถึงจะทำลายความเงียบงัน ตึงเครียดที่เกิดขึ้นภายในรถยนต์คันหรูนี้อย่างไร?!

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา