The Terra Magia : ปริศนาตำนานอาถรรพ์
9.3
เขียนโดย MartinFranck
วันที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2558 เวลา 00.53 น.
2 ตอน
0 วิจารณ์
4,706 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2558 03.48 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) ห้าสหายผู้ทำลายล้าง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความคำทำนายจากลูกแก้วลูกที่ 6 ยังวนเวียนอยู่ภายในหัวของพวกเขาทั้งห้าคน ในมือของพวกเขาต่างถือลูกแก้วคำทำนายของตัวเอง ในขณะที่กำลังขึ้นลิฟต์ไปยังห้องประชุมสภาเวทย์มนต์ชั้น 43 ไม่มีเสียงพูดหรือถกเถียงกันกันในหมู่เพื่อนถึงเรื่องคำทำนายที่ท่านานยกเทศมนตรีพูด ลิฟต์เคลื่อนที่ผ่านชั้นแล้วชั้นแล้วชั้นเล่า แม้มันจะเร็วแค่ไหน แต่สำหรับพวกเขาในตอนนี้แล้วมันช่างช้าซะเหลือเกิน ‘ชั้น 43 ห้องประชุมสภาเวทย์มนต์ โปรดถอดเสื้อคลุมและปลดไม้กายสิทธิ์ของท่านก่อนเข้าประชุมสภา’ เสียงแม่มดสาวระบบอัตโนมัติ ยังคงทำงานเหมือนเช่นปกติ
“สถานการณ์แบบนี้ยังจะให้เราปลดไม้กายสิทธิ์อีกหรอ” ยูริพูด ขณะก้าวเดินออกจากลิฟต์รูปนกฮูก ทันใดนั้นเองประตูเหล็กที่สลักสัญลักษณ์ประจำสภาเวทย์มนต์สูงสักสองช่วงตัวเห็นจะได้ ค่อยๆเปิดออก ปรากฎร่างแม่มดในชุดเต็มยศ ยืนถือไม้กายสิทธิ์อยู่ เธอชื่อ ‘เวโรนิก้า สเตร๊าท์’ ตำแหน่งหัวหน้างานกองปริศนาประจำสภาเวทย์มนต์
“ใช่แล้วล่ะ ภายใต้สถานการณ์แบบนี้เราไม่ควรจะเก็บไม้กายสิทธิ์ไว้ให้ห่างตัว ถึงแม้ว่าภายในสภาจะมีการสะกัดคาถาอันตรายและมีการป้องกันอย่างแน่นหนาเพียงใด เพื่อความปลอดภัยถือมันให้พร้อมไว้น่าจะดีกว่าจ้ะ” เธอผายมือออกทำท่าทางต้อนรับการมาของพวกเขาทั้งห้าคน แต่ใบหน้ากลับตึงเครียดอย่างเห็นได้ชัด
“มาเถอะจ้ะ ทุกคนกำลังรอพวกเธออยู่”
พวกเขาเดินเข้าไปในห้องประชุมตามมือของเธอที่ผายเข้าไปด้านใน โต๊ะตัวยาวสีดำเงาวับวางอยู่กลางห้องโถ่งที่รายล้อมไปด้วยรูปของเหล่าท่านนายกเทศมนตรีคนก่อนๆ พร้อมเก้าอี้สูงท่วมหัวที่สลักชื่อของผู้ที่เข้าประชุมสภาในแต่ละครั้งวางอยู่รอบๆนับสิบตัว
“นั่งตามเก้าอี้ที่เป็นชื่อของเธอนะ” เวโรนิก้าพูดพลางเดินไปนั่งเก้าอี้ของเธอ
“พวกเธอคงจะเดาได้สินะว่าต้องมาที่นี่เพราะอะไร” เสียงทุ้มต่ำที่หัวโต๊ะพูดหลังจากที่พวกเขานั่งลงกันทั้งหมด ‘นายอาเจน แค๊กตัส รัฐมนตรีประจำกรมควบคุมและปราบปรามการใช้เวทย์มนต์ในทางที่ผิด’ เป็นประธานการประชุมในวันนี้
“พวกเธอคงได้ฟังคำทำนายของพวกเธอเอง รวมถึงคำทำนายที่ 6 นั่นด้วยแล้วใช่มั้ย???” “ครับ ฟังแล้ว แต่มีเรื่องที่อยากจะเข้าใจหลายอย่าง” เคออสถามเขาด้วยสีหน้าตึงเครียด “ทำไมพวกเราทั้งห้าคนถึงเป็นคนที่ถูกเลือก” แพทริเซียเสริม “หนึ่งผู้ทรยศ คือใครกันครับ” มาร์ติน เสริมต่อ “และตำนานที่ถูกลืมล่ะคะ คืออะไร” ยูริ เสริมเพื่อนๆของเธออย่างไม่ลังเล “เอาล่ะๆ พวกเธอคงยังไม่เคยได้ฟังตำนานเรื่อง ‘ห้าสหายผู้ทำลายล้าง’ กันล่ะสิ” นางซิซซี่ มอนท์โกเมอรี่ รัฐมนตรีประจำกรมควบคุมความประพฤติของพ่อมดแม่มดที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับพวกเขา พูดขึ้น “บางที ถ้าพวกเธอได้ฟังเรื่องนี้อาจจะเข้าใจอะไรมากขึ้นก็ได้” “ได้โปรดเล่าให้พวกเราฟังเถอะครับ” เจคพูดขอร้องให้เธอเล่าของนุ่มนวล “มันเป็นตำนานที่ถูกเล่าต่อๆกันมานานแสนนาน โดยตำนานนี้ถูกแต่งขึ้นโดยพ่อมดคนนึงที่มีชีวิตอยู่ในสมัยนั้น และมันมันก็ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าเป้นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงหรือว่าเป็นนิทานหรอกเด็ก เรื่องมันมีอยู่ว่า............
‘เมื่อสมัยที่โลกผู้วิเศษรุ่งเรืองถึงขีดสุด และถูกปกครองโดยท่านนายกเทศมนตรีที่มีความเด็ดขาด ไม่มีพ่อมดหรือแม่มดคนไหนที่กล้าจะลุกฮือขึ้นต่อต้านหรือใช้อำนาจศาสตร์มืดเข้าครอบงำโลกผู้วิเศษ ในยุคนั้นมีกลุ่มพ่อมดแม่มดที่เป็นเพื่อนรักกันที่โด่งดังมากอยู่ห้าคน แม่มดคนแรก เธอมีผมสีดำตรงยาวสวยงาม บุคลิกเธอสง่างามมาก บรรดาเหล่าพ่อมดต่างหลงไหลในรูปลักษณ์ของเธอ เธอช่างสังเกตในทุกๆเรื่อง เธอสามารถประติดประต่อเรื่องราวต่างๆรอบตัวเธอได้ด้วยจากการสังเกต เธอสังเกตไม่เว้นแม้แต่พฤติกรรมของเพื่อนๆเธอเอง และนั่นทำให้เธอไม่สามารถมีคนรักได้ เพราะเธอสามารถรู้ถึงพฤติกรรมของคนรักที่เปลี่ยนไปได้เสมอ ด้วยเหตุนี้เธอจึงถูกขนามนามว่า ‘ผู้สังเกตุการณ์’
แม่มดคนที่สอง นิสัยของเธอช่างรอบคอบ แต่นั่นไม่ได้โดดเด่นกว่าสิ่งพิเศษที่เธอมีติดตัวมาแต่กำเนิด เธอสามารถหยั่งรู้เหตุการณ์ในอนาคตอันใกล้ได้ สัมผัสพิเศษของเธอแม่นยำมากจนเป็นที่เลื่องลือในกลุ่มพ่อมดแม่มดที่นิยมการแสวงโชค แต่เธอกลับใช้ความสามารถพิเศษของเธอนั้นช่วยเหลือผู้ที่ตกทุกข์ได้ยากเท่านั้น แม้กระทั่งเพื่อนรักของเธอทั้งสี่คนถ้าเธอรู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่ดีกับใครคนใดคนหนึ่ง เธอก็จะเตือนเสมอ นั่นจึงทำให้เธอได้ชื่อว่า ‘ผู้หยั่งรู้ หรือ ผู้ทำนาย (ในกลุ่มพ่อมดแม่มดนักแสวงโชค)’
พ่อมดคนที่สาม เขาได้ชื่อว่าเป็น ‘ผู้รอบรู้' ในสมัยนั้นพ่อมดคนนี้เลื่องชื่อเรื่องการแก้ไขปัญหาที่ไม่มีคนสามารถแก้ไขได้ ปริศนาอะไรต่างๆในโลกผู้วิเศษที่ว่ายาก เขาคนนี้สามารถแก้ไขได้ทั้งหมด หลายต่อหลายครั้งที่เขาต้องเผชิญกับปัญหาต่างๆที่บรรดาเพื่อนรักของเขาทั้งสี่คนหามาให้ เขาก็แก้ไขมันได้ด้วยความรอบรู้ของเขา เขานั้นรู้ไปซะทุกเรื่อง เว้นเพียงเรื่องเดียวที่เขาไม่รู้ นั่นก็คือใจของเขาเอง ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เขาต้องสูญเสียคนที่รักเขาไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ
พ่อมดคนที่สี่ เขาคือคนที่รูปลักษณ์ภายนอกนั้น ดูแข็งแกร่งที่สุด แต่ในทางกลับกันเขากลับกลายเป้นคนที่อ่อนโยนและเปราะบางที่สุด เขาเป็นที่รักของเหล่าพ่อมดแม่มด เด็กๆและสูงอายุ ด้วยความที่เขาช่างพูดจา อ่อนโยน และประนีประนอม ในหลายๆครั้งที่เพื่อนรักของเขาเกิดทะเลาะกัน เขาจะเป็นคนที่ทำให้เพื่อนกลับมารักกันได้เสมอ ด้วยความประนีประนอมของเขานั่นเอง หรือแม้กระทั่งในสังคมโลกผู้วิเศษเองก็ตาม เมื่อเกิดเหตุการณ์ทะเลาะวิวาทขึ้น เขาจะเป็นตัวกลางที่ทำให้พ่อมดแม่มดเหล่านั้นสงบลงได้ เขาจึงได้ชื่อว่า ‘ผู้ประนีประนอม’
พ่อมดคนสุดท้าย เขาคือคนที่โหดเหี้ยมที่สุดในบรรดาเพื่อนๆของเขาทั้งหมด เขาเชี่ยวชาญการใช้คาถาในการกำจัดศัตรูหรือแม้กระทั่งกำจัดผู้ที่ไม่หวังดีต่อเขาและเพื่อนๆของเขา รวมไปถึงศาลเตี้ยในโลกผู้วิเศษที่เขานั้นจะตัดสินถูกผิดโดยวิธีของเขาและลงโทษผู้นั้นอย่างสาสม เขาไม่เคยทำร้ายใครก่อน แต่ถ้าเขาหรือพรรคพวกของเขาถูกทำร้าย สิ่งสุดท้ายในชีวิตที่คนนั้นจะเห็นคือใบหน้าของเขานั่นเอง ความโหดเหี้ยมของเขานั้นขึ้นชื่อ จนไม่มีใครกล้าจะต่อกรด้วย และได้รับการขนามนามว่า ‘ผู้ทรงอำนาจ หรือผู้ผดุงธรรม (ในกลุ่มของพ่อมดแม่มดในศาลเตี้ย)’
พวกเขาทั้งห้าคนมักจะไปไหนมาไหนด้วยกันอยู่บ่อยๆ จนอยู่มาวันนึงพวกเขาทั้งห้าต้องออกเดินทางไปนอกเมืองเพื่อทำภารกิจที่ได้รับมอบหมายจากกระทวงเวทย์มนต์ ระหว่างที่เดินทางผ่านป่ามรณะไม่ไกลจากเมืองมากนัก ก็ปรากฏร่างไร้ใบหน้าในชุดคลุมผู้วิเศษสีดำยาว ร่างนั้นลอยอยู่เหนือพื้น ในมือถือไม้กายสิทธิ์ มาขวางทางพวกเขาไว้ พวกเขายืนตัวแข็งทื่อด้วยความหวาดกลัว เพราะสิ่งที่ปรากฎตรงหน้าพวกเขานั้นคือ ผู้ลิขิต ผู้ลิขิตจะปรากฏตัวต่อหน้าพ่อมดแม่มดที่เขาอยากจะลิขิตชีวิตเท่านั้น และไม่ได้ปรากฏตัวบ่อยนัก การปรากฏตัวของผู้ลิขิต จะนำมาซึ่งการแลกเปลี่ยนบางสิ่งบางอย่างเสมอ ว่ากันว่าหากใครคิดจะต่อกรหรือฆ่าผู้ลิขิตนั้น โลกผู้วิเศษจะต้องตกอยู่ภายใต้คำสาปไปตลอดชั่วกัปชั่วกัลป์ ผู้ลิขิตลอยมารอบๆตัวพวกเขา พินิจพิเคราะห์อย่างตั้งใจก่อนจะใช้ไม้กายสิทธิ์ชี้ไปที่พ่อมดคนที่สี่ แล้วร่างของเขาก็ลอยขึ้นมาประจันหน้าอยู่กับผู้ลิขิต “เจ้าอยากแลกอะไรกับข้า ผู้ประนีประนอม” ผู้ลิขิตถามพ่อมดคนที่สี่อย่างที่ไม่เคยเสนอถามพ่อมดแม่มดคนไหนมาก่อน “ขะ---ข้า ไม่อยากแลกอะไรทั้งนั้น” พ่อมดคนที่สี่พูดติดๆขัดๆ “กฎของข้า มันต้องแลก เจ้าก็ต้องแลก” ผู้ลิขิตพูดด้วยน้ำเสียงดุดัน พ่อมดคนที่สี่นิ่งเงียบอยู่สักครู่ก่อนจะยื่อข้อเสนอให้กับผู้ลิขิต “ข้าขอเสนอให้เจ้ากลับไปซะ แลกกลับชีวิตและทุกๆอย่างของข้าและเพื่อนๆ” ด้วยประนีประนอมของพ่อมดคนที่สี่ สิ่งที่เขาคิดได้คือการแลกที่ให้เกิดการสูญเสียน้อยที่สุด “แต่นั่นเป็นเสนอที่ข้าไม่ชอบ” ผู้ลิขิตเหวี่ยงมือที่ถือไม้กายสิทธิ์ขึ้นไปบนฟ้าและนั่นทำให้พ่อมดคนที่สี่ถูกเหวี่ยงขึ้นสูงไปอีก “ข้าให้โอกาสเจ้าเลือกข้อเสนอดีๆ แต่เจ้ากลับไม่เสนอมาให้ข้า งั้นข้าขอเลือกเอง” ผู้ลิขิตปล่อยตัวพ่อมดคนที่สี่ตกลงบนพื้นอย่างแรง แล้วชี้ไม้กายสิทธิ์ไปที่พ่อมดคนที่สี่ “เจ้าจงเลือกมาว่าจะเอาเจ้าจะยอมเป็นคนไร้เวทย์มนต์เพื่อแลกกับชีวิตของเจ้า หรือไม่เช่นนั้นเจ้าก็ต้องให้ชีวิตเจ้ากับข้า” พ่อมดคนที่สี่ลืมตามองผู้ลิขิตแต่ไม่พูดอะไร ทันใดนั้นร่างของเขาก็นอนสงบแน่นิ่งลงกองกับพื้น “เจ้าตัดสินใจนานเกินไป” ผู้ลิขิตพูดอย่างเลือดเย็นพร้อมลอยมาชี้ตัวแม่มดคนแรกให้ลอยขึ้น “เจ้าล่ะ อยากแลกอะไรกับข้า ผู้สังเกตุการณ์” “ข้าขอให้เจ้าตอบคำถามข้าให้ถูก เพื่อแรกกับชีวิตของเพื่อนข้าที่เจ้าเอาไป ตกลไหม?” แม่มดคนแรดพูดอย่างไม่หวั่นไหวใดต่อผู้ลิขิต “ไม่เลว ถือเป็นข้อเสนอที่ดี ได้! เจ้าถามคำถามข้ามา” ผู้ลิขิตยอมรับข้อเสนอของแม่มดคนแรก “ถ้าหากว่าผู้วิเศษทุกคนจะต้องตายด้วยน้ำมือของข้า แล้วเจ้าจะต้องตายด้วยหรือไม่” “ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ” ผู้ลิขิตหัวเราะอย่างสะใจ “คำถามเจ้ามันช่างง่ายเสียเหลือเกิน เจ้าลืมไปแล้วหรือ ว่าข้านั้นคือผู้ลิขิต ข้าจะต้องไม่ตายด้วยน้ำมือของเจ้า ฮ่าๆๆๆๆๆ” “หึหึ เจ้าผิดแล้วล่ะ ผู้ลิขิต” แม่มดคนแรกพูดอย่างมั่นใจ “คำถามของข้า บอกว่า ผู้วิเศษ ทุกคน ต้องตาย เจ้าเป็นหนึ่งในผู้วิเศษ เจ้าก็ต้องตาย ง่ายๆแค่นี้เจ้ายังตอบไม่ได้เลย เจ้าแพ้แล้ว คืนชีวิตเพื่อนช้ามานะ” “เจ้า!!! มันเจ้าเล่ห์ ได้ ถือว่ามันเป็นข้อตกลงข้าก็จะทำตามสัญญา” ผู้ลิขิตร่ายคาถาให้พ่อมดคนที่สี่ฟื้นคืนชีพมาดังเดิม
พ่อมดคนที่สี่ฟื้นคืนชีพมาแล้วรีบหยิบไม้กายสิทธิทันที แม่มดคนแรกรีบเข้าไปหาประคองตัวเพื่อนของเธอยืนขึ้น
“ในเมื่อข้าให้พวกเจ้าเสนอ แล้วพวกเจ้ากลับเจ้าเล่ห์กับข้า ดังนั้นต่อไปข้าจะเสนอให้พวกเจ้าเอง” ผู้ลิขิตชี้ไม้กายสิทธิ์ไปที่พ่อแม่มดที่เหลือทั้งสามคน แล้วก็ลอยขึ้น “ไม่นะ มันจะเกิดเหตุร้าย” แม่มดคนที่สองหยั่งรู้เหตุการณ์ได้ในทันได้แล้วพูดเบาๆกับเพื่อนของเธอทั้งสองคนที่ลอยอยู่ข้างๆ “มันคงไม่ร้ายไปกว่านี้แล้วล่ะ ซับเวอโต้!!!” พ่อมดคนที่ห้า เสกคาถาทำลายล้าง ใส่ผู้ลิขิตทันใดนั้นพวกเขาทั้งสามคนก็ตกลงมาที่พื้น แล้วผู้ลิขิตก็กระเด็นไปอีกทางหนึ่ง “ทำอะไรของแก!!!” พ่อมดคนที่สามตะคอกใส่เพื่อนของเขา “ไม่รู้หรอไงว่าหายนะกำลังจะมาเยือน” “มันก็ไม่เลวร้ายไปกว่านี้แล้วล่ะน่า” พ่อมดคนที่ห้าสวนกลับไปทันควัน ทันใดนั้นลำแสงสีเขียวก็พุ่งตรงมาหาเขา “อะลิก้า มอซู่!” แม่มดคนที่สอง เสกคาถาต้านเอาไว้ได้ทัน ผู้ลิขิตเครื่อนร่างมาหาพวกเขาอย่างรวดเร็ว “พวกแกคิดจะต่อกรกับข้าใช่ไหม” เขาตะโกนเสียงดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วทั้งโลกผู้วิเศษ ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีเทาทันที หมอกแห่งความตายเริ่มคืบคลานเข้ามาช้าๆ จนทำให้พวกเขาไม่เห็นร่างของผู้ลิขิต แล้วลำแสงสีเขียวก็พุ่งมาทางพวกเขาอีกครั้ง พวกเขาสามารถสะกัดคาถามอบความตายได้ทันอีกครั้ง แต่จะนานแค่ไหนที่เขาจะต้านพลังของผู้ลิขิตตนนี้ไปได้ “เราต้องใช้คาถาต้องห้าม” พ่อมดคนที่ห้า พูดกับเพื่อนของเขา “ถึงแม้มันจะช่วยทำให้ผู้ลิขิตตายได้ แต่โลกผู้วิเศษจะต้องคำสาป แกก็รู้” พ่อมดคนที่สามพูด “แล้วที่สำคัญมันต้องแลกด้วยชีวิตของผู้ร่ายคาถา ไม่ ชั้นไม่ยอมให้แกทำ” แม่มดคนที่สองเสียงแข็ง แต่นั่นก็ไม่เป็นผลเมื่อพ่อมดคนที่ห้าร่ายคาถาต้องห้าม หมอกที่บดบังโลกผู้วิเศษก็จากหายไปแล้วเผยให้เห็นร่างของผู้ลิขิต ทันใดนั้นเอง ลำแสงสีฟ้าก็ออกจากปลายไม้กายสิทธิ์ของเขาพุ่งตรงไปที่ร่างของผู้ลิขิตทันที “ไม่นะ!!!” พวกเขาตะโกนพร้อมกันอย่างมิได้นัดหมาย ร่างของผู้ลิขิตแหลกไปกับตา พร้อมกับร่างของพ่อมดคนที่ห้าที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น โลกผู้วิเศษตกอยู่ภายใต้คำสาปของผู้ลิขิตให้ไม่มีแสงแดดตลอดชั่วกัปชั่วกัลป์ ในทันที
ความมืดเข้ามาเยือนโลกผู้วิเศษอย่างช้าๆ อากาศเริ่มหนาวเหน็บ เพราะฤิทธิจากคำสาป พวกเขาทั้งสี่คน นั่งลงข้างร่างอันไร้วิญญาณของเพื่อนเขา พ่อมดคนที่สามเสกให้เขาลอยขึ้นแล้วเดินทางกลับไปยังเมือง ข่าวการต่อสู้กับผู้ลิขิตของพวกเขาแพร่สะพัดเร็วกว่าความหนาาวเหน็บที่เข้าปกคลุมโลกผู้วิเศษ ทันทีที่พวกเขาก้าวเท้าเข้ามายังเขตเมือง บรรดาเหล่าพ่อมดแม่มด ก็ตะโกนขับไล่พวกเขาให้ออกไปนอกเมืองทันที เพราะพวกเขาที่ไม่ยอมแลกข้อเสนอกับผู้ลิขิต จึงต้องทำให้โลกผู้วิเศษตกอยู่ภายใต้คำสาปอันโหดร้ายเช่นนี้ พวกเขาจำใจต้องเดินทางออกไปยังชายแดนโลกผู้วิเศษ แต่ความโชคร้ายยังไม่หมดแค่นั้น พวกเขากลับต้องเผชิญหน้ากับยมทูตที่เสนอบางสิ่งบางอย่างให้พวกเขา เพื่อแลกกับการคลายคำสาปของผู้ลิขิตและชีวิตของเพื่อนพวกเขาคืนมา
แต่นั่นไม่ได้เป็นเหมือนดั่งที่พวกเขาคิด ยมทูตยื่นข้อเสนอให้พวกเขา เพื่อแลกกับการให้ชุมชนโลกผู้วิเศษกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง และเพื่อที่เพื่อนของพวกเขาจะได้มีชีวิตเหมือนเช่นกันเดิม “พวกเจ้าจะไม่สามารถกลับเข้าร่วมกับชุมชนโลกผู้วิเศษได้อีก แต่พวกเจ้าจะต้องคอยคุ้มครองรักษาชุมชนโลกผู้วิเศษ ไม่มีผู้ใดสามารถมาทำอันตรายได้ โดยที่พวกเจ้าห้ามแสดงตัวตนให้บรรดาพ่อมดแม่มดคนอื่นๆรู้เป็นอันขาด” ยมทูตยื่นข้อเสนอให้พวกเขาทั้งสี่คน พวกเขาทั้งสี่คนพร้อมใจตกลงกันรับข้อเสนอ อย่างน้อยก็เพื่อช่วยให้เพื่อนของเขากลับมามีชีวิตอีกครั้ง ยมทูตร่ายคาถาขึ้นฟ้า มีลำแสงสีขาวพุ่งตรงไปอย่างสุดลูกหูลูกตา ทันใดนั้น ความมืดที่ปกคลุมโลกผู้วิเศษก็เปลี่ยนเป็นแสงแดดอ่อนๆ ยามเช้า อากาศกลับมาอุ่นขึ้นอีกครั้ง
“เจ้า ผู้หยั่งรู้ ข้าขอเสกให้เจ้าเป็น แอนนิเมจัส ที่ไม่ว่าใครหน้าในบนโลกใบนี้ก้ไม่มีทางจับเจ้าได้” ยมทูตร่ายคาถาใส่แม่มดคนที่สอง “เจ้าจะดูแลโลกผู้วิเศษจากทางทิศเหนือ” “เจ้า ผู้สังเกตุการณ์ ข้าเสกให้เจ้ามีดวงตาที่มองทะลุสิ่งของและสามารถสะกดทุกสิ่งให้อยู่ภายความครอบงำของเจ้าได้ เพียงแค่เจ้าจ้องมองพวกมันที่ดวงตาคู่นั้น” ยมทูตร่ายคาถาใส่แม่มดคนแรก “และเจ้าต้องดูและโลกผู้วิเศษจากทางทิศตะวันออก” “เจ้า ผู้รอบรู้ เจ้าจะดูแลโลกผู้วิเศษจากทางทิศใต้ โดยใช้ความสามารถในการเปลี่ยนร่างที่ข้าจะเสกให้เจ้านี้ คอยช่วยเหลือพ่อมดแม่มดทุกคน” “เจ้า ผู้ประนีประนอม ข้าขอให้เจ้าดูแลโลกผู้วิเศษจากทางทิศตะวันตก โดยเจ้าจะสามารถไปไหนมาไหนได้โดยที่ไม่มีใครสามารถตรวจจับหรือมองเห็นตัวตนที่แท้จริงของเจ้า”
ยมทูตเดินมาที่ร่างของพ่อมดคนที่ห้า ร่ายคาถาคืนชีพให้เขา ร่างกายของเขาขยับ เพื่อนๆเขามาประคองให้เขายืนขึ้น “ส่วนเจ้า ผู้ทรงอำนาจ ความกล้าหาญที่เจ้าที่ต่อกรกับผู้ลิขิตนั้นไม่ได้เลื่องลือเพียงในโลกผู้วิเศษเท่านั้น โลกแห่งความตายต่างยอมรับการเสียสละอันยิ่งใหญ่นี้ของเจ้า เจ้าจงดูแลคุ้มครองโลกผู้วิเศษทั้งโลกนี้ในทุกทิศทุกทาง รวมถึงเพื่อนๆของเจ้าด้วย ข้าขอจะเสกให้เจ้ามีอำนาจเหนือพ่อมดแม่มดอื่นใด และวันใดหากเจ้าใช้พลังไปในทางที่ผิด วิญญาณของเจ้าก็จักต้องสลายในทันที” ยมทูตร่ายคาถาใส่พ่อมดคนที่ห้าเป็นคนสุดท้าย “ต่อไปนี้พวกเจ้าคือ ผู้ถูกเลือกทั้งห้า แม้ว่าโลกผู้วิเศษจากขนามนามพวกเจ้าให้ให้เป็น ห้าสหายผู้ทำลายล้าง เจ้าจงต้องยอมรับมัน จำไว้บนโลกนี้ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ ทุกอย่างมันต้องแลกทั้งนั้น” ยมทูตพูดจบ ร่างก็หายกลืนไปกับอากาศทีที
“และนี่แหละคือ ตำนานห้าสหายผู้ทำลายล้าง” นางซิซซี่พูด หลังจากเล่าตำนานนี้จบ “แต่พวกเราก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าพวกเราจะไปเกี่ยวกับ ผู้ถูกเลือกทั้งห้าได้อย่างไรกัน ในเมื่อนั่นมันเป็นตำนานที่เกิดขึ้นมาแล้ว” เจคถามอย่างเคลือบแคลงสงสัย “ตำนานนี้ถูกเขียนขึ้นโดยพ่อมดที่มีชีวิตอยู่สมัยนั้น เขาว่ากันว่า คำทำนายสุดท้ายจากลูกแก้วทำนายก่อนที่เขาจะตายนั้น บอกว่า ผู้ถูกเลือกทั้งห้าในตำนานนี้จะกำเนิดขึ้นอีกครั้ง” นางซิซซี่กล่าว “เราเข้าใจแล้ว ว่ามันหมายถึงอะไร” เคออสพูดขึ้นอย่างมั่นใจ ทุกคนหันมามองเคออสอย่างใคร่อยากรู้คำตอบที่เขาสามารถคิดได้ รอยยิ้มมุมปากเล็กๆของนายอาเจน แค๊กตัส เผยให้เห็นอย่างไม่ไว้วางใจนัก ก่อนที่เขาจะพูดขึ้นว่า... “ไม่แปลกใจเลยจริงๆ ที่เจ้าได้สมญานามว่า ผู้รอบรู้!!!!!”
จบตอนที่ 2 ติชม และโหวตกันด้วยนะครับ :) ติดตามต่อ 3 นะครับ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ