แค้นรักแค้นเสน่หา

-

เขียนโดย ศิริพารา

วันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2558 เวลา 22.19 น.

  15 ตอน
  0 วิจารณ์
  18.03K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 11.27 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

4) แค้นรักแค้นเสน่หา ตอนที่ 3 100%

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

รุ่งเช้าของวันต่อมาอภินราเรียกผู้บริหารระดับสูงเข้าประชุมว่าด้วยการเปิดจองคอนโดมิเนียมเฟสใหม่ ซึ่งตั้งอยู่ในทำเลที่ดีที่สุดบนถนนสายหลักและยังอยู่ห่างจากต้นสายสถานีรถไฟฟ้าสายม่วงไม่ถึงห้าร้อยเมตร ที่สำคัญห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ยังกำลังดำเนินการก่อสร้างและจะเปิดให้บริการในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เพียงเท่านั้นก็ทำให้ผู้บริหารหลายคนรู้แล้วว่าคอนโดมิเนียมเฟสนี้ต้องขายได้หมดเกลี้ยงในวันแรกๆที่เปิดให้จับจอง

หากข่าวนี้แพร่กระจายออกไป พวกนายทุน นักลงทุน นายหน้าซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อเกร็งกำไรต้องเข้ามาจับจองทุกยูนิตเป็นแน่ ซึ่งมันเป็นเรื่องปกติที่ทำเลดีเช่นนั้นจะดึงดูดความสนใจของลูกค้า แต่สิ่งที่ทำให้หลายคนประหลาดใจก็เพราะไม่คิดว่าวรโชติ จะมีอสังหาริมทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในทำเลทองเช่นนั้น

อภินราก็เกิดความประหลาดใจไม่ต่างจากคนอื่นๆ ราวสองเดือนที่ผ่านมาเธอเพิ่งรู้จากปากผู้เป็นพ่อว่าจะสร้างคอนโดมิเนียมในที่ดินย่านบางใหญ่ หากการได้รู้ว่าครอบครัวของตนมีที่ดินอยู่ในย่านดังกล่าวยังไม่ได้ทำให้เธอหนักใจเท่ากับราคาที่ผู้เป็นพ่อตั้งเอาไว้

“โอ้โห! ทำไมตั้งราคาสูงอย่างนั้นล่ะครับ ทำเลทองก็จริงแต่ผมคิดว่าลูกค้าไม่น่ามีกำลังซื้อขนาดนั้น” ผู้บริหารฝ่ายการตลาดแสดงความคิดเห็น เมื่อได้เห็นตารางเปรียบเทียบราคาตามเอกสารตรงหน้า

“ผมเห็นด้วยนะครับ ทำเลตรงนี้ไม่ได้อยู่ในใจกลางย่านธุรกิจ เราจะตั้งราคาสูงอย่างนั้นไม่ได้”

เมื่อเสียงส่วนมากยังไม่เห็นด้วยกับราคาที่สูงเกินไป อภินราจึงปิดประชุมและขอเอาเรื่องนี้เก็บไปทบทวนอีกครั้งหนึ่ง หรือจะพูดให้ถูกก็คือ เธอต้องเอาเรื่องนี้กลับมาปรึกษากับผู้เป็นพ่ออีกทอดหนึ่ง

หลังประชุมหญิงสาวก็กลับเข้ามาเซ็นเอกสารกองโตและรับประทานอาหารกลางวันในห้องทำงานเหมือนเช่นหลายๆวันที่ผ่านมา ที่เป็นเช่นนี้เพราะเธอต้องอัดงานทุกอย่างให้เสร็จสิ้นภายในเวลาบ่ายสองครึ่ง เพื่อเจียดเวลาที่เหลือไปดูแลซีโล งานที่เข้ามาในตอนที่เธอออกจากบริษัทแล้วจึงจะต้องยกยอดรวมไปไว้ในส่วนของวันพรุ่งนี้ ยกเว้นเรื่องสำคัญเท่านั้นจึงจะมีพนักงานเอาเอกสารไปให้เซ็นที่คฤหาสน์วรโชติ

 

ปิ๊น... ปิ๊น...                                                      

เสียงแตรที่ดังขึ้นทำให้ซีโลเงยหน้าขึ้นมองไปยังต้นกำเนิดของเสียง หนุ่มน้อยยิ้มอย่างร่าเริงและรีบขยับตัวลงจากม้าหินอ่อน วิ่งมายังรถยนต์ของผู้เป็นอา

“หวัดดีฮะเอลก้า” ซีโลพนมมือไหว้อย่างนอบน้อมเมื่อขึ้นมานั่งเบาะหน้าเคียงผู้เป็นอา “วันนี้มารับเร็ว”

“ก็อากลัวซีโลโยเย เผื่อร้องไห้เดี๋ยวขายหน้าเพื่อนๆแย่เลย” อภินราเย้าหลานชายพลางบังคับรถยนต์ให้เคลื่อนตัวออกจากโรงเรียน ความจริงแล้วถ้าทำความเข้าใจกันตั้งแต่แรก บอกว่าไม่สามารถมารับด้วยตัวเองได้ ซีโลก็จะไม่งอแง แต่ถ้ารับปากแล้วไม่มาตามนัด หลานชายของเธอจะอาละวาดจนใครก็เข้าหน้าไม่ติด “อีกไม่กี่วันก็เปิดเทมอแล้ว ป.2 นี่เรียนตึกเดิมใช่ไหมจ๊ะ”

“ฮะ มิสบอกว่าเรียนตึกนี้ไปจนถึงป.4 แค่ต้องย้ายขึ้นไปเรียนชั้นสูงขึ้นเท่านั้นเอง” ซีโลถ่ายทอดให้ฟังตามที่ได้ยินคุณครูชี้แจง

“วันนี้เราแวะซื้อของที่ห้าง... ก่อนดีไหม จำได้รึเปล่า พรุ่งนี้วันเกิดใครเอ่ย?” ถามด้วยน้ำเสียงสดใสและยิ้มเมื่อเห็นหลานชายชูสองมือขึ้นจนสุดแขน

“วันเกิดซีโลคร้าบ”

“งั้นพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า อาบน้ำแต่งตัวหล่อๆไปใส่บาตรพระนะครับ พรุ่งนี้อาตามใจซีโล อยากทานหรืออยากได้อะไรเป็นของขวัญวันเกิดบอกมาได้เลย” บอกแล้วก็ต้องเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ เมื่อหลานชายทำหน้าสลด ไม่ยินดีอย่างที่ควรเป็น “เป็นอะไรจ๊ะ ทำไมทำหน้าอย่างนั้น?”

“ขออะไรก็ได้เหรอฮะ เอลก้าให้ได้จริงๆนะ” ถามพลางทำตาโต หากคนเป็นอารับรู้ได้ถึงความหวาดระแวงที่สื่ออกมาจากดวงตาสีเขียวอมฟ้านั้น เมื่อเห็นคุณอาคนสวยพยักหน้าเร็วๆ จึงไม่รอช้าที่จะเอ่ยปาก “ซีโลสัญญาว่าจะเป็นเด็กดี ไม่งอแง เชื่อฟังผู้ใหญ่ แต่ซีโลไม่อยากแยกห้องนอนกับอา”

อภินราขมวดคิ้วมุ่น มองใบหน้าของหลานชายสลับกับถนนเบื้องหน้า “แล้วใครบอกว่าจะให้ซีโลแยกห้องนอนกับอา”

“เมื่อคืนคุณปู่บอกฮะ” ซีโลรีบถ่ายทอดสิ่งที่คุณปู่พูดเมื่อคืน แม้ว่าจะตกหล่นในบางคำพูดไปบ้างแต่อภินราก็เข้าใจความหมายของผู้เป็นพ่อได้อย่างดี “ปู่ว่าเอลก้าต้องแต่งงาน ถ้าซีโลไม่อยากนอนคนเดียวก็ต้องย้ายไปนอนกับปู่”

อภินราถอนหายใจออกมาหนักๆ ไม่เห็นด้วยกับคำพูดของพ่อตนเลย จริงอยู่ว่าเธอไม่สามารถเลี้ยงซีโลให้ติดหนึบอยู่ข้างกายได้เช่นนี้ตลอดไป แต่สภาพจิตใจของซีโลยังไม่มั่นคง อย่าว่าแต่เด็กที่ต้องพบเจอความสูญเสียตั้งแต่เล็กอย่างซีโลเลย บางครอบครัวเธอก็เห็นว่าพ่อแม่ลูกยังนอนในห้องเดียวกันจนเด็กรู้ความและต้องการที่จะแยกห้องนอนด้วยตัวเอง

หากจุดประสงค์ที่แท้จริงต้องการผลักดันให้ซีโลเข้มแข็งขึ้นจริงๆ เธอก็เห็นด้วยและควรทำทีละขั้นตอนอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่ใช่บอกกับเด็กตรงๆเช่นนี้ มันทำให้เด็กเกิดความกังวลใจทั้งยังขาดสมาธิในการทำกิจกรรมต่างๆ

“เอลก้า...” เมื่อเกิดความเงียบขึ้นพักใหญ่ ซีโลก็เรียกผู้เป็นอาไม่เต็มเสียง “ได้ไหมฮะ ซีโลจะไม่ดื้อจะไม่ซน จะไม่เถียงคุณปู่ จะไม่...”

อีกหลายต่อหลายคำสัญญาที่หลุดออกจากปากหนุ่มน้อย ขอบตาแดงก่ำอย่างคนกำลังจะร้องไห้ยิ่งทำให้อภินราใจหายวาบ รีบให้สัญญาณไฟเข้าจอดรถข้างทาง จากนั้นจึงเลื่อนเบาะนั่งของตัวเองถอยไปด้านหลังจนสุด เอื้อมมือไปยกร่างของซีโลที่เติบโตขึ้นจนแทบอุ้มไม่ไหวขึ้นมานั่งคร่อมบนตัก ลูบหลังลูบไหล่ด้วยความอ่อนโยน ให้ความอุ่นใจเช่นที่เธอทำมาตลอดระยะเวลาสามปี

“จำได้นะเด็กดี อาไม่มีวันหนีหายไปไหน เราจะหลับไปด้วยกันทุกวัน” อภินราชะงักคำพูดเมื่อหนุ่มน้อยในอ้อมกอดดันตัวออกเล็กน้อยแล้วเงยหน้าขึ้นมาถามอย่างไม่มั่นใจ

“แล้วปู่ล่ะฮะ?”

“อาจะคุยกับคุณปู่เอง ซีโลสบายใจได้” เมื่อได้เห็นแววตาลิงโลด อภินราก็อดที่จะยิ้มตามไม่ได้ จึงรีบเพิ่มข้อต่อรองอีกเล็กน้อย “แต่... ต้องสัญญากับอาอีกเรื่องก่อน”

“ได้ฮะ ได้ทุกเรื่อง ขอให้ได้นอนกับเอลก้า ซีโลทำได้ทุกอย่าง” รับปากในทันทีทั้งยังยื่นนิ้วก้อยมาเกี่ยวทำสัญญาอย่างที่เคยทำมาตลอด

“ต่อไปนี้มีเรื่องอะไรไม่เข้าใจห้ามเก็บไว้คนเดียว ต้องถามอาทันที” สั่งพลางยื่นนิ้วก้อยทำสัญญาต่อกัน “อาอยากให้ซีโลเล่นกับเพื่อนๆบ้าง เล่นสนุกเหมือนที่เพื่อนๆเขาเล่นกัน อย่าเล่นคนเดียวได้ไหม”

อภินราเริ่มเอาปัญหาที่คุณครูประจำชั้นเขียนบอกไว้ในสมุดประจำตัวมาเป็นข้อต่อรอง ทั้งยังมั่นใจว่าการปรับตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปแบบนี้จะทำให้ซีโลมีสภาพจิตใจที่มั่นคงขึ้นตามลำดับ และมันก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอทำตามคำแนะนำของแพทย์แล้วได้ผล เพียงแค่ต้องใจเย็นรักษาเท่านั้น

“รับปากอาแล้วนะ” ย้ำอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ เมื่อเห็นหลานชายพยักหน้าเร็วๆพลางยิ้มจนตาหยี จึงเริ่มเย้าแหย่อย่างที่ชอบทำ “แล้วตอนที่อาไปรับเมื่อกี้นี้ เพื่อนมาชวนไปเล่นแล้วซีโลไม่ยอมไปใช่ไหม เพื่อนถึงได้ยืนเก้ๆกังๆอยู่อย่างนั้น”

หนุ่มน้อยทำหน้าเมื่อย กระอ้อมกระแอ้มตอบไม่เต็มเสียง “เขาเป็นผู้หญิง ชวนไปเล่นขายของ ซีโลไม่ชอบ”

อภินราทำตาโต ถามต่ออย่างหยอกเย้า “แค่ทำท่าไปซื้อข้าวแกงมาทานก็ไม่ได้เหรอ?”

“มันอยู่ในคำสัญญาของเราด้วยเหรอฮะ?” ถามแล้วต้องทำหน้าสลด ถอนหายใจใหญ่จนแผ่นหลังค่อมลงไม่ต่างกับถูกเจาะลมออกจากร่างกาย แต่ก็ต้องรับปากเมื่อเห็นคุณอาพยักหน้าเร็วๆ “เอางั้นก็ได้ฮะ”

“เก่งมากซีโลบอย คราวนี้ก็กลับไปนั่งที่เดิมได้แล้ว อาจะขับรถ”

“โตขึ้นซีโลจะขับรถให้เอลก้านั่ง” พูดพลางข้ามไปนั่งเบาะของตน

“จ้า... โตไวๆก็แล้วกัน อาจะคอยดูว่าจะขับรถให้อานั่งหรือจะขับรถพาสาวๆไปเที่ยวกันแน่” จบคำพูดหนุ่มน้อยก็อายม้วน ทำไม่รู้ไม่ชี้พลางหันไปหยิบโมเดลรถบรรทุกในเป้ออกมาเล่นตามประสา

อภินราอมยิ้มเมื่อหาข้อต่อรองกับหลานชายได้สำเร็จ คราวนี้ก็คงเหลือแต่เฝ้าสังเกตว่าผลจะออกมาในแบบที่ต้องการหรือไม่ นับตั้งแต่ซีโลสูญเสียทั้งพ่อและแม่ในเวลาเดียวกันในตอนที่มีอายุสี่ขวบ ก็เอาแต่ร้องไห้โยเย เรียกหาแต่แม่เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา ถึงแม้จะมีพี่เลี้ยงคอยช่วยเหลือแต่วาเรียก็ทำให้หน้าเป็นหลักในการดูแลลูก ทั้งเด็กยังรับรู้แล้วว่าใครคือพ่อแม่ มันเป็นช่วงเวลาที่อภินราเหนื่อยใจมากที่สุดเพราะต้องปรับตัวเองให้เขากับหลาน จากคนโสดกลายมาเป็นคุณแม่จำเป็นและต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด

ในตอนแรกนั้น จู่ๆซีโลก็ไม่ยอมพูดจา เอาแต่ร้องไห้ โชคดีที่เธอไม่ได้ปล่อยไว้นานรีบพาไปปรึกษาแพทย์ จึงทราบว่าเด็กได้รับความสะเทือนใจจึงไม่ยอมพูด ต้องให้คนในครอบครัวช่วยกระตุ้น ชักจูงให้เขามีกิจกรรมทำอย่างต่อเนื่อง

หากไม่ถึงสามเดือนความพยายามของเธอก็สัมฤทธิ์ผล แต่เหมือนว่าซีโลจะเปิดใจให้เธอเพียงคนเดียว กับคนอื่นก็ยังไม่ค่อยพูด ถามคำตอบคำ แต่เมื่อทุกคนในบ้านให้ความร่วมมือเอาใจใส่ดูแลอย่างดีที่สุด ซีโลก็เริ่มพูดคุยกับคนในบ้านมากขึ้น ถึงแม้ว่าจะเป็นเด็กพูดน้อยถ้าเทียบกับเด็กวัยเดียวกันแล้ว

 

ในขณะที่อีกคนกำลังเอาใจใส่ดูแลหลานชายเพียงคนเดียวอย่างสุดความสามารถ ฮาร์คิฟก็กำลังวางแผนตีสนิทกับคนในตระกูลวรโชติเช่นกัน

“ของที่ฉันต้องการ แกหาได้ครบรึยัง รามาน” ฮาร์คิฟถามคนสนิทในช่วงบ่ายจัดของวันต่อมา

“ครบแล้วครับ ผมนัดให้คนไปส่งของที่คฤหาสน์วรโชติในอีกสองชั่วโมงข้างหน้า” รามานรายงาน

“ดี” จบคำพูดฮาร์คิฟก็ลุกขึ้นเต็มความสูง เดินออกจากห้องสูทราคาแพงระยับ ใช้เวลาบนลิฟต์ไม่กี่นาทีก็ลงมาถึงชั้นล่างของโรงแรมสุดหรู วันนี้ฮาร์คิฟไม่ได้อยู่ในชุดสูทอย่างเป็นทางการเช่นเคย หากเขาอยู่ในเสื้อเชิ้ตผ้าเนื้อดีสีแดงพิมพ์ลายต้นมะพร้าวมากมายน่าเวียนหัว กับกางเกงยีนสีดำสนิท เซ็ตผมตั้งดูยุ่งเหยิงทว่าเร้าใจแก่ผู้พบเห็น ผู้ชายเจ้าเสน่ห์ที่หล่อเหลาอย่างร้ายกาจ เดินอย่างสง่าผ่าเผยออกจากโรงแรมไปขึ้นรถยนต์สุดหรูที่จอดรออยู่ด้านหน้า ทิ้งไว้เพียงคำถามแก่ผู้พบเห็นว่า... ผู้ชายท่าทีผยองคนนี้เป็นใคร มาจากไหน ภาพของคนสนิทที่รีบวิ่งแซงหน้าไปเปิดประตูรถรอยิ่งส่งผลให้ดูร่ำรวย ทรงอิทธิพล แน่ล่ะว่าใบหน้าหล่อเหลาของเขานั้นดูคุ้นตาสำหรับคนที่เคยอ่านนิตยสารทางการเงินระดับโลกซึ่งมีการจัดอันดับมหาเศรษฐีโลก!

 

นิ้วเรียวของรามานกดกริ่งหน้าคฤหาสน์วรโชติเมื่อจอดรถยนต์คันใหญ่ขวางหน้าประตู ไม่นานนักก็มีชายคนหนึ่งวิ่งเข้ามาถามพร้อมกวาดสายตามองด้วยความแปลกใจ

“มาพบคุณซีโล” รามานเอ่ยภาษาไทยติดๆขัดๆตามที่เจ้านายบอกก่อนจอดรถยนต์ไม่กี่นาที

“อะไรนะครับ เอ่อ?...” ใช่ว่าคฤหาสน์หลังนี้จะไม่มีเจ้านายที่ชื่อซีโล แต่คนทำสวนกำลังประหลาดใจเพราะไม่คิดว่าเจ้านายอายุเพียงเจ็ดขวบจะมีแขกชาวต่างชาติมาขอพบ ทั้งยังมีกล่องของขวัญขนาดใหญ่หลายชิ้นวางเรียงรายอยู่ด้านนอก

“เปิดประตูด้วย ฉันมาหาซีโล”

เสียงห้าวทุ้มของชายชาวต่างชาติที่เปิดกระจกลงมาสั่งด้วยภาษาไทยอย่างชัดเจน ยิ่งทำให้คนสวนงุนงง หากรีบตอบกลับและวิ่งหายเข้าไปในทันที “รอสักครู่นะครับ ผมจะไปเรียนท่านเสียก่อน”

เมื่อได้ยินคนสวนรายงานถึงแขกที่รออยู่นอกบ้านอภินราก็แปลกใจทั้งยังคิดไม่ออกว่าเป็นใครแต่ก็รีบเดินออกจากห้องครัวมายังประตูด้านหน้าคฤหาสน์ หากคนที่นั่งอยู่ในรถสามารถมองร่างของเธอได้อย่างชัดเจน พลางสบถออกมาอย่างโกรธๆตัวเอง

“ยัยปีศาจเอ๊ย! จะตามหลอกหลอนฉันไปถึงไหน” แค่มองเห็นเธอในระยะไกลก็ยังรับรู้ได้ว่าเธอสวยบาดใจแค่ไหน การก้าวอย่างปกติยังทำให้คิดไปถึงเวลาที่ขาเรียวขาเธอเกี่ยวกระหวัดรอบสะโพกของตน เธอทำให้เขาอัดแน่นไปด้วยความต้องการแม้อยู่ในชุดสีน้ำทะเลอันเรียบร้อย สั้นเพียงแค่หัวเข่าและไม่ได้เปิดเผยเนื้อตัวจนต้องจิตนการไปไกล

ฮาร์คิฟสลัดความที่เกิดขึ้นในตัวอย่างท่วมท้นแล้วหยิบแว่นกันแดดที่ห้อยไว้ตรงอกขึ้นมาสวม พร้อมก้าวลงจากรถเมื่อเห็นว่าเธอเดินใกล้เข้ามา

“สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่ามาพบใครคะ?” ถามด้วยภาษาอังกฤษเพราะเห็นว่าผู้มาเยือนใช่คนไทยแน่

หากคนที่ถูกถามยังไม่ทันได้ตอบว่าอย่างไร ผู้ชายที่ก้าวออกมาจากรถก็ตอบคำถามด้วยภาษาไทยอันชัดเจน แม้สำเนียงจะแปร่งไปบ้างแต่ก็ทำให้รู้ว่าเขาสามารถใช้มันสื่อสารได้อย่างดีเยี่ยม

“ผมมาหาซีโลครับ” ฮาร์คิฟพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลที่สุด

“ค่ะ... แล้ว เอ่อ... คุณเป็นใครคะ?” อภินราถามกลับด้วยหัวใจที่เต้นแรงผิดจากปกติเพราะรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ทว่ามองอีกครั้งก็เหมือนว่าเขากำลังยิ้มโปรยเสน่ห์

ฮาร์คิฟยังมอบรอยยิ้มให้เธอเช่นเดิมพลางถอดแว่นกันแดดออก ก้าวเข้ามาประชิดประตูรั้วอัลลอยด์จนหญิงสาวต้องถอยหลังกลับในทันที “ผมเป็นพี่ชายของวาเรีย มาเยี่ยมซีโลครับ”

“แล้ว?...” อภินราตั้งใจจะถามอีก หากเขากลับดักคอขึ้นเสียก่อน

“ถ้าจะกรุณาเชิญผมเข้าไปด้านในก่อนที่แดดจะเผาเสียก่อน หรืออยากให้ผมโชว์ไอดีการ์ดก่อนรึเปล่าครับ”

“โอ... ขอโทษค่ะ ฉันเสียมารยาทกับคุณจริงๆ” อภินราบอกพร้อมพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาตให้คนสวนเดินไปกดปุ่มเปิดประตูรั้วอัตโนมัติ

เมื่อประตูเปิดออกร่างสูงของฮาร์คิฟก็ก้าวเข้าไปประชิดหญิงสาวในระยะใกล้เกินความจำเป็น อภินราถอยหลังอีกครั้งหากด้วยความตกใจและไม่ทันระวังตัว จึงก้าวพลาดไปเหยียบเข้ากับเศษหินก้อนเล็กจนเสียหลัก หากไม่ได้ท่อนแขนแข็งแรงเกี่ยวเข้าที่เอวคิดไว้เสียก่อน

“ระวังหน่อยสิครับ” ฮาร์คิฟจงใจก้มลงถามหญิงสาวใกล้ๆ มันใกล้เสียจนปลายจมูกแทบจรดกัน “ไม่เป็นไรใช่ไหม หืม?...”

อภินราดวงตาพร่าเลือนไปกับใบหน้าคร้ามคมที่ใกล้กันเสียจนรู้สึกถึงลมหายใจร้อนผ่าวที่รินรด น้ำเสียงและท่าทางเอื้ออาทรทำให้เธอนิ่งงัน หลงวนเข้าไปในดวงตาสีเขียวอมฟ้า เฉดสีที่ใกล้เคียงกับดวงตาของหลานชาย หากปลายนิ้วที่เกลี่ยขึ้นลงบริเวณแผ่นหลังทำให้รู้สึกตัวและรีบใช้ท่อนแขนดันแผ่นอกกว้างของเขาออกห่าง

“มะ...ไม่เป็นไรค่ะ เชิญเข้าไปข้างในดีกว่านะคะ วันนี้เป็นวันเกิดซีโลพอดี” อภินราแทบจะหาเสียงตัวเองไม่เจอ รับรู้ถึงความร้อนที่ลามเลียไปทั่วใบหน้า รู้สึกเขินอาย ไม่รู้จะจัดการกับมือไม้ของตัวเองอย่างไรทั้งยังไม่ได้ผายมือเชิญเชิญเขาอย่างที่ควรทำ แต่กลับเดินนำหน้าพร้อมด้วยจังหวะหัวใจเต้นระรัว

ฮาร์คิฟยิ้มที่มุมปากพร้อมเอียงศีรษะเล็กน้อยให้คนสนิท รามานรีบก้มศีรษะลงเล็กน้อยแล้วจัดการสั่งให้คนส่งของย้ายของขวัญมากมายเข้าไปยังด้านใน

ฮาร์คิฟมองร่างอรชรจากด้านหลัง แน่ล่ะว่าเธอหวั่นไหวไปกับสัมผัสที่เขาจงใจมอบให้ เธอก็คงเล่นละครเพื่อตบตา ปั่นหัวผู้ชายตามความต้องการของพ่อ พอเจอผู้ชายที่ทำท่าว่ากำลังตกหลุมเสน่ห์จึงไม่รอช้าที่จะคว้าเอาไว้ แต่ให้ตายเถอะ! เธอน่าจะได้รางวัลออสการ์ ในฐานะที่แสดงความเขินอายได้แนบเนียนจนเขาเชื่อสนิทใจ

ใบหน้าเธอแดงก่ำจนอดคิดถึงเวลาเธอนอนบิดตัวเร่าๆอยู่ใต้ร่าง กลิ่นหอมเฉพาะตัวที่ทำให้เส้นประสาทในกายลุกชัน ร่างกายส่วนที่เหนือการควบคุมรวดร้าวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน หาร่างของเด็กชายที่วิ่งเข้ามากอดช่วงขาของเธอก็หันเหความสนใจเขาได้ในทันที

“ใครมาเหรอฮะ เอลก้า”

อภินรารั้งหลานชายออกจากช่วงขาพร้อมกับหมุนตัวให้หันไปหาผู้มาเยือน “สวัสดีก่อน ทักทายแล้วเรียกคุณลุงด้วย”

“หวัดดีฮะ คุณลุง...”

แม้ปลายประโยคจะเรียกไม่เต็มเสียงนักแต่ก็ทำให้ฮาร์คิฟมองเด็กชายตัวน้อยด้วยความเอ็นดู ยิ้มให้อย่างจริงใจ ดีใจอยู่ไม่น้อยที่เห็นสภาพของหลานชายไม่ได้ย่ำแย่เท่าที่คิดไว้ ดูจากเนื้อตัว เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็ดูสะอาดสะอ้าน ได้รับการเอาใจใส่เป็นอย่างดี

“ขอลุงอุ้มหน่อยได้ไหม” บอกพร้อมกับยื่นมือทั้งสองข้างออกไปข้างหน้า หากแต่ซีโลกลับเบี่ยงตัวหนีไปหลบอยู่ข้างๆผู้เป็นอา มองอย่างไม่ไว้ใจ

“ขอโทษด้วยนะคะ แกคงยังไม่คุ้นน่ะค่ะ” เมื่อชายหนุ่มพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ อภินราจึงก้มลงบอกกับหลานชายอีกครั้ง “ไปใกล้ๆคุณลุงหน่อยสิซีโล นะจ๊ะ... ไหนสัญญากับอาว่าจะเป็นเด็กดี”

ไม่ว่าคุณอาคนสวยจะเกลี้ยกล่อมอย่างไร หนุ่มน้อยยังส่ายหน้าเป็นพัลวันจนฮาร์คิฟต้องชวนหลานชายคุยเพื่อทำความสนิทสนม

“ซีโล... มาดูนี่เร็ว ลุงซื้อของขวัญมาให้ตั้งหลายอย่าง อยากได้ไหม” ฮาร์คิฟถามพลางชี้ไปยังกล่องของขวัญที่มีทั้งห่อในกระดาษสีสวยและของเล่นอีกมากมายก่ายกอง

อภินรายิ้มแหยๆเมื่อเห็นของเล่นมากมายที่กำลังลำเลียงเข้าไปในบ้าน จึงเอ่ยขึ้นด้วยความเกรงใจ “ความจริงไม่ต้องสิ้นเปลืองก็ได้ค่ะ แค่มาเยี่ยมซีโลก็ดีใจแล้ว”

“หึ... อันที่จริงผมควรจะมาเยี่ยมซีโลตั้งแต่สามปีที่แล้วด้วยซ้ำ” ฮาร์คิฟพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น สายตาขุ่นมัวราวกับโกรธกันมาสักร้อยชาติจนคนมองหน้าถอดสี จึงรีบขยายความเพื่อให้เธอวางใจ “ผมหมายถึง ผมนี่เป็นลุงที่แย่เอามากๆ หลานอายุตั้งเจ็ดขวบแล้วเพิ่งจะได้เห็นหน้าเป็นครั้งแรก”

อภินราไม่ได้ตอบว่าอย่างไรเพราะจบคำพูดที่ดูเหมือนตำหนิตัวเองแล้ว เขาก็ลดตัวนั่งลงบนส้นเท้าข้างหนึ่งเพื่อให้ใบหน้าอยู่ในระดับใกล้เคียงกับหลานชาย และเป็นฝ่ายชวนพูดคุยเมื่อเห็นว่าซีโลมีปฏิกิริยากล้าๆกลัวๆ ใจหนึ่งกำลังตื่นตาตื่นใจกับของเล่นมากมายหลายชิ้น แต่อีกใจก็ยังไม่กล้าพูดคุยกับญาติที่เหมือนคนแปลกหน้า เมื่อของเล่นทุกชิ้นถูกนำไปไว้ในห้องของซีโลเรียบร้อยแล้ว อภินราจึงเชิญให้ชายหนุ่มเข้าไปพูดคุยกันในห้องรับแขก

ฮาร์คิฟกวาดสายตามองคฤหาสน์หลังใหญ่ที่ตกแต่งอย่างสวยหรู ข้าวของเครื่องใช้หลายชิ้นมองปราดเดียวก็รู้ว่านำเข้าจากยุโรปทั้งนั้น อดคิดไม่ได้ว่าเม็ดเงินที่ทำให้คนในตระกูลวรโชติอยู่ดีมีความสุขนี้มันเป็นของวาเรียทั้งนั้น พวกเขาควรจะทำดีกับเธอให้มากๆ แล้วทำไมอังเดรถึงได้คิดจะแต่งงานกับผู้หญิงอื่น หรือถ้าจะเป็นเช่นนั้นจริง อานันท์และอภินราก็ควรห้ามปราม ไม่ใช่ปล่อยให้เลยเถิดจนถึงขึ้นพิมพ์การ์ดเชิญอย่างที่เขาเห็นกับตาตัวเอง

หึ... ฮุบสมบัติไปยังไม่พอ ยังจะเลี้ยงหลานเขาให้กลายเป็นลูกแหง่ เดินตามหลังคนเป็นอาต้อยๆ ขนาดพี่เลี้ยงชวนไปดูของเล่นใหม่ๆยังไม่ยอม รบเร้าให้อภินราไปด้วย เพียงแค่เธอพูดจาหว่านล้อมนิดหน่อย ซีโลก็ยอมเดินออกไปกับพี่เลี้ยงอย่างว่าง่าย มันยิ่งทำให้เขาประหลาดใจนักล่ะ

เธอเป็นปีศาจน้อยแน่ๆ ถึงได้ครอบงำความคิดจิตใจของหลานเขาได้อย่างนี้!

หากดวงตาคมกริบที่กวาดมองสภาพแวดล้อมรอบตัวด้วยแววตาคุกรุ่น อาการนิ่งเงียบ กำมือแน่นราวกับคนกำลังระงับอารมณ์อย่างที่สุดก็ทำให้อภินราแปลกใจในท่าทีของเขา ทั้งยังไม่รู้ถึงจุดประสงค์ที่เขาปรากฏตัวขึ้นในวันนี้ ขนาดว่าเธอเรียกเขาสองสามครั้งแล้วเขาก็อยู่นั่งนิ่งอย่างคนมีเรื่องขบคิดในใจ

“คุณคะ...” อภินราตัดสินใจเรียกชายหนุ่มซ้ำอีกครั้ง เมื่อแม่บ้านเสิร์ฟน้ำดื่มเรียบร้อยแล้ว

“ครับ” ฮาร์คิฟหลุดออกจากภวังค์ความคิดของตน

“จะรับชาหรือกาแฟด้วยไหมคะ?” ถามออกไปแล้วก็นึกขันตัวเอง ก่อนเวลาอาหารเย็นไม่ถึงชั่วโมงคงไม่มีใครอยากทานกาแฟกระมัง หากไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมเธอถึงได้จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเมื่อต้องอยู่ใกล้ผู้ชายคนนี้ และดูเหมือนว่าฮาร์คิฟจะเดาความรู้สึกเธอได้ ชายหนุ่มจึงเอ่ยขึ้นเสียเอง

“ความจริงแล้วผมก็เหมือนญาติคนหนึ่ง คุณก็ไม่ต้องรับรองผมอย่างเป็นทางการนักหรอกครับ” บอกพลางขยับตัวนั่งไขว่ห้างในท่าที่สบาย

“อ่อ... ค่ะ คือดิฉันออกจะประหลาดใจ เพราะไม่เคยรู้มาก่อนว่าคุณ...”

“ฮาร์คิฟ” เขาต่อให้

“คุณฮาร์คิฟจะมาที่นี่”

“บอกไปแล้วนี่ครับว่าผมควรมาเยี่ยมเยียนคุณกับซีโลตั้งนานแล้ว” ฮาร์คิฟบอกพลางวางท่อนแขนไปตามพนักพิงโซฟา ทำให้ปลายมือของเขากับหัวไหล่บอบบางของเธออยู่ห่างกันแค่เอื้อม “อันที่จริงเราก็เหมือนคนในครอบครัวเดียวกัน ผมเรียกพ่อคุณว่า ‘พ่อบุญธรรม’ คุณเองก็ต้องเรียกผมว่า ‘พี่’ สินะ”

อภินราไม่เห็นด้วยกับคำพูดนั้นแต่ก็จนใจจะปฏิเสธ และดูจะเสียมารยาทเอามากๆจึงชวนคุยเรื่องอื่นแทน “คุณมาถึงเมืองไทยตั้งแต่เมื่อไหร่คะ ความจริงน่าจะโทรฯมาบอกเสียก่อน จะได้พบคุณพ่อ”

“แล้วท่านไปไหนเสียล่ะครับ”

“คุณหมอนัดไปตรวจสุขภาพประจำเดือนค่ะ แต่สักพักคงกลับมาแล้ว” อภินราบอกพลางสังเกตเห็นแววตาเกรี้ยวกราดแวบหนึ่งจากเขา เมื่อเธอเอ่ยถึงผู้เป็นพ่อ “แล้วคุณพ่อของคุณกับมาร่าสบายดีไหมคะ?”

อภินราเคยได้ยินวาเรียเล่าถึงครอบครัวของเธอให้ฟังว่า เธอมีพี่ชายซึ่งเป็นลูกติดของพ่ออยู่คนหนึ่งแต่ไม่ค่อยสนิทสนิมกันนัก ยิ่งช่วงหลังที่มาร่าและวิกตอร์หย่าร้างกัน เธอก็อาศัยอยู่ในบ้านแถบชานเมือง ส่วนวิกตอร์และพี่ชายอาศัยอยู่ใจกลางย่านธุรกิจในกรุงเคียฟ

“พ่อผมแข็งแรงดีครับ ส่วนมาร่าก็สุขภาพไม่ค่อยจะสู้ดีนัก”

“ตายจริง! มาร่าไม่สบาย เป็นอะไรร้ายแรงรึเปล่าคะ” อภินราถามเพราะล่าสุดที่มาร่าโทรฯมาหาพ่อของเธอตอนต้นปี พ่อยังบอกว่าเธอสุขภาพแข็งแรง ไม่ได้เจ็บป่วยอะไร หากใบหน้างดงามที่ตื่นตระหนกยิ่งทำให้ฮาร์คิฟเข้าใจผิดไปใหญ่ว่าเธอเสแสร้งแกล้งทำ

“เป็นมะเร็งตับ” แต่ไม่ตายให้พวกคุณสมใจได้ง่ายๆหรอก มาร่าต้องอยู่เห็นซีโลกลับเข้าสู่การดูแลของติโมชุกเสียก่อน ฮาร์คิฟคิดอย่างแค้นใจจนเผลอบีบเข้าที่หัวไหล่ของอภินรา

“โอ๊ย!... เจ็บค่ะ” เสียงอุทธรณ์ของเธอทำให้รู้สึกตัวในทันทีจึงรีบคลายแรงบีบและขยับตัวเข้าไปใกล้ๆ

เขาคลายมือที่บีบหัวไหล่ออกก็จริงแต่อีกมือกลับคว้าเข้าที่ต้นแขนของเธอ มือข้างที่เคยสร้างความเจ็บปวด บัดนี้กลับบีบนวดเป็นจังหวะเพื่อผ่อนคลาย ผิวเนื้อเนียนละเอียดของเธอช่างนุ่มมือนัก “ขอโทษครับ ผมคงกังวลใจเรื่องมาร่ามากเกินไป”

อภินรารู้สึกเหมือนมีกระแสไฟฟ้าวิ่งผ่านร่างกาย สัมผัสผ่อนหนักผ่อนเบาของเขาทำให้เธอชะงักงันไปชั่วขณะ หากจิตใต้สำนึกสั่งให้เธอสงวนเนื้อตัวต่อผู้ชายที่เพิ่งพบหน้ากันครั้งแรก “เอ่อ... ฉันไม่เป็นไรค่ะ ปล่อยเถอะนะคะ”

ฝ่ามือร้อนระอุหยุดบีบนวดตามคำร้องขอ หากยังไม่ยอมละฝ่ามือจากผิวเนื้อนุ่มนิ่มของเธอ จนเสียเคาะประตูห้องดังขึ้น อภินราจึงรีบลุกขึ้นยืนจนแม่บ้านที่เข้ามาทำหน้าแปลกใจ แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรได้แต่เข้ามาเรียนเจ้านายตามที่ได้รับมอบหมายมาอีกทอดหนึ่ง

“คุณท่านโทรฯเข้ามาเมื่อครู่ค่ะ บอกว่าจะไปรับประทานอาหารเย็นกับเพื่อน ให้คุณเอลก้าทานอาหารเย็นเลย ไม่ต้องรอท่านค่ะ” แม่บ้านรายงาน

“งั้นก็ตั้งโต๊ะเลย แล้วก็จัดที่ให้คุณฮาร์คิฟด้วย” อภินราสั่งและเรียกแม่บ้านไว้อีกครั้งเพราะนึกขึ้นได้ว่าชายหนุ่มไม่ได้มาคนเดียว “แล้วอย่าลืมจัดอาหารให้คนของคุณฮาร์คิฟด้วย”

คำพูดดังกล่าวทำให้ฮาร์คิฟโคลงศีรษะ พยักหน้าขึ้นลงอย่าคนใช้ความคิด เธอก็ดูมีน้ำใจดี คิดถึงคนอื่นอย่างรอบคอบ แต่ก็อาจจะเป็นเพียงการแสดงเท่านั้น อย่าลืมสิว่าเธอเป็นลูกสาวของอานันท์ เสือร้ายที่คอยจ้องจะฮุบสมบัติคนอื่น ลูกไม้ก็คงหล่นใต้ต้นวันยังค่ำ

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา