นางบำเรอเลื่อนขั้น

10.0

เขียนโดย ศิริพารา

วันที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 เวลา 21.28 น.

  8 ตอน
  0 วิจารณ์
  12.17K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 21.30 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) นางบำเรอเลื่อนขั้น ตอนที่ 3 100%

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

เสียงตึก... ตึก... ตึก... ที่ดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ทำให้ร่างสูงใหญ่ที่นอนหงายอยู่บนเตียงผู้ป่วยผงกหัวขึ้นมองตามเสียงนั้น ทั้งที่รู้ดีอยู่แก่ใจว่านั่นคือใคร

                “หึ... จัดการปิดข่าวทั้งหมด อย่าให้หนังสือพิมพ์ฉบับไหนเล็ดลอดข่าวออกมาได้ว่า รองประธานกลุ่มพิพิธรีโซเทล พลาดท่าเสียที โดนผู้หญิงกลางคืนวางยาปลุกเซ็กซ์ถึงกับต้องนอนโรงพยาบาล!”

                น้ำเสียงเย้ยหยันของผู้เป็นพ่อที่ดังขึ้นทำให้อัครรัฐทิ้งศีรษะได้รูปลงบนหมอนใบใหญ่อย่างระอาใจ           ไม่มีคำพูดใดๆหลุดรอดออกจากปากบึกบึนแม้เพียงครึ่งคำ

                “ผมจัดการเรียบร้อยตั้งแต่เมื่อคืนแล้วครับ รับรองว่าจะไม่มีข่าวซุบซิบใดๆที่ทำให้คุณท่านระคายเคืองหูแม้แต่น้อยครับ สบายใจได้” คุณสมชาย ทนายความวัยกลางคนซึ่งรั้งตำแหน่งคนสนิทของคุณพิพิธ พิพิธณรงค์ รับคำอย่างหนักแน่น พลางเลื่อนเก้าอี้ให้เจ้านายทรุดตัวลงนั่งข้างเตียงคนไข้อย่างนอบน้อม

                “เห็นรึยังว่าต่อให้เก่งกาจ เชี่ยวชาญแค่ไหน มันก็ต้องมีสักวันที่ผู้ชายเสเพลพลาดท่าเสียทีให้กับมารยาหญิงกลางคืน”

                อัครรัฐฟังน้ำเสียงที่ต่อว่าอย่างจริงจังพร้อมมองผู้เป็นพ่อซึ่งใช้ไม้เท้ากวัดแกว่งในอากาศ ตามอารมณ์อันคุกรุ่น เดาได้ว่าหากยังแข็งแรง ลุกขึ้นเดินเหินได้เป็นปกติคงไม่แคล้วโดนฟาดด้วยไม้เท้านี้เป็นแน่ “พ่อก็พูดซะผมเสียหาย พอผมรู้ว่าถูกวางยา ผมก็พาตัวเองกลับมาอย่างปลอดภัย ไม่ได้เสียตัวให้ใครสักหน่อย”

                “ไอ้ลูกไม่รักดี!... แกนี่มันเหลือทนจริงๆนะ ร็อก!” พิพิธถึงกับเงื้อมืออยากหวดไม้เท้าสั่งสอนลูกชายเพียงคนเดียวเสียนาทีนี้ พร้อมกับลดไม้เท้ามาเคาะบนพื้นอย่างระงับอารมณ์ สองมือเหี่ยวย่นตามกาลเวลาประสานกันแน่นบนหลังไม้เท้าซึ่งแกะสลักลวดลายเป็นหัวมังกรอย่างงดงาม ข่มใจพูดกับลูกชายด้วยน้ำเสียงประนีประนอม “แกจะเลิกใช้ชีวิตเสเพลได้รึยัง รู้แก่ใจแล้วรึยังว่าเดี๋ยวนี้ภัยอันตรายมันรอบตัว และมันก็ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะผู้หญิง ผู้ชายที่ผ่านผู้หญิงมานับไม่ถ้วนอย่างแกก็กลายเป็นผู้ถูกล่าได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นเลิกเที่ยวกลางคืน แล้วเริ่มมองหาผู้หญิงดีๆสักคนที่จะมาอยู่ข้างๆแกได้แล้ว”

                อัครรัฐส่ายหน้าดิกอย่างไม่ยอมท่าเดียว “ไม่เด็ดขาด พ่ออย่าเอาเรื่องขี้ผงพวกนี้มาตีตรวนชีวิตโสดของผมน่า... ผมแค่โดนวางยาถ้าเมื่อคืนเรียกผู้หญิงมาให้ผมสักคนสองคนก็สิ้นเรื่อง ไม่เห็นต้องทำให้มันกลายเป็นเรื่องใหญ่ ส่งตัวเข้าโรงพยาบาลแบบนี้ให้ยุ่งยาก”

                ใช่ว่าชีวิตวัยหนุ่มที่ผ่านมาในต่างแดน เขาจะไม่เคยลองใช้ยาปลุกอารมณ์พวกนี้เสียเมื่อไหร่ แต่นั่นเพราะความคะนองอยากรู้ว่าเมื่อร่างกายได้รับยากระตุ้นประสาทพวกนี้แล้ว ในยามที่ปลดปล่อยความต้องการในร่างกายมันจะสนุกสุดเหวี่ยงแค่ไหน แต่เมื่อสามารถให้คำตอบกับตัวเองได้แล้วว่าการปลดปล่อยน้ำเชื้อในขณะที่มีสติเต็มร้อยนั้น มันรับรู้ได้ถึงการปลดปล่อยและยังปลอดภัยที่สุดอีกด้วย หากแต่ไม่กล้าเอ่ยปากบอกผู้เป็นพ่อ ซึ่งบัดนี้สีหน้านั้นบ่งบอกว่ากำลังโกรธจัด!

                “อะ...ไอ้ลูกไม่รักดี แกต้องให้ฉันอกแตกตาย เส้นเลือดในสมองแตกไปก่อนใช่ไหม ถึงจะสำนึกในความผิดที่ตัวเองก่อ”

                “ใจเย็นๆครับคุณท่าน...” สมชายปรี่เข้ามาลูบแผ่นหลัง หน้าอกเจ้านายด้วยความเป็นห่วงแต่กลับถูกสะบัดออกอย่างแรงพร้อมกับเสียงตวาดดุ จนต้องถอยหลังกลับมายืนที่ตำแหน่งเดิม

                “อยากเห็นฉันนอนตายตาไม่หลับหรือยังไง แกถึงได้ทำตัวน่าโมโหอย่างนี้ แกจะให้ฉันเอาหน้าที่ไหนไปพบแม่แก จะให้ฉันไปโดยที่ยังส่งแกไม่ถึงฝั่ง ไม่เห็นหน้าหลานน่ะเหรอ แกจะใจดำกับพ่ออย่างฉันขนาดนั้นเลยเหรอร็อก?” พิพิธเริ่มใช้ไม้ตาย ยกเอาเรื่องภรรยาผู้ล่วงลับไปแล้วมาอ้าง เพราะมันคงเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ลูกชายอ่อนข้อลงบ้าง

                “โธ่!... พ่อครับ ผมยังรู้สึกสนุกกับชีวิตโสดอยู่ ยังใช้มันไม่เต็มอิ่มแล้วผมก็ยังไม่เจอผู้หญิงที่จะมานอนเตียงเดียวกัน อีกอย่างพ่อก็ยังแข็งแรง ยังไงก็ต้องได้เห็นหน้าหลานก่อนไปเจอแม่ล่ะน่า...” อัครรัฐบอกด้วยนำเสียงทีเล่นทีจริง เหล่ตามองพ่อที่นั่งหน้าบึ้งเพราะพูดไม่ออก

                “แล้วเมื่อไหร่แกจะเต็มอิ่มกับชีวิตโสด?” พิพิธกดเสียงต่ำถาม

                “ผมกำหนดวันเวลาที่แน่นนอนไม่ได้ ก็ถ้าเจอเธอคนนั้นล่ะมั้งครับ” อัครรัฐตอบแบบขอไปที

                “แล้วถ้าฉันเป็นคนหาผู้หญิงคนนั้นมาให้แกเองล่ะ”

                “พ่อกำลังลืมสัญญาลูกผู้ชายของเรา จำได้ไหม...”

                “ฉันไม่ได้ลืม ถ้าฉันลืม ฉันจับแกแต่งงานกับผู้หญิงตระกูลดีสักคนไปนานแล้ว” พิพิธพูดแทรกขึ้นมาก่อนที่ลูกชายตัวดีจะทวงสัญญาที่เคยให้ไว้ต่อกัน “ก็แค่อยากจะแนะนำผู้หญิงดีๆให้ ลองคุยกันดูก่อน ถูกใจไม่ถูกใจก็ค่อยว่ากัน”

                “แล้วถ้าพวกเธอดีจริงทำไมยังโสด” อัครรัฐเริ่มใช้แขนแข็งแรงทั้งสองข้างพยุงตัวเองลุกขึ้นมาพิงแผ่นหลังเข้ากับหัวเตียง ถามอย่างไม่ยอมแพ้เช่นกัน

                “ก็เหมือนแกไง ถ้าดีจริงแล้วทำไมยังไม่มีเมีย อายุอานามก็ไม่ใช่น้อยๆแล้ว”

                อัครรัฐไหวหัวไหล่กว้างอย่างไม่สะทกสะท้าน “ผมไม่เคยพูดนะ ว่าตัวเองเป็นคนดี ผมแค่เป็นผู้ชายคนหนึ่งที่มีอารมณ์รัก โลภ โกรธ หลงถึงจะผิดศีลห้ามากกว่าหนึ่งข้อแต่ก็ไม่เคยเคลมผู้หญิงที่มีเจ้าของ นอกเสียจากว่าเธอจะโกหก ไม่เอาน่า... พ่อก็รู้ว่ายังไงๆ ผมก็ไม่ยอมแต่งงานกับผู้หญิงที่ผมไม่ได้รัก แล้วผมก็ทำงานที่พ่อมอบหมายให้เป็นอย่างดี ไม่มีข้อผิดพลาดให้พ่อต้องหนักใจ พ่อจะมาใช้ไม้นี้กับผม มันไม่แฟร์นะ!”

                พิพิธถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ รู้ดีล่ะว่าอัครรัฐบริหารธุรกิจต่อจากตนได้อย่างชาญฉลาด ไม่เพียงไม่มีข้อบกพร่องแต่ยังสามารถนำพากลุ่มพิพิธรีโซเทลก้าวไปคว้ารางวัลการันตีระดับโลกได้หลายสาขา จนสามารถก้าวขึ้นไปเป็นโรงแรมหรูระดับโลกได้ หากแต่ความหวังดีของคนเป็นพ่อแม่ ไม่เพียงอยากเห็นลูกประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานเท่านั้น แต่ยังอยากเห็นลูกมีครอบครัวและชีวิตส่วนตัวอย่างสมบูรณ์ และดูเหมือนว่าผู้เป็นลูกชายยังไม่เข้าใจและเห็นความสำคัญในเรื่องนี้เท่าใดนัก

                “ตกลงว่าแกยังจะใช้ชีวิตเสเพล สำมะเลเทเมาอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ ฉันจะตายวันนี้พรุ่งนี้แกก็ไม่สนใจใช่ไหม?” พิพิธเริ่มขึ้นเสียงอีกครั้งพร้อมมองลูกชายที่เป็นหนุ่มเต็มตัวใช้สองมือทึ้งผมตัวเอง ทำราวกับว่ามันยุ่งยากเสียยิ่งกว่าการเจรจาธุรกิจพันล้าน

                “พ่อก็พูดซะผมดูแย่ ผมแค่ยังรักความโสดของผมเท่านั้นเอง อีกอย่างพ่อแข็งแรงดีออก ถ้ามีเมียอีกคนคงมีน้องให้ผมได้แน่ๆ”

                “ไอ้ร็อก! ไอ้ลูกเลว ฉันจะตายก็เพราะความกะล่อนของแกนี่ล่ะ!” พิพิธพูดพร้อมลูบหน้าอกตัวเองไม่เบานัก

                “อ้อ... แล้วพ่อก็เลิกคิดเรื่องไปพบแม่ไปก่อนเพราะมันอีกนานเลยครับ” อัครรัฐพูดแสร้งทำสีหน้าจริงจัง ทั้งที่ความจริงแล้วไม่อยากให้ท่านเครียดกับเรื่องไม่เป็นเรื่องนี้นัก แต่ดูเหมือนว่าผู้เป็นพ่อจะโมโหมากกว่าเดิม ท้ายที่สุดทนายความซึ่งรับใช้คุณพิพิธมาช้านานต้องเข้าห้ามศึก วิวาทะของสองพ่อลูกอีกเช่นเคย

                “โธ่!... คุณร็อกก็อย่ายั่วโมโหคุณท่านนักเลยครับ” สมชายปรามเจ้านายอีกคนแล้วรีบหลุบสายตามองพื้นทันที

                “สมชาย แกจัดการสอบถามดีแล้วใช่ไหมว่าไม่มีใครเข้าใกล้ร็อก ในตอนที่โดนวางยา” พิพิธถามเสียงดุเพราะเท่าที่ได้รับรายงานมานั้น มีพนักงานสาวคนหนึ่งเป็นผู้แจ้งอาการที่เกิดขึ้นให้หัวหน้าแผนกแม่บ้านได้รับรู้

                “ผมถามหัวหน้าแผนกแม่บ้านมาเป็นอย่างดีแล้วครับ พนักงานคนดังกล่าวเป็นคนทำความสะอาดเพนท์เฮาส์ของคุณร็อก เธอขึ้นไปหยิบโทรศัพท์มือถือให้หัวหน้าแผนกแม่บ้านซึ่งขึ้นไปตรวจตราความเรียบร้อย และก็ลงมารายงานอาการของคุณร็อกครับ” สมชายรายงานอย่างละเอียด “ท่านวางใจได้ครับ คือระยะเวลามันรวดเร็วมาก ถ้าเธอถูกคุณร็อก อะ...เอ่อ ใช้งานคงไม่กลับลงไปรายงานได้รวดเร็วอย่างนั้นครับ”

                “ดี... ฉันคงไม่ได้ยินว่ามีผู้หญิงมาร่ำร้อง อ้างตัวว่าเป็นเมียทั้งมีลูกอยู่ในท้อง เดี๋ยวคนอื่นเขาจะครหาว่าท่านรองของกลุ่มพิพิธรีโซเทล เสเพลจัดเป็นสมภารกินไก่วัด” พิพิธตั้งใจว่าประชดลูกชายให้เจ็บแสบพลางลุกขึ้นอย่างช้าๆ หมุนตัวก้าวเดินออกจากห้องพักวีไอพีโดยไม่สนใจเสียงของลูกชายที่ดังขึ้น

                “อ้าว! แล้วนั่นพ่อจะไปไหน?”

                “กลับบ้านน่ะสิ ชังน้ำหน้าแกนัก อยู่ไปก็รังแต่จะทำให้ฉันเสียประสาทเปล่าๆ” แต่เมื่อเดินไปถึงประตูบานใหญ่สีสะอาดตาจึงทิ้งท้ายประโยคเด็ดที่ทำให้ลูกชายต้องดีดตัวผึงขึ้นจากเตียงผู้ป่วยราวกับตัวติดสปริงชั้นดี “แต่ฉันว่าจะแวะไปหาผู้หญิงดีๆสักสองสามคน เผื่อมีคนไหนเข้าตาจะได้เอามานั่งแท่นเป็นลูกสะใภ้”

                “ถ้าพ่อทำอย่างนั้นผมจะไม่กลับบ้าน พ่อเดี๋ยวก่อนสิครับ กลับมาคุยกันให้รู้เรื่องก่อน ผมไม่ยอมให้พ่อทำอย่างงั้นแน่!” อัครรัฐใช้สองมือทึ้งเส้นผมตัวเองอีกครั้ง กรอกตาขึ้นฟ้าอย่างระอาใจเมื่อผู้เป็นพ่อไม่ได้สนใจกับคำพูดของตนเลยแม้แต่น้อย

                นิ้วมือเรียวยาวกดปุ่มขอความช่วยเหลือก่อนที่จะพาร่างสูงใหญ่ของตนมายังห้องน้ำกว้าง จัดการอาบน้ำชำระร่างกาย ทั้งส่งเสียงออกมาว่าต้องการออกจากโรงพยาบาล โดยที่นางพยาบาลไม่กล้าคัดค้านเพราะรู้ดีว่า เขาคือลูกค้าวีไอพีผู้ร่ำรวยทั้งยังอุดหนุนเงินให้กับโรงพยาบาลในทุกโครงการ จึงได้แต่เดินออกมาแจ้งผู้ที่เกี่ยวข้องให้รับทราบและดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป

                อัครรัฐกวาดสายตาสำรวจความเรียบร้อยของตนในกระจกเงาบานใหญ่ พลันในสมองก็ผุดภาพเลือนลางของผู้หญิงคนหนึ่งขึ้นมาทันที รูปร่างอ้อนแอ้นทว่าเมื่อได้สัมผัส กอดรัดแล้วกลับรู้ได้ว่าผิวกายเธอเรียบลื่น นุ่มนิ่ม หอมกรุ่นจนทำให้ร่างกายของชายชาตรีรวดร้าวขึ้นมาอย่างน่าประหลาดใจ จำได้ว่าตัวเองบดจูบเร่าร้อนกับริมฝีปากอิ่มของเธออยู่นานหลายนาที หากไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมวินาทีนั้นจึงได้ปล่อยแม่สมันสาวให้หลุดลอยไปได้

 

                ราวสองชั่วโมงต่อมาเบนท์ลีย์ (Bentley) รุ่นฟลายอิ้ง สเปอร์ (Flying spur) สีดำสุดหรูราคาแพงระยับก็เคลื่อนตัวมาจอดสนิทหน้าโรงแรมพิพิธรีโซเทล ความมันวาววับของซุปเปอร์คาร์ระดับโลกสามารถสะกดสายตาของลูกค้าที่กำลังเดินเข้าออกในโรงแรมได้เป็นอย่างดี หากแต่บุคคลที่ก้าวลงมานั้นเป็นคนที่พนักงานทุกคนต่างรู้จักเป็นอย่างดี รูปร่างสูงเกินกว่าชายเอเชียทั่วไปของอัครรัฐที่ก้าวลงมาประกอบกับใบหน้าอันหล่อเหลา ดวงตาคมกริบ โหนกแก้มสูงบ่งบอกถึงความมั่นใจในตัวเอง ทำให้เขากลายเป็นนักธุรกิจหนุ่มโสดที่กำลังเป็นที่กล่าวขานของคนในสังคมชั้นสูง สาวๆน้อยใหญ่ที่ได้เห็นก็มักจะชะม้ายชายตา โปรยยิ้มหว่านเสน่ห์ ไม่เว้นแม้แต่ลูกค้าสาวชาวต่างชาติซึ่งเข้ามาใช้บริการในโรงแรมของชายหนุ่ม

                เพียงแค่อัครรัฐแสยะยิ้ม ก้มศีรษะให้เล็กน้อยตามมารยาท ก็สามารถเรียกเสียงกรี๊ดกร๊าดจากพวกเธอเหล่านั้นได้แล้ว หากแต่นั่นไม่ได้ทำให้ผู้ชายที่ไม่เคยซื้อผู้หญิงด้วยเงินสะท้านสะเทือนเพราะเพียงแค่เขากระดิกนิ้ว เซเลบริตี้สาว ดารา นางแบบก็พร้อมใจกันเรียงแถวหน้ากระดานให้เขาเลือก แต่เมื่อคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนแล้วก็ทำให้ชายหนุ่มอารมณ์ขุ่นมัวยิ่งนัก ผู้หญิงคนนั้นเป็นแค่นักร้องหน้าใหม่ที่ยังไม่ได้มีชื่อเสียงในวงการยังกล้าดีวางยาปลุกเซ็กซ์ จนทำให้เกิดเรื่องยุ่งยาก ปะทะคารมกับผู้เป็นพ่อ

                ดีล่ะ!... ถ้าเธออยากอนาคตดับวูบก่อนที่จะแจ้งเกิดนัก เขาก็จะสงเคราะห์ให้ แล้วคอยดูว่าคนอย่างอัครรัฐที่ไม่เคยคิดทำร้ายใครก่อน จะเอาคืนกับคนที่บังอาจลองดีกับเขาได้เจ็บแสบแค่ไหน อัครรัฐคิดในใจพร้อมกับเดินหายเข้าไปในลิฟต์ผู้บริหารด้วยใบหน้าบอกบุญไม่รับ ถึงกระนั้นในสายตาของสาวๆก็ยังคงมองว่าเขาหล่อเหลาทุกอิริยาบทเช่นเดิม

 

                ทันทีที่เดินเข้ามาในเพนท์เฮาส์ส่วนตัวชั้นสูงสุดของโรงแรม อัครรัฐก็จัดการสั่งอาหารกลางวันซึ่งเลยเวลามานานกว่าสี่ชั่วโมง จากนั้นชายหนุ่มจึงจัดการถอดเสื้อผ้าออกจากร่างกายพลางก้าวขาหย่อนลงไปในอ่างน้ำวน หลับตานิ่งปล่อยให้แรงดันของน้ำนวดผ่อนคลายความตึงเครียด ในใจยังคิดหาวิธีรับมือกับผู้เป็นพ่อ ซึ่งสายตาของท่านนั้นจริงจังกับการอยากให้เขาตกล่องปล่องชิ้นกับผู้หญิงสักคนเหลือเกิน แน่นอนล่ะว่า... ความจริงจัง มุ่งมั่นนั้นเริ่มทำให้อัครรัฐกังวลใจขึ้นมาแล้ว โดยไม่รู้เลยว่าการสั่งอาหารของตนนั้น ทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งต้องทำหน้าที่นำอาหารพร้อมเครื่องดื่มทั้งหมดมาเสิร์ฟกำลังหนักใจ เพราะยังไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับผู้ชายที่ปล้นจูบแรกของเธอไปในตอนนี้!

 

                ชยาภาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เมื่อมองรถเข็นที่เต็มไปด้วยอาหารเลิศรสพร้อมเครื่องดื่มด้วยความลำบากใจ แต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธหน้าที่นี้ได้ จึงได้แต่ยืนลังเลเมื่ออยู่หน้าประตูบานใหญ่

                ‘อะไรนะคะ?’

                หัวหน้าแผนกแม่บ้านขมวดคิ้วโก่งอย่างสงสัยเมื่อได้ยินเสียงหวานสูงปรี้ด... หลังจากที่ตนออกคำสั่งให้ชยาภาจัดการเอาอาหารไปเสิร์ฟท่านรองยังเพนท์เฮาส์ ซึ่งเธอมีหน้าที่รับผิดชอบทำความสะอาด ‘ทำไมต้องถามฉันเสียงสูงอย่างนั้น ฉันพูดเสียงดังฟังชัดขนาดนี้ไม่ได้ยินหรือไง บอกว่าให้เอาอาหารบนรถเข็นนี้ไปเสิร์ฟให้ท่ารองในเพนท์เฮาส์’

                ‘เอ่อ... ได้ยินชัดค่ะ แต่มันไม่ใช่หน้าที่ของดิฉันนี่คะ’ ชยาภาบอกด้วยน้ำเสียงเกรงใจ

                ‘ฮึ... จำใส่ใจไว้นะชยาภา เมื่อเธอคือคนที่ถูกเลือกให้รับผิดชอบดูแลเพนท์เฮาส์ นั่นก็หมายความว่าทุกๆอย่างที่เกี่ยวข้องในเพนท์เฮาส์คือหน้าที่หลักของเธอ เริ่มจากทำความสะอาด เก็บเสื้อผ้าท่านรองมาส่งให้ฝ่ายซักรีดแล้วเธอก็ต้องเป็นคนเอาเสื้อผ้าเหล่านั้นขึ้นไปจัดเรียง เสิร์ฟอาหารและจัดเก็บโต๊ะอาหารให้เรียบร้อย เธอคงไม่คิดว่าโรงแรมของเราใจดี จ้างเธอมาทำความสะอาดเพนท์เฮาส์เพียงแค่ชั่วโมงสองชั่วโมง แล้วก็เดินลอยไปลอยมาทั้งวันหรอกนะ หรือถ้าคิดอย่างนั้นก็เชิญไปหางานที่อื่น ฉันจะได้เลือกคนใหม่ขึ้นมาทำหน้าที่นี้แทน’

                เพียงแค่ได้ยินเท่านั้นชยาภาก็รีบส่ายหน้าพร้อมกล่าวคำขอโทษเป็นพัลวัน เมื่อได้รับคำตอบเป็นการพยักหน้าก็ต้องยิ้มออกมาอย่างโล่งอก รีบเข็นอาหารหน้าตาน่ารับประทานออกมาอย่างกระตือรืนร้นแต่แท้จริงแล้วในใจนั้นกลับกังวลเป็นอย่างมาก

                ชยาภาเช็ดมือชื้นเหงื่อทั้งสองข้างของตนพร้อมกับเคาะประตู และได้ยินเพียงเสียงห้าวที่ดังลอดออกมาจากประตู

                “เชิญ... ฉันไม่ได้ล็อกประตู”

                ชยาภาเปิดประตูบานใหญ่เข้าไปพร้อมกลั้นหายใจราวกับว่ากลัวมันจะส่งเสียงดัง ทำให้เจ้าของห้องรำคาญใจหันมาเล่นงานตนอีก แต่เมื่อเข้าไปด้านในก็ได้ยินเพียงเสียงห้าวสนทนากับใครคนหนึ่ง ดวงตาคู่หวานจึงค่อยๆเหลือบสายตามองไปยังต้นกำเนิดของเสียง แล้วก็ต้องถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เมื่อเห็นว่าร่างสูงใหญ่ของเขากำลังหันหน้าออกสู่กระจกใสบานใหญ่ ซึ่งมองเห็นวิวมุมสูงของกรุงเทพมหานครได้ชัดเจน จึงรีบหันมาจัดโต๊ะอาหารอย่างเร่งรีบพลางคิดในใจว่า นี่คงเป็นโอกาสดีที่จะไม่ต้องเผชิญหน้ากับเขา

                “แกอย่ามากวนประสาทฉันอีกคนเลยน่า... ฉันโทรมาขอคำปรึกษาจากแก ไม่ได้โทรมาให้แกซ้ำเติม” อัครรัฐชักหงุดหงิดใจ เมื่อเพื่อนสนิทที่อยู่ปลายสายยังเห็นว่าเรื่องของตนเป็นเรื่องขบขัน

                “ฮ่า... ก็มันจริงนี่ ถ้าพ่อแกท่านอยากได้หลานนัก แกก็หาผู้หญิงสวยหุ่นเอ็กซ์เซ็กซ์ระเบิดมาเป็นแม่พันธุ์ แกก็หน้าตาใช้ได้ รับรองลูกออกมาต้องน่ารัก ถึงตอนนั้นสมใจท่านแล้วก็คงเลิกยุ่งกับชีวิตของแกไปเอง”

                อัครรัฐสำลักน้ำสะอาดที่กำลังดื่มเมื่อได้ยินคำแนะนำของเพื่อนสนิทที่เรียนในต่างแดนด้วยกัน “ไอ้ตูดหมึก ผู้หญิงสวยหุ่นเอ็กซ์เซ็กซ์ระเบิดอย่างที่แกว่า ก็มีแต่ผู้หญิงในหนังสือหน้ากลาง แล้วพวกนี้ก็เด็กเสี่ยทั้งนั้น แกจะให้ฉันไปคว้าอีหนูมาเป็นแม่ของลูกหรือไงวะ?! ความคิดไม่เข้าท่า”

                “ลองมาดูน้องๆนักศึกษาไหมวะ ไม่เด่น ไม่ดัง ไม่เรื่องมาก แค่ส่งเสียค่าเทอมให้ก็พอ อาทิตย์หน้านี่มีมอเตอร์โชว์ แกก็มาดูที่บูทบริษัทฉันสิ เผื่อเข้าตามั่ง” ทัตเทพ เจ้าของบริษัทนำเข้าชุปเปอร์คาร์รายใหญ่ที่สุดในประเทศไทยพูดอย่างอารมณ์ดี

                อัครรัฐถอนหายใจเฮือกใหญ่หมุนตัวกลับ เดินมายังโต๊ะอาหารเมื่อท้องร้องประท้วงเพราะความหิว ไม่ได้สนใจกับร่างของผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งกำลังก้มๆเงยๆอยู่บริเวณรถเข็น “นักศึกษานี่น่าจะเรื่องมากว่ะ อีกอย่างฉันไม่ชอบผู้หญิงด้อยประสบการณ์ ขี้เกียจสอน งั้นแค่นี้ก่อนแล้วกัน ท้องร้องแล้ว หิวมากๆ”

                ชยาภารีบเข็นรถออกห่างจากโต๊ะอาหารทันทีเมื่อจัดแจงตั้งอาหารเรียบร้อย ในใจคิดว่าจะไปนั่งรอด้านนอก ให้เขาได้รับประทานอาหารเรียบร้อยแล้วจึงจะเข้ามาเก็บกวาดอีกครั้ง หากแต่เสียงห้าวติดรำคาญก็ดังขึ้น ทำให้การก้าวเดินของชยาภาหยุดชะงักทันที

                “เดี๋ยว! เธอเป็นเมดที่มาดูแลแทนคนเก่าใช่ไหม?” อัครรัฐถามพลางลงมือจัดการกับอาหารตรงหน้า พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองแผ่นหลังบอบบางที่ยังกล้าดี ตอบคำถามตนโดยไม่หันหน้ามาสบสายตา

                “ค่ะ” ชยาภารับคำสั้นๆ

                “เธอคงจะเสียมารยาทตอบคำถามลูกค้าของพิพิธรีโซเทลโดยไม่หันหน้ามาสบสายตาคู่สนทนาเป็นประจำสินะ ถึงได้ทำอย่างนี้กับฉัน ทั้งที่รู้ดีแก่ใจว่าฉันเป็นใคร”

                “ปะ...เปล่าค่ะ” ชยาภาแทบหาเสียงตัวเองไม่เจอพร้อมหมุนตัวกลับไปหาคู่สนทนา แต่ยังก้มหน้ามองพื้นเช่นเดิม “ดะ...ดิฉันขอโทษที่เสียมารยาทค่ะ”

                อัครรัฐเพียงแค่เหลือบสายตามองเมดคนใหม่แล้วส่ายหน้า พลางหันมาจัดการกับอาหารของตนเองต่อไปเรื่อยๆ ในใจคิดว่าหลังจากอาหารมื้อนี้คงต้องเรียกทุกฝ่ายประชุมเป็นการด่วน ขนาดว่าพนักงานตัวเล็กๆคนหนึ่งเสียมารยาทอย่างนี้ แล้วกับลูกค้าที่มาใช้บริการของโรงแรมจะได้รับบริการกันอย่างไร “รินน้ำใส่แก้วสิ หรือจะให้ฉันทำเอง”

                ชยาภาไม่ตอบว่าอย่างไร แต่ขยับตัวอย่างเชื่องช้า กล้าๆกลัวๆเข้ามาทำตามคำบัญชา ซึ่งกิริยาท่าทางดังกล่าวนั้นทำให้อัครรัฐหมดความอดทน เงยหน้าขึ้นมองร่างบอบบางซึ่งสวมชุดฟอร์มพนักงานอย่างเอาเรื่อง

                “เงยหน้าขึ้น แล้วตอบฉันมา เธอทำงานที่นี่มานานรึยัง?”

                หากแต่หญิงสาวดังก้มหน้านิ่งเช่นเดิม มีเพียงเสียงอึกอักในลำคอราวกับคนติดอ่าง พูดไม่ออก เสียงช้อนสแตนเลสที่ตกจากนิ้วมือเรียวยาวตกกระทบกับจานกระเบื้องชั้นดีประกอบกับเสียงดุที่ย้ำถามอีกครั้งยิ่งทำให้ชยาภาตกใจมากขึ้นไปอีก

                “เงยหน้าแล้วตอบมาเดี๋ยวนี้!” อัครรัฐตวาดถามอย่างคนหมดความอดทน หากแต่ช่วงเวลาที่จดจ้องใบหน้าของเธอซึ่งค่อยๆเผยตัวให้เห็นได้เต็มตา ก็ต้องอ้าปากค้างตกตะลึง ใช่! เธอสวย ใบหน้างดงามสะดุดตากับผู้พบเห็น ดวงตาดำขลับ ริมฝีปากอิ่มสีชมพูระเรื่อ รับกับใบหน้ารูปหัวใจอย่างเหมาะเจาะ แต่เหนือสิ่งอื่นใดนั้นเธอคือสมันสาวที่เขาปล่อยให้หลุดมือไปเมื่อคืนนี้ แล้วสุดท้ายยังต้องแปลกใจตัวเองว่าทำไมถึงได้ปล่อยเธอไปในช่วงเวลาที่ตัวเองยากลำบากอย่างนั้น “นี่เธอเองเหรอ!?”

                “อะ...เอ่อ ดะ...ดิฉันขอตัวนะคะ” ชยาภาไม่ตอบคำถาม แต่กลับหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าโดยเร็ว

                “ถ้าอยากหางานใหม่ทำตอนนี้ ก็ลองดู!” อัครรัฐว่าด้วยน้ำเสียงวางอำนาจ นึกแปลกใจว่าเหตุใดพนักงานตำแหน่งเล็กๆ ถึงได้กล้าขัดคำสั่ง เพียงเท่านั้นร่างอ้อนแอ้นก็หยุดนิ่งเรียกรอยยิ้มที่มุมปากของชายหนุ่มได้ทันที “เงยหน้าขึ้นมา แล้วตอบคำถามของฉันด้วย”

                ชยาภาจำใจทำตามอย่างกล้าๆกลัวๆ

                “ตอบมา” อัครรัฐแสร้งทำเสียงดุย้ำถามอีกครั้ง

                “ดิฉันทำงานที่นี่มาเกือบสามเดือนแล้วค่ะ แล้วก็ไม่เคยปฏิบัติตัวเสียมารยาทกับลูกค้าค่ะ”

                “ฉันอยากรู้ว่าเมื่อคืนนี้ฉันจูบเธอใช่ไหม?” อัครรัฐถามตรงประเด็นพลางมองใบหน้างดงาม ซึ่งยอมรับว่าความงดงามของเธอนั้นเรียกความสนใจ ตกตะลึงจากตนได้เป็นอย่างดี

                “เอ่อ ชะ...ใช่ อุ๊ย มะ...ไม่ใช่ค่ะ!!” ชยาภาไม่รู้ว่าจะตอบคำถามตรงไปตรงมานั้นอย่างไรดี “คือดิฉันหมายความว่า ดิฉันไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น เข้าใจดีว่าท่านรองถูกวางยา และไม่มีสติสัมปชัญญะครบถ้วน ไม่ต้องเป็นกังวลนะคะ ดิฉันไม่ได้รู้สึกอะไรเลย”

                อัครรัฐแทบจะลำสักอาหารเลิศรสที่ลำเลียงเข้าสู่ร่างกายออกมาทั้งหมด หากต้องนิ่งงันมองริมฝีปากอวบอิ่มขยับขึ้นลง ฟังเสียงหวานพูดในสิ่งที่ไม่เคยผู้หญิงคนไหนพูดมาก่อน

                “ไม่ต้องห่วงนะคะว่าดิฉันจะแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป ดิฉันจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเหตุการณ์วันนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง” ชยาภายังพูดต่อไปเรื่อยๆเพราะรู้ดีว่า... เขาก็คงกลัวเธอจะยกเอาเรื่องที่ลวนลามขึ้นมาเรียกร้องเงินตรา ค่าทำขวัญ

                แต่ในขณะเดียวกันชยาภากลับไม่รู้ตัวเลยว่าคำพูดของตัวเองนั้นมันบั่นทอนความมั่นใจของผู้ชายที่มีผู้หญิงทั่วประเทศคลั่งไคล้เป็นอย่างมาก ชายหนุ่มรีบกลืนอาหารลงไปในลำคออย่างยากเย็นก่อนที่จะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงห้วนจัด! “เธอความจำเสื่อมหรือศีรษะไปกระแทกกับอะไรสักอย่างรึเปล่า?”

                “ปะ...เปล่าค่ะ”

                “แล้วทำไมถึงจำไม่ได้ว่าฉันจูบเธอ”

                ชยาภาอ้าปากค้าง ไม่รู้จะตอบคำถามนั้นอย่างไรดี อีกทั้งยังไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องจ้องมองราวกับเธอเป็นตัวประหลาด “กะ...ก็...”

                “ฉันเปลือยทั้งตัว จูบเธอเร่าร้อนขนาดนั้น เธอกลับมาบอกว่าจำไม่ได้งั้นเหรอ? ฉันจะบ้าตาย!!”

                สมองของชยาภาประมวลผลตามคำพูดของเขาทันที ร่างแข็งแกร่งที่เปลือยเปล่า กึ่งกลางตัวยังปรากฏความอลังการที่เพิ่งได้เคยพบเจอ เบียดเสียดกับสิ่งมีชีวิตนั้นเป็นครั้งแรกในชีวิต รสจูบอันเสนเร่าร้อน รัญจวนใจยังกำซ่าน แผ่รัศมีรายล้อมรอบตัว และท่าทางนิ่งงันของเธอนั้นมันก็ทำให้ผู้ชายที่ผ่านโลกมาอย่างโชกโชนรับรู้ได้ทันทีว่าเธอกำลังโกหก! ฟันขาวสะอาดที่เรียงตัวกันเป็นระเบียบขบเข้าที่ริมฝีปากล่างอย่างยั่วเย้าโดยไม่รู้ตัว ในขณะที่แก้มใสนั้นแดงก่ำลามเลียไปทั่วผิวกาย

                “เด็กเลี้ยงแกะ สมองเธอตอนนี้จำได้ดีเชียวล่ะว่าฉันเปลือย คึกคักยังไง จำได้แม้กระทั่งรสจูบของฉัน ไม่อย่างนั้นเธอจะแดงก่ำไปทั้งตัวอย่างนี้เหรอ” อัครรัฐบอกอย่างรู้ทัน

                ข้อกล่าวหานั้นทำให้ชยาภาสะดุ้งสุดตัวด้วยความตกใจ หากเขาไม่ได้อยู่ในฐานะเจ้านาย คงได้หาของแข็งมาทำร้ายร่างกายให้สำนึกกันบ้าง “แต่ถึงอย่างนั้นท่านรองก็ไม่ต้องกลัวว่าดิฉันจะเรียกร้องค่าเสียหายอะไรนะคะ ดิฉันรู้ว่าอะไรควรไม่ควร”

                อัครรัฐไม่รู้จะพูดอย่างไรดี เธอเป็นผู้หญิงสวยมากๆชนิดที่สามารถทำให้ผู้ชายมองจนเหลียวหลัง แต่เธอก็เป็นผู้หญิงคนแรกที่แสดงออกมาอย่างโจ่งแจ้งว่าไม่ต้องการเขา พูดง่ายๆคือเธอเล่นตัว และมันก็ได้ผล เขากำลังรวดร้าวด้วยความต้องการเพราะอยากจะเล่นตัวของเธอขึ้นมาจริงๆ “เท่าไหร่ ว่ามา?”

                “คะ? ดิฉันไม่เข้าใจคำถามค่ะ” ชยาภาถามด้วยคำถามพาซื่อ

                “เธออยากได้ค่าตัวเท่าไหร่ก็พูดมา แล้วฉันจะแสดงให้ดูสดๆ ไม่ต้องไปมโนภาพเอาเองจนหน้าตาแดงก่ำอย่างนั้น”

                ชยาภากัดริมฝีปากล่างแน่น คำพูดของเขาทำให้ใบหน้าชาดิกราวกับโดนตบมาฉาดใหญ่ หากแต่ต้องอดทนต่อไปเพราะมันคงเป็นการตัดช่องทางทำมาหากินของตัวเองถ้าหากจะมีเรื่องกับผู้ชายคนนี้ ความอดทนสั่งการให้เก็บกวาดภาชนะบนโต๊ะอาหารแล้วไปให้ไกลจากเขา “ขอโทษนะคะดิฉันคิดว่าดิฉันพูดอย่างชัดเจนแล้วว่าไม่ได้ต้องการเรียกร้องค่าเสียหายใดๆทั้งนั้น แล้วที่ท่านรองถามเมื่อกี้นี้ก็จะคิดเสียว่าไม่เคยได้ยินมาก่อน อย่าให้ดิฉันต้องเชื่อกับคำร่ำลือที่เคยได้ยินมาเลย”

                อัครรัฐเบ้ปากยักหัวไหล่อย่างไม่สนใจ มองนิ้วมือเรียวเล็กเก็บจานชามอย่างคล่องแคล่ว ข้อมือเล็กๆทั้งสองข้างของเธอ เขาคงจะจัดการรวบมันไว้บนศีรษะของเธอได้ด้วยมือข้างเดียวในตอนที่เขากำลัง ‘เล่นตัวเธอ’ “ใครๆคงร่ำลือว่าฉันหล่อ”

                ชยาภาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่หลังจากที่เก็บกวาดโต๊ะอาหารแล้วเรียบร้อย สองมือกำราวจับรถเข็นแน่น เตรียมพร้อมที่จะออกไปข้างนอกตลอดเวลา “ค่ะ แล้วยังร่ำลือกันมาว่าท่านรองเปลี่ยนผู้หญิงง่ายกว่าเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่ดิฉันไม่เคยรู้มาก่อนว่าท่านรองอยากเป็นสมภารกินไก่วัด ซึ่งมันทำให้ดิฉันประหลาดใจมากเพราะไม่อยากจะเชื่อว่านี่คือท่านรองคนเดียวกันกับที่พาโรงแรมของเราก้าวขึ้นไปรับตำแหน่งสำคัญของโลก”

                พูดจบก็เดินห่างออกไปทันที โดยที่ไม่มีท่าทางเกรงกลัวเลยสักนิดว่าเธออยู่ในสถานะพนักงานเล็กๆ ซึ่งบังอาจมาดูหมิ่นเจ้าของโรงแรมที่พนักงานเล็กๆอย่างเธอทำงานอยู่ “เธอกล้ามากนะที่บังอาจพูดกับฉันอย่างนี้”

                “ดิฉันทราบค่ะว่าไม่สมควร” ชยาภาชะงักการก้าวเดิน แต่ตอบคำถามด้วยน้ำเสียงชัดเจนโดยที่ไม่ยอมหันกลับมาสบสายตาคู่สนทนา “แต่ที่ดิฉันต้องก้าวร้าวเสียมารยาทกับท่านรองอย่างนั้น เพราะท่านรองดูถูกดิฉันก่อน ถือเสียว่าที่ดิฉันเสียมารยาทไปเมื่อครู่นี้เป็นค่าตัวที่ท่านรองถามก็แล้วกันค่ะ”

                อัครรัฐถึงกับอึ้ง พูดไม่ออก มีเพียงเสียงปิดประตูที่ดังขึ้นไม่เบานักเท่านั้นที่เรียกสติให้กลับคืนมา ให้ตายเถอะ! เกิดมายังไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนด่าได้เจ็บแสบอย่างนี้มาก่อนเลย เธอแน่มาก ใจกล้าเกินตัวเล็กๆเชียวล่ะ ทำให้เขาสูญเสียความมั่นใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ยังกล้าดีด่าเขาฉอดๆทั้งที่ตัวเองเป็นแค่พนักงานเล็กๆ ต้องรับเงินเดือนจากเขาทุกเดือน โดยที่เขายังไม่รู้แม้กระทั่งชื่อเสียงเรียงนามของเธอ สิ่งเดียวที่ได้จากเธอนั้นมีเพียงรสจูบหอมหวานที่ติดอยู่ริมฝีปากเท่านั้นเอง...

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา