PRES : เพรส นานาชาติพิศวง ตอน ความลับในห้องวิทย์

8.8

เขียนโดย อาบตะวัน

วันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2558 เวลา 23.31 น.

  10 ตอน
  52 วิจารณ์
  13.47K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2558 22.58 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

4) เปิดห้องลับ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

“เกือบไปแล้ว ๆ”

อันนาพูดเหมือนท่องบ่นมาตามทาง อัยรีบพับโครงการลับของหล่อนไว้ในกระเป๋าเป้ หน้าตาเคร่งเครียด

“ฉันนี่งี่เง่าจริง ๆ เลย นึกว่าตัวเองเก็บเอาไว้ที่ตู้ล็อกเกอร์แล้วนะ”

โครงการสันทนาการตามสั่งของอาจารย์ใหญ่ ที่จริงยังเป็นเพียงอากาศธาตุ ล่องลอยหาจุดลงตัวยังไม่ได้ อัยเก็บไปคิดเพียงคนเดียวจนสมองแทบระเบิด ตั้งแต่ธีมงานเลี้ยงหน้ากาก ไปจนถึงธีมงานวัดไทย ๆ แต่จนแล้วจนรอด ก็ยังไม่สามารถหาสรุปที่ตอบโจทย์ของศาสตราจารย์สตีเฟ่นได้สักที งานนี้เป็นงานแรกที่หล่อนรู้สึกว่ายากและท้าทายมาก เพราะหล่อนต้องทำงานภายใต้ความกดดันของคณาจารย์ในโรงเรียนและที่สำคัญ หล่อนนั่งคิดอยู่คนเดียว บอกใครก็ไม่ได้

“ใจเย็น ๆ เพื่อน แกยังพอมีเวลา”

อันนาปลอบ

“ฉันว่าแกลองเกริ่น ๆ กับพวกกรรมการนักเรียนตอนประชุมวันนี้ดูก็ได้นะ ไม่ต้องบอกตรง ๆ หรอก เผื่อได้ไอเดีย”

“ฉันกลัว ยิ่งพวกอาจารย์ขู่มาว่า ปากคนนี่แหละ น่ากลัวนัก ฉันยิ่งกลัว”

เส้นหน้าผากอัยเริ่มโปนให้เห็นตามขมับ แสดงความเครียดที่ชัดเจน อันนาเห็นแล้วก็กลุ้มใจแทน

“แกลาออกเถอะอัย จะเป็นทำไมวะประธานนักเรียน ค่าเทอมก็ต้องจ่าย เรียนก็ต้องเรียน ยังจะมาใช้แกแก้ปัญหาโรงเรียนอีก มันใช่เรื่องของแกมะ แกไม่ได้เป็นคนฆ่าศาสตราจารย์โรนัลสักหน่อย”

อารมณ์ร้อนของอันนาทำให้อัยสะดุ้งจิกตาหมับ อันนาเพิ่งรู้ตัวรีบกระซิบขอโทษเบา ๆ หันซ้ายแลขวา ก็โชคดีที่ไม่มีใครอยู่บริเวณนั้น

“งานของโรงเรียนที่ฉันทำในฐานะประธานนักเรียน จะช่วยทำให้ฉันมีโปรไฟล์ตามที่มหาวิทยาลัยโงมูระต้องการมากขึ้น อย่างน้อย ๆ ก็ได้ Leadership ละ”

‘โปรไฟล์ของผู้รับทุน’ เป็นเป้าหมายของอัย ที่อันนามองข้าม แม้เด็กสาวจะไม่ชอบใจนักแต่หล่อนก็ไม่อาจทำลายความฝันของเพื่อนได้ มหาวิทยาลัยโงมูระ เป็นที่ที่อัยวาดหวังไว้มากที่สุดเวลานี้ อีกทั้งตำแหน่งประธานนักเรียนจะช่วยให้อัยได้โปรไฟล์ตามรายการที่ ‘โงมูระ’ กำหนดมาง่ายขึ้น

“จริงด้วย แถมโครงการ Operation smile ก็จัดเป็นโครงการเพื่อสังคม แกทำได้ตลอดปีครึ่ง แกก็ได้โปรไฟล์ ‘กิจกรรมเพื่อสังคม’ ตัวนี้ไปละ เยี่ยมเลย”

อันนายิ้มแป้น

“เออ แล้วกีฬากับศิลปะล่ะ แกไม่ทำอะไรสักอย่างเลยปีนี้”

อัยทำท่าคิด

“ฉันไม่อยากทำสักอย่าง ไว้จะลองไปคุยกับอาจารย์นาเรลดู เผื่อจะใช้อย่างอื่นเสนอแทนได้”

บางทีถ้าอัยสามารถเคลียร์ปัญหาห้องวิทย์ผีสิงได้สำเร็จ หรือ จัดสันทนาการเรียกขวัญและกำลังใจให้นักเรียนเพรสได้ หล่อนก็อาจจะโปรไฟล์ใหม่ ๆ มาเพิ่มสักตัวหนึ่งแทน เช่น เป็น Risk taker หรือ Creativity ก็ได้ คงจะทดแทนการไปออกกำลังให้เหนื่อยหอบแทนแหละน่า หล่อนไม่สู้งานใช้กำลังแบบนั้นเท่าไหร่

 

ศาสตราจารย์สตีเฟ่นเดินวนไปมารอบห้องประชุมอีกครั้ง อัยนั่งเตรียมนิ้วมืออยู่บนจอแท็ปเล็ต ตาจ้องอาจารย์ใหญ่เขม็ง ในห้องประชุมวันนี้มีเพียงศาสตราจารย์สตีเฟ่น ตัวหล่อนและ นายเควินเท่านั้น อันนาขอตัวกลับไปก่อน หล่อนยังไม่พร้อมสำหรับภารกิจระทึกขวัญที่เพิ่งรู้ตัวแบบปัจจุบันทันด่วนนี้ได้

“ฉันขอเริ่มอาทิตย์หน้านะอัย ฉันช่วยแน่ แต่ขอไปทำใจก่อน”

หล่อนบอกกับอัยอย่างเกรงอกเกรงใจ ก่อนจะโบกมือลาไปกับรถตู้คันใหญ่ที่ทางบ้านส่งมารับ อัยไม่คิดตำหนิอะไรเพื่อนรัก เพราะถ้าเป็นหล่อน หากเลือกได้ หล่อนก็อยากจะเลือกที่จะปฏิเสธการร่วมงานเสี่ยง ๆ แบบนี้ไปเลยด้วยซ้ำ

“นี่ผมยังไม่หลุดจากการเป็นผู้ต้องสงสัยอีกเหรอครับ ศาสตราจารย์”

เควินนั่งหน้าหงิกอยู่ที่โต๊ะประชุม หน้าเข้มดูบูดบึ้ง ไม่สบอารมณ์ ร่างสูงใหญ่นั่งก่าย ๆ อยู่บนเก้าอี้โซฟา ศาสตราจารย์สตีเฟ่นมองเขานิ่ง ๆ

“ต้องขอโทษคุณด้วยนะ เควิน พอดีคุณเบอร์นาร์ดอาจารย์ฝ่ายควบคุมดูแลแผนกไอทีไม่อยู่ เราไม่สามารถเปิดดูกล้องวงจรปิดได้ คุณคงต้องอยู่ช่วยภารกิจนี้กับอัยไปก่อน จนกว่าทางเราจะพิสูจน์ได้ ว่าคุณบริสุทธิ์”

“หา! ศาสตราจารย์ว่าอะไรนะครับ!”

เควินกระเด้งตัวออกมาจากพนักพิง จ้องอาจารย์ใหญ่อย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ศาสตราจารย์สตีเฟ่นทำเป็นไม่เห็นอาการนั้นของเขา ชายวัยกลางคนรูปร่างสันทัดค่อยเขยิบออกไปดูที่หน้าต่าง มองออกไปนอกอาคาร เห็นหญิงแม่บ้านสองสามคนกำลังเก็บกวาดถังขยะหน้าอาคาร ฟ้าเริ่มหม่นลงแล้ว

“ศาสตราจารย์ครับ อย่างนี้มันไม่แฟร์กับผมเลยนะครับ ผมไม่ได้ทำอะไรผิดเลยแม้แต่น้อย ผมยืนยันได้”

เควินโวยวาย เขาดูหัวเสียมากกว่าครั้งก่อน ร่างใหญ่ซัดแผ่นหลังกระแทกกับพนักพิงโซฟาอย่างเต็มแรง อัยลอบมองหน้าอาจารย์ใหญ่ เห็นเขายังอยู่ในอาการสงบก็ค่อยเบาใจ แต่หน้าตาท่าทางนายเควินดูไม่ค่อยน่าไว้ใจเอาเสียเลย ไม่รู้จะลุกขึ้นมาคว้าเก้าอี้ทุ่มใส่อาจารย์ใหญ่เอาตอนไหน ยิ่งเห็นกล้ามแขนที่ปูดเกร็งโผล่พ้นแขนเสื้อนักเรียนออกมาแล้ว ยิ่งทำให้ใจคอไม่ค่อยดี

“คุณเควิน ถือว่าผมขอร้อง อัยไม่มีใครช่วย จะไปป่าวร้องขอคนในคณะกรรมการนักเรียนมาช่วย ผมก็ไม่ไว้ใจ ในเมื่อมีคุณโผล่เข้ามาเกี่ยวข้องในสถานการณ์แบบนี้พอดี ก็ถือเสียว่าตกกระไดพลอยโจนก็แล้วกัน”

เควินลุกขึ้นยืนจังก้า ศาสตราจารย์สตีเฟ่นไม่ได้มีอาการสะดุ้งสะเทือนแต่อย่างใด ต่อให้ร่างสูงยืนค้ำหัว จ้องเขาเขม็ง

“มันไม่ใช่หน้าที่ของผมนะครับ ผมมีการบ้านต้องทำ มีเทนนิสที่ต้องซ้อมต้องแข่ง งานนี้ศาสตราจารย์ให้แม่บ้านเขาทำดีกว่า มันไม่ใช่หน้าที่ของนักเรียน”

เสียงห้วนตะเบ็งค่อนข้างดัง อาจารย์ใหญ่ผู้มีรูปร่างเล็กกว่าเขาไปกว่าศอก หันกลับมาพูดกับเขาเสียงราบเรียบอย่างไม่ยี่หระต่ออาการก้าวร้าวของลูกศิษย์

“ผมจะเซ็นใบอนุญาตการยกเลิกเข้าชุมนุมหลังเลิกเรียนของคุณ เพื่อให้คุณมีเวลาซ้อมเทนนิสมากขึ้น และทุกครั้งที่คุณไปทัวร์นาเมนท์ ( Tournament) กลับมา ผมจะให้เวลาคุณหนึ่งสัปดาห์หลังจากนั้นเพื่อเตรียมตัวสอบในช่วงสอบทุกภาคเรียน”

เควินนิ่งฟัง แววตากร้าวเมื่อครู่อ่อนลงเล็กน้อย เหมือนกำลังประมวลความคุ้มค่าของสิ่งที่ได้ยิน อัยรีบเงยหน้าขึ้นจากแท็ปเล็ตของตัวเอง กวาดสายตามองหน้าคนทั้งคู่สลับไปมา สีหน้าโอดครวญถึงความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นระหว่างหล่อนกับพ่อนักเทนนิสคนนี้

“แล้วหนูล่ะคะ”

“คุณก็ไปเตรียมกิจกรรมตามที่ผมสั่งไง”

ศาสตราจารย์สตีเฟ่นหันมาตอบหล่อนหน้านิ่ง ประธานนักเรียนสาวยืดตัวขึ้น

“หนูไม่มีข้อยกเว้นบ้างหรือคะ สำหรับภารกิจนอกเหนือจากหน้าที่ประธานนักเรียนนี้”

มันเป็นสิทธิของหล่อนที่ต้องเอ่ยถาม แม้จะอ้างได้ว่าเป็นประธานนักเรียน แต่การต้องมาโรงเรียนมืด ๆ ค่ำ อยู่เย็น หรือมาปฏิบัติภารกิจนอกเหนือเวลาเรียนหนังสือ มันก็เกินหน้าที่ของประธานนักเรียนที่มีสถานภาพเป็นเพียงนักเรียนชั้นเกรด 11

ศาสตราจารย์สตีเฟ่นสบตาหล่อน ริมฝีปากกระตุกเหมือนจะยิ้มน้อย ๆ สายตามองหล่อนอย่างเพ่งพินิจ

“ไม่มีประธานนักเรียนคนไหนได้รับเกียรติทำงานใหญ่ระดับนี้มาก่อน วางใจเถอะอัย ว่าโรงเรียนจะซาบซึ้งกับการเสียสละของคุณอย่างที่สุด”

อัยกระพริบตาถี่ ๆ นิ่งคิดทบทวนทำความเข้าใจถึงผลประโยชน์ของตัวเองที่ได้รับจากคำพูดของอาจารย์ใหญ่ ก่อนที่เสียงหัวเราะหึ หึ ที่เปิดประตูห้องประชุมออกไปจะเตือนสติให้อัยรู้ว่า หล่อนไม่ได้อะไรเลยสักอย่างนอกเหนือไปจากความสุขทางใจ และเสียงชื่นชมจากผู้บริหารโรงเรียนเท่านั้น ก่อนที่หล่อนจะอ้าปากค้านอะไรออกไป ก็รู้สึกถึงฝ่ามือหนัก ๆ ตบเบา ๆ ที่ไหล่สองที

“Let’s go man”

ร่างสูงใหญ่ของพ่อนักเทนนิสหนุ่ม เควิน ออกเดินปาดไหล่หล่อน ตามหลังศาสตราจารย์สตีเฟ่นไปติด ๆ รอยยิ้มที่มุมปากของหนุ่มลูกครึ่งกระตุกอารมณ์อารมณ์ขุ่นในใจประธานนักเรียนสาวไม่น้อย

หนอย... ทีนายน่ะ ได้ทั้งขึ้นทั้งล่องเลยนะ เจ้ายักษ์!!!

 

หน้าห้องวิทยาศาสตร์ซึ่งอยู่บนชั้นสาม ซอกหลืบของอาคารที่ไม่มีใครอยากเดินผ่าน ยกเว้นพวกนักเรียนเกรด 6 ที่โชคร้าย ถูกจัดให้มีตู้ล็อกเกอร์เก็บของวางเรียงรายอยู่ที่หน้าห้องนี้อย่างไม่มีทางเลี่ยง อากาศยามใกล้ทุ่มของโรงเรียนที่เริ่มร้างผู้คน แถมใกล้ช่วงหน้าหนาวเช่นนี้ มันเยือกเย็นจนอัยรู้สึกหนาว ศาสตราจารย์สตีเฟ่นล้วงหยิบลูกกุญแจดอกหนึ่งออกจากกระเป๋ากางเกง ค่อยบรรจงไขกับแม่กุญแจตัวใหญ่ที่คล้องเกี่ยวกับโซ่เส้นหนาที่หน้าห้องเจ้าปัญหา เสียงแกร๊กเบา ๆ ช่วยปลดปล่อยพันธนาการออกจากห้องลับที่ถูกปิดตายมาร่วมสองปีให้เป็นอิสระ กลิ่นอับปนสารเคมีจาง ๆ ลอยโชยออกมาปะทะจมูก อัยนิ่วหน้า โบกมือไปมาขับไล่กลิ่นไม่พึงประสงค์นั้น ศาสตราจารย์สตีเฟ่นเดินนำเข้าไปอย่างไม่มีท่าทีสะทกสะท้าน เขาเปิดไฟฉายสาดไปมาทั่วห้อง ก่อนจะเดินเร็ว ๆ ไปยังกล่องควบคุมระบบไฟในห้อง แล้วง้างเปิดสวิตช์ให้แสงสว่างเปิดสายตาของทุกคน เผยให้เห็นทุกซอกมุมของห้องลับที่ถูกปิดตายมานาน

ห้องวิทยาศาสตร์ยังคงเป็นเหมือนเมื่อคราวที่ศาสตราจารย์โรนัลยังอยู่ ห้องเรียนกว้างขวาง มีขนาดเป็นสองเท่าของห้องเรียนอื่น ๆ ทว่าตรงกลางห้องถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน โดยมีประตูบานพับไม้กั้นอาณาเขตห้องไว้ ส่วนหนึ่งเป็นห้องเรียน อีกส่วนเป็นห้องของอาจารย์ผู้สอน ศาสตราจารย์สตีเฟ่นกำลังพยายามจะไขกุญแจเเปิดประตูเข้าไปในส่วนห้องส่วนตัวศาสตราจารย์โรนัล แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นเรื่องง่าย

“แน่นจริง เควิน คุณมาช่วยหน่อยสิ”

มันเป็นเพียงกุญแจลูกบิดธรรมดา แต่คงฝืดแน่นมากตามเวลาที่ผ่านไปถึงสองปี โดยไม่มีใครเข้าไปแตะต้องมันเลย ฝุ่นในห้องจับหนา แต่อุปกรณ์ทุกอย่างก็อยู่เป็นที่เป็นทางของมัน หลังจากเกิดเหตุการณ์เศร้าสลดขึ้นกับเจ้าของห้อง ก็คงมีการเก็บกวาดห้องวิทย์ให้เป็นระเบียบเหมือนอย่างเคย

“ครืด ครืด ตึง ตึง”

เควินไม่ได้เสียบกุญแจไขลูกบิดอย่างปกติธรรมดาเช่นคนอื่น เขาทั้งเขย่า ทั้งกระแทกประตูควบคู่ไปด้วย แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผล

“ทำไมเป็นแบบนี้ไปได้ ลูกกุญแจก็ถูกดอกแล้วนี่นา”

“ตามแม่บ้านมาไหมครับ”

เควินถาม เรียกสายตาเขียวปัดจากอาจารย์ใหญ่ได้ในทันที

“เควิน … ดูเหมือนคุณจะไม่เข้าใจคำว่า ‘ความลับ’ นะ”

เควินทำหน้าเหมือนเพิ่งเข้าใจ อัยถอนใจอย่างเหนื่อยหน่าย นี่หล่อนต้องร่วมงานกับเจ้ายักษ์นี้จริง ๆ หรือเนี่ย นายเควินเดินถอยกลับออกมาจากประตู มองศาสตราจารย์สตีเฟ่นยื่นกุญแจเจ้าปัญหาให้สาวประธานนักเรียน

“ฝากคุณจัดการต่อด้วยนะ”

“จัดการต่อ”

อัยทวนคำ รับกุญแจห้องมาจากอาจารย์ใหญ่อย่างงง ๆ

“ผมรู้ว่าคุณเป็นนักเรียนคนโปรดของศาสตราจารย์โรนัลมาก่อน เข้านอกออกในห้องวิทย์นี้บ่อยกว่านักเรียนคนอื่น ๆ บางที คุณอาจจะเคยเปิดห้องนี้มาก่อนกระมัง”

ศาสตราจารย์สตีเฟ่นขึ้นชื่อเรื่องความเฉียบขาดในการปกครองนักเรียน แต่อัยไม่ยักรู้มาก่อน ว่าอาจารย์ใหญ่แห่งโรงเรียนเพรสจะหูตาไว จมูกไวรู้เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ภายในโรงเรียนอย่างละเอียดถี่ถ้วนจนน่าตกใจอย่างนี้ด้วย จริงอยู่ที่ศาสตราจารย์สตีเฟ่นว่า หล่อนเป็นนักเรียนที่เข้าห้องวิทยาศาสตร์บ่อยกว่าใครเพื่อน แต่ยกเว้นห้องนี้ ที่หล่อนเคยมีโอกาสเข้ามาเพียงครั้งเดียวเท่านั้น มิสแมรี่ ผู้ช่วยคนสนิทของศาสตราจารย์โรนัลต่างหากที่เข้านอกออกในห้องนี้บ่อยยิ่งกว่าใครเพื่อน แต่ตอนนี้ หล่อนก็หายสาบสูญไปเสียแล้ว

“จริง ๆ หนูก็ไม่เคยหรอกค่ะ แต่หนูจะพยายาม”

อัยเก็บลูกกุญแจลงในกระเป๋า อาจารย์ใหญ่พยักหน้าอย่างพอใจ เขาเดินเอามือไพล่หลัง กวาดสายมองไปรอบ ๆ ห้องวิทยาศาสตร์ อัยไล่สายตาตามอาจารย์ใหญ่ มองเห็นความทรุดโทรมของอดีตห้องเรียนห้องโปรดได้อย่างชัดเจน อ่างล้างเครื่องมือตามโต๊ะเรียนที่วางเรียงสลับเป็นรูปฟันปลาแลดูเก่าหม่น ก๊อกน้ำบางอันก็ชำรุดห้อยร่องแร่ง ไม่มีน้ำไหลสักหยด แน่ล่ะ น้ำถูกตัดไปแล้ว ตู้กระจกเก็บเครื่องมือและสารเคมีหลายตัวถูกคลุมห่อไว้ด้วยผ้าสักหลาดสีขาว ซึ่งปัจจุบันมันเต็มไปด้วยฝุ่นเกาะหนา ศาสตราจารย์สตีเฟ่นเอื้อมมือดึงผ้าคลุมตู้ผืนหนึ่ง ทันทีที่ผ้าคลุมหลุดร่วงลงมา ทั้งสามก็แทบจะกระโดดออกจากห้องพร้อมกัน เพราะฝุ่นตีฟุ้งจนเห็นเป็นม่านมัวสีเทาปนน้ำตาลชวนให้สำลักน้ำตาไหล

“นี่ขนาดแค่ตู้เดียวนะ แล้วถ้าต้องดึงลงทั้งหมดนี่… เราไม่กลายเป็นโรคภูมิแพ้กันเลยเหรอ”

เควินบ่นงึมงำ โบกมือไปมาไล่ฝุ่นควันเบื้องหน้าตัวเอง อัยหันไปมองตู้กระจกที่เพิ่งถูกปลดผ้าคลุมออก มันคือตู้เก็บอุปกรณ์สำหรับทำการทดลอง หลอดแก้วใสตั้งวางเรียงรายบนถาดไม้มีช่องวางเป็นระเบียบ ฐานตะเกียงน้ำมัน ไม้หนีบ ถ้วยกระเบื้อง และอุปกรณ์จุกจิกอีกหลายชิ้นที่เคยเป็นสมบัติของห้องนี้ ทุกชิ้นถูกเก็บเป็นอย่างดี และไม่ได้นำไปใช้ต่อในห้องเรียนวิทยาศาสตร์แห่งใหม่ ปัจจุบันพวกนักเรียนมัธยมต้องใช้ห้องด้านบนอาคารหอสมุดเป็นห้องเรียนวิทยาศาสตร์แทน อุปกรณ์ใหม่เอี่ยมมีใช้ครบครันที่นั่น ห้องเรียนทันสมัย และอาจารย์คนใหม่ที่สาวสวยโฉบเฉี่ยว แตกต่างกับบรรยากาศในห้องของศาสตราจารย์โรนัลอย่างสิ้นเชิง แน่นอน รวมถึงความเข้มข้นของเนื้อหาที่เรียนด้วย มันบางเบา ราวกับข้างในไม่มีเนื้อหาอะไรเลย

“ผมจะให้คนสนิทหากล่องมาให้พวกคุณที่นี่ เก็บอุปกรณ์พวกนี้ลงกล่องให้หมด พวกตู้ ชั้นวางของ ก็ค่อยขยับเอามาวางไว้ใกล้ ๆ ประตู ที่สำคัญก็คือพวกเอกสารทั้งหลาย ให้เก็บแยกออกมา หากมีอะไรที่น่าสงสัย ให้เก็บไว้และรายงานผม ต้องการความช่วยเหลือส่วนไหน ก็บอกได้”

อาจารย์ใหญ่กำชับ อัยไม่ลืมที่จะจดบันทึกข้อมูลเหล่านั้นให้เรียบร้อย หัวใจสำคัญของภารกิจคือ ทุกอย่างในห้องนี้จะต้องถูกเก็บออกไปจนเกลี้ยง ห้องเปล่า ๆ ที่เหลืออยู่จะถูกทุบออก ไม่มีห้องวิทยาศาสตร์ผีสิงอีกต่อไป

“ผมเป็นห่วงห้องนั้นที่สุด”

ชี้มือไปทางห้องที่เปิดไม่ออก

“ประตูห้องฝั่งของห้องที่เปิดไม่ออก เป็นห้องที่มีคนเห็นว่ามี ‘ใครบางคน’ อยู่ในนั้น”

อัยกับเควินหันไปมองอาจารย์พร้อมกัน นัยน์ตาเบิกกว้าง ศาสตราจารย์สตีเฟ่นสบตาคนทั้งคู่ก่อนจะพูดต่อเบา ๆ

“และไม่ใช่เด็กเกรดหก ทั้งสองคนนั่นเท่านั้นหรอกนะที่เคยเจอ ก่อนหน้านี้ก็มีครูเวร และรปภ.คนเก่าด้วย”

“อ้าว …แบบนี้ก็แสดงว่า…”

เควินขยับตัวพูด แต่อาจารย์ใหญ่ไวกว่าเขา

“นั่นสิเควิน บางทีคุณอาจจะบอกเราได้นะว่า คุณทำอย่างไรถึงสามารถเข้าไปในห้องปิดตายนี้ได้น่ะ”

นักเทนนิสหนุ่มอ้าปากค้าง มองอาจารย์ใหญ่หัวเราะหึ ๆ ก่อนจะเดินนำออกไป

“คืนนี้เราจะพอแค่นี้ก่อนล่ะ เราจะเริ่มจริง ๆ สัปดาห์หน้า แล้วผมจะแจ้งพวกคุณให้เข้าประชุมอีกทีนะ ราตรีสวัสดิ์”

“What?”

เขาสะบัดหัวมาทางอัยอย่างหงุดหงิด ประธานนักเรียนยักไหล่ มองอาจารย์ใหญ่ที่เพิ่งเดินฝ่าความมืดหายไปทางระเบียงทางเดิน หล่อนหันกลับมาเควิน บุ้ยปากบอกเขาให้เป็นปิดไฟ แต่เขาเดินเข้ามาหาหล่อนหน้ามุ่ย

“นี่ยูคิดจะทำงานนี้จริง ๆ เหรอ เสียเวลายูนะ ใกล้สอบแล้วด้วย แถมยังอันตรายเกินไปด้วย...สำหรับผู้หญิง”

ปลายเสียงแผ่วเบา อัยก้มลงเก็บของใส่กระเป๋าถือ พูดตอบเขาอย่างเหนื่อยหน่าย

“ฉันเรียนที่นี่มาตั้งแต่เด็ก ๆ โรงเรียนนี้ก็เป็นเหมือนบ้านหลังที่สอง ศาสตราจารย์สตีเฟ่นก็สนิทสนมดีกับพ่อฉัน ศาสตราจารย์โรนัลก็เป็นอาจารย์ของฉัน คงจะไม่เป็นไรหรอก หากคะแนนฉันจะตกลงไปบ้างเพื่อช่วยโรงเรียนกับคนที่ฉันเคารพรักพวกนี้ ชีวิตฉันก็ไม่ได้มีแค่เรื่องเรียนอย่างเดียวนี่”

“แหม... มีน้ำใจ ค่ำ ๆ มืด ๆ มานั่งอยู่ในห้องนี้ ไม่กลัวผีหลอกหรือไง”

เด็กหนุ่มแกล้งหยอก อัยหันขวับ

“นี่นายเควิน เวลาอย่างนี้นายไม่ควรพูดเรื่องน่ากลัวแบบนี้นะ มันไม่ดีรู้ไหม”

ตาเขียวมองเขา ในใจนึกถึงสำนวนไทยที่ว่า เข้าป่าอย่าถามหาเสือ ลงเรืออย่าถามถึงจระเข้ นี่มืด ๆ ค่ำ ๆ ในห้องที่เคยมีคนตายแบบนี้ นายเควินมาพูดถึงผีได้ยังไง

“นี่ยูกลัวด้วยเหรอ ฮ่า ๆๆ กลัวแล้วมารับอาสาทำทำไม”

นายเควินหัวเราะเสียงดัง อัยกำลังขยับแขนเงื้อกำปั้นกะจะซัดเขาสักโป๊ก

ทว่า

เพล้ง!!

เสียงแก้วแตกดังลั่นห้อง ชะงักอาการโมโหของอัยและกระชากเควินให้หันขวับไปทางต้นเสียงแทบจะในทันที ภาพตรงหน้าเห็นเป็นหลอดแก้วในตู้กระจกร่วงตกแตกทั้งราง ราวกับมีใครมาผลักตู้ อัยสบตาเควิน แววตกประหม่าปรากฏอยู่อย่างเด่นชัด เขาหัวเราะกลบเกลื่อน

“ขาตั้งมันอาจจะคลอนก็ได้ ไม่ต้องกลัวหรอก”

อัยรู้สึกหนาวขึ้นมา หล่อนรีบพยักเพยิดชวนเควินออกจากห้องไปโดยเร็ว แต่เด็กหนุ่มยังดูแคลงใจกับสาเหตุของแก้วแตก เขาเดินกลับไปที่ต้นเสียง วนรอบ ๆ ตู้กระจก โยกตู้ไปมาเบา ๆ

“เควิน!! รู้ไหมว่านี่มันกี่โมงแล้ว ออกมาจากห้องเลยนะ!”

อัยกระซิบตวาด หน้านวลเผือดลง ทว่าเด็กหนุ่มยังคงเดินดูรอบ ๆ ตู้ ขยับโยกตู้กระจกเบา ๆ เสียงดังแกร๊ก ๆ ที่ไม่มีวี่แววว่าขาตั้งบนพื้นจะเหลื่อมหรือต่างระดับกัน

อัยยืนมองเขาอย่างหงุดหงิด ขาข้างหนึ่งยื่นพ้นขอบประตูห้องตั้งท่าพร้อมจะออกไป ในใจร้อนรนจนนึกโมโหเควิน ที่เขาไม่ยอมปิดไฟแล้วออกมาจากห้องเสียที ครั้นคิดจะเข้าไปปิดเสียเองเพื่อตัดรำคาญ ขาของหล่อนก็กลับก้าวไม่ออกเสียอย่างนั้น

“เควิน ฉันจะออกไปแล้วนะ”

อัยหน้ายุ่ง คิดไปสารพัด หล่อนคิดว่าจะผละทิ้งเขาไปตอนนี้เลย แล้วรีบกลับบ้านไปเสีย แต่ใจก็ยังกังวลไปอีกว่า หากเจ้ายักษ์นี่เกิดกลับหอพักไป ทั้งที่ยังทิ้งไฟห้องวิทย์เปิดสว่างโร่ไว้ทั้งคืนอย่างนี้ หล่อนก็คงมีอันต้องโดนโทษหนักแน่ ๆ ตาสวยจึงยังจ้องเขม็ง มองร่างสูงที่ค่อย ๆ ขยับเยื้องกรายออกจากบริเวณตู้กระจกช้า ๆ

อะไรบางอย่างเคลื่อนไหววูบวาบใกล้ประตูจนเด็กสาวรู้สึกได้ อัยหันขวับตามแรงลมข้างตัว หล่อนรู้สึก.... แต่มองไม่เห็นความผิดปกติใด ๆ มีลมปะทะใกล้แขน มีเสียงเหมือนคนเดินผ่าน แต่หล่อนจ้องมองอยู่ท่ามกลางแสงสว่างอยู่นี้ และก็มองไม่ห็นใคร

“นายเควิน !!”

เสียงร้องเร่งเด็กหนุ่มสั่นเครือ ร่างสูงใหญ่ขยับออกห่างตู้กระจกหน้าตายังคงครุ่นคิดเหมือนไม่คลายสงสัย แต่จนปัญญาจะหาเหตุต่อ

“ปิดไฟด้วย”

อัยร้องบอก หล่อนออกมารอที่หน้าระเบียงแล้ว เมื่อแสงไฟวูบดับลง คนรอก็ไม่ได้มีท่าทีตื่นกลัวมากไปกว่าเดิม เพราะเด็กสาวเตรียมไฟจากโทรศัพท์มือไว้พร้อมแล้ว เมื่อร่างสูงเหวี่ยงบานประตูปิดดังแกร๊ก หล่อนก็รีบชิงเดินนำเร็วไว

“เฮ้... ยู รอกันก่อนสิ”

เสียงร้องเนิบดึงฝีเท้าเด็กสาวให้ชะลอลงนิดหน่อย อัยกำลังจะหันกลับไป หาคำอะไรสักคำไปต่อว่าเขาโทษฐานทำให้หล่อนเสียเวลา ก็บังเอิญให้รู้สึกเหมือนฝีเท้าสะดุดเข้ากับอะไรบางอย่างตรงหน้า กึก..

“เป็นอะไรล่ะ เดินสิ มืดนะ”

เสียงคนข้างหลังเร่ง อัยฉายไฟส่องดู เห็นเป็นพื้นทางเดินว่างเปล่า หล่อนลองขยับเท้าเลื่อนไปข้างหน้าตรง ๆ ก็สะดุดอีก กึก...

“อะไร...เดินซี่”

เควินดันหลังกระตุ้นให้หล่อนเดินต่อ

อัยชักเท้ากลับมาช้า ๆ เลื่อนไปทางขวาที ทางซ้ายที ก่อนจะค่อย ๆ สืบปลายเท้าไปข้างหน้าอีกครั้งที่จุดเดิม

กึก...

อัยฉายไฟขึ้นไล่จากตำแหน่งปลายเท้า ขึ้นตามความสูงของตัวหล่อน ภาพตรงหน้าที่ว่างเปล่านั้นไม่ได้ทำให้หล่อนหัวใจหยุดเต้นเท่ากับ ... เสียงลมหายใจฟืดฟาดที่เป่ารดเข้ามาตรงใบหน้าหล่อน...!!

“กรี๊ด!!!”

เด็กสาวหันตัวกลับชนเข้ากับร่างสูงใหญ่ด้านหลัง เควินกอดร่างตรงหน้าไว้โดยอัตโนมัติ อัยเต้นเร่า ปากร้องตะโกน

“มีใครก็ไม่รู้ยืนอยู่ตรงนั้น! มีคน...”

คนหรือผี...ในใจอัยหายวาบ พร้อม ๆ กับมือไม้ที่ดูเหมือนจะหมดเรี่ยวแรง เควินรีบปิดปากอัยไว้แน่นก่อนที่เสียงกรีดร้องของหล่อนจะเรียกยามมากันหมดทั้งโรงเรียน ไวเท่าความคิดเขารีบลากอัยลงมาจากตึก กดปิดไฟฉายที่โทรศัพท์ กอดสลับอุ้มเด็กสาวลงมาซ่อนตัวที่พุ่มไม้ข้างบันไดชั้นล่างสุด ไม่กี่อึดใจต่อมา แสงวอบแวมจากไฟฉาย กับเสียงโหวกเหวกของพวกยาม ก็ดังเข้ามาใกล้

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.6 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา