Creepypasta Family The Broken Myth
9.5
เขียนโดย Leragan
วันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2558 เวลา 20.43 น.
24 chapter
9 วิจารณ์
41.44K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561 14.07 น. โดย เจ้าของนิยาย
19) รวมกลุ่ม (Regroup)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ หลังจากการปรากฏตัวของบลัดดี้ เพนเตอร์ พัพเพทเทียร์ ซีโร่ และจัดจ์แองเจิล เหล่าพวกครีปปี้พาสต้าที่เคยโศกเศร้า ขาดกำลังใจ ไร้ซึ่งความหวัง เนื่องด้วยการสูญเสียพวกพ้องคนสำคัญไป กลับมามีชีวิตชีวา ลดทอนอาการโศกในจิตใจ และเริ่มต้นการแก้ไขปัญหาขึ้นร่วมกันอีกครั้ง
ซึ่งในขณะนี้เป็นช่วงที่เหล่าครีปปี้พาสต้ากำลังรวบรวมกำลังคนในการเข้าปะทะกับสามขุนพลของฝั่งที่ 'แบล็ก' ได้ควบคุมอยู่ ซึ่งประกอบไปด้วยครีปแม็คพาสต้า ผู้ใช้เวทมนตร์จากตำราโบราณ ครีปปี้พาสต้าจูเนียร์ บุรุษเหล็กคงกระพัน และคราโอติค ชายผู้มีพลังจิตแข็งแกร่งเกินหยั่งถึง ผู้ล้มฮีโร่บรายผู้แข็งแกร่งได้โดยไร้รอยขีดข่วน
การที่ครีปปี้พาสต้าทั้งสี่ปรากฏตัวนั้นไม่ได้เป็นเพราะพลังอันแข็งแกร่งไร้เทียมทาน แต่เป็นการที่ทั้งสี่คนนี้ต่างเป็นคนที่ประสานงานกับผู้อื่นได้ดี ยกเว้นแต่ซีโร่ที่มักจะทำอะไรเอาแต่ใจตนเป็นใหญ่ก็ตาม แต่เธอก็เป็นหนึ่งในกำลังหลักของทีม
โดยบลัดดี้เพนเทอร์ ชายผู้สวมใส่หน้ากากประทับรอยยิ้มโลหิต เขาผู้นี้เป็นคนที่เงียบขรึมไม่ค่อยพูดคุยกับใคร และไม่ค่อยแสดงอารมณ์ความรู้สึกให้เห็นยกเว้นแต่จัดจ์แองเจิลผู้เป็นแฟนสาว และพัพเพทเทียร์กับซีโร่ที่เป็นเพื่อนสนิท ชายผู้นี้หากอยู่ในยามขับขันความเป็นภาวะผู้นำและการวางแผนอันแยบยลจะปรากฏให้เห็นได้ทันที
บลัดดี้เพนเทอร์ หรือ ‘เฮเลน ออทิส’ เป็นเด็กหนุ่มที่หลงใหลในการวาดภาพจากอารมณ์ความรู้สึกที่มีหรือสิ่งแวดล้อมรอบข้างด้วยการใช้สีแดงเป็นหลัก ดังนั้นการที่เขาจะถือสมุดวาดภาพหรือกระดานวาดรูปไปจึงไม่ใช่สิ่งที่แปลกประหลาดแม้แต่น้อย ซึ่งในทางกลับกัน..มันก็เป็นพลังพิเศษเฉพาะตัวของเขา
แม้จะเป็นสิ่งที่อาจพบเห็นมากในคอมมิต มังงะ ภาพยนตร์หรืออนิเมชั่นญี่ปุ่น แต่หากเทียบกับในชีวิตจริง เพียงแค่การอัญเชิญอสูรกายออกมาก็ว่ายากแล้ว แต่ชายผู้นี้สามารถสร้างอสูรหรือสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่มนุษย์ขึ้นมาได้จากการวาดภาพ
โดยนั่นกลับไม่ใช่พลังที่เกิดจากตัวเขา แต่กลับเป็นพลังที่เกิดขึ้นจากปากกาแดงพิเศษที่สามารถดลบันดาลให้สิ่งที่ได้ถูกวาดโดยปากกาเล่มนี้ จะถูกทำให้สิ่งนั้นหลุดลอยออกมาจากพื้นกระดาษสมุด มีรูปร่างรูปทรง และมีชีวิตขึ้นมาอย่างน่าพิศวง โดยเงื่อนไขนั้นก็คือสิ่งที่วาดด้วยปากกาเล่มนี้จำเป็นที่จะต้องเป็นสิ่งมีชีวิตเท่านั้น หากไม่ใช่จะเป็นเพียงภาพวาดลายเส้นแดงตามปกติ อีกทั้งผู้วาดยังจำเป็นจะต้องมีความปรารถนาต้องการและความมุ่งมั่นเช่นเดียวกัน หรือสรุปได้สั้นๆว่าชายผู้นี้คือซัมมอนเนอร์ประจำกลุ่มนั่นเอง
ซึ่งแตกต่างจากจัดจ์แองเจิล เธอเป็นเด็กสาวที่ขี้อาย แต่ก็เป็นคนที่มุ่งมั่นและเอาใจใส่ โดยบางครั้งเธออาจจะแสดงท่าทีก้าวร้าวออกมาเล็กน้อยบางเวลา หากพบเจอกับคนที่เธอไม่ชอบ แต่เธอนั้นกลับเป็นคนจิตใจดี พูดน้อยกว่าปกติเล็กน้อย แต่ความมีเสน่ห์อย่างหนึ่งของเธอคือความซุ่มซ่ามและอาการของเธอเวลาเขินจนทำอะไรไม่ถูก สร้างความน่ารักและความมีเสน่ห์จนสามารถสะกิดหัวใจของบลัดดี้เพนเทอร์ผู้เข้มขรึมได้
พลังของเธอนั้นแตกต่างจากครีปปี้พาสต้าคนอื่นๆ โดยพลังของเธอไม่ได้เกี่ยวกับดาบของเล่นไร้ความแหลมคมที่หากฟันใส่ผู้ที่พูดความเท็จจนเกิดบาดแผลได้เหมือนเช่นดาบนั้นแหลมคมอยู่แล้ว ซึ่งนั่นเป็นเพียงแค่ความสามารถของตัวดาบเอง ดาบนี้ถูกสร้างขึ้นโดยเจสัน เดอะ ทอยเมเคอร์ หนึ่งในผู้แข็งแกร่งอีกคนหนึ่งของเหล่าครีปปี้พาสต้า
สำหรับพลังของจัดจ์แองเจิลนั้นคือการเบี่ยงเบนเหตุร้ายที่จะเกิดขึ้นกับตัวเธอไปยังคนที่มีค่าระดับ Luck ต่ำที่สุดได้อย่างไร้เหตุผล หากเป็นยามปกติ ส่วนใหญ่จะเป็นพี่น้องตระกูลวู้ดส์ ลูว์และเจฟ โดยเจฟมักจะโดนเสียมากกว่า แต่ถ้าหากเจฟไม่ได้อยู่ใกล้เคียงนัก ลูว์ก็อาจเป็นคนโดนแทน แต่พลังนี้ไม่ใช่พลังที่ผลอย่างสมบูรณ์ มันแค่มีโอกาสสูงเท่านั้น ดังนั้นยังคงมีโอกาสที่เธอจะเป็นฝ่ายได้รับเหตุร้ายตามปกติ
อธิบายถึงค่า Luck ผู้ที่เป็นครีปปี้พาสต้าที่เกิดขึ้นมาจากเกม จะมีความรู้และความสามารถเห็นค่านี้ของทุกคนได้โดยเฉพาะเบนดราวน์ที่เกิดขึ้นจากเกมที่มีลักษณะดังนี้โดยตรง โดยครีปปี้พาสต้าที่มีค่า Luck ต่ำที่สุดนั้นมีอยู่ 3 คน คือ สองพี่น้องตระกูลวู้ดส์ และลอสต์ ซิลเวอร์ที่ยังไม่ปรากฏตัวออกมา
ต่อมานั้นคือ อลิส แจ็กซัน หรือ ซีโร่ หญิงสาวผู้มีสภาพจิตไม่ปกติ เธอค่อนข้าง Crazy และชอบทำตัวให้เป็นจุดสนใจ พร้อมกับวลีประโยคที่ยากจะจับใจความได้ อาวุธของเธอคือค้อนก่อสร้างขนาดใหญ่ แม้ว่าค้อนนั้นจะหนัก แต่หากเทียบกับกำลังของเธอที่มีนั้น ก็เทียบเคียงได้กับชายฉกรรจ์หุ่นกำยำคนหนึ่งเลย
ด้วยการที่เธอมีสถานะก่อนเป็นครีปปี้พาสต้าคือเพื่อนในจินตนาการ ทำให้เธอมีลักษณะบางประการคล้ายคลึงลาฟฟิ้งแจ็ค ยกเว้นแต่วิธีการมีตัวตนของทั้งคู่นั้นจะแตกต่างกันออกไป เพราะหากเป็นลาฟฟิ้งแจ็กนั้นสามารถมีตัวตนขึ้นโดยการแยกตัวออกจากผู้สร้างตัวเขา แต่ซีโร่กลับใช้วิธีการกลืนกินผู้สร้างจนกลายเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างสมบูรณ์ ทำให้แทนที่เธอจะเป็นเพื่อนในจินตนาการต่อไป เธอจึงมีตัวตนจริงและสูญเสียพลังแบบเดียวกับลาฟฟิ้งแจ็คไป แต่นั่นก็ไม่ได้ส่งผลกระทบใดๆกับเธอเลย เนื่องด้วยเธอก็ไม่ได้ใคร่สนใจพลังแบบนั้นอยู่แล้ว
อีกทั้งพลังที่เธอมีก็ดีกว่าการแปรเปลี่ยนสภาพไปสิงในจินตนาการคนอื่น โดยเธอนั้นไม่มีความรู้สึกเจ็บปวด อีกทั้งยังมีความสามารถในการฟื้นฟูสภาพร่างกายในระดับนึง โดยความเจ็บปวดที่สะสมมานั้นจะถูกถ่ายทอดไปยังคนที่เธอต้องการมอบให้ได้ แต่ทั้งหมดนี้ก็เพียงแค่มีโอกาสเท่านั้น ดังนั้นความเจ็บปวดจากบางสิ่งเธอก็ไม่สามารถส่งต่อให้ผู้อื่นได้เช่นกัน
และคนสุดท้ายผู้ที่อาจจะแข็งแกร่งที่สุดในกลุ่ม บุรุษที่สามารถบงการสรรพชีวิตได้..พัพเพทเทียร์ ชายผู้นี้ไม่ได้มีความสามารถทางการต่อสู้แม้แต่น้อย เขาจึงทำได้เพียงเป็นแนวหลังเช่นเดียงกับมิสเตอร์ครีปปี้พาสต้า แต่แตกต่างกันที่พลังของชายผู้นี้นั้นคือการควบคุมสิ่งมีชีวิตด้วยเส้นด้ายวิญญาณสีเหลืองทอง ซึ่งถักทอมาจากพลังชีวิตของพัพเพทเทียร์ที่ปรากฏให้เห็นทั้งในดวงตาและภายในปากที่ส่องแสง
โดยเส้นด้ายเหล่านี้จะปรากฏให้เห็นบริเวณปลายนิ้วทั้งหมดของทั้งสองมือ โดยเส้นใยเหล่านี้จะเข้าไปควบคุมระบบต่างๆในร่างกายของผู้ถูกควบคุมทั้งหมด แม้ว่าผู้ถูกควบคุมจะรู้สึกตัวอยู่ก็ตาม ดังนั้นเขาจึงเป็นหนึ่งในครีปปี้พาสต้าที่มีพลังร้ายกาจที่สุดคนหนึ่งเลยทีเดียว แต่น่าแปลกที่เขานั้นไม่สามารถควบคุมซีโร่ได้ นั่นอาจเป็นเพราะร่างของซีโร่กลับไม่ใช่ร่างของซีโร่ แต่เป็นร่างของอลิซ แจ็คสันที่ถูกซีโร่กลืนกินเข้าไป นั่นจึงอาจเป็นเหตุให้พัพเพทเทียร์ไม่สามารถควบคุมร่างซีโร่ได้..เพราะเธอถูกควบคุมอยู่แล้วไงล่ะ
ในขณะเดียวกัน ในห้องโถงใต้ดินที่เคยพาไอโอน่าลงมาที่นี่ มิสเตอร์ครีปปี้พาสต้า และผู้ติดตามอีกสามคนนั่นก็คือ สเลนเดอร์แมน มาสกี้ และเบน ดราวน์ได้ลงมาอยู่ ณ สถานที่แห่งเดียวกัน
ชายผิวสีฟ้าอันน่าประหลาดได้ยกแขนขึ้นมาจากที่รองแขน ให้ขนานในแนวระนาบเดียวกับสายตา เขาใช้พลังจิตเคลื่อนย้ายเทคโนโลยีที่ไม่สามารถระบุได้ว่ามันคืออะไร โดยมันมีลักษณะคล้ายกับกล่องรับสัญญาณดาวเทียมที่มีจานขนาดเล็กขยับไปมาบนกล่อง
“ผมต้องขอให้คุณช่วยกระจายสัญญาณกระแสจิตผ่านดาวเทียมให้หน่อยครับ..คุณเบน ดราวน์” ชายผู้เป็นเจ้าของคฤหาสน์และหัวหน้าใหญ่ของสมาชิกครีปปี้พาสต้าทุกคนเอ่ยอย่างสุภาพ
“ถ้าปู่ขอมา..ผมก็พร้อมจะจัดให้” เบน ดราวน์อมยิ้ม ก่อนที่เขาจะพุ่งกระโจนเข้าไปในหน้าจอขนาดเล็กหน้ากล่องรับสัญญาณ ด้วยความสามารถของการแทรกซึมระบบอิเล็กทรอนิกส์ ทำให้ตัวเขาสามารถเปลี่ยนสภาพตนเองให้กลายเป็นคลื่นชนิดเดียวกันกับดาวเทียมที่ส่งสัญญาณใกล้กับพวกเขามากที่สุด
ทันทีที่เขาเข้าไปอยู่ระบบของดาวเทียมได้แล้ว เบนก็ทำการแทรกซึมการถ่ายทอดสัญญาณเพื่อที่จะเตรียมการส่งกระแสจิตไปให้กับครีปปี้พาสต้าคนอื่นๆที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงของประเทศนี้ และเขาก็ทำสิ่งนี้กับดาวเทียมดวงอื่นี่โคจรรอบโลกเช่นเดียวกัน แต่ความพิเศษของการถ่ายทอดสัญญาณแบบนี้คือมันจะเป็นช่องสื่อสารพิเศษที่มีแค่เหล่าครีปปี้พาสต้าเท่านั้นที่สามารถได้รับสาส์นนี้ นั่นเป็นเพราะทุกคนนั้นจะมีเครื่องรับสัญญาณกระแสจิตขนาดพกพาติดตัวกันทุกคน ถ้าหากมีการเชื่อมต่อจากลักษณะนี้ เครื่องรับสัญญาณจะแจ้งเตือนจนกว่าจะมีคนที่มีเสียง ลายนิ้วมือ และดวงตาแบบเดียวกันกับผู้ถือครองเครื่องรับสัญญาณจึงจะสามารถปิดการแจ้งเตือนได้ แต่ครีปปี้พาสต้าบางคนนั้นกลับไม่มีดวงตาและแขน ทำให้จำเป็นต้องระบุตัวตนด้วยเสียงแทนได้
เมื่อแทรกซึมสำเร็จ ใบหน้าของเด็กหนุ่มในสภาพโฮโลแกรมพลันปรากฏขึ้นมาต่อหน้าของเพื่อนพ้อง แต่เขายังไม่สามารถออกมาในสภาพเดิมได้ นั่นก็เพราะเขาจะต้องควบคุมวงโคจรของเหล่าดาวเทียมให้กระจายรอบโลก ซึ่งต้องใช้พลังมหาศาล ภาพโฮโลแกรมที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นความยากลำบากในการเบี่ยงวงโคจรดาวเทียมด้วยพลังจากเด็กเพียงคนเดียว เมื่อเขาทำได้สำเร็จ เสียงของเบนที่ผ่านภพโฮโลแกรมก็ได้ส่งมาถึงเหล่าพวกพ้อง นำไปสู่ขั้นตอนถัดไปซึ่งเป็นหน้าที่ของชายผิวฟ้า
“นี่ท่านปู่..ผมทำสำเร็จแล้วน้าาาาาา” เบนเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงขี้เล่น แต่เขาก็ยังคงออกมาจากระบบดาวเทียมไม่ได้ เพราะเขายังจำเป็นต้องควบคุมระบบดาวเทียมทั้งหมด หากเกิดปัญหาขัดข้องใดเกิดขึ้น
บุรุษผิวฟ้าผู้อยู่บนพื้นดิน ขยับล้อรถเข็นไปด้านหน้าของโต๊ะวางเครื่องส่งสัญญาณ โดยสิ่งที่อยู่ข้างเครื่องส่งสัญญาณก็มีอุปกรณ์หน้าตาประหลาดวางอยู่เคียงข้าง มันมีลักษณะคล้ายกับหมวกกันน็อคสีเทาปกติ โดยหมวกนี้ไม่ได้คุมทั้งใบหน้า มันคุมเพียงแค่หน้าผาก ด้านบนและด้านหลังของศีรษะจนถึงท้ายทอย เมื่อบุรุษผิวฟ้าหยิบขึ้นมาใส่เสร็จสมบูรณ์ บริวเณด้านหลังของหมวกที่คุมหลังศีรษะพลันปรากฏรยางค์ท่อใหญ่สีฟ้าเรืองแสงปรากฏออกมา ท่อเรืองแสงนั้นก็ได้เชื่อมต่อท้ายทอยซึ่งเป็นจุดที่มันโผล่ออกมาเข้ากับเครื่องส่งสัญญาณ เพื่อที่จะเชื่อมต่อพลังจิตเของเขาให้กระจายไปยังเหล่าครีปปี้พาสต้าจากทั่วทุกมุมโลก
‘หากพวกคุณทุกคนได้ยินเสียงของผมแล้ว..ได้โปรดรับฟังสิ่งที่ผมจะพูดอย่างตั้งใจด้วยครับ’ มิสเตอร์ครีปปี้พาสต้าสนทนาผ่านคลื่นพลังจิตของเขาซึ่งเชื่อมต่อเข้ากับดาวเทียมรอบโลก ด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
‘เหตุการณ์ที่พวกเราจากฐานหลักได้บุกเข้าโจมตีฝ่ายศัตรู ทำให้เราต้องสูญเสียพี่น้องของพวกเราไปมากมาย และนั่นจึงเป็นสาเหตุให้ผมต้องเปิดระบบสื่อสารฉุกเฉินนี้ขึ้น โดยมีจุดประสงค์เพื่อ..’
‘ส่งสาส์นนี้ให้รับทราบการประกาศการรวมกลุ่มเหล่าครีปปี้พาสต้าเข้าโจมตีและทวงคืนพี่น้องของพวกเรากลับมา ผมจึงต้องการพลังของเหล่าครีปปี้พาสต้าแฟมิลี่ทุกคน แม้คุณจะคิดว่าตนเองไม่มีพลังมากพอจะช่วยเหลือใครได้ ซึ่งมันไม่ใช่เลย...ทุกความช่วยเหลือแม้เพียงน้อยนิดก็มากพอจะช่วยเยียวยาพวกพ้องของเราได้อย่างแน่นอน ณ จุดนี้ ได้โปรดเข้าร่วมกับเราเพื่อช่วยเหลือพี่น้องของเราเถอะครับ’
‘พวกเราไม่ใช่ตัวประหลาด..พวกเราไม่ใช่คำสาป..พวกเราไม่ใช่ฆาตรกร..พวกเราไม่ใช่สิ่งใดก็ตามที่เหล่ามนุษย์เรียกเรา แต่พวกเราก็ไม่ได้เป็นมนุษย์เช่นเดียวกัน นั่นเป็นเพราะพวกเราคือครีปปี้พาสต้า..เป็นเพียงสิ่งมีชีวิตที่มีพรสวรรค์และต้องการอยู่โดยสันติเท่านั้น’
‘จงลุกขึ้นมาสู้ตามวาจาของกระผมเถิดเพื่อสันติสุข..เพื่อพี่น้อง..เพื่ออนาคต เพราะพวกเราคือครีปปี้พาสต้า!!!’
เมื่อชายผิวฟ้าหมดสิ้นหน้าที่แล้ว เขาก็ได้ถอดอุปกรณ์กระจายสัญญาณลงที่เดิม เบน ดราวน์ที่เสร็จหน้าที่ก็ได้กลับมาที่จุดเดิม แล้วทั้งหมดก็ได้เดินไปยังห้องโถงของคฤหาสน์ปล่อยให้ห้องใต้ดินกลับมามืดสนิทเช่นเดิม
หน้าห้องพักห้องหนึ่งภายในคฤหาสน์หลังใหญ่ของมิสเตอร์ครีปปี้พาสต้า บุรุษหนุ่มผู้หนึ่งกำลังจะเดินเข้ามาในห้อง โดยมีเพียงผ้าเช็ดเดียวผืนหนึ่งปิดบังช่วงล่างเอาไว้ ส่วนมือทั้งสองก็สอดเข้าไปในผ้าเช็ดตัวผืนเล็กเพื่อเช็ดศีรษะให้แห้ง ปอยสะเก็ดน้ำกระจายออกไปรอบข้างเล็กน้อย หลังจากที่ผมเริ่มแห้ง เขาจึงหมุนลูกบิดประตูเพื่อเปิดเข้าไป ก่อนจะเดินเข้าไปอย่างไม่รีบร้อนนัก
ร่างกายของชายหนุ่มผมสีน้ำตาลผู้นี้เต็มไปด้วยรอยเย็บมากมายทั่วทั้งร่างกาย ดวงตาสีเขียวที่เป็นจุดเด่นของลูกหลานตระกูลวู้ดส์ ที่ในขณะนี้เหลือเพียงสองคนนั่นคือ ลูว์ วู้ดส์ ผู้เป็นพี่ชายและเจฟเฟอรี่ วู้ดส์ ผู้เป็นน้องชาย
พวกเขายังคงเหลือรอดจากการฆาตรกรรมยกครัวได้อย่างน่าปาฏิหารย์ โดยเฉพาะลูว์ที่รอดมาได้ในสภาพที่ปางตายเต็มทน ร่างกายที่เต็มไปด้วยบาดแผลฉกรรจ์มากมาย ปากที่ฉีกออกจนถึงกลางแก้ม รอยแผลที่เกิดขึ้นบริเวณดวงตา รอยแผลลึกที่ลำคอ หน้าอก และอวัยวะภายในที่กองอยู่กับพื้น บางชิ้นนั้นก็ขาดครึ่งหรือถูกคมมีดบาดจนไม่สามารถนำกลับมาใช้งานได้ นั่นยังคงไม่ได้รวมถึงบาดแผลจากไฟไหม้ที่เกินจะเยียวยาบริเวณแผ่นหลังของเขา และอาการเสียเลือดอย่างหนัก
แม้ว่าลูว์จะรอดมาได้จากการฆาตกรรมครั้งนั้น แต่ความเจ็บปวดของการสูญเสียครอบครัวยังคงฝังใจอยู่ลึก และเคยปักใจเชื่อว่าเจฟนั้นอาจเป็นฆาตกรหรือบางสิ่งที่พรากทุกสิ่งไปจากเขาไปกันแน่ สิ่งที่เขาจำได้หลังจากฟื้นขึ้นมานั้นคือรอยยิ้มอันน่าสะพรึงของเจ้าปีศาจตนนั้น และภาพที่พ่อและแม่ของเขาต่างล้มลงจมกองเลือดอย่างน่าอนาถโดยที่เขาไม่สามารถทำได้แม้จะปกป้องหรือช่วยเหลือ ..ไม่สิ แค่เดินด้วยตัวเองยังทำไม่ได้ ก็ไม่ควรจะหวังถึงการช่วยเหลือพวกเขาหรอก แต่สิ่งเดียวที่ทำให้เขายังคงมีความมุ่งมั่นที่จะมีชีวิตต่อไปนั่นคือการพิสูจน์ว่าน้องชายของตนเองเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่เวลาอันเนิ่นนานและความเคียดแค้นที่เดือดดาลจากภายในนั้นได้หลอมหลวมทั้งหมดเข้าไปในส่วนลึกของหัวใจที่แตกสลาย จนสุดท้ายแล้วเขาก็หลงผิดว่าน้องชายโดยสายเลือดของเขานั้นคือฆาตกรที่สังหารพ่อแม่ของตนเอง
แม้ว่าลูว์จะรอดมาได้อย่างปาฏิหารย์ แต่ร่างกายของเขาก็ไม่ได้เหมือนเดิมอีกต่อไป ชายหนุ่มที่เคยเข้มแข็ง ร่าเริง และแข็งแรง กลับทรุดโทรม หม่นหมอง และทุกข์ใจอยู่ตลอด ลูว์นั้นแทบจะไม่เคยยิ้มเพราะมีความสุขจริง แต่เป็นการยิ้มประชดประชัน ยิ้มเย้ยหยัน หรือยิ้มถากถางเสียมากกว่า
พี่ใหญ่ตระกูลวู้ดส์มักจะคิดทบทวนเรื่องในอดีตอันแสนเจ็บปวดอยู่หลายครา ทำให้เขามักชอบเดินทำหน้ากลุ้มและใจลอยอยู่เสมอ เช่นในคราวนี้ที่เขากำลังจะเปลี่ยนชุดในห้องอย่างเปิดเผยโดยไม่สนใจพยาบาลสาวที่นั่งอยู่บนเตียงนอนข้างๆ เธอจ้องมองร่างกายลูว์ด้วยท่าทางเหรอหรา
ลูว์ที่ยังคงไม่เห็นหัวพยาบาลสาวก็ได้วางผ้าเช็ดตัวผืนเล็กที่ใช้เช็ดผมลงบนเตียงนอนของเขาซึ่งอยู่ตรงข้ามกับเตียงนอนของซูซาน หลังจากั้นเขาจึงค่อยคลายผ้าเช็ดตัวที่ปิดบังส่วนล่างจนเห็นส่วนล่างจากทางด้านหลังอย่างชัดเจน แม้ว่าซูวานจะเป็นพยาบาลที่มักจะคอยดูแลคนไข้เช่นนี้อยู่หลายครั้ง แต่พอมาเจอกับเคสที่เป็นคนสนิทชิดเชื้อเกินกว่าคำว่าเพื่อนแบบนี้ มันยากที่จะแสดงอาการเขินอายจนหน้าแดง
ลูว์ก็ยังคงใจลอยอยู่เช่นเดิมจนถึงช่วงเวลาที่ต้องไปหยิบเสื้อผ้าจากตู้เสื้อผ้าที่อยู่ตรงข้าม เขาจึงได้หันไปทางตู้เสื้อผ้า เปิดเผยบางสิ่งที่ไม่ควรเปิดเผยให้เพศตรงข้ามได้เห็นเด็ดขาดออกมา ซูซานหน้าแดงระเรื่อ เธอร้องออกมาเบาๆ ก่อนจะปิดปากลง แต่เสียงนั้นกลับดังพอที่จะเรียกสติของลูว์ให้กับมา ชายหนุ่มมองไปทางซูซานที่หน้าแดงระเรื่อ เธอเบือนหน้าหนีไปทางอื่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ชายหนุ่มจึงมองไปที่ร่างกายอันเปลือยเปล่าของตนเองแล้วจึงเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เขารีบปิดส่วนล่างทันที
“เอ่อ..” ลูว์เบือนหน้าไปทางอื่น ความเขินอายเกิดขึ้นกับตัวเขามากกว่าครั้งไหนๆ
“โนคอมเมนต์ค่ะ” ซูซานเอ่ยแซวชายหนุ่มเล็กน้อย แล้วจึงหันมายิ้มหวานให้กับเขาในสภาพหน้าแดงเกินพิกัด ลูว์ที่ถูกแซวก็ก้มหน้าลง ไม่กล้าสบตาเธอ “ก็ใหญ่อยู่นะ...”
“ซูซานนนนน!!!!!!!!” ลูว์ตะโกนเสียงสูงออกมา ทันใดนั้นประตูห้องของเขาก็เปิดออก ทั้งคู่จึงหันไปพร้อมกัน
“พี่ลูว์คะ..คือ เอ่อ...” หญิงสาวผมน้ำตาลผู้เป็นแฟนสาวของน้อยชายลูว์..เจน เดินเข้ามาโดยไม่แม้แต่จะเคาะประตู ทำให้ได้เห็นบางสิ่งที่เธอไม่ควรเห็น
“ขอโทษที่รบกวนค่ะ!!!” เจนรีบปิดประตูลงทันที ลูว์และซูซานที่ถูกเข้าใจผิดจึงมองหน้ากัน
“รีบไปหาเสื้อใส่สิคะ..ชั้นไม่ตัดริบบิ้นให้หรอกนะ” ซูซานพูดตัดบทก่อนจะหันหลังไปทันที ลูว์จึงหมดเวลาอ้ำอึ้งแล้วรีบหาเสื้อผ้าใส่โดยเร็ว
หลังจากที่ลูว์ใส่เสื้อผ้าเสร็จแล้ว ซูซานก็ได้หันกลับมา และพบกับลูว์ในสภาพเช่นเดียวกันกับทุกๆวัน เสื้อเชิ้ร์ตสีขาวที่ถูกสวมทับด้วยเสื้อกั๊กไหมพรมสีเขียว และทั้งหมดนั้นก็ถูกเสื้อโค้ตทรงยาวสีดำทับอีกรอบหนึ่ง กางเกงขายาวสีน้ำตาล รองเท้าผ้าใบสีขาวสลับน้ำเงิน และที่ขาดไม่ได้..ผ้าพันคออันเป็นเอกลักษณ์ แต่ในวันนี้เขากลับใส่ผ้าพันคอไหมพรมสีน้ำเงินสลับดำ..ผ้าพันคอที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความทรงจำดีๆของครอบครัวในวัยเด็ก เขาใช้เวลาอยู่นานกว่าจะสามารถทำใจและใส่มันจนได้ มันเป็นผ้าพันคอที่ถูกซื้อโดยพ่อ แม่ และเจฟอย่างลับๆ เพื่อมาเซอไพรส์ลูว์ในวันเกิดครบรอบ 12 ปี
ชายหนุ่มที่ใส่เสื้อผ้าเสร็จก็ทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงนอน แล้วก้มหน้าที่แสดงอาการทุกข์ใจ ไม่มีความสุขลงมองพื้นห้อง และกลับมาคิดถึงเรื่องที่เจฟถูกจับตัวไป เพราะในครั้งนั้นเขากลับไม่สามารถยื่นมือไปช่วยน้องชายของเขาได้แม้แต่น้อย ทำได้เพียงมองดูทุกอย่างเกิดขึ้นกับเพื่อนพ้องและน้องชาย
“ลูว์..” เสียงเล็กหวานดังขึ้นมา ชายหนุ่มจึงหันมามองเจ้าของเสียง ก่อนที่บางสิ่งที่ค่อนข้างแข็งได้เข้ามาสัมผัสกับขมับส่วนล่างทั้งสองด้าน ก่อนจะหยุดลงเมื่อผ่านใบหูและปอยผมไป ใบหน้าของหญิงสาวขยับเข้ามาใกล้ลูว์อย่างมาก จนสามารถเห็นริมฝีปากที่เข้ามาใกล้ได้ไม่ชัดเจน เมื่อบางสิ่งที่เคลื่อนไหวผ่านได้หยุดลง ซูวานก็ได้หันหลังกลับไปแล้วหยิบกระจกขึ้นมา
“ลูว์..เธอคิดว่าไง” หญิงสาวยิ้มหวาน เธอยื่นกระจกไปที่ลูว์ ทำให้เขาได้มองเห็นความเปลี่ยนแปลงของตนเอง “แว่นตาที่ชั้นเลือกมาสวยมั้ย..”
ชายหนุ่มที่ใส่แว่นตากรอบเหลี่ยมสีดำ เมื่อมองเห็นตนเองก็ได้ยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยยากที่จะสังเกต เขามองไปทางพยาบาลส่วนตัวของเขา ใบหน้าที่ยิ้มแย้มอย่างมีความสุขของเธอ ชวนทำให้เคลิ้มจนอยากจะยิ้มไปพร้อมกัน ลูว์จึงไม่ลังเลที่จะตอบกลับไป
“ไม่..” ชายหนุ่มตอบกลับไปด้วยใบบหน้าเรียบนิ่งกับยิ้มบางๆ ซูซานที่ได้ยินเข้าก็ได้คอตกทันที
“โธ่..แย่จัง นึกว่าจะชอบซะอีก” ซูวานเอ่ยอย่างผิดหวัง ก่อนที่เธอจะหันหลังไปวางกระจกที่เดิม แล้วกลับมานั่งข้างลูว์เช่นเดิม
“ไม่..ไม่เลวนี่” รอยยิ้มของชายหนุ่มเริ่มขยายใหญ่ขึ้น แต่ก็ยังคงเบาบางอยู่เช่นเดิม หญิงสาวเรือนผมน้ำตาลอ่อนราวกับเนื้อไม้ หันกลับมาอย่างประหลาดใจ ก่อนจะยิ้มอย่างอ่อนโยนเฉกเช่นเดิม
“ขอบคุณนะที่ชอบมัน..” ซูซานปล่อยให้ศีรษะร่วงลงสบไหล่กับลูว์..ชายหนุ่มที่เธอรักจากใจจริง
ลูว์ได้หันมามองพยาบาลสาวที่นอนซบไหล่ของเขาอย่างมีความสุข ชายหนุ่มแอบยิ้มบางๆให้เล็กน้อย นั่นเป็นการยิ้มครั้งแรกของเขาหลังจากโศกนาฏกรรมที่หลอกหลอนเขาจากในอดีต
“ซูซาน..” หญิงสาวลืมตาตื่นขึ้นแลมองชายหนุ่มจากจุดเดิม
“เธอรู้มั้ย..ตอนที่ชั้นเจอเจฟที่นี่ ความทรงจำทุกอย่างมันหวนกลับมา ความสับสน ความเศร้าสลด ความโกรธแค้น ...พวกมันหวนกลับมาตอนที่ชั้นเห็นหน้าเขา” ลูว์ฟุบใบหน้าลงมองพื้นห้อง “ทั้งที่ชั้นรู้อยู่แก่ใจอยู่แล้ว..เจฟไม่ใช่คนที่ฆ่าพวกเขาหรอก..เจฟไม่ใช่คนที่ฆ่าพ่อแม่ของพวกเรา”
“ในวันนั้น..ชั้นอยากจะเข้าไปกอดเค้า แต่ความสับสนและความโกรธ มันได้ลงมือออกไป..ชั้นควบคุมตนเองไม่ได้เลย ทำได้แค่มองน้องชายที่กำลังกลัวจนตัวสั่น”
“แต่ก็ดีที่ความโกรธที่เกิดขึ้นทำให้ร่างกายชั้นใช้แรงมากเกินไปจนร่างกายรับไม่ไหว..อย่างที่เธอเห็นชั้นล้มลงไปนอนกองกับพื้น ดิ้นรนไปมาเหมือนกับปลาที่ถูกดึงขึ้นมาบนบกและกำลังขาดลมหายใจ” ลูว์เงยหน้าขึ้น แล้วยิ้มสมเพชตนเอง
“แต่เจฟกลับไม่มีทีท่าจะโกรธหรือเกลียดชั้นเลย..สิ่งสุดท้ายที่ชั้นมองเห็นก็คือสีหน้าเป็นห่วงเป็นใยของน้องชายตัวแสบ..ฮึ” ชายหนุ่มใช้มือยื่นขึ้นมาจับไปที่ใบหน้าของตนเอง “ทำไมชั้นถึงกล้าทำร้ายน้องชายแท้ๆของชั้นเองล่ะ..ทำไมชั้นถึงกล้าทำร้ายเจฟ”
ร่างของหญิงสาวเข้าโผกอดชายหนุ่มที่ทุกข์ใจอย่างหนักหน่วง ความอบอุ่นจากร่างของเธอถูกถ่ายทอดไปยังหัวใจที่เคยแตกร้าวและแหลกสลายไปแล้ว ความอบอุ่นจากเธอเป็นเพียงสิ่งเดียวที่คอยเยียวยาให้เขายังคงมีชีวิตอยู่ต่อไปได้..
แต่มันกลับไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ..ไม่ใช่ความอบอุ่นที่ตัวเขาได้รับ นั่นเป็นเพราะสิ่งนั้นไม่อาจเทียบได้กับสิ่งที่เธอให้กับชายหนุ่มผู้นี้เลย ความต้องการแท้จริงของเขานั้นคือเธอ..ผู้ซึ่งยืนหยัดเคียงข้างกับเขา แม้ในยามที่ทั้งสองทุกข์ใจที่สุด เธอก็ยังคงยิ้มรับและพยุงร่างของลูว์ก้าวข้ามผ่านไปในที่สุด
“ชั้นไม่รู้หรอกนะว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่ตัวชั้นสลบไปแล้ว..ชั้นรู้แค่ว่าหลังจากที่ตื่นขึ้นมามันคล้ายกับมีบางอย่างหายไป”
“คุณลอสต์กับคุณพิงกี้ผ่าตัดไม่สมบูรณ์เหรอ..ลูว์” ซูซานแสดงท่าทีตื่นตระหนก เธอเลื่อนอ้อมแขนออกจากร่างชายหนุ่ม ทำทีจะลุกขึ้น แต่กลับถูกแขนของชายหนุ่มฉุดรั้งเอาไว้
ลูว์ส่ายหน้าไปมาเพื่อตอบกลับข้อสงสัย ซูซานที่ทราบคำถามถอนหายใจโล่งอก แล้วจึงกลับไปนั่งเฉกเช่นเดิม
“ความจริงแล้วชั้นว่าเจ้าฮู้ดดำนั่นไม่ได้เปลี่ยนถ่ายอวัยวะภายในให้ชั้นหรอก..” ลูว์ยิ้มบางที่มุมปาก มันเบาบางจนยากจะมองเห็นโดยผิวเผิน
“เพราะเจ้านั่นน่าจะรู้ว่าจริงๆแล้วต้นตอของปัญหาไม่ใช่อวัยวะภายในที่เสื่อมสภาพและเสียหาย” ซูซานฟังอย่างตั้งใจ ภายในใจของเธอยังคงห่วงใยลูว์เป็นอย่างมาก
“แต่เป็นเพราะบางสิ่งที่ฝังลึกในจิตใจของชั้นต่างหาก..ทั้งความสับสน ความโกรธแค้น มันหายไปเกือบทั้งหมดจนน่าประหลาด”
“การกระทำของเจ้าบ้าใส่ฮู้ดนั่นก็คงจะเป็นแค่ส่วนหนึ่งที่ทำให้ชั้นกลับมาเป็นลูว์ที่สามารถยิ้ม หัวเราะอย่างมีความสุข และสนุกกับน้องชายตัวแสบและทุกๆคนได้อีกครั้ง”
“และส่วนสำคัญอีกส่วนนึงก็คือ..” ลูว์เบือนหน้าไปทางหญิงสาว “เธอ..ซูซาน ถ้าในวันนั้นชั้นไม่ได้พบเธอก็คงจะไม่มีลูว์ในวันนี้หรอกนะ”
“ชั้นรักเธอนะ..ซูซาน” ลูว์ยิ้มอย่างอ่อนโยนให้กับหญิงสาวที่เขารักสุดหัวใจ
ซูซานแสดงออกผ่านใบหน้าทันที ใบหน้าของเธอแดงไปถึงใบหู ดวงตาของเธอเปล่งประกายออกมา เธอนั้นก็พยายามจะพูดบางอย่างออกไป แต่ร่างกายกลับไม่ทำตามที่เธอต้องการ เธอจึงทำได้เพียงแค่สิ่งเดียวที่เธอถนัด
“...” เธอไม่ได้พูดอะไรออกมา ยกเว้นแต่รอยยิ้มอันอ่อนโยนที่เธอมักจะมอบให้ชายหนุ่มอยู่เสมอ
ชายหนุ่มมองไปยังใบหน้าของซูซานที่ยิ้มอย่างอ่อนโยนเฉกเช่นทุกๆครั้ง จิตใจที่เคยปวดร้าวและเจ็บปวด กลับถูกบรรเทาและเยียวยาเรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้ แม้เธอจะพูดไม่เก่งนัก แต่ความรู้สึกที่เธอมอบให้มันเหนือยิ่งกว่าการลั่นวาจาอออกมาเสียอีก หลังจากนั้นชายหนุ่มโอบกอดหญิงสาวทันที
ในเวลาต่อมา ทั้งคู่ได้พูดคุยกันอย่างมีความสุข ทั้งยิ้มและหัวเราะไปด้วยกันเช่นเดียวกับเขาและเจฟในอดีต
“ชั้นไม่ค่อยได้เห็นมากหรอกนะ..ที่ลูว์จะพูดเยอะขนาดนี้” ซูซานพูดออกมาทั้งรอยยิ้ม
“ทำไมรู้สึกเหมือนถูกด่า..” ลูว์ยิ้มแห้งๆ
“เค้าไม่ได้ว่าลูว์นะ..” เธอรีบใช้มือปัดป้องออกไปทันที “ชั้นแค่รู้สึกดีที่ลูว์พูดกับชั้นได้มากขึ้นกว่าเก่า”
“งั้นก็พยายามต่อไปนะ” เธอแแสดงสีหน้ามุ่งมั่น แต่ก็อ่อนโยนในเวลาเดียวกัน
“ครับ..แม่พยาบาลสุดสวย” ลูว์ตอบกลับไป แต่ใบหน้าของซูวานกลับแลดูคล้ายจะมีความข้องใจ
“แม้แต่ลูว์ก็ไม่รู้งั้นเหรอ..ว่าจริงๆแล้วชั้นไม่ใช่พยาบาล” ซูซานเอ่ยสิ่งที่น่าตกใจออกมา จนแม้แต่ลูว์ยังต้องขมวดคิ้ว
“นี่..เธอไม่ใช่พยาบาลหรอกเหรอ” ชายหนุ่มแสดงสีหน้าสงสัย
“ทั้งใช่และไม่จ้ะ..” หญิงสาวตอบกลับมาอย่างน่าฉงน จนลูว์ต้องกลับมาขมวดคิ้วอีกครั้ง
“ที่ใช่..คือชั้นเป็นพยาบาลจริงๆ” ซูซานเอ่ยเพื่อไขข้อสงสัยของชายหนุ่ม “ส่วนที่ไม่ใช่ก็ตรงที่ชั้นไม่ได้เป็นพยาบาลอย่างเดียว..ชั้นก็เป็นแพทย์ด้วยนะ”
“หาาาาาาาา!!!” ชายหนุ่มอ้าปากค้าง “นี่เธอเป็นหมอเหรอ!!!”
“หน้าเค้าไม่เหมือนหมอขนาดนั้นเลยเหรอ..” ใบหน้าของซูซานแสดงอาการสลดลง
“ป่าวๆ คือชั้นแค่นึกไม่ถึง..ว่าเธอจะเป็นหมอน่ะ” ลูว์ประหลาดใจมากกับอาชีพที่แท้จริงของแฟนสาว “ว่าแต่เธอเป็นหมออะไรล่ะ”
“อายุรแพทย์ สาขาเวชบำบัดวิกฤติจ้ะ” ซูซานตอบกลับไปแล้วจึงยิ้มให้ลูว์ที่ทำหน้าฉงนงงงวย เธอจึงได้เริ่มกล่าวอธิบายต่อ “เกี่ยวกับเรื่องการบำบัด รักษาและเยียวยาอวัยวะต่างๆของผู้ป่วยอย่างใกล้ชิดน่ะจ้ะ”
“อ่อ..เธอก็เลยเรียนพยาบาลศาสตร์ควบคู่มาด้วยงั้นสินะ” ลูว์นั่งกอดอก พยายามทำความเข้าใจ
“ปิ๊งป่อง..ถูกต้องค่าาา” ซูซานตอบกลับมาอย่างร่าเริง
“แต่เธอเพิ่งจะอายุ 24 ไม่ใช่เหรอ..แล้วไหงถึงเรียนหมอจบแล้วล่ะ” ลูว์เกิดข้อสงสัยขึ้นอีกครั้ง
“ลูว์คงไม่เคยได้ยินเรื่องอขงเด็กผู้หญิงที่สามารถเข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยตั้งแต่ยังอยู่ตอนมัธยมต้นสินะ” ซูซานยิ้มกว้าง ก่อนจะเปิดเผยความจริงของเธอ “ชั้นอายุ 25 แล้วนะลูว์ ส่วนที่ชั้นเรียนจบเร็วก็เพราะเรื่องที่บอกนั่นแหละ..ชั้นได้มาอยู่กับลุงที่เป็นอาจารย์แพทย์ที่มหาวิทยาลัยหลังจากที่พ่อกับแม่จากไปน่ะ”
“นี่พ่อกับแม่เธอ..” ลูว์แสดงสีหน้าประหลาดใจ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีหน้าหงุดหงิด เขาใช้ฝ่ามือทั้งสองจับไปที่หัวไหล่ของหญิงสาว “ทำไมเธอถึงไม่เคยบอกเรื่องนี้กับชั้นเลยล่ะ..”
“ชั้นไม่ต้องการให้ลูว์ที่มีสภาพจิตใจอย่างนั้นต้องมาแบกรับเรื่องน่าเศร้าของชั้นยังไงล่ะ” ซูซานเลื่อนใบหน้าลงไปมองที่ตัก “ชั้นเป็นหมอนะ..ชั้นจะไม่ยอมให้คนไข้มาเห็นชั้นในสภาพท้อแท้และสิ้นหวังได้หรอก ดังนั้น…”
“ชั้นก็ต้องยิ้มออกมาเพื่อไม่ให้นายมองเห็นความอ่อนแอภายในใจของชั้นไงล่ะ” ซูซานที่ก้มหน้าลงมองขึ้นมาที่ชายหนุ่มแล้วจึงมอบรอยยิ้มอันอ่อนโยนให้กับเขา
“ทีหลังมีเรื่องอะไรก็คุยกันตรงๆ..อย่าเก็บมันเอาไว้ล่ะ” ลูว์เลื่อนฝ่ามือขึ้นไปลูบศีรษะที่ถูกปกคลุมด้วยเรือนผมนุ่มยาวสีน้ำตาล “เดี๋ยวเจ้าคนอ่อนแอตรงนี้จะอกแตกตายกันพอดี”
“นายพูดอะไรเนี่ย..ลูว์ ชั้นต่างหากที่ต้องอกแตกตาย” เธอผลักลูว์ออกไปแล้วจึงขำออกมาพร้อมกับความสุขที่ถูกแสดงออกผ่านใบหน้าของเธอ
แต่แล้วทันใดนั้นเอง ภายในห้องของชายหญิงสาวทั้งสองกลับปรากฏประตูมิติทรงกลมสีดำขึ้น ทั้งสองหันขวับไปเพ่งมองมันทันที มันปรากฏออกมาระยะหนึ่ง ก่อนที่จะมีบางสิ่งพุ่งกระโจนออกมาอย่างรวดเร็ว ตามมาด้วยหิมะที่ถูกแรงลมแบกพัดเข้ามาในห้องของลูว์ ซึ่งหลังจากที่สิ่งนั้นพุ่งออกมา ประตูมิติก็พลันปิดลงพอดี
บุรุษผู้สวมเสื้อโค้ตหนังสัตว์ที่มีหิมะเปรอะเปื้อนเต็มเสื้อลุกยืนขึ้นมา โดยมือข้างหนึ่งของเขาถือกระเป๋าโลหะที่ใช้ในการเก็บสิ่งของสำคัญเอาไว้ ส่วนในมืออีกข้างก็ถือสมาร์ทโฟนที่มีสายของหูฟังเชื่อมต่ออยู่ เขาทำการกดเลื่อนเปลี่ยนเพลงก่อนจะเลื่อนฮู้ดของเสื้อโค้ตหนังสัตว์ลง เปิดเผยใบหน้าของบุรุษผู้มีผมสีทองและนัยน์ตาสีแดงก่ำ
“แม็กซิมัส..” ลูว์กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา ชายผู้ถูกเรียกจึงได้หันไปมองผู้เอ่ยนามตนเอง
“ลูว์ วู้ดส์สินะ..” ลาอ้อนตบไปที่เสื้อโค้ตหนังสัตว์ที่เปื้อนหิมะ ทำให้มันสลายหายไปทันใด แล้วเขาจึงเริ่มเสกชุดที่ตัวเขาใส่เป็นปกติออกมาสวมใส่
“ใช่..ชั้นเอง นายมีธุระอะไรกับชั้น” ลูว์ยืนขึ้นโดยปล่อยให้ซูซานนั่งอยู่บนเตียงข้างหลังของตนเอง
“ลอสต์ให้ชั้นเอาเจ้านี่มาให้นายน่ะ” ลาอ้อนดึงหูฟังออกจากใบหูทั้งสองข้าง แล้วจึงทำให้สมาร์ทโฟนและหูฟังอันตรธานหายไป เมื่อเสร็จสิ้นเขาจึงยื่นกระเป๋าโลหะที่ถืออยู่ไปให้ลูว์
“ลอสต์? ไอบ้าหน้าฮู้ดสินะ..” ลูว์เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งเย็นชา “ในนี้มีอะไรอยู่ข้างในล่ะ”
“สิ่งที่จะช่วยให้นายสามารถช่วยให้นายต่อสู้และพาน้องชายของนายกลับมาได้ยังไงล่ะ”ลาอ้อนกล่าวออกมาพร้อมกับใบหน้าจริงจัง
“เจ้านั่นยังกำชับกับชั้นเลยว่าสิ่งนี้จะใช้ได้แค่กับนายเท่านั้น” เมื่อพูดจบ ชายหนุ่มผมทองจึงใช้พลังปลดพันธนาการของกระเป๋าโลหะนั้นออก ก่อนจะเปิดสิ่งที่อยู่ภายในให้ชายหญิงทั้งสองได้เห็น
“นี่มัน!!!” ซูซานอุทานออกมาด้วยความตื่นตระหนกตกใจเป็นอย่างมาก
ภายในห้องรับแขกของคฤหาสน์ เหล่าครีปปี้พาสต้าที่เหลืออยู่ได้เข้ามารวมตัวกันเพื่อรอสมาชิกคนอื่นๆที่กำลังจะมาถึง
ผ่านไปแล้วกว่า 2 ชั่วโมงหลังจากที่มิสเตอร์ครีปปี้พาสต้าได้ทำการประกาศฉุกเฉินไปยังเหล่าครีปปี้พาสต้าจากทั่วทุกมุมโลก ในขณะนี้มีครีปปี้พาสต้าเข้ามาภายในคฤหาสน์แล้วเพียงแค่ 2 คนเท่านั้น นั่นก็คือ ลาฟฟิ้งจิล ภรรยาของลาฟฟิ้งแจ็ค หากดูจากลักษณะภายนอกคงไม่มีอะไรผิดเพี้ยนไปจากแจ็คเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งเธอยังเป็นเพื่อนในจินตนาการและเกิดขึ้นแบบเดียวกันกับแจ็คทั้งหมด แต่สิ่งที่แตกต่างนั่นก็คือเธอเป็นผู้หญิงนั่นเอง
ส่วนคนที่สองนั้นก็คือแอน พยาบาลสาวผิวเทาที่เต็มไปด้วยรอยเย็บ หากเปรียบเธอกับพวกผีดิบก็คงไม่ผิดเสียทีเดียว โดยเธอนั้นหลงรักมาสกี้เพียงฝ่ายเดียวจนมักจะแลชายตามองชายหนุ่มผู้นั้นอยู่บ่อยๆ และคนที่เธอเกลียดที่สุดก็คือ จัดจ์ แองเจล ที่เคยมีปัญหากันในช่วงที่ยังไม่ได้เป็นครีปปี้พาสต้า
“มิสเตอร์ครีปปี้พาสต้า..แจ็คเค้าถูกจับไปด้วยเหรอค่ะ” หญิงสาวผิวขาวที่ใส่ชุดสาวใช้ซึ่งมีสีโทนเดียวกับของของลาฟฟิ้ง แจ็คอย่างไม่ผิดเพี้ยน
“ใช่แล้วครับ..ผมเสียใจด้วย” มิสเตอร์ครีปปี้พาสต้าแสดงสีหน้าสลด
“ฮึกๆ ทำไมถึงต้องเกิดเรื่องแบบนี้กับเขานะ” จิลร้องไห้ออกมาเบาๆ ฝ่ามือหนึ่งจึงเข้ามาจับไหล่ของเธอ จิลหันไปจึงพบเจนในร่างมนุษย์
“เจนนี่..” จิลปาดน้ำตาของตัวเองออก
“เขาจะต้องกลับมาแน่..ไม่ต้องห่วงนะคุณจิล” เจนปลอบโยนหญิงสาวเบื้องหน้าให้ลดทอนความเศร้าลง
“ขอบคุณนะ..เจนนี่” จิลที่ได้ปลอบโยนจึงเริ่มเปิดประเด็นคุยถึงเรื่องเจฟ แต่อีกฝั่งหนึ่งกลับเกิดเสียงโวกเวกโวยวายกันดังสนั่นจนสเลนเดอร์แมนจำต้องเข้าไปห้าม
“หยุดทะเลาะกันเถอะนะครับ..เวลานี้เราต้องสามัคคีกันนะครับ” สเลนเดอร์เข้าไปห้ามปรามแอนกับจัดจ์ แองเจลที่ทะเลาะกันเฉกเช่นปกติ บลัดดี้ เพนเทอร์รีบฉุดรั้งร่างของแองเจลออกมาทันที ส่วนทางแอนก็ถูกพัพเพทเทียร์ฉุดรั้งเอาไว้เช่นกัน ส่วนซีโร่กลับนั่งขำอยู่ที่พื้นข้างหน้าทั้งห้าคน
“ยัยนางฟ้า!! ชั้นบอกเธอไปแล้วไง..นี่ต่างหากที่ทำให้เลื่อยชั้นมันไปโดนขาเธอ” แอนชี้ไปยังซีโร่ที่กำลังนั่งขำกลิ้งอยู่ที่พื้น “ยัยนี่ต่างหากที่วางค้อนเอาไว้ผิดที่จนทำให้ชั้นสะดุด..แล้วชั้นก็ขอโทษไปแล้วด้วยจะเอาอะไรอีกย่ะ”
“เลิกโบ้ยไปที่ซีโร่ซะทีเถอะ..ยัยผีดิบ!! คนที่ผิดมันเธอต่างหากล่ะ..ตาถั่วแล้วยังโบ้ยให้คนอื่นเป็นแพะ เธอนี่มันแย่ที่สุด” จัดจ์ แองเจลยังคงปริปากทะเลาะกับแอนเช่นเดิม
ทันใดนั้นเอง ร่างของหญิงสาวผมสีชมพูกลับปรากฏขึ้นมาจากพื้นห้องรับแขก เมื่อร่างกายออกมาจนครบทุกส่วน เธอก็ได้ตะโกนต่อว่าพวกเธอทันที
“เลิกแหกปากกันได้หรือยัง!!! ชั้นจะนอน!!!” พิงกาเมน่าตะโกนอกมาด้วยเสียงที่ดังมาก จัดจ์ แองเจลที่มีความเกรงกลังต่อพิงกาเมน่าอยู่แล้วจึงหยุดปริปากและเงียบไปทันที ส่วนแอนกลับทำได้เพียงชะงักไปชั่วขณะ เธอกำลังจะปริปากต่อว่าแองเจลอีกครั้ง
“เกิดอะไรขึ้นที่นี่กัน..” มาสกี้วิ่งมายังที่เกิดเหตุอย่างรวดเร็ว แอนที่กำลังจะปริปาก ได้หยุดชะงักลงทันทีเมื่อได้ยินเสียงของชายหนุ่มที่เธอหมายปอง แอนหน้าแดงระเรื่อ เธอใช้ศอกกระทุ้งใส่ท้องของพัพเพทเทียร์อย่างแรงจนร่างของชายหนุ่มถึงกับกระเด็นเซไปเซมาจนเข้าใกล้ซีโร่
สาวบ้าพลังที่เห็นจังหวะเหมาะสม เธอจึงรวบรอบเอวของชายหนุ่มแล้วยกร่างของเขาขึ้นมาก่อนจะทุ่มลงกับพื้นทางด้านหลัง
“ซูเพล็กซ์!” ซีโร่ประกาศชื่อท่า ก่อนจะยืนขึ้นมามองพัพเพทเทียร์หัวปักพื้นในสภาพดูไม่ได้ แล้วเธอจึงค่อยหัวเราะออกมาดังลั่น
“มาสกี้!” แอนวิ่งตั้งท่าเตรียมโผเข้ากอด แต่กลับถูกบานประตูลอยได้พุ่งกระเด็นจนร่างของเธอกระเด็นไปตามปะตูต่อหน้ามาสกี้
“เดี๋ยวนี้เวรกรรมติดจรวดจริงๆสินะ” มาสกี้กล่าวออกมา
“สวัสดีจ้าทุกคน” เสียงแหลมของชายผู้มีเรือนผมสีฟ้าในชุดลูกกวาดดังออกมาจากหน้าประตูที่ถูกค้อนยักษ์สีรุ้งของเขาทำลายไป
“หวัดดี..แคนดี้ ป็อป” ซีโร่โบกมือทักทายชายผู้นั้นอย่างร่าเริง
“ประตูเค้าใช้เปิดกันย่ะ..ไม่ได้เอาไว้ทำลายเล่น” เจนตะโกนออกไปทันที แต่แล้วกลับมีบางสิ่งพุ่งกระโจนเข้ามาทางหน้าต่างของคฤหาสน์ เศษกระจกที่ออกมากมายกระเด็นออกมาเป็นวงกว้าง ก่อนที่สิ่งที่พุ่งเข้ามาจะหยุดลงจอดภายในคฤหาสน์
“สวัสดีทุกท่าน..เจสันผู้นี้ปรากฏตัวแล้ว ฮ่าๆๆ” ชายผู้มีผมสีแดงโลหิตปรากฏตัวออกมา เขาโค้งตัวคำนับจนแผ่นหลังขนานกับพื้นห้อง มือข้างหนึ่งขัดไว้ที่หลัง ส่วนอีกข้างหนึ่งถูกผายเข้าหาลำตัวบริเวณหน้าท้อง ก่อนจะก้มลงทำความเคารพอย่างสวยงาม
บุรุษผู้นี้พร้อมกับชุดรูปร่างประหลาดที่มีลักษณะคล้ายกับขุนนางหลากสีของฝรั่งเศสในช่วงยุคของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ผสมผสานกับหมวกทรงสูงสีเทา กับบู้ตสีดำสลับเหลืองอ่อน แขนเสื้อถูกถกขึ้นมาอยู่เหนือข้อศอก ตั้งแต่ปลายนิ้วจนถึงมือทั้งสองข้างเป็นสีดำเมี่ยมตัดกับผิวที่เป็นสีขาวซีด เล็บมือคมยาวเช่นเดียวกับฟันที่แหลมคมดั่งสัตว์นักล่า และนัยน์ตาที่มีเล่ห์นัยสีเขียวเรืองแสง
นามของบุรุษผู้นี้คือ ‘เจสัน ผู้สร้างของเล่น (Jason The Toy Maker)’ ชายผู้เป็นหนึ่งในกลุ่มปริศนา The G.R.A.E.C. ที่แม้แต่ครีปปี้พาสต้าด้วยกันยังไม่อาจรู้ได้ว่าพวกเขาเป็นใครและมีจุดประสงค์ใดกันแน่ อีกทั้งเขายังเป็นชายที่เป็นหนึ่งในสมาชิกของครีปปี้พาสต้าในยุคหลังผู้ก่อตั้งสลายตัวอีกด้วย นั่นทำให้เจสันผู้นี้เป็นหนึ่งในสมาชิกที่เก่าแก่คนหนึ่งเลยทีเดียว
“คุณเจสัน..ประตูก็มีนะคะ” เจนที่ต่อว่าแคนดี้กับสงบปากสงบคำทันที เมื่อพบกับเจสัน หนึ่งในผู้อาวุโสแห่งเหล่าครีปปี้พาสต้า อีกทั้งตัวเขายังมีพลังพิเศษที่น่าสะพรึงซ่อนอยู่มากมายอีกด้วย
“คิกๆ กระผมชอบการเข้าทางนี้เสียมากกว่าน่ะขอรับ” ชายผู้นั้นยิ้มขำออกมา ก่อนจะแสดงท่าทีฉุกคิดบางอย่างขึ้นได้
“มิสเตอร์ครีปปี้พาสต้าขอรับ..กระผมมีข่าวสารจะมาแจ้งให้ท่านทราบน่ะขอรับ” ชายผมแดงเดินเข้าไปหาชายผิวฟ้าอย่างรวดเร็ว ทุกคนที่ยืนหลีกทางรีบปลีกตัวเปิดทางออกทันที
“ว่ามาได้เลยครับ..” มิสเตอร์ครีปปี้พาสต้าเอ่ยเพื่อรับฟังข่าวสารที่เจสันจะมาแจ้ง
“ในช่องการสื่อสารที่แดชเป็นคนดูแลได้แจ้งมาว่านอกจากพวกเราทั้งสี่คนในที่นี้ที่สามารถเข้าร่วมได้..จะยังคงมีอีกสองคนที่มาเข้าร่วมได้” เจสันพูดคุยกับชายผู้เป็นศุนย์กลางของครีปปี้พาสต้าทั้งหมด “นั่นคือกลุ่มของเฟรดดี้ แฟซแบร์ และแอเนสทีเชีย”
“แต่ในขณะนี้พวกเขากำลังตกที่นั่งลำบากในการต่อสู้กับบางอย่างอย่างสุดกำลัง..” เจสันยิ้มกว้าง “และถ้าเราไปช่วยพวกเขาไม่ทันล่ะก็...”
เจสันปิดปากขำเล็กน้อย ก่อนที่เลื่อนมือลงแนบกับตัวเช่นเดิม เขาเพ่งมองไปใบหน้าของมิสเตอร์ครีปปี้พาสต้าด้วยใบหน้าที่เปรอะเปื้อนรอยยิ้มที่ยากต่อการอ่านสิ่งที่เขาสื่อออกมาผ่านรอยยิ้มนั้น
“พวกเขาคงจะถูกลบออกไปจากหน้าประวัติศาสตร์ เช่นเดียวกับซูเออไซด์ เมาส์, โซนิก และสควิดเวิร์ดที่ตายอย่างน่าเวทนา ฮ่าๆๆ” ชายผมสีแดงหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง ก่อนจะหยุดการกระทำทั้งหมดพร้อมคุกเข่าให้ระดับศีรษะของทั้งสองอยู่ในระดับเดียวกัน โดยการกระทำทั้งหมดปรากฏให้เห็นขึ้นเพียงแค่เสี้ยววินาทีเท่านั้น
“อยากลองให้เป็นอย่างนั้นอีกหรือเปล่าล่ะ..”
Laughing Jill (Caitlin Kirkland) AGE : 27
Jane The Killer (Jane 'Arkensaw' Richarson) AGE : 22
ที่มา : https://orig00.deviantart.net/a461/f/2017/070/b/4/laughing_jill_and_jane_the_killer_by_thekaryn-db1y4k3.png
Nurse Ann [Anne Lusen Mia] Age : 21
ที่มา : http://creepypasta-files.wikia.com/wiki/The_Nurse_Ann
Jason The Toy Maker [?] Age : ?
ที่มา : http://samequizy.pl/wp-content/uploads/2016/02/filing_images_278d56c4d84f.jpeg
Candy Pop [?] Age : ?
ที่มา : http://samequizy.pl/wp-content/uploads/2016/12/filing_images_c69ed3bcc5b2.jpg
ซึ่งในขณะนี้เป็นช่วงที่เหล่าครีปปี้พาสต้ากำลังรวบรวมกำลังคนในการเข้าปะทะกับสามขุนพลของฝั่งที่ 'แบล็ก' ได้ควบคุมอยู่ ซึ่งประกอบไปด้วยครีปแม็คพาสต้า ผู้ใช้เวทมนตร์จากตำราโบราณ ครีปปี้พาสต้าจูเนียร์ บุรุษเหล็กคงกระพัน และคราโอติค ชายผู้มีพลังจิตแข็งแกร่งเกินหยั่งถึง ผู้ล้มฮีโร่บรายผู้แข็งแกร่งได้โดยไร้รอยขีดข่วน
การที่ครีปปี้พาสต้าทั้งสี่ปรากฏตัวนั้นไม่ได้เป็นเพราะพลังอันแข็งแกร่งไร้เทียมทาน แต่เป็นการที่ทั้งสี่คนนี้ต่างเป็นคนที่ประสานงานกับผู้อื่นได้ดี ยกเว้นแต่ซีโร่ที่มักจะทำอะไรเอาแต่ใจตนเป็นใหญ่ก็ตาม แต่เธอก็เป็นหนึ่งในกำลังหลักของทีม
โดยบลัดดี้เพนเทอร์ ชายผู้สวมใส่หน้ากากประทับรอยยิ้มโลหิต เขาผู้นี้เป็นคนที่เงียบขรึมไม่ค่อยพูดคุยกับใคร และไม่ค่อยแสดงอารมณ์ความรู้สึกให้เห็นยกเว้นแต่จัดจ์แองเจิลผู้เป็นแฟนสาว และพัพเพทเทียร์กับซีโร่ที่เป็นเพื่อนสนิท ชายผู้นี้หากอยู่ในยามขับขันความเป็นภาวะผู้นำและการวางแผนอันแยบยลจะปรากฏให้เห็นได้ทันที
บลัดดี้เพนเทอร์ หรือ ‘เฮเลน ออทิส’ เป็นเด็กหนุ่มที่หลงใหลในการวาดภาพจากอารมณ์ความรู้สึกที่มีหรือสิ่งแวดล้อมรอบข้างด้วยการใช้สีแดงเป็นหลัก ดังนั้นการที่เขาจะถือสมุดวาดภาพหรือกระดานวาดรูปไปจึงไม่ใช่สิ่งที่แปลกประหลาดแม้แต่น้อย ซึ่งในทางกลับกัน..มันก็เป็นพลังพิเศษเฉพาะตัวของเขา
แม้จะเป็นสิ่งที่อาจพบเห็นมากในคอมมิต มังงะ ภาพยนตร์หรืออนิเมชั่นญี่ปุ่น แต่หากเทียบกับในชีวิตจริง เพียงแค่การอัญเชิญอสูรกายออกมาก็ว่ายากแล้ว แต่ชายผู้นี้สามารถสร้างอสูรหรือสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่มนุษย์ขึ้นมาได้จากการวาดภาพ
โดยนั่นกลับไม่ใช่พลังที่เกิดจากตัวเขา แต่กลับเป็นพลังที่เกิดขึ้นจากปากกาแดงพิเศษที่สามารถดลบันดาลให้สิ่งที่ได้ถูกวาดโดยปากกาเล่มนี้ จะถูกทำให้สิ่งนั้นหลุดลอยออกมาจากพื้นกระดาษสมุด มีรูปร่างรูปทรง และมีชีวิตขึ้นมาอย่างน่าพิศวง โดยเงื่อนไขนั้นก็คือสิ่งที่วาดด้วยปากกาเล่มนี้จำเป็นที่จะต้องเป็นสิ่งมีชีวิตเท่านั้น หากไม่ใช่จะเป็นเพียงภาพวาดลายเส้นแดงตามปกติ อีกทั้งผู้วาดยังจำเป็นจะต้องมีความปรารถนาต้องการและความมุ่งมั่นเช่นเดียวกัน หรือสรุปได้สั้นๆว่าชายผู้นี้คือซัมมอนเนอร์ประจำกลุ่มนั่นเอง
ซึ่งแตกต่างจากจัดจ์แองเจิล เธอเป็นเด็กสาวที่ขี้อาย แต่ก็เป็นคนที่มุ่งมั่นและเอาใจใส่ โดยบางครั้งเธออาจจะแสดงท่าทีก้าวร้าวออกมาเล็กน้อยบางเวลา หากพบเจอกับคนที่เธอไม่ชอบ แต่เธอนั้นกลับเป็นคนจิตใจดี พูดน้อยกว่าปกติเล็กน้อย แต่ความมีเสน่ห์อย่างหนึ่งของเธอคือความซุ่มซ่ามและอาการของเธอเวลาเขินจนทำอะไรไม่ถูก สร้างความน่ารักและความมีเสน่ห์จนสามารถสะกิดหัวใจของบลัดดี้เพนเทอร์ผู้เข้มขรึมได้
พลังของเธอนั้นแตกต่างจากครีปปี้พาสต้าคนอื่นๆ โดยพลังของเธอไม่ได้เกี่ยวกับดาบของเล่นไร้ความแหลมคมที่หากฟันใส่ผู้ที่พูดความเท็จจนเกิดบาดแผลได้เหมือนเช่นดาบนั้นแหลมคมอยู่แล้ว ซึ่งนั่นเป็นเพียงแค่ความสามารถของตัวดาบเอง ดาบนี้ถูกสร้างขึ้นโดยเจสัน เดอะ ทอยเมเคอร์ หนึ่งในผู้แข็งแกร่งอีกคนหนึ่งของเหล่าครีปปี้พาสต้า
สำหรับพลังของจัดจ์แองเจิลนั้นคือการเบี่ยงเบนเหตุร้ายที่จะเกิดขึ้นกับตัวเธอไปยังคนที่มีค่าระดับ Luck ต่ำที่สุดได้อย่างไร้เหตุผล หากเป็นยามปกติ ส่วนใหญ่จะเป็นพี่น้องตระกูลวู้ดส์ ลูว์และเจฟ โดยเจฟมักจะโดนเสียมากกว่า แต่ถ้าหากเจฟไม่ได้อยู่ใกล้เคียงนัก ลูว์ก็อาจเป็นคนโดนแทน แต่พลังนี้ไม่ใช่พลังที่ผลอย่างสมบูรณ์ มันแค่มีโอกาสสูงเท่านั้น ดังนั้นยังคงมีโอกาสที่เธอจะเป็นฝ่ายได้รับเหตุร้ายตามปกติ
อธิบายถึงค่า Luck ผู้ที่เป็นครีปปี้พาสต้าที่เกิดขึ้นมาจากเกม จะมีความรู้และความสามารถเห็นค่านี้ของทุกคนได้โดยเฉพาะเบนดราวน์ที่เกิดขึ้นจากเกมที่มีลักษณะดังนี้โดยตรง โดยครีปปี้พาสต้าที่มีค่า Luck ต่ำที่สุดนั้นมีอยู่ 3 คน คือ สองพี่น้องตระกูลวู้ดส์ และลอสต์ ซิลเวอร์ที่ยังไม่ปรากฏตัวออกมา
ต่อมานั้นคือ อลิส แจ็กซัน หรือ ซีโร่ หญิงสาวผู้มีสภาพจิตไม่ปกติ เธอค่อนข้าง Crazy และชอบทำตัวให้เป็นจุดสนใจ พร้อมกับวลีประโยคที่ยากจะจับใจความได้ อาวุธของเธอคือค้อนก่อสร้างขนาดใหญ่ แม้ว่าค้อนนั้นจะหนัก แต่หากเทียบกับกำลังของเธอที่มีนั้น ก็เทียบเคียงได้กับชายฉกรรจ์หุ่นกำยำคนหนึ่งเลย
ด้วยการที่เธอมีสถานะก่อนเป็นครีปปี้พาสต้าคือเพื่อนในจินตนาการ ทำให้เธอมีลักษณะบางประการคล้ายคลึงลาฟฟิ้งแจ็ค ยกเว้นแต่วิธีการมีตัวตนของทั้งคู่นั้นจะแตกต่างกันออกไป เพราะหากเป็นลาฟฟิ้งแจ็กนั้นสามารถมีตัวตนขึ้นโดยการแยกตัวออกจากผู้สร้างตัวเขา แต่ซีโร่กลับใช้วิธีการกลืนกินผู้สร้างจนกลายเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างสมบูรณ์ ทำให้แทนที่เธอจะเป็นเพื่อนในจินตนาการต่อไป เธอจึงมีตัวตนจริงและสูญเสียพลังแบบเดียวกับลาฟฟิ้งแจ็คไป แต่นั่นก็ไม่ได้ส่งผลกระทบใดๆกับเธอเลย เนื่องด้วยเธอก็ไม่ได้ใคร่สนใจพลังแบบนั้นอยู่แล้ว
อีกทั้งพลังที่เธอมีก็ดีกว่าการแปรเปลี่ยนสภาพไปสิงในจินตนาการคนอื่น โดยเธอนั้นไม่มีความรู้สึกเจ็บปวด อีกทั้งยังมีความสามารถในการฟื้นฟูสภาพร่างกายในระดับนึง โดยความเจ็บปวดที่สะสมมานั้นจะถูกถ่ายทอดไปยังคนที่เธอต้องการมอบให้ได้ แต่ทั้งหมดนี้ก็เพียงแค่มีโอกาสเท่านั้น ดังนั้นความเจ็บปวดจากบางสิ่งเธอก็ไม่สามารถส่งต่อให้ผู้อื่นได้เช่นกัน
และคนสุดท้ายผู้ที่อาจจะแข็งแกร่งที่สุดในกลุ่ม บุรุษที่สามารถบงการสรรพชีวิตได้..พัพเพทเทียร์ ชายผู้นี้ไม่ได้มีความสามารถทางการต่อสู้แม้แต่น้อย เขาจึงทำได้เพียงเป็นแนวหลังเช่นเดียงกับมิสเตอร์ครีปปี้พาสต้า แต่แตกต่างกันที่พลังของชายผู้นี้นั้นคือการควบคุมสิ่งมีชีวิตด้วยเส้นด้ายวิญญาณสีเหลืองทอง ซึ่งถักทอมาจากพลังชีวิตของพัพเพทเทียร์ที่ปรากฏให้เห็นทั้งในดวงตาและภายในปากที่ส่องแสง
โดยเส้นด้ายเหล่านี้จะปรากฏให้เห็นบริเวณปลายนิ้วทั้งหมดของทั้งสองมือ โดยเส้นใยเหล่านี้จะเข้าไปควบคุมระบบต่างๆในร่างกายของผู้ถูกควบคุมทั้งหมด แม้ว่าผู้ถูกควบคุมจะรู้สึกตัวอยู่ก็ตาม ดังนั้นเขาจึงเป็นหนึ่งในครีปปี้พาสต้าที่มีพลังร้ายกาจที่สุดคนหนึ่งเลยทีเดียว แต่น่าแปลกที่เขานั้นไม่สามารถควบคุมซีโร่ได้ นั่นอาจเป็นเพราะร่างของซีโร่กลับไม่ใช่ร่างของซีโร่ แต่เป็นร่างของอลิซ แจ็คสันที่ถูกซีโร่กลืนกินเข้าไป นั่นจึงอาจเป็นเหตุให้พัพเพทเทียร์ไม่สามารถควบคุมร่างซีโร่ได้..เพราะเธอถูกควบคุมอยู่แล้วไงล่ะ
ในขณะเดียวกัน ในห้องโถงใต้ดินที่เคยพาไอโอน่าลงมาที่นี่ มิสเตอร์ครีปปี้พาสต้า และผู้ติดตามอีกสามคนนั่นก็คือ สเลนเดอร์แมน มาสกี้ และเบน ดราวน์ได้ลงมาอยู่ ณ สถานที่แห่งเดียวกัน
ชายผิวสีฟ้าอันน่าประหลาดได้ยกแขนขึ้นมาจากที่รองแขน ให้ขนานในแนวระนาบเดียวกับสายตา เขาใช้พลังจิตเคลื่อนย้ายเทคโนโลยีที่ไม่สามารถระบุได้ว่ามันคืออะไร โดยมันมีลักษณะคล้ายกับกล่องรับสัญญาณดาวเทียมที่มีจานขนาดเล็กขยับไปมาบนกล่อง
“ผมต้องขอให้คุณช่วยกระจายสัญญาณกระแสจิตผ่านดาวเทียมให้หน่อยครับ..คุณเบน ดราวน์” ชายผู้เป็นเจ้าของคฤหาสน์และหัวหน้าใหญ่ของสมาชิกครีปปี้พาสต้าทุกคนเอ่ยอย่างสุภาพ
“ถ้าปู่ขอมา..ผมก็พร้อมจะจัดให้” เบน ดราวน์อมยิ้ม ก่อนที่เขาจะพุ่งกระโจนเข้าไปในหน้าจอขนาดเล็กหน้ากล่องรับสัญญาณ ด้วยความสามารถของการแทรกซึมระบบอิเล็กทรอนิกส์ ทำให้ตัวเขาสามารถเปลี่ยนสภาพตนเองให้กลายเป็นคลื่นชนิดเดียวกันกับดาวเทียมที่ส่งสัญญาณใกล้กับพวกเขามากที่สุด
ทันทีที่เขาเข้าไปอยู่ระบบของดาวเทียมได้แล้ว เบนก็ทำการแทรกซึมการถ่ายทอดสัญญาณเพื่อที่จะเตรียมการส่งกระแสจิตไปให้กับครีปปี้พาสต้าคนอื่นๆที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงของประเทศนี้ และเขาก็ทำสิ่งนี้กับดาวเทียมดวงอื่นี่โคจรรอบโลกเช่นเดียวกัน แต่ความพิเศษของการถ่ายทอดสัญญาณแบบนี้คือมันจะเป็นช่องสื่อสารพิเศษที่มีแค่เหล่าครีปปี้พาสต้าเท่านั้นที่สามารถได้รับสาส์นนี้ นั่นเป็นเพราะทุกคนนั้นจะมีเครื่องรับสัญญาณกระแสจิตขนาดพกพาติดตัวกันทุกคน ถ้าหากมีการเชื่อมต่อจากลักษณะนี้ เครื่องรับสัญญาณจะแจ้งเตือนจนกว่าจะมีคนที่มีเสียง ลายนิ้วมือ และดวงตาแบบเดียวกันกับผู้ถือครองเครื่องรับสัญญาณจึงจะสามารถปิดการแจ้งเตือนได้ แต่ครีปปี้พาสต้าบางคนนั้นกลับไม่มีดวงตาและแขน ทำให้จำเป็นต้องระบุตัวตนด้วยเสียงแทนได้
เมื่อแทรกซึมสำเร็จ ใบหน้าของเด็กหนุ่มในสภาพโฮโลแกรมพลันปรากฏขึ้นมาต่อหน้าของเพื่อนพ้อง แต่เขายังไม่สามารถออกมาในสภาพเดิมได้ นั่นก็เพราะเขาจะต้องควบคุมวงโคจรของเหล่าดาวเทียมให้กระจายรอบโลก ซึ่งต้องใช้พลังมหาศาล ภาพโฮโลแกรมที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นความยากลำบากในการเบี่ยงวงโคจรดาวเทียมด้วยพลังจากเด็กเพียงคนเดียว เมื่อเขาทำได้สำเร็จ เสียงของเบนที่ผ่านภพโฮโลแกรมก็ได้ส่งมาถึงเหล่าพวกพ้อง นำไปสู่ขั้นตอนถัดไปซึ่งเป็นหน้าที่ของชายผิวฟ้า
“นี่ท่านปู่..ผมทำสำเร็จแล้วน้าาาาาา” เบนเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงขี้เล่น แต่เขาก็ยังคงออกมาจากระบบดาวเทียมไม่ได้ เพราะเขายังจำเป็นต้องควบคุมระบบดาวเทียมทั้งหมด หากเกิดปัญหาขัดข้องใดเกิดขึ้น
บุรุษผิวฟ้าผู้อยู่บนพื้นดิน ขยับล้อรถเข็นไปด้านหน้าของโต๊ะวางเครื่องส่งสัญญาณ โดยสิ่งที่อยู่ข้างเครื่องส่งสัญญาณก็มีอุปกรณ์หน้าตาประหลาดวางอยู่เคียงข้าง มันมีลักษณะคล้ายกับหมวกกันน็อคสีเทาปกติ โดยหมวกนี้ไม่ได้คุมทั้งใบหน้า มันคุมเพียงแค่หน้าผาก ด้านบนและด้านหลังของศีรษะจนถึงท้ายทอย เมื่อบุรุษผิวฟ้าหยิบขึ้นมาใส่เสร็จสมบูรณ์ บริวเณด้านหลังของหมวกที่คุมหลังศีรษะพลันปรากฏรยางค์ท่อใหญ่สีฟ้าเรืองแสงปรากฏออกมา ท่อเรืองแสงนั้นก็ได้เชื่อมต่อท้ายทอยซึ่งเป็นจุดที่มันโผล่ออกมาเข้ากับเครื่องส่งสัญญาณ เพื่อที่จะเชื่อมต่อพลังจิตเของเขาให้กระจายไปยังเหล่าครีปปี้พาสต้าจากทั่วทุกมุมโลก
‘หากพวกคุณทุกคนได้ยินเสียงของผมแล้ว..ได้โปรดรับฟังสิ่งที่ผมจะพูดอย่างตั้งใจด้วยครับ’ มิสเตอร์ครีปปี้พาสต้าสนทนาผ่านคลื่นพลังจิตของเขาซึ่งเชื่อมต่อเข้ากับดาวเทียมรอบโลก ด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
‘เหตุการณ์ที่พวกเราจากฐานหลักได้บุกเข้าโจมตีฝ่ายศัตรู ทำให้เราต้องสูญเสียพี่น้องของพวกเราไปมากมาย และนั่นจึงเป็นสาเหตุให้ผมต้องเปิดระบบสื่อสารฉุกเฉินนี้ขึ้น โดยมีจุดประสงค์เพื่อ..’
‘ส่งสาส์นนี้ให้รับทราบการประกาศการรวมกลุ่มเหล่าครีปปี้พาสต้าเข้าโจมตีและทวงคืนพี่น้องของพวกเรากลับมา ผมจึงต้องการพลังของเหล่าครีปปี้พาสต้าแฟมิลี่ทุกคน แม้คุณจะคิดว่าตนเองไม่มีพลังมากพอจะช่วยเหลือใครได้ ซึ่งมันไม่ใช่เลย...ทุกความช่วยเหลือแม้เพียงน้อยนิดก็มากพอจะช่วยเยียวยาพวกพ้องของเราได้อย่างแน่นอน ณ จุดนี้ ได้โปรดเข้าร่วมกับเราเพื่อช่วยเหลือพี่น้องของเราเถอะครับ’
‘พวกเราไม่ใช่ตัวประหลาด..พวกเราไม่ใช่คำสาป..พวกเราไม่ใช่ฆาตรกร..พวกเราไม่ใช่สิ่งใดก็ตามที่เหล่ามนุษย์เรียกเรา แต่พวกเราก็ไม่ได้เป็นมนุษย์เช่นเดียวกัน นั่นเป็นเพราะพวกเราคือครีปปี้พาสต้า..เป็นเพียงสิ่งมีชีวิตที่มีพรสวรรค์และต้องการอยู่โดยสันติเท่านั้น’
‘จงลุกขึ้นมาสู้ตามวาจาของกระผมเถิดเพื่อสันติสุข..เพื่อพี่น้อง..เพื่ออนาคต เพราะพวกเราคือครีปปี้พาสต้า!!!’
เมื่อชายผิวฟ้าหมดสิ้นหน้าที่แล้ว เขาก็ได้ถอดอุปกรณ์กระจายสัญญาณลงที่เดิม เบน ดราวน์ที่เสร็จหน้าที่ก็ได้กลับมาที่จุดเดิม แล้วทั้งหมดก็ได้เดินไปยังห้องโถงของคฤหาสน์ปล่อยให้ห้องใต้ดินกลับมามืดสนิทเช่นเดิม
หน้าห้องพักห้องหนึ่งภายในคฤหาสน์หลังใหญ่ของมิสเตอร์ครีปปี้พาสต้า บุรุษหนุ่มผู้หนึ่งกำลังจะเดินเข้ามาในห้อง โดยมีเพียงผ้าเช็ดเดียวผืนหนึ่งปิดบังช่วงล่างเอาไว้ ส่วนมือทั้งสองก็สอดเข้าไปในผ้าเช็ดตัวผืนเล็กเพื่อเช็ดศีรษะให้แห้ง ปอยสะเก็ดน้ำกระจายออกไปรอบข้างเล็กน้อย หลังจากที่ผมเริ่มแห้ง เขาจึงหมุนลูกบิดประตูเพื่อเปิดเข้าไป ก่อนจะเดินเข้าไปอย่างไม่รีบร้อนนัก
ร่างกายของชายหนุ่มผมสีน้ำตาลผู้นี้เต็มไปด้วยรอยเย็บมากมายทั่วทั้งร่างกาย ดวงตาสีเขียวที่เป็นจุดเด่นของลูกหลานตระกูลวู้ดส์ ที่ในขณะนี้เหลือเพียงสองคนนั่นคือ ลูว์ วู้ดส์ ผู้เป็นพี่ชายและเจฟเฟอรี่ วู้ดส์ ผู้เป็นน้องชาย
พวกเขายังคงเหลือรอดจากการฆาตรกรรมยกครัวได้อย่างน่าปาฏิหารย์ โดยเฉพาะลูว์ที่รอดมาได้ในสภาพที่ปางตายเต็มทน ร่างกายที่เต็มไปด้วยบาดแผลฉกรรจ์มากมาย ปากที่ฉีกออกจนถึงกลางแก้ม รอยแผลที่เกิดขึ้นบริเวณดวงตา รอยแผลลึกที่ลำคอ หน้าอก และอวัยวะภายในที่กองอยู่กับพื้น บางชิ้นนั้นก็ขาดครึ่งหรือถูกคมมีดบาดจนไม่สามารถนำกลับมาใช้งานได้ นั่นยังคงไม่ได้รวมถึงบาดแผลจากไฟไหม้ที่เกินจะเยียวยาบริเวณแผ่นหลังของเขา และอาการเสียเลือดอย่างหนัก
แม้ว่าลูว์จะรอดมาได้จากการฆาตกรรมครั้งนั้น แต่ความเจ็บปวดของการสูญเสียครอบครัวยังคงฝังใจอยู่ลึก และเคยปักใจเชื่อว่าเจฟนั้นอาจเป็นฆาตกรหรือบางสิ่งที่พรากทุกสิ่งไปจากเขาไปกันแน่ สิ่งที่เขาจำได้หลังจากฟื้นขึ้นมานั้นคือรอยยิ้มอันน่าสะพรึงของเจ้าปีศาจตนนั้น และภาพที่พ่อและแม่ของเขาต่างล้มลงจมกองเลือดอย่างน่าอนาถโดยที่เขาไม่สามารถทำได้แม้จะปกป้องหรือช่วยเหลือ ..ไม่สิ แค่เดินด้วยตัวเองยังทำไม่ได้ ก็ไม่ควรจะหวังถึงการช่วยเหลือพวกเขาหรอก แต่สิ่งเดียวที่ทำให้เขายังคงมีความมุ่งมั่นที่จะมีชีวิตต่อไปนั่นคือการพิสูจน์ว่าน้องชายของตนเองเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่เวลาอันเนิ่นนานและความเคียดแค้นที่เดือดดาลจากภายในนั้นได้หลอมหลวมทั้งหมดเข้าไปในส่วนลึกของหัวใจที่แตกสลาย จนสุดท้ายแล้วเขาก็หลงผิดว่าน้องชายโดยสายเลือดของเขานั้นคือฆาตกรที่สังหารพ่อแม่ของตนเอง
แม้ว่าลูว์จะรอดมาได้อย่างปาฏิหารย์ แต่ร่างกายของเขาก็ไม่ได้เหมือนเดิมอีกต่อไป ชายหนุ่มที่เคยเข้มแข็ง ร่าเริง และแข็งแรง กลับทรุดโทรม หม่นหมอง และทุกข์ใจอยู่ตลอด ลูว์นั้นแทบจะไม่เคยยิ้มเพราะมีความสุขจริง แต่เป็นการยิ้มประชดประชัน ยิ้มเย้ยหยัน หรือยิ้มถากถางเสียมากกว่า
พี่ใหญ่ตระกูลวู้ดส์มักจะคิดทบทวนเรื่องในอดีตอันแสนเจ็บปวดอยู่หลายครา ทำให้เขามักชอบเดินทำหน้ากลุ้มและใจลอยอยู่เสมอ เช่นในคราวนี้ที่เขากำลังจะเปลี่ยนชุดในห้องอย่างเปิดเผยโดยไม่สนใจพยาบาลสาวที่นั่งอยู่บนเตียงนอนข้างๆ เธอจ้องมองร่างกายลูว์ด้วยท่าทางเหรอหรา
ลูว์ที่ยังคงไม่เห็นหัวพยาบาลสาวก็ได้วางผ้าเช็ดตัวผืนเล็กที่ใช้เช็ดผมลงบนเตียงนอนของเขาซึ่งอยู่ตรงข้ามกับเตียงนอนของซูซาน หลังจากั้นเขาจึงค่อยคลายผ้าเช็ดตัวที่ปิดบังส่วนล่างจนเห็นส่วนล่างจากทางด้านหลังอย่างชัดเจน แม้ว่าซูวานจะเป็นพยาบาลที่มักจะคอยดูแลคนไข้เช่นนี้อยู่หลายครั้ง แต่พอมาเจอกับเคสที่เป็นคนสนิทชิดเชื้อเกินกว่าคำว่าเพื่อนแบบนี้ มันยากที่จะแสดงอาการเขินอายจนหน้าแดง
ลูว์ก็ยังคงใจลอยอยู่เช่นเดิมจนถึงช่วงเวลาที่ต้องไปหยิบเสื้อผ้าจากตู้เสื้อผ้าที่อยู่ตรงข้าม เขาจึงได้หันไปทางตู้เสื้อผ้า เปิดเผยบางสิ่งที่ไม่ควรเปิดเผยให้เพศตรงข้ามได้เห็นเด็ดขาดออกมา ซูซานหน้าแดงระเรื่อ เธอร้องออกมาเบาๆ ก่อนจะปิดปากลง แต่เสียงนั้นกลับดังพอที่จะเรียกสติของลูว์ให้กับมา ชายหนุ่มมองไปทางซูซานที่หน้าแดงระเรื่อ เธอเบือนหน้าหนีไปทางอื่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ชายหนุ่มจึงมองไปที่ร่างกายอันเปลือยเปล่าของตนเองแล้วจึงเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เขารีบปิดส่วนล่างทันที
“เอ่อ..” ลูว์เบือนหน้าไปทางอื่น ความเขินอายเกิดขึ้นกับตัวเขามากกว่าครั้งไหนๆ
“โนคอมเมนต์ค่ะ” ซูซานเอ่ยแซวชายหนุ่มเล็กน้อย แล้วจึงหันมายิ้มหวานให้กับเขาในสภาพหน้าแดงเกินพิกัด ลูว์ที่ถูกแซวก็ก้มหน้าลง ไม่กล้าสบตาเธอ “ก็ใหญ่อยู่นะ...”
“ซูซานนนนน!!!!!!!!” ลูว์ตะโกนเสียงสูงออกมา ทันใดนั้นประตูห้องของเขาก็เปิดออก ทั้งคู่จึงหันไปพร้อมกัน
“พี่ลูว์คะ..คือ เอ่อ...” หญิงสาวผมน้ำตาลผู้เป็นแฟนสาวของน้อยชายลูว์..เจน เดินเข้ามาโดยไม่แม้แต่จะเคาะประตู ทำให้ได้เห็นบางสิ่งที่เธอไม่ควรเห็น
“ขอโทษที่รบกวนค่ะ!!!” เจนรีบปิดประตูลงทันที ลูว์และซูซานที่ถูกเข้าใจผิดจึงมองหน้ากัน
“รีบไปหาเสื้อใส่สิคะ..ชั้นไม่ตัดริบบิ้นให้หรอกนะ” ซูซานพูดตัดบทก่อนจะหันหลังไปทันที ลูว์จึงหมดเวลาอ้ำอึ้งแล้วรีบหาเสื้อผ้าใส่โดยเร็ว
หลังจากที่ลูว์ใส่เสื้อผ้าเสร็จแล้ว ซูซานก็ได้หันกลับมา และพบกับลูว์ในสภาพเช่นเดียวกันกับทุกๆวัน เสื้อเชิ้ร์ตสีขาวที่ถูกสวมทับด้วยเสื้อกั๊กไหมพรมสีเขียว และทั้งหมดนั้นก็ถูกเสื้อโค้ตทรงยาวสีดำทับอีกรอบหนึ่ง กางเกงขายาวสีน้ำตาล รองเท้าผ้าใบสีขาวสลับน้ำเงิน และที่ขาดไม่ได้..ผ้าพันคออันเป็นเอกลักษณ์ แต่ในวันนี้เขากลับใส่ผ้าพันคอไหมพรมสีน้ำเงินสลับดำ..ผ้าพันคอที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความทรงจำดีๆของครอบครัวในวัยเด็ก เขาใช้เวลาอยู่นานกว่าจะสามารถทำใจและใส่มันจนได้ มันเป็นผ้าพันคอที่ถูกซื้อโดยพ่อ แม่ และเจฟอย่างลับๆ เพื่อมาเซอไพรส์ลูว์ในวันเกิดครบรอบ 12 ปี
ชายหนุ่มที่ใส่เสื้อผ้าเสร็จก็ทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงนอน แล้วก้มหน้าที่แสดงอาการทุกข์ใจ ไม่มีความสุขลงมองพื้นห้อง และกลับมาคิดถึงเรื่องที่เจฟถูกจับตัวไป เพราะในครั้งนั้นเขากลับไม่สามารถยื่นมือไปช่วยน้องชายของเขาได้แม้แต่น้อย ทำได้เพียงมองดูทุกอย่างเกิดขึ้นกับเพื่อนพ้องและน้องชาย
“ลูว์..” เสียงเล็กหวานดังขึ้นมา ชายหนุ่มจึงหันมามองเจ้าของเสียง ก่อนที่บางสิ่งที่ค่อนข้างแข็งได้เข้ามาสัมผัสกับขมับส่วนล่างทั้งสองด้าน ก่อนจะหยุดลงเมื่อผ่านใบหูและปอยผมไป ใบหน้าของหญิงสาวขยับเข้ามาใกล้ลูว์อย่างมาก จนสามารถเห็นริมฝีปากที่เข้ามาใกล้ได้ไม่ชัดเจน เมื่อบางสิ่งที่เคลื่อนไหวผ่านได้หยุดลง ซูวานก็ได้หันหลังกลับไปแล้วหยิบกระจกขึ้นมา
“ลูว์..เธอคิดว่าไง” หญิงสาวยิ้มหวาน เธอยื่นกระจกไปที่ลูว์ ทำให้เขาได้มองเห็นความเปลี่ยนแปลงของตนเอง “แว่นตาที่ชั้นเลือกมาสวยมั้ย..”
ชายหนุ่มที่ใส่แว่นตากรอบเหลี่ยมสีดำ เมื่อมองเห็นตนเองก็ได้ยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยยากที่จะสังเกต เขามองไปทางพยาบาลส่วนตัวของเขา ใบหน้าที่ยิ้มแย้มอย่างมีความสุขของเธอ ชวนทำให้เคลิ้มจนอยากจะยิ้มไปพร้อมกัน ลูว์จึงไม่ลังเลที่จะตอบกลับไป
“ไม่..” ชายหนุ่มตอบกลับไปด้วยใบบหน้าเรียบนิ่งกับยิ้มบางๆ ซูซานที่ได้ยินเข้าก็ได้คอตกทันที
“โธ่..แย่จัง นึกว่าจะชอบซะอีก” ซูวานเอ่ยอย่างผิดหวัง ก่อนที่เธอจะหันหลังไปวางกระจกที่เดิม แล้วกลับมานั่งข้างลูว์เช่นเดิม
“ไม่..ไม่เลวนี่” รอยยิ้มของชายหนุ่มเริ่มขยายใหญ่ขึ้น แต่ก็ยังคงเบาบางอยู่เช่นเดิม หญิงสาวเรือนผมน้ำตาลอ่อนราวกับเนื้อไม้ หันกลับมาอย่างประหลาดใจ ก่อนจะยิ้มอย่างอ่อนโยนเฉกเช่นเดิม
“ขอบคุณนะที่ชอบมัน..” ซูซานปล่อยให้ศีรษะร่วงลงสบไหล่กับลูว์..ชายหนุ่มที่เธอรักจากใจจริง
ลูว์ได้หันมามองพยาบาลสาวที่นอนซบไหล่ของเขาอย่างมีความสุข ชายหนุ่มแอบยิ้มบางๆให้เล็กน้อย นั่นเป็นการยิ้มครั้งแรกของเขาหลังจากโศกนาฏกรรมที่หลอกหลอนเขาจากในอดีต
“ซูซาน..” หญิงสาวลืมตาตื่นขึ้นแลมองชายหนุ่มจากจุดเดิม
“เธอรู้มั้ย..ตอนที่ชั้นเจอเจฟที่นี่ ความทรงจำทุกอย่างมันหวนกลับมา ความสับสน ความเศร้าสลด ความโกรธแค้น ...พวกมันหวนกลับมาตอนที่ชั้นเห็นหน้าเขา” ลูว์ฟุบใบหน้าลงมองพื้นห้อง “ทั้งที่ชั้นรู้อยู่แก่ใจอยู่แล้ว..เจฟไม่ใช่คนที่ฆ่าพวกเขาหรอก..เจฟไม่ใช่คนที่ฆ่าพ่อแม่ของพวกเรา”
“ในวันนั้น..ชั้นอยากจะเข้าไปกอดเค้า แต่ความสับสนและความโกรธ มันได้ลงมือออกไป..ชั้นควบคุมตนเองไม่ได้เลย ทำได้แค่มองน้องชายที่กำลังกลัวจนตัวสั่น”
“แต่ก็ดีที่ความโกรธที่เกิดขึ้นทำให้ร่างกายชั้นใช้แรงมากเกินไปจนร่างกายรับไม่ไหว..อย่างที่เธอเห็นชั้นล้มลงไปนอนกองกับพื้น ดิ้นรนไปมาเหมือนกับปลาที่ถูกดึงขึ้นมาบนบกและกำลังขาดลมหายใจ” ลูว์เงยหน้าขึ้น แล้วยิ้มสมเพชตนเอง
“แต่เจฟกลับไม่มีทีท่าจะโกรธหรือเกลียดชั้นเลย..สิ่งสุดท้ายที่ชั้นมองเห็นก็คือสีหน้าเป็นห่วงเป็นใยของน้องชายตัวแสบ..ฮึ” ชายหนุ่มใช้มือยื่นขึ้นมาจับไปที่ใบหน้าของตนเอง “ทำไมชั้นถึงกล้าทำร้ายน้องชายแท้ๆของชั้นเองล่ะ..ทำไมชั้นถึงกล้าทำร้ายเจฟ”
ร่างของหญิงสาวเข้าโผกอดชายหนุ่มที่ทุกข์ใจอย่างหนักหน่วง ความอบอุ่นจากร่างของเธอถูกถ่ายทอดไปยังหัวใจที่เคยแตกร้าวและแหลกสลายไปแล้ว ความอบอุ่นจากเธอเป็นเพียงสิ่งเดียวที่คอยเยียวยาให้เขายังคงมีชีวิตอยู่ต่อไปได้..
แต่มันกลับไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ..ไม่ใช่ความอบอุ่นที่ตัวเขาได้รับ นั่นเป็นเพราะสิ่งนั้นไม่อาจเทียบได้กับสิ่งที่เธอให้กับชายหนุ่มผู้นี้เลย ความต้องการแท้จริงของเขานั้นคือเธอ..ผู้ซึ่งยืนหยัดเคียงข้างกับเขา แม้ในยามที่ทั้งสองทุกข์ใจที่สุด เธอก็ยังคงยิ้มรับและพยุงร่างของลูว์ก้าวข้ามผ่านไปในที่สุด
“ชั้นไม่รู้หรอกนะว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่ตัวชั้นสลบไปแล้ว..ชั้นรู้แค่ว่าหลังจากที่ตื่นขึ้นมามันคล้ายกับมีบางอย่างหายไป”
“คุณลอสต์กับคุณพิงกี้ผ่าตัดไม่สมบูรณ์เหรอ..ลูว์” ซูซานแสดงท่าทีตื่นตระหนก เธอเลื่อนอ้อมแขนออกจากร่างชายหนุ่ม ทำทีจะลุกขึ้น แต่กลับถูกแขนของชายหนุ่มฉุดรั้งเอาไว้
ลูว์ส่ายหน้าไปมาเพื่อตอบกลับข้อสงสัย ซูซานที่ทราบคำถามถอนหายใจโล่งอก แล้วจึงกลับไปนั่งเฉกเช่นเดิม
“ความจริงแล้วชั้นว่าเจ้าฮู้ดดำนั่นไม่ได้เปลี่ยนถ่ายอวัยวะภายในให้ชั้นหรอก..” ลูว์ยิ้มบางที่มุมปาก มันเบาบางจนยากจะมองเห็นโดยผิวเผิน
“เพราะเจ้านั่นน่าจะรู้ว่าจริงๆแล้วต้นตอของปัญหาไม่ใช่อวัยวะภายในที่เสื่อมสภาพและเสียหาย” ซูซานฟังอย่างตั้งใจ ภายในใจของเธอยังคงห่วงใยลูว์เป็นอย่างมาก
“แต่เป็นเพราะบางสิ่งที่ฝังลึกในจิตใจของชั้นต่างหาก..ทั้งความสับสน ความโกรธแค้น มันหายไปเกือบทั้งหมดจนน่าประหลาด”
“การกระทำของเจ้าบ้าใส่ฮู้ดนั่นก็คงจะเป็นแค่ส่วนหนึ่งที่ทำให้ชั้นกลับมาเป็นลูว์ที่สามารถยิ้ม หัวเราะอย่างมีความสุข และสนุกกับน้องชายตัวแสบและทุกๆคนได้อีกครั้ง”
“และส่วนสำคัญอีกส่วนนึงก็คือ..” ลูว์เบือนหน้าไปทางหญิงสาว “เธอ..ซูซาน ถ้าในวันนั้นชั้นไม่ได้พบเธอก็คงจะไม่มีลูว์ในวันนี้หรอกนะ”
“ชั้นรักเธอนะ..ซูซาน” ลูว์ยิ้มอย่างอ่อนโยนให้กับหญิงสาวที่เขารักสุดหัวใจ
ซูซานแสดงออกผ่านใบหน้าทันที ใบหน้าของเธอแดงไปถึงใบหู ดวงตาของเธอเปล่งประกายออกมา เธอนั้นก็พยายามจะพูดบางอย่างออกไป แต่ร่างกายกลับไม่ทำตามที่เธอต้องการ เธอจึงทำได้เพียงแค่สิ่งเดียวที่เธอถนัด
“...” เธอไม่ได้พูดอะไรออกมา ยกเว้นแต่รอยยิ้มอันอ่อนโยนที่เธอมักจะมอบให้ชายหนุ่มอยู่เสมอ
ชายหนุ่มมองไปยังใบหน้าของซูซานที่ยิ้มอย่างอ่อนโยนเฉกเช่นทุกๆครั้ง จิตใจที่เคยปวดร้าวและเจ็บปวด กลับถูกบรรเทาและเยียวยาเรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้ แม้เธอจะพูดไม่เก่งนัก แต่ความรู้สึกที่เธอมอบให้มันเหนือยิ่งกว่าการลั่นวาจาอออกมาเสียอีก หลังจากนั้นชายหนุ่มโอบกอดหญิงสาวทันที
ในเวลาต่อมา ทั้งคู่ได้พูดคุยกันอย่างมีความสุข ทั้งยิ้มและหัวเราะไปด้วยกันเช่นเดียวกับเขาและเจฟในอดีต
“ชั้นไม่ค่อยได้เห็นมากหรอกนะ..ที่ลูว์จะพูดเยอะขนาดนี้” ซูซานพูดออกมาทั้งรอยยิ้ม
“ทำไมรู้สึกเหมือนถูกด่า..” ลูว์ยิ้มแห้งๆ
“เค้าไม่ได้ว่าลูว์นะ..” เธอรีบใช้มือปัดป้องออกไปทันที “ชั้นแค่รู้สึกดีที่ลูว์พูดกับชั้นได้มากขึ้นกว่าเก่า”
“งั้นก็พยายามต่อไปนะ” เธอแแสดงสีหน้ามุ่งมั่น แต่ก็อ่อนโยนในเวลาเดียวกัน
“ครับ..แม่พยาบาลสุดสวย” ลูว์ตอบกลับไป แต่ใบหน้าของซูวานกลับแลดูคล้ายจะมีความข้องใจ
“แม้แต่ลูว์ก็ไม่รู้งั้นเหรอ..ว่าจริงๆแล้วชั้นไม่ใช่พยาบาล” ซูซานเอ่ยสิ่งที่น่าตกใจออกมา จนแม้แต่ลูว์ยังต้องขมวดคิ้ว
“นี่..เธอไม่ใช่พยาบาลหรอกเหรอ” ชายหนุ่มแสดงสีหน้าสงสัย
“ทั้งใช่และไม่จ้ะ..” หญิงสาวตอบกลับมาอย่างน่าฉงน จนลูว์ต้องกลับมาขมวดคิ้วอีกครั้ง
“ที่ใช่..คือชั้นเป็นพยาบาลจริงๆ” ซูซานเอ่ยเพื่อไขข้อสงสัยของชายหนุ่ม “ส่วนที่ไม่ใช่ก็ตรงที่ชั้นไม่ได้เป็นพยาบาลอย่างเดียว..ชั้นก็เป็นแพทย์ด้วยนะ”
“หาาาาาาาา!!!” ชายหนุ่มอ้าปากค้าง “นี่เธอเป็นหมอเหรอ!!!”
“หน้าเค้าไม่เหมือนหมอขนาดนั้นเลยเหรอ..” ใบหน้าของซูซานแสดงอาการสลดลง
“ป่าวๆ คือชั้นแค่นึกไม่ถึง..ว่าเธอจะเป็นหมอน่ะ” ลูว์ประหลาดใจมากกับอาชีพที่แท้จริงของแฟนสาว “ว่าแต่เธอเป็นหมออะไรล่ะ”
“อายุรแพทย์ สาขาเวชบำบัดวิกฤติจ้ะ” ซูซานตอบกลับไปแล้วจึงยิ้มให้ลูว์ที่ทำหน้าฉงนงงงวย เธอจึงได้เริ่มกล่าวอธิบายต่อ “เกี่ยวกับเรื่องการบำบัด รักษาและเยียวยาอวัยวะต่างๆของผู้ป่วยอย่างใกล้ชิดน่ะจ้ะ”
“อ่อ..เธอก็เลยเรียนพยาบาลศาสตร์ควบคู่มาด้วยงั้นสินะ” ลูว์นั่งกอดอก พยายามทำความเข้าใจ
“ปิ๊งป่อง..ถูกต้องค่าาา” ซูซานตอบกลับมาอย่างร่าเริง
“แต่เธอเพิ่งจะอายุ 24 ไม่ใช่เหรอ..แล้วไหงถึงเรียนหมอจบแล้วล่ะ” ลูว์เกิดข้อสงสัยขึ้นอีกครั้ง
“ลูว์คงไม่เคยได้ยินเรื่องอขงเด็กผู้หญิงที่สามารถเข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยตั้งแต่ยังอยู่ตอนมัธยมต้นสินะ” ซูซานยิ้มกว้าง ก่อนจะเปิดเผยความจริงของเธอ “ชั้นอายุ 25 แล้วนะลูว์ ส่วนที่ชั้นเรียนจบเร็วก็เพราะเรื่องที่บอกนั่นแหละ..ชั้นได้มาอยู่กับลุงที่เป็นอาจารย์แพทย์ที่มหาวิทยาลัยหลังจากที่พ่อกับแม่จากไปน่ะ”
“นี่พ่อกับแม่เธอ..” ลูว์แสดงสีหน้าประหลาดใจ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีหน้าหงุดหงิด เขาใช้ฝ่ามือทั้งสองจับไปที่หัวไหล่ของหญิงสาว “ทำไมเธอถึงไม่เคยบอกเรื่องนี้กับชั้นเลยล่ะ..”
“ชั้นไม่ต้องการให้ลูว์ที่มีสภาพจิตใจอย่างนั้นต้องมาแบกรับเรื่องน่าเศร้าของชั้นยังไงล่ะ” ซูซานเลื่อนใบหน้าลงไปมองที่ตัก “ชั้นเป็นหมอนะ..ชั้นจะไม่ยอมให้คนไข้มาเห็นชั้นในสภาพท้อแท้และสิ้นหวังได้หรอก ดังนั้น…”
“ชั้นก็ต้องยิ้มออกมาเพื่อไม่ให้นายมองเห็นความอ่อนแอภายในใจของชั้นไงล่ะ” ซูซานที่ก้มหน้าลงมองขึ้นมาที่ชายหนุ่มแล้วจึงมอบรอยยิ้มอันอ่อนโยนให้กับเขา
“ทีหลังมีเรื่องอะไรก็คุยกันตรงๆ..อย่าเก็บมันเอาไว้ล่ะ” ลูว์เลื่อนฝ่ามือขึ้นไปลูบศีรษะที่ถูกปกคลุมด้วยเรือนผมนุ่มยาวสีน้ำตาล “เดี๋ยวเจ้าคนอ่อนแอตรงนี้จะอกแตกตายกันพอดี”
“นายพูดอะไรเนี่ย..ลูว์ ชั้นต่างหากที่ต้องอกแตกตาย” เธอผลักลูว์ออกไปแล้วจึงขำออกมาพร้อมกับความสุขที่ถูกแสดงออกผ่านใบหน้าของเธอ
แต่แล้วทันใดนั้นเอง ภายในห้องของชายหญิงสาวทั้งสองกลับปรากฏประตูมิติทรงกลมสีดำขึ้น ทั้งสองหันขวับไปเพ่งมองมันทันที มันปรากฏออกมาระยะหนึ่ง ก่อนที่จะมีบางสิ่งพุ่งกระโจนออกมาอย่างรวดเร็ว ตามมาด้วยหิมะที่ถูกแรงลมแบกพัดเข้ามาในห้องของลูว์ ซึ่งหลังจากที่สิ่งนั้นพุ่งออกมา ประตูมิติก็พลันปิดลงพอดี
บุรุษผู้สวมเสื้อโค้ตหนังสัตว์ที่มีหิมะเปรอะเปื้อนเต็มเสื้อลุกยืนขึ้นมา โดยมือข้างหนึ่งของเขาถือกระเป๋าโลหะที่ใช้ในการเก็บสิ่งของสำคัญเอาไว้ ส่วนในมืออีกข้างก็ถือสมาร์ทโฟนที่มีสายของหูฟังเชื่อมต่ออยู่ เขาทำการกดเลื่อนเปลี่ยนเพลงก่อนจะเลื่อนฮู้ดของเสื้อโค้ตหนังสัตว์ลง เปิดเผยใบหน้าของบุรุษผู้มีผมสีทองและนัยน์ตาสีแดงก่ำ
“แม็กซิมัส..” ลูว์กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา ชายผู้ถูกเรียกจึงได้หันไปมองผู้เอ่ยนามตนเอง
“ลูว์ วู้ดส์สินะ..” ลาอ้อนตบไปที่เสื้อโค้ตหนังสัตว์ที่เปื้อนหิมะ ทำให้มันสลายหายไปทันใด แล้วเขาจึงเริ่มเสกชุดที่ตัวเขาใส่เป็นปกติออกมาสวมใส่
“ใช่..ชั้นเอง นายมีธุระอะไรกับชั้น” ลูว์ยืนขึ้นโดยปล่อยให้ซูซานนั่งอยู่บนเตียงข้างหลังของตนเอง
“ลอสต์ให้ชั้นเอาเจ้านี่มาให้นายน่ะ” ลาอ้อนดึงหูฟังออกจากใบหูทั้งสองข้าง แล้วจึงทำให้สมาร์ทโฟนและหูฟังอันตรธานหายไป เมื่อเสร็จสิ้นเขาจึงยื่นกระเป๋าโลหะที่ถืออยู่ไปให้ลูว์
“ลอสต์? ไอบ้าหน้าฮู้ดสินะ..” ลูว์เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งเย็นชา “ในนี้มีอะไรอยู่ข้างในล่ะ”
“สิ่งที่จะช่วยให้นายสามารถช่วยให้นายต่อสู้และพาน้องชายของนายกลับมาได้ยังไงล่ะ”ลาอ้อนกล่าวออกมาพร้อมกับใบหน้าจริงจัง
“เจ้านั่นยังกำชับกับชั้นเลยว่าสิ่งนี้จะใช้ได้แค่กับนายเท่านั้น” เมื่อพูดจบ ชายหนุ่มผมทองจึงใช้พลังปลดพันธนาการของกระเป๋าโลหะนั้นออก ก่อนจะเปิดสิ่งที่อยู่ภายในให้ชายหญิงทั้งสองได้เห็น
“นี่มัน!!!” ซูซานอุทานออกมาด้วยความตื่นตระหนกตกใจเป็นอย่างมาก
ภายในห้องรับแขกของคฤหาสน์ เหล่าครีปปี้พาสต้าที่เหลืออยู่ได้เข้ามารวมตัวกันเพื่อรอสมาชิกคนอื่นๆที่กำลังจะมาถึง
ผ่านไปแล้วกว่า 2 ชั่วโมงหลังจากที่มิสเตอร์ครีปปี้พาสต้าได้ทำการประกาศฉุกเฉินไปยังเหล่าครีปปี้พาสต้าจากทั่วทุกมุมโลก ในขณะนี้มีครีปปี้พาสต้าเข้ามาภายในคฤหาสน์แล้วเพียงแค่ 2 คนเท่านั้น นั่นก็คือ ลาฟฟิ้งจิล ภรรยาของลาฟฟิ้งแจ็ค หากดูจากลักษณะภายนอกคงไม่มีอะไรผิดเพี้ยนไปจากแจ็คเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งเธอยังเป็นเพื่อนในจินตนาการและเกิดขึ้นแบบเดียวกันกับแจ็คทั้งหมด แต่สิ่งที่แตกต่างนั่นก็คือเธอเป็นผู้หญิงนั่นเอง
ส่วนคนที่สองนั้นก็คือแอน พยาบาลสาวผิวเทาที่เต็มไปด้วยรอยเย็บ หากเปรียบเธอกับพวกผีดิบก็คงไม่ผิดเสียทีเดียว โดยเธอนั้นหลงรักมาสกี้เพียงฝ่ายเดียวจนมักจะแลชายตามองชายหนุ่มผู้นั้นอยู่บ่อยๆ และคนที่เธอเกลียดที่สุดก็คือ จัดจ์ แองเจล ที่เคยมีปัญหากันในช่วงที่ยังไม่ได้เป็นครีปปี้พาสต้า
“มิสเตอร์ครีปปี้พาสต้า..แจ็คเค้าถูกจับไปด้วยเหรอค่ะ” หญิงสาวผิวขาวที่ใส่ชุดสาวใช้ซึ่งมีสีโทนเดียวกับของของลาฟฟิ้ง แจ็คอย่างไม่ผิดเพี้ยน
“ใช่แล้วครับ..ผมเสียใจด้วย” มิสเตอร์ครีปปี้พาสต้าแสดงสีหน้าสลด
“ฮึกๆ ทำไมถึงต้องเกิดเรื่องแบบนี้กับเขานะ” จิลร้องไห้ออกมาเบาๆ ฝ่ามือหนึ่งจึงเข้ามาจับไหล่ของเธอ จิลหันไปจึงพบเจนในร่างมนุษย์
“เจนนี่..” จิลปาดน้ำตาของตัวเองออก
“เขาจะต้องกลับมาแน่..ไม่ต้องห่วงนะคุณจิล” เจนปลอบโยนหญิงสาวเบื้องหน้าให้ลดทอนความเศร้าลง
“ขอบคุณนะ..เจนนี่” จิลที่ได้ปลอบโยนจึงเริ่มเปิดประเด็นคุยถึงเรื่องเจฟ แต่อีกฝั่งหนึ่งกลับเกิดเสียงโวกเวกโวยวายกันดังสนั่นจนสเลนเดอร์แมนจำต้องเข้าไปห้าม
“หยุดทะเลาะกันเถอะนะครับ..เวลานี้เราต้องสามัคคีกันนะครับ” สเลนเดอร์เข้าไปห้ามปรามแอนกับจัดจ์ แองเจลที่ทะเลาะกันเฉกเช่นปกติ บลัดดี้ เพนเทอร์รีบฉุดรั้งร่างของแองเจลออกมาทันที ส่วนทางแอนก็ถูกพัพเพทเทียร์ฉุดรั้งเอาไว้เช่นกัน ส่วนซีโร่กลับนั่งขำอยู่ที่พื้นข้างหน้าทั้งห้าคน
“ยัยนางฟ้า!! ชั้นบอกเธอไปแล้วไง..นี่ต่างหากที่ทำให้เลื่อยชั้นมันไปโดนขาเธอ” แอนชี้ไปยังซีโร่ที่กำลังนั่งขำกลิ้งอยู่ที่พื้น “ยัยนี่ต่างหากที่วางค้อนเอาไว้ผิดที่จนทำให้ชั้นสะดุด..แล้วชั้นก็ขอโทษไปแล้วด้วยจะเอาอะไรอีกย่ะ”
“เลิกโบ้ยไปที่ซีโร่ซะทีเถอะ..ยัยผีดิบ!! คนที่ผิดมันเธอต่างหากล่ะ..ตาถั่วแล้วยังโบ้ยให้คนอื่นเป็นแพะ เธอนี่มันแย่ที่สุด” จัดจ์ แองเจลยังคงปริปากทะเลาะกับแอนเช่นเดิม
ทันใดนั้นเอง ร่างของหญิงสาวผมสีชมพูกลับปรากฏขึ้นมาจากพื้นห้องรับแขก เมื่อร่างกายออกมาจนครบทุกส่วน เธอก็ได้ตะโกนต่อว่าพวกเธอทันที
“เลิกแหกปากกันได้หรือยัง!!! ชั้นจะนอน!!!” พิงกาเมน่าตะโกนอกมาด้วยเสียงที่ดังมาก จัดจ์ แองเจลที่มีความเกรงกลังต่อพิงกาเมน่าอยู่แล้วจึงหยุดปริปากและเงียบไปทันที ส่วนแอนกลับทำได้เพียงชะงักไปชั่วขณะ เธอกำลังจะปริปากต่อว่าแองเจลอีกครั้ง
“เกิดอะไรขึ้นที่นี่กัน..” มาสกี้วิ่งมายังที่เกิดเหตุอย่างรวดเร็ว แอนที่กำลังจะปริปาก ได้หยุดชะงักลงทันทีเมื่อได้ยินเสียงของชายหนุ่มที่เธอหมายปอง แอนหน้าแดงระเรื่อ เธอใช้ศอกกระทุ้งใส่ท้องของพัพเพทเทียร์อย่างแรงจนร่างของชายหนุ่มถึงกับกระเด็นเซไปเซมาจนเข้าใกล้ซีโร่
สาวบ้าพลังที่เห็นจังหวะเหมาะสม เธอจึงรวบรอบเอวของชายหนุ่มแล้วยกร่างของเขาขึ้นมาก่อนจะทุ่มลงกับพื้นทางด้านหลัง
“ซูเพล็กซ์!” ซีโร่ประกาศชื่อท่า ก่อนจะยืนขึ้นมามองพัพเพทเทียร์หัวปักพื้นในสภาพดูไม่ได้ แล้วเธอจึงค่อยหัวเราะออกมาดังลั่น
“มาสกี้!” แอนวิ่งตั้งท่าเตรียมโผเข้ากอด แต่กลับถูกบานประตูลอยได้พุ่งกระเด็นจนร่างของเธอกระเด็นไปตามปะตูต่อหน้ามาสกี้
“เดี๋ยวนี้เวรกรรมติดจรวดจริงๆสินะ” มาสกี้กล่าวออกมา
“สวัสดีจ้าทุกคน” เสียงแหลมของชายผู้มีเรือนผมสีฟ้าในชุดลูกกวาดดังออกมาจากหน้าประตูที่ถูกค้อนยักษ์สีรุ้งของเขาทำลายไป
“หวัดดี..แคนดี้ ป็อป” ซีโร่โบกมือทักทายชายผู้นั้นอย่างร่าเริง
“ประตูเค้าใช้เปิดกันย่ะ..ไม่ได้เอาไว้ทำลายเล่น” เจนตะโกนออกไปทันที แต่แล้วกลับมีบางสิ่งพุ่งกระโจนเข้ามาทางหน้าต่างของคฤหาสน์ เศษกระจกที่ออกมากมายกระเด็นออกมาเป็นวงกว้าง ก่อนที่สิ่งที่พุ่งเข้ามาจะหยุดลงจอดภายในคฤหาสน์
“สวัสดีทุกท่าน..เจสันผู้นี้ปรากฏตัวแล้ว ฮ่าๆๆ” ชายผู้มีผมสีแดงโลหิตปรากฏตัวออกมา เขาโค้งตัวคำนับจนแผ่นหลังขนานกับพื้นห้อง มือข้างหนึ่งขัดไว้ที่หลัง ส่วนอีกข้างหนึ่งถูกผายเข้าหาลำตัวบริเวณหน้าท้อง ก่อนจะก้มลงทำความเคารพอย่างสวยงาม
บุรุษผู้นี้พร้อมกับชุดรูปร่างประหลาดที่มีลักษณะคล้ายกับขุนนางหลากสีของฝรั่งเศสในช่วงยุคของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ผสมผสานกับหมวกทรงสูงสีเทา กับบู้ตสีดำสลับเหลืองอ่อน แขนเสื้อถูกถกขึ้นมาอยู่เหนือข้อศอก ตั้งแต่ปลายนิ้วจนถึงมือทั้งสองข้างเป็นสีดำเมี่ยมตัดกับผิวที่เป็นสีขาวซีด เล็บมือคมยาวเช่นเดียวกับฟันที่แหลมคมดั่งสัตว์นักล่า และนัยน์ตาที่มีเล่ห์นัยสีเขียวเรืองแสง
นามของบุรุษผู้นี้คือ ‘เจสัน ผู้สร้างของเล่น (Jason The Toy Maker)’ ชายผู้เป็นหนึ่งในกลุ่มปริศนา The G.R.A.E.C. ที่แม้แต่ครีปปี้พาสต้าด้วยกันยังไม่อาจรู้ได้ว่าพวกเขาเป็นใครและมีจุดประสงค์ใดกันแน่ อีกทั้งเขายังเป็นชายที่เป็นหนึ่งในสมาชิกของครีปปี้พาสต้าในยุคหลังผู้ก่อตั้งสลายตัวอีกด้วย นั่นทำให้เจสันผู้นี้เป็นหนึ่งในสมาชิกที่เก่าแก่คนหนึ่งเลยทีเดียว
“คุณเจสัน..ประตูก็มีนะคะ” เจนที่ต่อว่าแคนดี้กับสงบปากสงบคำทันที เมื่อพบกับเจสัน หนึ่งในผู้อาวุโสแห่งเหล่าครีปปี้พาสต้า อีกทั้งตัวเขายังมีพลังพิเศษที่น่าสะพรึงซ่อนอยู่มากมายอีกด้วย
“คิกๆ กระผมชอบการเข้าทางนี้เสียมากกว่าน่ะขอรับ” ชายผู้นั้นยิ้มขำออกมา ก่อนจะแสดงท่าทีฉุกคิดบางอย่างขึ้นได้
“มิสเตอร์ครีปปี้พาสต้าขอรับ..กระผมมีข่าวสารจะมาแจ้งให้ท่านทราบน่ะขอรับ” ชายผมแดงเดินเข้าไปหาชายผิวฟ้าอย่างรวดเร็ว ทุกคนที่ยืนหลีกทางรีบปลีกตัวเปิดทางออกทันที
“ว่ามาได้เลยครับ..” มิสเตอร์ครีปปี้พาสต้าเอ่ยเพื่อรับฟังข่าวสารที่เจสันจะมาแจ้ง
“ในช่องการสื่อสารที่แดชเป็นคนดูแลได้แจ้งมาว่านอกจากพวกเราทั้งสี่คนในที่นี้ที่สามารถเข้าร่วมได้..จะยังคงมีอีกสองคนที่มาเข้าร่วมได้” เจสันพูดคุยกับชายผู้เป็นศุนย์กลางของครีปปี้พาสต้าทั้งหมด “นั่นคือกลุ่มของเฟรดดี้ แฟซแบร์ และแอเนสทีเชีย”
“แต่ในขณะนี้พวกเขากำลังตกที่นั่งลำบากในการต่อสู้กับบางอย่างอย่างสุดกำลัง..” เจสันยิ้มกว้าง “และถ้าเราไปช่วยพวกเขาไม่ทันล่ะก็...”
เจสันปิดปากขำเล็กน้อย ก่อนที่เลื่อนมือลงแนบกับตัวเช่นเดิม เขาเพ่งมองไปใบหน้าของมิสเตอร์ครีปปี้พาสต้าด้วยใบหน้าที่เปรอะเปื้อนรอยยิ้มที่ยากต่อการอ่านสิ่งที่เขาสื่อออกมาผ่านรอยยิ้มนั้น
“พวกเขาคงจะถูกลบออกไปจากหน้าประวัติศาสตร์ เช่นเดียวกับซูเออไซด์ เมาส์, โซนิก และสควิดเวิร์ดที่ตายอย่างน่าเวทนา ฮ่าๆๆ” ชายผมสีแดงหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง ก่อนจะหยุดการกระทำทั้งหมดพร้อมคุกเข่าให้ระดับศีรษะของทั้งสองอยู่ในระดับเดียวกัน โดยการกระทำทั้งหมดปรากฏให้เห็นขึ้นเพียงแค่เสี้ยววินาทีเท่านั้น
“อยากลองให้เป็นอย่างนั้นอีกหรือเปล่าล่ะ..”
Laughing Jill (Caitlin Kirkland) AGE : 27
Jane The Killer (Jane 'Arkensaw' Richarson) AGE : 22
ที่มา : https://orig00.deviantart.net/a461/f/2017/070/b/4/laughing_jill_and_jane_the_killer_by_thekaryn-db1y4k3.png
Nurse Ann [Anne Lusen Mia] Age : 21
ที่มา : http://creepypasta-files.wikia.com/wiki/The_Nurse_Ann
Jason The Toy Maker [?] Age : ?
ที่มา : http://samequizy.pl/wp-content/uploads/2016/02/filing_images_278d56c4d84f.jpeg
Candy Pop [?] Age : ?
ที่มา : http://samequizy.pl/wp-content/uploads/2016/12/filing_images_c69ed3bcc5b2.jpg
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.4 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ