The Ancient Tales : The Awakening

-

เขียนโดย Zcret

วันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2558 เวลา 11.13 น.

  5 chapter
  0 วิจารณ์
  8,090 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2558 12.42 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

5) Corutpted

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

 

 

          ม้าขาวพันธุ์งามเร่งฝีเท้าจากการถูกกระตุกบังเหียนของผู้ขับขี่ กีบเท้าหนาของมันกระแทกเร็วเเละรัวขึ้นบนผืนดิน ทำเอาฝุ่นตลบบนเส้นทางที่หนาทึบเเละไปด้วยพันธุ์ไม้รูปร่างแปลกประหลาด รวมถึงขนาดของต้นไม้ที่สูงใหญ่ราวกับหอคอยป้อมปราการ ภายใต้แสงจันทร์ที่กำลังจะปรากฏชัดเจนบนผืนนภาเอลฟ์สาวนัยน์ตาสีเขียวอ่อนกระตุกบังเหียนอีกครั้งด้วยความเร่งรีบ เธอและองครักษ์อีกสองนายที่ติดตามกำลังดำเนินบนเส้นทางที่มุ่งสู่ทางใต้ของเซดัสห์ ทั้งสามกำลังเคลื่อนผ่านเขตป่าที่ขั้นกลางระหว่างนาซารีและโวแรม ป่า มิธส์วูด ผืนป่าที่เต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตและเรื่องเล่าลี่ลับต่างๆนานา

 

“ ระวังตัวด้วยนายหญิง ในยามวิกาลผืนป่าแห่งนี้..อันตรายยิ่งนัก...” องครักษ์กล่าวขึ้นพลางควบม้าเข้าขนาบข้างนายหญิงของตน 

 

          เอลฟ์สาวไม่เอ่ยสิ่งใด เธอยังคงกระตุกบังเหียนเร่งความเร็วอย่างต่อเนื่อง บรรยากาศเริ่มเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน ผืนป่าแสนสงบเมื่อเย็นเริ่มแปรเปลี่ยนสภาพเป็นพงไพรอันสยองขวัญทันทีที่แสงตะวันกำลังลับขอบฟ้า สองข้างทางที่เต็มไปด้วยพันธุ์ไม้ใหญ่และดอกไม้อันสวยงาม ในขณะนี้หากมองเข้าไปกลับทำให้รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างอยู่ในนั้น และมันกำลังจ้องมองเราอยู่ วิสัยทัศน์บนเส้นทางเบื้องหน้าเริ่มหดหาย มันถูกบดบังด้วยความมืดที่คืบคลานเข้ามาอย่างรวดเร็ว มีเพียงแสงริบหรี่ของดวงจันทร์ที่เล็ดรอดผ่านช่องอันน้อยนิดของกิ่งก้านใบไม้หนาที่ปกคลุมอยู่เหนือทั้งสาม เอลฟ์สาวผายมือเรียวของตนออกพร้อมทั้งร่ายเวทย์สร้างดวงแสงสีฟ้าเจิดจ้าขนาดเท่ากำมือของเธอ และส่งมันลอยขึ้นเหนือศีรษะพุ่งตรงนำเส้นทางไปด้านหน้า ก่อนที่องครักษ์ทั้งสองก็ทำเช่นเดียวกัน

 

 

แคคร็กกกกก !!!!   โฮกกกกกกก

  

          ต้นไม้ใหญ่ตรงหน้าเกิดเสียงประหลาดและหักล้มลงปิดกั้นเส้นทาง ม้าขาวเหยียดย่ำกีบเท้าของมันลงบนพื้นอย่างรุนแรงเพื่อเบรกสุดกำลัง ร่างที่ปรากฏออกมาต่อหน้าทั้งสามคือสิ่งมีชีวิตร่างสูงใหญ่กำยำผิดแปลกจากเผ่าพันธุ์ทั่วไปในเซดัสห์ ความสูงกะด้วยสายตาประมาณสามถึงสี่เมตร ผิวกายสีเทาหม่น เรือนร่างช้ำเลือดช้ำหนอง ผมดำหยักโสกยาวประบ่า นัยน์ตาสีแดงฉานแลดูบ้าคลั่งและไร้สติ  

  

          ม้าเร็วของทั้งสามต่างตื่นตกใจเก็บเหตุการณ์ พวกมันยกขาหน้าทั้งสองขึ้นพร้อมกับพยายามที่จะฝืนการควบคุมจนทำให้องครักษ์ทั้งสองตกจากหลังของพวกมัน ก่อนที่อาชาทั้งสองจะวิ่งหนีหายกลับสู่เส้นทางเบื้องหลังอันมืดมิด เหลือไว้เพียงหนึ่งสตรีที่ยังควบคุมพาหนะของตนเอาไว้ได้ เอลฟ์สาวบนหลังม้าจ้องมองร่างตรงหน้าของเธออย่างพินิจ ดวงตาสีเขียวอ่อนเผยแววตาอันครุ่นคิดออกมา

 

           ยักษ์ เผ่าพันธุ์สิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะคล้ายมนุษย์ แตกต่างกันที่ขนาดและรูปร่างทางกายภาพ พวกเขาอาศัยอยู่ตามธรรมชาติไม่เป็นหลักแหล่งกระจัดกระจายทั่วเซดัสห์ ซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์ที่เป็นมิตรไม่ทำร้ายสิ่งใดอย่างไร้เหตุผล แต่เจ้าตนนี้ผิดแปลกไปมากจริงๆ น้ำลายเหนียวย้อยยืดเลอะคางของมัน ก่อนที่ร่างยักษ์นั้นจะสาวเท้าก้าวยาวมุ่งตรงเข้าหาเป้าหมาย น้ำหนักตัวกว่าสี่ร้อยกิโลกรัมสร้างแรงกระแทกลงบนพื้นเป็นจังหวะ ทำเอาแผนดินนั้นสั่นสะเทือนไปทั่วป่า ในมือของร่างบ้าคลั่งนั้นกำชิ้นส่วนกระดูกของสัตว์ใหญ่ไว้แน่น มันเข้าใกล้ทั้งสามพร้อมทั้งง้างทอนกระดูกขึ้นเหนือหัว

  

ตู้มมมม !!!

 

            เสียงกระดูกฟาดลงบนพื้นดังสนั่น เอลฟ์สาวบังคับอาชาของตนหลบการโจมตีได้อย่างเฉียดฉิว เช่นเดียวกับองครักษ์ทั้งสองที่กระโจนหลบออกจากทิศทางได้ทันควัน

  

ครืนนนนนนน !!!!!

 

            ไม่ทันที่ทั้งสามจะได้ทำอะไร ยักษ์คลั่งลากอาวุธของมันเหวี่ยงแนวขวางจากพื้นเป็นวงกว้างหวังฟาดองครักษ์ให้หายไปจากสายตา

  

          ในชั่วขณะเอลฟ์สาวร่ายเวทย์อย่างรวดเร็ว แสงสีฟ้าประกายปรากฏบนเรือนร่างขององครักษ์ที่ตกเป็นเป้า เขาดีดตัวหลบการโจมตีนั้นได้ทันอย่างน่าประหลาดใจ องค์รักษ์อีกตนปลดดาบโค้งยาวของเขาขึ้นพร้อมกำไว้แน่น มืออีกข้างของเขาเปล่งแสงเรืองสีน้ำเงินเข้มก่อนที่มันจะถูกส่งผ่านออกจากฝ่ามือของนักรบเอลฟ์สู่อสูรตรงหน้า

 

          ฟอร์สเบลด  นามที่ใช้ขับขานให้แก่นักรบเผ่าพันธุ์เอลฟ์ พวกเขามีความสามารถในศิลปะการต่อสู้ด้วยดาบที่ผสมผสานกับการใช้เวทมนตร์ควบคู่ไปด้วยกัน พวกเขาถือเป็นกำลังพลที่ทรงพลังและเป็นที่น่าเกรงขามแก่ศัตรูไม่แพ้กับทหารราบแห่งนอร์เลยทีเดียว และยังจัดว่าเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของนักรบชาวเอลฟ์ที่โดดเด่นไม่ต่างกับจอมเวทย์เอลฟ์เช่นกัน

 

          สายฟ้าสีน้ำเงินพุ่งเข้าปะทะกับเป้าหมายในพริบตา ร่างนั้นร้องลั้นด้วยความเจ็บปวดและเสียการควบคุมไปจังหวะหนึ่ง เปิดโอกาสให้องครักษ์ทั้งสองที่พุ่งเข้าประชิดตัวยักษ์คลั่งพร้อมทั้งตวัดคมดาบเข้าโจมตี เอลฟ์สาวบนหลังม้าชูมือขึ้นพร้อมกับแสงสีแดงสดที่เปล่งประกายบนเรือนร่างของสองเอลฟ์องครักษ์ที่กำลังกวาดคมดาบลากผ่านแขนและขาของเป้าหมาย

  

          ภาพของคนตัดฟืนปรากฏขึ้นในหัวของเอลฟ์ทั้งสาม ราวกับขวานที่สับลงบนโคนต้นไม้ใหญ่ มันสร้างเพียงรอยตื่นเล็กๆไม่เพียงพอที่จะโค่นลงได้ในคร่าเดียว ยักษ์คลั่งคำรามดั่งอสูรกายพร้อมทั้งกระตุกโคนขาของพร้อมตวัดลำแข่งขนาดพอๆกับท่อนซุง ฟาดเข้าที่องค์รักษ์ตนหนึ่งเข้าอย่างจัง ส่งร่างนั้นปลิวหายลอยไปในความมืด

 

“ ท่าน..หญิงรีบหนีไป..”

 

            องครักษ์เอลฟ์อีกตนกล่าวขึ้น เขาได้ประเมินสถานการณ์ที่พบเจอเมื่อครู่แล้ว เวทย์สายฟ้า เวทย์เสริมพลัง ก็ยังสร้างเพียงแค่รอยคมดาบเล็กๆให้แก่ยักษ์ตนนี้ ในสถานการณ์เช่นนี้เขาไม่สามารถเอาชนะศัตรูตรงหน้าได้อย่างแน่นอน องครักษ์ปล่อยดาบยาวในมือของตนลงกับพื้น ก่อนที่จะร่ายเวทย์บนมือทั้งสองสร้างแสงประกายสีขาวเทาที่แผ่กระจายไอเย็นออกมา

 

“ รีบไป…นายหญิง..”  

 

          คำพูดสุดท้ายของเขาก่อนที่เอลฟ์สาวต้องฝืนใจสั่งม้าของเธอให้วิ่งหนีห่างออกจากตรงนั้น ละไว้เพียงร่างเอลฟ์องครักษ์ที่ยืนหยัดต้านยักษ์อสูรไว้ให้เธอ เอลฟ์สาวควบม้าเร่งความเร็วเต็มฝีเท้าทิ้งระยะห่างอย่างรวดเร็ว ดวงตาของเธอเอ่อล้นไปด้วยหยดน้ำใส เธอกัดฟันแน่นก่อนที่จะสั่งให้ม้าของม้าเร่งความเร็วยิ่งขึ้นไปอีก

 

          ไม่ทันไรเสียงกระแทกของฝีเท้ายักษ์ก็ดังขึ้นไล่หลังเอลฟ์สาว ท่อนขาที่เต็มไปด้วยเกล็ดน้ำแข็งและค้อนกระดูกที่เลอะคราบของเหลวสีแดงสดกำลังเข้าใกล้เธอขึ้นเรื่อยๆ นัยต์ตาสีเขียวเต็มไปด้วยความตื่นตกใจและความหวาดกลัว เพียงไม่กี่วินาทีที่เธอหลบหนีออกมาโดยที่องครักษ์ของเธอได้ถ่วงเวลาไว้ให้ แต่ยักษ์ตนนั้นกลับตามเธอมาติดๆราวกลับมิได้ติดขัดสิ่งใด ร่างนั้นเข้าใกล้เธอเรื่อยๆ ๆ ๆ โดยไม่มีทีท่าว่าจะช้าลงหรือคงที่ ม้าของเธอก็เริ่มเหนื่อยล้า ความเร็วของฝีเท้าค่อยๆลดลง ๆ ระยะห่างของทั้งสองเริ่มใกล้เข้าหากัน มันใกล้พอที่อสูรยักษ์ง้างอาวุธในมือขึ้นเหนือหัวอีกครั้ง

 

          มันฟาดกระดูกขนาดใหญ่นั้นลงยังตำแหน่งของเอลฟ์สาวทันที

 

ตู้มมมมมมมมมม !!!!!

  

          ยักษ์คลั่งถูกกระแทกโดยร่างปริศนา ทำให้ค้อนกระดูกนั้นพลาดเป้าหมายฟาดลงยังพื้นดินเฉียดร่างของเอลฟ์สาวเพียงน้อยนิด แต่นั้นก็ส่งร่างของเธอล่องลอยออกจากหลังม้า ปลิวกระแทกลงสู่พื้นดินและกลิ้งหลายตลบก่อนที่จะหยุดนิ่ง ร่างปริศนาที่ขนาดใกล้เคียงกันค่อมอยู่เหนือร่างยักษ์คลั่ง มันจ้วงหมัดลงบนใบหน้าเป้าหมายถึงสามครั้ง ก่อนที่จะกระแทกซ้ำด้วยศอกลงไปอีกที แต่อสูรยักษ์ก็ยังไม่สิ้นฤทธิ์มันพยายามที่จะผลักเอาร่างนั้นออกจากตัวโดยการพยายามแทงเข่าและพลิกตัวปล่อยหมัดสวนกลับ

  

          ยักษ์ปริศนาถูกผลักออกได้สำเร็จ แต่มันก็พุ่งเข้าหาคู่ต่อสู้ของมันในขณะที่กำลังลุกขึ้นยืน เขาพุ่งกระแทกด้วยบ่าไหล่เข้าที่กลางลำตัวของเป้าหมายส่งร่างนั้นกระเด่นถอยล้มลง แต่นั้นก็หาจะหยุดอสูรได้ไม่ มันคว้าเอนค้อนกระดูกที่ตกอยู่บนพื้นฟาดขวางวงกว้างกระแทกเข้าที่ใบหน้าของศัตรูที่พุ่งตามเข้ามาแบบเต็มๆ ร่างยักษ์ปริศนาเซเสียการทรงตัวจากแรงปะทะเข้าที่ศีรษะ ได้ทีอสุรยักษ์ลากค้อนคู่กายเหวี่ยงใส่ศัตรูของมันอีกครั้ง

 

กร๊อบบ !!

 

            เสียงกระดูกแขนท่อนบนของยักษ์ปริศนาดังพร้อมกับเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดสุดขีด แต่นั้นก็ทำให้สติของเขากลับคืนมา มืออีกข้างกำหมัดแน่นพร้อมส่งหมัดกระแทกใบหน้าของเป้าหมายในทันที ตามด้วยการเข้าล็อคคอด้วยแขนเพียงข้างเดียว ขัดขาล้มลงตะแคงข้างบีบรัดต้นคอของเป้าหมาย ร่างนั้นพยายามตะเกียดตะกาย เขาจึงเสริมแรงด้วยการกระชากอย่างรุนแรง                                     

 

 

            และทุกอย่างก็สงบลง ความเงียบงันกลับสู่ป่ามิธส์วูดอีกครั้ง แสงจันทร์ริบหรี่ที่ลอดผ่านก้านไม้หนาเผยให้เห็นยักษ์สองตนในสภาพที่สะบักสะบอม ร่างหนึ่งที่มีสภาพเหมือนกับศพและนอนแน่นิ่ง กับอีกร่างหนึ่งที่เต็มไปด้วยรอยแดงช้ำ ร่างนั้นปล่อยมือจากคอของอสูรยักษ์พลางหอบด้วยความเหน็ดเหนื่อย เขาพยุงร่างของตนขึ้นและเดินตรงมายังร่างของเอลฟ์สาวที่นอนแน่นิ่ง เขาช้อนเอาร่างเพรียวระหงไว้ในมือฝ่ามือขนาดใหญ่ ก่อนที่จะเดินอย่างทุลักทุเลหายเข้าไปในป่า

 

 

  

 

 

 

“ หนูไม่เป็นไรหรอกค่ะป้าแอนนา..”

 

            ริโครเน่ พูดขึ้นในขณะที่คุณป้าของเธอกำลังอยู่ในท่าทีที่กลุ้มใจแบบสุดๆตรงด้านหน้าของขบวนรถลาก ทั้งเรื่องคดีฆาตรกรรมต่อเนื่องในเมย์ทรอนและเหตุการณ์กบฏในทางเหนือทำเอาป้าแอนนาจิตตกเอามากๆ หนำซ้ำหลานรักของป้ายังรบเร้าที่จะไปวินเทอร์สเพลให้ได้อีก ซึ่งเป็นเมืองทางเขตเหนือที่มีข่าวคราวของกบฏ บอกเท่าไหร่ห้ามเท่าไหร่ก็ไม่ฟัง ไม่รู้ไปเอาความดื้อแบบนี้มาจากไหน  

  

“ คุณป้าดูตรงนั้นสิคะ…”  

 

           ริคพูดพร้อมชี้นิ้วไปยังกลุ่มทหารเมย์ทรอนอาวุธครบมือที่กำลังจัดแถวเตรียมขึ้นขบวนรถลากของทางการ เพื่อเดินทางไปยังวินเทอร์สเพล 

 

“ ขบวนของหนูไปพร้อมๆกับขบวนนั้นเลยค่ะ..เพราะฉะนั้นปลอดภัยหายห่วง ” 

 

          ริคกล่าวเสริม พร้อมส่งยิ้มแจกความสดใสให้กับป้าของเธอ แต่ดูเหมือนคุณป้าจะยังวิตกอยู่ ถึงแม้จะไปพร้อมๆกับทหารก็เถอะแต่มันก็อาจเกิดเหตุการณ์ซุ่มโจมตีได้มากกว่าเดิมอีก ละถึงแม้จะไปถึงได้อย่างปลอดภัย แล้วหากพวกกบฏมันเข้ามารบกันในเมืองจะทำยังไงล่ะ คิ้วของป้าขมวดแล้วขมวดอีก ถอนหายใจแล้วหายใจอีก ก็เพียงแต่หวังว่า เทพคารีห์จะช่วยคุ้มครองหลานของป้า

  

            ทั้งสองตกลงกันเรียบร้อยป้าแอนยินยอมให้ริคไป ถึงจะไม่อยากให้ไปก็เถอะ ทั้งคู่กอดลากันพักใหญ่ก่อนที่เกวียนรถลากของริคจะออกเคลื่อนตัว ชายผู้ขับสั่งให้ม้าทั้งสองเริ่มออกเดินอย่างช้าๆ ริคโบกมือลาป้าของเธออีกครั้งก่อนที่เธอจะกลับเข้ามานั่งภายใต้ชายคาที่ทำจากผ้าผืนหนาใหญ่คลุมเหนือโครงไม้ทรงสี่เหลี่ยมที่เชื่อมติดกับรถเกวียน รถของเธอเคลื่อนออกจากเขตกลางเมืองและดำเนินเส้นทางที่คับคั่งของเมืองหลวง มุ่งสู่ประตูทางทิศตัวออกของ นคร เมย์ทรอน  รถลากของเธอสวนผ่านกับรถทหารเมย์ทรอนที่ผ่านเข้าประตูทิศตะวันออกเข้ามา ก่อนที่จะคงเส้นทางจนลับสายตาไป

  

 

“ เป็นไงล่ะ…โดยแมวขโมยเล่นงานเข้าให้แล้ว..”

“ เรื่องนี้ข้าก็คาดไม่ถึงเหมือนกัน…”

“ ทีนี้ก็มีค่าหัวกันแล้วละสิ…จะมีรูปใบหน้าพวกเราติดประกาศทั่วเมืองเลยสินะ..”

“ อย่าเวอร์ฟานห์…”

“ เอาล่ะดูเหมือนเราจะมาถึงกันแล้วนะ…”

“ อ่าห์…เมืองหลวง หน้าตาจะเป็นยังไงนะ ตั้งแต่เกิดมาข้ายังไม่เคยพบเห็นเลย..”

“ เจ้าช่วยข้าคิดวีธีลงจากรถโดยไม่ให้ใครเห็นก่อนเถอะ..”

“ จะไปยากอะไรละ..เราก็แต่งชุดทหารเมย์ทรอนลงเลยสิ…”

“ ….. ”

“ …..”

 

 

            รถม้าเริ่มชะลอความเร็วลงเรื่อยๆ มันกำลังจะเข้าจอด ณ ค่ายทหาร แห่ง นคร เมย์ทรอน ค่ายทหารที่ใหญ่ที่สุดและเป็นค่ายทหารหลักของเผ่าพันธุ์มนุษย์ นายทหารเมย์ทรอนคันอื่นๆเริ่มลงจากรถโดยสาร พวกเขาเริ่มการขนย้ายอาวุธที่สั่งซื้อจากชาวอาเรีย นำเข้าทางท่าเรือดรีต้าแห่งเมืองท่าเรรี่ ก่อนที่จะขนย้ายเข้าสู่เมืองหลวงเมย์ทรอนเพื่อพัฒนาและดัดแปลงอาวุธนั้นให้ทรงพลังมากยิ่งขึ้น โดยช่างฝีมืออันเลื่องชื่อของชาวเมย์ทรอน เตรียมไว้สำหรับการศึกในทางเหนือ

 

 

“ เร็วเข้า…พวกกบฏมันไม่รอให้พวกเจ้าไปรบหรอกนะ…ขืนชักช้ามีหวังเสีย วินเทอร์สเพล ไปอีก

เมืองที่ภักดีอย่างนั้น…ไม่มีทางเข้าร่วมกับกบฏแน่นอน ”

 

หืม..!?

 

“ นี่พวกเจ้า…กำลังจะไปไหน..!!? ”

 

 

            นายกองที่กำลังออกคำสั่งเหลือบไปเห็นร่างของนายทหารสามนายที่กำลังเดินแยกออกจากกลุ่มขนย้ายอาวุธ นายกองขมวดคิ้วมองไปยังร่างทั้งสามอย่างประหลาดใจ นายทหารนายหนึ่งร่างกายสูงใหญ่บึกบึนสมเป็นชายชาตรี เหมาะกับการทหารสุดๆ แต่ทำไมผมเผ้ายาวฟูรุงรังอย่างนั้นล่ะ… ส่วนอีกนายส่วนสูงดีร่างกายก็กำยำแข็งแรงใช้ได้แต่กลับยืนสามขาเหมือนค่ำไมเท้าอยู่อย่างงั้นหรือ คนสุดท้าย คนนี้ตัวเล็กร่างผอมบางสุดและดูปกติที่สุดแล้ว และนั้นมีอะไรติดอยู่ที่ก้นล่ะ.. นายกองเดินเข้าใกล้ๆเรื่อยๆจนฟานห์เจ้าเก่าต้องหันกลับไปรับหน้า พร้อมทั้งสกิดให้สหายทั้งสองหันหลังกลับมาพร้อมๆกัน

  

“ กระผม นายทหาร ฟานห์ แห่งกองกำลังรบพิเศษโซอัน ครับผม ”

 

          ฟานห์กล่าวรายงานตัวพร้อมชิดเท้าและยืนตัวตรง นายกองเลิกคิ้วจนรอยย่นบนหน้าผากเบียดขึ้นมากกว่าสามชั้น เขาไม่เคยได้ยินชื่อกองกำลังนี้มาก่อน จริงอยู่ที่ทางการประกาศเลิกทาส แต่ก็ยังไม่มีข่าวคราวกับการรับโซอันเข้าเป็นทหาร

 

“ พวกกระผมกำลังจะออกเดินทางไปยังวินเทอร์สเพลเพื่อร่วมกำลังสลายกลุ่มกบฏขอรับ ”ฟานห์กล่าวเสริมทันทีที่เห็นอาการของนายกอง

  

          หลังจากที่ได้ยินเช่นนั้นนายกองก็ปล่อยทั้งสามให้ไปเข้าร่วมกับขบวนเดินทางสู่วินเทอร์สเพล ทั้งสามจึงหลุดพ้นออกจากบริเวณนั้นและแอบเปลี่ยนเส้นทางเดินเนียนออกจากค่ายทหารได้ในที่สุด ก่อนที่ทั้งสามจะสลัดชุดเครื่องแบบทหารเมย์ทรอนออก และเดินหายเข้าไปในฝูงชนอีกเช่นเคย

 

  

 

 

 

 

 

  

 

            นัยน์ตาสีเขียวอ่อนค่อยๆเปิดขึ้น ภาพอันเรือนลางเริ่มคมชัด เอลฟ์สาวตื่นขึ้นบนเตียงไม้ที่มีผ้าหนานุ่มสีหน้าตาลปูรองพื้นไว้ ดวงตาเผยความอิดโรยของเธอนั้นมองไปรอบๆห้องที่มีลักษณะคล้ายกับรากไม้ขนาดใหญ่เลื้อยรวมเข้าด้วยกัน อีกทั้งผนังและเพดานรากไม้นั้นยังทอแสงประกายหลากสี เธอพยายามหันมองซ้ายขวาหรือก้มงายหน้าของเธอ แต่ดูเหมือนมีอะไรบางอย่างยึดไว้มิให้เธอขยับตัว แขนและขาก็เช่นกันเธอพยายามขยับหลายต่อหลายครั้งแต่ก็ไม่สำเร็จ อีกทั้งทุกครั้งที่เธอพยายามขยับตัว เธแก็จะรู้สึกมีอาการเจ็บปวดหน่วงๆตรงจุดนั้นขึ้นมา

 

“ อย่าพึ่งขยับตัวตอนนี้นะครับ..”  เสียงของชายหนุ่มดังขึ้นทำให้เธอหยุดพยายามที่จะเคลื่อนไหว ว่าแล้วร่างเจ้าของเสียงก็ปรากฏตรงหน้าเอลฟ์สาว เอลฟ์หนุ่มเรือนผมสีบลอนด์ทองพร้อมดวงตาสีไพลินเดินเข้ามาพร้อมกับขวดใสทรงกลมที่บรรจุ ของเหลวสีเขียวสดไว้ในมือ

 

“ คุณกำลังบาดเจ็บสาหัสอยู่ อาการเอาเรื่องเหมือนกันนะ ผมว่าคุณนอนต่ออีกหน่อยเถอะ..”

 

          ร่างสูงโปร่งผิวกายขาวมีประกายมนตราแทรกซึมระยิบระยับ วางขวดยาสีเขียวสดไว้บนชั้นใกล้ๆมือ ก่อนที่จะลากนิ้วเรียวยาวภายใต้ถุงมือสีรุ้งที่มีลวดลายแปลกตาผ่านใบหน้าของเอลฟ์สาวไปอย่างนุ่มนวล

 

“ ทีนี้…ก็ต้องดูอาการสหายตัวโตของข้าล่ะ…”

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา