Creepypasta Family The Broken Myth
9.5
เขียนโดย Leragan
วันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2558 เวลา 20.43 น.
24 chapter
9 วิจารณ์
41.45K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561 14.07 น. โดย เจ้าของนิยาย
15) เสียงร่ำไห้ที่กลับมา (Cryaotic)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ ณ คาเฟ่แห่งหนึ่งในตัวเมือง แต่ละโต๊ะถูกประดับไว้อย่างดีด้วยดอกมั้นสวยงามและผ้าปูโต๊ะสีชมพู แต่ภายในร้านกลับว่างเปล่าไร้ผู้คน ยกเว้นโต๊ะหนึ่งที่อยู่ข้างหน้าร้าน ซึ่งมีลูกค้าสองคนนั่งอยู่ คนหนึ่งเป็นหญิงสาวผมสีดำที่มีไฮไลต์สีชมพูที่เรือนผมด้านหน้า ใบหน้าของเธอถูกปิดบังด้วยผ้าปิดปากสีดำลวดลายการ์ตูน เธอสวมเสื้อกันหนาวสีม่วงและกระโปรงสั้นสีดำ ผิวสีขาวซีดของเธอนั้นอาจทำให้คนรอบข้างกลัวเมื่อสังเกตเห็น และดวงตาที่ดูแหลมคมดูมีเล่ห์นัย แต่นั่นกลับถูกรัศมีของโบว์สีแดงขนาดใหญ่บนหัวกลบจนหมด ส่วนด้านตรงข้ามของเธอเป็นบุรุษคนหนึ่งที่ใส่เสื้อกันหนาวสีดำที่มีฮู้ดอยู่ด้านหลัง และมีแว่นตากันแดดปิดบังดวงตาทั้งสองข้างเอาไว้ ทั้งสองต่างนั่งดูเมนูได้สักครู่ พนักงานเสิร์ฟก็ได้เดินมาที่หน้าโต๊ะ
“จะรับอะไรดีค่ะ..คุณลูกค้า” พนักงานเสิร์ฟสาวเดินเข้ามา พร้อมหยิบสมุดและดินสอพร้อมจดรายการ
“ชั้นขอสตอเบอรี่โยเกิร์ตกับแพนเค้กอย่างละ 1 ที่ค่ะ” ลูกค้าผู้เป็นหญิงสาวบอกรายการที่ต้องการกับพนักงานเสิร์ฟ “เอ่อ..เกือบลืม แพนเค้กน่ะไม่ต้องใส่ไซรัปนะค่ะ ใส่แยมองุ่นแทนนะค่ะ”
“แล้วคุณผู้ชายจะรับอะไรดีค่ะ” พนักงานเสิร์ฟกล่าวถามชายที่นั่งตรงข้ามกับลูกค้าอีกคนหนึ่ง
“ผมเอาไตปั่น..เอ้ย!ไม่ใช่! ผมเอากีวี่ปั่นกับเค้กสตอเบอร์รี่” แจ็คเกือบหลุดปากเรื่องที่เขากินไตเป็นอาหารจานหลัก จนเกือบจะแก้ตัวได้ไม่ทัน
“ขอทวนอาหารที่สั่งนะค่ะ” พนักงานเสิร์ฟได้กล่าวออกมา แล้วพูดต่อ “คุณผู้ชายสั่งกีวี่ปั่นกับเค้กสตอเบอร์รี่นะค่ะ ส่วนคุณผู้หญิงสั่งสตอเบอรี่โยเกิร์ตกับแพนเค้กใส่แยมองุ่นแทนไซรัปนะค่ะ”
ชายหญิงต่างพยักหน้า พนักงานเสิร์ฟจึงยิ้มตอบกลับแล้วเดินจากไป มันจึงเป็นเวลาที่ทั้งสองหันหน้าเข้าหากันอีกครั้ง แจ็คและนิน่าจ้องหน้ากันโดยไม่มีใครพูดหรือเปล่งเสียงใดๆออกมาเลย ทำให้บรรยากาศรอบกายในขณะนี้กำลังเงียบงันอย่างน่าตกใจ นิน่าที่ทนกับสภาพนี้ไม่ไหวจึงต้องเปิดประเด็นพูดขึ้นมาก่อน
“เออ..แจ็ค นายเป็นรุ่นแรกๆที่เข้าไปอยู่ในครีปปี้พาสต้าแฟมิลี่ใช่มั้ย” เธอถามขึ้นมา ทำให้บรรยากาศที่เคยเงียบงันกลับมามีเสียงได้อีกครั้ง
“เออ..มันก็ใช่นะ แต่ก็มาหลังหลายคนๆอยู่นะ น่าจะเกือบเป็นคนที่สิบเลยมั้ง ถ้านับผู้ก่อตั้งไปด้วย” แจ็คตอบกลับมา “แต่ถ้าไม่นับก็คนที่สามอ่ะนะ”
“ผู้ก่อตั้งครีปปี้พาสต้าแฟมิลี่เหรอ!?” หญิงสาวเอียงคอแล้วขมวดคิ้ว แสดงถึงอาการสงสัย “นอกจากมิสเตอร์ครีปปี้พาสต้าแล้วยังมีใครคนอื่นอีกเหรอ”
“มีอีกหลายคนนะ อย่างเช่น ครีปปี้ดาร์ก ฮาร์โบฮาร์ต ท่านหญิงชาว์โดเลิฟลี่ แล้วก็คนอื่นอีกสามสี่คน ผมจำชื่อไม่ได้เลยไม่ได้นับเข้ามา ส่วนอีกสามคนก็ได้เรียกว่าเป็นลูกของมิสเตอร์ครีปปี้พาสต้า ถึงแม้ว่าจริงๆแล้วจะไม่ใช่” แจ็คพูดอธิบายให้นิน่าฟัง เธอพยักหน้าขึ้นลง แต่ยังคงแสดงสีหน้าตั้งใจฟังอยู่ เขาจึงเล่าต่อไป
“ก็จะมีครีปแมกพาสต้ากับจูเนียร์ สองคนนี้ผมก็เคยรู้จักเมื่อนานมาแล้วแต่พวกเราไม่ค่อยได้เล่นด้วยกันเท่าไหร่ ผมเลยจำไม่ค่อยได้ แต่จำได้แค่ว่าครีปแมกพาสต้าจะชอบเอาแต่อ่านหนังสือตำรามากกว่าไปซุงซิงกับใคร ส่วนจูเนียร์ก็เป็นพวกบ้าพลัง”
“แต่คนที่ผมสนิทที่สุดในตอนนั้นก็น่าจะเป็นคราย ผมยังจำใบหน้าของเขาได้อยู่เลย” แจ็คพูดขึ้นแล้วยิ้มอย่างมีความสุข
“ใช่..คู่เกย์กันป่ะเนี่ย คิก..คิก” เด็กสาวพูดขึ้นด้วนสายตาที่ส่งมากับแจ็คอย่างมีเล่ห์นัยและปิดปากหัวเราะอย่างชั่วร้าย
“ไม่ใช่เฟ้ย! เป็นแค่เพื่อนสนิทกันก็แค่นั้นเอง” แจ็ครีบพูดแก้ต่าง
“ท่าทางมีพิรุธนะเราเนี่ย” นิน่าเริ่มคิดลึกไปไกล ก่อนที่เธอจะเข้าไปสู่โลกสีม่วงของเธอที่ได้ถูกเล่าต่อกันมา ไม่ว่าชายใดจะหล่อ แมน แฮนซั่ม หรือสุภาพบุรุษเพียงใด โลกภายในจิตใจของเธอแห่งนี้ทุกคนล้วนเป็นยอดชาย และถูกจิ้นกันไปมาจนถึงฉากระดับ เอ็กๆ วายๆ กันมากมาย แม้ว่าเธอจะไม่เคยเห็นครายมาก่อนแต่เธอก็ไม่สนใจ ดวงตาของเธอเริ่มพล่ามัวเพราะถูกภาพแห่งโลกสีม่วงครอบงำเอาไว้ เมื่อถึงจุดๆหนึ่งของฉากเอ็กๆวายๆ เลือดกำเดาของเธอก็ไหลออกมา
“นิน่า! นี่เธอจิ้นชั้นกับครายใช่มั้ย ออกมาจากโลกสีม่วงได้แล้วกลับมาสู่โลกแห่งความจริงหน่อย” แจ็คพยายามเรียกสติของแฟนสาวกลับมา แต่มันคงสายไปแล้วโลกสีม่วงได้ครอบงำเธออย่างเต็มพิกัด ไม่มีสิ่งใดจะหยุดเธอลงได้
‘ดีนะที่เธอไม่มีศิลานิมิต ไม่งั้นมีหวังเรากับครายได้กลายเป็นยอดชายสายเหลืองทั้งคู่แน่ๆ ไม่ๆ เราไม่ได้มีรสนิยมแบบชาย-ชาย อย่างเราต้องยูริ...ยูริบันไซ!!!’
“นี่..แจ็ก ครายเขาหน้าตาเป็นยังไงอ่ะ” นิน่าที่ได้หลุดพ้นจากโลกสีม่วงตอนไหนไม่มีใครรู้กระทั่งคนเขียน เธอถามคำถามบางอย่างแล้วยิ้มกรุ้มกริ่ม
“เอิ่ม..” อายเลส แจ็กกอดอกแสดงท่าทางครุ่นคิด “มันก็นานหลายสิบปีมาแล้วนะ..เท่าที่จำได้ ครายเป็นเด็กผู้ชายตัวเล็กผอม ผมสีน้ำตาลและตาสีฟ้าเหมือนลูกแก้วใสเรืองแสงเป็นสิ่งที่ชั้นจำได้ดีที่สุด”
“แล้วนิสัยใจคอล่ะ” นิน่าถามต่อ
“ครายจะเป็นคนที่ใจเย็นมาก ชอบช่วยเหลือคนอื่นและชอบแบ่งปัน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดที่เป็นเอกลักษณ์อันหนึ่งของเขา...รอยยิ้ม” แจ็กพูดจบ หญิงสาวที่นั่งฝั่งตรงข้ามกลับขมวดคิ้ว
“ถ้าเอกลักษณ์ของควาย เอ้ย..คราย คือรอยยิ้มแล้วมันต่างจากเจฟกับสมายตรงไหนทั้งสองคนนั้นก็มีรอยยิ้มเป็นเอกลักษณ์เหมือนๆกัน” นิน่าโต้แย้งเพื่อหาความจริง
“มันก็จริง แต่รอยยิ้มของครายมันแตกต่างออกไป..คนที่เห็นครายยิ้มจะรู้สึกว่าอยากจะมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ต่อไปเพื่อที่จะได้กลับมาเห็นรอยยิ้มที่เป็นมิตรและเต็มไปด้วยความสุขนี้อีกครั้ง” อายเลส แจ็กชี้นิ้วขึ้นฟ้าทำทีอธิบาย
“ขนาดนั้นเลยเหรอ..อวยไปป่ะเนี่ย” นิน่าแซวแจ็ก “มันก็ไม่แปลกหรอกนะ..คนที่คู่กันก็ต้องอวยกันอยู่แล้ว..อิอิ”
“เอาที่สบายใจเลยจ้ะ” ชายหนุ่มผิวเทาพูดประชด
“เออ ว่าแต่...” นิน่าแสดงท่าทางครุ่นคิด
“อะไรเหรอ” แจ็กถามหญิงสาวฝั่งตรงข้าม เพื่อที่จะรอแล้วตอบคำถามของเธอ
“เธอกับคราย ใครเป็นฝ่ายรุก..ใครเป็นฝ่ายรับ” นิน่าถามหน้าตาย แต่ภายในหน้ากากอนามัยปรากฏรอยยิ้มชั่วร้าย
“ยังไม่จบนะ” แจ็กทำเสียงเบื่อหน่าย “ถ้าชั้นกับครายน่ะไม่ใช่ทั้งคู่ แต่ถ้าผมกับคุณน่ะ..ผมรุกได้อย่างเดียวครับ”
“พูดอย่างนี้จะลากชั้นขึ้นเตียงล่ะสิ คิก..คิก” นิน่าปิดปากหัวเราะ
“ใช่” แจ็กตอบหน้าตายกลับคืน ทำให้นิน่าต้องอึ้งกับคำพูด
“เราเปลี่ยนเรื่องคุยกันดีกว่านะค่ะ” นิน่าพูดด้วยเสียงเรียบนิ่ง
“นิน่าอยากมีลูกกี่คน” แจ็กถามหน้าตายและใช้น้ำเสียงเย็นชา
“ขอโทษค่าาาาาาา! หนูจะไม่ล้อเล่นแบบนั้นอีกแล้วค่ะ” นิน่ายกมือขึ้นมาพนมตามธรรมเนียมประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้บางประเทศ
“แต่ชั้นพูดจริงๆนะ” แจ็กยังคงพูดหน้าตาย
“ฮือ..ฮือ แจ็กเก๊าก๋อโต้ด” นิน่าพนมมือขึ้นกลางหน้าผากไหว้ชายตรงหน้างามๆ
“เธอกลัวว่าผมจะลีลาไม่ดีใช่มั้ย..ไม่เป็นไรผมมีสิ่งนี้อยู่” ชายหนุ่มผิวเทาเอื้อมมือไปหยิบบางสิ่งในกระเป๋าสะพายข้างตัว เขาคว้าหนังสือเล่มหนึ่งกับขวดแก้วขนาดเท่าฝ่ามือขึ้นมาโชว์ต่อหน้าหญิงสาว เธอเบิกตากว้างทันทีที่ได้เห็นของทั้งสองสิ่ง “นี่หนังสือ 108 ทวงท่าภรรยา████ กับยา██ข้าม 7 ██”
ทันใดนั้นอากาศธาตุข้างกายของทั้งสองเริ่มบิดเบี้ยว แล้วจึงปรากฏคนที่ใครก็รู้ว่าเป็นใคร
"เลิกเล่นอะไรติดเรทสิบแปดบวกลบคูณหารได้แล้ว" ลอสต์พูดขึ้นอย่างร้อนรน
"เดี๋ยวได้ถูกแบนกันพอดี" แม้ว่านิน่าจะแสดงท่าทีงงงวย แต่แจ็คกลับไม่สนใจ
"ผมเล่นแค่มุขสิบแปดบวกเอง..ยังไม่ถึงขั้นลบคูณหารซะหน่อย" แจ็คเล่นมุขตอบกลับ
"อ่อ..อย่างนั้นไม่เป็นไร ถุ้ย!! จะบ้าเรอะ!!!" ลอสต์เริ่มจะไม่จริงจัง
"ก่อนที่ตัวชั้นจะเหลวไหลไปมากกว่านี้..." ชายในเสื้อกันหนาวมีฮู้ดสีดำที่ถูกทับด้วยเสื้อกาวเว้นระยะคำพูด
"ปกติก็เหลวไหลอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ..ไม่เห็นจะจริงจังเลยสักครั้ง" นิน่าพูดกระซิบกับแจ็ค..ประมาณนินทาโดยเจ้าตัวอยู่ข้างหน้า
"ข้าพเจ้าได้ยินนะขอรับ" ลอสต์ตอบกลับ
"ก็กะจะให้ได้ยินอยู่แล้วไง" นิน่าเมินหน้าทันที เมื่อเอ่ยจบ
"เฮ้อ..เอาเหอะ เดี๋ยวอีกสองชั่วโมง พวกนายสองคนต้องไปรวมตัวกันที่คฤหาสน์ ตรงเวลาด้วย สถานที่ที่พวกนายจะต้องบุกเข้าไปมีการแลกเวรยามที่ค่อนข้างต่อเนื่องและเร็วมาก ถ้าเข้าไปแบบสุ่มสี่สุ่มห้า..มีแค่ตายสถานเดียว" ทันทีที่ลอสต์จบการสนทนา เขาก็ได้ฉีกมิติจนเกิดเป็นรอยบิดเบี้ยว แล้วจึงเคลื่อนที่เข้าไปภายใน และอันตรธานหายไปทันใด
พนักงานมาเสิร์ฟอาหารที่ทั้งสองสั่งไว้ ทั้งสองเริ่มรับประทานมันอย่างเอร็ดอร่อย แต่ภายในใจอายเลส แจ็กกลับครุ่นคิดถึงข้อความที่ลอสต์ให้มาเมื่อไม่นานมานี้ พร้อมกับรูปภาพบุคคลปริศนาทั้งสามคน จนแสดงท่าทางมีพิรุธให้นิน่าได้เห็น
“นี่..แจ็ค เธอเป็นอะไรหรือเปล่าน่ะ” นิน่าถามแฟนหนุ่มของเธอในขณะที่กำลังเพลิดเพลินกับแพนเค้กที่ราดด้วยแยมองุ่น “ช่วงนี้ชอบทำท่าทางเครียดอยู่เรื่อยเลยนะ”
“อ่อ..เปล่าๆ ไม่มีอะไรน่ะ” คำพูดของแจ็คแทบดูไม่มีน้ำหนักเลย แต่สำหรับคนที่ไว้ใจในตัวของเขาอย่างนิน่า แม้สิ่งที่ชายหนุ่มผิวเทาคนนี้พูดมาจะเป็นคำพูดที่จะฟังดูคล้ายกับกำลังกลบเกลื่อนบางอย่าง เธอก็จำเป็นต้องไว้ใจ แม้บางส่วนจะนำสิ่งนั้นไปคิดก็ตาม “เอ้า! มากินกันเลยดีกว่า”
เวลาล่วงเลยไปกว่าหนึ่งชั่วโมงกับอีกห้าสิบนาที นิน่าและอายเลส แจ็คที่พึ่งกลับมาจากชานเมือง หลังจากการไปรับประทานอาหารและไปช็อปปิ้งในห้างมาหมาดๆได้เดินมาที่จุดศูนย์รวมของเหล่าครีปปี้พาสต้า นั่นคือใต้ต้นไม้ใหญ่บนสนามรอบข้างคฤหาสน์ พวกเขาทั้งสองต่างก้าวเดินอย่างช้าๆไปยังจุดนั้น ทำให้ได้เห็นเจฟและเจนที่กำลังพูดคุยกันอย่างเป็นมิตรมากกว่าปกติ เพราะไม่นานก่อนหน้านี้ทั้งสองต่างเป็นคู่กัดประจำคฤหาสน์ที่หากไม่ได้เกิดการทะเลาะกันหรือต่อสู้กันจะถือได้ว่าวันนั้นอาจเป็นวันที่มีฝนตกมาเป็นแวฟเฟิลทั้งวันแน่นอน
ส่วนสำหรับทางด้านของสเลนเดอร์ในร่างปกติของเขากำลังคุยกับมิสเตอร์ครีปปี้พาสต้าผู้เป็นเจ้าของสถานที่แห่งนี้และเป็นผู้ดูแลเหล่าครีปปี้พาสต้าเหล่านี้ทุกคน พวกเขาทั้งสองคุยกันในสิ่งที่ไม่น่าเดาออกยาก นั่นคือเรื่องแผนที่จะบุกเข้าไปในฐานของฝ่ายศัตรู สำหรับทั้งสองต่างเป็นครีปปี้พาสต้าในรุ่นแรกสุดที่พวกเขารู้จักหรืออาจเป็นรุ่นแรกสุดจริงๆ แต่สเลนเดอร์แมนนั้นไม่ได้อยู่ในยุคก่อตั้งของครีปปี้พาสต้าแฟมิลี่ แต่เป็นคนแรกที่เข้าร่วม ก่อนที่พวกของ Silent Hills จะตามมา และต่อด้วยเจฟ ตัวอายเลส แจ็คเอง และคนอื่นๆอีกมากมาย ชายหนุ่มผิวเทาไม่รู้เรื่องของเหล่าผู้ก่อตั้งครีปปี้พาสต้าแฟมิลี่มากนัก ถึงจะมีหนังสือประวัติของที่นี่ แต่เขาก็ไม่ใช่พวกที่ชอบอ่านหนังสือสักเท่าไหร่จึงไม่รู้เรื่องเหล่านี้อย่างแน่ชัด
อายเลส แจ็กที่เดินมาถึงบริเวณที่เจฟและเจนกำลังคุยกันอยู่ นิน่าก็แยกตัวออกไปหาแซลลี่ เด็กสาวนัยน์ตาสีเขียวในชุดราตรีนอนสีชมพูของเด็ก พร้อมกับตุ๊กตาหมีตัวเล็กของเธอ ส่วนใหญ่เราจะไม่ค่อยได้เห็นเธอใช่พลังของเธอสักเท่าไหร่ เพราะเธอยังคงเด็กเกินไปและยังควบคุมพลังของตนเองไม่ได้มาก แต่พลังของเธอนั้นจะเป็นการควบคุมเลือด และเปลี่ยนพวกมันตามจินตนาการของเธอ แต่ด้วยความเป็นเด็กน้อยวัยใส เธอสร้างได้เพียงตุ๊กตาและลูกกวาด เธอยังเด็กเกินไปที่ควรจะเห็นอาวุธและการเข่นฆ่าและต่อสู้กัน แต่ยังไงวันนั้นก็ต้องมาถึง แม้จะรู้ทั้งรู้ แต่พวกเขาก็พยายามจะให้วันนั้นมาถึงช้าที่สุด
ส่วนสมาชิกคนสำคัญอีกพวกหนึ่งถึงแม้จะเป็นคนใกล้ตัว แต่ด้วยความที่เขามีชื่อเสียงมากในทางอินเทอร์เน็ต ก็คงยากที่แจ็คจะไม่มองไปทางผู้ติดตามทั้งสามแห่งสเลนเดอร์ หรือ Slender’s Proxy ซึ่งประกอบไปด้วยมาสกี้ ฮู้ดดี้ และทิกกิ โทบี้ โดยตามความจริงแล้ว ผู้ติดตามของสเลนเดอร์แมนนั้นมีเพียงสองคนคือ มาสกี้กับฮุ้ดดี้ แต่การที่สเลนเดอร์แมนพาโทบี้มาอยู่ที่คฤหาสน์ครีปปี้พาสต้าแห่งนี้ กลับมีคนให้ความสนใจถึงการปรากฏตัวของสเลนเดอร์แมนในครั้งนั้น ทำให้ทุกคนเกิดคิดว่าโทบี้อาจมีความสำคัญต่อสเลนเดอร์แมนอยู่ในระดับหนึ่งจนชายไร้ผู้นี้จำเป็นต้องยอมปรากฏตัวไปรับเขามา แจ็ครู้จักโทบี้มาเป็นเวลานานพอๆกับที่เขารู้จักมาสกี้และฮู้ดดี้ โทบี้เป็นคนที่ค่อนข้างหยาบคาย แต่รู้ว่าเวลาไหนควรพูดอะไร แม้บางคำพูดจะไม่ทันได้คิด แต่เมื่อเขาได้อยู่กับนาตาลีหรือคล็อกเวิร์ค แฟนสาวของเขา คำพูดสบถของเขาจะหายไปหมดสิ้น เหลือเพียงแต่คนขี้เล่นและสุขุมเท่านั้น ในขณะที่อีกสองคนอย่างมาสกี้และฮู้ดดี้ที่ค่อนข้างจะไม่สุงสิงกับใครจนดูมีความลึกลับ มาสกี้เป็นคนที่ค่อนข้างเงียบขรึมจะไม่พูดถ้าไม่จำเป็น มีร่างกายแข็งแรงระดับผู้ชายคนหนึ่ง แต่ความสามารถที่เด่นที่สุดของเขาคือการจับตามองและค้นหาใครบางคนได้อย่างง่ายดาย ซึ่งความสามารถนี้ทำให้ฮู้ดดี้ที่มีความสามารถในการตามสตอร์คระดับสูงที่สุดในเหล่าครีปปี้พาสต้าทุกคน สามารถประสานการทำงานได้อย่างเป็นทีมเวิร์ค โดยฮู้ดดี้นั้นเป็นคนที่ไม่พูดเลย แม้กระทั่งการได้ยินเสียงของเขายังแทบเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ อายเลส แจ็คนั้นยังคงคาใจกระทั่งว่าฮู้ดดี้เป็นใบ้หรือเปล่า เพราะแม้แต่การไอหรือจามยังแทบไม่ได้ยินเสียง เพียงแสดงออกท่าทางซึ่งเกิดขึ้นค่อนข้างบ่อยครั้ง นั่นแสดงให้เห็นว่าฮู้ดดี้เป็นคนที่ค่อนข้างอ่อนแอมากและอาจเป็นคนที่อ่อนแอที่สุดในเหล่าครีปปี้พาสต้าเลยด้วยซ้ำ ขนาดแซลลี่ที่เป็นเด็กยังมีภูมิคุ้มกันโรคที่ดีกว่าฮู้ดดี้เลย
เป๊งงง!!!...เป๊งงง!!!...เป๊งงง!!! เสียงของระฆังบนจุดที่สูงสุดของคฤหาสน์ดังขึ้น บ่งบอกถึงว่าช่วงเวลานี้เป็นเวลาที่เข็มยาวกลับมายังเลข 12 อีกครั้ง แต่อีกแง่มุมนั้น..มันบอกถึงเวลาของการต่อสู้ได้มาถึงแล้ว ทุกคนที่นั่งพักผ่อนกันอยู่บริเวณต่างรีบเคลื่อนไหวมายังต้นไม้ต้นใหญ่ทันที ใช้เวลาไม่นานนักทั้งหมดก็เข้ามารวมในจุดเดียวกัน แล้วมิสเตอร์ครีปปี้พาสต้าและสเลนเดอร์แมนก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าพวกเขา
ชายผิวสีฟ้าผู้สวมใส่เครื่องช่วยหายใจที่มีสายรยางค์เต็มไปทั่ว แลดวงตากลมโตของเขาไปที่เหล่าครีปปี้พาสต้าคนอื่นๆ ก่อนจะเริ่มพูดบางอย่างออกมา
“ผมขอพูดบางอย่างก่อนที่เราจะเริ่มทำในสิ่งที่เราได้รับมอบหมาย” ชายผิวฟ้าได้เอ่ยออกมา โดยข้างเขามีสเลนเดอร์แมนผู้มีความสูงที่ไม่แน่นอน บ้างก็ว่าราวสองเมตรครึ่ง บ้างก็ว่าสามเมตร บ้างก็ว่าห้าเมตร หรืออาจไปจนถึงขั้นเก้าเมตรสิบเมตรเลยก็มี แต่จากระยะสายตา ส่วนใหญ่เขาจะอยู่ในระดับความสูงสี่เมตรเท่านั้น แต่ก็เคยมีครั้งที่เขาเคยสูงกว่ายี่สิบเมตรก็มี
“ผมขอบอกบางสิ่งที่ผมได้ปิดบังพวกคุณอยู่เรื่องหนึ่ง”
“พวกคุณคงจะทราบกันดีในเรื่องการเห็นนิมิตของผม” ชายสูงอายุผู้มีพลังจิตได้กล่าวเกริ่นนำ “ก่อนหน้านี้ไม่กี่เดือน ผมได้ฝันเป็นนิมิตเห็นถึงมหาวิบัติของโลก เหล่าพวกมนุษย์ถูกชักจูงและบงการให้อยู่ภายใต้อาณัติของคนชั่วที่ชื่อ ‘แบล็ก’ ในนิมิตของผมนั้นได้เห็นถึงเรื่องราวและการสูญเสียมากมายบนโลก..จนในวันสุดท้ายก็มาถึง”
มิสเตอร์ครีปปี้พาสต้าหยุดเล่าลง ก่อนจะเรียกสเลนเดอร์แมนเพื่อบอกบางสิ่งกับเขาไป เมื่อรับรู้ถึงเรื่องที่ชายผิวฟ้าขอแล้ว สเลนเดอร์ก็โค้งตอบรับแล้วจึงวาร์ปไปอยู่ข้างหลังของเหล่าครีปปี้พาสต้าที่ยังคงเป็นเด็กอยู่ อย่างแซลลี่ ก่อนจะใช้มือทั้งสองสัมผัสไหล่บนร่างน้อยของทั้งสองและอันตรธานหายไป เมื่อทุกคนที่หันไปมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นไปนั้นก็หันกลับมาดังเดิม พร้อมรับฟังคำพูดของมิสเตอร์ครีปปี้พาสต้าต่อไป
“พวกมันทำลายล้างเมืองทั้งหมด..นำมนุษย์มาล้างสมองให้มาเป็นทาสของพวกมัน พวกของแบล็กค้นพบและกำจัดพวกเราไปบางส่วน ส่วนที่เหลือก็หลบหนีออกมาได้..แต่เมื่อพวกเราได้เห็นโลกความเป็นจริงภายนอก ก็ได้เพียงแต่พบกับความสิ้นหวัง คิดได้เพียงว่าไม่มีทางหนีรอดจากมันไปได้อย่างแน่นอน”
“พวกเราทั้งหมดจึงตัดสินใจต่อสู้กับมัน..ในศึกสุดท้าย เรากำจัดเหล่ามนุษย์ที่หลงผิดไปมากมายนับไม่ถ้วน ฝนเลือดกระจายไปทั่วพื้นที่ แอ่งเลือดและซากศพเต็มพื้นที่ ผมที่พลาดท่าโดนผลพวงจากการระเบิด ทำให้ถูกซากตึกพังลงมาทับท่อนล่างจนขยับไม่ได้ แต่พวกคุณก็ยังคงสู้ต่อไป แต่...” ชายผิวสีฟ้าเริ่มมีเหงื่อไหลรินทั่วร่างกาย จิตใจนั้นสั่นไหวดั่งเกิดการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ คล้ายกับความทรงจำที่ไม่ต้องการนึกถึงได้หวนกลับมา “แบล็กนั้นไม่ใช่คนธรรมดา..มันทำเพียงแค่คลื่นสึนามิวิญญาณด้วยคำพูดไม่กี่คำ ทำให้พวกเราเกือบทั้งหมดถูกกวาดไปพร้อมกันและสลายหายไปพร้อมกันกับลูกคลื่น สเลนเดอร์แมนที่ตกใจกับเรื่องนั้นได้แต่นิ่งอึ้งจนเมื่อรู้สึกตัวอีกที ซัลโก้ผู้เป็นอมตะก็ถูกกำจัดลงอย่างง่ายดาย”
“ในช่วงก่อนที่มันจะฆ่าคุณสเลนเดอร์แมนด้วยการเรียกดาบดูดวิญญาณจากบทเวทย์มนตร์ภาษาละติน แซลลี่และสมายก็พุ่งเข้ามารับแทนที่ ร่างของเธอทั้งสองสลายหายไป และนั่นทำให้คุณสเลนเดอร์แมนโกรธจัด อารมณ์ท่วมถ้นบดบังสติสัมปชัญญะจนหมดสิ้น ทำให้นั่นเป็นไปตามแผนของแบล็ก และทำให้เขากำจัดคุณสเลนเดอร์แมนได้อย่างไม่ยากเย็น”
“พวกคุณรู้มั้ยครับ..ทุกครั้งที่ผมได้นอน นิมิตนี้จะแสดงให้ผมเห็นทุกครั้งย้อนไปย้อนมากว่าสิบรอบ” มิสเตอร์ครีปปี้พาสต้าถอนหายใจ เพื่อให้ตัวเขาผ่อนคลายลง
“แต่หลังจากที่พวกเราได้พบกับลาอ้อนและริกะ นิมิตที่ผมได้เห็นจนติดตากลับมีการเปลี่ยนแปลงขึ้น” บุรุษผู้มีผิวสีฟ้าพูดออกมาอย่างมีความหวัง “ผมไม่รู้หรอกนะครับว่ามันเป็นเพราะคุณลาอ้อนเป็น Reality Bender หรือเปล่า”
“ภาพต่างๆที่ผมเคยเห็นถูกเปลี่ยนแปลงไปในหลายๆด้าน และยิ่งหลังจากที่เราได้เจอไอโอน่าและคุณลอสต์ เซเคร็ต นิมิตที่ผมเคยได้เห็นก็ได้เปลี่ยนไปจนหมด เหมือนกับเทปคนละตลับ”
“ในอนาคตข้างหน้า ผมเชื่อมั่นว่ามันจะต้องดีกว่านิมิตเก่าของผมอย่างแน่นอน”
“ดังนั้นผมขอให้ทุกคนคิดว่าที่พวกเราจะไปทำต่อไปนี้..ไม่ได้เป็นการทำเพื่อทำตามคำสั่งของผม หรือเพราะทำเพื่อใครบางคน ผมขอให้ทุกคนเชื่อว่าสิ่งที่เรากำลังจะไปทำต่อไปนั้น..ทำเพื่อพวกเราและมนุษย์ทุกคนไม่ให้ถึงจุดดับสูญในอนาคต” ทันทีที่มิสเตอร์ครีปปี้พาสต้าพูดจบลง ทุกคนที่นั่งฟังพลันส่งเสียงเฮฮาขึ้นทันใด พวกเขาทุกคนต่างเห็นด้วยกับชายผิวฟ้าและเริ่มเตรียมตัวจะไปทำภารกิจที่ได้รับ
“สำหรับพวกเด็กๆ ผมจะให้พวกเขาอยู่ที่คฤหาสน์นะครับ..อย่างน้อยก็จะได้ไม่ได้อันตรายจากการต่อสู้” สเลนเดอร์แมนพลันปรากฏขึ้นด้านหลังของมิสเตอร์ครีปปี้พาสต้า ทุกคนหันกลับมารับฟังก่อนจะพยักศีรษะรับทราบ แล้วเตรียมการไปต่อสู้ที่สถานที่ลับของแบล็ก
“มิลโร่ เบนครับ..พวกคุณก็ด้วยนะครับ” สเลนเดอร์แมนมองไปที่เด็กสาวผมดำและเด็กชายผมบลอนด์ โดยผู้ถูกมองได้มองสวนกลับไป
“โฮ่..อดไปสู้พร้อมกับพ่อแม่เลยอ่ะ” เด็กสาวทำแก้มป่องแล้วเอ่ยถามสเลนดี้ “หนูก็อายุต่างกับพ่อแม่ไม่กี่ปีเองนะ..ทำไมหนูถึงไปไม่ได้ล่ะ”
“ผมก็เหมือนกันนะ..สเลนดี้ ทำไมผมถึงไม่ได้ไปล่ะครับ” เบน ดราวน์กล่าวออกมาด้วยความสงสัย
“ก็พวกเธอยังอายุไม่ถึง 18 ปีเลยนะครับ..ผมคงจะอนุญาติให้ไปไม่ได้นะครับ” สเลนเดอร์มนตอบคำถามของทั้งสอง
“แล้วทำไมคุณสมายล์ถึงไปได้ล่ะค่ะ” มิลโร่ถามกลับอีกครั้ง และเบนมีท่าทางเห็นด้วยกับคำถามของเธอ
“ข้อหนึ่งเขามีความสามารถในการดมกลิ่นจะช่วยได้มากในการทำภารกิจ ข้อสองเขามีอายุมากกว่า 18 ปีถ้าเทียบกับอายุมนุษย์ และข้อสาม...” สเลนเดอร์แมนเว้นช่วงคำพูด “เขาเป็นสุนัขนะครับ”
“โห..อดไปจริงๆด้วย” ทั้งสองคอตกก่อนจะเดินกลับไปในคฤหาสน์ แต่ในระหว่างนั้นมิลโร่เกิดข้อสงสัยบางอย่าง
“ว่าแต่นายอายุเท่าไหร่น่ะ..เบน” สาวน้อยเอ่ยปากถามเด็กหนุ่ม
“ผมน่ะเหรอครับ..” มิลโร่พยักหน้าตอบรับด้วยรอยยิ้ม “ถ้าตามอายุจริงๆของผมก็จะอยู่ที่ประมาณ 29 น่ะครับ”
“นี่นายแก่ขนาดนั้นเลยเหรอนั่น..” มิลโร่แสดงท่าทีประหลาดใจ “แล้วทำไมถึงไม่ได้ไปร่วมต่อสู้ด้วยล่ะ”
“ก็กว่าผมจะปรากฏตัวขึ้นมาเป็นรูปเป็นร่าง ก็ล่อไปเกือบสิบห้าไปแล้วน่ะครับ” เบน ดราวน์พูดพร้อมกับคอตก “ดังนั้นอายุของผมที่ทุกคนรับรู้ก็คือ 12 ปีน่ะครับ”
“งั้นชั้นก็เป็นพี่สาวน่ะสิ..ชั้นอายุมากกว่า 3 ปี” สาวน้อยแสดงท่าทางดีใจ “ไหนลองเรียกเค้าว่า ‘พี่สาว’หน่อยสิคะ”
“เอ่อ..พะ..พี่” เบนแสดงท่าทางเขินอายออกมา “พี่สาว..”
“ว้ายยย! น้องเบน..น้องชายของเค้า” มิลโร่โผเข้ากอดเด็กหนุ่มทันใด แต่ด้วยความสูงที่แตกต่างกัน ใบหน้าของเบนจึงไปอยู่ที่หน้าอกของมิลโร่แทน แล้วทั้งสองก็เดินเข้าไปในคฤหาสน์ในที่สุด ปล่อยให้สเลนดี้อมยิ้มอย่างมีความสุข..แม้ว่าเขาจะไม่มีปากก็ตาม ชายไร้หน้าเห็นดังนั้นก็ได้เดินออกมา แล้วไปรวมกลุ่มกับคนอื่นเพื่อพูดคุยกันก่อนเริ่มภารกิจ
เวลาผ่านไปกว่า 1 ชั่วโมง ทุกคนก็ได้เข้าสู่สถานที่ที่ตนเองต้องทำภารกิจ ในส่วนฝ่ายโจมตีที่มีฮีโร่บรายเป็นหัวหน้าได้เข้าแทรกซึมจนอยู่หน้าฐานของแบล็กสำเร็จแล้ว ส่วนทางด้านฝั่งเฝ้ามองและสนับสนุนนำโดยอายเลส แจ็คนั้นได้ทำการสังเกตการณ์อยู่บนตึกในบริเวณใกล้เคียง และหัวหน้าทั้งสองส่วนได้รับการสนับสนุนทางความคิดจากฝั่งของมิสเตอร์ครีปปี้พาสต้าที่อยู่ภายในคฤหาสน์
เจฟและคนอื่นกำลังนั่งซุ่มในพงหญ้าอย่างแนบเนียนเพื่อดูการเคลื่อนไหวของศัตรูที่มีจำนวนมาก เจฟและโทบี้ต่างมองไปที่เหล่าผู้คุมหน้าศูนย์บัญชาการลับ ก่อนจะหันมาเปิดบทสนทนากับคนอื่นๆด้วยเสียงเบา
“จะเอายังไงกันดี..พวกมันมีไม่ต่ำกว่า 20 แน่ๆ” เจฟพูดออกมา โดยหันหน้าไปทางหัวหน้ากลุ่มผ่ายโจมตี ฮีโร่บราย
“เราบุกเข้าไปไม่ดีกว่าเหรอ..คนแค่นี้ไม่ตึงมือชั้นหรอกนะ” โทบี้ยิ้มที่มุมปาก ก่อนจะเลื่อนแว่นตากันลมสีเหลืองส้มกับผ้าปิดปากลายซี่ฟันคมกริบขึ้นมาสวมใส่
“โทบี้!” คล็อกเวิร์คหันไปหาโทบี้ด้วยท่าทางเป็นห่วง ในขณะเดียวกันคล็อกเวิร์คก็ได้มองไปทางเจฟและเจนที่อยู่ในลักษณะเดียวกับเธอและทิกกิ โทบี้ นั่นทำให้เธอต้องยิ้มให้กับความสัมพันธ์ของทั้งสองที่ดีขึ้น
“ข้าว่าอย่ามุทะลุบุกเข้าไปเลยดีกว่านะ..” ฮีโร่บรายกล่าวตักเตือนด้วยน้ำเสียงที่สุขุมและเรียบนิ่ง “เราควรจะหลอกล่อพวกมันไปทางอื่นจะดีกว่า”
“นี่! ลุง..” ลาอ้อนเรียกชายผู้มีพลังสูงที่สุดในขณะนี้ “พวกเราก็มีมือมีเท้า..ทำไมไม่จัดการพวกนั้นให้สิ้นซากไปเลยล่ะว่ะ”
“นั่นเป็นเพราะภายในสถานที่นี้อาจมีทหารคนอื่นอยู่อีก” ฮีโร่บรายยังคงพูดด้วยน้ำเสียงที่สุขุมเช่นเดิม “และที่สำคัญข้าเชื่อว่ามันมีสิ่งที่สามารถเอาชนะเราทุกคนได้”
“แม้ว่าข้าจะอมตะและคงกระพันเพียงใด..ข้าก็ยังสามารถล้มได้ แล้วเจ้าที่เป็นเพียงผู้มีพลังบิดเบือนความจริงที่เจ้าพวกนั้นมีสิ่งที่เอาชนะเจ้าได้อย่างง่ายดายอยู่เป็นจำนวนมาก..เจ้าคิดเรอะว่าเจ้าจะสู้กับทั้งหมดได้”
คำพูดของชายผู้นี้ทำให้ลาอ้อนเกิดฉุกคิดขึ้นมาทันใด ก่อนที่เขาจะยอมรับวิธีการของฮีโร่บรายในที่สุด ทุกคนที่ได้ฟังจึงยอมรับและเตรียมการเริ่มทันที
“ก่อนที่พวกเราจะเริ่มข้าขอ..” ของเหลวบางสิ่งไหลเข้ามาใต้พงหญ้าอย่างน่าประหลาดใจ กลิ่นของมันถูกปล่อยออกมาและเป็นที่คุ้นเคยของหลายๆคน และ..มันมีสีแดง
“เลือดนี่มาจากไหนเนี่ย” เจฟพูดออกมาก่อนจะฉุกคิดได้ว่าในบทสนทนาเมื่อสักครู่นี้ ขาดใครบางคนไป เขารีบยืดตัวขึ้นมามองบนพงหญ้าทันที คนอื่นๆจึงยืดตัวตามเขาเช่นกัน
ฟ้าว!!! ใบมีดขนาดใหญ่ถูกฟาดใส่เหล่าผู้คุมอย่างไร้ความปราณีโดยหญิงสาวผู้เงียบขรึม รอยแผลขนาดใหญ่ถูกประทับบนร่างของผู้คุมมากมาย บ้างก็ถูกตัดศีรษะจนขาดสะบั้น บ้างก็ถูกผ่าร่างจนขาดเป็นสองท่อน ผู้ที่พยายามจะติดต่อเข้าไปขอความช่วยเหลือกลับถูกตะขอที่ติดกับโซ่ดึงร่างเข้าหาเธอและถูกใบมีดยักษ์ที่ยาว 2 เมตรและกว้างเกือบ 1 เมตรแทงทะลุร่าง ก่อนจะนำมีดเล่มยักษ์นั้นฟาดใส่กลางร่างจนขาดครึ่ง เหล่าศัตรูที่มีจำนวนกว่า 20 คนถูกกำจัดจนเหลือเพียงกองเลือดและศพที่น่าสยดสยองเท่านั้น
เจฟและคนอื่นๆต่างใช้มือกุมหน้าผากทันที ในขณะที่ลาฟฟิ้ง แจ็คกลับยิ้มขำในท่าทางของทุกคน ส่วนฮีโร่บรายนั้นถอนหายใจออก แล้วจึงเดินไปหาบุชเชอร์ชาย
“เธอทำได้ดีมาก..สาวน้อย” ชายผู้สวมเสื้อยืดสีฟ้าและกางเกงขาวยาวสีน้ำเงินกล่าวชมเชยหญิงสาวผู้ทำลายเหล่าผู้คุมทั้งหมดด้วยตัวคนเดียว
หญิงสาวผมชมพูอ่อนหันมาหาเขา พร้อมกับทอดสายตาที่ไร้ชีวิตไปหาบุรุษผู้แข็งแกร่ง เมื่อเธอได้เห็นดวงตาที่ขาวโพลนของฮีโร่บรายเธอก็รีบหันหน้ากลับมาทันที
“ขอบคุณค่ะ..” น้ำเสียงอันไพเราะ แต่กลับไร้ชีวิตชีวาถูกส่งออกมาด้วยเสียงที่เบาจากปากของบุชเชอร์ชาย
“งั้นก็อย่ารอช้าอยู่เลย..” ฮีโร่บรายพูดขึ้นก่อนที่ทุกคนจะมุ่งหน้าไปที่ประตูของศูนย์นี้ โดยก่อนที่ฮีโร่บรายเขาก็ได้ใช้พลังของเขาลบร่องรอยการต่อสู้ทั้งหมด สลายซากศพ คราบ และกลิ่นเลือดออกไปจนหมด แล้วจึงตามคนอื่นๆไป
ทั้งหมดต่างเตรียมตัวก่อนจะยืนยันสถานะของทุกคนอย่างพร้อมเพรียง เมื่อทั้งหมดยืนยันเสร็จสิ้น ฮีโร่บรายนั้นเตรียมจะเปิดประตูเข้าไปภายใน กลับมีผู้คุมสองคนจากมุมตึกเข้ามาเห็นพวกเขาทั้งหมดแล้วเตรียมจะเรียกกำลังเสริมที่จะทำให้ฝ่ายโจมตีที่ไม่ได้ตั้งตัวต้องตึงมืออีกครั้ง
ชิ้ว!!! เสียงบางอย่าพุ่งตรงเข้ามาและยิงทะลุกระโหลกของผู้คุมคนแรกและปลิดชีวิตเขาอย่างรวดเร็ว เมื่อผู้คุมคนที่สองเห็นดังนั้นจึงรีบเรียกเครื่องมือสื่อสารออกมาเพื่เรียกกำลังเสริม แต่ทันใดนั้นเองร่างของหญิงสาวผู้หนึ่งกลับปรากฏอยู่ตรงหน้าผู้คุมที่เหลือรอด เธอใช้มือปัดเครื่องมือสื่อสารจากมือของเขาทิ้งและกระทืบใส่จนแหลกละเอียด ผู้คุมเตรียมหยิบปืนขึ้นมาโจมตีใส่นิน่า แต่เธอกลับปามีดออกไปกระแทกใส่ปืนพกบนมือเขาจนร่วงหล่นลงมา ผู้คุมผู้ไร้ทางสู้ได้แต่ยืนอย่างหวาดกลัวและรอความตายที่จะได้รับ นิน่าพุ่งเข้าไปข้างหน้า ก่อนจะกระโดดหมุนตัวและเตะก้านคอของผู้คุมคนนั้นจนสลบนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น ก่อนที่เธอหันหน้ามายิ้มให้กับฝ่ายโจมตี
“ท่าเตะก้านคอของชั้นใช้ได้มั้ยล่ะเจน..” นิน่ายิ้มกว้างด้วยความภูมิใจไปทางเจน
“ถึงจะลีลามากไปหน่อย..แต่ถือว่าดีมากเลยล่ะ” เจนกล่าวชมกับการโจมตีของนิน่า
นิน่าเองก็ยิ้มกลับก่อนจะกระโดดเหยียบถังขยะและปีนขึ้นไปบนตึกสูงใกล้เคียงทันที ซึ่งบนสุดนั้นมีฝ่ายสนับสนุนอยู่ด้านบน ที่นำโดยอายเลส แจ็ค และในเหล่าฝ่ายโจมตีก็ได้รับรู้ว่าผู้ที่โจมตีผู้คุมคนแรกนั้นคือเพื่อนจากมิติที่สองของลอสต์ เขาถือปืนสไนเปอร์ก่อนจะยกมือขึ้นมาทำความเคารพกับฮีโร่บราย แล้วฝ่ายสนับสนุนก็ได้เดินออกไปจากสายตาของทุกคนไป เมื่อเสร็จสิ้น ฮีโร่บรายก็เปิดประตูบานนั้นออกทันที และพวกเขาก็ได้เดินเข้าไปสู่ภายในที่มีเพียงแต่ความมืด และไม่นานนักหลังจากที่ทุกคนเข้ามาสำเร็จ ประตูบานใหญ่กลับถูกปิดด้วยความเร็วสูงอย่างน่าประหลาดใจ ฝ่ายโจมตีถูกความมืดรายล้อม ดวงตาของพวกเขาไม่สามารถมองเห็นสิ่งใดได้แม้แต่น้อย แต่ทันใดนั้นเองแสงสว่างพลันปรากฏจากหลอดไฟบนเพดานอย่างรวดเร็ว นั่นทำให้พวกเขาได้ทราบว่าสถานที่ที่พวกเขาย่างกรายเข้ามานั้นคือโกดังที่ว่างเปล่า
เสียงปรบมือดังอย่างต่อเนื่องขึ้นจากบริเวณฝั่งตรงข้ามกับที่พวกเจฟอยู่ พวกเขาทอดสายตาไปทันใด ทำให้เขาได้พบกับชายปริศนาผู้สวมสูทปลายยาวที่ทับเสื้อเชิ้ร์ตสีขาวและมีหน้ากากรูปร่างแปลกประหลาดปิดบังใบหน้าครึ่งนึง เหลือเพียงปากที่ปรากฏออกมา ทุกคนหยิบอาวุธของตนขึ้นมา ในขณะที่ลาอ้อนและเจนแสดงท่าทีตั้งการ์ดเตรียมรับการโจมตี ส่วนฮีโร่บรายกลับยังคงยืนนิ่งเช่นเดิม
“ช่างน่าประทับใจเสียจริง..” ชายปริศนากล่าวชม แล้วได้หัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง “น่าประทับใจมากน่าประทับใจมาก...”
“น่าประทับใจจริงๆ...” ชายปริศนาหยุดปรบมือและการหัวเราะลงอย่างฉับพลัน ก่อนจะแสยะยิ้มออกมา “..ที่ยกพวกมาตายถึงที่”
เมื่อเอ่ยปากจบ ชายปริศนาได้ล้วงเข้าไปในกระเป๋าแล้วนำหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมา เขาเปิดมันออกอย่างรวดเร็วแล้วจึงเริ่มเอ่ยบางอย่างออกมา
“จงตื่นขึ้นมาเหล่าอสูรของข้า..” ชายปริศนาผายมือออกไปข้างหน้าของตนก่อนจะกำมือแน่น
พื้นด้านหน้าของเขาพลันปรากฏควันสีม่วงดำขึ้น ก่อนที่บางสิ่งจะผุดขึ้นมาจากพื้นนั้น เหล่าอสูรหน้าตาแปลกประหลาดปรากฏขึ้นมาจากพื้นโกดังเป็นจำนวนมาก พวกมันขู่คำรามทันทีที่ถูกอัญเชิญออกมาสำเร็จ ชายปริศนาที่เดิมอยู่บนพื้นรีบดีดตัวขึ้นไปอยู่ด้านบนของระเบียงด้านหลังของตน แล้วจึงโค้งให้กับศัตรู
“โทบี้!” เจฟหันไปหาโทบี้ ก่อนที่ทั้งสองจะพยักหน้าตอบรับ แล้วพวกเขาจึงวิ่งออกข้างหน้าทันที
เจฟนั้นก้มตัวลงคุกเข่า ส่วนโทบี้ที่วิ่งอยู่ทางด้านหลังเห็นดังนั้นจึงปล่อยขวานสั้นของเขาออกมาแล้ววิ่งขึ้นไปเหยียบหลังของเจฟที่ก้มตัวลงอยู่ เขาดีดตัวขึ้นสู่ท้องฟ้า แล้วจึงได้ปาขวานคู่ของเขาไปที่เหล่าอสูร เมื่อมันเข้าไปติดกับลำตัวของอสูรเหล่านั้น ชายหนุ่มพลันกดกลไกดึงให้ตัวเขาพุ่งเข้าไปหาขวานในทันใด เขาพุ่งตัวลงมาถีบขาคู่ใส่อสูรเหล่านั้นทันที
คนอื่นๆที่เห็นการเปิดการโจมตีของทิกกิ โทบี้ก็ได้เข้าร่วมการต่อสู้ในทันที ยกเว้นแต่ฮีโร่บรายที่ยังคงยืนอยู่กับที่ เขากดเข้าไปที่เครื่องมือสื่อสารระยะไกล ระบบเกิดการประมวลผลและส่งเข้าช่องการสื่อสารของหน่วยที่สามทันที
“นี่..ข้าเอง ฮีโร่บราย” ชายผู้มีพลังมหาศาลเปิดบทสนทนากับผู้ฟังจากอีกฟากหนึ่ง
“รายงานมาเลยครับ..” ชายไร้หน้าตอบรับการสื่อสารของชายผู้มีตาสีขาวโพลน
“ตอนนี้พวกเราได้เจอกับเป้าหมายแล้ว..และเรากำลังถูกโจมตี” ฮีโร่บรายเอ่ยออกมาด้วยเสียงอันเรียบนิ่ง ไม่ตื่นตระหนกแม้แต่น้อย
“ต้องการความช่วยเหลือมั้ยครับ” สเลนดี้ตอบกลับมาอีกครั้ง
“พวกเราต้อ....” ยังไม่ทันที่ฮีโร่บรายจะได้กล่าวอะไรต่อ พื้นโกดังพลันระเบิดออกทันใด ซึ่งนั่นเป็นผลมาจากการโจมตีของเจนที่ต้องพลาดไปโดนพื้น อสูรร้ายพยายามที่จะโจมตีเธอ แต่กลับถูกเธอสวนกลับด้วยการม้วนตัวเสยคางจนลอยทะลุหน้าต่างโกดังไป ก่อนที่เธอจะม้วนตัวกลับมายืนดังเดิม และเริ่มโจมตีเหล่ากองทัพอสูรอีกครั้ง โดยการโจมตีของเธอนั้นสร้างความเสียหายมากกว่าคนอื่นๆ รวมกันหลายเท่า ฮีโร่บรายเห็นดังนั้นก็ยิ้มกริ่มแล้วตอบกลับไป “คงไม่ต้องแล้วล่ะ..”
“ในเมื่อพวกเรามีพยัคฆ์สาวผู้นี้อยู่” ฮีโร่บรายขำก่อนจะปิดบทสนทนาลง “หากมีอะไรเปลี่ยนแปลงไป..ข้าจะสื่อสารเจ้าไปอีกครั้ง”
“ครับคุณฮีโร่บราย” สเลนดี้ตอบกลับก่อนที่ฮีโร่บรายจะกลับมาโฟกัสที่การต่อสู้อีกครั้ง ซึ่งในขณะนี้เหล่าอสูรที่เคยมีอยู่จำนวนมากเริ่มหายไปจนสามารถนับจำนวนได้
“ช่างเก่งกล้าเสียจริงนะ..” ชายปริศนาแสยะยิ้มออกมา แต่แล้วอสูรตนหนึ่งพลันพุ่งสวนกับร่างของเขาไปอย่างรวดเร็วก่อนจะทะลุออกไปนอกโกดัง ชายหนุ่มผู้นี้มองไปที่ต้นตอของการโจมตีอันรุนแรงนี้ นั่นทำให้เขาได้พบกับสาวผมดำผู้มีพลังหมัดอันมหาศาล เจน เดอะ คิลเลอร์ “ช่างเป็นผู้หญิงที่น่ากลัวเสียจริงนะ”
“คงได้ว่าเวลาที่นายจะได้มายืดเส้นยืดสายแล้วล่ะ..จูเนียร์” ชายปริศนาเรียกใครบางตนที่อยู่ข้างหลังของเขา ภายในเงามืดด้านหลังพลันปรากฏแสงสีแดงจากดวงตาที่อยู่ภายใต้หน้ากากกันแก๊สพิษที่ป้องกันใบหน้าเพียงซีกซ้ายซีกเดียว
เรือนผมที่ยาวและไม่เป็นระเบียบประทับอยู่บนชายผู้มีดวงตาที่เหนื่อยล้าและไร้ชีวิต ร่างกายของเขาถูกพันธนาการด้วยชุดผู้ป่วยโรคประสาท ทำให้เขาไม่สามารถขยับมือและแขนเขาได้แม้แต่น้อย ชายผู้มีนามว่าจูเนียร์เดินเข้ามาหาชายปริศนาผู้ที่เรียกเขา
“ก็ว่างั้นแหละ..แม็ค” จูเนียร์พูดออกมา ก่อนที่ชายปริศนาผู้มีนามว่าแม็คจะแสยะยิ้มและสร้างพลังบางอย่างปลดพันธนาการของจูเนียร์ออก ทำให้เขาสามารถขยับแขนและมือได้อีกครั้ง แล้วเขาจึงกระโดดลงไปที่พื้นโกดัง เมื่อเท้าทั้งสองสัมผัสกับพื้น พลันเกิดระเบิดอย่างรุนแรงสร้างกลุ่มหมอกควันจำนวนมาก
แต่ชายผู้นี้ยังไม่หยุดเพียงท่านั้นเขาเดินออกมา ก่อนจะเริ่มเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นและเร็วขึ้น จนเปลี่ยนเป็นการวิ่งพุ่งเข้าไปทางเหล่าฝ่ายโจมตีแห่งครีปปี้พาสต้าที่ยุ่งกับการต่อสู้กับเหล่าอสูรตนอื่น บุชเชอร์ชายที่เห็นจูเนียร์กำลังพุ่งมานั้น เตรียมจะง้างคมมีดยักษ์ฟาดใส่ แต่ในระหว่างการฟาดนั้นกลับชายผู้เป็ศัตรูชนจนปลิวไปเสียก่อน เจฟและโทบี้ที่เห็นดังนั้นจึงหันความสนใจไปที่ชายผู้พุ่งเข้ามาหาพวกเขา
โทบี้ที่เตรียมจะพุ่งเข้าโจมตีกลับถูกเจฟผลักเข้าไปด้านข้างเสียก่อน และในขณะเดียวกันเจฟได้ทำท่าทีจะใช้มีดแทงใส่จูเนียร์ที่อยู่ห่างไปจากเขาไม่กี่เมตร เพียงเสี้ยววินาทีที่ใบมีดสัมผัสกับร่างของจูเนียร์ ใบมีดนั้นพลันแตกละเอียดไม่เหลือชิ้นดี ต่างจากผิวหนังของอีกฝ่ายที่ไร้รอยขีดข่วน
เจฟตื่นตะลึงกับสิ่งที่เห็น และลืมบางสิ่งที่กำลังพุ่งเข้าหาเขา กำปั้นของจูเนียร์พุ่งเข้าใส่ใบหน้าของเจฟอย่างแรงจนเกิดคลื่นกระแทกกระจายไปด้านหลังอย่างรุนแรง ศีรษะของเจฟระเบิดออกทันใด แต่มันยังไม่จบเพียงเท่านั้น มือที่ไม่ได้ใช้การของจูเนียร์อีกข้างหนึ่งถูกบังคับให้พุ่งแทงทะลุหน้าอกของเจฟที่ไร้ซึ่งสติและศีรษะ ก่อนจะควักหัวใจของเขาออกมาและบีบทิ้ง พลันขว้างร่างไร้การตอบสนองของเจฟไปด้านข้างอย่างแรงจนผนังของโกดังเกิดรอยยุบทันที
“เจฟ!!!” เจนตะโกนออกไปดังลั่น ก่อนที่เธอจะจ้องไปที่ชายผู้ที่ทำร้ายชายที่เธอรัก หญิงสาวพุ่งตัวเข้าไปต่อยใส่ร่างของจูเนียร์ที่เผลออยู่
ทันทีที่หมัดกระทบกับร่างของจูเนียร์ ชายปริศนาพลันแสดงอาการเจ็บปวดเล็กน้อยออกมา ก่อนที่เขาจะหันไปสนใจหญิงสาว ชายเบื้องหน้าง้างหมัด เตรียมต่อยใส่ร่างของหญิงสาว แต่เธอกลับม้วนตัวและจับแขนข้างนั้นหวังทุ่มร่างของชายผู้นี้ลงกับพื้น แต่มันกลับไม่ได้ผล ร่างของจูเนียร์ไม่แม้แต่จะเคลื่อนที่ แต่แล้วแขนอีกครั้งของเขากลับสอดรัดร่างบางของหญิงสาวเอาไว้อย่างแน่น ทำให้เธอไม่สามารถเคลื่อนที่หลบหนีได้ เธอใช้ศอกกระทุ้งใส่ร่างของชายผู้นี้แต่นั่นกลับไม่ทำให้แขนของเขาคลายตัวลงเลย
“นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่มีคนที่สามารถสร้างความเจ็บปวดให้ชั้นได้..” จูเนียร์เอ่ยออกมาด้วยเสียงอันแหบแห้งผ่านหน้ากากกันแก๊สพิษ “และเป็นครั้งแรกที่คนผู้นั้นเป็นผู้หญิงอย่างแก”
“แต่เจ้ารู้มั้ยว่าพลังที่ชั้นใช้กับแกนั้นน่ะเป็นแค่ 1 ใน 4 จากทั้งหมดที่ชั้นมี” เจนเบิกตากว้างทันที ทันใดนั้นลูกกระสุนสไนเปอร์จำนวนหลายนัดพลันพุ่งใส่ร่างของจูเนียร์ แต่มันกลับทำได้เพียงทะลุเข้าไปในเสื้อและแตกละเอียดภายใน ส่วนนัดที่โดนศีรษะของเขากลับบี้แบนทันทีที่สัมผัสกับผิวหนังของเขา โดยที่เจ้าตัวไม่รู้สึกด้วยซ้ำไป
จูเนียร์ง้างมืออีกข้างหวังจะทุบร่างของเจนให้ตายคามือ แต่ในจังหวะที่ทุบนั้นเอง แขนข้างหนึ่งพลันปรากฏขึ้นห้ามการโจมตีของเขาไว้ จูเนียร์เบือนหน้าไปหาเจ้าของแขนข้างนั้น แต่สิ่งที่เขาพบกลับกลายเป็นกำปั้นที่พุ่งกระแทกใบหน้าของเขาจะกระเด็นออกไปหลายสิบเมตรแทน ส่วนร่างของเจนนั้นก็ถูกปล่อยออกมา
“เจ้าบาดเจ็บหรือเปล่า” ฮีโร่บรายผู้โจมตีใส่จูเนียร์ยื่นมือไปทางเจนที่ได้ร่วงนอนลง
“ไม่ค่ะ..” เจนตอบกลับไป ก่อนจะจับมือของเขาแล้วจึงดึงตัวขึ้นมา “ขอบคุณนะคะ”
“อืม..” ฮีโร่บรายหันไปทางจูเนียร์ที่ยืนมองเขาอยู่ห่างออกไปหลายสิบเมตร จูเนียร์เบิกตากว้างก่อนจะพ่งเข้าโจมตีใส่ฮีโร่บรายที่ยังคงยืนนิ่งอยู่
ทันใดนั้นชายผู้แข็งแกร่งพลันผลักร่างของเจนออกไปและรับหมัดของชายผู้โจมตีโดยไม่หลบแม้แต่น้อย จูเนียร์ที่โจมตีใส่อย่างเต็มเป้าหมายกลับตื่นตะลึงที่การโจมตีของเขานั้นไม่ได้ทำให้ฮีโร่บรายแสดงอาการบาดเจ็บทั้งทางร่างกายและใบหน้าเลย เขารีบใช้มืออีกข้างต่อยไปที่หน้าของฮีโร่บรายอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง จนเกิดคลื่นกระแทกรุนแรงหลายครา ทำให้ผนังโกดังแทบจะถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ
“50..65..75..85..90” จูเนียร์พูดออกมาทุกครั้งที่ต่อยออกไป
อีกทั้งทุกหมัดที่ถูกปล่อยออกมายิ่งทวีคูณความรุนแรงขึ้นไปหลายเท่า ทำให้เหล่าครีปปี้พาสต้าด้านหลังฮีโร่บรายถูกคลื่นกระแทกร่างจนได้รับบาดเจ็บไปหลายราย ส่วนเจฟที่ฟิ้นตัวกลับมาแล้ว วิ่งเข้าไปโจมตีใส่จูเนียร์กลับถูกผลพวงของแรงกระแทกอย่างเต็มที่จนทำให้ร่างท่อนบนของเขาระเบิดออกทันที และถูกคลื่นกระแทกร่างส่วนร่างที่ไร้วิญญาณให้ลอยกระเด็นไปกระแทกกับประตูโกดัง แต่ทุกหมัดที่ต่อยไปนั้นกลับไม่มีผลทำให้ฮีโร่บรายบาดเจ็บหรือแม้แต่จะทำให้ร่างของเขาเคลื่อนที่ออกไปได้เลย จนถึงหมัดสุดท้าย...
“100..เป็นไปไม่ได้” จูเนียร์พูดออกมา พร้อมกับใบหน้าที่ตื่นตะลึง เพราะหมัดสุดท้ายที่ทุ่มพลังทั้งหมดที่เขามีใส่เข้าไปเพียงทำให้ฮีโร่บรายเบือนหน้าไปอีกทิศทางเพียงไม่กี่องศา
“เจ้าโจมตีเสร็จหรือยัง” ฮีโร่บรายถามออกไป แต่กลับไม่มีเสียงใดๆตอบกลับมา “ถ้าเช่นนั้นก็ถึงรอบของข้า”
ฮีโร่บรายใช้ฝ่ามือกระแทกใส่หน้าอกของจูเนียร์ให้กระเด็นออกไป ส่วนอีกมือหนึ่งนั้นได้เสกลูกแก้วประหลาดที่ถูกเรียกว่า ‘ไข่มุกเอ็นเดอร์’ ขึ้นมา ก่อนที่เขาจะปาไปในทิศทางของจูเนียร์ แต่เลยไปทางด้านหลัง เมื่อลูกแก้วตกกระทบพื้นจนแตกละเอียด ร่างของฮีโร่บรายพลันอันตรธานหายไป และปรากฏอีกครั้งในบริเวณที่ลูกแก้วนั้นแตกออก ชายผู้แข็งแกร่งสร้างดาบอัศวินสีฟ้าที่ถูกอาบด้วยออร่าสีม่วงฟาดใส่ร่างของจูเนียร์ที่พุ่งเข้ามา สร้างคลื่นพลังสีฟ้าที่ด้านหลังของเขา ทำให้เสื้อผ้าของเขานั้นขาดออกและปรากฏรอยแดงที่หลังเป็นแถบยาว พร้อมกับส่งเขากลับไปในทิศทางเดิม ฮีโร่บรายปาลูกแก้วเอ็นเดอร์ไปอีกครั้งก่อนจะอันตรธานหายไปและปรากฏตัวขึ้นมาใช้ดาบเพชรฟาดใส่ร่างของจูเนียร์ ทำให้ตัวเขากระอักเลือดออกมาแล้วพุ่งตรงขึ้นไปสู่อากาศ และฮีโร่บรายก็ยังคงใช้การวาร์ปด้วยไข่มุกเอ็นเดอร์ เพื่อไปฟันใส่อีกฝ่ายให้ตกลงมาสู่พื้นดิน ท่ามกลางความตะลึงงันของทั้งฝ่ายตนเองและฝ่ายของศัตรูกับพลังอันมหาศาลของบุรุษผู้ไร้คู่ต่อกร และสุดท้ายนั้นเองฮีโร่บรายที่ยังคงลอยเวิ้งว้างอยู่บนอากาศได้ง้างหมัดที่เริ่มปรากฏออร่าของสายฟ้ามาล้อมรอบหมัดของเขา ประกายแสงไฟฟฟ้าพุ่งออกมาอย่างน่าหวั่นเกรง
“Chaos Blast Of The Aether!!!” ฮีโร่บรายตะโกนออกไป แล้วจึงพุ่งตัวลงมาต่อยใส่ร่างที่แน่นิ่งของจูเนียร์ทันที ด้วยลางสังหรณ์ของลาอ้อนที่เห็นท่าไม่ดีจึงใช้พลังของเขาสร้างโดมป้องกันพรรคพวกที่อยู่ด้านพลังของเขา ส่วนแม็คที่เห็นเช่นเดียวกับลาอ้อนก็ได้ร่ายเวทย์สร้างโล่พลังงานขึ้นมาปกป้องตนเองทันที
แรงระเบิดจากพลังอันมหาศาลที่กระทบลงสู่พื้นโกดัง ทำลายโกดังทั้งหมดจนสิ้นซาก หน่วยที่สองนั้นต่างอ้าปากค้างอย่างไม่น่าเชื่อในสายตาของตน เพราะแรงระเบิดนั้นกินเนื้อที่แทบทั้งหมดของบริเวณนั้น
เมื่อควันจากแรงระเบิดหายไป โล่พลังงานพลันสลายไปทันที พร้อมกับร่างของลาอ้อนที่นั่งทรุดลงเพราะใช้พลังไปมากเกินไป ในขณะที่แม็คยังคงยืนตะลึงกับการโจมตีเมื่อครู่เช่นเดิม แต่ในขณะเดียวกันนั้นเองเศษซากและพื้นโกดังที่สลายไปหรือกระจัดกระจายไปนั้นค่อยๆกลับมารวมกลายเป็นโกดังที่ไม่มีแม้แต่ความเสียหายอย่างน่าประหลาด
“นี่มัน..” แม็คที่กำลังจะเอ่ยอะไรออกมากลับถูกมือของบางคนจับบ่าเอาไว้เสียก่อน แม็คตกใจ หันไปหากลับพบกับผู้ใส่หน้ากากประหลาดอีกคนหนึ่ง “นายเป็นคนทำงั้นเหรอ”
ชายผู้สวมหน้ากากประหลาดพยักหน้าขึ้นลงตอบกลับ ก่อนที่เขาจะหันไปมองฮีโร่บรายและจูเนียร์ที่นอนแน่นิ่งอยู่แทน
ฮีโร่บรายนั้นยืนมองไปที่ชายผู้ถูกเขาโจมตีใส่ จูเนียรืนั้นนอนแน่นิ่งดูคล้ายจะหมดสติไป แต่ก่อนที่เขาจะไดหันไปไหน กลับเกิดเสียงหัวเราะอันแหบแห้งจากปากของจูเนียร์เสียก่อน
“เป็นพลังที่มากเกินที่จะชั้นจินตนาการออกมาได้เลยนะ” จูเนียร์พูดจบก็ไอออกมา “แกนี่ทรงพลังเสียเหลือเกินนะ”
“เจ้าก็แข็งแกร่งเช่นเดียวกัน..ตามจริงแล้วแทบไม่มีใครรอด เมื่อโดนการโจมตีของข้าเต็มๆ” ฮีโร่บรายเอ่ยออกมา แต่มันกลับทำให้จูเนียร์หัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง
“ก็แกเล่นทุ่มสุดตัวซะขนาดนั้น..ถ้าชั้นไม่เป็นพวกคงกระพัน ป่านนี้ก็สลายไม่เหลือซากแล้ว”
“ทุ่มสุดตัว!?” ฮีโร่บรายพูดด้วยท่าทีฉงน “การโจมตีที่เจ้าได้รับไป ข้าพึ่งใช้พลังไปแค่ 3 ใน 100 เท่านั้นเอง”
“อะไรนะ!!! 3%” พรรคพวกของเขาเองยังตกตะลึงกับสิ่งที่ฮีโร่บรายกล่าวออกมา ไม่ต่างจากท่าทีของ๗เนียร์และแม็ค แต่ไม่นานนักทั้งสองก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
“งั้นแกก็คงจะเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มของเจ้า” จูเนียร์ยันตัวลุกขึ้นมาแล้วจึงพูดต่อ “ก็คู่ควรที่จะเจอกับผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกเรา”
ทันทีที่จูเนียร์พูดจบ เขาก็ได้ดีดตัวออกห่างจากจุดเดิม โดยที่ฮีโร่บรายนั้นไม่ได้พุ่งตาม แต่กลับจับจ้องไปที่ชายอีกคนที่อยู่กับแม็ค ผู้ชายผู้สวมหน้ากากหน้าตาประหลาดเดินออกมาจากจุดเดิม แทนที่เขาจะตกลงสู่พื้น ร่างเขากลับลอยว้างอยู่บนอากาศ เขาเลื่อนมือขึ้นไปจับหน้ากากซีกหนึ่งของเขา เมื่อเลื่อนลงหน้ากากส่วนนั้นกลับสลายหายไปเหลือเพียงครึ่งเดียว อีกทั้งยังทำให้ส่วนที่เหลือเปลี่ยนท่าทางเป็นยิ้มดั่งปีศาจ ส่วนใบหน้าภายในหน้ากากนั้นเป็นเพียงเด็กหนุ่มธรรมธาที่มีดวงตาสีฟ้า สวมชุดกันหนาวสีเขียวเข้ม ก่อนที่เขาจะเริ่มหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งยิ่งกว่าทุกๆคน
“ได้เวลาบรรเลงแล้วล่ะครับ..” ทันใดนั้นฝ่ามือที่เขาผายออกพลันปรากฏแผงวงจรสีฟ้าหน้าตาประหลาดออกมา แต่ในขณะเดียวกันนั้นเองหน่วยที่สองได้เคลื่อนที่กลับมาประจำที่เดิม ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ชายปริศนาแนะนำตัว “ผม..คราโอติค หรือที่ผู้คนเรียกผมว่า ‘Dark Mastermind’ นั่นแหละครับ”
อายเลส แจ็คที่ได้เห็นใบหน้าของเด็กหนุ่มผู้ที่ได้ชื่อว่าพลังมากที่สุดจากทั้งสามคนตะลึงงันทันที ก่อนจะตะโกนออกไป “คราย!!!”
“จะรับอะไรดีค่ะ..คุณลูกค้า” พนักงานเสิร์ฟสาวเดินเข้ามา พร้อมหยิบสมุดและดินสอพร้อมจดรายการ
“ชั้นขอสตอเบอรี่โยเกิร์ตกับแพนเค้กอย่างละ 1 ที่ค่ะ” ลูกค้าผู้เป็นหญิงสาวบอกรายการที่ต้องการกับพนักงานเสิร์ฟ “เอ่อ..เกือบลืม แพนเค้กน่ะไม่ต้องใส่ไซรัปนะค่ะ ใส่แยมองุ่นแทนนะค่ะ”
“แล้วคุณผู้ชายจะรับอะไรดีค่ะ” พนักงานเสิร์ฟกล่าวถามชายที่นั่งตรงข้ามกับลูกค้าอีกคนหนึ่ง
“ผมเอาไตปั่น..เอ้ย!ไม่ใช่! ผมเอากีวี่ปั่นกับเค้กสตอเบอร์รี่” แจ็คเกือบหลุดปากเรื่องที่เขากินไตเป็นอาหารจานหลัก จนเกือบจะแก้ตัวได้ไม่ทัน
“ขอทวนอาหารที่สั่งนะค่ะ” พนักงานเสิร์ฟได้กล่าวออกมา แล้วพูดต่อ “คุณผู้ชายสั่งกีวี่ปั่นกับเค้กสตอเบอร์รี่นะค่ะ ส่วนคุณผู้หญิงสั่งสตอเบอรี่โยเกิร์ตกับแพนเค้กใส่แยมองุ่นแทนไซรัปนะค่ะ”
ชายหญิงต่างพยักหน้า พนักงานเสิร์ฟจึงยิ้มตอบกลับแล้วเดินจากไป มันจึงเป็นเวลาที่ทั้งสองหันหน้าเข้าหากันอีกครั้ง แจ็คและนิน่าจ้องหน้ากันโดยไม่มีใครพูดหรือเปล่งเสียงใดๆออกมาเลย ทำให้บรรยากาศรอบกายในขณะนี้กำลังเงียบงันอย่างน่าตกใจ นิน่าที่ทนกับสภาพนี้ไม่ไหวจึงต้องเปิดประเด็นพูดขึ้นมาก่อน
“เออ..แจ็ค นายเป็นรุ่นแรกๆที่เข้าไปอยู่ในครีปปี้พาสต้าแฟมิลี่ใช่มั้ย” เธอถามขึ้นมา ทำให้บรรยากาศที่เคยเงียบงันกลับมามีเสียงได้อีกครั้ง
“เออ..มันก็ใช่นะ แต่ก็มาหลังหลายคนๆอยู่นะ น่าจะเกือบเป็นคนที่สิบเลยมั้ง ถ้านับผู้ก่อตั้งไปด้วย” แจ็คตอบกลับมา “แต่ถ้าไม่นับก็คนที่สามอ่ะนะ”
“ผู้ก่อตั้งครีปปี้พาสต้าแฟมิลี่เหรอ!?” หญิงสาวเอียงคอแล้วขมวดคิ้ว แสดงถึงอาการสงสัย “นอกจากมิสเตอร์ครีปปี้พาสต้าแล้วยังมีใครคนอื่นอีกเหรอ”
“มีอีกหลายคนนะ อย่างเช่น ครีปปี้ดาร์ก ฮาร์โบฮาร์ต ท่านหญิงชาว์โดเลิฟลี่ แล้วก็คนอื่นอีกสามสี่คน ผมจำชื่อไม่ได้เลยไม่ได้นับเข้ามา ส่วนอีกสามคนก็ได้เรียกว่าเป็นลูกของมิสเตอร์ครีปปี้พาสต้า ถึงแม้ว่าจริงๆแล้วจะไม่ใช่” แจ็คพูดอธิบายให้นิน่าฟัง เธอพยักหน้าขึ้นลง แต่ยังคงแสดงสีหน้าตั้งใจฟังอยู่ เขาจึงเล่าต่อไป
“ก็จะมีครีปแมกพาสต้ากับจูเนียร์ สองคนนี้ผมก็เคยรู้จักเมื่อนานมาแล้วแต่พวกเราไม่ค่อยได้เล่นด้วยกันเท่าไหร่ ผมเลยจำไม่ค่อยได้ แต่จำได้แค่ว่าครีปแมกพาสต้าจะชอบเอาแต่อ่านหนังสือตำรามากกว่าไปซุงซิงกับใคร ส่วนจูเนียร์ก็เป็นพวกบ้าพลัง”
“แต่คนที่ผมสนิทที่สุดในตอนนั้นก็น่าจะเป็นคราย ผมยังจำใบหน้าของเขาได้อยู่เลย” แจ็คพูดขึ้นแล้วยิ้มอย่างมีความสุข
“ใช่..คู่เกย์กันป่ะเนี่ย คิก..คิก” เด็กสาวพูดขึ้นด้วนสายตาที่ส่งมากับแจ็คอย่างมีเล่ห์นัยและปิดปากหัวเราะอย่างชั่วร้าย
“ไม่ใช่เฟ้ย! เป็นแค่เพื่อนสนิทกันก็แค่นั้นเอง” แจ็ครีบพูดแก้ต่าง
“ท่าทางมีพิรุธนะเราเนี่ย” นิน่าเริ่มคิดลึกไปไกล ก่อนที่เธอจะเข้าไปสู่โลกสีม่วงของเธอที่ได้ถูกเล่าต่อกันมา ไม่ว่าชายใดจะหล่อ แมน แฮนซั่ม หรือสุภาพบุรุษเพียงใด โลกภายในจิตใจของเธอแห่งนี้ทุกคนล้วนเป็นยอดชาย และถูกจิ้นกันไปมาจนถึงฉากระดับ เอ็กๆ วายๆ กันมากมาย แม้ว่าเธอจะไม่เคยเห็นครายมาก่อนแต่เธอก็ไม่สนใจ ดวงตาของเธอเริ่มพล่ามัวเพราะถูกภาพแห่งโลกสีม่วงครอบงำเอาไว้ เมื่อถึงจุดๆหนึ่งของฉากเอ็กๆวายๆ เลือดกำเดาของเธอก็ไหลออกมา
“นิน่า! นี่เธอจิ้นชั้นกับครายใช่มั้ย ออกมาจากโลกสีม่วงได้แล้วกลับมาสู่โลกแห่งความจริงหน่อย” แจ็คพยายามเรียกสติของแฟนสาวกลับมา แต่มันคงสายไปแล้วโลกสีม่วงได้ครอบงำเธออย่างเต็มพิกัด ไม่มีสิ่งใดจะหยุดเธอลงได้
‘ดีนะที่เธอไม่มีศิลานิมิต ไม่งั้นมีหวังเรากับครายได้กลายเป็นยอดชายสายเหลืองทั้งคู่แน่ๆ ไม่ๆ เราไม่ได้มีรสนิยมแบบชาย-ชาย อย่างเราต้องยูริ...ยูริบันไซ!!!’
“นี่..แจ็ก ครายเขาหน้าตาเป็นยังไงอ่ะ” นิน่าที่ได้หลุดพ้นจากโลกสีม่วงตอนไหนไม่มีใครรู้กระทั่งคนเขียน เธอถามคำถามบางอย่างแล้วยิ้มกรุ้มกริ่ม
“เอิ่ม..” อายเลส แจ็กกอดอกแสดงท่าทางครุ่นคิด “มันก็นานหลายสิบปีมาแล้วนะ..เท่าที่จำได้ ครายเป็นเด็กผู้ชายตัวเล็กผอม ผมสีน้ำตาลและตาสีฟ้าเหมือนลูกแก้วใสเรืองแสงเป็นสิ่งที่ชั้นจำได้ดีที่สุด”
“แล้วนิสัยใจคอล่ะ” นิน่าถามต่อ
“ครายจะเป็นคนที่ใจเย็นมาก ชอบช่วยเหลือคนอื่นและชอบแบ่งปัน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดที่เป็นเอกลักษณ์อันหนึ่งของเขา...รอยยิ้ม” แจ็กพูดจบ หญิงสาวที่นั่งฝั่งตรงข้ามกลับขมวดคิ้ว
“ถ้าเอกลักษณ์ของควาย เอ้ย..คราย คือรอยยิ้มแล้วมันต่างจากเจฟกับสมายตรงไหนทั้งสองคนนั้นก็มีรอยยิ้มเป็นเอกลักษณ์เหมือนๆกัน” นิน่าโต้แย้งเพื่อหาความจริง
“มันก็จริง แต่รอยยิ้มของครายมันแตกต่างออกไป..คนที่เห็นครายยิ้มจะรู้สึกว่าอยากจะมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ต่อไปเพื่อที่จะได้กลับมาเห็นรอยยิ้มที่เป็นมิตรและเต็มไปด้วยความสุขนี้อีกครั้ง” อายเลส แจ็กชี้นิ้วขึ้นฟ้าทำทีอธิบาย
“ขนาดนั้นเลยเหรอ..อวยไปป่ะเนี่ย” นิน่าแซวแจ็ก “มันก็ไม่แปลกหรอกนะ..คนที่คู่กันก็ต้องอวยกันอยู่แล้ว..อิอิ”
“เอาที่สบายใจเลยจ้ะ” ชายหนุ่มผิวเทาพูดประชด
“เออ ว่าแต่...” นิน่าแสดงท่าทางครุ่นคิด
“อะไรเหรอ” แจ็กถามหญิงสาวฝั่งตรงข้าม เพื่อที่จะรอแล้วตอบคำถามของเธอ
“เธอกับคราย ใครเป็นฝ่ายรุก..ใครเป็นฝ่ายรับ” นิน่าถามหน้าตาย แต่ภายในหน้ากากอนามัยปรากฏรอยยิ้มชั่วร้าย
“ยังไม่จบนะ” แจ็กทำเสียงเบื่อหน่าย “ถ้าชั้นกับครายน่ะไม่ใช่ทั้งคู่ แต่ถ้าผมกับคุณน่ะ..ผมรุกได้อย่างเดียวครับ”
“พูดอย่างนี้จะลากชั้นขึ้นเตียงล่ะสิ คิก..คิก” นิน่าปิดปากหัวเราะ
“ใช่” แจ็กตอบหน้าตายกลับคืน ทำให้นิน่าต้องอึ้งกับคำพูด
“เราเปลี่ยนเรื่องคุยกันดีกว่านะค่ะ” นิน่าพูดด้วยเสียงเรียบนิ่ง
“นิน่าอยากมีลูกกี่คน” แจ็กถามหน้าตายและใช้น้ำเสียงเย็นชา
“ขอโทษค่าาาาาาา! หนูจะไม่ล้อเล่นแบบนั้นอีกแล้วค่ะ” นิน่ายกมือขึ้นมาพนมตามธรรมเนียมประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้บางประเทศ
“แต่ชั้นพูดจริงๆนะ” แจ็กยังคงพูดหน้าตาย
“ฮือ..ฮือ แจ็กเก๊าก๋อโต้ด” นิน่าพนมมือขึ้นกลางหน้าผากไหว้ชายตรงหน้างามๆ
“เธอกลัวว่าผมจะลีลาไม่ดีใช่มั้ย..ไม่เป็นไรผมมีสิ่งนี้อยู่” ชายหนุ่มผิวเทาเอื้อมมือไปหยิบบางสิ่งในกระเป๋าสะพายข้างตัว เขาคว้าหนังสือเล่มหนึ่งกับขวดแก้วขนาดเท่าฝ่ามือขึ้นมาโชว์ต่อหน้าหญิงสาว เธอเบิกตากว้างทันทีที่ได้เห็นของทั้งสองสิ่ง “นี่หนังสือ 108 ทวงท่าภรรยา████ กับยา██ข้าม 7 ██”
ทันใดนั้นอากาศธาตุข้างกายของทั้งสองเริ่มบิดเบี้ยว แล้วจึงปรากฏคนที่ใครก็รู้ว่าเป็นใคร
"เลิกเล่นอะไรติดเรทสิบแปดบวกลบคูณหารได้แล้ว" ลอสต์พูดขึ้นอย่างร้อนรน
"เดี๋ยวได้ถูกแบนกันพอดี" แม้ว่านิน่าจะแสดงท่าทีงงงวย แต่แจ็คกลับไม่สนใจ
"ผมเล่นแค่มุขสิบแปดบวกเอง..ยังไม่ถึงขั้นลบคูณหารซะหน่อย" แจ็คเล่นมุขตอบกลับ
"อ่อ..อย่างนั้นไม่เป็นไร ถุ้ย!! จะบ้าเรอะ!!!" ลอสต์เริ่มจะไม่จริงจัง
"ก่อนที่ตัวชั้นจะเหลวไหลไปมากกว่านี้..." ชายในเสื้อกันหนาวมีฮู้ดสีดำที่ถูกทับด้วยเสื้อกาวเว้นระยะคำพูด
"ปกติก็เหลวไหลอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ..ไม่เห็นจะจริงจังเลยสักครั้ง" นิน่าพูดกระซิบกับแจ็ค..ประมาณนินทาโดยเจ้าตัวอยู่ข้างหน้า
"ข้าพเจ้าได้ยินนะขอรับ" ลอสต์ตอบกลับ
"ก็กะจะให้ได้ยินอยู่แล้วไง" นิน่าเมินหน้าทันที เมื่อเอ่ยจบ
"เฮ้อ..เอาเหอะ เดี๋ยวอีกสองชั่วโมง พวกนายสองคนต้องไปรวมตัวกันที่คฤหาสน์ ตรงเวลาด้วย สถานที่ที่พวกนายจะต้องบุกเข้าไปมีการแลกเวรยามที่ค่อนข้างต่อเนื่องและเร็วมาก ถ้าเข้าไปแบบสุ่มสี่สุ่มห้า..มีแค่ตายสถานเดียว" ทันทีที่ลอสต์จบการสนทนา เขาก็ได้ฉีกมิติจนเกิดเป็นรอยบิดเบี้ยว แล้วจึงเคลื่อนที่เข้าไปภายใน และอันตรธานหายไปทันใด
พนักงานมาเสิร์ฟอาหารที่ทั้งสองสั่งไว้ ทั้งสองเริ่มรับประทานมันอย่างเอร็ดอร่อย แต่ภายในใจอายเลส แจ็กกลับครุ่นคิดถึงข้อความที่ลอสต์ให้มาเมื่อไม่นานมานี้ พร้อมกับรูปภาพบุคคลปริศนาทั้งสามคน จนแสดงท่าทางมีพิรุธให้นิน่าได้เห็น
“นี่..แจ็ค เธอเป็นอะไรหรือเปล่าน่ะ” นิน่าถามแฟนหนุ่มของเธอในขณะที่กำลังเพลิดเพลินกับแพนเค้กที่ราดด้วยแยมองุ่น “ช่วงนี้ชอบทำท่าทางเครียดอยู่เรื่อยเลยนะ”
“อ่อ..เปล่าๆ ไม่มีอะไรน่ะ” คำพูดของแจ็คแทบดูไม่มีน้ำหนักเลย แต่สำหรับคนที่ไว้ใจในตัวของเขาอย่างนิน่า แม้สิ่งที่ชายหนุ่มผิวเทาคนนี้พูดมาจะเป็นคำพูดที่จะฟังดูคล้ายกับกำลังกลบเกลื่อนบางอย่าง เธอก็จำเป็นต้องไว้ใจ แม้บางส่วนจะนำสิ่งนั้นไปคิดก็ตาม “เอ้า! มากินกันเลยดีกว่า”
เวลาล่วงเลยไปกว่าหนึ่งชั่วโมงกับอีกห้าสิบนาที นิน่าและอายเลส แจ็คที่พึ่งกลับมาจากชานเมือง หลังจากการไปรับประทานอาหารและไปช็อปปิ้งในห้างมาหมาดๆได้เดินมาที่จุดศูนย์รวมของเหล่าครีปปี้พาสต้า นั่นคือใต้ต้นไม้ใหญ่บนสนามรอบข้างคฤหาสน์ พวกเขาทั้งสองต่างก้าวเดินอย่างช้าๆไปยังจุดนั้น ทำให้ได้เห็นเจฟและเจนที่กำลังพูดคุยกันอย่างเป็นมิตรมากกว่าปกติ เพราะไม่นานก่อนหน้านี้ทั้งสองต่างเป็นคู่กัดประจำคฤหาสน์ที่หากไม่ได้เกิดการทะเลาะกันหรือต่อสู้กันจะถือได้ว่าวันนั้นอาจเป็นวันที่มีฝนตกมาเป็นแวฟเฟิลทั้งวันแน่นอน
ส่วนสำหรับทางด้านของสเลนเดอร์ในร่างปกติของเขากำลังคุยกับมิสเตอร์ครีปปี้พาสต้าผู้เป็นเจ้าของสถานที่แห่งนี้และเป็นผู้ดูแลเหล่าครีปปี้พาสต้าเหล่านี้ทุกคน พวกเขาทั้งสองคุยกันในสิ่งที่ไม่น่าเดาออกยาก นั่นคือเรื่องแผนที่จะบุกเข้าไปในฐานของฝ่ายศัตรู สำหรับทั้งสองต่างเป็นครีปปี้พาสต้าในรุ่นแรกสุดที่พวกเขารู้จักหรืออาจเป็นรุ่นแรกสุดจริงๆ แต่สเลนเดอร์แมนนั้นไม่ได้อยู่ในยุคก่อตั้งของครีปปี้พาสต้าแฟมิลี่ แต่เป็นคนแรกที่เข้าร่วม ก่อนที่พวกของ Silent Hills จะตามมา และต่อด้วยเจฟ ตัวอายเลส แจ็คเอง และคนอื่นๆอีกมากมาย ชายหนุ่มผิวเทาไม่รู้เรื่องของเหล่าผู้ก่อตั้งครีปปี้พาสต้าแฟมิลี่มากนัก ถึงจะมีหนังสือประวัติของที่นี่ แต่เขาก็ไม่ใช่พวกที่ชอบอ่านหนังสือสักเท่าไหร่จึงไม่รู้เรื่องเหล่านี้อย่างแน่ชัด
อายเลส แจ็กที่เดินมาถึงบริเวณที่เจฟและเจนกำลังคุยกันอยู่ นิน่าก็แยกตัวออกไปหาแซลลี่ เด็กสาวนัยน์ตาสีเขียวในชุดราตรีนอนสีชมพูของเด็ก พร้อมกับตุ๊กตาหมีตัวเล็กของเธอ ส่วนใหญ่เราจะไม่ค่อยได้เห็นเธอใช่พลังของเธอสักเท่าไหร่ เพราะเธอยังคงเด็กเกินไปและยังควบคุมพลังของตนเองไม่ได้มาก แต่พลังของเธอนั้นจะเป็นการควบคุมเลือด และเปลี่ยนพวกมันตามจินตนาการของเธอ แต่ด้วยความเป็นเด็กน้อยวัยใส เธอสร้างได้เพียงตุ๊กตาและลูกกวาด เธอยังเด็กเกินไปที่ควรจะเห็นอาวุธและการเข่นฆ่าและต่อสู้กัน แต่ยังไงวันนั้นก็ต้องมาถึง แม้จะรู้ทั้งรู้ แต่พวกเขาก็พยายามจะให้วันนั้นมาถึงช้าที่สุด
ส่วนสมาชิกคนสำคัญอีกพวกหนึ่งถึงแม้จะเป็นคนใกล้ตัว แต่ด้วยความที่เขามีชื่อเสียงมากในทางอินเทอร์เน็ต ก็คงยากที่แจ็คจะไม่มองไปทางผู้ติดตามทั้งสามแห่งสเลนเดอร์ หรือ Slender’s Proxy ซึ่งประกอบไปด้วยมาสกี้ ฮู้ดดี้ และทิกกิ โทบี้ โดยตามความจริงแล้ว ผู้ติดตามของสเลนเดอร์แมนนั้นมีเพียงสองคนคือ มาสกี้กับฮุ้ดดี้ แต่การที่สเลนเดอร์แมนพาโทบี้มาอยู่ที่คฤหาสน์ครีปปี้พาสต้าแห่งนี้ กลับมีคนให้ความสนใจถึงการปรากฏตัวของสเลนเดอร์แมนในครั้งนั้น ทำให้ทุกคนเกิดคิดว่าโทบี้อาจมีความสำคัญต่อสเลนเดอร์แมนอยู่ในระดับหนึ่งจนชายไร้ผู้นี้จำเป็นต้องยอมปรากฏตัวไปรับเขามา แจ็ครู้จักโทบี้มาเป็นเวลานานพอๆกับที่เขารู้จักมาสกี้และฮู้ดดี้ โทบี้เป็นคนที่ค่อนข้างหยาบคาย แต่รู้ว่าเวลาไหนควรพูดอะไร แม้บางคำพูดจะไม่ทันได้คิด แต่เมื่อเขาได้อยู่กับนาตาลีหรือคล็อกเวิร์ค แฟนสาวของเขา คำพูดสบถของเขาจะหายไปหมดสิ้น เหลือเพียงแต่คนขี้เล่นและสุขุมเท่านั้น ในขณะที่อีกสองคนอย่างมาสกี้และฮู้ดดี้ที่ค่อนข้างจะไม่สุงสิงกับใครจนดูมีความลึกลับ มาสกี้เป็นคนที่ค่อนข้างเงียบขรึมจะไม่พูดถ้าไม่จำเป็น มีร่างกายแข็งแรงระดับผู้ชายคนหนึ่ง แต่ความสามารถที่เด่นที่สุดของเขาคือการจับตามองและค้นหาใครบางคนได้อย่างง่ายดาย ซึ่งความสามารถนี้ทำให้ฮู้ดดี้ที่มีความสามารถในการตามสตอร์คระดับสูงที่สุดในเหล่าครีปปี้พาสต้าทุกคน สามารถประสานการทำงานได้อย่างเป็นทีมเวิร์ค โดยฮู้ดดี้นั้นเป็นคนที่ไม่พูดเลย แม้กระทั่งการได้ยินเสียงของเขายังแทบเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ อายเลส แจ็คนั้นยังคงคาใจกระทั่งว่าฮู้ดดี้เป็นใบ้หรือเปล่า เพราะแม้แต่การไอหรือจามยังแทบไม่ได้ยินเสียง เพียงแสดงออกท่าทางซึ่งเกิดขึ้นค่อนข้างบ่อยครั้ง นั่นแสดงให้เห็นว่าฮู้ดดี้เป็นคนที่ค่อนข้างอ่อนแอมากและอาจเป็นคนที่อ่อนแอที่สุดในเหล่าครีปปี้พาสต้าเลยด้วยซ้ำ ขนาดแซลลี่ที่เป็นเด็กยังมีภูมิคุ้มกันโรคที่ดีกว่าฮู้ดดี้เลย
เป๊งงง!!!...เป๊งงง!!!...เป๊งงง!!! เสียงของระฆังบนจุดที่สูงสุดของคฤหาสน์ดังขึ้น บ่งบอกถึงว่าช่วงเวลานี้เป็นเวลาที่เข็มยาวกลับมายังเลข 12 อีกครั้ง แต่อีกแง่มุมนั้น..มันบอกถึงเวลาของการต่อสู้ได้มาถึงแล้ว ทุกคนที่นั่งพักผ่อนกันอยู่บริเวณต่างรีบเคลื่อนไหวมายังต้นไม้ต้นใหญ่ทันที ใช้เวลาไม่นานนักทั้งหมดก็เข้ามารวมในจุดเดียวกัน แล้วมิสเตอร์ครีปปี้พาสต้าและสเลนเดอร์แมนก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าพวกเขา
ชายผิวสีฟ้าผู้สวมใส่เครื่องช่วยหายใจที่มีสายรยางค์เต็มไปทั่ว แลดวงตากลมโตของเขาไปที่เหล่าครีปปี้พาสต้าคนอื่นๆ ก่อนจะเริ่มพูดบางอย่างออกมา
“ผมขอพูดบางอย่างก่อนที่เราจะเริ่มทำในสิ่งที่เราได้รับมอบหมาย” ชายผิวฟ้าได้เอ่ยออกมา โดยข้างเขามีสเลนเดอร์แมนผู้มีความสูงที่ไม่แน่นอน บ้างก็ว่าราวสองเมตรครึ่ง บ้างก็ว่าสามเมตร บ้างก็ว่าห้าเมตร หรืออาจไปจนถึงขั้นเก้าเมตรสิบเมตรเลยก็มี แต่จากระยะสายตา ส่วนใหญ่เขาจะอยู่ในระดับความสูงสี่เมตรเท่านั้น แต่ก็เคยมีครั้งที่เขาเคยสูงกว่ายี่สิบเมตรก็มี
“ผมขอบอกบางสิ่งที่ผมได้ปิดบังพวกคุณอยู่เรื่องหนึ่ง”
“พวกคุณคงจะทราบกันดีในเรื่องการเห็นนิมิตของผม” ชายสูงอายุผู้มีพลังจิตได้กล่าวเกริ่นนำ “ก่อนหน้านี้ไม่กี่เดือน ผมได้ฝันเป็นนิมิตเห็นถึงมหาวิบัติของโลก เหล่าพวกมนุษย์ถูกชักจูงและบงการให้อยู่ภายใต้อาณัติของคนชั่วที่ชื่อ ‘แบล็ก’ ในนิมิตของผมนั้นได้เห็นถึงเรื่องราวและการสูญเสียมากมายบนโลก..จนในวันสุดท้ายก็มาถึง”
มิสเตอร์ครีปปี้พาสต้าหยุดเล่าลง ก่อนจะเรียกสเลนเดอร์แมนเพื่อบอกบางสิ่งกับเขาไป เมื่อรับรู้ถึงเรื่องที่ชายผิวฟ้าขอแล้ว สเลนเดอร์ก็โค้งตอบรับแล้วจึงวาร์ปไปอยู่ข้างหลังของเหล่าครีปปี้พาสต้าที่ยังคงเป็นเด็กอยู่ อย่างแซลลี่ ก่อนจะใช้มือทั้งสองสัมผัสไหล่บนร่างน้อยของทั้งสองและอันตรธานหายไป เมื่อทุกคนที่หันไปมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นไปนั้นก็หันกลับมาดังเดิม พร้อมรับฟังคำพูดของมิสเตอร์ครีปปี้พาสต้าต่อไป
“พวกมันทำลายล้างเมืองทั้งหมด..นำมนุษย์มาล้างสมองให้มาเป็นทาสของพวกมัน พวกของแบล็กค้นพบและกำจัดพวกเราไปบางส่วน ส่วนที่เหลือก็หลบหนีออกมาได้..แต่เมื่อพวกเราได้เห็นโลกความเป็นจริงภายนอก ก็ได้เพียงแต่พบกับความสิ้นหวัง คิดได้เพียงว่าไม่มีทางหนีรอดจากมันไปได้อย่างแน่นอน”
“พวกเราทั้งหมดจึงตัดสินใจต่อสู้กับมัน..ในศึกสุดท้าย เรากำจัดเหล่ามนุษย์ที่หลงผิดไปมากมายนับไม่ถ้วน ฝนเลือดกระจายไปทั่วพื้นที่ แอ่งเลือดและซากศพเต็มพื้นที่ ผมที่พลาดท่าโดนผลพวงจากการระเบิด ทำให้ถูกซากตึกพังลงมาทับท่อนล่างจนขยับไม่ได้ แต่พวกคุณก็ยังคงสู้ต่อไป แต่...” ชายผิวสีฟ้าเริ่มมีเหงื่อไหลรินทั่วร่างกาย จิตใจนั้นสั่นไหวดั่งเกิดการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ คล้ายกับความทรงจำที่ไม่ต้องการนึกถึงได้หวนกลับมา “แบล็กนั้นไม่ใช่คนธรรมดา..มันทำเพียงแค่คลื่นสึนามิวิญญาณด้วยคำพูดไม่กี่คำ ทำให้พวกเราเกือบทั้งหมดถูกกวาดไปพร้อมกันและสลายหายไปพร้อมกันกับลูกคลื่น สเลนเดอร์แมนที่ตกใจกับเรื่องนั้นได้แต่นิ่งอึ้งจนเมื่อรู้สึกตัวอีกที ซัลโก้ผู้เป็นอมตะก็ถูกกำจัดลงอย่างง่ายดาย”
“ในช่วงก่อนที่มันจะฆ่าคุณสเลนเดอร์แมนด้วยการเรียกดาบดูดวิญญาณจากบทเวทย์มนตร์ภาษาละติน แซลลี่และสมายก็พุ่งเข้ามารับแทนที่ ร่างของเธอทั้งสองสลายหายไป และนั่นทำให้คุณสเลนเดอร์แมนโกรธจัด อารมณ์ท่วมถ้นบดบังสติสัมปชัญญะจนหมดสิ้น ทำให้นั่นเป็นไปตามแผนของแบล็ก และทำให้เขากำจัดคุณสเลนเดอร์แมนได้อย่างไม่ยากเย็น”
“พวกคุณรู้มั้ยครับ..ทุกครั้งที่ผมได้นอน นิมิตนี้จะแสดงให้ผมเห็นทุกครั้งย้อนไปย้อนมากว่าสิบรอบ” มิสเตอร์ครีปปี้พาสต้าถอนหายใจ เพื่อให้ตัวเขาผ่อนคลายลง
“แต่หลังจากที่พวกเราได้พบกับลาอ้อนและริกะ นิมิตที่ผมได้เห็นจนติดตากลับมีการเปลี่ยนแปลงขึ้น” บุรุษผู้มีผิวสีฟ้าพูดออกมาอย่างมีความหวัง “ผมไม่รู้หรอกนะครับว่ามันเป็นเพราะคุณลาอ้อนเป็น Reality Bender หรือเปล่า”
“ภาพต่างๆที่ผมเคยเห็นถูกเปลี่ยนแปลงไปในหลายๆด้าน และยิ่งหลังจากที่เราได้เจอไอโอน่าและคุณลอสต์ เซเคร็ต นิมิตที่ผมเคยได้เห็นก็ได้เปลี่ยนไปจนหมด เหมือนกับเทปคนละตลับ”
“ในอนาคตข้างหน้า ผมเชื่อมั่นว่ามันจะต้องดีกว่านิมิตเก่าของผมอย่างแน่นอน”
“ดังนั้นผมขอให้ทุกคนคิดว่าที่พวกเราจะไปทำต่อไปนี้..ไม่ได้เป็นการทำเพื่อทำตามคำสั่งของผม หรือเพราะทำเพื่อใครบางคน ผมขอให้ทุกคนเชื่อว่าสิ่งที่เรากำลังจะไปทำต่อไปนั้น..ทำเพื่อพวกเราและมนุษย์ทุกคนไม่ให้ถึงจุดดับสูญในอนาคต” ทันทีที่มิสเตอร์ครีปปี้พาสต้าพูดจบลง ทุกคนที่นั่งฟังพลันส่งเสียงเฮฮาขึ้นทันใด พวกเขาทุกคนต่างเห็นด้วยกับชายผิวฟ้าและเริ่มเตรียมตัวจะไปทำภารกิจที่ได้รับ
“สำหรับพวกเด็กๆ ผมจะให้พวกเขาอยู่ที่คฤหาสน์นะครับ..อย่างน้อยก็จะได้ไม่ได้อันตรายจากการต่อสู้” สเลนเดอร์แมนพลันปรากฏขึ้นด้านหลังของมิสเตอร์ครีปปี้พาสต้า ทุกคนหันกลับมารับฟังก่อนจะพยักศีรษะรับทราบ แล้วเตรียมการไปต่อสู้ที่สถานที่ลับของแบล็ก
“มิลโร่ เบนครับ..พวกคุณก็ด้วยนะครับ” สเลนเดอร์แมนมองไปที่เด็กสาวผมดำและเด็กชายผมบลอนด์ โดยผู้ถูกมองได้มองสวนกลับไป
“โฮ่..อดไปสู้พร้อมกับพ่อแม่เลยอ่ะ” เด็กสาวทำแก้มป่องแล้วเอ่ยถามสเลนดี้ “หนูก็อายุต่างกับพ่อแม่ไม่กี่ปีเองนะ..ทำไมหนูถึงไปไม่ได้ล่ะ”
“ผมก็เหมือนกันนะ..สเลนดี้ ทำไมผมถึงไม่ได้ไปล่ะครับ” เบน ดราวน์กล่าวออกมาด้วยความสงสัย
“ก็พวกเธอยังอายุไม่ถึง 18 ปีเลยนะครับ..ผมคงจะอนุญาติให้ไปไม่ได้นะครับ” สเลนเดอร์มนตอบคำถามของทั้งสอง
“แล้วทำไมคุณสมายล์ถึงไปได้ล่ะค่ะ” มิลโร่ถามกลับอีกครั้ง และเบนมีท่าทางเห็นด้วยกับคำถามของเธอ
“ข้อหนึ่งเขามีความสามารถในการดมกลิ่นจะช่วยได้มากในการทำภารกิจ ข้อสองเขามีอายุมากกว่า 18 ปีถ้าเทียบกับอายุมนุษย์ และข้อสาม...” สเลนเดอร์แมนเว้นช่วงคำพูด “เขาเป็นสุนัขนะครับ”
“โห..อดไปจริงๆด้วย” ทั้งสองคอตกก่อนจะเดินกลับไปในคฤหาสน์ แต่ในระหว่างนั้นมิลโร่เกิดข้อสงสัยบางอย่าง
“ว่าแต่นายอายุเท่าไหร่น่ะ..เบน” สาวน้อยเอ่ยปากถามเด็กหนุ่ม
“ผมน่ะเหรอครับ..” มิลโร่พยักหน้าตอบรับด้วยรอยยิ้ม “ถ้าตามอายุจริงๆของผมก็จะอยู่ที่ประมาณ 29 น่ะครับ”
“นี่นายแก่ขนาดนั้นเลยเหรอนั่น..” มิลโร่แสดงท่าทีประหลาดใจ “แล้วทำไมถึงไม่ได้ไปร่วมต่อสู้ด้วยล่ะ”
“ก็กว่าผมจะปรากฏตัวขึ้นมาเป็นรูปเป็นร่าง ก็ล่อไปเกือบสิบห้าไปแล้วน่ะครับ” เบน ดราวน์พูดพร้อมกับคอตก “ดังนั้นอายุของผมที่ทุกคนรับรู้ก็คือ 12 ปีน่ะครับ”
“งั้นชั้นก็เป็นพี่สาวน่ะสิ..ชั้นอายุมากกว่า 3 ปี” สาวน้อยแสดงท่าทางดีใจ “ไหนลองเรียกเค้าว่า ‘พี่สาว’หน่อยสิคะ”
“เอ่อ..พะ..พี่” เบนแสดงท่าทางเขินอายออกมา “พี่สาว..”
“ว้ายยย! น้องเบน..น้องชายของเค้า” มิลโร่โผเข้ากอดเด็กหนุ่มทันใด แต่ด้วยความสูงที่แตกต่างกัน ใบหน้าของเบนจึงไปอยู่ที่หน้าอกของมิลโร่แทน แล้วทั้งสองก็เดินเข้าไปในคฤหาสน์ในที่สุด ปล่อยให้สเลนดี้อมยิ้มอย่างมีความสุข..แม้ว่าเขาจะไม่มีปากก็ตาม ชายไร้หน้าเห็นดังนั้นก็ได้เดินออกมา แล้วไปรวมกลุ่มกับคนอื่นเพื่อพูดคุยกันก่อนเริ่มภารกิจ
เวลาผ่านไปกว่า 1 ชั่วโมง ทุกคนก็ได้เข้าสู่สถานที่ที่ตนเองต้องทำภารกิจ ในส่วนฝ่ายโจมตีที่มีฮีโร่บรายเป็นหัวหน้าได้เข้าแทรกซึมจนอยู่หน้าฐานของแบล็กสำเร็จแล้ว ส่วนทางด้านฝั่งเฝ้ามองและสนับสนุนนำโดยอายเลส แจ็คนั้นได้ทำการสังเกตการณ์อยู่บนตึกในบริเวณใกล้เคียง และหัวหน้าทั้งสองส่วนได้รับการสนับสนุนทางความคิดจากฝั่งของมิสเตอร์ครีปปี้พาสต้าที่อยู่ภายในคฤหาสน์
เจฟและคนอื่นกำลังนั่งซุ่มในพงหญ้าอย่างแนบเนียนเพื่อดูการเคลื่อนไหวของศัตรูที่มีจำนวนมาก เจฟและโทบี้ต่างมองไปที่เหล่าผู้คุมหน้าศูนย์บัญชาการลับ ก่อนจะหันมาเปิดบทสนทนากับคนอื่นๆด้วยเสียงเบา
“จะเอายังไงกันดี..พวกมันมีไม่ต่ำกว่า 20 แน่ๆ” เจฟพูดออกมา โดยหันหน้าไปทางหัวหน้ากลุ่มผ่ายโจมตี ฮีโร่บราย
“เราบุกเข้าไปไม่ดีกว่าเหรอ..คนแค่นี้ไม่ตึงมือชั้นหรอกนะ” โทบี้ยิ้มที่มุมปาก ก่อนจะเลื่อนแว่นตากันลมสีเหลืองส้มกับผ้าปิดปากลายซี่ฟันคมกริบขึ้นมาสวมใส่
“โทบี้!” คล็อกเวิร์คหันไปหาโทบี้ด้วยท่าทางเป็นห่วง ในขณะเดียวกันคล็อกเวิร์คก็ได้มองไปทางเจฟและเจนที่อยู่ในลักษณะเดียวกับเธอและทิกกิ โทบี้ นั่นทำให้เธอต้องยิ้มให้กับความสัมพันธ์ของทั้งสองที่ดีขึ้น
“ข้าว่าอย่ามุทะลุบุกเข้าไปเลยดีกว่านะ..” ฮีโร่บรายกล่าวตักเตือนด้วยน้ำเสียงที่สุขุมและเรียบนิ่ง “เราควรจะหลอกล่อพวกมันไปทางอื่นจะดีกว่า”
“นี่! ลุง..” ลาอ้อนเรียกชายผู้มีพลังสูงที่สุดในขณะนี้ “พวกเราก็มีมือมีเท้า..ทำไมไม่จัดการพวกนั้นให้สิ้นซากไปเลยล่ะว่ะ”
“นั่นเป็นเพราะภายในสถานที่นี้อาจมีทหารคนอื่นอยู่อีก” ฮีโร่บรายยังคงพูดด้วยน้ำเสียงที่สุขุมเช่นเดิม “และที่สำคัญข้าเชื่อว่ามันมีสิ่งที่สามารถเอาชนะเราทุกคนได้”
“แม้ว่าข้าจะอมตะและคงกระพันเพียงใด..ข้าก็ยังสามารถล้มได้ แล้วเจ้าที่เป็นเพียงผู้มีพลังบิดเบือนความจริงที่เจ้าพวกนั้นมีสิ่งที่เอาชนะเจ้าได้อย่างง่ายดายอยู่เป็นจำนวนมาก..เจ้าคิดเรอะว่าเจ้าจะสู้กับทั้งหมดได้”
คำพูดของชายผู้นี้ทำให้ลาอ้อนเกิดฉุกคิดขึ้นมาทันใด ก่อนที่เขาจะยอมรับวิธีการของฮีโร่บรายในที่สุด ทุกคนที่ได้ฟังจึงยอมรับและเตรียมการเริ่มทันที
“ก่อนที่พวกเราจะเริ่มข้าขอ..” ของเหลวบางสิ่งไหลเข้ามาใต้พงหญ้าอย่างน่าประหลาดใจ กลิ่นของมันถูกปล่อยออกมาและเป็นที่คุ้นเคยของหลายๆคน และ..มันมีสีแดง
“เลือดนี่มาจากไหนเนี่ย” เจฟพูดออกมาก่อนจะฉุกคิดได้ว่าในบทสนทนาเมื่อสักครู่นี้ ขาดใครบางคนไป เขารีบยืดตัวขึ้นมามองบนพงหญ้าทันที คนอื่นๆจึงยืดตัวตามเขาเช่นกัน
ฟ้าว!!! ใบมีดขนาดใหญ่ถูกฟาดใส่เหล่าผู้คุมอย่างไร้ความปราณีโดยหญิงสาวผู้เงียบขรึม รอยแผลขนาดใหญ่ถูกประทับบนร่างของผู้คุมมากมาย บ้างก็ถูกตัดศีรษะจนขาดสะบั้น บ้างก็ถูกผ่าร่างจนขาดเป็นสองท่อน ผู้ที่พยายามจะติดต่อเข้าไปขอความช่วยเหลือกลับถูกตะขอที่ติดกับโซ่ดึงร่างเข้าหาเธอและถูกใบมีดยักษ์ที่ยาว 2 เมตรและกว้างเกือบ 1 เมตรแทงทะลุร่าง ก่อนจะนำมีดเล่มยักษ์นั้นฟาดใส่กลางร่างจนขาดครึ่ง เหล่าศัตรูที่มีจำนวนกว่า 20 คนถูกกำจัดจนเหลือเพียงกองเลือดและศพที่น่าสยดสยองเท่านั้น
เจฟและคนอื่นๆต่างใช้มือกุมหน้าผากทันที ในขณะที่ลาฟฟิ้ง แจ็คกลับยิ้มขำในท่าทางของทุกคน ส่วนฮีโร่บรายนั้นถอนหายใจออก แล้วจึงเดินไปหาบุชเชอร์ชาย
“เธอทำได้ดีมาก..สาวน้อย” ชายผู้สวมเสื้อยืดสีฟ้าและกางเกงขาวยาวสีน้ำเงินกล่าวชมเชยหญิงสาวผู้ทำลายเหล่าผู้คุมทั้งหมดด้วยตัวคนเดียว
หญิงสาวผมชมพูอ่อนหันมาหาเขา พร้อมกับทอดสายตาที่ไร้ชีวิตไปหาบุรุษผู้แข็งแกร่ง เมื่อเธอได้เห็นดวงตาที่ขาวโพลนของฮีโร่บรายเธอก็รีบหันหน้ากลับมาทันที
“ขอบคุณค่ะ..” น้ำเสียงอันไพเราะ แต่กลับไร้ชีวิตชีวาถูกส่งออกมาด้วยเสียงที่เบาจากปากของบุชเชอร์ชาย
“งั้นก็อย่ารอช้าอยู่เลย..” ฮีโร่บรายพูดขึ้นก่อนที่ทุกคนจะมุ่งหน้าไปที่ประตูของศูนย์นี้ โดยก่อนที่ฮีโร่บรายเขาก็ได้ใช้พลังของเขาลบร่องรอยการต่อสู้ทั้งหมด สลายซากศพ คราบ และกลิ่นเลือดออกไปจนหมด แล้วจึงตามคนอื่นๆไป
ทั้งหมดต่างเตรียมตัวก่อนจะยืนยันสถานะของทุกคนอย่างพร้อมเพรียง เมื่อทั้งหมดยืนยันเสร็จสิ้น ฮีโร่บรายนั้นเตรียมจะเปิดประตูเข้าไปภายใน กลับมีผู้คุมสองคนจากมุมตึกเข้ามาเห็นพวกเขาทั้งหมดแล้วเตรียมจะเรียกกำลังเสริมที่จะทำให้ฝ่ายโจมตีที่ไม่ได้ตั้งตัวต้องตึงมืออีกครั้ง
ชิ้ว!!! เสียงบางอย่าพุ่งตรงเข้ามาและยิงทะลุกระโหลกของผู้คุมคนแรกและปลิดชีวิตเขาอย่างรวดเร็ว เมื่อผู้คุมคนที่สองเห็นดังนั้นจึงรีบเรียกเครื่องมือสื่อสารออกมาเพื่เรียกกำลังเสริม แต่ทันใดนั้นเองร่างของหญิงสาวผู้หนึ่งกลับปรากฏอยู่ตรงหน้าผู้คุมที่เหลือรอด เธอใช้มือปัดเครื่องมือสื่อสารจากมือของเขาทิ้งและกระทืบใส่จนแหลกละเอียด ผู้คุมเตรียมหยิบปืนขึ้นมาโจมตีใส่นิน่า แต่เธอกลับปามีดออกไปกระแทกใส่ปืนพกบนมือเขาจนร่วงหล่นลงมา ผู้คุมผู้ไร้ทางสู้ได้แต่ยืนอย่างหวาดกลัวและรอความตายที่จะได้รับ นิน่าพุ่งเข้าไปข้างหน้า ก่อนจะกระโดดหมุนตัวและเตะก้านคอของผู้คุมคนนั้นจนสลบนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น ก่อนที่เธอหันหน้ามายิ้มให้กับฝ่ายโจมตี
“ท่าเตะก้านคอของชั้นใช้ได้มั้ยล่ะเจน..” นิน่ายิ้มกว้างด้วยความภูมิใจไปทางเจน
“ถึงจะลีลามากไปหน่อย..แต่ถือว่าดีมากเลยล่ะ” เจนกล่าวชมกับการโจมตีของนิน่า
นิน่าเองก็ยิ้มกลับก่อนจะกระโดดเหยียบถังขยะและปีนขึ้นไปบนตึกสูงใกล้เคียงทันที ซึ่งบนสุดนั้นมีฝ่ายสนับสนุนอยู่ด้านบน ที่นำโดยอายเลส แจ็ค และในเหล่าฝ่ายโจมตีก็ได้รับรู้ว่าผู้ที่โจมตีผู้คุมคนแรกนั้นคือเพื่อนจากมิติที่สองของลอสต์ เขาถือปืนสไนเปอร์ก่อนจะยกมือขึ้นมาทำความเคารพกับฮีโร่บราย แล้วฝ่ายสนับสนุนก็ได้เดินออกไปจากสายตาของทุกคนไป เมื่อเสร็จสิ้น ฮีโร่บรายก็เปิดประตูบานนั้นออกทันที และพวกเขาก็ได้เดินเข้าไปสู่ภายในที่มีเพียงแต่ความมืด และไม่นานนักหลังจากที่ทุกคนเข้ามาสำเร็จ ประตูบานใหญ่กลับถูกปิดด้วยความเร็วสูงอย่างน่าประหลาดใจ ฝ่ายโจมตีถูกความมืดรายล้อม ดวงตาของพวกเขาไม่สามารถมองเห็นสิ่งใดได้แม้แต่น้อย แต่ทันใดนั้นเองแสงสว่างพลันปรากฏจากหลอดไฟบนเพดานอย่างรวดเร็ว นั่นทำให้พวกเขาได้ทราบว่าสถานที่ที่พวกเขาย่างกรายเข้ามานั้นคือโกดังที่ว่างเปล่า
เสียงปรบมือดังอย่างต่อเนื่องขึ้นจากบริเวณฝั่งตรงข้ามกับที่พวกเจฟอยู่ พวกเขาทอดสายตาไปทันใด ทำให้เขาได้พบกับชายปริศนาผู้สวมสูทปลายยาวที่ทับเสื้อเชิ้ร์ตสีขาวและมีหน้ากากรูปร่างแปลกประหลาดปิดบังใบหน้าครึ่งนึง เหลือเพียงปากที่ปรากฏออกมา ทุกคนหยิบอาวุธของตนขึ้นมา ในขณะที่ลาอ้อนและเจนแสดงท่าทีตั้งการ์ดเตรียมรับการโจมตี ส่วนฮีโร่บรายกลับยังคงยืนนิ่งเช่นเดิม
“ช่างน่าประทับใจเสียจริง..” ชายปริศนากล่าวชม แล้วได้หัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง “น่าประทับใจมากน่าประทับใจมาก...”
“น่าประทับใจจริงๆ...” ชายปริศนาหยุดปรบมือและการหัวเราะลงอย่างฉับพลัน ก่อนจะแสยะยิ้มออกมา “..ที่ยกพวกมาตายถึงที่”
เมื่อเอ่ยปากจบ ชายปริศนาได้ล้วงเข้าไปในกระเป๋าแล้วนำหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมา เขาเปิดมันออกอย่างรวดเร็วแล้วจึงเริ่มเอ่ยบางอย่างออกมา
“จงตื่นขึ้นมาเหล่าอสูรของข้า..” ชายปริศนาผายมือออกไปข้างหน้าของตนก่อนจะกำมือแน่น
พื้นด้านหน้าของเขาพลันปรากฏควันสีม่วงดำขึ้น ก่อนที่บางสิ่งจะผุดขึ้นมาจากพื้นนั้น เหล่าอสูรหน้าตาแปลกประหลาดปรากฏขึ้นมาจากพื้นโกดังเป็นจำนวนมาก พวกมันขู่คำรามทันทีที่ถูกอัญเชิญออกมาสำเร็จ ชายปริศนาที่เดิมอยู่บนพื้นรีบดีดตัวขึ้นไปอยู่ด้านบนของระเบียงด้านหลังของตน แล้วจึงโค้งให้กับศัตรู
“โทบี้!” เจฟหันไปหาโทบี้ ก่อนที่ทั้งสองจะพยักหน้าตอบรับ แล้วพวกเขาจึงวิ่งออกข้างหน้าทันที
เจฟนั้นก้มตัวลงคุกเข่า ส่วนโทบี้ที่วิ่งอยู่ทางด้านหลังเห็นดังนั้นจึงปล่อยขวานสั้นของเขาออกมาแล้ววิ่งขึ้นไปเหยียบหลังของเจฟที่ก้มตัวลงอยู่ เขาดีดตัวขึ้นสู่ท้องฟ้า แล้วจึงได้ปาขวานคู่ของเขาไปที่เหล่าอสูร เมื่อมันเข้าไปติดกับลำตัวของอสูรเหล่านั้น ชายหนุ่มพลันกดกลไกดึงให้ตัวเขาพุ่งเข้าไปหาขวานในทันใด เขาพุ่งตัวลงมาถีบขาคู่ใส่อสูรเหล่านั้นทันที
คนอื่นๆที่เห็นการเปิดการโจมตีของทิกกิ โทบี้ก็ได้เข้าร่วมการต่อสู้ในทันที ยกเว้นแต่ฮีโร่บรายที่ยังคงยืนอยู่กับที่ เขากดเข้าไปที่เครื่องมือสื่อสารระยะไกล ระบบเกิดการประมวลผลและส่งเข้าช่องการสื่อสารของหน่วยที่สามทันที
“นี่..ข้าเอง ฮีโร่บราย” ชายผู้มีพลังมหาศาลเปิดบทสนทนากับผู้ฟังจากอีกฟากหนึ่ง
“รายงานมาเลยครับ..” ชายไร้หน้าตอบรับการสื่อสารของชายผู้มีตาสีขาวโพลน
“ตอนนี้พวกเราได้เจอกับเป้าหมายแล้ว..และเรากำลังถูกโจมตี” ฮีโร่บรายเอ่ยออกมาด้วยเสียงอันเรียบนิ่ง ไม่ตื่นตระหนกแม้แต่น้อย
“ต้องการความช่วยเหลือมั้ยครับ” สเลนดี้ตอบกลับมาอีกครั้ง
“พวกเราต้อ....” ยังไม่ทันที่ฮีโร่บรายจะได้กล่าวอะไรต่อ พื้นโกดังพลันระเบิดออกทันใด ซึ่งนั่นเป็นผลมาจากการโจมตีของเจนที่ต้องพลาดไปโดนพื้น อสูรร้ายพยายามที่จะโจมตีเธอ แต่กลับถูกเธอสวนกลับด้วยการม้วนตัวเสยคางจนลอยทะลุหน้าต่างโกดังไป ก่อนที่เธอจะม้วนตัวกลับมายืนดังเดิม และเริ่มโจมตีเหล่ากองทัพอสูรอีกครั้ง โดยการโจมตีของเธอนั้นสร้างความเสียหายมากกว่าคนอื่นๆ รวมกันหลายเท่า ฮีโร่บรายเห็นดังนั้นก็ยิ้มกริ่มแล้วตอบกลับไป “คงไม่ต้องแล้วล่ะ..”
“ในเมื่อพวกเรามีพยัคฆ์สาวผู้นี้อยู่” ฮีโร่บรายขำก่อนจะปิดบทสนทนาลง “หากมีอะไรเปลี่ยนแปลงไป..ข้าจะสื่อสารเจ้าไปอีกครั้ง”
“ครับคุณฮีโร่บราย” สเลนดี้ตอบกลับก่อนที่ฮีโร่บรายจะกลับมาโฟกัสที่การต่อสู้อีกครั้ง ซึ่งในขณะนี้เหล่าอสูรที่เคยมีอยู่จำนวนมากเริ่มหายไปจนสามารถนับจำนวนได้
“ช่างเก่งกล้าเสียจริงนะ..” ชายปริศนาแสยะยิ้มออกมา แต่แล้วอสูรตนหนึ่งพลันพุ่งสวนกับร่างของเขาไปอย่างรวดเร็วก่อนจะทะลุออกไปนอกโกดัง ชายหนุ่มผู้นี้มองไปที่ต้นตอของการโจมตีอันรุนแรงนี้ นั่นทำให้เขาได้พบกับสาวผมดำผู้มีพลังหมัดอันมหาศาล เจน เดอะ คิลเลอร์ “ช่างเป็นผู้หญิงที่น่ากลัวเสียจริงนะ”
“คงได้ว่าเวลาที่นายจะได้มายืดเส้นยืดสายแล้วล่ะ..จูเนียร์” ชายปริศนาเรียกใครบางตนที่อยู่ข้างหลังของเขา ภายในเงามืดด้านหลังพลันปรากฏแสงสีแดงจากดวงตาที่อยู่ภายใต้หน้ากากกันแก๊สพิษที่ป้องกันใบหน้าเพียงซีกซ้ายซีกเดียว
เรือนผมที่ยาวและไม่เป็นระเบียบประทับอยู่บนชายผู้มีดวงตาที่เหนื่อยล้าและไร้ชีวิต ร่างกายของเขาถูกพันธนาการด้วยชุดผู้ป่วยโรคประสาท ทำให้เขาไม่สามารถขยับมือและแขนเขาได้แม้แต่น้อย ชายผู้มีนามว่าจูเนียร์เดินเข้ามาหาชายปริศนาผู้ที่เรียกเขา
“ก็ว่างั้นแหละ..แม็ค” จูเนียร์พูดออกมา ก่อนที่ชายปริศนาผู้มีนามว่าแม็คจะแสยะยิ้มและสร้างพลังบางอย่างปลดพันธนาการของจูเนียร์ออก ทำให้เขาสามารถขยับแขนและมือได้อีกครั้ง แล้วเขาจึงกระโดดลงไปที่พื้นโกดัง เมื่อเท้าทั้งสองสัมผัสกับพื้น พลันเกิดระเบิดอย่างรุนแรงสร้างกลุ่มหมอกควันจำนวนมาก
แต่ชายผู้นี้ยังไม่หยุดเพียงท่านั้นเขาเดินออกมา ก่อนจะเริ่มเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นและเร็วขึ้น จนเปลี่ยนเป็นการวิ่งพุ่งเข้าไปทางเหล่าฝ่ายโจมตีแห่งครีปปี้พาสต้าที่ยุ่งกับการต่อสู้กับเหล่าอสูรตนอื่น บุชเชอร์ชายที่เห็นจูเนียร์กำลังพุ่งมานั้น เตรียมจะง้างคมมีดยักษ์ฟาดใส่ แต่ในระหว่างการฟาดนั้นกลับชายผู้เป็ศัตรูชนจนปลิวไปเสียก่อน เจฟและโทบี้ที่เห็นดังนั้นจึงหันความสนใจไปที่ชายผู้พุ่งเข้ามาหาพวกเขา
โทบี้ที่เตรียมจะพุ่งเข้าโจมตีกลับถูกเจฟผลักเข้าไปด้านข้างเสียก่อน และในขณะเดียวกันเจฟได้ทำท่าทีจะใช้มีดแทงใส่จูเนียร์ที่อยู่ห่างไปจากเขาไม่กี่เมตร เพียงเสี้ยววินาทีที่ใบมีดสัมผัสกับร่างของจูเนียร์ ใบมีดนั้นพลันแตกละเอียดไม่เหลือชิ้นดี ต่างจากผิวหนังของอีกฝ่ายที่ไร้รอยขีดข่วน
เจฟตื่นตะลึงกับสิ่งที่เห็น และลืมบางสิ่งที่กำลังพุ่งเข้าหาเขา กำปั้นของจูเนียร์พุ่งเข้าใส่ใบหน้าของเจฟอย่างแรงจนเกิดคลื่นกระแทกกระจายไปด้านหลังอย่างรุนแรง ศีรษะของเจฟระเบิดออกทันใด แต่มันยังไม่จบเพียงเท่านั้น มือที่ไม่ได้ใช้การของจูเนียร์อีกข้างหนึ่งถูกบังคับให้พุ่งแทงทะลุหน้าอกของเจฟที่ไร้ซึ่งสติและศีรษะ ก่อนจะควักหัวใจของเขาออกมาและบีบทิ้ง พลันขว้างร่างไร้การตอบสนองของเจฟไปด้านข้างอย่างแรงจนผนังของโกดังเกิดรอยยุบทันที
“เจฟ!!!” เจนตะโกนออกไปดังลั่น ก่อนที่เธอจะจ้องไปที่ชายผู้ที่ทำร้ายชายที่เธอรัก หญิงสาวพุ่งตัวเข้าไปต่อยใส่ร่างของจูเนียร์ที่เผลออยู่
ทันทีที่หมัดกระทบกับร่างของจูเนียร์ ชายปริศนาพลันแสดงอาการเจ็บปวดเล็กน้อยออกมา ก่อนที่เขาจะหันไปสนใจหญิงสาว ชายเบื้องหน้าง้างหมัด เตรียมต่อยใส่ร่างของหญิงสาว แต่เธอกลับม้วนตัวและจับแขนข้างนั้นหวังทุ่มร่างของชายผู้นี้ลงกับพื้น แต่มันกลับไม่ได้ผล ร่างของจูเนียร์ไม่แม้แต่จะเคลื่อนที่ แต่แล้วแขนอีกครั้งของเขากลับสอดรัดร่างบางของหญิงสาวเอาไว้อย่างแน่น ทำให้เธอไม่สามารถเคลื่อนที่หลบหนีได้ เธอใช้ศอกกระทุ้งใส่ร่างของชายผู้นี้แต่นั่นกลับไม่ทำให้แขนของเขาคลายตัวลงเลย
“นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่มีคนที่สามารถสร้างความเจ็บปวดให้ชั้นได้..” จูเนียร์เอ่ยออกมาด้วยเสียงอันแหบแห้งผ่านหน้ากากกันแก๊สพิษ “และเป็นครั้งแรกที่คนผู้นั้นเป็นผู้หญิงอย่างแก”
“แต่เจ้ารู้มั้ยว่าพลังที่ชั้นใช้กับแกนั้นน่ะเป็นแค่ 1 ใน 4 จากทั้งหมดที่ชั้นมี” เจนเบิกตากว้างทันที ทันใดนั้นลูกกระสุนสไนเปอร์จำนวนหลายนัดพลันพุ่งใส่ร่างของจูเนียร์ แต่มันกลับทำได้เพียงทะลุเข้าไปในเสื้อและแตกละเอียดภายใน ส่วนนัดที่โดนศีรษะของเขากลับบี้แบนทันทีที่สัมผัสกับผิวหนังของเขา โดยที่เจ้าตัวไม่รู้สึกด้วยซ้ำไป
จูเนียร์ง้างมืออีกข้างหวังจะทุบร่างของเจนให้ตายคามือ แต่ในจังหวะที่ทุบนั้นเอง แขนข้างหนึ่งพลันปรากฏขึ้นห้ามการโจมตีของเขาไว้ จูเนียร์เบือนหน้าไปหาเจ้าของแขนข้างนั้น แต่สิ่งที่เขาพบกลับกลายเป็นกำปั้นที่พุ่งกระแทกใบหน้าของเขาจะกระเด็นออกไปหลายสิบเมตรแทน ส่วนร่างของเจนนั้นก็ถูกปล่อยออกมา
“เจ้าบาดเจ็บหรือเปล่า” ฮีโร่บรายผู้โจมตีใส่จูเนียร์ยื่นมือไปทางเจนที่ได้ร่วงนอนลง
“ไม่ค่ะ..” เจนตอบกลับไป ก่อนจะจับมือของเขาแล้วจึงดึงตัวขึ้นมา “ขอบคุณนะคะ”
“อืม..” ฮีโร่บรายหันไปทางจูเนียร์ที่ยืนมองเขาอยู่ห่างออกไปหลายสิบเมตร จูเนียร์เบิกตากว้างก่อนจะพ่งเข้าโจมตีใส่ฮีโร่บรายที่ยังคงยืนนิ่งอยู่
ทันใดนั้นชายผู้แข็งแกร่งพลันผลักร่างของเจนออกไปและรับหมัดของชายผู้โจมตีโดยไม่หลบแม้แต่น้อย จูเนียร์ที่โจมตีใส่อย่างเต็มเป้าหมายกลับตื่นตะลึงที่การโจมตีของเขานั้นไม่ได้ทำให้ฮีโร่บรายแสดงอาการบาดเจ็บทั้งทางร่างกายและใบหน้าเลย เขารีบใช้มืออีกข้างต่อยไปที่หน้าของฮีโร่บรายอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง จนเกิดคลื่นกระแทกรุนแรงหลายครา ทำให้ผนังโกดังแทบจะถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ
“50..65..75..85..90” จูเนียร์พูดออกมาทุกครั้งที่ต่อยออกไป
อีกทั้งทุกหมัดที่ถูกปล่อยออกมายิ่งทวีคูณความรุนแรงขึ้นไปหลายเท่า ทำให้เหล่าครีปปี้พาสต้าด้านหลังฮีโร่บรายถูกคลื่นกระแทกร่างจนได้รับบาดเจ็บไปหลายราย ส่วนเจฟที่ฟิ้นตัวกลับมาแล้ว วิ่งเข้าไปโจมตีใส่จูเนียร์กลับถูกผลพวงของแรงกระแทกอย่างเต็มที่จนทำให้ร่างท่อนบนของเขาระเบิดออกทันที และถูกคลื่นกระแทกร่างส่วนร่างที่ไร้วิญญาณให้ลอยกระเด็นไปกระแทกกับประตูโกดัง แต่ทุกหมัดที่ต่อยไปนั้นกลับไม่มีผลทำให้ฮีโร่บรายบาดเจ็บหรือแม้แต่จะทำให้ร่างของเขาเคลื่อนที่ออกไปได้เลย จนถึงหมัดสุดท้าย...
“100..เป็นไปไม่ได้” จูเนียร์พูดออกมา พร้อมกับใบหน้าที่ตื่นตะลึง เพราะหมัดสุดท้ายที่ทุ่มพลังทั้งหมดที่เขามีใส่เข้าไปเพียงทำให้ฮีโร่บรายเบือนหน้าไปอีกทิศทางเพียงไม่กี่องศา
“เจ้าโจมตีเสร็จหรือยัง” ฮีโร่บรายถามออกไป แต่กลับไม่มีเสียงใดๆตอบกลับมา “ถ้าเช่นนั้นก็ถึงรอบของข้า”
ฮีโร่บรายใช้ฝ่ามือกระแทกใส่หน้าอกของจูเนียร์ให้กระเด็นออกไป ส่วนอีกมือหนึ่งนั้นได้เสกลูกแก้วประหลาดที่ถูกเรียกว่า ‘ไข่มุกเอ็นเดอร์’ ขึ้นมา ก่อนที่เขาจะปาไปในทิศทางของจูเนียร์ แต่เลยไปทางด้านหลัง เมื่อลูกแก้วตกกระทบพื้นจนแตกละเอียด ร่างของฮีโร่บรายพลันอันตรธานหายไป และปรากฏอีกครั้งในบริเวณที่ลูกแก้วนั้นแตกออก ชายผู้แข็งแกร่งสร้างดาบอัศวินสีฟ้าที่ถูกอาบด้วยออร่าสีม่วงฟาดใส่ร่างของจูเนียร์ที่พุ่งเข้ามา สร้างคลื่นพลังสีฟ้าที่ด้านหลังของเขา ทำให้เสื้อผ้าของเขานั้นขาดออกและปรากฏรอยแดงที่หลังเป็นแถบยาว พร้อมกับส่งเขากลับไปในทิศทางเดิม ฮีโร่บรายปาลูกแก้วเอ็นเดอร์ไปอีกครั้งก่อนจะอันตรธานหายไปและปรากฏตัวขึ้นมาใช้ดาบเพชรฟาดใส่ร่างของจูเนียร์ ทำให้ตัวเขากระอักเลือดออกมาแล้วพุ่งตรงขึ้นไปสู่อากาศ และฮีโร่บรายก็ยังคงใช้การวาร์ปด้วยไข่มุกเอ็นเดอร์ เพื่อไปฟันใส่อีกฝ่ายให้ตกลงมาสู่พื้นดิน ท่ามกลางความตะลึงงันของทั้งฝ่ายตนเองและฝ่ายของศัตรูกับพลังอันมหาศาลของบุรุษผู้ไร้คู่ต่อกร และสุดท้ายนั้นเองฮีโร่บรายที่ยังคงลอยเวิ้งว้างอยู่บนอากาศได้ง้างหมัดที่เริ่มปรากฏออร่าของสายฟ้ามาล้อมรอบหมัดของเขา ประกายแสงไฟฟฟ้าพุ่งออกมาอย่างน่าหวั่นเกรง
“Chaos Blast Of The Aether!!!” ฮีโร่บรายตะโกนออกไป แล้วจึงพุ่งตัวลงมาต่อยใส่ร่างที่แน่นิ่งของจูเนียร์ทันที ด้วยลางสังหรณ์ของลาอ้อนที่เห็นท่าไม่ดีจึงใช้พลังของเขาสร้างโดมป้องกันพรรคพวกที่อยู่ด้านพลังของเขา ส่วนแม็คที่เห็นเช่นเดียวกับลาอ้อนก็ได้ร่ายเวทย์สร้างโล่พลังงานขึ้นมาปกป้องตนเองทันที
แรงระเบิดจากพลังอันมหาศาลที่กระทบลงสู่พื้นโกดัง ทำลายโกดังทั้งหมดจนสิ้นซาก หน่วยที่สองนั้นต่างอ้าปากค้างอย่างไม่น่าเชื่อในสายตาของตน เพราะแรงระเบิดนั้นกินเนื้อที่แทบทั้งหมดของบริเวณนั้น
เมื่อควันจากแรงระเบิดหายไป โล่พลังงานพลันสลายไปทันที พร้อมกับร่างของลาอ้อนที่นั่งทรุดลงเพราะใช้พลังไปมากเกินไป ในขณะที่แม็คยังคงยืนตะลึงกับการโจมตีเมื่อครู่เช่นเดิม แต่ในขณะเดียวกันนั้นเองเศษซากและพื้นโกดังที่สลายไปหรือกระจัดกระจายไปนั้นค่อยๆกลับมารวมกลายเป็นโกดังที่ไม่มีแม้แต่ความเสียหายอย่างน่าประหลาด
“นี่มัน..” แม็คที่กำลังจะเอ่ยอะไรออกมากลับถูกมือของบางคนจับบ่าเอาไว้เสียก่อน แม็คตกใจ หันไปหากลับพบกับผู้ใส่หน้ากากประหลาดอีกคนหนึ่ง “นายเป็นคนทำงั้นเหรอ”
ชายผู้สวมหน้ากากประหลาดพยักหน้าขึ้นลงตอบกลับ ก่อนที่เขาจะหันไปมองฮีโร่บรายและจูเนียร์ที่นอนแน่นิ่งอยู่แทน
ฮีโร่บรายนั้นยืนมองไปที่ชายผู้ถูกเขาโจมตีใส่ จูเนียรืนั้นนอนแน่นิ่งดูคล้ายจะหมดสติไป แต่ก่อนที่เขาจะไดหันไปไหน กลับเกิดเสียงหัวเราะอันแหบแห้งจากปากของจูเนียร์เสียก่อน
“เป็นพลังที่มากเกินที่จะชั้นจินตนาการออกมาได้เลยนะ” จูเนียร์พูดจบก็ไอออกมา “แกนี่ทรงพลังเสียเหลือเกินนะ”
“เจ้าก็แข็งแกร่งเช่นเดียวกัน..ตามจริงแล้วแทบไม่มีใครรอด เมื่อโดนการโจมตีของข้าเต็มๆ” ฮีโร่บรายเอ่ยออกมา แต่มันกลับทำให้จูเนียร์หัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง
“ก็แกเล่นทุ่มสุดตัวซะขนาดนั้น..ถ้าชั้นไม่เป็นพวกคงกระพัน ป่านนี้ก็สลายไม่เหลือซากแล้ว”
“ทุ่มสุดตัว!?” ฮีโร่บรายพูดด้วยท่าทีฉงน “การโจมตีที่เจ้าได้รับไป ข้าพึ่งใช้พลังไปแค่ 3 ใน 100 เท่านั้นเอง”
“อะไรนะ!!! 3%” พรรคพวกของเขาเองยังตกตะลึงกับสิ่งที่ฮีโร่บรายกล่าวออกมา ไม่ต่างจากท่าทีของ๗เนียร์และแม็ค แต่ไม่นานนักทั้งสองก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
“งั้นแกก็คงจะเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มของเจ้า” จูเนียร์ยันตัวลุกขึ้นมาแล้วจึงพูดต่อ “ก็คู่ควรที่จะเจอกับผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกเรา”
ทันทีที่จูเนียร์พูดจบ เขาก็ได้ดีดตัวออกห่างจากจุดเดิม โดยที่ฮีโร่บรายนั้นไม่ได้พุ่งตาม แต่กลับจับจ้องไปที่ชายอีกคนที่อยู่กับแม็ค ผู้ชายผู้สวมหน้ากากหน้าตาประหลาดเดินออกมาจากจุดเดิม แทนที่เขาจะตกลงสู่พื้น ร่างเขากลับลอยว้างอยู่บนอากาศ เขาเลื่อนมือขึ้นไปจับหน้ากากซีกหนึ่งของเขา เมื่อเลื่อนลงหน้ากากส่วนนั้นกลับสลายหายไปเหลือเพียงครึ่งเดียว อีกทั้งยังทำให้ส่วนที่เหลือเปลี่ยนท่าทางเป็นยิ้มดั่งปีศาจ ส่วนใบหน้าภายในหน้ากากนั้นเป็นเพียงเด็กหนุ่มธรรมธาที่มีดวงตาสีฟ้า สวมชุดกันหนาวสีเขียวเข้ม ก่อนที่เขาจะเริ่มหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งยิ่งกว่าทุกๆคน
“ได้เวลาบรรเลงแล้วล่ะครับ..” ทันใดนั้นฝ่ามือที่เขาผายออกพลันปรากฏแผงวงจรสีฟ้าหน้าตาประหลาดออกมา แต่ในขณะเดียวกันนั้นเองหน่วยที่สองได้เคลื่อนที่กลับมาประจำที่เดิม ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ชายปริศนาแนะนำตัว “ผม..คราโอติค หรือที่ผู้คนเรียกผมว่า ‘Dark Mastermind’ นั่นแหละครับ”
อายเลส แจ็คที่ได้เห็นใบหน้าของเด็กหนุ่มผู้ที่ได้ชื่อว่าพลังมากที่สุดจากทั้งสามคนตะลึงงันทันที ก่อนจะตะโกนออกไป “คราย!!!”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.4 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ