Creepypasta Family The Broken Myth

9.5

เขียนโดย Leragan

วันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2558 เวลา 20.43 น.

  24 chapter
  9 วิจารณ์
  41.97K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561 14.07 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

23) แผนโต้กลับ (The Plan II)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

          ความแปลกประหลาดปรากฏขึ้นมาในเมืองที่เคยคับคั่ง เมืองนี้แม้จะอยู่ห่างจากเมืองข้างเคียงเกือบ 20 ไมล์ แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นผลเสียแต่อย่างใด เพราะเมืองแห่งนี้มีความเจริญและมีขนาดใหญ่พอสมควร แต่ด้วยเหตุผลบางประการ จึงทำให้ประชากรเกือบทั้งหมดภายในเมืองได้หายไปแทบจะทันที นำไปสู่ความเงียบสะงัดและวังเวงในตัวเมืองและพื้นถนน คล้ายกับเป็นการจัดสถานที่ครั้งใหญ่สำหรับกระทำการบางอย่าง

          เด็กสาวสวมชุดฟอร์มนักเรียนแขนยาวสีน้ำเงินแกมม่วง ซึ่งสวมทับเสื้อเชิ้ร์ตสีขาวโดยมีโบว์สีน้ำเงินลายทางอยู่ตรงกลางปกเสื้อ กระโปรงของเด็กสาวสั้นจนเผยให้เห็นต้นขาสีขาวเนียนได้บ้างบางส่วน และรองเท้าผ้าใบหนังสีน้ำตาลที่ถูกสวมทับถุงเท้าสีเทายาวคลุมได้เพียงตาตุ่ม

          เด็กสาวมีใบหน้ารูปไข่ พร้อมกับทรงผมบ๊อบสั้นสีชมพูสด ปลายผมงุ้มเข้าหาต้นคอ ดวงตาสีม่วงเข้มดั่งสีดอกอัญชันสดสวยในยามเบ่งบาน

          เธอสวมกระเป๋าสะพายสีขาวเรียบไร้ลวดลายหรือสีสัน พร้อมบรรจุหนังสือและเอกสารเพียงเล็กน้อยไว้ภายใน เธอก้าวเดินตามทางและฮัมเพลงไปอย่างมีความสุข แม้สภาพเมืองในตอนนี้จะเป็นดั่งเมืองร้าง แต่เธอกลับเลือกจะไม่สนใจ เธอเลือกที่จะคิดในแง่ดีว่ามันต้องมีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้ชาวเมืองยังไม่ตื่นหรือปิดบ้าน นั่นทำให้เธอเดินไปโรงเรียนตามปกติเฉกเช่นวันธรรมดาวันหนึ่ง

          เธอใช้เวลาราวครึ่งชั่วโมง จนได้มาถึงหน้าโรงเรียน เธอหยุดฮัมเพลงทันทีเมื่อรู้ว่าประตูโรงเรียนยังคงปิดล็อคไว้อยู่ ทั้งยังมีโซ่ใหญ่พันธนาการไว้อีกด้วย หญิงสาวมองไปที่ป้อมยามภายในตัวโรงเรียนก็ไม่พบใครอยู่ภายในเลย นั่นยิ่งทำให้เธอรู้สึกประหลาดใจ เพราะไม่ว่าจะเป็นวันใดก็ตามจะต้องมียามใจดีท่านหนึ่งนั่งอ่านหนังสืออยู่ในป้อม ถึงแม้ว่าเขาจะพักร้อนก็ยังมียามคนอื่นสำรองอยู่อีกถึง 2 คน เธอยอมรับทันทีว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันประหลาดเกินไป

          "เฮ้อ! ..รู้งี้น่าจะนั่งเล่นคอมอยู่บ้านเหมือนเดิมดีกว่า" หญิงสาวผมชมพู เธอมีนามว่า 'โอริซิส ริกะ' ในตอนนี้เธอที่ไม่มีธุระกับที่นี่อีกแล้ว จึงหันหลังเตรียมเดินกลับ แต่แล้วเสียงฝีเท้าของใครบางคนกำลังวิ่งมาทางด้านหลัง เธอประหลาดใจ จึงรีบหันขวับไปทันที เธอได้พบกับเด็กสาวอีกคนหนึ่งที่ไม่ได้ใส่ชุดฟอร์มนักเรียนเดียวกันกับเธอ

          เด็กสาวอีกคนวิ่งมาด้วยความรีบร้อน ก่อนจะเริ่มชะลอลงที่หน้าประตูโรงเรียนเพื่อหอบหายใจอยู่พักหนึ่ง แล้วจึงเงยกลับขึ้นมามองริกะที่หันหลังกลับมามอง เธอหันขวับเพ่งมองประตูโรงเรียน ก่อนจะหันกลับมาเอ่ยถามริกะ

          "โรงเรียนปิดเหรอคะ" หญิงสาวผู้มีเรือนผมทรงโพนี่เทลสีน้ำตาล ยาวถึงกลางหลัง ดวงตาสีเขียวส่องประกายแลดูทรงอำนาจและสวยงามยิ่งกว่าดวงตาของเจนในร่างมนุษย์เสียอีก

          "อืม..น่าจะนะ" หญิงสาวผมชมพูตอบกลับมาด้วยเสียงเรียบ "เธอเรียนอยู่ที่นี่เหรอ?"

          "ใช่ค่ะ" สาวผมน้ำตาล เธอสวมเสื้อฟอร์มที่ดูแปลกตาริกะมาก เธอไม่เคยเห็นเสื้อฟอร์มของโรงเรียนใดที่ให้นักเรียนใส่เสื้อถึงสามชั้น

          เสื้อชั้นนอกสุดคือเสื้อฟอร์มสีกากี ลึกเข้าไปเป็นเสื้อกั๊กสีน้ำตาล ก่อนที่ชั้นสุดท้ายที่มองเห็นได้จะเป็นเสื้อเชิ้ร์ตสีขาว บริเวณเสื้อฟอร์มนั้นทำการติดกระดุมทั้งหมด ยกเว้นสองเม็ดบนสุด โบว์สีน้ำเงินลายทางถูกแทนที่ด้วยริบบ้อนสีแดง อีกทั้งเธอยังใส่กระโปรงสีน้ำเงินเข้มที่สั้นกว่าริกะอยู่หลายเซนติเมตรหากมองด้วยสายตา เธอสวมถุงน่องสีดำยาวจนขึ้นมาถึงกลางต้นขา พร้อมกับรองเท้านักเรียนหญิงสีขาวสลับชมพูที่ดูหวานแหวว

          "งั้นเหรอ..เธอเรียนอยู่ปีไหนล่ะ" ริกะถามต่อไป

          "ปี 2 ค่ะ" เด็กสาวตอบอย่างสุภาพ

          "อ้าว..งั้นพวกเราก็อยู่ปีเดียวกันน่ะสิะ" ริกะพูดด้วยใบหน้าประหลาดใจ "แต่ชั้นไม่เคยเห็นเธอเลยนะ..ตั้งครึ่งเทอมแหน่ะ"

          "อ๋อ..พอดีชั้นไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนกับประเทศญี่ปุ่นน่ะค่ะ ตั้งแต่ปีก่อนแล้ว.." เธอตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มหวาน "พึ่งจะบินกลับมาถึงเมืองนี้เมื่อคืนเองค่ะ.."

          "อ่อ..นักเรียนแลกเปลี่ยนนี่เอง ถึงว่า..ทำไมไม่เคยเห็นเธอเลย" ริกะหันหลังกลับไป เธอเตรียมจะเดินกลับบ้านตามที่หวัง จึงยกมือขึ้นมาโบกลา "ยินดีที่ได้รู้จักนะ..ชั้นไปล่ะ"

          "คุณจะกลับบ้านแล้วเหรอคะ" หญิงผมน้ำตาลเอ่ยถามริกะ หญิงสาวผมชมพูหันกลับมาพยักหน้า "เอ่อ..คุณกลับทางนั้นเหรอคะ"

          หญิงสาวผมน้ำตาลถามต่อ เธอจึงพยักหย้าตอบกลับเช่นเดิม ทันใดนั้นหญิงสาวผมหางม้าแสดงท่าทีดีใจขึ้นมา เธอย่ำก้าวเข้ามาหาริกะอย่างรวดเร็ว จึงได้รู้ว่าเธอและริกะมีความสูงไร่เรี่ยกัน สาวผมโพนี่เทลล์หันมามองริกะ แล้วยิ้มหวานให้กับเธอ

          "พอดีชั้นก็จะไปหาญาติทางนั้นพอดี..งั้นขอติดรถไปด้วยนะ" เธอพูดด้วยเสียงอ่อนหวาน ริกะก็ยิ้มตอบกลับ แล้วทั้งสองจึงเดินเอื่อยไปตามทางเท้า ก่อนที่ริกะจะนึกบางอย่างขึ้นได้

          "ไหนๆก็ร่วมทางกันแล้ว มาแนะนำตัวกันหน่อยดีกว่า" ริกะพูดด้วยเสียงหวาน "ชั้นชื่อโอริซิส ริกะ อยู่ห้อง 2 จ้ะ"

          ริกะพูดจบ เธอจึงยิ้มร่า ความง่วงได้หายไปหลังจากการสนทนาที่เกิดขึ้นมา หญิงสาวผมชมพูจึงเอ่ยถามหญิงสาวผมน้ำตาล ที่เมื่อสังเกตแล้วจะพบกับโบว์สีขาวอันใหญ่มัดบริเวณจุกผมหางม้าไว้ ทวีความน่ารักของสาวหางม้าไปอีก

          "แล้วเธอ..ชื่ออะไรล่ะ น้องหางม้า คิกคิก" ริกะพูดติดตลก

          "อย่าเรียกเค้าว่า น้องหางม้า นะ.." หญิงสาวหางม้า หันศีรษะอย่างเร็ว ทำให้ผมหางม้าพุ่งเข้าฟาดใส่ริกะอย่างนุ่มนวล

          "ขอโทษจ้า..ขอโทษจ้า" ริกะยิ้มขำ พร้อมเอาแขนขึ้นมาป้องกัน หญิงสาวผมน้ำตาลหยุดฝีเท้าลง พร้อมกอดอก แสดงท่าทีแง่งอน

          ริกะที่เห็นท่าทีแบบนี้ก็นึกถึงเพื่อนของเธอคนหนึ่ง นั่นคือ แคร์ล่า เพื่อนสาวผู้มีนิสัยชอบพูดเสียงเบา ขี้อาย งอแงและงอนเก่ง ถึงแม้เธอจะอายุพอๆกับริกะ แต่พอเธองอนแล้ว ไม่ริกะก็ต้องเป็นชอว์นที่จะต้องคอยง้อด้วยการลูบศีรษะให้เคลิ้มตลอด ริกะที่มองเห็นเพื่อนสาวคนนี้งอนก็อมยิ้ม แล้วเลื่อนมือขึ้นไปลูบศีรษะของเธอ

          "นะ..นะ นี่ริกะ เธอ.." หญิงสาวประหลาดใจกับการกระทำของเพื่อนใหม่ แต่การลูบที่นุ่มนวลของริกะจึงทำให้สาวที่แง่งอน เริ่มเคลิ้มตาม เธอเริ่มลดตัวมานั่งยองให้ริกะลูบหัวต่อไป

          "เคลิ้มล่ะสิ..แต่หมดโควต้าแล้วจ้ะ เสียใจด้วย" ริกะชักมือกลับมา หญิงสาวหางม้าเงยหน้ามองริกะแทบจะทันที เธอทำแก้มป่อง

          "ใจร้าย.." ริกะได้ยินก็ยิ้มขำ ก่อนที่ผู้พูดจะเริ่มขำตามเธอ จนทุกอย่างกลับมาในสภาพปกติ ทั้งสองจึงเริ่มย่างเดินอีกครั้ง

          "ว่าแต่เธอชื่ออะไรล่ะ" ริกะถามอีกครั้ง หญิงสาวผมม้านิ่งเงียบไปพักหนึ่ง แล้วจึงหันใบหน้ายิ้มแย้มตอบเพื่อนใหม่

          "ชั้นชื่อ โมนิก้า จ้ะ..โมนิก้า ดรีมเมอร์ อยู่ห้อง 3" ริกะที่ได้ยินจึงยิ้มกว้าง แล้วทักทายเพื่อนใหม่อีกครั้ง

          "สวัสดีจ้ะ..โมนิก้าจัง" เธอกล่าวทักทายเพื่อนสาว

          "เช่นกันจ้ะ..ริกะ" โมนิก้าพูดเสร็จ จึงยิ้มให้เพื่อนใหม่ เช่นเดียวกันกับริกะ หลังจากนั้นสาวผมชมพูจึงเริ่มเปิดประเด็นคุยกัน
          "ไปญี่ปุ่นมา..คงจะลำบากเรื่องภาษาสินะ" ริกะเอ่ย โมนิก้าส่ายหน้าไปมา พร้อมกับรอยยิ้มที่แต้มอยู่บนใบหน้า
          "ไม่หรอกจ้ะ..เพราะชั้นก็เป็นลูกครึ่งญี่ปุ่นเหมือนกัน" ริกะหันไปมองเธอด้วยความประหลาดใจ แต่หากสังเกตดีๆ จึงพบว่าเธอก็มีเค้าโครงหน้าของหญิงญี่ปุ่นเช่นกัน

          "ว้าว! จริงด้วย.." ริกะหันไปสังเกตหน้าเธออย่างละเอียด "นึกว่าจะมีแค่ชั้นซะอีกที่เป็นลูกครึ่งญี่ปุ่นน่ะ"

          "ว่าแต่ริกะเป็นลูกครึ่งอะไรเหรอ..อย่างของฉันมีพ่อเป็นคนในเมืองนี้ ส่วนแม่ก็เป็นคนญี่ปุ่นน่ะจ้ะ" โมนิก้าเอ่ยถาม พลางนำเสนอตนเอง

          "คืออันนี้ไม่เคยบอกใครเลย..มันค่อนข้างน่าอายนิดๆ ชั้นเป็นลูกครึ่งญี่ปุ่นกับอิยิปต์น่ะ" เธอหน้าแดง มือถูกเลื่อนมือขึ้นมาลูบศีรษะแก้เขิน ส่วนคู่สนทนาเบิกตากว้างแทบไม่เชื่อสายตา

          "จริงเหรอ!!! ริกะเป็นลูกครึ่งอิยิปต์เหรอ..ทำไมผิวขาวเนียนจัง ขาวกว่าชั้นอีก" โมนิก้าประหลาดใจจนเกิดอาการตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด

          "คนอิยิปต์ก็มีคนผิวขาวสวยอยู่นะ!" ริกะรีบตอบกลับ แล้วทั้งคู่ก็ได้คุยสัพเพเหระกัน เพิ่มความสนิทสนทกันมากขึ้น แม้จะพึ่งรู้จักกันได้เพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น

          ทั้งคู่ได้เดินคุยกันอย่างสนุกสนานมาได้ระยะหนึ่ง หญิงสาวผมม้าได้หันมาสบตากับริกะ ริกะได้ยิ้มหวานให้กับเธอ แต่นั่นกลับทำให้สีหน้าของโมนิก้ากลับประหลาดใจ แล้วเธอก็ได้ก้มหน้าลงด้วยใบหน้าเศร้าหมอง

          โมนิก้าก็ได้เงียบไปเสียอย่านั้น ทำให้ริกะต้องหันกลับมาสังเกตเพื่อนสาวคนใหม่ เธอไม่เข้าใจความรู้สึกของโมนิก้าแม้แต่น้อย แต่นั่นกลับทำให้เธออยากรู้เรื่องที่อยู่ภายในใจของเธอ และอยากที่จะช่วยเหลือเพื่อนคนใหม่คนนี้จากปัญหาที่รุมเร้าเธอ แต่ก่อนที่ริกะจะได้เอ่ยปากพูดอะไร โมนิก้ากลับเปิดประเด็นขึ้นมาก่อน

          "ขอโทษที่จู่ๆก็เงียบไปนะ..ริกะจัง" เธอเงยหน้ากลับขึ้นมาสบตากับริกะ เธอยิ้มแห้งกลบเกลื่อน แต่มันช่างมองออกได้อย่างง่ายดายว่ามีบางอย่างกำลังรบกวนใจเธออยู่

          "มีอะไรก็เล่าให้ชั้นฟังได้นะ..โมนิก้า" ริกะเอ่ยด้วยความเป็นห่วง แม้จะพึ่งพบกัน แต่ในเมื่อเป็นเพื่อนกันแล้ว มีอะไรก็คุยกันได้ "แต่ถ้าไม่อยากเล่าก็ไม่เป็นไรนะ.."

          "ไม่หรอกจ้ะ มันไม่ใช่เรื่องที่เป็นความลับอะไรหรอก" เธอฝืนพูดด้วยรอยยิ้มแห้ง "เมื่อกี้..ตอนที่เธอยิ้มน่ะ"

          "มันทำให้ชั้นนึกถึงเพื่อนที่ญี่ปุ่นคนหนึ่ง เธอคนนั้นมีหลายๆอย่างเหมือนกับริกะจัง ทั้งสีผม ความสูง ความร่าเริง รวมไปถึง..รอยยิ้มที่สดใสบริสุทธิ์นั่นด้วย" ริกะไม่เอ่ยสิ่งใดตามมา เธอเพียงรอฟังคำพูดของโมนิก้าอย่างตั้งใจต่อไป

          "เด็กคนนั้นชื่อ ซาโยริ.." โมนิก้าเอ่ยด้วยเสียงเศร้าสร้อย ใบหน้าของเธอหม่นหมองลงทันทีเมื่อเอ่ยชื่อของเพื่อนสาวชาวญี่ปุ่นคนนี้ "ชั้นไปทำสิ่งไม่ดีมากๆกับเธอไว้..หลังจากนั้นชั้นก็รู้สึกผิดมาก ชั้นอยากจะไปขอโทษเธอ แต่มันก็สายไปแล้ว"

          "ชั้นเสียใจด้วยนะ" ริกะเอ่ยด้วยเสียงเรียบ ส่วนสาวผมม้าทำได้เพียงพยักหน้าตอบกลับ

          "แต่ชั้นคิดว่า..สักวันเธอคนนั้นต้องเข้าใจเธอนะ.." โมนิก้าเงยหน้าขึ้นมามองริกะทันที "คนเราน่ะ..มักต้องการเวลาในการทำความเข้าใจกัน"

          "อืม..ก็น่าจะใช่นะ" โมนิก้ายิ้มแห้ง แล้วพยักหน้าตอบ ริกะคิดว่าสักวันโมนิก้าจะเข้าใจในสิ่งที่เธอสื่อออกมา ริกะที่ได้ทำการปลอบโยนโมนิก้าสำเร็จ เธอหันกลับไปมองทางเท้า และได้พบเข้ากับชายที่เธอคุ้นเคย

          "ลาอ้อน!!!" ริกะเรียกแฟนหนุ่มของเธอ เขาที่เดินมาตามทางเช่นเดียวกัน ได้ลดฮู้ดลง แล้วมองมาที่ริกะ เขายกมือขึ้นสูงเล็กน้อย เพื่อกล่าวทักทาย

          "นั่นแฟนชั้นเอง..ละ อ้าว!" เมื่อเธอหันกลับมา เพื่อนใหม่ก็ไม่อยู่เสียแล้ว เธอจึงหันไปมองรอบตัว กลับไม่พบร่องรอยการมีตัวตนของเธอเหลืออยู่เลย

          "ริกะ..มองหาอะไรอยู่" ลาอ้อนเดินมาจนถึงตัวริกะด้วยเวลาเพียงไม่กี่วินาที จากการใช้พลังของเขา

          "เพื่อนใหม่ของชั้นน่ะ..ที่ผมสีน้ำตาล ตัวสูงพอๆกับชั้นอ่ะ" เธอเอ่ยออกมา แต่ลาอ้อนกลับแสดงสีหน้าฉงน

          "เมื่อกี้เธอเดินมาคนเดียวนะ.." ริกะที่ได้ยินถึงกับช็อคในทันที

          "อย่ามาแกล้งกันนะ..โมนิก้ากับชั้นคุยกันมาตลอดเลยจริงๆ" ริกะพูดด้วยเสียงดัง เขาจึงมองริกะที่ตอนนี้ใบหน้าของเธอกำลังตื่นกลัวอยู่ในระดับหนึ่ง

          "สาบานได้เลย..ว่าชั้นเห็นแค่เธอคนเดียว" ลาอ้อนยังยืนยันคำเดียว ริกะมองหน้าลาอ้อนด้วยความกลัว ก่อนจะใช้กำปั้นทุบลาอ้อนเบาๆ ส่วนร่างกายเธอนั้นสั่นไปหมดแล้ว

          "คนบ้าๆ.." ริกะทุบลาอ้อนพักหนึ่ง ชายหนุ่มจึงอ้าแขนสวมกอดเธออย่างอ่อนโยน เพื่อปลอบขวัญเธอ

          'โมนิก้าเหรอ..ยัยนี่พูดอะไรน่ะ เธอไม่รู้เหรอ..ในเมืองของเรา โมนิก้าเป็นชื่อเรียกวิญญาณหญิงสาวในเสื้อผ้าอาภรณ์สีขาวที่โคตรเฮี้ยน การเอ่ยนามของยัยผีนั่นถึงจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่คนในเมืองบอกกันว่าเป็นชื่อต้องสาป เลยไม่มีคนที่มีชื่อ โมนิก้า อยู่เลย' ลาอ้อนคิดภายในใจ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าจะคืนของให้กับริกะ เขาจึงเลื่อนมือออกจากการกอด แล้วล้วงไปในกระเป๋ากางเกง

          "นี่..ริกะ" เขายื่นสมุดสีชมพูเล่มหนึ่งมาให้เธอ "ขอบคุณมากนะ.."

          "..." เธอไม่พูดอะไรตอบกลับมา ลาอ้อนจึงรู้ได้ว่าเธอยังคงกลัวอยู่เป็นแน่

          "โธ่! ริกะ" ลาอ้อนเก็บหนังสือกลับที่เดิม ก่อนจะใช้มือทั้งสองข้างของเขาจับใบหน้าของเธอให้เงยขึ้นมามองหน้าเขา เขาจึงได้รู้ว่าเธอน้ำตาคลอเบ้าอยู่

          "อย่าร้องไห้สิ..ริกะ ไม่ว่าเธอจะเจออะไรมา เธอไม่ต้องกลัว..เธอไม่ต้องร้องไห้ เพราะตอนนี้ชั้นกำลังยืนอยู่เคียงข้างเธอ ชั้นจะคอยปกป้องเธอจากทุกสิ่งที่จะทำอันตรายเธอ และจะปัดเป่าทุกอย่างที่ทำให้เธอกลัวออกไปเอง" ลาอ้อนพูดจบ เขาเสยผมของหญิงสาวขึ้น และนำริมฝีปากของเขาบรรจงจูบไปที่หน้าผากของเธออย่างอ่อนโยน "ฉะนั้นอย่าร้องไห้นะ..ที่รัก"

          "ไม่ได้ร้องสักหน่อย.." เธอเลื่อนมือขึ้นมาเช็ดน้ำตาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะยืนกอดอก หันขวับไปอีกทาง พร้อมเบ้ปาก ลาอ้อนโน้มตัวกลับมายืนตรง ใบหน้าของเขาปรากฏรอยยิ้มบางๆ "อีกอย่างชั้นไม่ได้กลัวเสียหน่อย"

          "ไม่ยอมรับความจริงเหรอ..ทำตัวเป็นเด็กไปได้" ลาอ้อนเลื่อนมือขึ้นมาขยี้ผมของริกะเล่นอย่างมันส์มือ ด้วยความสูงที่มีมากกว่าถึง 25 เซนติเมตร ทำให้การลูบหัวสาวน้อยที่มีอายุไล่เลี่ยกันนั้นไม่ใช่เรื่องยากลำบากเสียเท่าไหร่

          "อย่าเล่นหัวเค้าสิ.." ริกะเริ่มกลับมาอยู่ในสถานะแฟนสาวผู้แง่งงอนอีกครั้ง

          "ขอโทษน้าา..เค้าเพลินไปหน่อย" ลาอ้อนจึงลดมือลงไปอยู่ข้างลำตัว ส่วนมืออีกข้างได้ล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง และนำสมุดสีชมพูขึ้นมาอีกครั้ง

          "ขอบคุณที่ให้ยืมนะ" ลาอ้อนคืนสมุดเล่มนั้นกับเจ้าของ เมื่อริกะได้รับจึงนำไปใส่ในกระเป๋าที่อยู่ภายในเสื้อฟอร์มนักเรียน

          "ไม่เป็นไรหรอก..ก็เราเป็นแฟนกันนิ" ริกะตอบมาด้วยเสียงอ่อนหวาน ลาอ้อนแสดงสีหน้าเรียบนิ่ง แต่แก้มของเขาก็มีแดงอยู่บ้างเล็กน้อย "ว่าแต่นายเอาสมุดของชั้นไปทำอะไรอ่ะ?"

          "เดี๋ยวชั้นเล่าให้ฟังก็แล้วกัน..แต่เราคงต้องเดินไปคุยไปล่ะนะ" ลาอ้อนกล่าว "ทางมิสเตอร์ครีปปี้พาสต้า เขาเรียกประชุมน่ะ"

          "พวกเราด้วยงั้นเหรอ?" ลาอ้อนพยักหน้าตอบกลับคำถามของริกะ พวกเขาทั้งสองจึงเริ่มเดินกันไปตามทางเท้า พร้อมกับเริ่มพูดคุยกันต่อ

          "ชั้นพึ่งรู้นะว่าสมุดของเธอจะสร้างอะไรก็ได้ตามที่คนวาดคิดน่ะ" ลาอ้อนเอ่ย "นึกว่าจะมีข้อจำกัดอะไรเสียอีก"

          "ไม่มีหรอก..คนวาดคิดอะไรหรือเขียนอะไรลงไป มันจะทำให้สิ่งนั้นเป็นจริงในแบบที่คนวาดต้องการ" ริกะอธิบาย ลาอ้อนจึงพยักหน้าตาม

          "ตกลงแล้วนายเอาสมุดของชั้นไปทำอะไรกันแน่.." ริกะหันมามองแฟนหนุ่มด้วยความฉงนสงสัย

          "ชั้นเอาสมุดเธอไปใช้หาคำตอบจากคำถามมากมายที่ค้างคาอยู่ในใจชั้นมานานแล้วน่ะ" ชายหนุ่มตอบแฟนสาว มือทั้งสองของเขาเลื่อนไปล้วงกระเป๋าของเสื้อกันหนาว ฮู้ดได้ถูกพลังของเขาควบคุมให้เลื่อนขึ้นมาปิดศีรษะ

          "คำถามนี้เกิดขึ้นหลังจากที่เจ้าเกรียนนั่นพูดกฏบ้ากฏบอของ Reality Bender ออกมา" ลาอ้อนเอ่ยต่อ แล้วจึงหันหน้าไปหาริกะ "มันเป็นเรื่องก่อนที่เราทั้งสองคนจะเจอกันน่ะ"

          "แล้วเธอสงสัย มันคืออะไรอ่ะ?" ริกะเอ่ยถามเพื่อไขข้อข้องใจ

          "เรื่องของ Reality Bender น่ะ" ลาอ้อนเอ่ยตอบ "ถึงชั้นจะเป็นหนึ่งใน Reality Bender แต่ก็รู้แค่ว่า Reality Bender เป็นพวกมนุษย์ที่มีพลังบิดเบือนความเป็นจริง นอกจากนั้นก็ไม่รู้อะไรอีกแล้ว"

          "อ่อ.." ริกะเอ่ย แสดงการตอบสนอง "แล้วเรื่องมันเป็นมายังไงล่ะ"

          "เอาเป็นว่าจะเล่าสั้นๆให้ฟังก็แล้วกัน" ลาอ้อนเอ่ย ก่อนจะถอนหายใจออกมา

          "ตอนชั้นเขียนคำถามเพื่อหาคำตอบ เจ้าสมุดนี่แทนที่จะให้คำตอบชั้น มันดันส่งชั้นไปหาคำตอบที่หอสมุดยักษ์สีขาว ที่อยู่สักที่หนึ่งในอวกาศ เพราะข้างนอกหน้าต่างมันมีแต่แกแล็กซี่เต็มไปหมด" ริกะแสดงสีหน้าประหลาดใจ ลาอ้อนจึงพยักหน้า "ถ้าไม่เห็นกับตาก็คงไม่เชื่อเหมือนกันนั่นแหละ..อันนั้นชั้นเข้าใจดี มันดู..."

          "มันไม่แปลกเหรอ.." ริกะเอ่ยถาม ด้วยความฉงนสงสัย

          "แปลก..โคตรแปลกเลยแหละ!!! หอสมุดบ้าอะไรอยู่ในอวกาศ..แถมยังใหญ่หยั่งกับปราสาทอีก!" ลาอ้อนพูดออกมาด้วยเสียงอันดัง "อันนี้ยังไม่ได้รวมถึงพวกคนที่ใช้ห้องสมุดกับบรรณารักษ์นะ..พวกนั้นมันเป็นตัวบ้าอะไรก็ไม่รู้! เหมือนรูปสองมิติที่หมุนวนรอบตัวเองไปมา เพื่อให้ตัวเองเป็นสามมิติอะไรประมาณนั้น"

          "..." ริกะไม่เอ่ยปากพูดสิ่งใด สายตาของเธอบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าเธอไม่เชื่อ ลาอ้อนได้ถอนหายใจ เพื่อผ่อนอารมณ์

          "เธอจะเชื่อหรือไม่เชื่อ..ชั้นไม่สนหรอก ชั้นแค่เล่าให้ฟังเท่านั้น" เพียงคำพูดนี้ของเขา ริกะจึงตระหนักได้ว่าลาอ้อนจะโกหกเธอไปทำไม เขาย่อมพูดความจริงอยู่แล้ว เพียงแต่ความจริงนั้น เธอจะรับได้หรือเปล่าเท่านั้นเอง

          "งั้นชั้นขอพูดต่อให้เสร็จๆไปเลยแล้วกันนะ" ลาอ้อนไม่รอให้เธอเอ่ยตอบ

          "ก็..ไม่มีอะไรหลังจากนั้นมาก เว้นแต่ที่ชั้นต้องมาวิ่งหาคำตอบ แค่หนังสือที่มีคำตอบที่ชั้นต้องการเล่มเดียว..ดันต้องมาให้ชั้นต้องมาเสียเวลาอ่านหนังสือเกือบร้อยเล่ม จนมาเจอหนังสือที่ต้องการเอาที่ชั้น 21 จากไม่รู้กี่ชั้น"

          "ส่วนไอเรื่องคำตอบของคำถามน่ะไม่ได้สำคัญอะไรนักหรอก เพราะสุดท้ายมันก็ได้แต่คำตอบงี่เง่ากลับมาอย่างกฏของ Reality Bender จะถูกร่างขึ้นมาจากผู้ให้กำเนิด Reality Bender ทั้งปวง" ลาอ้อนพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดอยู่ระดับหนึ่ง "ซึ่งไอคนๆนั้นก็ดันเป็นเจ้าฮู้ดเกรียน ลอสต์ ซีเคร็ตเสียได้"

          "เธอรู้มั้ยว่ามันร่างกฏไว้ว่าอะไร" ริกะส่ายหน้า ลาอ้อนจึงเอ่ยแถลงข้อสงสสัยด้วยท่าทางหงุดหงิด "อะไรที่เจ้าลอสต์บอกว่าเป็นกฏเป็นข้อห้าม..มันก็ต้องเป็นแบบนั้น ไม่มีใครขัดขืนได้ ยกเว้นเจ้าลอสต์คนเดียว"

          'สมกับเป็นคุณลอสต์จริงๆล่ะนะ' ริกยิ้มแห้ง ความเอาแต่ใจของชายคนนี้ทำให้เธออยากจะหัวเราะออกมา

          "ถ้ามันจบแค่นั้นก็ดีอยู่หรอก.." ลอสต์เอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังอีกครั้ง ทำเอาริกะต้องหันมองลาอ้อนด้วยสายตาจริงจังบ้าง "ก่อนที่ชั้นจะได้หาข้อมูลของเจ้าลอสต์นั่น..ผู้ชายแปลกๆ เดินเข้ามาในช่องชั้นหนังสือที่ชั้นอยู่"

          "อ้าว! มันไม่ได้มีแค่เจ้าตัวสองมิติอะไรนั่นเหรอ" ริกะตกใจกับสถานการณ์ที่ลาอ้อนเล่าให้ฟัง

          "ก็ใช่น่ะสิ! แล้วมันจะบังเอิญไปมั้ย..ที่เจ้านั่นเดินตรงมาที่ชั้นหนังสือนั้นแค่ชั้นเดียวน่ะ" ลาอ้อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงดุดัน "ถึงจะบังเอิญไป..ก็คงไม่บังเอิญต้องการเป็นหนังสือเล่มเดียวกันหรอกนะ เพราะเจ้านี่ไม่สนใจอะไร โผล่มา ปึ้บ!..เดินตรงดิ่งมาหาชั้นอย่างเดียว ปั้ป!"

          "ผู้ชายคนนั้นทำอะไรเธอหรือเปล่า?" ริกะเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง

          "ถ้าไม่นับการแย่งหนังสือชั้นไปด้วยการย้อนเวลาให้มันกลับไปอยู่ที่เดิม แล้วส่งชั้นกลับมาที่แฟลตก็ไม่มีอะไรแล้วแหละ" ลาอ้อนพูดติดตลก

          "แถมยังมีหน้ามาพูดทิ้งท้ายอีกว่า 'ครบเวลาการเยี่ยมชมแล้วครับ..คุณลาอ้อน ครั้งต่อไปที่เข้ามาก็อย่าลืมพกนาฬิกาทรายติดตัวมาด้วยนะครับ ส่วนเรื่องอื่นที่คุณสงสัย.ไว้ผมจะมาอธิบายในครั้งหน้านะครับ ผมจะรออยู่ที่ดาดฟ้าของหอสมุดนะครับ..หวังว่าคุณจะได้รับความรู้กลับไปหลังจากการมาเยี่ยมชมหอสมุดแห่งอุนด์นะครับ' แล้วก็วาร์ปชั้นกลับมาที่แฟลตเฉย! พอคิดถึงรอยยิ้มของเจ้านั่นแล้วรู้สึกหงุดหงิดชะมัด"

          "แล้วคนนั้น..." ริกะเพียงอยากจะถามลาอ้อนเกี่ยวกับชายคนนั้นว่าเขาเป็นใคร แต่ลาอ้อนกลับชิงพูดไปเสียก่อน

          "แปปนะ.." ทันใดนั้นลาอ้อนได้ยกมือขวาขึ้นมาเบื้องหน้าขนานกับพื้น แล้วจึงกวาดวาดอากาศธาตุเป็นวงกลมขนาดใหญ่ ก่อนที่เขาจะเลื่อนมือกลับมาแนบตัว

          วงกลมที่เกิดขึ้นบนพื้นอากาศได้ตั้งอยู่ห่างจากลาอ้อน 1 เมตรตลอดเวลา แม้ว่าตัวเขาจะเดินอยู่ก็ตาม แล้ววงกลมนั้นจึงได้เปล่งแสงสีขาว ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นแผ่นภาพขนาดใหญ่ที่มีรูปของบุรุษคนหนึ่งอยู่ตรงกลางรูป

          "เจ้านี่แหละ..คนที่ชั้นพูดถึง" ลาอ้อนชี้ไปที่ชายในภาพให้ริกะสังเกตมอง "มันเรียกตัวเองว่า Time Keeper"

          หญิงสาวมองไปยังรูปภาพดังกล่าว ที่กำลังปรับความละเอียดของภาพให้คมชัดยิ่งขึ้น เมื่อปรับจนเสร็จสมบูรณ์แล้ว ภาพที่แท้จริงจึงปรากฏให้เธอได้เห็น มันเป็นรูปของชายหนุ่มผู้เหมือนหลุดมาจากนิทานอาหรับราตรี เขาสวมชุดเดินทางผ่านทะเลทรายของชาวอาระเบียนที่เป็นสีดำสนิท ผ้าคลุมศีรษะถูกแทนที่ด้วยหมวกที่คลุมศีรษะเพียงบางส่วน ส่วนเสื้อผ้ายังคงเป็นเหมือนเดิมเพียงแต่มีสีดำสนิท รอบคอเสื้อมีสร้อยคอเงินแวววาวประดับอยู่เป็นรูปร่างของสามเหลี่ยม บริเวณแผ่นหลังมีแท่งบางอย่างติดไว้ แต่คาดว่าน่าจะเป็นด้ามดาบหรือไม่ก็กระบองเป็นแน่ แต่นอกจากการแต่งตัวที่เป็นเอกลักษณ์แล้ว เขายังมีโครงหน้าที่หล่อเหลาอย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งใบหน้ารูปไข่ที่แลดูนุ่มเนียน เยาว์วัยไร้ริ้วรอย คางที่โค้งแหลมพอประมาณ จมูกที่โด่งและตั้งเป็นสัน ขอบตาที่คมกริบและงดงาม ม่านตาสองสีและเปลือกตาสองชั้นเพิ่มความโดดเด่นให้กับชายผู้นี้ อีกทั้งหากสังเกตดีๆ จะพบว่าที่ม่านตานั้นมีเข็มนาฬิกาและเลขบอกเวลาซ่อนอยู่ทั้งสองข้าง ผมเผ้าขนตา และขนคิ้วมีสีดำสดแลดูเงางามและโคตรคูล แม้ในรูปชายหนุ่มปริศนาจะไม่ได้ยิ้มแย้ม แต่ริกะมั่นใจได้เลยว่าหากสตรีเพศคนใดได้มองใบหน้าของชายหนุ่มคนนี้ย่อมต้องหลงรักหรือใจเต้นแน่นอน เพราะเธอก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน!!!

          "..หล่อจัง" ริกะอุทานออกมาเบาๆ มบหน้าของแดงระเรื่อ แต่ลาอ้อนคงจะได้ยิน เขาทำการสลายรูปภาพนั้นทิ้งทันที ไม่ปล่อยให้หญิงสาวได้เชยชมต่อ ริกะไม่เข้าใจการกระทำของชายหนุ่ม เธอหันมองชายผมบลอนด์ที่ใบหน้ามองตรงอย่างตั้งมั่น แต่หากสังเกตต่อไปเรื่อยๆ จะพบว่ามีน้ำตาสายเล็กไหลออกมาจากหางตา

          "ขอโทษนะที่ชั้นมันไม่หล่อไม่เท่เหมือนเจ้านั่น" ลาอ้อนพูดด้วยเสียงเรียบนิ่ง แล้วจึงสะอื้นเล็กๆ

          "ตัวเอง!!!" ริกะพูดด้วยเสียงดัง เรียกสติลาอ้อน "เค้าแค่ชมว่าเขาหล่อเฉยๆ ไม่ได้จะอะไร"

          "เค้ารักแค่ตะเองคนเดียวเท่านั้นแหละ.." ริกะตอบด้วยเสียงหวาน ลาอ้อนหันมามองหญิงสาวทันที ก่อนจะค่อยๆหันกลับไปดังเดิม เพื่อปิดบังใบหน้าเขินอายของเขา

          "พิสูจน์สิ.." ลาอ้อนพูดด้วยเสียงเบา ทำให้ริกะหันมองชายหนุ่ม ชายหนุ่มจึงพูดอีกครั้งหนึ่ง "พิสูจน์สิว่าเธอรักชั้นคนเดียวน่ะ.."

          "เพื่อพิสูจน์ความรักของเราแล้ว..จะอะไรชั้นก็ทำได้หมดนั่นแหละ" ริกะเอ่ยออกมา

          "งั้นเรามาพิสูจน์ด้วยการ.." ลาอ้อนหยุดพูดไปชั่วขณะ "รวมร่างกัน"

          หญิงสาวหันมองสบตากับแฟนหนุ่มอยู่ชั่วขณะ แต่เมื่อเธอตระหนักนึกขึ้นได้ ใบหน้าของเธอแดงระเรื่อทันใด

          "เจ้าบ้า! เจ้าคนลามก!" ริกะพูดด้วยเสียงอันดัง ต่อว่าชายหนุ่มด้วยความเขินอาย

          "ลามกยังไง.." ลาอ้อนถามด้วยหน้าเรียบนิ่ง "ชั้นแค่อยากรวมร่างกับเธอแบบฟิวชั่นอ่ะ..บางทีมันอาจจะเจ๋งก็ได้นะ"

          "เจ๋งบ้าอะไร..เจ๊งสิ!" ริกะเอ่ยด้วยท่าทางเขินอาย "อารมณ์ไหนของเธอเนี่ย.."

          "พูดซะชวนคิดลึกเชียว" ริกะพูดกับตัวเองเบาๆ แต่ลาอ้อนกลับได้ยินเสียได้

          "คิดลึกงั้นเหรอ.." ริกะหันไปมองลาอ้อนด้วยท่าทางตกใจ "อ่อ..เธอคงหมายถึงเรื่องบนเตียงสินะ แบบนั้นชั้นก็โอเคอยู่.."

          "ตลกแระ!!!" ริกะสะบัดหน้าไปอีกทาง ใบหน้าของเธอแดงระเรื่อซึ่งเกิดมาจากความเขินอายอย่างที่สุด

          "แต่ถึงอย่างนั้น..ชั้นก็ไม่คิดเลยนะว่าคนอย่างเธอจะคิดอะไรแบบนี้ด้วยน่ะ ลามกจัง" ลาอ้อนเอ่ยเสร็จก็ขำคิกคัก ริกะสะบัดกลับมามองแฟนหนุ่มด้วยใบหน้าแดงก่ำ เธอใช้ท่าทีโกรธปิดบังความอายของเธอเอาไว้

          "ชั้นไม่ได้ลามกนะยะ! แล้วชั้นก็ไม่ได้คึดถึงเรื่องบนเตียงด้วย!" เธอกำมือแน่น พร้อมกับพูดด้วยเสียงดังด้วยความเขินอาย "นายนั่นแหละพูดจากำกวมไม่รู้เรื่อง! พลอยทำคนอื่นเข้าใจผิด!"

          "เข้าใจอะไรผิดเหรอ.." เสียงของสตรีเพศนางหนึ่งดังขึ้นจากทางซ้ายของทั้งคู่ พวกเขาจึงหยุดฝีเท้าลง ส่วนหญิงสาวผมชมพูกลับสะดุ้งโหยง เมื่อได้ยินเสียงหญิงสาวผมดำผู้เป็นเพื่อนสนิท เธอใช้มือทั้งสองข้างปิดใบหน้าที่แดงระเรื่อ ก่อนจะลดตัวลงนั่งยองและก้มหน้าปิดบังใบหน้าจากทั้งสองฝ่าย

          "ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ..ซานดร้า" ลาอ้อนยกมือกล่าวทักทายเพื่อนสาวอีกคน โดยไม่สนใจท่าทีของแฟนสาว

          หญิงสาวผู้เป็นเพื่อนสนิทของริกะ..เธอชื่อ ฮีโรอิค อเล็กซานดร้า เธอบังเอิญเดินมาพบกับทั้งสองโดยบังเอิญ การแต่งตัวในแบบของฮิปสเตอร์โมเดิร์น สวมใส่เสื้อกล้ามสีเทามีลายการ์ตูนอยู่ตรงกลางเสื้อ และสวมแจ็กเก็ตหนังสีดำทับอีกครั้ง ส่วนล่างสวมใส่กางเกงยีนส์ผิวเรียบสีดำ และรองเท้าผ้าใบสีขาวสลับลายสีฟ้า อีกทั้งยังสวมหมวกไหมพรมขนาดพอดีศีรษะสีเทาอันเป็นจุดเด่นหนึ่งที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับสาวฮิปสเตอร์ เมื่อซานดร้ายกมือทักทายกลับเสร็จ เธอจึงถามลาอ้อนถึงท่าทางของแฟนสาวของเขา

           "ริกะเป็นอะไรไปเหรอ ลาอ้อน" เธอถามไปด้วยความสงสัย พร้อมกับมองการขดตัวแก้เขินของเด็กสาวผมชมพู

          "ชั้นมีความคิดว่าอยากรวมร่างกับริกะน่ะ..แต่ยัยนี่ดันคิดว่าการรวมร่างหมายถึงเรื่องบนเตียงน่ะ" ลาอ้อนพูดตอบ ใบหน้าดูเรียบนิ่งเย็นยะเยือก ส่วนแฟนสาวก็ยังคงมุดคดตัวอยู่เช่นเดิม

          "รวมร่างเหรอ..ปกติแล้วพูดถึงรวมร่างก็ต้องนึกถึงฟิวชั่นปกติ หรือไม่ก็เป็นพวกประกอบร่างในการ์ตูนหุ่นยนต์น่ะ" ซานดร้าอธิบายเสร็จ เธอจึงก้มตัวลงไปหาหญิงสาวที่เขินอาย แล้วเอ่ยปากต่อ "ถ้าลาอ้อนไม่บอก..ชั้นก็นึกไม่ถึงเหมือนกันนะเนี่ย"

          "ไม่นึกไม่ฝันมาก่อนเลยนะว่าริกะจังผู้น่ารักจะมีด้านมืดแบบนี้แฝงอยู่ด้วยนะเนี่ย คิกๆ" เธอขำคิกคักออกมาข้างหูเพื่อนสาว แล้วจึงเลื่อนหน้าเข้าไปใกล้หูของเพื่อนสาวอีกระยะหนึ่ง เพื่อเอ่ยกระซิบพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แต่กลับส่งสายตาอันมีเลศนัย "เอ็ดชิ(Ecchi).."

          หญิงสาวผมชมพูสะดุ้งโหยง เธอหันขวับมามองเพื่อนสาวที่กำลังก้มตัวนั่งยอง และส่งรอยยิ้มอันไม่น่าไว้วางใจให้กับเธอ ริกะทำแก้มป่อง กลั้นน้ำตาที่คลออยู่ไม่ให้ไหลลงอาบแก้ม แต่สุดท้ายก็ลงเอยไปตามระเบียบแบบแผน

          "แง! ซานดร้าโหดร้าย!" น้ำตาไหลพรั่งพรูลงมาอาบแก้มของเธออย่างรวดเร็ว เธอร้องงอแงออกมาด้วยเสียงอันดัง แล้วจึงกำมือเพื่อทุบเบาๆ ไปที่ร่างบางของเพื่อนสาวสุดแสบอยู่หลายที แต่เพื่อนสาวกลับไม่สะทกสะท้าน แต่ยังคงยิ้มหวานและแสดงสีหน้ามีความสุขให้ได้เห็นอย่างชัดเจน

          เมื่อผ่านไปราว 10 วินาที ริกะจึงเลิกทุบ ซานดร้าเลื่อนมือไปโอบจับฝ่ามือนุ่มนิ่มของเพื่อนสาว แล้วทั้งสองจึงลุกขึ้นตามปกติ

          "ว่าแต่พวกเธอรู้เรื่องที่คุณตัวฟ้าเรียกประชุมหรือยังล่ะ?" ซานดร้าเอ่ยถามเพื่อนทั้งสอง

          "พวกเรากำลังจะเดินไปน่ะ.." ลาอ้อนเอ่ยตอบแทน ในขณะที่แฟนสาวของเขากลับยืนนิ่งก้มหน้าไม่พูดสิ่งใด

          ลาอ้อนสังเกตเห็นท่าทางผิดแปลกของเธอ เขาจึงเลื่อนมือเข้าไปโอบร่างของริกะ แล้วจึงดึงร่างของเธอเข้าหาตัวอย่างรวดเร็ว ทำเอาหญิงสาวหน้าตาตื่น ก่อนจะสวมกอดเธอไว้ในอ้อมอก แล้วเขาจึงบรรจงจูบไปที่หน้าผากของหญิงสาวอีกครั้ง ทำเอาใบหน้าของริกะแดงขึ้นมาทันที เช่นเดียวกันกับใบหน้าของลาอ้อนที่แดงเล็กน้อย

          ซานดร้ามองทั้งสอง พลางอมยิ้ม แม้ความรู้สึกที่เธอมีต่อลาอ้อนยังคงอยู่ แต่ในเมื่อเพื่อนสนิทอย่าง ริกะ รักใคร่และมีความสุขคู่กับคนที่ตัวเองชอบ อีกทั้งลาอ้อนเองก็มีใจให้กับริกะด้วย ย่อมเป็นสิ่งที่ควรยินดีและมีความสุขไปด้วย เธอเลือกที่จะหลีกทางให้กับริกะ เพื่อให้ทั้งตัวเธอ ลาอ้อน และริกะต่างมีความสุขเฉกเช่นเดิมต่อไป

          "โอ๊ย! ปล่อยได้แล้ว คิกคิก" ริกะใช้สองมือดันร่างลาอ้อนออก พลางหัวเราะคิกคัก ลาอ้อนไม่ยอมแพ้หยอกเล่นกับหญิงสาวต่อไปอีกไม่กี่วินาที ก่อนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้

          ชายหนุ่มเลื่อนมือที่รัดร่างหญิงสาวออก ริกะเงยมองใบหน้าของแฟนหนุ่มด้วยความมึนงง ชายผมบลอนด์หันมองสาวฮิปสเตอร์

          "เธอจะต้องไปที่คฤหาสน์ด้วยหรือเปล่าน่ะ..ซานดร้า" ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง หญิงสาวพยักหน้าตอบอย่างไม่เสียเวลา

          "งั้นฝากริกะไว้ด้วยนะ" ลาอ้อนพูดต่อ "เดี๋ยวชั้นต้องไปพา Edge มาก่อน"

          "อ่อ..โอเคจ้า" แซนดร้าเลื่อนมือที่แสดงสัญลักษณ์โอเคขึ้นมา แล้วจึงหันมองไปที่ริกะ "ไปกันเถอะ"

          "ลาอ้อน.." ริกะเอ่ยทักลาอ้อน โดยชายหนุ่มยังคงยืนมองทั้งสองอยู่ เขาจึงแสดงท่าทางยื่นหน้ามารับฟัง "อ่ะ..นี่!"

          หญิงสาวโยนบางอย่างไปให้กับชายหนุ่ม เขาเอื้อมมือมารับอย่างว่องไว ก่อนจะมาดูว่ามันคือกล่องพลาสติกเล็กๆ เมื่อเขาเปิดออกจึงพบกับหูฟังบลูทูธ ชายหนุ่มหันกลับมามองหน้าแฟนสาว ขณะนี้ดวงตาของเธอลุกวาวส่องประกายวิบวับ ลาอ้อนยิ้มอ่อน แล้วจึงหยิบหูฟังชิ้นนี้ขึ้นมาเชื่อมกับสมาร์ทโฟนของเขา แล้วจึงทำการสวมไว้ที่หู

          "แต้งกิ้ว.." ชายหนุ่มกล่าวขอบคุณ ริกะยิ้มกว้างก่อนจะเริ่มเดินออกไป ลาอ้อนเห็นเช่นนั้นจึงหันหน้าไปอีกทาง เขากดสมาร์ทโฟนเพื่อเริ่มเพลิดเพลินไปกับเสียงเพลง และวิ่งออกไปจากตำแหน่งเดิม โดยไม่ทันสังเกตว่าในทิศทางตรงกันข้ามของทั้งสาม มีสายตาคู่หนึ่งกำลังจ้องมองพวกเขาอยู่

          "นี่สินะ..ความสุขของการมีเพื่อนที่เป็นคนจริงๆน่ะ" หญิงสาวดวงเนตรสีเขียว เอ่ยออกมาด้วยเสียงสลดใจ ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง ไม่นานนักน้ำตาก็ได้ก่อร่างสร้างตัวขึ้น แล้วจึงเลื่อนไหลลงมาอาบแก้ม "นี่คือความสุขที่เราต้องการจริงๆสินะ..ไม่ใช่ความสุขจากความรักของคนที่เรารัก แต่เราทำลายทุกอย่างเพื่อให้ดึงดันให้เขามารักเรา ทำลายทุกชีวิตที่อยู่เคียงข้างเค้า โดยทุกคนนั้นก็คือเพื่อนรักของเราทั้งหมด"

          "ไม่อยากทำร้ายใครอีกแล้ว..ไม่อยากทำให้ใครเจ็บอีกแล้ว ฮึกๆ ขอไม่ช่วงชิงอะไรจากใครอีกแล้ว อยากได้แค่ความรักที่แสนสุขจริง จากกลุ่มเพื่อนที่พร้อมจะหัวเราะไปด้วยกัน และคนที่รักเราโดยที่เราไม่ต้องไปบังคับใจเขา ขอเพียงเท่านั้น"

          "ตอนนี้น่ะยังไม่ถึงเวลานั้นหรอกนะ..โมนิก้า" เสียงของชายหนุ่มดังขึ้นมาจากข้างหลัง หญิงสาวปาดน้ำตาโดยไม่แม้จะหันไปหาต้นเสียง

          "แล้วเมื่อไหร่กันล่ะ..เมื่อไหร่ชั้นถึงจะได้พบกับช่วงเวลานั้น ท่านมหาจักรพรรดิ์แห่งเวลา" เธอพูดด้วยเสียงสั่นสะอื้น

          "อีกไม่นานหรอกนะ..อดใจรอไปก่อน" เจ้าของเสียงเดินออกมาจากเงามืดปรากฏรูปลักษณ์ของบุรุษหนุ่มรูปงามแบบเดียวกับที่ลาอ้อนแสดงให้ริกะได้เห็น เขาแบมือออกมา ปรากฏนาฬิกาทรายขึ้น แล้วจึงยื่นไปให้หญิงสาวที่สะอื้นไห้ "เมื่อทรายแห่งเวลาได้ร่วงหล่นจนหมด เธอจะได้เพื่อนอีกจำนวนมาก อย่าลืมที่จะช่วยพวกเขาล่ะ..เพราะโอกาสครั้งนี้ถึงจะเป็นครั้งแรก แต่ก็เป็นครั้งสุดท้ายแน่นอน"

          "ขอบคุณมากค่ะท่านมหาจักรพรรดิ์แห่งเวลา" โมนิก้าเอ่ยด้วยเสียงสะอื้นที่ทุเลาลง

          "ทีหลังไม่ต้องเรียกชั้นว่า..มหาจักรพรรดิ์แห่งเวลา มันดู..เป็นทางการไป" ชายรูปงามกล่าวออกมา "ตัวชั้นชื่อ เลลาห์ฏัน เดอย์เอห์ยาฏาน"

          "ถ้าหากเป็นชื่อที่เรียกยากไปก็ให้เรียกตามนามของบุรุษผู้เป็นเจ้าของกายหยาบนี้..นามของเขาคือ เซเรฮาฎ วาเลลาห์"

          "ถึงชื่อจะไม่คุ้นหู..แต่ก็ขอบคุณมากนะคะ คุณวาเลลาห์" เธอหันกลับมามองชายหนุ่มพร้อมกับยิ้มหวาน บุรุษหนุ่มจึงยิ้มตอบ

          "งั้นก็กลับกันได้แล้วล่ะ.." ชายหนุ่มเลื่อนมือลง นาฬิกาทรายพลันแปรเปลี่ยนเป็นหยดน้ำ ที่ไม่นานก็ได้ระเหยหายไป สาวผมม้าพยักหน้าตอบรับอย่างไม่รอช้า เมื่อเป็นเช่นนั้น ร่างของวาเลลาห์และโมนิก้าจึงแปรเปลี่ยนเป็นรูปปั้นถุลี แล้วจึงปลิวหายไปตามแรงลมในที่สุด

 

          หญิงสาวทั้งสองได้เดินเข้ามาในป่าสเลนเดอร์ฟอร์เรสต์ได้สักครู่หนึ่ง พวกเธอจึงก้าวเดินทะลุผ่านอาณาเขตลวงตาเข้าไปยังบริเวณพื้นที่นอกคฤหาสน์ ในคราวนี้ประตูหน้าของคฤหาสน์ถูกเปิดกว้างเอาไว้ โดยมีชายไร้หน้ายืนต้อนรับอยู่ตรงนั้น

          เมื่อทั้งสองได้เดินก้าวผ่านประตูโลหะสีเงินไปได้แล้ว ชายไร้หน้าจึงเทเลพอร์ททั้งสองและตัวเองไปยังภายในคฤหาสน์ในชั่วพริบตา หลังจากนั้นรยางค์สีดำของสเลนเดอร์แมนจำนวนหนึ่งจึงได้ปรากฏขึ้นมาบนพื้นหญ้าใกล้เคียงกับประตูเงิน พวกมันพุ่งไปม้วนมัดตัวประตูไว้แน่นก่อนจะดึงเข้าเลื่อนปิดผนึกอย่างรุนแรง

          แล้วปรากฏตัวอีกครั้งภายในคฤหาสน์ของมิสเตอร์ครีปปี้พาสต้า เมื่อทั้งสองตั้งสติได้ จึงสำรวจรอบตัวและพบว่าพวกเธอได้มาอยู่ข้างหน้าประตูไม้บานหนึ่ง ที่ภายในมีเสียงสนทนาดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง

          สเลนเดอร์แมนเลื่อนมือขึ้นมา พร้อมเคาะประตูสามครั้ง แลัวจึงเปิดประตูเข้าไปภายในทันที สิ่งแรกที่ทั้งคู่ได้เห็น คือ ห้องประชุมที่มืดสนิท มีเพียงภาพโฮโลแกรมสีฟ้าปรากฏอยู่ตรงหน้าที่ประชุม อันคล้ายกับเป็นหอประชุมขนาดใหญ่ภายในมหาวิทยาลัยอย่างไม่ผิดเพี้ยน

          เหล่าครีปปี้พาสต้าทั้งหมดที่เหลืออยู่และเพิ่มเติมมาบ้างเป็นครั้งคราว ต่างนั่งฟังในอากัปกิริยาที่แตกต่างกันไปโดยนั่งกระจัดกระจายไปคนละกลุ่ม แต่ก็ไม่ห่างกันมากนัก บ้างก็นั่งอยู่บนโต๊ะ แล้วแกว่งขาอย่างสบายใจ บ้างก็นั่งฟังอย่างตั้งใจอยู่หน้าสุด บ้างก็เท้าคางฟังอย่างเบื่อหน่าย สร้างความเป็นธรรมชาติให้แก่หอประชุมเป็นอย่างมาก

          เมื่อประตูถูกเปิดออก สายตาโดยส่วนใหญ่ได้หันมามองผู้มาเยือนทั้งสอง บางคนโบกมือทักทาย แต่บางคนเมื่อเห็นตัวตนของสองสาวแล้ว จึงหันกลับไปฟังเช่นเดิม สองสาวที่เข้ามาใหม่ได้หันไปมองด้านหน้าส่วนที่เป็นโฮโลแกรม ซึ่งตรงส่วนนั้นมีบุรุษผิวฟ้านั่งอธิบายคู่กับสาวนักวิจัยที่ไม่คุ้นหน้าอีกคน จากระยะทางที่พวกริกะยืนอยู่จนถึงหน้าหอประชุม มีเพียงสองสิ่งเท่านั้นที่พวกเธอเห็นอย่างชัดเจน นั่นคือเสื้อกาวสีขาวปลายยาว และสายรุ้งที่เป็นสีผมของเธอ

          "จากที่พูดมาร่วม 45 นาทีนี้..มีใครจะถามอะไรอีกมั้ย?" หญิงสาวผมสีรุ้งได้เอ่ยด้วยเสียงอันดัง ทันใดนั้นหญิงสาวท่านหนึ่งผู้มีผมสีขาวและแต่งกายด้วยเสื้อผ้าแบบโมเดิร์นแต่มีสีลายทางขาวดำ เธอได้รีบยกมือขึ้นมาทันที พร้อมกับโบกมือไปมา และส่งเสียงเรียกร้อง สาวหน้าห้องประชุมจึงเลื่อนมือขึ้นมา แล้วชี้ไปที่หญิงสาวคนนั้น "ว่าไง..ซีโร่"

          "เอิ่ม.." เมื่อหญิงสาวได้รับสิทธิ์นั้น เธอทำหน้าครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วจึงยิ้มร่า "ที่เธอกับคุณเจ้าของบ้านพูดมา..เค้าไม่เข้าใจเลยอ่ะ แหะๆ"

          หญิงสาวนักวิจัยเลื่อนมือมากุมขมับพลางส่ายหน้าไปมา ส่วนคนข้างกายซีโร่อีกสองคนก็ปิดปากกลั้นหัวเราะเอาไว้

          "อ่า..โอเค! ในเมื่อยังไงก็มีคนมาใหม่อยู่แล้ว.." หญิงสาวถอนหายใจ แล้วจึงเลื่อนมือลง มิสเตอร์ครีปปี้พาสต้าที่อยู่ใกล้เคียงนั่งมองเธอที่แสดงอาการเบื่อหน่ายจึงตั้งใจจะอภิปรายเอง แต่หญิงสาวกลับปฏิเสธคำขอด้วยการเลื่อนมือไปห้าม "ไม่ต้องให้ถึงมือของคุณหรอก..เดี๋ยวชั้นทำเองค่ะ"

          "พวกเธอที่พึ่งเข้ามาก็เข้าไปนั่งได้เลย หรือจะยืนฟังก็ได้นะ..เอาที่สบายใจ" เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย พลางกวาดสายตาไปจ้องเขม็งที่ซีโร่ "ครั้งนี้ก็ตั้งใจฟังด้วยล่ะ..ชั้นจะสรุปสั้นๆให้เข้าใจง่ายที่สุด หวังว่าสมองกลวงๆของเธอจะรับได้นะ เพราะชั้นขี้เกียจพูดเป็นครั้งที่สาม"

          "ค่า.." ซีโร่ยิ้มร่า ไม่แสดงออกถึงความโกรธที่ถูกสาวนักวิจัยด่าแม้แต่น้อย

          หญิงสาวผมรุ้งได้หันมองแขกอีกสองคน ทั้งสองต่างเดินลงมานั่งที่โต๊ะแถวที่สองจากหน้าสุด เมื่อทั้งสองนั่งลงได้ สาวนักวิจัยจึงหันกลับมามองเบื้องหน้า พลางเลื่อนมือขึ้นลูบหน้าเช็ดดวงตาเล็กน้อย

          "โอเค..มาเริ่มกันเลย" เธอเอ่ยจบ จึงหันไปมองมิสเตอร์ครีปปี้พาสต้า "เพื่อไม่ให้เกิดการพูดครั้งถัดไปอีก..คุณช่วยจดจำการสรุปครั้งนี้เอาไว้ด้วย เผื่อจะใช้บอกต่อคนที่ไม่ได้ฟังหรือไม่ได้มาไว้ด้วยนะคะ รบกวนด้วยนะคะ"

          "ได้ครับ.." ชายผิวฟ้าตอบกลับอย่างสุภาพ

          "ครั้งนี้ก็ตั้งใจฟังให้ดี.." เธอสูดหายใจเข้าลึก "การประชุมครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือกลุ่มครีปปี้พาสต้าที่ถูกจับตัวไป"

          "เป้าหมายหลักของเราคือการช่วยทุกคนอยู่แล้ว..แต่เราต้องช่วยฮีโร่บรายให้ได้ก่อนเป็นคนแรก เพื่อเพิ่มความได้เปรียบในฝ่ายของเรา"

          "ส่วนนี่คือ.." เพียงสิ้นเสียง เบื้องหน้าของเธอจึงปรากฏภาพโฮโลแกรมของโกดังเก่าที่เหล่าครีปปี้พาสต้าได้เคยเข้าไปปะทะกับเหล่าสามสมุนของแบล็ก "พื้นที่วงกลมภายในรัศมี 10 กิโลเมตร ณ เวลานี้..สถานที่ที่พวกเราจะต้องไปทำการต่อสู้จะมีเหล่าพวกเจ้าหน้าที่ SCP ปะปนไปกับทหารของรัฐ"

          "พวกทหารของรัฐจะอยู่รอบนอก เป็นพวกหน่วยรบพิเศษชำนาญการณ์ อยู่กระจัดกระจายกันออกไป มีอาวุธครบครัน พร้อมโจมตีได้ทุกเวลาเมื่อได้รับคำสั่ง มีอยู่ด้วยกัน 200 คน"

          "ส่วนพวกเจ้าหน้าที่ SCP ถึงจะมีอาวุธไม่ครบเท่ากับพวกพวกทหาร แต่ก็อย่าประมาท เพราะเจ้าพวกนี้มันยิงตามอำเภอใจได้เลย พวกเจ้าหน้าที่ SCP จะอยู่รอบในตั้งแต่รัศมี 200 เมตรลงมา อยู่กันกระจุกเป็นกลุ่ม กลุ่มละประมาณ 4 ถึง 10 คน มีอยู่ 10 กลุ่มล้อมรอบโกดังแห่งนี้ โดยเฉพาะประตูใหญ่ด้านหน้าที่เป็นทั้งทางเข้าและทางออกเดียว มีคนคุมอยู่ถึง 10 คน และทั้ง 10 คนนั้นจะมีอาวุธหนัก ชุดเกราะหนักเสริมกำลัง และยาฟื้นฟูระดับสูงที่ถูกเรียกว่า SCP 500"

          เธอฉายรูปของสิ่งที่ถูกเรียกว่า SCP 500 ผ่านทางภาพโฮโลแกรม มันเป็นเม็ดยาแคปซูลสีแดง

          "เจ้านี่ก็ไม่ต่างจากเข็มฉีดยาฟื้นฟูหรอก แค่ไม่ได้เสริมให้ร่างกายแข็งแกร่งขึ้นก็เท่านั้นแหละ" เธออธิบาย

          "เพื่อลดการสูญเสียทั้งพลังงานและทรัพยากรมนุษย์ เราจึงจำเป็นจะต้องแบ่งกลุ่มกันออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ แต่ละกลุ่มใหญ่จะแยกย่อยลงไปเป็น 2 กลุ่มย่อยได้อีก"

          "กลุ่มแรกจะเป็นกลุ่ม Stealth โดยส่วนแรกจะมีร่างจำลองของชั้นกับอเนสเธเซียจะเข้าไปทำการลอบสังหารก่อน โดยส่วนรองที่มี นิน่า แจ็ก และเลโอน่าจะตามพวกชั้นมาเพื่อรอสนับสนุนเมื่อเกิดปัญหา โดยหัวหน้าของกลุ่ม Stealth นี้จะได้รับเครื่องมือสื่อสารเพื่อติดต่อขอความช่วยเหลือจากกลุ่มที่สองได้ โดยการขอความช่วยเหลือจะต้องขอในช่วงเวลาที่คับขันจริงๆ เท่านั้น ไม่อย่างนั้น กลุ่มสองอาจถูกพวกข้างนอกที่ยังคงเฝ้าระวังอยู่ โจมตีเอาง่ายๆ และหัวหน้าของกลุ่มแรก คือ นิน่า"

          "ต่อมา..กลุ่มสองจะเป็นกลุ่ม Offensive ส่วนแรกจะเป็นฝ่ายทำดาเมจสนับสนุน ประกอบไปด้วยลูว์ ซีโร่ ลาอ้อน เอดจ์ จัดจ์ และแคนดี้ป็อป โดยกลุ่มนี้นี้จะต้องลุยผ่านพวกคนคุมที่จะหันไปให้ความสนใจกับภายในโกดังแทน ตรงจุดนั้นให้พวกนายสังหารคนคุมให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะชั้นมั่นใจว่ายังไงพวกมันต้องเรียกกำลังเสริมแน่นอน"

          "ในกลุ่มสองส่วนหลังจะมีหน้าที่ซัพพอร์ตทางด้านกำลังการต่อสู้ให้กับส่วนแรก ประกอบไปด้วยสมาย จิล เฮเลน พัพพ์ สกายและร่างจำลองของชั้นอีกร้อยกว่าตัว โดยกลุ่มสองจะเป็นกลุ่มสุดท้ายที่จะเข้ามาทำการต่อสู้ในภาคสนาม ดังนั้นมันหมายความว่ากลุ่มสองมาก็ต้องพาทุกคนกลับมาหรือชนะได้แล้ว ส่วนหัวหน้าของกลุ่มสอง คือ เฮเลน กับจัดจ์"

          "กลุ่มต่อมาคือกลุ่มที่สาม เป็นกลุ่ม Support มีหน้าที่สนับสนุนสองกลุ่มแรกในทุกๆด้านที่สามารถช่วยเหลือได้ โดยส่วนแรกจะเป็นฝ่ายช่วยเหลือจากระยะใกล้ถึงระยะกลาง ประกอบไปด้วยเบน แอน เจสัน ริกะ ซานดร้า ซูซานและตัวชั้นตัวจริง โดยชั้นขอบอกไว้ก่อนว่าทุกคนในกลุ่มนี้จำใส่หัวไว้ให้ดี..อย่าทำตัวเป็นฮีโร่ ถ้าไม่เจ๋งพอ ทำหน้าที่ของตัวเองไปก็พอ"

          "ส่วนที่สอง จะเป็นส่วนควบคุมการทำงานและให้คำแนะนำผ่านการสื่อสารทางโทรจิต ประกอบไปด้วยมิสเตอร์ครีปปี้พาสต้า ฮู้ดดี้ มาสกี้ เจนและพวกเด็กๆ และแน่นอนว่าหัวหน้าของกลุ่มนี้คือ มิสเตอร์ครีปปี้พาสต้า"

          "ต่อมาคือการรับมือกับเจ้าพวกสามตัวนั้น.." ทันใดนั้น ริกะได้ยกมือขึ้นมา หญิงสาวนักวิจัยที่เหลือบไปเห็นเธอจึงหยุดพูดลง แล้วจึงชี้ไปที่ริกะ "ว่ามาได้เลย.."

          "แล้วคุณสเลนดี้ล่ะค่ะ..เขามีหน้าที่อะไรเหรอคะ เห็นคุณไม่ได้พูดเอาไว้ด้วยน่ะค่ะ" เธอเอ่ยถามด้วยถ้อยคำสุภาพ หญิงสาวนักวิจัยมองหน้านิ่ง แล้วจึงเลิกคิ้ว

          "เธอชื่ออะไร.." สาวนักวิจัยเอ่ยถาม "ชั้นไม่คุ้นหน้าเธอเลย.."

          "ชั้นชื่อ โอริซิส ริกะ ค่ะ" หญิงสาวผมชมพูเอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำ

          "อืม เป็นคำถามที่ดีมาก..ริกะ" เธอเอ่ยปากชม "ในการประชุมเมื่อกี้..ชั้นก็ดันลืมพูดให้ทุกคนเข้าใจกันก่อน"

          "สเลนเดอร์แมนจะอยู่ในกลุ่มพิเศษ นอกเหนือจากกลุ่มหลักทั้งสามกลุ่ม เขาจะมาช่วยเหลือพวกเราก็ต่อเมื่อสถานการณ์อยู่ในระดับวิกฤติจริงๆ ถ้าจะถามว่าทำไมเขาถึงไม่มีส่วนร่วมในการต่อสู้ครั้งนี้มาก นั่นก็เพื่อประหยัดพลังงานของเขาให้มากที่สุด แล้วเอาไประเบิดในยามนั้นแหละ"

          "ใครที่มาทันตอนเหตุการณ์การต่อสู้กับโลกแห่งเงา คงจะเคยเห็นพลังที่แท้จริงของสเลนดี้บ้างแล้วล่ะนะ.." เธอเอ่ยออกมา ก่อนจะหันไปมองหญิงสาวผู้ถามคำถามเธอ "อ่อ..ใช่ พวกเธอสองคนคงจะยังไม่รู้จักชั้นสินะ"

          "ชั้นเป็นนักประดิษฐ์ วิศวกร หรือหน้าที่อื่นๆที่เกี่ยวกับเรื่องของเทคโนโลยีทั้งหมด" เธอเว้นช่วงไว้หายใจ ก่อนจะแสดงสีหน้าเริงร่า "ชั้นชื่อแดช..เรนโบว์ แฟคเทอรี่ แดช(Rainbow Factory Dash) ถ้าเธอเป็นเพื่อนกับยัยพิงกี้ก็ถือว่าเป็นเพื่อนกับชั้นเหมือนกัน"

          "แนะนำตัวกันเสร็จแล้ว..งั้นก็เข้าเรื่อง" เธอแปรเปลี่ยนอารมณ์และสีหน้ากลับมาเป็นจริงจังแทบจะในทันที จนบางคนถึงกับต้องหันขวับกลับมามอง พร้อมกับสีหน้าประหลาดใจ

          "การรับมือกับเจ้าสามตัวนั้น ชั้นเลยกำหนดคู่ต่อสู้เพื่อเพิ่มความได้เปรียบกับฝ่ายเรา โดยเจ้าหน้าปิกาจูนั่นเป็นพวกสายซัมมอนและเวทมนตร์ ดังนั้นคู่ต่อสู้ของเจ้านี่เลยต้องเป็นสายซัมมอนด้วยกัน และพวกควบคุมจิตใจได้ นั่นเลยทำให้คนที่จะเข้าไปสู้กับเจ้านี่คือ เฮเลน เจสัน ริกะ พัพ์ และตัวชั้นเอง"

          "ส่วนเจ้าสมองกล้ามเนื้อนั่นก็เป็นสายกำลังและคงกระพัน คู่ต่อสู้ที่ดีที่สุดของมันคือ ฮีโร่บราย ดังนั้นการจะต่อสู้กับเจ้าหมอนั่นจะเป็นเพียงการยื้อเวลาเพื่อแย่งตัวฮีโร่บรายกลับมา โดยคนที่จะไปเป็นคู่มือของเจ้าหมอนั่นก็คือ ลูว์ ซีโร่ แคนดี้ป็อป และลาอ้อน"

          "และเจ้าตัวใช้พลังจิตนั่นการต่อสู้กับเจ้านั่นจะต้องใช้คนที่ไม่ได้รับผลจากพลังจิตของมัน ซึ่งก็จะมีฝูงหุ่นยนต์ของชั้น เลโอน่า อแนสเธเซีย และจิล"

          "ตัวคนบงการอย่างแบล็กน่ะ..ชั้นไม่มีข้อมูลอะไรอยู่เลย แต่การเอาพวกที่มีพลังขนาดควบคุมฮีโร่บรายได้มาเป็นสมุน เจ้านั่นต้องจะเทพมากจนโคตรโกงเป็นแน่นอน ชั้นเลยไม่ค่อยได้วางแผนเผื่อเอาไว้ เพราะโอกาสที่บอสใหญ่จะมาปรากฏตัวได้คงจะประมาณ 30 : 70 ล่ะมั้ง"

          "ชั้นเลยวางแผนเผื่อสำหรับการต่อสู้กับฮีโร่บรายอย่างเดียว ..ง่ายๆ สั้นๆ คู่มือของเจ้านั่นมีแค่เบน ดราวน์คนเดียวเท่านั้นแหละที่มีพลังมากพอจะโค่นเจ้านั่นลงได้"

          "เฮ้อ!..พูดมากแล้วเจ็บคอจัง การประชุมจบลงแล้ว..เดี๋ยวชั้นจะเรียกอีกทีตอนใกล้ถึงเวลาก็แล้วกัน" เธอพูดเสร็จก็เดินไปหยิบขวดน้ำด้านหลังขึ้นมาเปิดดื่ม ทุกคนในหอประชุมต่างแยกย้ายออกจากห้อง รวมทั้งริกะและซานดร้าที่ไร้ซึ่งความสงสัยแล้วจึงออกไปจากห้อง พร้อมกับคนอื่นๆ

          เมื่อทุกคนออกจากห้องเสร็จแล้ว แดชจึงทำการเก็บเครื่องฉายโฮโลแกรม ก่อนจะเก็บกวาดทุกสิ่งทุกอย่างด้วยพลังความเร็วเหนือเสียงของเธอ เมื่อเสร็จสิ้นจึงเตรียมเดินออกจากห้อง แต่กลับพบกับหญิงสาวผมน้ำตาลนางหนึ่งกำลังยืนรอเธอด้วยสีหน้าไม่มั่นใจในตัวเอง

          "เธอยังกังวลเรื่องของวีน่าอยู่ใช่มั้ยล่ะ..เจน" แดชเอ่ยน้ำเสียงอ่อนโยนและเป็นห่วง

          "ใช่..ชั้นเป็นห่วงวีน่ามาก" เธอเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเศร้าหมอง "แล้วก็เป็นห่วงเจฟด้วย"

          "เธอรู้มั้ยว่าจริงๆแล้ว..วีน่าคือคนที่ผูกโยงโดยตรงกับแก่นพลังพิเศษของเธอน่ะ" แดชพูดขึ้น เธอแสดงสีหน้าของเจนดูประหลาดใจขึ้นมาทันที "ไม่รู้งั้นเรอะ..ไม่เป็นไรๆ เดี๋ยวชั้นจะอธิบายอะไรให้เธอฟัง"

          "ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมานี้..เริ่มมีการปรากฏตัวของอมนุษย์จำพวก D-Borne ขึ้นมา พวกเขาทุกคนไม่ได้เกิดมาพร้อมกับพลัง แต่กลับได้รับพลังมาโดยบังเอิญ ตามคำบอกเล่าบางคนก็มีสิ่งมีชีวิตบางอย่างอยู่ภายในหัว ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ไม่มีใครอยู่เลย" แดชเอ่ยอธิบายเธอ "จากการสันนิษฐานของชั้นแล้ว..วีน่าคือสิ่งมีชีวิตที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับพลังที่เธอได้รับมาโดยบังเอิญ"

          "การที่พลังของเธอหายไป..ถ้าคิดในแง่ดี มันอาจเป็นเพราะเธอเหนื่อยมากจนหมดสติไป แต่ถ้าหากคิดในแง่ลบ เธอก็อาจตายไปแล้วจริงๆก็ได้" แดชเอ่ยออกมาด้วยเสียงอ่อน สิ้นเสียงหญิงสาวคู่สนทนาก้มหน้าลง เลื่อนมือขึ้นมาจับแขนอีกข้างแสดงถึงความสับสนและเศร้าหมอง

          "แต่นอกเหนือจากนั้น..บางทีแล้ว เธออาจจะแยกออกจากร่างเธอตอนฮีโร่บรายโจมตี แล้วก็ถูกจับตัวไปก็ได้นะ ใครจะไปรู้กัน" เธอเอ่ยสิ่งนี้ขึ้นมา เพื่อให้หญิงสาวสบายใจขึ้น แต่ก็คงได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เธอจึงเลื่อนมือข้างที่ไม่ได้ถือของไปจับหัวไหล่ของหญิงสาว

          "ชั้นจะไม่ห้ามเธอหรอกนะ ชั้นรู้ดีว่าเธออยากจะช่วยเหลือเจฟด้วยตัวเอง" แดชเอ่ยจบ เธอได้เลื่อนมือเข้าไปในกระเป๋าภายใต้เสื้อกาว เพื่อนำบางสิ่งออกมา มันเป็นสร้อยคอสีทองที่มีจี้เป็นก้อนหัวใจคริสตัลสีฟ้าโปร่งแสงขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือ "นี่คือเครื่องลางของเจ้าหญิงแคเดนซ์ในโลกของชั้น เครื่องลางแห่งความรัก..มันจะเสริมพลังเวทย์และพลังกายให้กับผู้สวมใส่ในระดับหนึ่ง และจะปกป้องผู้สวมใส่จากการถูกโจมตีได้ในระดับหนึ่ง"

          "พลังที่แสดงผลออกมาจะมากตามความรักอันบริสุทธิ์ที่มีต่อผู้เป็นที่รัก หากเธอรัก เป็นห่วง และพร้อมจะปกป้องช่วยเหลือเจฟจากใจจริง พลังของมันก็อาจมากพอจะสู้กับฮีโร่บรายตอนเอาจริงได้สัก 3 วินาทีเลยล่ะนะ" แดชให้ของกับเธอเสร็จจึงเดินออกจากห้องประชุม "ฝากปิดไฟให้ด้วยนะ.."

          เจนปิดไฟห้องประชุมตามที่ได้ถูกว่ายวานเอาไว้ ก่อนที่เธอจะออกจากห้อง เธอได้หันมองที่สร้อยคอรูปหัวใจที่ได้มา เธอนำขึ้นมาสวม พร้อมกับสูดหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่

          "ชั้นจะต้องพาพวกเธอกลับมาให้ได้..วีน่า เจฟ" เจนเอ่ยอย่างแผ่ว พลางเลื่อนมือไปกุมคริสตัลหัวใจไว้แน่น "ถึงคราวที่ชั้นจะต้องปกป้องเธอบ้างแล้วล่ะ.."

           รูปภาพของตอนนี้ : http://rx.hu/PdP9

           ตามตำนาน(ในจักรวาลของเรื่องนี้) เลลาห์ฏัน เดอย์เอห์ยาฏาน เป็นภาษาอาหรับ แปลว่า ราตรีที่สาบสูญ ซึ่งมีความหมายถึงราตรีที่หายไปจากนิทานอาหรับราตรี ราตรีที่ 1002(เรื่องราวสมมติ ไม่ใช่เรื่องจริง) ที่ผู้คนต่างเอ่ยบอกกันว่ามันไม่มีจริง แต่มีเพียงแค่เซเรฮาฎ วาเลลาห์(บุคคลสมมติ ไม่มีตัวตนจริง) ชายหนุ่มลูกพ่อค้าที่รู้ความจริงนี้ นั่นจึงเป็นเหตุให้มหาจักรพรรดิ์แห่งเวลาได้เลือกหนุมน้อยผู้นี้เป็นร่างสถิต แม้กาลเวลาจะนำพาให้วิญญาณของวาเลลาห์ไปสู่สรวงสวรรค์ แต่ร่างกายของเขาก็ได้เป็นของ Time Keeper ตราบชั่วนิรันดร์ และเพื่อเป็นการรำลึกถึงชายผู้เป็นกายหยาบให้กับเขา จักรพรรดิ์แห่งเวลาจึงให้ทุกคนเรียกเขาด้วยชื่อของหนุ่มน้อยผู้นั้น

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.4 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา