ใต้เงาแห่งปีกสีดำ

-

เขียนโดย อาม่า

วันที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2558 เวลา 00.46 น.

  5 ตอน
  0 วิจารณ์
  7,908 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2558 01.05 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) บทที่ 3

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

            บทที่ 3

            พฤกษาล่าเนื้อ

                งานศพของอาร์กและพรรคพวกของเขาจัดอย่างเรียบง่ายไม่มีพิธีรีตองมากนัก โรสยอมควักเงินส่วนตัวจ่ายค่าจัดงานทั้งหมดและจ้างคนนำเถ้าของพวกเขาส่งกลับสู่บ้าน

                น่าสงสารเหล่าญาติที่รอการกลับไปของพวกเขา แม้ควรทำใจยอมรับความเสี่ยงจากการทำงานนี้ตั้งแต่แรกแล้วก็ตาม

                ไม่เหมือนเธอ... ซึ่งไม่เหลือใครให้ต้องห่วงใยในความรู้สึกนัก

                หญิงสาวทอดถอนใจพลางขยับเท้า เธอเข้าสถานพยาบาลรักษาข้อเท้าจนบรรเทาขึ้นมาก หลังจากวันนี้จึงตั้งใจว่าจะออกเดินทางตามหาเจ้าปีศาจเหยี่ยวดำอีกครั้ง

                ดังนั้นตอนนี้จึงขอทิ้งทวนหาของอร่อยกินให้อิ่มหนำสำราญก่อนจะต้องไปอดอยากระหว่างการเดินทางเสียก่อนเถอะ

                ระหว่างเดินทอดน่องจากตลาดเพื่อกลับสู่ที่พักโดยหอบอาหารจำพวกขนมหวานเต็มอ้อมแขน หญิงสาวก็สังเกตเห็นกลุ่มคนจำนวนหนึ่งกำลังยืนรุมล้อมมุงดูอะไรบางอย่างอยู่ข้างทาง ความอยากรู้อยากเห็นเป็นตัวชักนำให้โรสเดินเข้าไปดูบ้าง เธออ้าปากค้างเมื่อได้เห็นเจ้าสัตว์ประหลาดชนิดหนึ่ง มันมีใบหน้าและลำตัวยาวคล้ายกิ้งก่าขนาดใหญ่พอที่จะให้ผู้ชายร่างกายกำยำสามคนโอบรอบ ผิวหนังขรุขระสีน้ำตาลคล้ำตลอดทั้งตัว  ปีกที่คล้ายค้างคาวและหางยาวแหลมของมันกำลังกระพือพัดแกว่งไกวจนเกิดเป็นคลื่นลมขนาดย่อม รอยยิ้มยามแยกเขี้ยวของเจ้าสัตว์ตัวนี้ไม่น่าประทับใจพอจะชวนให้เด็ก สตรีและคนชรานึกอยากจะเข้าใกล้ไปแสดงความเอ็นดูสักเท่าใดนัก กระนั้นก็ยังมีคนจำนวนมากที่อดรนทนไม่ได้กับความใคร่รู้ในตัวตนของเจ้าสัตว์ประหลาดจนพากันมามุงดูอย่างไม่ขาดสาย พร้อมเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังระงม

                “นั่นมันตัวอะไรเนี่ย!”

                โรสซึ่งเป็นหนึ่งในจำนวนคนที่พ่ายแพ้ต่อความใคร่รู้อุทานหลังจากแหวกกลุ่มฝูงชนจนได้มายืนประจันหน้าสบตากับเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนี้ และดูเหมือนคำถามที่ไม่ได้เจาะจงให้ใครมาตอบจะมีผู้ต้องการสนอง ชายวัยกลางคนซึ่งยืนอยู่ข้าง ๆ หันมาฉีกยิ้มให้อย่างยินดีที่จะได้บอกเล่าข่าวสารซื่งตนก็เพิ่งรู้มาได้ไม่ถึงครึ่งวันให้คนแปลกหน้าฟัง

                “มังกรน่ะ มันเป็นพาหนะขึ้นชื่อจากทวีปเอย์โกเกรอส[1]เชียวนะ มีแต่ที่นั่นถึงจะมีเจ้าสัตว์ประหลาดพันธุ์นี้ เพราะมันไม่มีความสามารถจะบินได้นานและไกลพอจะข้ามมหาสมุทรจึงแพร่พันธุ์ได้แต่บนทวีปเอย์โกเกรอสเท่านั้น ข้าไม่นึกเลยว่าราชาแห่งมิเนอร์เวี่ยนจะกล้าลงทุนสั่งซื้อมันมา เพราะราคาของมังกรตัวหนึ่งเอาไปซื้อคฤหาสน์ได้ทั้งหลังเลยทีเดียว และค่าขนส่งทางเรือต่อหนึ่งตัวก็ไม่ได้น้อยไปกว่ากันเลยด้วยซ้ำ แต่นี่มีตั้งสิบตัว!”

                โรสพยักหน้าหงึกหงักรับท่าทางที่ดูตื่นเต้นราวกับตัวคนเล่าเองจะได้เป็นผู้หนึ่งที่ครอบครองเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนี้ หญิงสาวไม่ได้สนใจฟังในสิ่งที่เขายังคงจ้อต่อไม่หยุดนัก แต่มองเลยไปสำรวจเจ้ามังกรทั้งหลาย บนหลังของมันถูกผูกเอาไว้ด้วยโลหะที่ทำเป็นแท่นสำหรับให้คนยืนถือบังเหียน ด้านหลังมีที่นั่งเป็นตั่งเตี้ยกว้างพอสำหรับสองคนโอบล้อมไว้ด้วยกระบังกันตก นอกจากจะมองสำรวจตัวมังกรแล้วโรสยังสำรวจกลุ่มคนที่มากับมันด้วย บางคนกำลังดูแลให้อาหารมังกร บางคนก็ยืนจับกลุ่มพูดคุยกัน หลายคนในนั้นโรสจำได้ว่าเป็นทหารจากหลาย ๆ หน่วยของมิเนอร์เวี่ยน และหนึ่งในนั้นก็ดันมีคนที่เธอไม่อยากเจอเสียด้วย

                บุรุษหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีม่วงประกายแดงสะดุดตาผู้หนึ่งกำลังเดินเข้ามาหา เขาส่งรอยยิ้มโปรยเสน่ห์ซึ่งคิดว่าน่าจะประทับใจแก่ผู้พบเห็นมาให้ แต่โรสกลับรู้สึกเอียนอย่างบอกไม่ถูก เธอนึกอยากลองเอาถังน้ำที่เจ้ามังกรกำลังดื่มอยู่มาครอบหัวเขาดูสักที เผื่อจะกันสายตาหวานเลี่ยนนั่นไปได้บ้าง

                “ไงจ๊ะคนสวย ไม่ได้พบกันเสียนาน รู้ไหม ข้าคิดถึงเจ้าอยู่ทุกคืนวัน ไม่ว่ายามหลับยามตื่น หัวใจของข้ามันแสนหดหู่ทรมานเมื่อไม่ได้พบหน้าเจ้า แล้วเจ้าล่ะ...คิดถึงข้าบ้างหรือไม่” ชายหนุ่มทำเสียงออดอ้อนจนโรสแทบขนลุก

                “ไม่เลย เซเบียส ข้ามีความสุขและอยู่สบายดีทุกวันที่ไม่ได้เห็นหน้าเจ้า จนกระทั่งวันนี้” โรสยิ้มตอบอย่างจริงใจ ใช่! เธอไม่เคยตอบใครได้จริงใจเท่านี้มาก่อนเลย

                 หญิงสาวคาดหวังว่าจะได้เห็นใบหน้าสลดหดหู่ของเขา แต่ก็ผิดคาด

                “โอ! ลูกแมวน้อยของข้า ยังปากไม่ตรงกับใจเหมือนเดิมเลยนะ หากคิดถึงข้าก็จงเอ่ยออกมาตามตรงเถิด จะต้องเหนียมอายไปไย“

                โรสถอนหายใจเฮือกใหญ่ รู้สึกว่าขนตามแขนของตัวเองเริ่มลุกชันด้วยถ้อยประโยคชวนคลื่นเหียนของผู้ชายตรงหน้า หากไม่คิดว่าน่าจะสืบข่าวคราวจากมิเนอร์เวี่ยนเอาไว้บ้างสักหน่อยจะเป็นการดี เธอคงรีบเดินจากไปตั้งแต่เขาหันมาแล้ว

                โรสปัดแขนของเซเบียสออกก่อนที่มันจะได้แตะถูกมือเธอแล้วแกล้งยิ้มอย่างเอียงอายพลางรีบเฉไฉเปลี่ยนเรื่อง

                “นั่นคือมังกรใช่ไหม เคยได้ยินมานานแล้วเรื่องโครงการที่มิเนอร์เวี่ยนจะสั่งซื้อมันมา โอ...ดูมันสิ! ช่างน่าทึ่งจริง ๆ ”

                “เจ้าสนใจมันหรือ มาสิ ข้าจะพาเจ้าเข้าไปดูใกล้ ๆ เป็นพิเศษ”

                เซเบียสพาโรสเดินเข้าไปใกล้มังกรตัวหนึ่ง มันหันมาทางชายหนุ่มแล้วก้มหัวลงต่ำจนเขาลูบหัวมันเล่นได้ หญิงสาวคิดว่าเจ้ามังกรตัวนี้คงจะเป็นตัวที่อยู่ในความดูแลของเซเบียสแน่

                “ที่จริงทางมิเนอร์เวี่ยนก็สั่งซื้อไปตั้งนานแล้วล่ะ  แต่ฟาร์มเลี้ยงมังกรที่เอย์โกเกรอสไม่มีพันธุ์ที่เราต้องการ อ้อ! หมายถึงพันธุ์ที่จะสามารถใช้ในการรบได้น่ะ เลยต้องใช้เวลาในการรวบรวมนานไปสักหน่อยกว่าจะได้จำนวนตามที่เราสั่งไป” ชายหนุ่มอธิบาย “พวกนี้จะแข็งแรงและดุร้ายกว่าพันธุ์ทั่วไปที่ใช้ในการเดินทางธรรมดา แต่ว่าถ้าเจ้าอยากลองสัมผัสก็จับมันได้นะ เวลาปรกติมันไม่ได้ดุร้ายอย่างที่รูปกายภายนอกของมันเป็นหรอก”

                เซเบียสมองโรสซึ่งกำลังสนใจแต่เจ้ามังกรด้วยสายตากรุ้มกริ่มพลางโอบแขนไปด้านหลังช่วงเอวของหญิงสาว “จะลองขี่ดูก็ได้นะ”

                “เซเบียส เจ้าพาใครเข้ามาน่ะ!”

                เซเบียสสะดุ้งชักมือกลับเพราะเสียงแหลมกึ่งตวาดขัดจังหวะขึ้นเสียก่อน เจ้าของเสียงเป็นหญิงสาวร่างระหง ทรวดทรงกลมกลึงสมส่วนงดงาม แต่งกายด้วยชุดกระโปรงสีเขียวผ่ายาวด้านข้างถึงต้นขา เส้นผมสีทองละเอียดหยิกเป็นลอนรับกับใบหน้าขาวโค้งมน จมูกได้รูปเชิดขึ้นเล็กน้อยอย่างคนถือดี นัยน์ตาสีเขียวใสที่มองสำรวจโรสตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าฉายแววหยามหยันอยู่ในที

                “นั่นใครหรือ” โรสถามเสียงแผ่วก่อนจะผงะรีบถอยห่างจากเซเบียสออกมาอีกนิดหน่อย เมื่อเห็นใบหน้าของเขาขึ้นสีระเรื่อตอนที่เธอเผลอไปกระซิบข้างหู

                “นางเป็นจอมเวทชื่อ คาเมช่า เพิ่งมาทำงานที่มิเนอร์เวี่ยนได้ไม่นาน เห็นว่ามาจากเกาะเต่า”

                “เกาะเต่า! ที่อยู่ทางตอนใต้ของลีโอวาเนสใช่ไหม เกาะที่ว่าบูชาเต่าเป็นเทพเจ้าน่ะ”

                คราวนี้โรสเป็นฝ่ายมองคาเมช่าตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าบ้าง นอกจากชุดสีเขียวขลิบเงินที่นางใส่แล้ว เครื่องประดับทั้งหมดล้วนมีสีเขียวเป็นส่วนหนึ่งด้วยทุกชิ้น

                ชั่วครู่...เซเบียสรู้สึกว่ามีกระแสไฟฟ้าแล่นพล่านผ่านสายตาของหญิงสาวทั้งสองซึ่งกำลังจ้องสบประสานสายตากันกำลังลั่นเปรี๊ยะ ๆ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้ตอบคำถามของคาเมช่า

                “เอ่อ...นางชื่อโรสน่ะ เป็นสหายของข้าเอง มีอะไรอย่างนั้นหรือ”

                “เปล่า ก็แค่คิดว่าทหารของมิเนอร์เวี่ยนนี่ช่างหละหลวมต่อหน้าที่เสียจริง ยอมให้คนนอกเข้ามายุ่มย่ามในเวลาปฏิบัติภารกิจได้ โดยเฉพาะกับสาว ๆ ที่ดูเหมือนจะมีดีแค่หน้าตา”

                อีกครั้ง...ที่เซเบียสรู้สึกว่ามีกระแสไฟฟ้าวิ่งพล่าน คราวนี้มันผ่านหน้าเขาไปแบบเฉียด ๆ  ยังผลให้เกิดอาการหน้าชาเล็กน้อย แต่สำหรับโรส เหมือนเธอจะโดนเข้าไปเต็ม ๆ

                “ทำอะไรกันอยู่”

                ก่อนจะเกิดสงครามขนาดย่อม เสียงเข้มดุดันของบุรุษผู้หนึ่งก็ได้หยุดมันเอาไว้ เขาเป็นชายร่างกายกำยำสูงใหญ่มีผิวสีแทนแบบคนกรำแดด ผมสีน้ำตาลเข้มถักเป็นเปียเล็ก ๆ หกแถวรวบผมยาว ๆ ของเขาไปไว้ด้านหลังเผยให้เห็นรอยถากเป็นแผลเป็นที่คิ้วซ้าย

                บุคคลทั้งสามต่างเรียกเขาอย่างพร้อมเพรียงกันว่า “หัวหน้ายู!” ซึ่งเป็นสรรพนามที่ใช้เรียกอดีตหัวหน้าหน่วยหนึ่งในกองลาดตระเวนของมิเนอร์เวี่ยน ทั้งโรสและเซเบียสเคยสังกัดอยู่ในกองของเขา

                เจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มกวาดมองทั้งสามเป็นเชิงปรามว่าอย่าได้ก่อการวิวาทหรือส่งเสียงเอะอะเอ็ดตะโรในบริเวณความรับผิดชอบของเขา

                ทว่าเมื่อคาเมช่าสบสายตาเข้ากับยู หล่อนก็เดินสะบัดหน้าจากไปทันที ปล่อยให้ผู้บังคับบัญชามองตามไปด้วยแววตาที่แฝงนัยอะไรบางอย่าง โรสรับรู้ได้ในทันทีว่าทำไมผู้ชายอย่างเซเบียสถึงไม่ไปตอแยกับคนสวยขนาดนั้น

                “ไม่ได้พบกันนานนะ โรส ฟลอร่า คงไม่ใช่เหตุบังเอิญที่เราได้มาพบเจ้าที่นี่” ยูยิ้มทักอย่างเป็นกันเอง เขายังคงไม่เปลี่ยนไปจากเมื่อคราวที่อยู่ร่วมสังกัดเดียวกัน

                “ก็ทำนองนั้น แต่ข้าแปลกใจมากกว่า ที่เพียงแค่ข่าวลือก็ทำให้ท่านถูกทางมิเนอร์เวี่ยนส่งมาแถวนี้พร้อมเครื่องอำนวยความสะดวกมากมายที่ข้าไม่เคยเห็น” โรสหรี่ตามองยูแล้วยิ้มอย่างมีเลศนัย “หรือจะรู้กันอยู่ก่อนแล้ว ว่าไม่ใช่แค่เพียงข่าวลือ”

                ยูหัวเราะอย่างคนถูกรู้ทัน

                “ใช่ ความจริงแล้วเมื่อเดือนก่อนข้ากับลูกน้องสองสามคนได้มายังเมืองซาคอนแห่งนี้ และในคืนหนึ่งข้าก็ได้พบเห็นกับสิ่งที่กษัตริย์ของเราเฝ้าตามหา ข้าได้เห็นด้วยตาของตัวเอง ก็เลยถือโอกาสอาสามา”

                “ท่านน่ะหรือ! อาสามา” โรสทำสีหน้าคล้ายไม่อยากเชื่อ เพราะหัวหน้ายูที่เธอเคยรู้จัก เป็นทหารที่ต้องการเพียงปกป้องแผ่นดินเกิด เขาไม่เห็นด้วยเรื่องการรุกรานเผ่าพันธุ์ปีศาจและไม่เคยหวังในลาภยศเงินทองที่กษัตริย์ทรงเสนอให้

                “บางทีคนเราก็ต้องการทางลัดเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ปรารถนา” ยูเอ่ยเสียงแผ่ว

                โรสได้ยินไม่ถนัดและไม่อาจเข้าใจได้ว่าเขาหมายถึงอะไร แต่หากช่วยเหลืออดีตหัวหน้าผู้อารีกับเธอได้สักครั้งก็ยินดี

                “ถ้าอย่างนั้น หากมีอะไรที่ข้าพอจะช่วยได้กรุณาบอกข้ามาเถอะค่ะ ข้าอยากช่วย”

                ยูจ้องโรสด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป ราวกับเคลือบแคลงหญิงสาวว่ามีเจตนาใดในคำพูดนั้นกันแน่

                “ขอบใจที่คิดอยากช่วย แต่เจ้าไม่ใช่คนในสังกัดของข้าแล้ว สำหรับข้าในตอนนี้เจ้าก็คือคนนอก ไม่ได้มีความเกี่ยวพันหรือมีธุระอันใดต่อกันอีก ออกไปจากบริเวณนี้เสียเถอะ นี่ไม่ใช่สถานที่คนนอกอย่างเจ้าสมควรจะเข้ามา เซเบียสช่วยพานางออกไปจากบริเวณนี้ด้วย”

                ยูสั่งเซเบียสแล้วเดินจากไป ทิ้งให้โรสยืนงงมองหน้าชายหนุ่มข้าง ๆ ตาปริบ ๆ ต่อท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันของอดีตหัวหน้า ดวงตาของเขาที่มองเธอเมื่อครู่นั้นมันเต็มไปด้วยความเคลือบแคลงระแวดระวัง เธอมีอะไรที่เขาสมควรต้องระวังอย่างนั้นหรือ

                “ถ้ายังไงไปกินข้าวกับข้าก่อนไหม” เซเบียสเอ่ยชวนหญิงสาวระหว่างที่พาเธอออกมาส่งด้านนอก

                “ขอบใจที่ชวนนะ แต่เอาไว้คราวหน้าดีกว่า พอดีข้ามีธุระ แล้วเจอกันใหม่คราวหน้านะ” โรสยิ้มหวานให้เซเบียส โดยซ่อนความยินดีที่จะได้ออกห่างจากผู้ชายคนนี้ไว้อย่างมิดชิด

                อยู่ใกล้นาน ๆ แล้วกลัวจะอดใจจนกระทำบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ดีออกไปไม่ได้จริง ๆ

                */*/*/*/*

 

                ดวงอาทิตย์ลอยสูงขึ้นทุกทีในขณะที่โรสกำลังเดินอยู่ในป่า เส้นทางเดียวกับที่ตามซาการ์ทมาเมื่อวันก่อน หลังจากข้ามลำธารบริเวณที่เกิดการต่อสู้กันไปได้ไม่ไกล หญิงสาวก็หยุดยืนมองป้ายศิลากำกับทางที่นอนนิ่งในพงหญ้า มันเก่าและผุพังจนแทบจะดูไม่ออกแล้วว่าเคยเป็นอะไรมาก่อน

                อีกไม่ไกลจะเข้าเขตป่าต้องห้าม คงไม่มีใครที่คิดจะเดินทางมาถึงที่นี่เพื่อซ่อมแซมสิ่งนี้สินะ

                ลึกเข้าไปในป่าทึบเต็มไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่อายุหลายร้อยปีแตกกิ่งก้านสานใบหนาซ้อนทับกันจนแสงแดดแทบส่องเข้ามาไม่ถึงพื้น ทั่วบริเวณจึงมืดครึ้ม บรรยากาศเงียบสงัด ไม่มีแม้แต่แมลงหรือสัตว์สักตัวจะส่งเสียง ทำให้ป่าดูวังเวงน่ากลัวยิ่งขึ้นไปอีก

                มีข่าวลือว่าชาวบ้านหลายคนหลงเข้ามาในเขตป่าแห่งนี้แล้วไม่ได้กลับออกไป จึงไม่แปลกหากจะทำให้คนธรรมดาจินตนาการไปได้ว่าสถานที่แห่งนี้มีสิ่งลี้ลับซึ่งไม่ใช่สัตว์หรือมนุษย์อาศัยอยู่จนไม่มีใครอยากเข้ามา จึงทำให้มันถูกขนานนามว่า ป่าต้องห้าม สถานที่มนุษย์ไม่ควรเหยียบย่างเข้ามา

                เมื่อดวงอาทิตย์คล้อยต่ำใกล้ลับขอบฟ้า ผืนนภาถูกย้อมด้วยแสงสีแดงส้ม เป็นเวลาเดียวกับที่โรสเดินออกมาจนถึงชายป่าอีกด้าน ข้างหน้าเธอคือทุ่งหญ้าขนาดย่อมกั้นชายป่าอีกแห่งออกจากผืนป่าหนาทึบ เลยไปจะเห็นภูผาสูงชัน หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองสิ่งก่อสร้างบนยอดผานั้นด้วยดวงตาวาววาม

                “นั่นคือ...ปราสาทของพวกปีศาจเหยี่ยวดำ”

                ใกล้ค่ำแล้ว แต่ลองเข้าไปดูลาดเลาสักหน่อยน่าจะดี

                หญิงสาววางแผนในใจระหว่างหยุดพักเติมพลังให้กับท้องที่ว่างเปล่าก่อนจะก้าวเท้ามุ่งสู่ทางข้างหน้า

                ครั้นเหยียบย่างเข้าสู่ผืนป่าใกล้เชิงผา กลิ่นหอมของอะไรบางอย่างก็ลอยมาต้องจมูกโรส แต่แทนที่มันจะให้ความรู้สึกสดชื่นกลับเป็นกลิ่นที่ชวนให้วิงเวียนเสียมากกว่า

                “กลิ่นอะไรกันนะ”

                โรสปิดจมูกพลางรีบก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ทว่ายิ่งเดินลึกเข้าไปมากเท่าไร กลิ่นหอมประหลาดนั้นกลับยิ่งรุนแรงขึ้นจนทำให้เธอเริ่มเวียนหัว ครั้นรู้สึกถึงสิ่งผิดปรกติซึ่งสังเกตมาตลอดทาง มือจึงเลื่อนไปกุมด้ามอาวุธคู่กายเตรียมพร้อมที่จะชักมันออกมาใช้ได้ตลอดเวลา สายตาสอดส่ายเพื่อระแวดระวังภัยให้แก่ตัวเอง

                แซ่ก...แซ่ก...

                เสียงบางสิ่งกำลังเลื้อยเรี่ยมาตามพื้นเรียกให้โรสหันกลับไปมองยังด้านหลัง หากมันก็ว่างเปล่าไร้ซึ่งสิ่งผิดปรกติใด แต่ครั้นจะหันหลังกลับไป พลันสายตากลับสบเข้ากับบางสิ่งซึ่งกำลังเคลื่อนไหวอย่างเงียบงันภายใต้เงาไม้ที่มีเพียงแสงสลัว เธอพยายามเพ่งมองจนเห็นเถาวัลย์เล็ก ๆ หลายเส้นกำลังเลื้อยมาตามพื้นราวกับอสรพิษก็ไม่ปาน โรสหยัดเท้าตั้งหลักพร้อมจะกระชากอาวุธออกมา ทว่ากลับถูกกระชากข้อเท้าจากด้านหลังอย่างไม่ทันตั้งตัวจนล้มลงหัวกระแทก แล้วเจ้าเถาวัลย์เหล่านั้นก็ยกตัวเธอลอยขึ้นจากพื้น

                หากไม่ได้รู้สึกเจ็บบริเวณที่ถูกกระแทก โรสก็คงจะคิดว่าตัวเองกำลังฝันไป

                สาบานได้! ว่าเธอกำลังเห็นดอกไม้ยักษ์กำลังอ้ากลีบสีแดงของมันพะงาบ ๆ เตรียมพร้อมที่จะเขมือบเธอได้ทุกเมื่อ ซี่ฟันแหลมคมวนเป็นวงอยู่ใกล้โพรงซึ่งคล้ายปากในบริเวณที่ควรจะเป็นเกสรคงสามารถบดขยี้เธอให้แหลกเละภายในเวลาอันรวดเร็วได้อย่างไม่ต้องสงสัย โรสอยากจะอาเจียนเมื่อมันเลื้อยเถาใหญ่ ๆ เข้ามาใกล้ กลิ่นหอมเอียนชวนเวียนศีรษะมาจากเจ้านี่เอง

                กลิ่นนี้คงจะเป็นตัวเรียกให้สัตว์อื่นเข้ามาใกล้และมอมเมามันจนไม่อาจหนีอันตรายที่ซุกซ่อนอยู่ในไพรป่าอันเงียบสงบแห่งนี้ได้สินะ

                ก่อนที่โรสจะถูกส่งเข้าปากเป็นอาหารเลี้ยงต้นไม้ เธอก็ชักดาบฟาดออกไปที่กลีบและฟันแหลม ๆ ของมันจนขาดกระจุย น้ำเหนียว ๆ สีเขียวจากบาดแผลของมันกระจายไปทั่ว ส่งกลิ่นเอียนฉุนหนักขึ้นไปอีก หากตอนนี้หญิงสาวไม่มีเวลาไปกังวลกับเรื่องกลิ่นที่ทำให้เวียนหัว เพราะถูกรยางค์เถาวัลย์ที่พันอยู่เหวี่ยงไปเหวี่ยงมาน่าเวียนหัวยิ่งกว่า เธอจับอาวุธแน่น พยายามเล็งแล้วรีบตัดหนวดที่พันข้อเท้าอยู่ออกก่อนจะร่วงตุบลงบนพื้น

                เมื่อยืนขึ้นได้ หญิงสาวคิดว่าตัวเองควรจะรีบจรลีหนีไปให้ไกลจากตรงนั้นโดยเร็วที่สุดจะเป็นการดี เพราะตอนนี้เธอเห็นเจ้าต้นไม้ที่คล้ายกับต้นเมื่อครู่เริ่มโผล่ออกมาแล้ว พวกมันคล้ายจะเล็งเธอเป็นอาหาร เธอเห็นน้ำเหนียวหนืดยืดยาดจากเขี้ยวคมกลางกลีบดอกของมันแล้วยิ่งสยอง

                โรสออกวิ่งพร้อมกับตวัดดาบฟาดฟันไปยังเจ้าดอกไม้กินคนที่คืบคลานอย่างรวดเร็วจนตามมาทัน เธอวิ่งมาเป็นระยะทางไกล แต่เจ้าดอกไม้พวกนี้ก็ยังโผล่ออกมาได้เรื่อย ๆ ป่าแห่งนี้อาจเป็นสถานที่ของพวกมัน

                เจ้าไม้ดอกน่าสยองพวกนี้ไม่มีตา หญิงสาวจึงคาดว่ามันสามรถตามกลิ่นหรือเสียงได้ เธอจะไม่มีทางรอดจนกว่าจะออกจากป่านี้หรือไปถึงเนินเขาอันเป็นที่ตั้งแห่งปราสาทเหยี่ยวดำได้เป็นอันขาด

                โรสวิ่งจนเหนื่อยหอบ เพราะตลอดทางต้องฟาดฟันเจ้าพรรณไม้จอมเขมือบนั่นไปด้วย ครั้งหนึ่งที่เธอสะดุดล้ม ดอกใหญ่ ๆ น่าเกลียดของมันพุ่งเข้ามาทันที หญิงสาวเลยสวนด้วยการเสกลูกไฟเข้าใส่ลูกหนึ่ง แรงระเบิดทำให้โรสกระเด็นไปชนกับโขดหินจนต้องนอนร้องโอดโอย ทว่าก็ต้องดีดตัวลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ลืมความเจ็บปวดไปชั่วครู่เมื่อมีอีกดอกอ้ากลีบกว้างพร้อมจะเขมือบเธอจู่โจมเข้ามา

                หญิงสาววิ่งต่อจนถึงเชิงผา เธอเงยหน้าขึ้นมองฟ้าที่สลัวลงเรื่อย ๆ แล้วก็กระทืบเท้าใส่โขดหินซึ่งเป็นด้านที่เป็นหน้าผาโดยแรงอย่างเคืองใจ เมื่อพบว่าตนดันวิ่งมาผิดทาง เนินเขาอีกด้านหนึ่งต่างหากที่เธอต้องไป ในเมื่อทางขึ้นเขามันอยู่ตรงนั้น

                ทว่าเมื่อเท้ากระแทกลงบนโขดหิน มันกลับหลุบตัวเข้าไปในโพรงใหญ่ ทำให้โรสเสียหลักกลิ้งโค่โล่เข้าไปในนั้นด้วย

                หากหญิงสาวไม่มีแม้แต่เวลาคิดว่ามันเกิดอะไรขึ้นก็ต้องรีบพลิกตัวหนีเข้าไปด้านในก่อนที่เจ้าดอกไม้ยักษ์จะพุ่งเข้ามาเขมือบเธออีกครั้ง

                โรสหยิบดินปืนซึ่งอัดเอาไว้เป็นก้อนกลมออกมาจากกระเป๋าแล้วยัดเข้าไปในโพรงปากเจ้าพฤกษาจอมเขมือบต้นหนึ่ง ใช้เวทสร้างลูกไฟขึ้นมาจุดชนวนดินปืนจนระเบิดกลีบดอกแหลกกระจาย ครั้นเห็นพรรณไม้สยองที่เหลือกระถดถอยไป หญิงสาวก็ไม่ปล่อยเวลาให้เสียเปล่า เธอรีบดันหินปิดปากโพรงก่อนที่เจ้าพวกนั้นจะตามเข้ามาอีกทันที

                โรสทรุดตัวนั่งพักเหนื่อยอย่างโล่งอก ครู่หนึ่งจึงค่อยสังเกตภายในโพรงนั้นและเห็นว่ามันน่าจะเรียกเป็นถ้ำเสียมากกว่า ในนี้ไม่ได้มืดสนิทเสียทีเดียว แสงที่ลอดเข้ามาจากรูเล็ก ๆ ตามผนังหินช่วยให้สามรถมองเห็นภายในได้ลาง ๆ มันเป็นช่องที่ทำให้อากาศถ่ายเทได้พอควรเสียด้วย

                ถ้ำนี้ไม่ได้เกิดขึ้นมาตามธรรมชาติแน่

                โรสจุดไต้ไฟซึ่งพกไว้ในกระเป๋าก่อนจะเดินเข้าไปตามทางภายในถ้ำ เธอพบคบไฟระหว่างทางจึงเปลี่ยนไปใช้มันแทนไต้ที่ใกล้ดับ

                ถ้ำนี้อาจจะเป็นทางลับที่นำไปสู่ปราสาทข้างบนนั่น

                โรสคิดเมื่อพบบันไดวนซึ่งทอดยาวขึ้นสู่เบื้องบน

                นาน... พอจะทำให้ขาทั้งสองข้างของโรสเมื่อยล้า กว่าจะเดินขึ้นมาจนถึงบันไดขั้นสุดท้าย แต่อย่างน้อยก็ทำให้ได้รู้ว่าถ้ำนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่เส้นทาง

                โรสได้พบโถงถ้ำระหว่างชั้นขั้นบันได เหมือนมันจะถูกทำเอาไว้สำหรับเป็นที่หลบภัย การที่มิเนอร์เวี่ยนเคยส่งคนมาค้นปราสาทเหยี่ยวดำแล้วไม่พบใคร อาจจะเป็นเพราะสถานที่แห่งนี้ก็เป็นได้

                ความหวังริบหรี่ของโรสพลันลุกโชนขึ้นมา แม้จะไม่มาก แต่ก็ไม่น้อยเท่าก่อนหน้านี้

                โรสรีบส่องคบไฟและไล้มือไปตามผนังหินในโถงถ้ำชั้นบนสุดของบันไดวน เพื่อหากลไกสำหรับเปิดประตู ทว่าค้นอย่างไรก็ไม่พบ เธอแทบจะแซะผนังและพื้นออกมาเพื่อหากลไกอีกชั้น กระทั่งลองตะกายขึ้นไปถึงมุมหนึ่งของขอบเพดานจึงพบสลักเปิดประตู

                เกือบลืมไป เจ้าพวกนี้เป็นสัตว์ปีกนี่นา!

                ด้านนอกของประตูอยู่ใกล้กับระเบียงที่หันหน้าไปทางริมผา โรสหันซ้ายขวาสำรวจรอบบริเวณอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเลือกเดินไปทางห้องโถงใหญ่ที่อยู่ใกล้ ๆ อีกด้าน ภายในนั้นตกแต่งอย่างงดงามน่าอาศัย ถ้าเพียงแต่จะไม่มีร่องรอยของการถูกเผาทำลายมาก่อน

                หญิงสาวเดินสำรวจไปตามทางและห้องต่าง ๆ อยู่นาน สถานที่แห่งนี้ทั้งมืดและเงียบสนิทสมเป็นปราสาทร้าง สิ่งที่กำลังส่งเสียงดังกลับเป็นหัวใจอันเต้นระรัวของโรสเสียเอง

                นัยน์ตาสีเขียวกวาดมองทุกสิ่งรอบตัวด้วยความรู้สึกประหลาด

                “ทั้งที่ข้าเพิ่งเคยมาปราสาทแห่งนี้เป็นครั้งแรก แล้วทำไมจึงได้รู้สึกคุ้นเคยนัก ความรู้สึกโหยหาแบบนี้มันคืออะไรกัน...”

                “กลิ่นมนุษย์!”

                โรสแทบสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงแหบพร่าซึ่งจับไม่ได้ว่าดังมาจากไหน เธอกวาดสายตามองไปทั่วเพื่อหาเจ้าของเสียง

                มือเลื่อนไปกำอาวุธคู่กายเมื่อเห็นแสงไฟจากตะเกียงที่มีใครบางคนถือมา เจ้าของตะเกียงนั้นกำลังยิ้มแสยะจนเห็นฟันขาว

                “ข้าไม่ได้เห็นมนุษย์คนอื่นมานานแค่ไหนแล้วนะ กลิ่นของหญิงสาวเยาว์วัย...น่ากินเหลือเกิน”

 

[1] มังกร

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา