be vigilant! แฟนฉันเป็นคนอันตราย!!
-
1)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ เส้นทางของฉันคือการเดินไปบนทางที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบอย่างที่วาดฝัน เส้นทางของฉันมีแต่กลิ่นคาวของโลหิตที่นองไปทั่วทางเดิน และทางที่จะหลีกจากเส้นทางนี้ได้คือการหนีหาไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไปให้ไกล ไกลเสียจนตัวเราเองก็หลงลืมทางที่เราใช้หนีออกมาจากเส้นทางที่นองไปด้วยเลือด หนีให้พ้น คือหนทางเดียว...
ตรู๊ด...ตรู๊ต...ตรู๊ด...
[ฮัล โหล]
"คุณหนูค-"
[ตรู้ด ตรู๊ด ตรู๊ด]
"ดูเหมือน จะตัดสายทันทีแบบไม่มีเยื่อใยเลยนะครับ คุณท่าน"
"...ฉันอุตสามีเรื่องสำคัญจะคุยด้วย เด็กคนนั้น"
"ดูเหมือนคุณหนูจะตัดสินใจทิ้ง Blood Wolf เสียแล้วนะครับ"
เสียงของชายวัยกลางคนทั้งสองที่สนทนากันเมื่อครู่จบลงด้วยความรู้สึกที่วิตกกังวลไม่แพ้กันก่อนจะเงียบลงไปในไม่ช้า
..........
ฉันที่วางสายคนสนิทของพ่อบังเกิดเกล้าอย่างไม่ใยดีก็ไม่รีรอ รีบลุกจากที่นอนเก็บข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นยัดใส่กระเป๋าก่อนจะเช็ดทุกอย่างว่ายังเหลืออะไรอยู่ไม ก่อนจะรีบทำกิจส่วนตัวภายในครึ่งชั่วโมงก่อนจะออกมาจากห้องน้ำในสภาพชุดที่ใช้ปลอมตัว ฉันมองนาฬิกาบนผนังก่อนจะกดโทรศัพท์หาเพื่อนอย่างรวดเร็ว
"รับเร็วๆหน่อยสิย่ะ"
[ฮาโหล...ว่าไงย่ะ ดูเหมือนจะมีเรื่องสำคัญนะ]
"เออ รีบมารับฉันด่วน และไม่ต้องถามว่าเรื่องอะไร แกควรทำในสิ่งที่แกทำ ย้ำ ด่วน"
[ย่ะๆ จะรีบไปรับ]
เมื่อเพื่อนตัดสายฉันก็ยัดโทรศัพท์ลงไปในกระเป๋ากางเกงทันทีก่อนจะคว้ากระเป๋าสัมภาระสะพายบ่าอย่างรวดเร็ว ฉันมีนามว่า ฮาน รีเซีย เป็นบุตรคนที่สามของตระกลูฮาน ผู้นำตระกูลคือ ฮาน วองเด มาเฟียที่ระหกระเหินมาจากเกาหลีก่อนจะก่อตั้งแก๊งใหม่ในญี่ปุ่นนามว่า Blood Wolf ฉันมีพี่ชายสองคนและพี่ชายทั้งสองคนก็มีความก้าวหน้าตามรอยพ่ออย่างหลีกไม่ได้ ซึ่งตรงจุดนั้นใครๆก็ต่างเข้าใจที่สำคัญพี่ๆก็ได้พี่สะใภ้ที่เป็นคุณหนูมาจากตระกูลใหญ่2 ใน 5 จิ้งจอกบุษผา ทำให้ตระกูลฮานของเราและแก๊ง Blood Wolf กลายเป็นแก๊งมาเฟียที่มีอำนาจมากในญีปุ่น แต่การที่บุตรของตระกูลฮาน หนีออกจากบ้านกลายเป็นพวกมีเงินใช้ที่ต้องเร่ร่อนเหมือนพวกคนไม่มีทีซุกหัวนอนเป็นหลักเป็นแหล่งเสียทีนั้นก็เพราะ
(ย้อนความ)
"ว่าอะไรนะ พ่อจะให้หนูขึ้นเป็นประมุขของ Blood Wolf อย่างงั้นเหรอ"?!
"ใช่ แกโตพอที่จะเดินด้วยแข้งขาของตัวเองแล้ว"
"พ่อจะบ้าเหรอค่ะ หนูเป็นผู้หญิงนะ"
"แกอย่างมาทำเป็นอ่อนแอเลย แม่แกยังเคยเป็นนางพญาจากตระกูลใหญ่มาแล้ว แล้วทำไมแกจะทำไม่ได้"
พ่อของฉันหันหลังให้ฉันโดยมีเก้าอี้สีดำและโต๊ะทำงานตัวใหญ่คั้นกลางระหว่างฉันกับพ่อ ฉันที่รู้สึกถึงความไม่ได้ดั่งใจและความไม่เข้าใจจึงระบายกับโต๊ะแรงๆแล้วหมุนให้พ่อกลับมาเผชิญหน้ากับฉันอีกครั้ง
"พ่อไม่มีสิทธิ์วาดทางเดินให้หนู"
"แล้วการที่แก เอาแต่เที่ยวเมาเหมือนหมาข้างทางไปวันๆเนี่ยมัน เป็นฝันที่แกวาดไว้อย่างนั้นสินะ"
"แต่หนูก็มีงานทำ"
"โดยการไปทำงานเป็นลูกน้องเขาเนี่ยนะ"!
"..."
"ฉันเลี้ยงแก เพื่อให้เป็นนางพญาของ Blood Wolf แต่สิ่งที่แกทำ คือการไปเป็นพนักงานกระจอกๆเงินเดือนพอเลี้ยงตัวเองไปวันๆเนี่ยนะ คือฝันที่แกอยากจะเป็น"
ฉันมองตาของพ่อด้วยความรู้สึกที่ปนเปกันไปจนมันแยกไม่ออกว่า โกรธ เกลียด ไม่พอใจ ไม่เข้าใจ รึแม้กระทั้งเสียใจ ฉันจึงสูดลมหายใจเข้าไปให้เต็มปอด มากพอจะทำให้มันออกมากลายเป็นลมหายใจที่ระบายความอึดอัดในใจออกมาได้มากพอเหมือนที่เอามันเข้าไป
"หนู ไม่ต้องการเป็น มาเฟีย...พ่อไม่มีทางเปลี่ยนความคิดของหนูได้"
"ถ้างั้นแก ก็ไม่ใช่ลูกสาวของ ฮาน วองเด"
นั้นคือคำพูดของพ่อ ดวงตาที่ต่างฝ่ายต่างก็ยอมกันไม่ได้ เมื่อสิ้นคำนั้นฉันที่รู้สึกเจ็บไปทั่วร่าง เหมือนคำพูดนั้นเป็นเข็มที่นับไม่ได้แทงทะลุลงทุกส่วนของร่างกาย ฉันกระพริบตาไล่น้ำตาที่เอ่อคลอจนรู้สึกได้ว่ามันไม่มีทางจะไหลออกมาได้
"ค่ะ นับจากนี้ ฉันไม่ใช่ ฮาน ฉันเป็นคนธรรมดา"
และวินาทีนั้นเหมือนสายแห่งความสัมพันธ์ก็ถูกตัดขาดลงอย่างไม่มีเยื่อใย ฉันออกจากบ้านนั้นในสภาพที่ไม่มีอะไรติดตัวมานอกจากโทรศัพท์และเงินเพื่อเล็กน้อยที่ฉันได้มาจากงานที่ทำ ฉันที่ก้าวเท้าออกมาพ้นประตูบ้านแล้วนั้น ได้หันกลับมามองมันอีกครั้ง เหล่าบอดีการ์ดที่เป็นที่รักของฉันทุกคนมองหน้าฉันที่หันกลับมาด้วยความรู้สึกเสียใจ
"คุณหนู"
"ไม่ใช่แล้วค่ะ ฉันไม่ใช่คุณหนู ฮาน รีเซียแล้ว ดูแล้วตัวเองด้วยนะค่ะ ทุกคน"
ฉันโค้งให้ทุกคนก่อนเดินออกมาอย่างมั่นใจและจะไม่เสียใจที่เดินออกมาจากบ้านหลังนี้เด็ดขาด
(จบย้อนความ)
"แหมๆ แกเนี่ย...จะทรนงตนไปถึงไหน สุดท้ายแกก็เหมือนพ่อแกนั้นแหละ"
"ทำไม"
"แกนะ หยิ่งยโส และ ทระนงตนเหมือน ฮาน วองเดไงย่ะ"
"ถ้าแกไม่ใช่เพื่อนฉัน แกได้เฝ้ายมทูตแน่ๆ"
"แหมๆ ใจร้ายจังนะ...แล้วนี้แกจะไปซุกหัวนอนที่ไหนล่ะย่ะ ฉันเองก็เริ่มจะช่วยแกไม่ได้แล้วสิ เพราะพ่อฉันดันเริ่มให้ความรวมมือกับพ่อแกอย่างเต็มใจและเต็มไปด้วยความหวังในผลประโยชน์"
"ทั้งที่พูดเองกับปากว่าตัดความเป็นพ่อลูก สุดท้ายก็มาง้อ..ฉันไม่ลืมคำพูดแบบนั้นได้ง่ายหรอก"
"แหม อย่างน้อยแกก็น่าจะกลับไปเยี่ยมหม๊าแกหน่อยนะ ได้ข่าวว่าป่วยจนออกไปไหนไม่ได้นับตั้งแต่แกออกจากบ้าน"
"ฉันปฎิญาณกับตัวเองแล้ว ว่าจะไม่กลับไป ถ้าไม่คอขาดบาดตายจนแก๊งมีปัญหา ฉันก็จะไม่กลับไปเหยียบ อย่ามากล่อมฉันนักเลย ฉันไม่หลงกลแกหรอกนะ เมน่า"
ฉันตัดบทของเพื่อนที่เหมือนจะกล่อมฉันนั้นทันที และดูเหมือนจะจริงที่เพื่อนของฉันกำลังช่วยพ่อของเจ้าห่อนในการกล่อมฉัน เมน่าเพื่อนสนิทที่แม้จะให้ความช่วยเหลือพ่ออย่างเต็มใจแต่ก็ยังให้ความช่วยเหลือฉันหัวชนฝาเช่นกัน เธอยิ้มแหะๆเป็นเชิงว่า แพ้แล้วก่อนจะเหยียบคันเร่งแทบสุดเท้าเพื่อไปให้พ้นไฟแดงที่กำลังจะมาในอีกห้าวิ
ห้า
สี่
สาม
สอง
หนึ่ง
"เก่งนิย่ะ พาฉันเฉียบตายอีกรอบแล้วนะ"
"แหมๆก็มันหยุดไม่ได้นี้น่า"
"หยุดซิ่งรถซักปีแล้วไปช่วยพ่อแกดูแลแก๊งดีกว่าไม พ่อแกก็คาดหวังกับแกไม่ใช่หรือไง"
"น้อยกว่าแกแล้วกันย่ะ ฉันนะยังมีพี่ๆที่เก่งกว่าอีกตั้งคนแน่ะ"
เมน่าเอ่ยจบก็เงียบลงทันที นี้ฉันไปกระตุ้นต่อมดราม่าของยังจอมขี้แงรึเปล่านะ สวรรค์โปรดอย่าทำให้นี้ร้องไห้นะ ขอล่ะ ขอล่ะ ขอร้องล่ะว้อย!!
"อย่าร้องนะ"
"..."
เมน่าพยักหน้าหงึกๆก่อนกลืนก้อนสะอึกลงคอ ถ้ายัยนี้ร้องไห้ล่ะก็ ได้เหยียบมิดเท้าแน่ๆและวินาทีนั้นฉันก็นึกสภาพศพตัวเองไม่ออกว่าจะเละเทอะเหมือนโจ๊กที่นั่งกินเป็นจำไม รึจะสวยเหมือนตอนยังมีชีวิต อันนี้ก็ไม่อาจทราบได้เพราะงั้นของยังมีชีวิตอีกซักห้าสิบปีเถอะ สวรรค์เองก็โปรดเห็นใจ อย่าพึงมีมติฉันทให้คนสวยๆอย่างฉันมาตายก่อนได้พ้นคานทองราคาแพงที่พ่อมอบให้เลย ฉันนั่งถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเอนกายพิงเบาะอย่างท้อใจ ก่อนที่ตาจะปิดสนิท เสียงของเมน่าก็แหลมสูงทะลุแก้วหูอย่างดัง
กรี๊ด!!!!!
ตรู๊ด...ตรู๊ต...ตรู๊ด...
[ฮัล โหล]
"คุณหนูค-"
[ตรู้ด ตรู๊ด ตรู๊ด]
"ดูเหมือน จะตัดสายทันทีแบบไม่มีเยื่อใยเลยนะครับ คุณท่าน"
"...ฉันอุตสามีเรื่องสำคัญจะคุยด้วย เด็กคนนั้น"
"ดูเหมือนคุณหนูจะตัดสินใจทิ้ง Blood Wolf เสียแล้วนะครับ"
เสียงของชายวัยกลางคนทั้งสองที่สนทนากันเมื่อครู่จบลงด้วยความรู้สึกที่วิตกกังวลไม่แพ้กันก่อนจะเงียบลงไปในไม่ช้า
..........
ฉันที่วางสายคนสนิทของพ่อบังเกิดเกล้าอย่างไม่ใยดีก็ไม่รีรอ รีบลุกจากที่นอนเก็บข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นยัดใส่กระเป๋าก่อนจะเช็ดทุกอย่างว่ายังเหลืออะไรอยู่ไม ก่อนจะรีบทำกิจส่วนตัวภายในครึ่งชั่วโมงก่อนจะออกมาจากห้องน้ำในสภาพชุดที่ใช้ปลอมตัว ฉันมองนาฬิกาบนผนังก่อนจะกดโทรศัพท์หาเพื่อนอย่างรวดเร็ว
"รับเร็วๆหน่อยสิย่ะ"
[ฮาโหล...ว่าไงย่ะ ดูเหมือนจะมีเรื่องสำคัญนะ]
"เออ รีบมารับฉันด่วน และไม่ต้องถามว่าเรื่องอะไร แกควรทำในสิ่งที่แกทำ ย้ำ ด่วน"
[ย่ะๆ จะรีบไปรับ]
เมื่อเพื่อนตัดสายฉันก็ยัดโทรศัพท์ลงไปในกระเป๋ากางเกงทันทีก่อนจะคว้ากระเป๋าสัมภาระสะพายบ่าอย่างรวดเร็ว ฉันมีนามว่า ฮาน รีเซีย เป็นบุตรคนที่สามของตระกลูฮาน ผู้นำตระกูลคือ ฮาน วองเด มาเฟียที่ระหกระเหินมาจากเกาหลีก่อนจะก่อตั้งแก๊งใหม่ในญี่ปุ่นนามว่า Blood Wolf ฉันมีพี่ชายสองคนและพี่ชายทั้งสองคนก็มีความก้าวหน้าตามรอยพ่ออย่างหลีกไม่ได้ ซึ่งตรงจุดนั้นใครๆก็ต่างเข้าใจที่สำคัญพี่ๆก็ได้พี่สะใภ้ที่เป็นคุณหนูมาจากตระกูลใหญ่2 ใน 5 จิ้งจอกบุษผา ทำให้ตระกูลฮานของเราและแก๊ง Blood Wolf กลายเป็นแก๊งมาเฟียที่มีอำนาจมากในญีปุ่น แต่การที่บุตรของตระกูลฮาน หนีออกจากบ้านกลายเป็นพวกมีเงินใช้ที่ต้องเร่ร่อนเหมือนพวกคนไม่มีทีซุกหัวนอนเป็นหลักเป็นแหล่งเสียทีนั้นก็เพราะ
(ย้อนความ)
"ว่าอะไรนะ พ่อจะให้หนูขึ้นเป็นประมุขของ Blood Wolf อย่างงั้นเหรอ"?!
"ใช่ แกโตพอที่จะเดินด้วยแข้งขาของตัวเองแล้ว"
"พ่อจะบ้าเหรอค่ะ หนูเป็นผู้หญิงนะ"
"แกอย่างมาทำเป็นอ่อนแอเลย แม่แกยังเคยเป็นนางพญาจากตระกูลใหญ่มาแล้ว แล้วทำไมแกจะทำไม่ได้"
พ่อของฉันหันหลังให้ฉันโดยมีเก้าอี้สีดำและโต๊ะทำงานตัวใหญ่คั้นกลางระหว่างฉันกับพ่อ ฉันที่รู้สึกถึงความไม่ได้ดั่งใจและความไม่เข้าใจจึงระบายกับโต๊ะแรงๆแล้วหมุนให้พ่อกลับมาเผชิญหน้ากับฉันอีกครั้ง
"พ่อไม่มีสิทธิ์วาดทางเดินให้หนู"
"แล้วการที่แก เอาแต่เที่ยวเมาเหมือนหมาข้างทางไปวันๆเนี่ยมัน เป็นฝันที่แกวาดไว้อย่างนั้นสินะ"
"แต่หนูก็มีงานทำ"
"โดยการไปทำงานเป็นลูกน้องเขาเนี่ยนะ"!
"..."
"ฉันเลี้ยงแก เพื่อให้เป็นนางพญาของ Blood Wolf แต่สิ่งที่แกทำ คือการไปเป็นพนักงานกระจอกๆเงินเดือนพอเลี้ยงตัวเองไปวันๆเนี่ยนะ คือฝันที่แกอยากจะเป็น"
ฉันมองตาของพ่อด้วยความรู้สึกที่ปนเปกันไปจนมันแยกไม่ออกว่า โกรธ เกลียด ไม่พอใจ ไม่เข้าใจ รึแม้กระทั้งเสียใจ ฉันจึงสูดลมหายใจเข้าไปให้เต็มปอด มากพอจะทำให้มันออกมากลายเป็นลมหายใจที่ระบายความอึดอัดในใจออกมาได้มากพอเหมือนที่เอามันเข้าไป
"หนู ไม่ต้องการเป็น มาเฟีย...พ่อไม่มีทางเปลี่ยนความคิดของหนูได้"
"ถ้างั้นแก ก็ไม่ใช่ลูกสาวของ ฮาน วองเด"
นั้นคือคำพูดของพ่อ ดวงตาที่ต่างฝ่ายต่างก็ยอมกันไม่ได้ เมื่อสิ้นคำนั้นฉันที่รู้สึกเจ็บไปทั่วร่าง เหมือนคำพูดนั้นเป็นเข็มที่นับไม่ได้แทงทะลุลงทุกส่วนของร่างกาย ฉันกระพริบตาไล่น้ำตาที่เอ่อคลอจนรู้สึกได้ว่ามันไม่มีทางจะไหลออกมาได้
"ค่ะ นับจากนี้ ฉันไม่ใช่ ฮาน ฉันเป็นคนธรรมดา"
และวินาทีนั้นเหมือนสายแห่งความสัมพันธ์ก็ถูกตัดขาดลงอย่างไม่มีเยื่อใย ฉันออกจากบ้านนั้นในสภาพที่ไม่มีอะไรติดตัวมานอกจากโทรศัพท์และเงินเพื่อเล็กน้อยที่ฉันได้มาจากงานที่ทำ ฉันที่ก้าวเท้าออกมาพ้นประตูบ้านแล้วนั้น ได้หันกลับมามองมันอีกครั้ง เหล่าบอดีการ์ดที่เป็นที่รักของฉันทุกคนมองหน้าฉันที่หันกลับมาด้วยความรู้สึกเสียใจ
"คุณหนู"
"ไม่ใช่แล้วค่ะ ฉันไม่ใช่คุณหนู ฮาน รีเซียแล้ว ดูแล้วตัวเองด้วยนะค่ะ ทุกคน"
ฉันโค้งให้ทุกคนก่อนเดินออกมาอย่างมั่นใจและจะไม่เสียใจที่เดินออกมาจากบ้านหลังนี้เด็ดขาด
(จบย้อนความ)
"แหมๆ แกเนี่ย...จะทรนงตนไปถึงไหน สุดท้ายแกก็เหมือนพ่อแกนั้นแหละ"
"ทำไม"
"แกนะ หยิ่งยโส และ ทระนงตนเหมือน ฮาน วองเดไงย่ะ"
"ถ้าแกไม่ใช่เพื่อนฉัน แกได้เฝ้ายมทูตแน่ๆ"
"แหมๆ ใจร้ายจังนะ...แล้วนี้แกจะไปซุกหัวนอนที่ไหนล่ะย่ะ ฉันเองก็เริ่มจะช่วยแกไม่ได้แล้วสิ เพราะพ่อฉันดันเริ่มให้ความรวมมือกับพ่อแกอย่างเต็มใจและเต็มไปด้วยความหวังในผลประโยชน์"
"ทั้งที่พูดเองกับปากว่าตัดความเป็นพ่อลูก สุดท้ายก็มาง้อ..ฉันไม่ลืมคำพูดแบบนั้นได้ง่ายหรอก"
"แหม อย่างน้อยแกก็น่าจะกลับไปเยี่ยมหม๊าแกหน่อยนะ ได้ข่าวว่าป่วยจนออกไปไหนไม่ได้นับตั้งแต่แกออกจากบ้าน"
"ฉันปฎิญาณกับตัวเองแล้ว ว่าจะไม่กลับไป ถ้าไม่คอขาดบาดตายจนแก๊งมีปัญหา ฉันก็จะไม่กลับไปเหยียบ อย่ามากล่อมฉันนักเลย ฉันไม่หลงกลแกหรอกนะ เมน่า"
ฉันตัดบทของเพื่อนที่เหมือนจะกล่อมฉันนั้นทันที และดูเหมือนจะจริงที่เพื่อนของฉันกำลังช่วยพ่อของเจ้าห่อนในการกล่อมฉัน เมน่าเพื่อนสนิทที่แม้จะให้ความช่วยเหลือพ่ออย่างเต็มใจแต่ก็ยังให้ความช่วยเหลือฉันหัวชนฝาเช่นกัน เธอยิ้มแหะๆเป็นเชิงว่า แพ้แล้วก่อนจะเหยียบคันเร่งแทบสุดเท้าเพื่อไปให้พ้นไฟแดงที่กำลังจะมาในอีกห้าวิ
ห้า
สี่
สาม
สอง
หนึ่ง
"เก่งนิย่ะ พาฉันเฉียบตายอีกรอบแล้วนะ"
"แหมๆก็มันหยุดไม่ได้นี้น่า"
"หยุดซิ่งรถซักปีแล้วไปช่วยพ่อแกดูแลแก๊งดีกว่าไม พ่อแกก็คาดหวังกับแกไม่ใช่หรือไง"
"น้อยกว่าแกแล้วกันย่ะ ฉันนะยังมีพี่ๆที่เก่งกว่าอีกตั้งคนแน่ะ"
เมน่าเอ่ยจบก็เงียบลงทันที นี้ฉันไปกระตุ้นต่อมดราม่าของยังจอมขี้แงรึเปล่านะ สวรรค์โปรดอย่าทำให้นี้ร้องไห้นะ ขอล่ะ ขอล่ะ ขอร้องล่ะว้อย!!
"อย่าร้องนะ"
"..."
เมน่าพยักหน้าหงึกๆก่อนกลืนก้อนสะอึกลงคอ ถ้ายัยนี้ร้องไห้ล่ะก็ ได้เหยียบมิดเท้าแน่ๆและวินาทีนั้นฉันก็นึกสภาพศพตัวเองไม่ออกว่าจะเละเทอะเหมือนโจ๊กที่นั่งกินเป็นจำไม รึจะสวยเหมือนตอนยังมีชีวิต อันนี้ก็ไม่อาจทราบได้เพราะงั้นของยังมีชีวิตอีกซักห้าสิบปีเถอะ สวรรค์เองก็โปรดเห็นใจ อย่าพึงมีมติฉันทให้คนสวยๆอย่างฉันมาตายก่อนได้พ้นคานทองราคาแพงที่พ่อมอบให้เลย ฉันนั่งถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเอนกายพิงเบาะอย่างท้อใจ ก่อนที่ตาจะปิดสนิท เสียงของเมน่าก็แหลมสูงทะลุแก้วหูอย่างดัง
กรี๊ด!!!!!
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ