Creepypasta Family The Broken Myth

9.5

เขียนโดย Leragan

วันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2558 เวลา 20.43 น.

  24 chapter
  9 วิจารณ์
  41.44K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561 14.07 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

19) รวมกลุ่ม (Regroup)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

               หลังจากการปรากฏตัวของบลัดดี้ เพนเตอร์  พัพเพทเทียร์ ซีโร่ และจัดจ์แองเจิล เหล่าพวกครีปปี้พาสต้าที่เคยโศกเศร้า ขาดกำลังใจ ไร้ซึ่งความหวัง เนื่องด้วยการสูญเสียพวกพ้องคนสำคัญไป กลับมามีชีวิตชีวา ลดทอนอาการโศกในจิตใจ และเริ่มต้นการแก้ไขปัญหาขึ้นร่วมกันอีกครั้ง

               ซึ่งในขณะนี้เป็นช่วงที่เหล่าครีปปี้พาสต้ากำลังรวบรวมกำลังคนในการเข้าปะทะกับสามขุนพลของฝั่งที่ 'แบล็ก' ได้ควบคุมอยู่ ซึ่งประกอบไปด้วยครีปแม็คพาสต้า ผู้ใช้เวทมนตร์จากตำราโบราณ ครีปปี้พาสต้าจูเนียร์ บุรุษเหล็กคงกระพัน และคราโอติค ชายผู้มีพลังจิตแข็งแกร่งเกินหยั่งถึง ผู้ล้มฮีโร่บรายผู้แข็งแกร่งได้โดยไร้รอยขีดข่วน

               การที่ครีปปี้พาสต้าทั้งสี่ปรากฏตัวนั้นไม่ได้เป็นเพราะพลังอันแข็งแกร่งไร้เทียมทาน แต่เป็นการที่ทั้งสี่คนนี้ต่างเป็นคนที่ประสานงานกับผู้อื่นได้ดี ยกเว้นแต่ซีโร่ที่มักจะทำอะไรเอาแต่ใจตนเป็นใหญ่ก็ตาม แต่เธอก็เป็นหนึ่งในกำลังหลักของทีม

               โดยบลัดดี้เพนเทอร์ ชายผู้สวมใส่หน้ากากประทับรอยยิ้มโลหิต เขาผู้นี้เป็นคนที่เงียบขรึมไม่ค่อยพูดคุยกับใคร และไม่ค่อยแสดงอารมณ์ความรู้สึกให้เห็นยกเว้นแต่จัดจ์แองเจิลผู้เป็นแฟนสาว และพัพเพทเทียร์กับซีโร่ที่เป็นเพื่อนสนิท ชายผู้นี้หากอยู่ในยามขับขันความเป็นภาวะผู้นำและการวางแผนอันแยบยลจะปรากฏให้เห็นได้ทันที

               บลัดดี้เพนเทอร์ หรือ ‘เฮเลน ออทิส’ เป็นเด็กหนุ่มที่หลงใหลในการวาดภาพจากอารมณ์ความรู้สึกที่มีหรือสิ่งแวดล้อมรอบข้างด้วยการใช้สีแดงเป็นหลัก ดังนั้นการที่เขาจะถือสมุดวาดภาพหรือกระดานวาดรูปไปจึงไม่ใช่สิ่งที่แปลกประหลาดแม้แต่น้อย ซึ่งในทางกลับกัน..มันก็เป็นพลังพิเศษเฉพาะตัวของเขา

               แม้จะเป็นสิ่งที่อาจพบเห็นมากในคอมมิต มังงะ ภาพยนตร์หรืออนิเมชั่นญี่ปุ่น แต่หากเทียบกับในชีวิตจริง เพียงแค่การอัญเชิญอสูรกายออกมาก็ว่ายากแล้ว แต่ชายผู้นี้สามารถสร้างอสูรหรือสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่มนุษย์ขึ้นมาได้จากการวาดภาพ

               โดยนั่นกลับไม่ใช่พลังที่เกิดจากตัวเขา แต่กลับเป็นพลังที่เกิดขึ้นจากปากกาแดงพิเศษที่สามารถดลบันดาลให้สิ่งที่ได้ถูกวาดโดยปากกาเล่มนี้ จะถูกทำให้สิ่งนั้นหลุดลอยออกมาจากพื้นกระดาษสมุด มีรูปร่างรูปทรง และมีชีวิตขึ้นมาอย่างน่าพิศวง โดยเงื่อนไขนั้นก็คือสิ่งที่วาดด้วยปากกาเล่มนี้จำเป็นที่จะต้องเป็นสิ่งมีชีวิตเท่านั้น หากไม่ใช่จะเป็นเพียงภาพวาดลายเส้นแดงตามปกติ อีกทั้งผู้วาดยังจำเป็นจะต้องมีความปรารถนาต้องการและความมุ่งมั่นเช่นเดียวกัน หรือสรุปได้สั้นๆว่าชายผู้นี้คือซัมมอนเนอร์ประจำกลุ่มนั่นเอง

               ซึ่งแตกต่างจากจัดจ์แองเจิล เธอเป็นเด็กสาวที่ขี้อาย แต่ก็เป็นคนที่มุ่งมั่นและเอาใจใส่ โดยบางครั้งเธออาจจะแสดงท่าทีก้าวร้าวออกมาเล็กน้อยบางเวลา หากพบเจอกับคนที่เธอไม่ชอบ แต่เธอนั้นกลับเป็นคนจิตใจดี พูดน้อยกว่าปกติเล็กน้อย แต่ความมีเสน่ห์อย่างหนึ่งของเธอคือความซุ่มซ่ามและอาการของเธอเวลาเขินจนทำอะไรไม่ถูก สร้างความน่ารักและความมีเสน่ห์จนสามารถสะกิดหัวใจของบลัดดี้เพนเทอร์ผู้เข้มขรึมได้

               พลังของเธอนั้นแตกต่างจากครีปปี้พาสต้าคนอื่นๆ โดยพลังของเธอไม่ได้เกี่ยวกับดาบของเล่นไร้ความแหลมคมที่หากฟันใส่ผู้ที่พูดความเท็จจนเกิดบาดแผลได้เหมือนเช่นดาบนั้นแหลมคมอยู่แล้ว ซึ่งนั่นเป็นเพียงแค่ความสามารถของตัวดาบเอง ดาบนี้ถูกสร้างขึ้นโดยเจสัน เดอะ ทอยเมเคอร์ หนึ่งในผู้แข็งแกร่งอีกคนหนึ่งของเหล่าครีปปี้พาสต้า

               สำหรับพลังของจัดจ์แองเจิลนั้นคือการเบี่ยงเบนเหตุร้ายที่จะเกิดขึ้นกับตัวเธอไปยังคนที่มีค่าระดับ Luck ต่ำที่สุดได้อย่างไร้เหตุผล หากเป็นยามปกติ ส่วนใหญ่จะเป็นพี่น้องตระกูลวู้ดส์ ลูว์และเจฟ โดยเจฟมักจะโดนเสียมากกว่า แต่ถ้าหากเจฟไม่ได้อยู่ใกล้เคียงนัก ลูว์ก็อาจเป็นคนโดนแทน แต่พลังนี้ไม่ใช่พลังที่ผลอย่างสมบูรณ์ มันแค่มีโอกาสสูงเท่านั้น ดังนั้นยังคงมีโอกาสที่เธอจะเป็นฝ่ายได้รับเหตุร้ายตามปกติ

               อธิบายถึงค่า Luck ผู้ที่เป็นครีปปี้พาสต้าที่เกิดขึ้นมาจากเกม จะมีความรู้และความสามารถเห็นค่านี้ของทุกคนได้โดยเฉพาะเบนดราวน์ที่เกิดขึ้นจากเกมที่มีลักษณะดังนี้โดยตรง โดยครีปปี้พาสต้าที่มีค่า Luck ต่ำที่สุดนั้นมีอยู่ 3 คน คือ สองพี่น้องตระกูลวู้ดส์ และลอสต์ ซิลเวอร์ที่ยังไม่ปรากฏตัวออกมา

               ต่อมานั้นคือ อลิส แจ็กซัน หรือ ซีโร่ หญิงสาวผู้มีสภาพจิตไม่ปกติ เธอค่อนข้าง Crazy และชอบทำตัวให้เป็นจุดสนใจ พร้อมกับวลีประโยคที่ยากจะจับใจความได้ อาวุธของเธอคือค้อนก่อสร้างขนาดใหญ่ แม้ว่าค้อนนั้นจะหนัก แต่หากเทียบกับกำลังของเธอที่มีนั้น ก็เทียบเคียงได้กับชายฉกรรจ์หุ่นกำยำคนหนึ่งเลย

               ด้วยการที่เธอมีสถานะก่อนเป็นครีปปี้พาสต้าคือเพื่อนในจินตนาการ ทำให้เธอมีลักษณะบางประการคล้ายคลึงลาฟฟิ้งแจ็ค ยกเว้นแต่วิธีการมีตัวตนของทั้งคู่นั้นจะแตกต่างกันออกไป เพราะหากเป็นลาฟฟิ้งแจ็กนั้นสามารถมีตัวตนขึ้นโดยการแยกตัวออกจากผู้สร้างตัวเขา แต่ซีโร่กลับใช้วิธีการกลืนกินผู้สร้างจนกลายเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างสมบูรณ์ ทำให้แทนที่เธอจะเป็นเพื่อนในจินตนาการต่อไป เธอจึงมีตัวตนจริงและสูญเสียพลังแบบเดียวกับลาฟฟิ้งแจ็คไป แต่นั่นก็ไม่ได้ส่งผลกระทบใดๆกับเธอเลย เนื่องด้วยเธอก็ไม่ได้ใคร่สนใจพลังแบบนั้นอยู่แล้ว

               อีกทั้งพลังที่เธอมีก็ดีกว่าการแปรเปลี่ยนสภาพไปสิงในจินตนาการคนอื่น โดยเธอนั้นไม่มีความรู้สึกเจ็บปวด อีกทั้งยังมีความสามารถในการฟื้นฟูสภาพร่างกายในระดับนึง โดยความเจ็บปวดที่สะสมมานั้นจะถูกถ่ายทอดไปยังคนที่เธอต้องการมอบให้ได้ แต่ทั้งหมดนี้ก็เพียงแค่มีโอกาสเท่านั้น ดังนั้นความเจ็บปวดจากบางสิ่งเธอก็ไม่สามารถส่งต่อให้ผู้อื่นได้เช่นกัน

               และคนสุดท้ายผู้ที่อาจจะแข็งแกร่งที่สุดในกลุ่ม บุรุษที่สามารถบงการสรรพชีวิตได้..พัพเพทเทียร์ ชายผู้นี้ไม่ได้มีความสามารถทางการต่อสู้แม้แต่น้อย เขาจึงทำได้เพียงเป็นแนวหลังเช่นเดียงกับมิสเตอร์ครีปปี้พาสต้า แต่แตกต่างกันที่พลังของชายผู้นี้นั้นคือการควบคุมสิ่งมีชีวิตด้วยเส้นด้ายวิญญาณสีเหลืองทอง ซึ่งถักทอมาจากพลังชีวิตของพัพเพทเทียร์ที่ปรากฏให้เห็นทั้งในดวงตาและภายในปากที่ส่องแสง

               โดยเส้นด้ายเหล่านี้จะปรากฏให้เห็นบริเวณปลายนิ้วทั้งหมดของทั้งสองมือ โดยเส้นใยเหล่านี้จะเข้าไปควบคุมระบบต่างๆในร่างกายของผู้ถูกควบคุมทั้งหมด แม้ว่าผู้ถูกควบคุมจะรู้สึกตัวอยู่ก็ตาม ดังนั้นเขาจึงเป็นหนึ่งในครีปปี้พาสต้าที่มีพลังร้ายกาจที่สุดคนหนึ่งเลยทีเดียว แต่น่าแปลกที่เขานั้นไม่สามารถควบคุมซีโร่ได้ นั่นอาจเป็นเพราะร่างของซีโร่กลับไม่ใช่ร่างของซีโร่ แต่เป็นร่างของอลิซ แจ็คสันที่ถูกซีโร่กลืนกินเข้าไป นั่นจึงอาจเป็นเหตุให้พัพเพทเทียร์ไม่สามารถควบคุมร่างซีโร่ได้..เพราะเธอถูกควบคุมอยู่แล้วไงล่ะ

               ในขณะเดียวกัน ในห้องโถงใต้ดินที่เคยพาไอโอน่าลงมาที่นี่ มิสเตอร์ครีปปี้พาสต้า และผู้ติดตามอีกสามคนนั่นก็คือ สเลนเดอร์แมน มาสกี้ และเบน ดราวน์ได้ลงมาอยู่ ณ สถานที่แห่งเดียวกัน

               ชายผิวสีฟ้าอันน่าประหลาดได้ยกแขนขึ้นมาจากที่รองแขน ให้ขนานในแนวระนาบเดียวกับสายตา เขาใช้พลังจิตเคลื่อนย้ายเทคโนโลยีที่ไม่สามารถระบุได้ว่ามันคืออะไร โดยมันมีลักษณะคล้ายกับกล่องรับสัญญาณดาวเทียมที่มีจานขนาดเล็กขยับไปมาบนกล่อง

               “ผมต้องขอให้คุณช่วยกระจายสัญญาณกระแสจิตผ่านดาวเทียมให้หน่อยครับ..คุณเบน ดราวน์” ชายผู้เป็นเจ้าของคฤหาสน์และหัวหน้าใหญ่ของสมาชิกครีปปี้พาสต้าทุกคนเอ่ยอย่างสุภาพ

               “ถ้าปู่ขอมา..ผมก็พร้อมจะจัดให้” เบน ดราวน์อมยิ้ม ก่อนที่เขาจะพุ่งกระโจนเข้าไปในหน้าจอขนาดเล็กหน้ากล่องรับสัญญาณ ด้วยความสามารถของการแทรกซึมระบบอิเล็กทรอนิกส์ ทำให้ตัวเขาสามารถเปลี่ยนสภาพตนเองให้กลายเป็นคลื่นชนิดเดียวกันกับดาวเทียมที่ส่งสัญญาณใกล้กับพวกเขามากที่สุด

               ทันทีที่เขาเข้าไปอยู่ระบบของดาวเทียมได้แล้ว เบนก็ทำการแทรกซึมการถ่ายทอดสัญญาณเพื่อที่จะเตรียมการส่งกระแสจิตไปให้กับครีปปี้พาสต้าคนอื่นๆที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงของประเทศนี้ และเขาก็ทำสิ่งนี้กับดาวเทียมดวงอื่นี่โคจรรอบโลกเช่นเดียวกัน แต่ความพิเศษของการถ่ายทอดสัญญาณแบบนี้คือมันจะเป็นช่องสื่อสารพิเศษที่มีแค่เหล่าครีปปี้พาสต้าเท่านั้นที่สามารถได้รับสาส์นนี้ นั่นเป็นเพราะทุกคนนั้นจะมีเครื่องรับสัญญาณกระแสจิตขนาดพกพาติดตัวกันทุกคน ถ้าหากมีการเชื่อมต่อจากลักษณะนี้ เครื่องรับสัญญาณจะแจ้งเตือนจนกว่าจะมีคนที่มีเสียง ลายนิ้วมือ และดวงตาแบบเดียวกันกับผู้ถือครองเครื่องรับสัญญาณจึงจะสามารถปิดการแจ้งเตือนได้ แต่ครีปปี้พาสต้าบางคนนั้นกลับไม่มีดวงตาและแขน ทำให้จำเป็นต้องระบุตัวตนด้วยเสียงแทนได้

               เมื่อแทรกซึมสำเร็จ ใบหน้าของเด็กหนุ่มในสภาพโฮโลแกรมพลันปรากฏขึ้นมาต่อหน้าของเพื่อนพ้อง แต่เขายังไม่สามารถออกมาในสภาพเดิมได้ นั่นก็เพราะเขาจะต้องควบคุมวงโคจรของเหล่าดาวเทียมให้กระจายรอบโลก ซึ่งต้องใช้พลังมหาศาล ภาพโฮโลแกรมที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นความยากลำบากในการเบี่ยงวงโคจรดาวเทียมด้วยพลังจากเด็กเพียงคนเดียว เมื่อเขาทำได้สำเร็จ เสียงของเบนที่ผ่านภพโฮโลแกรมก็ได้ส่งมาถึงเหล่าพวกพ้อง นำไปสู่ขั้นตอนถัดไปซึ่งเป็นหน้าที่ของชายผิวฟ้า

               “นี่ท่านปู่..ผมทำสำเร็จแล้วน้าาาาาา” เบนเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงขี้เล่น แต่เขาก็ยังคงออกมาจากระบบดาวเทียมไม่ได้ เพราะเขายังจำเป็นต้องควบคุมระบบดาวเทียมทั้งหมด หากเกิดปัญหาขัดข้องใดเกิดขึ้น

               บุรุษผิวฟ้าผู้อยู่บนพื้นดิน ขยับล้อรถเข็นไปด้านหน้าของโต๊ะวางเครื่องส่งสัญญาณ โดยสิ่งที่อยู่ข้างเครื่องส่งสัญญาณก็มีอุปกรณ์หน้าตาประหลาดวางอยู่เคียงข้าง มันมีลักษณะคล้ายกับหมวกกันน็อคสีเทาปกติ โดยหมวกนี้ไม่ได้คุมทั้งใบหน้า มันคุมเพียงแค่หน้าผาก ด้านบนและด้านหลังของศีรษะจนถึงท้ายทอย เมื่อบุรุษผิวฟ้าหยิบขึ้นมาใส่เสร็จสมบูรณ์ บริวเณด้านหลังของหมวกที่คุมหลังศีรษะพลันปรากฏรยางค์ท่อใหญ่สีฟ้าเรืองแสงปรากฏออกมา ท่อเรืองแสงนั้นก็ได้เชื่อมต่อท้ายทอยซึ่งเป็นจุดที่มันโผล่ออกมาเข้ากับเครื่องส่งสัญญาณ เพื่อที่จะเชื่อมต่อพลังจิตเของเขาให้กระจายไปยังเหล่าครีปปี้พาสต้าจากทั่วทุกมุมโลก

               ‘หากพวกคุณทุกคนได้ยินเสียงของผมแล้ว..ได้โปรดรับฟังสิ่งที่ผมจะพูดอย่างตั้งใจด้วยครับ’ มิสเตอร์ครีปปี้พาสต้าสนทนาผ่านคลื่นพลังจิตของเขาซึ่งเชื่อมต่อเข้ากับดาวเทียมรอบโลก ด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง

               ‘เหตุการณ์ที่พวกเราจากฐานหลักได้บุกเข้าโจมตีฝ่ายศัตรู ทำให้เราต้องสูญเสียพี่น้องของพวกเราไปมากมาย และนั่นจึงเป็นสาเหตุให้ผมต้องเปิดระบบสื่อสารฉุกเฉินนี้ขึ้น โดยมีจุดประสงค์เพื่อ..’

               ‘ส่งสาส์นนี้ให้รับทราบการประกาศการรวมกลุ่มเหล่าครีปปี้พาสต้าเข้าโจมตีและทวงคืนพี่น้องของพวกเรากลับมา ผมจึงต้องการพลังของเหล่าครีปปี้พาสต้าแฟมิลี่ทุกคน แม้คุณจะคิดว่าตนเองไม่มีพลังมากพอจะช่วยเหลือใครได้ ซึ่งมันไม่ใช่เลย...ทุกความช่วยเหลือแม้เพียงน้อยนิดก็มากพอจะช่วยเยียวยาพวกพ้องของเราได้อย่างแน่นอน ณ จุดนี้ ได้โปรดเข้าร่วมกับเราเพื่อช่วยเหลือพี่น้องของเราเถอะครับ’

               ‘พวกเราไม่ใช่ตัวประหลาด..พวกเราไม่ใช่คำสาป..พวกเราไม่ใช่ฆาตรกร..พวกเราไม่ใช่สิ่งใดก็ตามที่เหล่ามนุษย์เรียกเรา แต่พวกเราก็ไม่ได้เป็นมนุษย์เช่นเดียวกัน นั่นเป็นเพราะพวกเราคือครีปปี้พาสต้า..เป็นเพียงสิ่งมีชีวิตที่มีพรสวรรค์และต้องการอยู่โดยสันติเท่านั้น’

               ‘จงลุกขึ้นมาสู้ตามวาจาของกระผมเถิดเพื่อสันติสุข..เพื่อพี่น้อง..เพื่ออนาคต เพราะพวกเราคือครีปปี้พาสต้า!!!’

               เมื่อชายผิวฟ้าหมดสิ้นหน้าที่แล้ว เขาก็ได้ถอดอุปกรณ์กระจายสัญญาณลงที่เดิม เบน ดราวน์ที่เสร็จหน้าที่ก็ได้กลับมาที่จุดเดิม แล้วทั้งหมดก็ได้เดินไปยังห้องโถงของคฤหาสน์ปล่อยให้ห้องใต้ดินกลับมามืดสนิทเช่นเดิม

               หน้าห้องพักห้องหนึ่งภายในคฤหาสน์หลังใหญ่ของมิสเตอร์ครีปปี้พาสต้า บุรุษหนุ่มผู้หนึ่งกำลังจะเดินเข้ามาในห้อง โดยมีเพียงผ้าเช็ดเดียวผืนหนึ่งปิดบังช่วงล่างเอาไว้ ส่วนมือทั้งสองก็สอดเข้าไปในผ้าเช็ดตัวผืนเล็กเพื่อเช็ดศีรษะให้แห้ง ปอยสะเก็ดน้ำกระจายออกไปรอบข้างเล็กน้อย หลังจากที่ผมเริ่มแห้ง เขาจึงหมุนลูกบิดประตูเพื่อเปิดเข้าไป ก่อนจะเดินเข้าไปอย่างไม่รีบร้อนนัก

               ร่างกายของชายหนุ่มผมสีน้ำตาลผู้นี้เต็มไปด้วยรอยเย็บมากมายทั่วทั้งร่างกาย ดวงตาสีเขียวที่เป็นจุดเด่นของลูกหลานตระกูลวู้ดส์ ที่ในขณะนี้เหลือเพียงสองคนนั่นคือ ลูว์ วู้ดส์ ผู้เป็นพี่ชายและเจฟเฟอรี่ วู้ดส์ ผู้เป็นน้องชาย

               พวกเขายังคงเหลือรอดจากการฆาตรกรรมยกครัวได้อย่างน่าปาฏิหารย์ โดยเฉพาะลูว์ที่รอดมาได้ในสภาพที่ปางตายเต็มทน ร่างกายที่เต็มไปด้วยบาดแผลฉกรรจ์มากมาย ปากที่ฉีกออกจนถึงกลางแก้ม รอยแผลที่เกิดขึ้นบริเวณดวงตา รอยแผลลึกที่ลำคอ หน้าอก และอวัยวะภายในที่กองอยู่กับพื้น บางชิ้นนั้นก็ขาดครึ่งหรือถูกคมมีดบาดจนไม่สามารถนำกลับมาใช้งานได้ นั่นยังคงไม่ได้รวมถึงบาดแผลจากไฟไหม้ที่เกินจะเยียวยาบริเวณแผ่นหลังของเขา และอาการเสียเลือดอย่างหนัก

               แม้ว่าลูว์จะรอดมาได้จากการฆาตกรรมครั้งนั้น แต่ความเจ็บปวดของการสูญเสียครอบครัวยังคงฝังใจอยู่ลึก และเคยปักใจเชื่อว่าเจฟนั้นอาจเป็นฆาตกรหรือบางสิ่งที่พรากทุกสิ่งไปจากเขาไปกันแน่ สิ่งที่เขาจำได้หลังจากฟื้นขึ้นมานั้นคือรอยยิ้มอันน่าสะพรึงของเจ้าปีศาจตนนั้น และภาพที่พ่อและแม่ของเขาต่างล้มลงจมกองเลือดอย่างน่าอนาถโดยที่เขาไม่สามารถทำได้แม้จะปกป้องหรือช่วยเหลือ ..ไม่สิ แค่เดินด้วยตัวเองยังทำไม่ได้ ก็ไม่ควรจะหวังถึงการช่วยเหลือพวกเขาหรอก แต่สิ่งเดียวที่ทำให้เขายังคงมีความมุ่งมั่นที่จะมีชีวิตต่อไปนั่นคือการพิสูจน์ว่าน้องชายของตนเองเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่เวลาอันเนิ่นนานและความเคียดแค้นที่เดือดดาลจากภายในนั้นได้หลอมหลวมทั้งหมดเข้าไปในส่วนลึกของหัวใจที่แตกสลาย จนสุดท้ายแล้วเขาก็หลงผิดว่าน้องชายโดยสายเลือดของเขานั้นคือฆาตกรที่สังหารพ่อแม่ของตนเอง

               แม้ว่าลูว์จะรอดมาได้อย่างปาฏิหารย์ แต่ร่างกายของเขาก็ไม่ได้เหมือนเดิมอีกต่อไป ชายหนุ่มที่เคยเข้มแข็ง ร่าเริง และแข็งแรง กลับทรุดโทรม หม่นหมอง และทุกข์ใจอยู่ตลอด ลูว์นั้นแทบจะไม่เคยยิ้มเพราะมีความสุขจริง แต่เป็นการยิ้มประชดประชัน ยิ้มเย้ยหยัน หรือยิ้มถากถางเสียมากกว่า

               พี่ใหญ่ตระกูลวู้ดส์มักจะคิดทบทวนเรื่องในอดีตอันแสนเจ็บปวดอยู่หลายครา ทำให้เขามักชอบเดินทำหน้ากลุ้มและใจลอยอยู่เสมอ เช่นในคราวนี้ที่เขากำลังจะเปลี่ยนชุดในห้องอย่างเปิดเผยโดยไม่สนใจพยาบาลสาวที่นั่งอยู่บนเตียงนอนข้างๆ เธอจ้องมองร่างกายลูว์ด้วยท่าทางเหรอหรา

               ลูว์ที่ยังคงไม่เห็นหัวพยาบาลสาวก็ได้วางผ้าเช็ดตัวผืนเล็กที่ใช้เช็ดผมลงบนเตียงนอนของเขาซึ่งอยู่ตรงข้ามกับเตียงนอนของซูซาน หลังจากั้นเขาจึงค่อยคลายผ้าเช็ดตัวที่ปิดบังส่วนล่างจนเห็นส่วนล่างจากทางด้านหลังอย่างชัดเจน แม้ว่าซูวานจะเป็นพยาบาลที่มักจะคอยดูแลคนไข้เช่นนี้อยู่หลายครั้ง แต่พอมาเจอกับเคสที่เป็นคนสนิทชิดเชื้อเกินกว่าคำว่าเพื่อนแบบนี้ มันยากที่จะแสดงอาการเขินอายจนหน้าแดง

               ลูว์ก็ยังคงใจลอยอยู่เช่นเดิมจนถึงช่วงเวลาที่ต้องไปหยิบเสื้อผ้าจากตู้เสื้อผ้าที่อยู่ตรงข้าม เขาจึงได้หันไปทางตู้เสื้อผ้า เปิดเผยบางสิ่งที่ไม่ควรเปิดเผยให้เพศตรงข้ามได้เห็นเด็ดขาดออกมา ซูซานหน้าแดงระเรื่อ เธอร้องออกมาเบาๆ ก่อนจะปิดปากลง แต่เสียงนั้นกลับดังพอที่จะเรียกสติของลูว์ให้กับมา ชายหนุ่มมองไปทางซูซานที่หน้าแดงระเรื่อ เธอเบือนหน้าหนีไปทางอื่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ชายหนุ่มจึงมองไปที่ร่างกายอันเปลือยเปล่าของตนเองแล้วจึงเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เขารีบปิดส่วนล่างทันที

               “เอ่อ..” ลูว์เบือนหน้าไปทางอื่น ความเขินอายเกิดขึ้นกับตัวเขามากกว่าครั้งไหนๆ

               “โนคอมเมนต์ค่ะ” ซูซานเอ่ยแซวชายหนุ่มเล็กน้อย แล้วจึงหันมายิ้มหวานให้กับเขาในสภาพหน้าแดงเกินพิกัด ลูว์ที่ถูกแซวก็ก้มหน้าลง ไม่กล้าสบตาเธอ “ก็ใหญ่อยู่นะ...”

               “ซูซานนนนน!!!!!!!!” ลูว์ตะโกนเสียงสูงออกมา ทันใดนั้นประตูห้องของเขาก็เปิดออก ทั้งคู่จึงหันไปพร้อมกัน

               “พี่ลูว์คะ..คือ เอ่อ...” หญิงสาวผมน้ำตาลผู้เป็นแฟนสาวของน้อยชายลูว์..เจน เดินเข้ามาโดยไม่แม้แต่จะเคาะประตู ทำให้ได้เห็นบางสิ่งที่เธอไม่ควรเห็น

               “ขอโทษที่รบกวนค่ะ!!!” เจนรีบปิดประตูลงทันที ลูว์และซูซานที่ถูกเข้าใจผิดจึงมองหน้ากัน

               “รีบไปหาเสื้อใส่สิคะ..ชั้นไม่ตัดริบบิ้นให้หรอกนะ” ซูซานพูดตัดบทก่อนจะหันหลังไปทันที ลูว์จึงหมดเวลาอ้ำอึ้งแล้วรีบหาเสื้อผ้าใส่โดยเร็ว

               หลังจากที่ลูว์ใส่เสื้อผ้าเสร็จแล้ว ซูซานก็ได้หันกลับมา และพบกับลูว์ในสภาพเช่นเดียวกันกับทุกๆวัน เสื้อเชิ้ร์ตสีขาวที่ถูกสวมทับด้วยเสื้อกั๊กไหมพรมสีเขียว และทั้งหมดนั้นก็ถูกเสื้อโค้ตทรงยาวสีดำทับอีกรอบหนึ่ง กางเกงขายาวสีน้ำตาล รองเท้าผ้าใบสีขาวสลับน้ำเงิน และที่ขาดไม่ได้..ผ้าพันคออันเป็นเอกลักษณ์ แต่ในวันนี้เขากลับใส่ผ้าพันคอไหมพรมสีน้ำเงินสลับดำ..ผ้าพันคอที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความทรงจำดีๆของครอบครัวในวัยเด็ก เขาใช้เวลาอยู่นานกว่าจะสามารถทำใจและใส่มันจนได้ มันเป็นผ้าพันคอที่ถูกซื้อโดยพ่อ แม่ และเจฟอย่างลับๆ เพื่อมาเซอไพรส์ลูว์ในวันเกิดครบรอบ 12 ปี

               ชายหนุ่มที่ใส่เสื้อผ้าเสร็จก็ทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงนอน แล้วก้มหน้าที่แสดงอาการทุกข์ใจ ไม่มีความสุขลงมองพื้นห้อง และกลับมาคิดถึงเรื่องที่เจฟถูกจับตัวไป เพราะในครั้งนั้นเขากลับไม่สามารถยื่นมือไปช่วยน้องชายของเขาได้แม้แต่น้อย ทำได้เพียงมองดูทุกอย่างเกิดขึ้นกับเพื่อนพ้องและน้องชาย

               “ลูว์..” เสียงเล็กหวานดังขึ้นมา ชายหนุ่มจึงหันมามองเจ้าของเสียง ก่อนที่บางสิ่งที่ค่อนข้างแข็งได้เข้ามาสัมผัสกับขมับส่วนล่างทั้งสองด้าน ก่อนจะหยุดลงเมื่อผ่านใบหูและปอยผมไป ใบหน้าของหญิงสาวขยับเข้ามาใกล้ลูว์อย่างมาก จนสามารถเห็นริมฝีปากที่เข้ามาใกล้ได้ไม่ชัดเจน เมื่อบางสิ่งที่เคลื่อนไหวผ่านได้หยุดลง ซูวานก็ได้หันหลังกลับไปแล้วหยิบกระจกขึ้นมา

               “ลูว์..เธอคิดว่าไง” หญิงสาวยิ้มหวาน เธอยื่นกระจกไปที่ลูว์ ทำให้เขาได้มองเห็นความเปลี่ยนแปลงของตนเอง “แว่นตาที่ชั้นเลือกมาสวยมั้ย..”

               ชายหนุ่มที่ใส่แว่นตากรอบเหลี่ยมสีดำ เมื่อมองเห็นตนเองก็ได้ยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยยากที่จะสังเกต เขามองไปทางพยาบาลส่วนตัวของเขา ใบหน้าที่ยิ้มแย้มอย่างมีความสุขของเธอ ชวนทำให้เคลิ้มจนอยากจะยิ้มไปพร้อมกัน ลูว์จึงไม่ลังเลที่จะตอบกลับไป

               “ไม่..” ชายหนุ่มตอบกลับไปด้วยใบบหน้าเรียบนิ่งกับยิ้มบางๆ ซูซานที่ได้ยินเข้าก็ได้คอตกทันที

               “โธ่..แย่จัง นึกว่าจะชอบซะอีก” ซูวานเอ่ยอย่างผิดหวัง ก่อนที่เธอจะหันหลังไปวางกระจกที่เดิม แล้วกลับมานั่งข้างลูว์เช่นเดิม

               “ไม่..ไม่เลวนี่” รอยยิ้มของชายหนุ่มเริ่มขยายใหญ่ขึ้น แต่ก็ยังคงเบาบางอยู่เช่นเดิม หญิงสาวเรือนผมน้ำตาลอ่อนราวกับเนื้อไม้ หันกลับมาอย่างประหลาดใจ ก่อนจะยิ้มอย่างอ่อนโยนเฉกเช่นเดิม

               “ขอบคุณนะที่ชอบมัน..” ซูซานปล่อยให้ศีรษะร่วงลงสบไหล่กับลูว์..ชายหนุ่มที่เธอรักจากใจจริง

               ลูว์ได้หันมามองพยาบาลสาวที่นอนซบไหล่ของเขาอย่างมีความสุข ชายหนุ่มแอบยิ้มบางๆให้เล็กน้อย นั่นเป็นการยิ้มครั้งแรกของเขาหลังจากโศกนาฏกรรมที่หลอกหลอนเขาจากในอดีต

               “ซูซาน..” หญิงสาวลืมตาตื่นขึ้นแลมองชายหนุ่มจากจุดเดิม

               “เธอรู้มั้ย..ตอนที่ชั้นเจอเจฟที่นี่ ความทรงจำทุกอย่างมันหวนกลับมา ความสับสน ความเศร้าสลด ความโกรธแค้น ...พวกมันหวนกลับมาตอนที่ชั้นเห็นหน้าเขา” ลูว์ฟุบใบหน้าลงมองพื้นห้อง “ทั้งที่ชั้นรู้อยู่แก่ใจอยู่แล้ว..เจฟไม่ใช่คนที่ฆ่าพวกเขาหรอก..เจฟไม่ใช่คนที่ฆ่าพ่อแม่ของพวกเรา”

               “ในวันนั้น..ชั้นอยากจะเข้าไปกอดเค้า แต่ความสับสนและความโกรธ มันได้ลงมือออกไป..ชั้นควบคุมตนเองไม่ได้เลย ทำได้แค่มองน้องชายที่กำลังกลัวจนตัวสั่น”

               “แต่ก็ดีที่ความโกรธที่เกิดขึ้นทำให้ร่างกายชั้นใช้แรงมากเกินไปจนร่างกายรับไม่ไหว..อย่างที่เธอเห็นชั้นล้มลงไปนอนกองกับพื้น ดิ้นรนไปมาเหมือนกับปลาที่ถูกดึงขึ้นมาบนบกและกำลังขาดลมหายใจ” ลูว์เงยหน้าขึ้น แล้วยิ้มสมเพชตนเอง

               “แต่เจฟกลับไม่มีทีท่าจะโกรธหรือเกลียดชั้นเลย..สิ่งสุดท้ายที่ชั้นมองเห็นก็คือสีหน้าเป็นห่วงเป็นใยของน้องชายตัวแสบ..ฮึ” ชายหนุ่มใช้มือยื่นขึ้นมาจับไปที่ใบหน้าของตนเอง “ทำไมชั้นถึงกล้าทำร้ายน้องชายแท้ๆของชั้นเองล่ะ..ทำไมชั้นถึงกล้าทำร้ายเจฟ”

               ร่างของหญิงสาวเข้าโผกอดชายหนุ่มที่ทุกข์ใจอย่างหนักหน่วง ความอบอุ่นจากร่างของเธอถูกถ่ายทอดไปยังหัวใจที่เคยแตกร้าวและแหลกสลายไปแล้ว ความอบอุ่นจากเธอเป็นเพียงสิ่งเดียวที่คอยเยียวยาให้เขายังคงมีชีวิตอยู่ต่อไปได้..

               แต่มันกลับไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ..ไม่ใช่ความอบอุ่นที่ตัวเขาได้รับ นั่นเป็นเพราะสิ่งนั้นไม่อาจเทียบได้กับสิ่งที่เธอให้กับชายหนุ่มผู้นี้เลย ความต้องการแท้จริงของเขานั้นคือเธอ..ผู้ซึ่งยืนหยัดเคียงข้างกับเขา แม้ในยามที่ทั้งสองทุกข์ใจที่สุด เธอก็ยังคงยิ้มรับและพยุงร่างของลูว์ก้าวข้ามผ่านไปในที่สุด

               “ชั้นไม่รู้หรอกนะว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่ตัวชั้นสลบไปแล้ว..ชั้นรู้แค่ว่าหลังจากที่ตื่นขึ้นมามันคล้ายกับมีบางอย่างหายไป”

               “คุณลอสต์กับคุณพิงกี้ผ่าตัดไม่สมบูรณ์เหรอ..ลูว์” ซูซานแสดงท่าทีตื่นตระหนก เธอเลื่อนอ้อมแขนออกจากร่างชายหนุ่ม ทำทีจะลุกขึ้น แต่กลับถูกแขนของชายหนุ่มฉุดรั้งเอาไว้

               ลูว์ส่ายหน้าไปมาเพื่อตอบกลับข้อสงสัย ซูซานที่ทราบคำถามถอนหายใจโล่งอก แล้วจึงกลับไปนั่งเฉกเช่นเดิม

               “ความจริงแล้วชั้นว่าเจ้าฮู้ดดำนั่นไม่ได้เปลี่ยนถ่ายอวัยวะภายในให้ชั้นหรอก..” ลูว์ยิ้มบางที่มุมปาก มันเบาบางจนยากจะมองเห็นโดยผิวเผิน

               “เพราะเจ้านั่นน่าจะรู้ว่าจริงๆแล้วต้นตอของปัญหาไม่ใช่อวัยวะภายในที่เสื่อมสภาพและเสียหาย” ซูซานฟังอย่างตั้งใจ ภายในใจของเธอยังคงห่วงใยลูว์เป็นอย่างมาก

               “แต่เป็นเพราะบางสิ่งที่ฝังลึกในจิตใจของชั้นต่างหาก..ทั้งความสับสน ความโกรธแค้น มันหายไปเกือบทั้งหมดจนน่าประหลาด”

               “การกระทำของเจ้าบ้าใส่ฮู้ดนั่นก็คงจะเป็นแค่ส่วนหนึ่งที่ทำให้ชั้นกลับมาเป็นลูว์ที่สามารถยิ้ม หัวเราะอย่างมีความสุข และสนุกกับน้องชายตัวแสบและทุกๆคนได้อีกครั้ง”

               “และส่วนสำคัญอีกส่วนนึงก็คือ..” ลูว์เบือนหน้าไปทางหญิงสาว “เธอ..ซูซาน ถ้าในวันนั้นชั้นไม่ได้พบเธอก็คงจะไม่มีลูว์ในวันนี้หรอกนะ”

               “ชั้นรักเธอนะ..ซูซาน” ลูว์ยิ้มอย่างอ่อนโยนให้กับหญิงสาวที่เขารักสุดหัวใจ

               ซูซานแสดงออกผ่านใบหน้าทันที ใบหน้าของเธอแดงไปถึงใบหู ดวงตาของเธอเปล่งประกายออกมา เธอนั้นก็พยายามจะพูดบางอย่างออกไป แต่ร่างกายกลับไม่ทำตามที่เธอต้องการ เธอจึงทำได้เพียงแค่สิ่งเดียวที่เธอถนัด

               “...” เธอไม่ได้พูดอะไรออกมา ยกเว้นแต่รอยยิ้มอันอ่อนโยนที่เธอมักจะมอบให้ชายหนุ่มอยู่เสมอ

               ชายหนุ่มมองไปยังใบหน้าของซูซานที่ยิ้มอย่างอ่อนโยนเฉกเช่นทุกๆครั้ง จิตใจที่เคยปวดร้าวและเจ็บปวด กลับถูกบรรเทาและเยียวยาเรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้ แม้เธอจะพูดไม่เก่งนัก แต่ความรู้สึกที่เธอมอบให้มันเหนือยิ่งกว่าการลั่นวาจาอออกมาเสียอีก หลังจากนั้นชายหนุ่มโอบกอดหญิงสาวทันที

               ในเวลาต่อมา ทั้งคู่ได้พูดคุยกันอย่างมีความสุข ทั้งยิ้มและหัวเราะไปด้วยกันเช่นเดียวกับเขาและเจฟในอดีต

               “ชั้นไม่ค่อยได้เห็นมากหรอกนะ..ที่ลูว์จะพูดเยอะขนาดนี้” ซูซานพูดออกมาทั้งรอยยิ้ม

               “ทำไมรู้สึกเหมือนถูกด่า..” ลูว์ยิ้มแห้งๆ

               “เค้าไม่ได้ว่าลูว์นะ..” เธอรีบใช้มือปัดป้องออกไปทันที “ชั้นแค่รู้สึกดีที่ลูว์พูดกับชั้นได้มากขึ้นกว่าเก่า”

               “งั้นก็พยายามต่อไปนะ” เธอแแสดงสีหน้ามุ่งมั่น แต่ก็อ่อนโยนในเวลาเดียวกัน

               “ครับ..แม่พยาบาลสุดสวย” ลูว์ตอบกลับไป แต่ใบหน้าของซูวานกลับแลดูคล้ายจะมีความข้องใจ

               “แม้แต่ลูว์ก็ไม่รู้งั้นเหรอ..ว่าจริงๆแล้วชั้นไม่ใช่พยาบาล” ซูซานเอ่ยสิ่งที่น่าตกใจออกมา จนแม้แต่ลูว์ยังต้องขมวดคิ้ว

               “นี่..เธอไม่ใช่พยาบาลหรอกเหรอ” ชายหนุ่มแสดงสีหน้าสงสัย

               “ทั้งใช่และไม่จ้ะ..” หญิงสาวตอบกลับมาอย่างน่าฉงน จนลูว์ต้องกลับมาขมวดคิ้วอีกครั้ง

               “ที่ใช่..คือชั้นเป็นพยาบาลจริงๆ” ซูซานเอ่ยเพื่อไขข้อสงสัยของชายหนุ่ม “ส่วนที่ไม่ใช่ก็ตรงที่ชั้นไม่ได้เป็นพยาบาลอย่างเดียว..ชั้นก็เป็นแพทย์ด้วยนะ”

               “หาาาาาาาา!!!” ชายหนุ่มอ้าปากค้าง “นี่เธอเป็นหมอเหรอ!!!”

               “หน้าเค้าไม่เหมือนหมอขนาดนั้นเลยเหรอ..” ใบหน้าของซูซานแสดงอาการสลดลง

               “ป่าวๆ คือชั้นแค่นึกไม่ถึง..ว่าเธอจะเป็นหมอน่ะ” ลูว์ประหลาดใจมากกับอาชีพที่แท้จริงของแฟนสาว “ว่าแต่เธอเป็นหมออะไรล่ะ”

               “อายุรแพทย์ สาขาเวชบำบัดวิกฤติจ้ะ” ซูซานตอบกลับไปแล้วจึงยิ้มให้ลูว์ที่ทำหน้าฉงนงงงวย เธอจึงได้เริ่มกล่าวอธิบายต่อ “เกี่ยวกับเรื่องการบำบัด รักษาและเยียวยาอวัยวะต่างๆของผู้ป่วยอย่างใกล้ชิดน่ะจ้ะ”

               “อ่อ..เธอก็เลยเรียนพยาบาลศาสตร์ควบคู่มาด้วยงั้นสินะ” ลูว์นั่งกอดอก พยายามทำความเข้าใจ

               “ปิ๊งป่อง..ถูกต้องค่าาา” ซูซานตอบกลับมาอย่างร่าเริง

               “แต่เธอเพิ่งจะอายุ 24 ไม่ใช่เหรอ..แล้วไหงถึงเรียนหมอจบแล้วล่ะ” ลูว์เกิดข้อสงสัยขึ้นอีกครั้ง

               “ลูว์คงไม่เคยได้ยินเรื่องอขงเด็กผู้หญิงที่สามารถเข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยตั้งแต่ยังอยู่ตอนมัธยมต้นสินะ” ซูซานยิ้มกว้าง ก่อนจะเปิดเผยความจริงของเธอ “ชั้นอายุ 25 แล้วนะลูว์ ส่วนที่ชั้นเรียนจบเร็วก็เพราะเรื่องที่บอกนั่นแหละ..ชั้นได้มาอยู่กับลุงที่เป็นอาจารย์แพทย์ที่มหาวิทยาลัยหลังจากที่พ่อกับแม่จากไปน่ะ”

               “นี่พ่อกับแม่เธอ..” ลูว์แสดงสีหน้าประหลาดใจ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีหน้าหงุดหงิด เขาใช้ฝ่ามือทั้งสองจับไปที่หัวไหล่ของหญิงสาว “ทำไมเธอถึงไม่เคยบอกเรื่องนี้กับชั้นเลยล่ะ..”

               “ชั้นไม่ต้องการให้ลูว์ที่มีสภาพจิตใจอย่างนั้นต้องมาแบกรับเรื่องน่าเศร้าของชั้นยังไงล่ะ” ซูซานเลื่อนใบหน้าลงไปมองที่ตัก “ชั้นเป็นหมอนะ..ชั้นจะไม่ยอมให้คนไข้มาเห็นชั้นในสภาพท้อแท้และสิ้นหวังได้หรอก ดังนั้น…”

               “ชั้นก็ต้องยิ้มออกมาเพื่อไม่ให้นายมองเห็นความอ่อนแอภายในใจของชั้นไงล่ะ” ซูซานที่ก้มหน้าลงมองขึ้นมาที่ชายหนุ่มแล้วจึงมอบรอยยิ้มอันอ่อนโยนให้กับเขา

               “ทีหลังมีเรื่องอะไรก็คุยกันตรงๆ..อย่าเก็บมันเอาไว้ล่ะ” ลูว์เลื่อนฝ่ามือขึ้นไปลูบศีรษะที่ถูกปกคลุมด้วยเรือนผมนุ่มยาวสีน้ำตาล “เดี๋ยวเจ้าคนอ่อนแอตรงนี้จะอกแตกตายกันพอดี”

               “นายพูดอะไรเนี่ย..ลูว์ ชั้นต่างหากที่ต้องอกแตกตาย” เธอผลักลูว์ออกไปแล้วจึงขำออกมาพร้อมกับความสุขที่ถูกแสดงออกผ่านใบหน้าของเธอ

               แต่แล้วทันใดนั้นเอง ภายในห้องของชายหญิงสาวทั้งสองกลับปรากฏประตูมิติทรงกลมสีดำขึ้น ทั้งสองหันขวับไปเพ่งมองมันทันที มันปรากฏออกมาระยะหนึ่ง ก่อนที่จะมีบางสิ่งพุ่งกระโจนออกมาอย่างรวดเร็ว ตามมาด้วยหิมะที่ถูกแรงลมแบกพัดเข้ามาในห้องของลูว์ ซึ่งหลังจากที่สิ่งนั้นพุ่งออกมา ประตูมิติก็พลันปิดลงพอดี

               บุรุษผู้สวมเสื้อโค้ตหนังสัตว์ที่มีหิมะเปรอะเปื้อนเต็มเสื้อลุกยืนขึ้นมา โดยมือข้างหนึ่งของเขาถือกระเป๋าโลหะที่ใช้ในการเก็บสิ่งของสำคัญเอาไว้ ส่วนในมืออีกข้างก็ถือสมาร์ทโฟนที่มีสายของหูฟังเชื่อมต่ออยู่ เขาทำการกดเลื่อนเปลี่ยนเพลงก่อนจะเลื่อนฮู้ดของเสื้อโค้ตหนังสัตว์ลง เปิดเผยใบหน้าของบุรุษผู้มีผมสีทองและนัยน์ตาสีแดงก่ำ

               “แม็กซิมัส..” ลูว์กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา ชายผู้ถูกเรียกจึงได้หันไปมองผู้เอ่ยนามตนเอง

               “ลูว์ วู้ดส์สินะ..” ลาอ้อนตบไปที่เสื้อโค้ตหนังสัตว์ที่เปื้อนหิมะ ทำให้มันสลายหายไปทันใด แล้วเขาจึงเริ่มเสกชุดที่ตัวเขาใส่เป็นปกติออกมาสวมใส่

               “ใช่..ชั้นเอง นายมีธุระอะไรกับชั้น” ลูว์ยืนขึ้นโดยปล่อยให้ซูซานนั่งอยู่บนเตียงข้างหลังของตนเอง

               “ลอสต์ให้ชั้นเอาเจ้านี่มาให้นายน่ะ” ลาอ้อนดึงหูฟังออกจากใบหูทั้งสองข้าง แล้วจึงทำให้สมาร์ทโฟนและหูฟังอันตรธานหายไป เมื่อเสร็จสิ้นเขาจึงยื่นกระเป๋าโลหะที่ถืออยู่ไปให้ลูว์

               “ลอสต์? ไอบ้าหน้าฮู้ดสินะ..” ลูว์เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งเย็นชา “ในนี้มีอะไรอยู่ข้างในล่ะ”

               “สิ่งที่จะช่วยให้นายสามารถช่วยให้นายต่อสู้และพาน้องชายของนายกลับมาได้ยังไงล่ะ”ลาอ้อนกล่าวออกมาพร้อมกับใบหน้าจริงจัง

               “เจ้านั่นยังกำชับกับชั้นเลยว่าสิ่งนี้จะใช้ได้แค่กับนายเท่านั้น” เมื่อพูดจบ ชายหนุ่มผมทองจึงใช้พลังปลดพันธนาการของกระเป๋าโลหะนั้นออก ก่อนจะเปิดสิ่งที่อยู่ภายในให้ชายหญิงทั้งสองได้เห็น

               “นี่มัน!!!” ซูซานอุทานออกมาด้วยความตื่นตระหนกตกใจเป็นอย่างมาก

               ภายในห้องรับแขกของคฤหาสน์ เหล่าครีปปี้พาสต้าที่เหลืออยู่ได้เข้ามารวมตัวกันเพื่อรอสมาชิกคนอื่นๆที่กำลังจะมาถึง

               ผ่านไปแล้วกว่า 2 ชั่วโมงหลังจากที่มิสเตอร์ครีปปี้พาสต้าได้ทำการประกาศฉุกเฉินไปยังเหล่าครีปปี้พาสต้าจากทั่วทุกมุมโลก ในขณะนี้มีครีปปี้พาสต้าเข้ามาภายในคฤหาสน์แล้วเพียงแค่ 2 คนเท่านั้น นั่นก็คือ ลาฟฟิ้งจิล ภรรยาของลาฟฟิ้งแจ็ค หากดูจากลักษณะภายนอกคงไม่มีอะไรผิดเพี้ยนไปจากแจ็คเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งเธอยังเป็นเพื่อนในจินตนาการและเกิดขึ้นแบบเดียวกันกับแจ็คทั้งหมด แต่สิ่งที่แตกต่างนั่นก็คือเธอเป็นผู้หญิงนั่นเอง

               ส่วนคนที่สองนั้นก็คือแอน พยาบาลสาวผิวเทาที่เต็มไปด้วยรอยเย็บ หากเปรียบเธอกับพวกผีดิบก็คงไม่ผิดเสียทีเดียว โดยเธอนั้นหลงรักมาสกี้เพียงฝ่ายเดียวจนมักจะแลชายตามองชายหนุ่มผู้นั้นอยู่บ่อยๆ และคนที่เธอเกลียดที่สุดก็คือ จัดจ์ แองเจล ที่เคยมีปัญหากันในช่วงที่ยังไม่ได้เป็นครีปปี้พาสต้า

               “มิสเตอร์ครีปปี้พาสต้า..แจ็คเค้าถูกจับไปด้วยเหรอค่ะ” หญิงสาวผิวขาวที่ใส่ชุดสาวใช้ซึ่งมีสีโทนเดียวกับของของลาฟฟิ้ง แจ็คอย่างไม่ผิดเพี้ยน

               “ใช่แล้วครับ..ผมเสียใจด้วย” มิสเตอร์ครีปปี้พาสต้าแสดงสีหน้าสลด

               “ฮึกๆ ทำไมถึงต้องเกิดเรื่องแบบนี้กับเขานะ” จิลร้องไห้ออกมาเบาๆ ฝ่ามือหนึ่งจึงเข้ามาจับไหล่ของเธอ จิลหันไปจึงพบเจนในร่างมนุษย์

               “เจนนี่..” จิลปาดน้ำตาของตัวเองออก

               “เขาจะต้องกลับมาแน่..ไม่ต้องห่วงนะคุณจิล” เจนปลอบโยนหญิงสาวเบื้องหน้าให้ลดทอนความเศร้าลง

               “ขอบคุณนะ..เจนนี่” จิลที่ได้ปลอบโยนจึงเริ่มเปิดประเด็นคุยถึงเรื่องเจฟ แต่อีกฝั่งหนึ่งกลับเกิดเสียงโวกเวกโวยวายกันดังสนั่นจนสเลนเดอร์แมนจำต้องเข้าไปห้าม

               “หยุดทะเลาะกันเถอะนะครับ..เวลานี้เราต้องสามัคคีกันนะครับ” สเลนเดอร์เข้าไปห้ามปรามแอนกับจัดจ์ แองเจลที่ทะเลาะกันเฉกเช่นปกติ บลัดดี้ เพนเทอร์รีบฉุดรั้งร่างของแองเจลออกมาทันที ส่วนทางแอนก็ถูกพัพเพทเทียร์ฉุดรั้งเอาไว้เช่นกัน ส่วนซีโร่กลับนั่งขำอยู่ที่พื้นข้างหน้าทั้งห้าคน

               “ยัยนางฟ้า!! ชั้นบอกเธอไปแล้วไง..นี่ต่างหากที่ทำให้เลื่อยชั้นมันไปโดนขาเธอ” แอนชี้ไปยังซีโร่ที่กำลังนั่งขำกลิ้งอยู่ที่พื้น “ยัยนี่ต่างหากที่วางค้อนเอาไว้ผิดที่จนทำให้ชั้นสะดุด..แล้วชั้นก็ขอโทษไปแล้วด้วยจะเอาอะไรอีกย่ะ”

               “เลิกโบ้ยไปที่ซีโร่ซะทีเถอะ..ยัยผีดิบ!! คนที่ผิดมันเธอต่างหากล่ะ..ตาถั่วแล้วยังโบ้ยให้คนอื่นเป็นแพะ เธอนี่มันแย่ที่สุด” จัดจ์ แองเจลยังคงปริปากทะเลาะกับแอนเช่นเดิม

               ทันใดนั้นเอง ร่างของหญิงสาวผมสีชมพูกลับปรากฏขึ้นมาจากพื้นห้องรับแขก เมื่อร่างกายออกมาจนครบทุกส่วน เธอก็ได้ตะโกนต่อว่าพวกเธอทันที

               “เลิกแหกปากกันได้หรือยัง!!! ชั้นจะนอน!!!” พิงกาเมน่าตะโกนอกมาด้วยเสียงที่ดังมาก จัดจ์ แองเจลที่มีความเกรงกลังต่อพิงกาเมน่าอยู่แล้วจึงหยุดปริปากและเงียบไปทันที ส่วนแอนกลับทำได้เพียงชะงักไปชั่วขณะ เธอกำลังจะปริปากต่อว่าแองเจลอีกครั้ง

               “เกิดอะไรขึ้นที่นี่กัน..” มาสกี้วิ่งมายังที่เกิดเหตุอย่างรวดเร็ว แอนที่กำลังจะปริปาก ได้หยุดชะงักลงทันทีเมื่อได้ยินเสียงของชายหนุ่มที่เธอหมายปอง แอนหน้าแดงระเรื่อ เธอใช้ศอกกระทุ้งใส่ท้องของพัพเพทเทียร์อย่างแรงจนร่างของชายหนุ่มถึงกับกระเด็นเซไปเซมาจนเข้าใกล้ซีโร่

               สาวบ้าพลังที่เห็นจังหวะเหมาะสม เธอจึงรวบรอบเอวของชายหนุ่มแล้วยกร่างของเขาขึ้นมาก่อนจะทุ่มลงกับพื้นทางด้านหลัง

               “ซูเพล็กซ์!” ซีโร่ประกาศชื่อท่า ก่อนจะยืนขึ้นมามองพัพเพทเทียร์หัวปักพื้นในสภาพดูไม่ได้ แล้วเธอจึงค่อยหัวเราะออกมาดังลั่น

               “มาสกี้!” แอนวิ่งตั้งท่าเตรียมโผเข้ากอด แต่กลับถูกบานประตูลอยได้พุ่งกระเด็นจนร่างของเธอกระเด็นไปตามปะตูต่อหน้ามาสกี้

               “เดี๋ยวนี้เวรกรรมติดจรวดจริงๆสินะ” มาสกี้กล่าวออกมา

               “สวัสดีจ้าทุกคน” เสียงแหลมของชายผู้มีเรือนผมสีฟ้าในชุดลูกกวาดดังออกมาจากหน้าประตูที่ถูกค้อนยักษ์สีรุ้งของเขาทำลายไป

               “หวัดดี..แคนดี้ ป็อป” ซีโร่โบกมือทักทายชายผู้นั้นอย่างร่าเริง

               “ประตูเค้าใช้เปิดกันย่ะ..ไม่ได้เอาไว้ทำลายเล่น” เจนตะโกนออกไปทันที แต่แล้วกลับมีบางสิ่งพุ่งกระโจนเข้ามาทางหน้าต่างของคฤหาสน์ เศษกระจกที่ออกมากมายกระเด็นออกมาเป็นวงกว้าง ก่อนที่สิ่งที่พุ่งเข้ามาจะหยุดลงจอดภายในคฤหาสน์

               “สวัสดีทุกท่าน..เจสันผู้นี้ปรากฏตัวแล้ว ฮ่าๆๆ” ชายผู้มีผมสีแดงโลหิตปรากฏตัวออกมา เขาโค้งตัวคำนับจนแผ่นหลังขนานกับพื้นห้อง มือข้างหนึ่งขัดไว้ที่หลัง ส่วนอีกข้างหนึ่งถูกผายเข้าหาลำตัวบริเวณหน้าท้อง ก่อนจะก้มลงทำความเคารพอย่างสวยงาม

               บุรุษผู้นี้พร้อมกับชุดรูปร่างประหลาดที่มีลักษณะคล้ายกับขุนนางหลากสีของฝรั่งเศสในช่วงยุคของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ผสมผสานกับหมวกทรงสูงสีเทา กับบู้ตสีดำสลับเหลืองอ่อน แขนเสื้อถูกถกขึ้นมาอยู่เหนือข้อศอก ตั้งแต่ปลายนิ้วจนถึงมือทั้งสองข้างเป็นสีดำเมี่ยมตัดกับผิวที่เป็นสีขาวซีด เล็บมือคมยาวเช่นเดียวกับฟันที่แหลมคมดั่งสัตว์นักล่า และนัยน์ตาที่มีเล่ห์นัยสีเขียวเรืองแสง

               นามของบุรุษผู้นี้คือ ‘เจสัน ผู้สร้างของเล่น (Jason The Toy Maker)’ ชายผู้เป็นหนึ่งในกลุ่มปริศนา The G.R.A.E.C. ที่แม้แต่ครีปปี้พาสต้าด้วยกันยังไม่อาจรู้ได้ว่าพวกเขาเป็นใครและมีจุดประสงค์ใดกันแน่ อีกทั้งเขายังเป็นชายที่เป็นหนึ่งในสมาชิกของครีปปี้พาสต้าในยุคหลังผู้ก่อตั้งสลายตัวอีกด้วย นั่นทำให้เจสันผู้นี้เป็นหนึ่งในสมาชิกที่เก่าแก่คนหนึ่งเลยทีเดียว

               “คุณเจสัน..ประตูก็มีนะคะ” เจนที่ต่อว่าแคนดี้กับสงบปากสงบคำทันที เมื่อพบกับเจสัน หนึ่งในผู้อาวุโสแห่งเหล่าครีปปี้พาสต้า อีกทั้งตัวเขายังมีพลังพิเศษที่น่าสะพรึงซ่อนอยู่มากมายอีกด้วย

               “คิกๆ กระผมชอบการเข้าทางนี้เสียมากกว่าน่ะขอรับ” ชายผู้นั้นยิ้มขำออกมา ก่อนจะแสดงท่าทีฉุกคิดบางอย่างขึ้นได้

               “มิสเตอร์ครีปปี้พาสต้าขอรับ..กระผมมีข่าวสารจะมาแจ้งให้ท่านทราบน่ะขอรับ” ชายผมแดงเดินเข้าไปหาชายผิวฟ้าอย่างรวดเร็ว ทุกคนที่ยืนหลีกทางรีบปลีกตัวเปิดทางออกทันที

               “ว่ามาได้เลยครับ..” มิสเตอร์ครีปปี้พาสต้าเอ่ยเพื่อรับฟังข่าวสารที่เจสันจะมาแจ้ง

               “ในช่องการสื่อสารที่แดชเป็นคนดูแลได้แจ้งมาว่านอกจากพวกเราทั้งสี่คนในที่นี้ที่สามารถเข้าร่วมได้..จะยังคงมีอีกสองคนที่มาเข้าร่วมได้” เจสันพูดคุยกับชายผู้เป็นศุนย์กลางของครีปปี้พาสต้าทั้งหมด “นั่นคือกลุ่มของเฟรดดี้ แฟซแบร์ และแอเนสทีเชีย”

               “แต่ในขณะนี้พวกเขากำลังตกที่นั่งลำบากในการต่อสู้กับบางอย่างอย่างสุดกำลัง..” เจสันยิ้มกว้าง “และถ้าเราไปช่วยพวกเขาไม่ทันล่ะก็...”

               เจสันปิดปากขำเล็กน้อย ก่อนที่เลื่อนมือลงแนบกับตัวเช่นเดิม เขาเพ่งมองไปใบหน้าของมิสเตอร์ครีปปี้พาสต้าด้วยใบหน้าที่เปรอะเปื้อนรอยยิ้มที่ยากต่อการอ่านสิ่งที่เขาสื่อออกมาผ่านรอยยิ้มนั้น

               “พวกเขาคงจะถูกลบออกไปจากหน้าประวัติศาสตร์ เช่นเดียวกับซูเออไซด์ เมาส์, โซนิก และสควิดเวิร์ดที่ตายอย่างน่าเวทนา ฮ่าๆๆ” ชายผมสีแดงหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง ก่อนจะหยุดการกระทำทั้งหมดพร้อมคุกเข่าให้ระดับศีรษะของทั้งสองอยู่ในระดับเดียวกัน โดยการกระทำทั้งหมดปรากฏให้เห็นขึ้นเพียงแค่เสี้ยววินาทีเท่านั้น

               “อยากลองให้เป็นอย่างนั้นอีกหรือเปล่าล่ะ..”


Laughing Jill (Caitlin Kirkland) AGE : 27

Jane The Killer (Jane 'Arkensaw' Richarson) AGE : 22

ที่มา :  https://orig00.deviantart.net/a461/f/2017/070/b/4/laughing_jill_and_jane_the_killer_by_thekaryn-db1y4k3.png

 

Nurse Ann [Anne Lusen Mia] Age : 21

ที่มา : http://creepypasta-files.wikia.com/wiki/The_Nurse_Ann

Jason The Toy Maker [?] Age : ?

ที่มา : http://samequizy.pl/wp-content/uploads/2016/02/filing_images_278d56c4d84f.jpeg

Candy Pop [?] Age : ? 

ที่มา : http://samequizy.pl/wp-content/uploads/2016/12/filing_images_c69ed3bcc5b2.jpg

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.4 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา