เงานางฟ้าปีกซาตาน

8.5

เขียนโดย เงาหมอก

วันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2558 เวลา 18.10 น.

  2 ตอน
  0 วิจารณ์
  5,193 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2558 18.42 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) ราตรีที่ ๑ ความวุ่นวายของเมืองในหุบเขา

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

               ข้าก็เข้าใจดีล่ะนะว่าโลกที่เป็นอยู่ทุกวันนี้การแบ่งแยกชนชั้นวรรณะมันเป็นเรื่องปกติ ไม่ได้แปลกอะไร แต่ว่าเกณฑ์ที่ใช้ในการแบ่งนี้สิที่มันไม่เหมือนกับที่อื่นๆเอาซะเลย โลกที่ข้าอาศัยอยู่ไม่ได้แยกว่าใครจะสูงจะต่ำจากการที่พวกเขารวยรึจนหรอกนะ เพราะทุกชีวิตที่เกิดมาต่างก็มีที่ๆเป็นของตน สิ่งมีชีวิตที่ถูกเปรียบค่าไว้ซะสูงส่งเผ่าพันธุ์ของมนุษย์มีปีกหรือเรียกขานกันด้วยชื่อที่เข้าใจง่ายๆว่า... ’คนบนฟ้า’ ส่วนพวกที่เกิดมาไม่มีปีก ก็จะเป็นแค่เผ่าพันธุ์ที่ถูกเรียกกันว่า...มนุษย์ ถึงแม้มนุษย์จะทำได้แค่ยืนอยู่บนพื้นดินไม่อาจจะเทียบกับคนบนฟ้าที่อาศัยอยู่บนที่ๆห่างไกลจากพื้นดินก็เถอะ อย่างน้อยมันก็ยังได้อยู่สูงกว่าไอ้พวกที่ได้อยู่ในความมืดรึพวกที่อยู่ใต้ดินล่ะกัน ที่ข้าใช้คำเรียกว่า’ไอ้พวก’นั้น ก็เพราะว่าแม้แต่ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกมันเป็นสิ่งมีชีวิตรึไม่มีชีวิต มีค่าพอที่จะเอามานับรวมกับข้าได้รึเปล่านะสิ แต่จะว่าไปข้าเองก็ยังไม่รู้เลยว่าตนเองเป็นวรรณะไหนถึงจะได้ยืนอยู่บนดินเหมือนกับพวกมนุษย์แต่ข้า...ก็ไม่ใช่..มนุษย์หรอกนะ

     “เอลฟ์ร่าส์ นี่เจ้าอยู่ข้างในรึเปล่า ข้าเคาะจนมือแดงไปหมดแล้ว ตอบข้าหน่อยสิ”เฮ้อ...เช้านี้เป็นเซอร์ซีหรอกเหรอที่มาตามข้า นึกว่าจะเป็นท่านแม่ซะอีก

     “ข้าได้ยินแล้วเดี๋ยวออกไป”

     “ทำไมนานนัก วันนี้แปลกจริงเจ้าหลับอยู่เหรอ ปกติเจ้าไม่ต้องนอนก็ได้นี่น่า รึว่า..เจ้าหลับอยู่จริงๆ!”เซอร์ซีถามข้าพร้อมกับทำหน้าตกใจ ใช่ จริงอยู่ที่ปกติข้าไม่จำเป็นต้องนอนก็ได้ แต่ก็มีบ้างที่ข้าจะหลับเป็นตาย แต่นั้นจะต้องเป็นตอนที่ข้าเผลอใช้พลังเป็นเวลานานๆเท่านั้น

     “ป่าว ข้าแค่อยากให้เจ้าเจ็บมือเล่นน่ะ”ข้าตอบเซอร์ซีแบบกวนโอ๊ย ซึ่งก็ได้ร้องโอ๊ยเข้าจริงๆเพราะนางเอามือหยิกแขนข้าจนแดง แดงเหมือนมือข้างที่นางใช้เคาะประตูเรียกข้าเลย

     “คอยดูนะ ข้าจะเอาเรื่องนี้ไปฟ้องแม่ของเจ้าเอลฟ์ร่าส์”เซอร์ซีขู่ข้าด้วยมุขเก่าๆที่ไม่ว่าจะผ่านไปนานเป็นสิบปี นางก็ยังคงใช้มุขนี้ขู่ข้าเสมอเลย ให้ตายสิน่าขำซะมัด

     “ใครสนล่ะ ยังไงซะท่านแม่ก็เข้าข้างข้า”ข้าเองก็ตอบนางด้วยประโยคเดิมๆพร้อมกับเสียงหัวเราะ

          เมืองที่ข้าอาศัยอยู่เป็นหุบเขา มันเลยค่อนข้างที่จะเงียบสงบ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่มีใครรู้จักหรอกนะ เพราะพวกนักท่องเที่ยวที่กระหายการผจญภัยต่างคุ้นเคยกับที่นี้ดี บ้านของข้าเป็นร้านอาหาร ที่ไม่ว่าใครก็ตามที่เมื่อได้มาเยียนที่เมืองนี้  จะต้องแวะมาเสมอ เพราะอะไรนะเหรอก็ไม่ใช่ว่าอาหารมันจะอร่อยเลิศเลอมากมายอะไรหรอก แต่เมืองนี้มีข้อตกลงที่เข้าใจกันดีว่า ห้ามทำการค้าที่ทับซ้อนซ้ำซากรึใกล้เคียงกัน ซึ่งก็เป็นอันยอมรับกันได้สำหรับผู้คนในเมือง

     “เช้านี้มีเรื่องอะไรรึท่านแม่ ลูกค้าเยอะรึไงถึงได้ให้เซอร์ซีไปตามข้า”ท่านแม่ของข้าเป็นหญิงสาวที่ยังสวย บ่อยครั้งที่ข้าพยายามจะหาคู่ให้นาง แต่ก็มักจะได้ยินคำปฏิเสธเดิมๆเสมอว่า ‘เอลฟ์ร่าส์..ใจของแม่ให้พ่อเจ้าไปหมดแล้ว’ ท่านพ่องั้นเหรอ หึ!ไอ้คนที่ข้าไม่เคยเห็นหน้าเลยสักครั้ง แต่กลับเป็นคนที่ขโมยหัวใจของแม่ข้าไป...เป็นคนยังไงกันนะ

     “ป่าวหรอกลูก นี่เจ้าได้นอนบ้างรึเปล่า”

     “ข้าไม่อยากนอน ข้าไม่อยากฝัน”

     “ฝัน..เจ้าฝันเห็นอะไรล่ะเอลฟ์ร่าส์”

     “....ซาตาน!!ทุกครั้งที่ข้าหลับ ข้าจะฝันเห็นซาตาน ข้าเกลียดมัน ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม ต่อให้ผู้คนในเมืองนี้จะเคารพและบูชามันก็เถอะ”ข้าไม่เคยเข้าใจถึงเหตุผลที่คนในเมืองทั้งรักและยกย่องซาตานเลย มันไม่แปลกไปหน่อยเหรอ ก็ซาตานน่ะเป็นสิ่งที่อยู่ในโลกของคนตายนะ โลกที่มืดมิด...โลก...ที่อยู่ใต้พื้นดิน

     “เอลฟ์ร่าส์...เจ้าอย่าได้เกลียด...ซาตานเลย”ท่านแม่พูดด้วยเสียงที่สั่นเผลาพลางใช้มือลูบใบหน้าของข้าเบาๆก่อนที่จะร้องไห้ออกมา มันเป็นสิ่งที่ข้ายิ่งไม่เข้าใจ ในทุกครั้งที่ข้าบอกว่า’เกลียดซาตาน’ทำไม..ท่านแม่จะต้องร้องไห้

     “ก็ได้ๆไม่เกลียดก็ไม่เกลียด ไว้ข้าจะหาเวลานอน ท่านอย่า..ร้องไห้เลย”ใจของข้าเจ็บเสมอที่เห็นน้ำตาของท่านแม่

     “เอลฟ์ร่าส์...คืนนี้เจ้าอย่าลืมไปประชุมเรื่องงานประจำปีนะ”ท่านแม่เช็ดคาบน้ำตาที่แก้ม พร้อมกับท่าทางที่ย้ำว่า’เรื่องนี้สำคัญมาก เจ้าห้ามเบี้ยว’ เฮ้อ..เซ็งซะมัด

     “ทางเมืองใหญ่ย้ำนักย้ำหนาว่ามันถึงเวลาแล้ว ที่จะยกย่องเมืองในหุบเขาอย่างเราเป็นเมืองแห่งการท่องเที่ยว เมืองที่เป็นจุดเริ่มต้น..ของการผจญภัย”หลังจากฟังคอนเซ็ปต์งานประจำปี ข้าก็ได้แต่กลอกลูกตาไปมา ใครมันเป็นคนคิดกันฟ่ะ บางทีนี่อาจจะเป็นแค่การอยากระบายคนในเมืองใหญ่ให้ออกไปอยู่ที่อื่นบ้างก็แค่นั้น ดูท่าว่าเมืองในหุบเขาของข้าคงจะไม่ได้อยู่กันแบบเงียบสงบเหมือนเดิมซะแล้ว

     “แล้วทางเมืองใหญ่อยากจะให้เมืองเล็กๆในหุบเขาอย่างพวกเรา ทำอะไรเพื่อเป็นการต้อนรับคนจากเมืองใหญ่กันแน่ล่ะลุงไมค์”ข้าได้ที เลยหาเรื่องประชดซะให้รู้แล้วรู้รอด

     “แล้วเจ้าคิดที่จะทำอะไรละเอลฟ์ร่าส์”ท่านลุงไมค์นี่ก็แปลก? ถามทั้งๆที่รู้นิสัยข้าดีแท้ๆ

     “อะไรดีล่ะท่านลุง ให้ข้าอาละวาดในช่วงก่อนถึงวันงานสัก2-3วันไหมล่ะ”เอาสิ ข้า..เอลฟ์ร่าส์จะทำให้รู้ซึ้งเลยว่าเมืองเล็กๆในหุบเขาเนี้ย มันไม่มีทางเหมาะกับพวกคนเมืองใหญ่หรอก

     “เฮ้อ...เจ้านี่มันไม่เปลี่ยนเลยจริงๆในงานปีนี้ จะมีแต่คนสำคัญๆมากันทั้งนั้น เกรงว่าจะปล่อยให้เจ้าทำแบบนั้นไม่ได้หรอก”ชิ...ก็รู้อยู่หรอก ข้าไม่ได้โง่นี่น่า ก็ได้ๆงั้นข้าจะอยู่เฉยๆไม่กวนพวกผู้ใหญ่ทำงานก็แล้วกัน ดูท่าว่าจะเอาจริงเอาจังกับการจัดงานเพื่อเอาใจคนเมืองใหญ่ซะจริงๆ

     “งั้นเดี๋ยวข้าจะแค่ช่วยแม่ทำอาหารก็แล้วกัน”ข้าพูดเสร็จก็ขอตัว บอกตรงๆว่าข้ายังทำใจไม่ได้หรอกนะ ที่จะให้เมืองอันเงียบสงบที่ข้ารักกลายเป็นเมืองแห่งการท่องเที่ยวอะไรนั่น อยู่แบบนี้ก็ดีแล้วแท้ๆ

     “เอลฟ์ร่าส์...เอลฟ์ร่าส์..”นึกว่าเสียงเรียกของใครกัน! โธ่..ที่แท้ก็ท่านลุงอาร์กัสนี่เอง

     “มีอะไรรึท่านลุง...เตาเผาฝืนที่บ้านท่านพังอีกแล้วรึไง”

     “ป่าวๆๆข้าแค่จะวิ่งมาบอกเจ้าว่า ข้ามีสายไหมสูตรใหม่ ในวันงานเจ้าอย่าลืมมาชิมล่ะ”แปลกคน..แค่เรื่องนี้อ่ะนะที่ทำให้ถึงกลับยอมวิ่งตามข้าออกมาทั้งๆข้างนอกมืดแบบนี้ ข้าได้แต่ยิ้มตอบแต่คิดว่าท่านลุงคงจะมองไม่เห็นหรอก

                1อาทิตย์ก่อนวันงาน ท่านลุงไมค์บอกว่า วันนี้จะเริ่มมีคนจากเมืองใหญ่เข้ามาช่วยพวกเราเตรียมงาน ซึ่งท่านลุงก็ช่างย้ำนักย้ำหนาว่า’เอลฟ์ร่าส์ ข้าขอร้องล่ะ เจ้าอย่าได้ออกมาจากห้องครัวเลย’ให้ตายสิทำไมถึงได้คิดว่างานจะพังเพราะข้าไปได้นักล่ะ ถึงแม้ว่าข้าจะชอบไปเล่นมวยปล้ำกับหัวหน้าหมีควายในป่าลึกหลังหุบเขาบ่อยๆก็เถอะ มันก็จริงอยู่ที่ข้าเคยจามเพราะโรคไข้หวัดใหญ่แล้วทำบ้านลุงไมค์ปลิวหายไปกับลม ก็ข้าไม่ได้ตั้งใจนี่จะให้ข้าทำไง คิดจะขังข้าเหรอ ฝันไปเถอะ

     “เอลฟ์ร่าส์!เจ้ากำลังคิดอะไรไม่ดีอยู่ใช่ไหม”อ่ะ!เสียงของเซอร์ซีช่วยปลุกข้าจากภวังค์

     “หึ..ข้าป่าวนิ อะไรทำให้เจ้าคิดแบบนั้นเซอร์ซี”ข้าแกล้งทำตาใส เผื่อมันจะช่วยกลบเกลื่อนแผนการเล่นสนุกไปวันๆของข้าได้

     “เจ้าโกหกข้าไม่ได้หรอกนะ ดวงตาของเจ้า สีผมของเจ้า มันกำลังเปลี่ยนเป็นร่างจำแลงหมดแล้ว”อ่า..ให้ตายสิ พอคิดว่าอยากจะใช้พลังเล่นอะไรสนุกๆซะหน่อย นี่ร่างกายข้า มันก็เลือกที่จะตอบสนองได้เร็วขนาดนี้เลยเหรอ

     “ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า..พูดอะไรนะเซอร์ซี ข้ายังไม่ได้คิดที่จะทำอะไรสักหน่อย”แถไปเรื่อยจริงๆข้า ถึงจะรู้ดีว่าไม่รอดก็เถอะ

     “เฮ้อ...เจ้าบอกข้าไม่ได้เหรอเอลฟ์ร่าส์ ถ้ามันไม่ได้หนักหนาอะไร ข้าก็ไม่คิดที่จะขัดเจ้าหรอกนะ”

     “ข้าก็แค่คิดว่าวันนี้ร้อน กลัวว่าจะมีคนเป็นลมระหว่างกำลังเตรียมงานก็เท่านั้นเอง”ข้าก็เลยคิดว่าจะสร้างพายุทอนาโดเล็กๆสักลูก เพื่อจะช่วยดับร้อน...หึหึ

     “แล้วเจ้าจะทำอะไรรึเอลฟ์ร่าส์”เซอร์ซียังคงถามเหมือนไม่ไว้ใจข้า เฮ้อ..นี่ข้าเป็นเพื่อนของเจ้านะ

     “ลม...ข้าแค่อยากให้มีลมพัด”ข้าบอกนางไปแค่นั้น แต่ในใจก็กะว่าหลังจากสร้างทอนาโดแล้ว จะขอแถมฝนหลงฤดูไปด้วยสักชั่วโมงสองชั่วโมง

     “แล้วนั่นเจ้ากำลังจะไปไหนเอลฟ์ร่าส์”เสียงของเซอร์ซีที่ตะโกนไล่หลังข้ามามันช่างเบาบางรึเกิน เวลานี้ข้าอยากเล่น..อะไรสนุกๆซะหน่อย ต่อให้เป็นท่านแม่ก็ห้ามข้าไม่ได้หรอก

                ข้าใช้เวลาไม่นานก็บินเข้ามาถึงใจกลางของป่าลึกหลังหุบเขาได้ ใช่พวกเจ้าฟังไม่ผิดหรอกข้าบอกว่าบินนั่นก็แปลว่าข้าเองก็มีปีกเหมือนกับคนฟ้า แต่ทำไมถึงได้แค่ยืนอยู่บนพื้นดินเหมือนๆกับเผ่าพันธุ์มนุษย์ก็ไม่รู้สิ ข้าเองก็ให้คำตอบกับตัวเองไม่ได้ สิ่งเดียวที่อยู่ในหัวข้าตอนนี้คือ...’ข้าจะต้อนรับคนเมืองใหญ่...ด้วยทอนาโดลูกเล็กขนาดเท่าภูเขาลูกไหนดีน้า’

     “ท่านลุงไมค์!!แย่แล้วมีพายุทอนาโดกำลังมุ่งหน้ามาที่เมือง”เสียงตะโกนโวกเวกโวยวายของเล่าชาวเมืองที่กำลังเตรียมงานประจำปีเริ่มจะดังขึ้นเรื่อยๆ อาจเพราะความกลัว แต่ต่อให้กลัวก็ยังไม่อาจหนีไปไหนได้ บางคนทำท่าว่ากำลังจะสติแตก ในช่วงเวลานั้นอย่างน้อยๆก็ยังมีหญิงสาวตัวเล็กๆที่กล้าต่อกลอนกับความยิ่งใหญ่ของทอนาโดลูกนี้

     “เฮ้อ...เอลฟ์ร่าส์ไหนเจ้าบอกว่าแค่ลมพัดไง แต่ที่ข้าเห็นเนี้ยมันเรียกว่าทอนาโดนะ แถมยังลูกเท่าภูเขาอีกต่างหาก”เซอร์ซีได้แต่บ่นกับตัวเองที่ไม่ยอมห้ามเพื่อนรัก

     “เซอร์ซี นี่มันอะไรกัน”เสียงของลุงไมค์ที่พยายามตะโกนผ่าชาวเมืองจำนวนมาก และกำลังวิ่งตรงมายังที่ๆเซอร์ซียืนอยู่

     “โธ่..ไม่น่าถามก็ทอนาโดไงท่านลุง”เซอร์ซีเองก็พยายามตะโกนแข่งกับเสียงลม

     “ข้ารู้แล้ว แต่มันเกิดขึ้นได้ยังไง ไอ้เพื่อนรักตัวดีของเจ้าไปไหน”น้ำเสียงของท่านลุงไมค์เริ่มดุดันขึ้น พอๆกับหน้าตาที่บ่งบอกว่าเอาเรื่องสุดๆ

     “ไม่รู้สิ อยู่ในทอนาโดลูกนี้ล่ะมั้ง”

     “ห่ะ!เจ้าว่าอะไรนะ ฝีมือเจ้าตัวแสบอีกแล้วรึ ข้าห้ามแล้วเชียว”

     “ ข้าเองก็ไม่มั่นใจ บางทีอาจจะไม่ใช่ฝีมือนางก็ได้”เซอร์ซีพยายามแก้ตัวแทนเพื่อน แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะช่วยได้มากน้อยแค่ไหน  คงได้แต่ภาวนาว่าอย่าให้เป็นเพื่อนรักของนางเลยที่อยู่ในทอนาโดลูกนี้

     “เจ้าพอจะทำอะไรได้บ้างรึไม่เซอร์ซี”ท่านลุงไมค์เพียรหาทางออกที่ไม่รู้ว่าจะได้ผลไหม

     “ข้า...ข้าไม่มั่นใจ..แต่เดี๋ยวจะลองทำดู”หลังจากตอบคำถามที่ไม่รู้ว่าจะช่วยให้ท่านลุงรู้สึกดีขึ้นรึไม่แล้ว เซอร์ซีก็วิ่งตรงไปยังพายุทอนาโด ตอนนี้นางกำลังเตรียมพร้อมสำหรับการไล่คาถา

‘ข้าแต่ท่านอพอลโลผู้ทรงเป็นสุริยเทพ โปรดมอบพลังให้แก่ข้า นำพาทอนาโดยักษ์ลูกนี้ขึ้นเหนือฟ้า ด้วยความร้อนแรงดุจเปลวเพลิงของแสงดวงสุริยันเถิด’

หลังการไล่มนต์คาถาของเซอร์ซีที่ดูเหมือนว่าจะได้ผล แต่พอลองมองดูดีๆแล้ว พายุทอนาโดกลับเพียงแค่กลายเป็นกลุ่มเมฆดำขนาดมหึมาที่กำลังโปรยฝนเม็ดใหญ่ลงมาแทนต่างหาก

     “เซอร์ซี  ฝนมันตกหนักไปแล้ว หยุดมันที”เสียงจากชายวัยกลางคนตะโกนไล่หลังมาอย่างไม่ขาดสาย เซอร์ซีทำได้เพียงถอนหายใจ ‘ครั้งนี้เจ้าเล่นแรงไปนะเอลฟ์ร่าส์’

     “ท่านลุง..ข้าไม่มีคาถาเรียกลมเรียกฝนหรอกนะ ใครมันจะไปหยุดพายุฝนหลงฤดูได้เล่า”เซอร์ซีเองก็เริ่มจะถอดใจ

     “โอโห้!ฝนตกหนักใช่เล่นเลยแฮะ ฮ่าๆ”เสียงที่คุ้นเคยของสาวน้อยจอมเวทกับท่านลุงไมค์ดังขึ้น แม้แผ่วเบาแต่นางก็กำลังหัวเราะอย่างสนุกเหมือนเด็กๆใช่เจ้าของก็ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอก ข้าเองนั่นแหละ...เอลฟ์ร่าส์

     “เอลฟ์ร่าส์...เจ้าเป็นคนทำใช่รึไม่”เสียงดังของท่านลุงไมค์ที่ตะโกนออกมาด้วยความมั่นใจว่าต้องเป็นฝีมือไอ้ตัวแสบแน่ๆ

     “ไหนล่ะหลักฐานท่านลุง หึหึ”เอลฟ์ร่าส์ยังคงเอาแต่กวนประสาทชายวัยกลางคน พร้อมกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

     “เอ่อ..หากเจ้าไม่ได้เป็นคนทำก็จงหยุดมันซะ”คราวนี้ท่านลุงไมค์ออกคำสั่งชัดเจน

     “เรื่องอะไร เซอร์ซีก็อยู่ ฝนแค่นี้นางหยุดได้น่า”เอลฟ์ร่าส์ยังคงมีแววตาซุนซน ก็นางยังรู้สึกว่ายังเล่นสนุกไม่สมใจเลยจะให้เลิกแล้วเหรอ ขออีกสักพักเถอะ

     “เอลฟ์-ร่าส์-ลีน! หยุดพายุฝนนั้นเดี๋ยวนี้” ท่ามกลางเม็ดฝนที่โหมกระหน่ำใส่เมือง ได้มีเสียงของหญิงผู้หนึ่งดังขึ้น มันไม่ใช่แค่เพียงคำสั่ง แต่มันคือสิ่งที่ทำให้สาวซ่าอย่างเอลฟ์ร่าส์ต้องรีบปฏิบัติ ใช่นั่นคือเสียงจากมารดาของนางนั่นเอง

     “เฮ้อ...”เอลฟ์ร่าส์ทำได้เพียงถอนหายใจ เสียดายเวลาสนุกที่กำลังจะจบลง พายุฝนซาลงเพียงเพราะเอลฟ์ร่าส์โบกมือ นางไม่จำเป็นต้องท่องคาถาหรือพูดอะไรออกมาเลยสักคำ ช่างน่าอัศจรรย์เหลือเกิน เอลฟ์ร่าส์ตอนนี้ได้กลับมาอยู่ในร่างปกติเหมือนอย่างที่เคยเป็น นั่นก็คือสาวน้อยผิวอมชมพู ดวงตาสีฟ้า และผมยาวสลวยสีดำที่กำลังพริ้วตามลม ทั้งที่เวลาปกติมันจะถูกมัดรวบไว้เป็นอย่างดี แต่ใบหน้ากลับบูดบึ่งเหมือนเวลาเด็กๆไม่พอใจ

     “เฮ้อ...ฝนหยุดสักที ขอบคุณท่านซาตานผู้ยิ่งใหญ่” เสียงจากชาวเมืองมากมายกำลังดังก้องไปทั่ว นั่นยิ่งทำให้เอลฟ์ร่าส์ไม่พอใจ โธ่เอ้ย ฝนมันหยุดเพราะซาตานที่ไหนกัน เพราะข้าต่างหากเล่า ข้าเอลฟ์ร่าส์ต่างหากที่เป็นคนทำให้มันหยุด เรื่องอะไรจะต้องไปร้องตะโกนสรรเสริญขอบคุณซาตานด้วยซึ่งเอลฟ์ร่าส์ก็ทำได้เพียงเดินกระทืบเท้าไปมา

     “เอลฟ์ร่าส์! นั่นเจ้าทำอะไร มดกัดเหรอ”เซอร์ซีที่ไม่รู้ว่ามายืนอยู่ข้างๆเอลฟ์ร่าส์ตั้งแต่เมื่อไร กำลังทำหน้าสงสัยกับท่าทีของเพื่อนรัก

     “ป่าว สงสัยคืนนี้ข้าคงต้องยอมนอนซะหน่อย”

     “เจ้าเหนื่อยเหรอ แน่ล่ะก็เล่นทั้งวันเลยนี่”

     “ป่าว ข้าแค่อยากเจอซาตาน”

     “ห่ะ เจ้าว่าอะไรน่ะเอลฟ์ร่าส์ ข้าได้ยินไม่ชัด”

     “ป่าว กลับบ้านเถอะ ข้าชักจะหิวแล้วสิ”

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา