The Terra Magia : ปริศนาตำนานอาถรรพ์

9.3

เขียนโดย MartinFranck

วันที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2558 เวลา 00.53 น.

  2 ตอน
  0 วิจารณ์
  4,722 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2558 03.48 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) ปริศนาคำทำนายที่ 6

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

chapter1

 

 

          ท้องฟ้าเริ่มมึดสนิท ร้านรวงข้างทางต่างเริ่มทยอยพากันปิดร้านลง ในยามค่ำคืนที่คนไม่พลุกพล่านนักมีเพียงแสงไฟสลัวจากเสาไฟฟ้าสไตล์อังกฤษ ที่ติดๆดับๆ และแสงจากร้าน The Grill ร้านอาหาร 24 ชั่วโมงตรงหัวมุมถนนเท่านั้น ที่พอจะลดความน่ากลัวของถนนสายนี้ลงได้ ถัดจากร้าน The Grill มาไม่ไกลนัก ตรอกเล็กๆ ที่เป็นตรอกตันซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางตึกที่ขนาบทั้งสองข้าง ทางเข้าไม่ได้เชิญชวนให้ผู้คนที่เดินผ่านไปมากระหายอยากรู้ว่าข้างในตรอกนั้นมีอะไรซ่อนอยู่ นอกจากขยะที่บรรดาร้านอาหารต่างขนมาทิ้งไว้ในตรอกแห่งนี้ คนแล้วคนเล่าได้แต่เดินผ่านไป โดยไม่ได้สังเกตุว่ายังมีคนอีกกลุ่มนึงที่ ใช้มันเป็นทางเข้าออกประจำ


          ฟรึบบบบ เสียงดังขึ้นก่อนที่จะปรากฎร่างกายของหญิงสาวผมยาวดำสวย สวมเดรสยาวกรอมพื้นสีดำ เธอมองซ้ายขาวก่อนรีบเดินเข้าไปหาชายหนุ่มที่ยืนพิงกำแพงรอเธออยู่ตรงท้ายตรอกอย่างร้อนใจ
          “คนอื่นล่ะ” หญิงสาวกระซิบถามชายหนุ่มผู้นั้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แต่เธอก็ไม่สามารถปกปิดแววตาที่กำลังตื่นตระหนกไปได้
          “ยัง ยังไม่มา คงอีกไม่นานหรอก” ชายหนุ่มตอบเธอโดยไม่ละสายตาจากนาฬิกาข้อมือ

          “แพทริเซีย เธอเอามันติดตัวมาด้วยมั้ย?” ชายหนุ่มเงยหน้าถามหญิงสาวด้วยน้ำเสียงที่กังวลอย่างชัดเจน
          “ไม่ลืม ฉันว่ามันต้องมีเรื่องไม่ดีแน่ๆเลย มาร์ติน ไม่งั้นคงไม่เรียกพวกเรามากระทันหันแบบนี้” ทันทีที่แพทริเซียพูดจบ มาร์ตินรีบดึงแพทริเซียให้ไปอยู่ด้านหลัง
          “แอ็บสคอนเดเต้” มาร์ตินหยิบไม้กายสิทธิ์ ที่ซ่อนอยู่ในเสื้อสูทที่เขาใส่อยู่ ออกมาโบกนิดๆพร้อมร่ายคาถาอำพรางตัว


          ที่ปลายทางเข้ามีเงาดำๆที่ไม่คุ้นตามาร์ติน กำลังเดินใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ‘ไม่นะ ไม่น่าจะมีใครเดินเข้ามาในตรอกยามดึกแบบนี้แล้ว’ มาร์ตินคิดในใจ ในมือยื่นไม้กายสิทธิ์เตรียมพร้อมจะสู้ตลอดเวลา เงานั้นเข้ามาใกล้มาร์ตินและแพทริเซียมาก มากเสียจนทำให้ แพทริเซียรู้ถึงอาการสั่นจากความหวาดกลัวของมาร์ตินได้ ภาพของชายร่างยักษ์ตัวสูงใหญ่มีหนวดเคราเฟิ้มรุงรัง สวมหมวกไหมพรม ใส่โอเวอร์โค๊ตตัวยาว หยุดอยู่ตรงหน้าทั้งสองคน แต่ชายคนนั้นไม่สามารถมองเห็นทั้งคู่ได้เนื่องด้วยคาถาอำพรางตัว “ยังไม่มากันสินะ” ชายคนนั้นพึมพัมคนเดียวก่อนจะหยิบไม้กายสิทธิ์ออกมาจากโอเวอร์โค๊ทตัวยาว แล้วพูดขึ้นเบาๆว่า “มูแต้น สเปเซี่ยม” แล้วร่างที่ทั้งคู่เห็นตรงหน้าก็เปลี่ยนกลายมาเป็นร่างที่พวกเค้าทั้งสองคนคุ้นตาเป็นอย่างดี


          ชายผิวสีแทนใบหน้าเกลี้ยงเกลา ในชุดสูทสีดำเหมือนกับที่มาร์ตินใส่ไม่ผิด ก้มมองนาฬิกา แล้วกำลังจะเอาบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง
          “ลิควอเร่” มาร์ตินร่ายมนต์คลายคาถาอำพรางตัวก่อนจะปรากฎร่าง ของทั้งสองคนขึ้น
อย่าเอามันออกมานะ” มาร์ตินตวาดชายคนนั้นทันทีที่คาถาคลายลง ชายหนุ่มหันมาพร้อมเก็บของสิ่งนั้นเข้าไปทันใด
          “อ้าว มากันตั้งแต่เมื่อไหร่ ฉันนึกว่าพวกเธอยังไม่มากันเลยกะว่าจะเรียกซะหน่อย” ชายคนนั้นพูดกับมาร์ตินและแพทริเซีย
          “ได้สักพักละ นี่! เคออส รู้รึเปล่าทำไมสองคนนั้นยังไม่มาสักที นี่มันจะเลทแล้วนะ” แพทริเซียพูดกับเคออสอย่างร้อนรน พร้อมกับดูนาฬิกาที่ข้อมือ
          “คงอีกไม่นานหรอก เรื่องด่วนแบ......” ยังไม่ทันสิ้นเสียงที่เคออสพูด ตรอกทั้งตรอกก็เต็มไปด้วยหมอกสีขาว ทั้งสามคนหันหลังชนกัน พร้อมหยิบไม้กายสิทธิ์ออกมา “ฟาเซม” ทันใดนั้นปลายไม้กายสิทธิของทั้งสามก็มีแสงไฟออกมา ก่อนที่หมอกนั้นจะเริ่มรวมตัวกันแล้วปรากฎร่างของชายหนุ่มอีกคน


          ชายหนุ่มร่างท้วมผมสั้นใส่แว่นกรอบสี่เหลี่ยม และแน่นอนว่าเขาคนนั้นใส่ชุดสูทสีดำเหมือนมาร์ตินและเคออสไม่มีผิด “ฉันเองๆ ยูริ ยังไม่มาหรอ เห็นมันบอกฉันว่ามันจะล่วงหน้ามาก่อนตั้งนานแล้ว” ชายคนนั้นถามพวกเขาทั้งสามคนอย่างสงสัย


          “เมี๊ยวววว” เสียงแมวดำที่ซ่อนตัวอยู่ท้ายตรอกดังขึ้นพร้อมปรากฎร่างของหญิงสาวผมสั้นสวมชุดกระโปรงทรงดินสอ ยูรินั่นเอง เธอมารออยู่ตั้งแต่แรกแล้ว
          “ปลอดภัยไว้ก่อนน่ะ เจค” ยูริเดินเข้ามาหาเขาทั้งสี่คนพร้อมสำรวจความเรียบร้อยของชุด รวมทั้งของบางอย่างที่อยู่กระเป๋าของเธอด้วย “ฉันมาก่อนหน้ามาร์ตินไม่นานเอง สถานการณ์แบบนี้ไว้ใจอะไรไม่ได้หรอก” ยูริพูดพลางหยิบไม้กายสิทธิ์ออกมาถือเตรียมพร้อมไว้
          “พร้อมกันแล้วนะ” แพทริเซียพูดพลางเดินเข้าไปตรงกำแพงสุดทางท้ายตรอก เธอเอามือข้างซ้ายวางลงบนกำแพงนั้นแล้วหันมาพูดกับเพื่อนทั้งสี่คน “ใครจะเป็นคนทำมัน”
          “ฉันเอง” มาร์ตินเดินเข้าไปตรงกำแพง เขาหันมามองยังปากทางเข้าเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครเห็น ก่อนจะร่ายคาถาลงไป “มินิสเตอร์ วีเดนเตส ดีเฟนเซอร์ โปเตสตาเทม อะมาเร่ คอมโพรมิสซุม” ทันทีที่สิ้นสุดการร่ายคาถากำแพงอิฐได้กลายเป็นประตูรั้วสีดำสูงเสียดฟ้า ยอดประตูเป็นโลหะรูปหอก ตรงกลางประตูมีสัญลักษณ์รูปหกเหลี่ยม รอเพียงชั่วอึดใจ ประตูก็เปิดให้พวกเขาทั้งห้าคนเดินเข้าไป


          ประตูรั้วปิดลงตามหลังพวกเขาแล้วเปลี่ยนสภาพกลายเป็นอิฐเช่นเดิม พวกเขาทั้งห้าคนแปลกใจกับทุกสายที่กำลังจดจ้องมาทางพวกเขาหลังจากที่ได้เดินเข้ามายังดินแดนที่คนในโลกมนุษย์ปกติไม่สามารถรู้ได้ สายตาทุกคู่ดูหวาดกลัว ตื่นตระหนกและทุกอย่างกลับนิ่งสงบเหมือนว่าพวกเขาเหล่านั้นกำลังให้การต้อนรับที่ไม่ค่อยเป็นมิตรนัก พวกเขาทั้งห้าคนหยุดเดินแล้วหยิบไม้กายสิทธิออกมาด้วยสัญชาตญาณ ใช่! ที่นี่วันนี้มันผิดปกติ มันไม่เหมือนทุกครั้งที่พวกเขาเคยมา


          “มันต้องมีอะไรแน่ๆ” เจคพูดเบาๆ แต่ก็สามารถทำให้เพื่อนๆของเขาทุกคนได้ยินในสิ่งที่เจคพูด
          “ใช่! อยู่ใกล้ๆกันไว้นะ ป่ะ พวกเรารีบไปกันเถอะ” มาร์ติน พูดกับเพื่อนอย่างกังวลใจ แต่ก้ไม่ได้ละสายตาจากผุ้คนเหล่านั้นที่มองมายังพวกเขา
พวกเขาทั้งห้าคนเดินไปเรื่อยๆ ตลอดทางที่เดินผ่านมาแพทริเซียสังเกตุอากัปกิริยาของผุ้คนที่ทุกครั้งตอนพวกเขาเดินผ่าน จะต้องมีอาการหวาดกลัว บ้างก็หลบสายตา บ้างก็หยิบไม้กายสิทธิ์ออกมา เหมือนกับว่าจะเตรียมพร้อมสู้กับสิ่งชั่วร้ายที่กำลังมาเยือนพวกเขาในระยะกระชั้นชิด จนมาถึงตึกโบราณทรงสูง ทำจากหินอ่อนทั้งหลัง พวกเขาหยุดอยู่ตรงบันไดทางเข้า มองไปยังประตูกลที่สูงตระหง่านอยู่เบื้องหน้า ‘ทำไมนะ วันนี้พวกเขาถึงรุ้สึกว่ามันจะไม่เหมือนทุกวันที่พวกเขาได้เดินผ่านมันเข้าไป’


          ไม่นานนักจากที่พวกเขามาถึงหน้าประตู อากาศรอบตัวดูเย็นลงผิดปกติ ประตูเปิดออกเผยให้เห็นภายในอย่างช้าๆ พวกเขาเดินเข้าไปภายในโถงทางเข้าที่ก่อนหน้านั้นพวกเขามักจะตื่นตาตื่นใจกับความสวยงามอลังการของมันเสมอ แต่วันนี้กลับไม่เป็นเช่นนั้น โถงแก้วดูเยือกเย็นผิดปกติ คบไฟตามโถงก็ไม่ลุกโชติช่วงดั่งที่มันเคยเป็น จริงอยู่เวลาป่านนี้แล้ว เหล่าสภาพ่อมดแม่มดก็ไม่ได้ทำงานกันแล้ว แต่มันก็ไม่น่าจะวังเวงแบบนี้สิ มันเป็นเพราะอะไรกันนะ!
          พวกเขาเดินมาสุดโถงทางเดินกำลังจะก้าวขึ้นบันไดไปชั้นสอง แต่ทหารยามสองคนที่เฝ้าอยู่ทางขึ้นบันได้กลับกันไม่ให้พวกเขาเข้าไป
          “อ้าว ทำไมพวกเราเข้าไปไม่ได้ล่ะ” ยูริ ถามทหารยามสองคนนั้น
          “จงแสดงตนก่อน พวกคุณถึงจะขึ้นไปหาท่านนายกเทศมนตรีได้” ทหารยามคนที่หนึ่งตอบยูริอย่างเสียงแข็ง
          “แต่ปกติเรามาที่ พวกคุณก็รู้จักพวกเรานิ แล้วครั้งนี้เราถูกเรียกมาทำไมเราถึงขึ้นไปไม่ได้ล่ะ” เจคถามอย่างสงสัย
          “ยามนี้สถานการณ์ไม่ปกติ พวกคุณต้องแสดงตน” ทหารยามคนที่สองตอบมาด้วยเสียงที่แข็งกร้าวขึ้น
          “เอาเถอะๆ จะเอางั้นก็ได้” มาร์ติน หยิบไม้กายสิทธิ์ออกมาจิ้มไปที่ฝ่ามืออีกข้าง “พราเอเซนเทีย” ออร่าสีขาวพุ่งขึ้นมาจากเท้าหมุนวนรอบตัวเขาจนจรดศีรษะแล้วก็หาย แต่ไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดๆเกิดขึ้นกับร่างของเขา นั่นหมายถึงการแสดงตัวตนที่แท้จริงของเขาแน่ชัดแล้ว และเพื่อนของพวกเขาที่เหลือก็ทำเช่นกัน “ทีนี้พวกเราก็ขึ้นไปได้แล้วสินะ” มาร์ตินพูดอย่างไม่สบอารมณ์นัก
          “ยังก่อน” ทหารคนที่หนึ่งพูดดัก “ยังต้องแสดงสัญญาณการเรียกเข้าพบด้วย” ทหารคนที่สองเสริมขึ้น


          พวกเขาทั้งห้าคนหยิบล็อกเก็ตของตัวเองขึ้นมาร่ายคาถา “คราเมมุส” ทันใดนั้นล็อกเก็ตของทุกคนได้เปลี่ยนรูปร่างเป็นรูปนกฮูกกางปีกบนหัวมีมงกุฎห้าแฉกสีทอง เป็นตราสัญลักษณ์ของท่านนายกเทศมนตรีคนปัจจุบัน
          “ยังต้องแสดงอะไรอีกมั้ย” เคออสพูดอย่างโมโหก่อนจะเก็บล็อกเก็ตใส่เข้าไปในกระเป๋าดังเดิม
          “เชิญขึ้นไปได้” ทหารทั้งสองคนเปิดทางให้พวกเขาเดินขึ้นบันไดวนไปยังห้องพักท่านนายกเทศมนตรี
          “มันน่าโมโหจริงๆเลย ฉันไม่ใจเย็นเลย รู้งี้เสกคาถาสะกดนิ่งใส่ก็จบเรื่อง” มาร์ตินยั่วะกับเหตุการณ์เมื่อสักครู่
          “เธอคิดว่ามันจะเสกได้อย่างนั้นหรอ สถานการณ์ไม่ปกติ แต่ท่านนายกเทศมนตรีกลับให้ทหารยามไร้เวทย์มนตร์เป็นคนเฝ้าบันได ตรวจตราผุ้คนที่จะขึ้นไปพบเนี่ยนะ ฉันว่าที่นี่ถูกสะกัดคาถาที่เป็นอันตรายทั้งหมดไว้เรียบร้อยแล้วล่ะ” แพทริเซียพูดประเมินสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น

          บันไดวนที่มองขึ้นไปแล้วดูสูงอย่างไม่มีที่สิ้นสุด แม้ภายนอกตึกแห่งนี้จะบอกว่ามีเพียงสองชั้นก็ตาม แต่บันไดวนแห่งนี้กลับสามารถเดินขึ้นไปได้สูงกว่านั้นมาก แต่ละชั้นประดับด้วยคบไฟที่ในตอนนี้มีไฟสลัวๆเพียงเท่านั้นที่ให้แสงสว่าง ตรงกลางบันไดวนเป็นเสมือนลิฟต์สำหรับบรรดาพ่อมดแม่มดที่ทำงานอยู่ชั้นสูงๆขึ้นไป ลิฟต์ที่นี่พิเศษตรงที่ไม่ว่าจะลงหรือขึ้น ลิฟต์สามารถเลื่อนผ่านกันได้โดยที่คนในลิฟต์ไม่เป็นอะไรเลย แต่ตอนนี้มันจอดแน่นิ่งสนิทอยู่ที่ชั้นล่าง ไม่กี่อึดใจพวกเขาก็เดินมาหยุดอยู่ที่ประตูสีมรกตที่สลักชื่อหน้าห้องว่า ‘นางอนิส อนิสตัน นายกเทศมนตรี” ไม่นานนักประตูไร้ลูกบิดก็เปิดออกเผยให้เห็นภายในห้องที่โอ่อ่า สีมรกต สวยงาม มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะได้เข้ามาในห้องนี้ และแน่นอนว่าหนึ่งในนั้นตอนนี้คือพวกเขาทั้งห้าคน!!!


          กลางห้องมีโต๊ะสีดำเงาวับวางอยู่ เก้าอี้สูงท่วมหัวค่อยๆหมุนกลับมาอย่างช้าๆท่านนายกเทศมนตรีหญิงคนแรกของโลกเวทย์มนตร์ท่าทางน่าเกรงขาม ถือไม้กายสิทธิ์ด้ามไม้ทำจากนิกเกิ้ลหลอมเป็นรูปนกฮูกสัญลักษณ์ประจำตำแหน่ง ผมลอนสีดำสยายอยู่ด้านหลัง ชุดคลุมคอตั้งตามแบบฉบับแม่มด ต่างก็ตรงที่ไม่ได้ใส่หมวกทรงแหลมก้เท่านั้น


          “ตกใจสินะว่าฉันเรียกพวกเธอมาที่นี่ ตอนนี้ ทำไม” ท่านนายกเทศมนตรีพูดอย่างนิ่งเรียบ มือพลางลูบไม้กายสิทธิที่ถืออยู่อย่างน่าหวาดกลัว “พวกเธอคงรู้ดีว่าตามกฎของโลกผู้วิเศษแล้ว เมื่อพ่อมดแม่มดมีอายุครบ 18 ปี จะสามารถฟังคำทำนายของตัวเองได้ จากกองปริศนา ซึ่งพวกเธอคงได้ฟังแล้ว และหลังจากนั้นคำทำนายของพวกเธอจะเปลี่ยนไปทุกๆปีหลังจากการฉลองวันปริศนา” เสียงรองเท้าท่านนายกเทศมนตรีกระทบกับพื้นมรกตในห้อง ดังสะท้อนไปทั่ว ยิ่งทำให้บรรยากาศวังเวงขึ้นเป็นเท่าตัว “ทุกคำทำนายที่กองปริศนาได้ทำนายผู้วิเศษทั้งโลกนี้จะถูกตรวจตราเป็นพิเศษ เมื่อคำทำนายของผู้นั้นครบอายุ 25 โดยคำทำนายเหล่านั้นจะถูกส่งมาให้ฉันเป็นคนฟัง คำทำนายไหนที่ถูกตัดสินว่าจะเป็นอันตรายต่อสังคมโลกผู้วิเศษแล้วล่ะก็จะถูกทำลายทิ้ง” เสียกระทบกันของรองเท้ากับพื้นห้องเงียบเสียงไปหลังจากท่านนายกพูดจนประโยคนั้น ท่านานยกเทสมนตรี หยุดเดินแล้วหันมาจ้องที่พวกเขาทั้งห้าคนด้วยสายตาถมึงทึง พลางแกว่งไม้กายสิทธิที่อยู่ในมือโดยไม่ได้พูดอะไร แต่นั่นก็เป็นที่รู้กันว่าท่านได้ร่ายคาถาให้สิ่งของบางอย่างลอยมาอยุ่ตรงหน้าพวกเขาทั้งห้าคนแล้ว


          “ลูกแก้วปริศนาทั้งหกลูกนี้มีมีคำทำนายที่เชื่องโยงกันอย่างน่าหวาดกลัว แต่ละลูกเป็นของพวกเธอแต่ละคนแต่อีกลูกเป็นคำทำนายที่ถูกทำนายขึ้นมาทั้งๆที่ไม่มีคนเป็นเจ้าของ” ท่านนายกเทศมนตรีใช้ไม้กายสิทธิขี้ไปที่ลูกแก้วลูกนึงให้ลอยขึ้นไปใกล้ๆพวกเขา
          “เอ่อ แล้วมันจะเป็นไปได้ยังไงกัน” เคออสแย้งขึ้นอย่างสงสัยถึงความเป็นไปได้ในการทำนาย
          “นั่นสิครับ มันต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ๆ” เจคเสริมเคออสอีกเสียง
          “ใช่!!! มันเหมือนจะมีอะไรผิดพลาด แต่การทำนายของกองปริศนาไม่เคยมีการผิดพลาดมาเป็นพันปี ครั้งล่าสุดที่ผิดพลาดก็เกิดหายนะกับโลกผู้วิเศษที่เลวร้ายกว่าครั้งที่โวลเดอร์มอร์ฟื้นคืนชีพเสียอีก” นายกเทศมนตรีเพ่งพินิจลูกแก้วเจ้าปัญหาอันนั้นอย่างไม่ละสายตา
          “แล้วคำทำนายมันว่าอย่างไรคะ” แพทริเซียถามท่านายกเทศมนตรีอย่างใคร่รู้

 

“ผู้ถูกเลือกทั้งห้า มนตราได้สะกด หนึ่งผู้ทรยศคืนชีพ ทวงสิทธิความชอบธรรม

ตำนานที่ถูกลืม ถูกรื้อฟื้นขึ้นอีกครั้ง ไม่อาจยับยั้งพลังชั่ว ต้องถึงกาลอวสาน”


          นายกเทศมนตรีพูดคำทำนายของลูกแก้วอันที่หก จบลง แล้วเหม่อมองออกไปนอกหน้าตาอย่ากังวลใจ ในขณะที่ทั้งห้องนั้นตกอยู่ในความเงียบจนได้ยินแม้กระทั่งเสียงลมหายใจของพวกเขาทั้งห้าคน
          “ผู้ถูกเลือกทั้งห้า??? คือใครหรอครับ???” เคออสทำลายความเงียบนั้นลงโดยการพยายามจะตีความคำทำนายนี้ แต่มันมีหลายสิ่งเหลือเกินที่เขาเองสงสัยในคำทำนาย จนไม่อาจจะสามารถบอกได้ว่ามันหมายถึงอะไรกันแน่
ท่านนายกเทศมนตรีหันหน้ามาหาพวกเขา “ก็พวกเธอยังไงล่ะ!!!!!”

 

 

ติดตามต่อตอน 2 นะครับ :)

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา