Bad End Night [Vocaloid]
9.6
เขียนโดย Yuukuriuddo39
วันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2558 เวลา 17.27 น.
4 บท
6 วิจารณ์
10.49K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 6 เมษายน พ.ศ. 2558 11.18 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) ซินเดอเรลล่าจำเป็น
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความซินเดอเรลล่าจำเป็น
“แฮ่กๆๆ”
ฉันวิ่งลงมาตามตรอกซอกซอยเล็กๆด้วยความเหนื่อยหอบในเมืองเวสท์เอนด์ เมื่อคำว่า “สาย” ผุดขึ้นมาในหัวของฉัน ฉันก็พยายามที่จะสูดหายใจเข้าลึกๆและปล่อยลมหายใจออกไป ถึงมันจะทำให้ตัวฉันสงบลงไปได้บ้าง แต่มันก็ไม่ได้ช่วยฉันให้รู้สึกดีขึ้นมากนัก ถึงแม้ว่าเมื่อคืนนี้ฉันจะอยากนอนตั้งแต่หัวค่ำก็ตามที แต่ฉันก็ทำไม่ได้เพราะการแสดงในวันนี้น่ะมันทำให้ฉันตื่นเต้นไปมากเลยล่ะ
จะว่าไปแล้ว... เมื่อคืนนี้ฉันก็ตื่นขึ้นมาด้วยความฝันอันแปลกประหลาด มันเป็นความฝันที่มีใครสักคนตกบันไดตายในการแสดง... ฉันจำได้แค่นี้แหละเพราะว่ารายละเอียดต่างๆน่ะมันค่อยๆเลือนรางหายไปหมดแล้ว การที่ได้เห็นใครสักคนตายแบบนั้นมันทำให้ฉันระทึกใจอยู่ไม่ใช่น้อย จากนั้นฉันก็ดึงหมอนข้างเข้ามากอดไว้ พยายามที่จะข่มตานอนอีกแต่มันก็ไม่สำเร็จ ฝันร้ายที่ฉันได้รับครั้งนั้นมันยังคงตรึงตาฉันไว้อยู่ไม่หาย และนั่นก็ทำให้ฉันนอนไม่เพียงพอ จนในที่สุดฉันก็ตื่นสายจนได้
“ทำไมต้องเป็นวันนี้ด้วยล่ะ?” ฉันคิดในใจ ก็ในเมื่อในโลกนี้มีวันตั้งหลากหลาย ทำไมฉันต้องมาตื่นสายในวันที่สำคัญแบบนี้ด้วยนะ “แย่ที่สุด! ฉันนี้มันบ้าจริงๆเลย!” ฉันบ่นตัวเองด้วยคำพูดแบบนี้เป็นสิบๆรอบแล้วเพื่อสาปแช่งในความโง่ของฉัน
เมื่อฉันวิ่งมาจนถึงถนนใหญ่ ฉันก็พบกับกลุ่มคนขนาดมหึมากำลังเดินสวนสลับกันไปมาอย่างวุ่นวาย ผู้คนต่างก็มาซื้อของ ขายของ ตามกิจวัตรประจำวันของพวกเขาอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าวันนี้ดูเหมือนคนจะเยอะเป็นพิเศษ ฉันเดินเข้าไปในถนนคนเดินด้วยความรีบร้อน พลางกล่าวขอโทษกับคนเหล่านั้นเมื่อฉันพยายามที่จะเดินฝ่าพวกเขาไป แต่คนเยอะขนาดนี้เนี่ย... ฉันคงจะไปไม่ทันจริงๆซะแล้วล่ะ
ป้าบ!
ทันใดนั้น บางสิ่งบางอย่างก็เข้ามาบังวิสัยทัศน์ของฉัน
“ว้ายยย!”
หน้าฉันชนเข้ากับบางสิ่งบางอย่างจนทำให้ฉันเสียหลักล้มลงกลางถนนที่คนกำลังพลุ่กพล่าน ฉันขยี้ตาตัวเองและเปิดตาขึ้นมา มองเห็นใครคนนึงรูปร่างสูงพอสมควรกำลังก้มหาหมวกผ้าไหมที่หล่นจากหัวเขา เมื่อเขาเจอแล้วเขาก็นำมันมาสวมบนหัวและยื่นมือเข้ามาหาฉัน
“ขอโทษนะครับ ผมกำลังรีบจนไม่ทันสังเกตว่าผมกำลังจะเดินไปชนใครเข้า ต้องขอโทษด้วยจริงๆครับ” เขาก้มหัวลงหลายๆครั้ง “คุณเจ็บไหมครับ?”
“อ่า... มะ... ไม่เป็นไรค่ะ นะ... หนูไม่เป็นไร...”
ฉันรู้สึกเหมือนกับว่าฉันหลงเข้าไปอยู่ในนิทานอย่างไรอย่างนั้น เขายื่นมือมาหาฉันอย่างสง่างามและอ่อนโยน เหมือนกับตอนที่เจ้าชายกำลังยื่นมือช่วยเจ้าหญิงที่ล้มอยู่ ฉันค่อยๆยื่นมือออกไปจับมือของเขาและเขาก็ดึงตัวฉันขึ้นมา ช่วงเวลาที่ดูเหมือนว่าจะเป็นฉากในเทพนิยายที่ทั้งสองยื่นมือเข้าหากันนั้นทำให้ฉันรู้สึกเขินอายอย่างบอกไม่ถูก ดังนั้นฉันจึงไม่กล้าพอที่จะมองหน้าเขา ทำได้แค่เบนสายตาออกมาจากเขาพลางชำเลืองมองเขาอยู่พลางๆ เขาสูงมาก เหมือนสุภาพบุรุษที่สวมชุดสูทและหมวกผ้าไหม
“ดีแล้วล่ะครับผม แต่ระมัดระวังไว้หน่อยก็ดีนะครับ แถวนี้เพิ่งจะมีไฟไหม้ไปเอง”
“ไฟไหม้?”
“ครับผม มีไฟไหม้เกิดขึ้นที่แฮร์รอดน่ะครับเมื่อเช้านี้ คุณลองมองไปทางซ้ายมือสิครับ จะเห็นว่าท้องฟ้าถูกปกคลุมไปด้วยควันไฟสีเทาแล้ว แฮร์รอดน่ะเป็นห้างสรรพสินค้าที่ค่อนข้างใหญ่ทีเดียว... น่าจะใช้เวลาดับไฟนานหน่อย ผมเพิ่งวิ่งหนีออกมาจากละแวกนั้นน่ะครับ แต่ก็แปลกใจอยู่เหมือนกันว่าเหตุการณ์อันตรายแบบนี้ทำไมคนไปมุงดูเยอะจัง หวังว่าห้างนั้นจะปลอดภัยดีนะครับ”
“คะ... ค่ะ”
ดูเหมือนว่าฉันจะไม่ทันสังเกตมันเลยจริงๆ อาจจะเป็นเพราะว่าความรีบร้อนของฉันมันออกหน้าไปหน่อยก็เป็นได้ ฉันพลางนึกถึงคนหลายๆคนที่คอยเร่งฉันให้เดินไวๆหน่อย ฉันพอจะนึกเหตุผลออกแล้วล่ะ ฉันมีปัญหาเกี่ยวกับการโฟกัสและเจาะจงไปกับสิ่งๆหนึ่งจนทำให้ฉันไม่ได้สังเกตสิ่งรอบข้างเลย
เมื่อฉันสงบสติอารมณ์และเงี่ยหูฟังอย่างช้าๆ ฉันก็ได้ยินคนหลายๆคนตะโกนออกมาว่า “ไฟไหม้ๆ” อยู่ไม่ขาดสาย และยังได้ยินเสียงไซเรนที่ออกมาจากรถดับเพลิงที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลนี้ด้วย และเมื่อฉันมองไปยังทิศตะวันตก ถึงฉันจะไม่ได้เห็นเปลวไฟ แต่ควันไฟที่พวยพุ่งขึ้นไปยังท้องฟ้าก็ดูน่ากลัวมากทีเดียว แต่เหนือสิ่งอื่นใด งานแสดงต้องมาก่อน ดังนั้นฉันจึงอยากที่จะวิ่งฝ่าฝูงชนรอบๆไปโดยไม่สนใจว่าไฟที่ไหม้อยู่นั้นจะทำความเสียหายไปมากน้อยเพียงใด
“ถ้าเป็นไปได้ คุณควรที่จะอยู่ห่างจากบริเวณนั้นนะครับ มันดูอันตรายมากทีเดียว” เขาบอกฉันด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง
“ค่ะ... ขอบคุณค่ะ” “ครับผม... ไม่มีใครรู้หรอกครับว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต วันเวลาที่ดูแสนจะธรรมดาก็อาจพลิกเป็นฝันร้ายได้ ก็เหมือนกับไฟไหม้ที่ขวางทางคุณในวันสำคัญแบบนี้น่ะครับ หืม?”
“อ่า... หนูขอโทษค่ะ หนูเป็นคนที่วิ่งโดยไม่มองทางเองค่ะ คุณคงจะรีบมากสินะคะ”
“”ฮ่าๆๆ ไม่หรอกครับ จริงๆแล้วที่ผมรีบเนี่ย ก็เพราะมีการแสดงที่ผมอยากจะไปดูมากเลย แล้วผมก็ได้ซื้อบัตรวีไอพีมา เพราะฉะนั้นถึงแม้ผมจะไปสายหน่อย มันก็ยังมีเวลาเหลืออยู่บ้างก่อนที่งานจะเริ่มน่ะนะ แต่ถ้าผมไปถึงเร็วมันก็น่าจะดี คุณลองคิดดูสิ การที่ได้นั่งอยู่ในห้องโถงพลางจิบไวน์เล็กๆซักแก้วก่อนชมมันเป็นอะไรที่วิเศษสุดๆไปเลยล่ะ การที่ผมไปสายเนี่ยผมก็ไม่ได้รู้สึกแย่มากนักหรอก คนที่ต้องรู้สึกแย่ก็คือพวกห้างสรรพสินค้าต่างหาก พวกเขาน่าสงสารมากเลยว่าไหม? มันไม่น่าเกิดขึ้นเลยจริงไหม?”
“นั่นสินะ...”
เขาผู้นั้นพูดหลายสิ่งที่ฉันสนใจ แต่เมื่อฉันเงี่ยหูฟังเขาอย่างเต็มที่แล้ว ก็พบว่ามีหลายๆสิ่งเลยที่แอบแฝงหลังคำพูดของเขา นั่นทำให้ฉันอยากฟังเขาพูดต่ออีก
“จริงๆแล้วเนี่ย” เขาพูดต่อ “การแสดงที่ฉันชอบน่ะก็เป็นพวกการแสดงตลก ไปจนถึงโศกนาฏกรรมเลยล่ะ จะมีอะไรอีกที่ผมพูดได้เวลานี้? สงคราม ทหาร อุตสาหกรรม ผู้นำเผด็จการ บรรพบุรุษของเราน่ะสอนว่าเบียร์น่ะสามารถหล่อเลี้ยงชีวิตได้ นั่นคือน้ำตาของเทพธิดา เพียงแต่ว่าสิ่งเหล่านี้น่ะถูกทิ้งไปหมดแล้วจากผู้นำไร้สมองตอนนี้ และนี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมคนถึงโมโห ก่อสงคราม สิ่งที่พวกเขาควรจะทำน่ะ ก็คือปล่อยประชาชนเหล่านี้ให้อยู่กินกันเอง น่าเสียดายมากเลย... อุ้ปส์! โทษทีด้วย นอกเรี่องซะแล้วล่ะ” เขาเอามือปิดปากตนเองและถามฉันต่อ “เรา... เคยเจอกันที่ไหนมาก่อนหรือเปล่า?”
หลังจากบทสาธยายอันยืดยาวของชายคนนั้นจบลง เขาก็จ้องมาที่ฉันพลางเอนหัวไปทางซ้ายเล็กน้อย
“อ่า...”
. บางทีเขาอาจจะนึกขึ้นได้ก็ได้ ก็หน้าฉันมันถูกแปะไว้ทั่วเมืองนี้เลยนี่น่า
“ไม่มั้ง... เอ่อ... นี่อาจจะเป็นการเจอกันครั้งแรกของเรา หน้าของหนูน่ะมันค่อนข้าง... เอ่อ... โหลน่ะ ฮ่าๆๆ”
ฉันพยายามเบี่ยงเบนคำถามเขา แต่เขาก็มองหน้าฉันราวกับว่าอยากให้ฉันตอบอะไรสักอย่าง แต่ถ้าพวกเราคุยกันต่อไป เขาก็อาจจะรู้ได้ว่าฉันเป็นใคร และก็คงจะไม่ดีแน่หากกลุ่มคนที่กำลังคับคั่งอยู่ในตอนนี้มองเห็นฉัน และรวมตัวกันมามุงดูฉัน นั่นจะทำให้ยิ่งวุ่นวายเข้าไปใหญ่ เขามองมาที่ฉันเป็นระยะเวลาหนึ่งในขณะที่ฉันกำลังเหม่อลอยมองไปรอบๆ ทันใดนั้น ฉันก็รู้สึกเหมือนกับว่าสายตาเขาสว่างขึ้น และเขาก็จ้องมองมาที่ข้อมือฉัน
“กำไลสวยจังนะ...” เขาเอ่ยขึ้น “แต่ดูเหมือนมันจะเก่าและถูกใช้งานมามากพอสมควร”
“ขะ... ขอบคุณค่ะ ใช่ค่ะมันถูกใช้มาเยอะ... แต่เอ่อ... มันสำคัญกับหนูมากเลย”
“นั่นสินะ... ดูแลมันไว้ให้ดีด้วยล่ะ เขาว่ากันว่าสิ่งของน่ะจะมีสิ่งสถิตสิงอยู่หากอยู่กับมันมาเป็นระยะเวลานาน ผมเชื่อนะว่ายายของคุณจะภูมิใจ”
“...!”
ฉันเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจ แต่สายตาที่จ้องมาของเขาก็ถูกบดบังโดยเส้นผมที่แกว่งไปมาเบาๆ และฉันก็ไม่สามารถบอกได้เลยว่าตอนนี้เขาคิดอะไรอยู่ เสียงอันอ่อนโยนของเขาก็สะท้อนไปมาในหัวฉัน เขาพึ่งพูดถึงยายของฉัน... ให้ตายสิ! เขารู้ได้ยังไงว่ากำไลนี้เป็นของตกทอดมาจากยายของฉัน เขารู้จักย่าฉันหรอ
“เอ่อ... ทำไม...”
ยังไม่ทันจะพูดจบ ฉันก็ได้ยินเสียงระฆังบนหอนาฬิกา เสียง “ฆ้อง” ดังขึ้นเป็นจำนวนทั้งสิ้นสิบสองครั้ง
ฉันฟังอย่างไม่ค่อยสนใจมันเท่าไหร่ แต่ฉันก็จำสิ่งที่สำคัญได้ในเวลาเดียวกัน แย่แล้ว! ฉันถูกแรงดึงดูดของชายผู้นี้เข้าให้จนลืมไปว่าตัวฉันกำลังรีบอยู่ พวกเขานัดฉันไว้ตอนเวลาเที่ยงตรง
“แย่จริงเลย... ถึงเวลาแล้วแหละ หนูคิดว่าหนูพูดคุยยาวไปนะ”
ชายผู้นั้นดึงแขนเสื้อขึ้นและหยิบนาฬิกาพับขึ้นมาดู ฉันรีบกล่าวลาเขา
“ขอบคุณมากนะคะที่บอกหนูเกี่ยวกับไฟไหม้น่ะ แต่หนูลืมไปเลยว่าหนูกำลังรีบอยู่ วันนี้เป็นวันที่สำคัญมาก หนูต้องไปแล้วล่ะค่ะ”
“ครับผม ดูแลตัวเองด้วยนะ ผมเองก็จะไปเหมือนกัน”
ฉันรีบโค้งให้กับชายผู้นั้นแล้วเดินออกมา จากนั้นฉันก็ค่อยๆวิ่ง บางที... เขาอาจจะรู้จักย่าของฉันจริงๆก็เป็นได้ จริงๆแล้วฉันอยากจะคุยกับเขาต่อ แต่ฉันก็ถูกลากออกมาจากความจริงอันน่าแสนเศร้า ความจริงที่ว่าฉันเลยเวลานัดแล้ว!
อีกอย่างนึง ถ้าฉันกับเขาคุยกันต่อ เขาก็อาจจะรู้ตัวตนของฉัน ว่าฉันนั้นเป็น “ซินเดอเรลล่า” ของเมืองนี้ แล้วฉันก็กำลังจะแสดงละครใหม่ในวันนี้ด้วย จากนั้นความเป็นจริงก็ถาโถมเข้ามาใส่ฉันอีกครั้ง ฉันรู้สึกได้ถึงความสุขและความอายนิดๆหน่อยๆและฉันก็หยุดยิ้มไม่ได้ ก็ผนังตึกที่ตั้งอยู่ข้างถนน ทั้งเสาไฟฟ้า ป้ายโฆษณา มีโปสเตอร์อันใหญ่แปะอยู่เต็มไปหมด มันเป็นโปสเตอร์ของฉันเอง นางเอกที่จะแสดงละครในคืนนี้ โปสเตอร์เหล่านั้นมันให้กำลังใจฉัน มันทำให้ฉันมีพลังให้วิ่งไปยังโรงละครได้เร็วขึ้น
เมื่อฉันผลักประตูเข้าไปในห้องสีเขียวหมายเลข 1 ฉันก็พบว่ามีนักแสดงสามคนอยู่ในห้องนั้นเรียบร้อยแล้ว พวกเขากำลังนั่งดื่มชาหลังอาหารกลางวันอย่างสนุกสนาน ฉันเช็คนาฬิกาที่อยู่บนผนังห้องอย่างรีบร้อน พวกเขานัดฉันไว้ตอนเที่ยงตรง แต่ตอนนี้มันก็เลยเวลามา 30 นาทีแล้ว
ฉันรู้สึกกลัวเล็กๆจนทำให้ฉันต้องก้มหน้าและเอามือบีบกระโปรง มันไม่ใช่วิธีการที่ดีมากนักหรอก แต่ฉันมีนิสัยแบบนี้ตั้งแต่เด็กแล้วน่ะ เวลาที่ฉันกลัวหรือเครียดเรื่องอะไรก็ตามฉันก็มักจะขยำกระโปรงตัวเองทุกที
ความนุ่มของผ้าไหมจากกระโปรงของฉันสามารถทำให้ฉันผ่อนคลายไปได้บ้าง แต่ฉันก็ต้องขอโทษพวกเขา ดังนั้นฉันจึงโค้งไปด้านหน้าด้วยมุม 90 องศาและพูดออกมาอย่างเข้มแข็งว่า
“ขะ... ขอโทษด้วยนะทุกคน! ที่หนูมาสายไป 30 นาที!”
“ใช่แล้วล่ะมิคุ นอนหลับไม่ตื่นหรือไงยะ?”
ไคโตะ ผู้นำการแสดงของเรา เดินเข้ามาหาฉันด้วยอารมณ์ที่ไม่บูดบึ้งมากนัก แต่เป็นรอยยิ้มหวานมากกว่า เมื่อฉันก้มหน้าลงบนพื้นต่อ เขาก็เดินเข้ามาในระยะสายตาของฉันและยื่นผ้าเช็ดหน้าให้หนึ่งผืน
“เธอควรจะเช็ดเหงื่อหน่อยนะ เดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอก”
ฉันเงยหน้าขึ้นและยิ้มน้อยๆกลบเกลื่อน “ขะ... ขอบคุณ...”
“ถ้าหายเหนื่อยแล้วก็เปลี่ยนชุดด้วยล่ะ”
“อะ... โอเค...”
นักแสดงสามคนที่อยู่ในห้องนี้มาก่อนได้แต่งหน้ากันเสร็จหมดแล้ว และพวกเขาก็สวมชุดในงานแสดงกันเรียบร้อยแล้วด้วย
“อ่า... คุณลูกะ” ฉันหันหน้าไปหาสาวคนหนึ่งซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่หรูที่สุด “สะ... สวัสดีค่ะ ขะ... ขอโทษด้วยนะคะที่หนูมาสาย”
ลูกะนั่งอยู่ข้างหน้าต่างที่แสงอาทิตย์ได้สาดส่องลงมา เธอดูจะไม่ค่อยสนใจฉันเท่าไหร่นัก ผมสวยๆยาวๆสีชมพูของเธอราวกับดอกชมพูพันธ์ทิพย์นั้นสะท้อนแสงอาทิตย์จนส่องประกาย เธอดูสวยที่สุดแล้ว ยามเมื่อเธอปัดผมหน้าม้าของเธอออกจากสายตา มันก็ดูเหมือนกับว่าเทพธิดาแห่งดวงจันทร์ได้ไปอยู่ในงานเลี้ยงน้ำชาของดวงอาทิตย์อยู่อย่างไรอย่างนั้น
เมื่อฉันทักทายทุกคนเสร็จแล้ว ฉันก็เช็ดเหงื่อของตัวเองด้วยผ้าเช็ดหน้าที่ไคโตะให้มา ฉันนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่ราคาถูกที่สุดใกล้ๆกับประตูทางเข้าและฉันก็เปิดกระเป๋าออก ฉันต้องคอยเช็คของอยู่เสมอเพื่อเตือนสติตัวเองไว้ว่าเธอไม่ได้ลืมเอาอะไรไปแน่นะ ในขณะที่ฉันกำลังรื้อค้นกระเป๋าของฉันอยู่ เมย์โกะ ซึ่งกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่บนโซฟาข้างๆไคโตะ ก็ลุกออกมาแล้วก็มานั่งบนโซฟาขนาดสามคนตรงข้ามกับฉัน
“เอ้านี่! ชามะนาว” เมย์โกะยื่นชามะนาวใส่น้ำแข็งมาให้ “ข้างนอกน่ะ มันร้อนมากใช่ไหมล่ะ? เมื่อคืนเธอนอนหลับฝันดีหรือเปล่า?”
“ขะ... ขอบคุณค่ะ” ฉันรับแก้วชามะนาวมา “อืม... จริงๆแล้วเมื่อวานหนูค่อนข้างตื่นเต้นน่ะค่ะ ก็เลยไม่ได้นอนมากนัก กว่าหนูจะหลับได้ก็เกือบรุ่งแหน่ะ และหนูก็ตื่นมาพร้อมกับฝันร้ายอีก จากนั้นหนูจึงพยายามนอนต่ออีกสองครั้งจนลืมไปว่าเวลาในตอนนั้นมันเกือบเที่ยงแล้ว... เพราะฉะนั้นหนูผิดเองแหละ ฮ่าๆๆๆ”
การแสดงออกของเมย์โกะนั้นดูเหมือนกับผู้ใหญ่ทั้งๆที่เธอยังดูเป็นวัยรุ่นอยู่พอสมควร นั้นก็เป็นเหตุผลนึงที่ว่าทำไมคนถึงเข้าใจผิดกันเยอะว่าเมย์โกะเป็นคนเข้าหาตัวยาก แต่ในความจริงแล้วเธอเป็นคนที่ค่อนข้างตรงไปตรงมา เป็นคนที่ฉันชอบมากเลยทีเดียว เพราะถึงแม้ว่าฉันจะเป็นแค่เด็กใหม่ที่เข้ามาอยู่ในกลุ่มนักแสดงแค่ครึ่งปีเอง แต่เธอผู้นี้ก็รินน้ำชาให้กับฉันก่อนที่เราจะเริ่มพูดคุยกันทุกครั้งทุกเวลา และเมื่อใดที่ฉันรู้สึกเหนื่อยล้าหรือเครียด เธอผู้นี้ก็จะคอยหยอกล้อให้ฉันหัวเราะและมีความสุขอยู่เรื่อยๆ เธอเป็นคนที่อบอุ่นมาก
“อืม...” เมย์โกะพยักหน้า “เธอคงจะเหนื่อยมากสินะเมื่อเช้านี้น่ะ เห็นเขาว่ากันว่ามีการแปะป้ายประท้วงรัฐบาล แถมยังมีไฟไหม้ที่แฮร์รอดอีก...”
“ชะ... ใช่” ฉันพยักหน้าอย่างไม่ค่อยสนใจอะไรนัก
เมย์โกะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังมาก ราวกับว่าวันสิ้นโลกกำลังจะทะยานมาถึงอย่างไรอย่างนั้น เหมือนกับตอนที่เธอกำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่เลย
“แต่ไม่เป็นไรหรอก” เมย์โกะปลอบใจฉัน “เธอไม่ได้มาสายคนเดียวหรอก”
“จริงดิ? อะ... อ่า... งั้นหนูขอชานะ” ฉันพูดพลางยื่นมือไปหยิบแก้วที่วางอยู่บนโต๊ะและดื่มมันลงไปจนเหลือครึ่งแก้ว ความขมนิดๆกับความเปรี้ยวแปลบๆจากชานั้นทำให้ฉันดูสดชื่นขึ้นมากเลยทีเดียว จากนั้นไคโตะก็เดินเข้ามาแล้วนั่งข้างๆเมย์โกะ
“เฮ้! เมย์จ๋า ขอชาเย็นๆสักแก้วหน่อยจิ” ไคโตะประจบประแจงเมย์โกะด้วยคำพูดแปลกๆ
“แหม่... เริ่มร้อนกันแล้วสินะ จ้ะๆๆ แต่เราบอกคุณไปตั้งหลายรอบแล้วนะว่าอย่ามาเรียกเราว่า “เมย์จ๋าๆๆๆ” เนี่ย...”
“เอ๋? โหดร้ายจังนะเธอเนี่ย ถ้างั้นก็เรียกผมว่า “คุณชายไคโตะ” สิฮิๆๆๆๆ เออแต่จะว่าไปแล้ว... ผมกับเธอไม่ได้อยู่ในระดับ “นั้น” หรอ?”
“อย่าพูดอะไรที่มันอาจจะทำให้คนเข้าใจผิดกันได้ง่ายๆสิ” เมย์โกะถอนหายใจแล้วมองมาที่ฉัน “ดูสิมิคุ เขาก็เป็นซะอย่างเนี้ยแหละ ถ้าดูเขาแค่ภายนอกนะจะรู้เลยว่าเขาเป็นสุภาพบุรุษ แต่ถ้าดูภายในตัวเขาแล้วเนี่ย เธอจะรู้เลยว่าเขาพยายามยั่วผู้หญิงมามากแค่ไหน ระวังตัวไว้ด้วยล่ะมิคุ”
เมย์โกะลุกขึ้นจากโซฟาแล้วเดินไปเปิดตู้เย็น หยิบชามะนาวเย็นๆออกมาเสริฟในแก้วที่มีน้ำแข็งอยู่ภายใน
“นี่แหละถึงจะเป็น “คุณหญิง” เมย์ของเรา” ไคโตะดูท่าจะล้อไม่เลิก “เพราะนี่เป็นวิธีเดียวสินะที่จะทักทายกัน ฮิๆๆๆ”
“ทักทายแบบนั้นอย่าหวังเลยนะว่าจะใช้ในประเทศนี้ได้” เมย์โกะส่ายหน้าอย่างเบื่อหน่าย “เอ้า! “คุณชายไคโตะ” เอาไปได้แล้วย่ะ”
“ขอบคุณจ้าเมย์จ๋า”
“แฮ่กๆๆ”
ฉันวิ่งลงมาตามตรอกซอกซอยเล็กๆด้วยความเหนื่อยหอบในเมืองเวสท์เอนด์ เมื่อคำว่า “สาย” ผุดขึ้นมาในหัวของฉัน ฉันก็พยายามที่จะสูดหายใจเข้าลึกๆและปล่อยลมหายใจออกไป ถึงมันจะทำให้ตัวฉันสงบลงไปได้บ้าง แต่มันก็ไม่ได้ช่วยฉันให้รู้สึกดีขึ้นมากนัก ถึงแม้ว่าเมื่อคืนนี้ฉันจะอยากนอนตั้งแต่หัวค่ำก็ตามที แต่ฉันก็ทำไม่ได้เพราะการแสดงในวันนี้น่ะมันทำให้ฉันตื่นเต้นไปมากเลยล่ะ
จะว่าไปแล้ว... เมื่อคืนนี้ฉันก็ตื่นขึ้นมาด้วยความฝันอันแปลกประหลาด มันเป็นความฝันที่มีใครสักคนตกบันไดตายในการแสดง... ฉันจำได้แค่นี้แหละเพราะว่ารายละเอียดต่างๆน่ะมันค่อยๆเลือนรางหายไปหมดแล้ว การที่ได้เห็นใครสักคนตายแบบนั้นมันทำให้ฉันระทึกใจอยู่ไม่ใช่น้อย จากนั้นฉันก็ดึงหมอนข้างเข้ามากอดไว้ พยายามที่จะข่มตานอนอีกแต่มันก็ไม่สำเร็จ ฝันร้ายที่ฉันได้รับครั้งนั้นมันยังคงตรึงตาฉันไว้อยู่ไม่หาย และนั่นก็ทำให้ฉันนอนไม่เพียงพอ จนในที่สุดฉันก็ตื่นสายจนได้
“ทำไมต้องเป็นวันนี้ด้วยล่ะ?” ฉันคิดในใจ ก็ในเมื่อในโลกนี้มีวันตั้งหลากหลาย ทำไมฉันต้องมาตื่นสายในวันที่สำคัญแบบนี้ด้วยนะ “แย่ที่สุด! ฉันนี้มันบ้าจริงๆเลย!” ฉันบ่นตัวเองด้วยคำพูดแบบนี้เป็นสิบๆรอบแล้วเพื่อสาปแช่งในความโง่ของฉัน
เมื่อฉันวิ่งมาจนถึงถนนใหญ่ ฉันก็พบกับกลุ่มคนขนาดมหึมากำลังเดินสวนสลับกันไปมาอย่างวุ่นวาย ผู้คนต่างก็มาซื้อของ ขายของ ตามกิจวัตรประจำวันของพวกเขาอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าวันนี้ดูเหมือนคนจะเยอะเป็นพิเศษ ฉันเดินเข้าไปในถนนคนเดินด้วยความรีบร้อน พลางกล่าวขอโทษกับคนเหล่านั้นเมื่อฉันพยายามที่จะเดินฝ่าพวกเขาไป แต่คนเยอะขนาดนี้เนี่ย... ฉันคงจะไปไม่ทันจริงๆซะแล้วล่ะ
ป้าบ!
ทันใดนั้น บางสิ่งบางอย่างก็เข้ามาบังวิสัยทัศน์ของฉัน
“ว้ายยย!”
หน้าฉันชนเข้ากับบางสิ่งบางอย่างจนทำให้ฉันเสียหลักล้มลงกลางถนนที่คนกำลังพลุ่กพล่าน ฉันขยี้ตาตัวเองและเปิดตาขึ้นมา มองเห็นใครคนนึงรูปร่างสูงพอสมควรกำลังก้มหาหมวกผ้าไหมที่หล่นจากหัวเขา เมื่อเขาเจอแล้วเขาก็นำมันมาสวมบนหัวและยื่นมือเข้ามาหาฉัน
“ขอโทษนะครับ ผมกำลังรีบจนไม่ทันสังเกตว่าผมกำลังจะเดินไปชนใครเข้า ต้องขอโทษด้วยจริงๆครับ” เขาก้มหัวลงหลายๆครั้ง “คุณเจ็บไหมครับ?”
“อ่า... มะ... ไม่เป็นไรค่ะ นะ... หนูไม่เป็นไร...”
ฉันรู้สึกเหมือนกับว่าฉันหลงเข้าไปอยู่ในนิทานอย่างไรอย่างนั้น เขายื่นมือมาหาฉันอย่างสง่างามและอ่อนโยน เหมือนกับตอนที่เจ้าชายกำลังยื่นมือช่วยเจ้าหญิงที่ล้มอยู่ ฉันค่อยๆยื่นมือออกไปจับมือของเขาและเขาก็ดึงตัวฉันขึ้นมา ช่วงเวลาที่ดูเหมือนว่าจะเป็นฉากในเทพนิยายที่ทั้งสองยื่นมือเข้าหากันนั้นทำให้ฉันรู้สึกเขินอายอย่างบอกไม่ถูก ดังนั้นฉันจึงไม่กล้าพอที่จะมองหน้าเขา ทำได้แค่เบนสายตาออกมาจากเขาพลางชำเลืองมองเขาอยู่พลางๆ เขาสูงมาก เหมือนสุภาพบุรุษที่สวมชุดสูทและหมวกผ้าไหม
“ดีแล้วล่ะครับผม แต่ระมัดระวังไว้หน่อยก็ดีนะครับ แถวนี้เพิ่งจะมีไฟไหม้ไปเอง”
“ไฟไหม้?”
“ครับผม มีไฟไหม้เกิดขึ้นที่แฮร์รอดน่ะครับเมื่อเช้านี้ คุณลองมองไปทางซ้ายมือสิครับ จะเห็นว่าท้องฟ้าถูกปกคลุมไปด้วยควันไฟสีเทาแล้ว แฮร์รอดน่ะเป็นห้างสรรพสินค้าที่ค่อนข้างใหญ่ทีเดียว... น่าจะใช้เวลาดับไฟนานหน่อย ผมเพิ่งวิ่งหนีออกมาจากละแวกนั้นน่ะครับ แต่ก็แปลกใจอยู่เหมือนกันว่าเหตุการณ์อันตรายแบบนี้ทำไมคนไปมุงดูเยอะจัง หวังว่าห้างนั้นจะปลอดภัยดีนะครับ”
“คะ... ค่ะ”
ดูเหมือนว่าฉันจะไม่ทันสังเกตมันเลยจริงๆ อาจจะเป็นเพราะว่าความรีบร้อนของฉันมันออกหน้าไปหน่อยก็เป็นได้ ฉันพลางนึกถึงคนหลายๆคนที่คอยเร่งฉันให้เดินไวๆหน่อย ฉันพอจะนึกเหตุผลออกแล้วล่ะ ฉันมีปัญหาเกี่ยวกับการโฟกัสและเจาะจงไปกับสิ่งๆหนึ่งจนทำให้ฉันไม่ได้สังเกตสิ่งรอบข้างเลย
เมื่อฉันสงบสติอารมณ์และเงี่ยหูฟังอย่างช้าๆ ฉันก็ได้ยินคนหลายๆคนตะโกนออกมาว่า “ไฟไหม้ๆ” อยู่ไม่ขาดสาย และยังได้ยินเสียงไซเรนที่ออกมาจากรถดับเพลิงที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลนี้ด้วย และเมื่อฉันมองไปยังทิศตะวันตก ถึงฉันจะไม่ได้เห็นเปลวไฟ แต่ควันไฟที่พวยพุ่งขึ้นไปยังท้องฟ้าก็ดูน่ากลัวมากทีเดียว แต่เหนือสิ่งอื่นใด งานแสดงต้องมาก่อน ดังนั้นฉันจึงอยากที่จะวิ่งฝ่าฝูงชนรอบๆไปโดยไม่สนใจว่าไฟที่ไหม้อยู่นั้นจะทำความเสียหายไปมากน้อยเพียงใด
“ถ้าเป็นไปได้ คุณควรที่จะอยู่ห่างจากบริเวณนั้นนะครับ มันดูอันตรายมากทีเดียว” เขาบอกฉันด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง
“ค่ะ... ขอบคุณค่ะ” “ครับผม... ไม่มีใครรู้หรอกครับว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต วันเวลาที่ดูแสนจะธรรมดาก็อาจพลิกเป็นฝันร้ายได้ ก็เหมือนกับไฟไหม้ที่ขวางทางคุณในวันสำคัญแบบนี้น่ะครับ หืม?”
“อ่า... หนูขอโทษค่ะ หนูเป็นคนที่วิ่งโดยไม่มองทางเองค่ะ คุณคงจะรีบมากสินะคะ”
“”ฮ่าๆๆ ไม่หรอกครับ จริงๆแล้วที่ผมรีบเนี่ย ก็เพราะมีการแสดงที่ผมอยากจะไปดูมากเลย แล้วผมก็ได้ซื้อบัตรวีไอพีมา เพราะฉะนั้นถึงแม้ผมจะไปสายหน่อย มันก็ยังมีเวลาเหลืออยู่บ้างก่อนที่งานจะเริ่มน่ะนะ แต่ถ้าผมไปถึงเร็วมันก็น่าจะดี คุณลองคิดดูสิ การที่ได้นั่งอยู่ในห้องโถงพลางจิบไวน์เล็กๆซักแก้วก่อนชมมันเป็นอะไรที่วิเศษสุดๆไปเลยล่ะ การที่ผมไปสายเนี่ยผมก็ไม่ได้รู้สึกแย่มากนักหรอก คนที่ต้องรู้สึกแย่ก็คือพวกห้างสรรพสินค้าต่างหาก พวกเขาน่าสงสารมากเลยว่าไหม? มันไม่น่าเกิดขึ้นเลยจริงไหม?”
“นั่นสินะ...”
เขาผู้นั้นพูดหลายสิ่งที่ฉันสนใจ แต่เมื่อฉันเงี่ยหูฟังเขาอย่างเต็มที่แล้ว ก็พบว่ามีหลายๆสิ่งเลยที่แอบแฝงหลังคำพูดของเขา นั่นทำให้ฉันอยากฟังเขาพูดต่ออีก
“จริงๆแล้วเนี่ย” เขาพูดต่อ “การแสดงที่ฉันชอบน่ะก็เป็นพวกการแสดงตลก ไปจนถึงโศกนาฏกรรมเลยล่ะ จะมีอะไรอีกที่ผมพูดได้เวลานี้? สงคราม ทหาร อุตสาหกรรม ผู้นำเผด็จการ บรรพบุรุษของเราน่ะสอนว่าเบียร์น่ะสามารถหล่อเลี้ยงชีวิตได้ นั่นคือน้ำตาของเทพธิดา เพียงแต่ว่าสิ่งเหล่านี้น่ะถูกทิ้งไปหมดแล้วจากผู้นำไร้สมองตอนนี้ และนี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมคนถึงโมโห ก่อสงคราม สิ่งที่พวกเขาควรจะทำน่ะ ก็คือปล่อยประชาชนเหล่านี้ให้อยู่กินกันเอง น่าเสียดายมากเลย... อุ้ปส์! โทษทีด้วย นอกเรี่องซะแล้วล่ะ” เขาเอามือปิดปากตนเองและถามฉันต่อ “เรา... เคยเจอกันที่ไหนมาก่อนหรือเปล่า?”
หลังจากบทสาธยายอันยืดยาวของชายคนนั้นจบลง เขาก็จ้องมาที่ฉันพลางเอนหัวไปทางซ้ายเล็กน้อย
“อ่า...”
. บางทีเขาอาจจะนึกขึ้นได้ก็ได้ ก็หน้าฉันมันถูกแปะไว้ทั่วเมืองนี้เลยนี่น่า
“ไม่มั้ง... เอ่อ... นี่อาจจะเป็นการเจอกันครั้งแรกของเรา หน้าของหนูน่ะมันค่อนข้าง... เอ่อ... โหลน่ะ ฮ่าๆๆ”
ฉันพยายามเบี่ยงเบนคำถามเขา แต่เขาก็มองหน้าฉันราวกับว่าอยากให้ฉันตอบอะไรสักอย่าง แต่ถ้าพวกเราคุยกันต่อไป เขาก็อาจจะรู้ได้ว่าฉันเป็นใคร และก็คงจะไม่ดีแน่หากกลุ่มคนที่กำลังคับคั่งอยู่ในตอนนี้มองเห็นฉัน และรวมตัวกันมามุงดูฉัน นั่นจะทำให้ยิ่งวุ่นวายเข้าไปใหญ่ เขามองมาที่ฉันเป็นระยะเวลาหนึ่งในขณะที่ฉันกำลังเหม่อลอยมองไปรอบๆ ทันใดนั้น ฉันก็รู้สึกเหมือนกับว่าสายตาเขาสว่างขึ้น และเขาก็จ้องมองมาที่ข้อมือฉัน
“กำไลสวยจังนะ...” เขาเอ่ยขึ้น “แต่ดูเหมือนมันจะเก่าและถูกใช้งานมามากพอสมควร”
“ขะ... ขอบคุณค่ะ ใช่ค่ะมันถูกใช้มาเยอะ... แต่เอ่อ... มันสำคัญกับหนูมากเลย”
“นั่นสินะ... ดูแลมันไว้ให้ดีด้วยล่ะ เขาว่ากันว่าสิ่งของน่ะจะมีสิ่งสถิตสิงอยู่หากอยู่กับมันมาเป็นระยะเวลานาน ผมเชื่อนะว่ายายของคุณจะภูมิใจ”
“...!”
ฉันเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจ แต่สายตาที่จ้องมาของเขาก็ถูกบดบังโดยเส้นผมที่แกว่งไปมาเบาๆ และฉันก็ไม่สามารถบอกได้เลยว่าตอนนี้เขาคิดอะไรอยู่ เสียงอันอ่อนโยนของเขาก็สะท้อนไปมาในหัวฉัน เขาพึ่งพูดถึงยายของฉัน... ให้ตายสิ! เขารู้ได้ยังไงว่ากำไลนี้เป็นของตกทอดมาจากยายของฉัน เขารู้จักย่าฉันหรอ
“เอ่อ... ทำไม...”
ยังไม่ทันจะพูดจบ ฉันก็ได้ยินเสียงระฆังบนหอนาฬิกา เสียง “ฆ้อง” ดังขึ้นเป็นจำนวนทั้งสิ้นสิบสองครั้ง
ฉันฟังอย่างไม่ค่อยสนใจมันเท่าไหร่ แต่ฉันก็จำสิ่งที่สำคัญได้ในเวลาเดียวกัน แย่แล้ว! ฉันถูกแรงดึงดูดของชายผู้นี้เข้าให้จนลืมไปว่าตัวฉันกำลังรีบอยู่ พวกเขานัดฉันไว้ตอนเวลาเที่ยงตรง
“แย่จริงเลย... ถึงเวลาแล้วแหละ หนูคิดว่าหนูพูดคุยยาวไปนะ”
ชายผู้นั้นดึงแขนเสื้อขึ้นและหยิบนาฬิกาพับขึ้นมาดู ฉันรีบกล่าวลาเขา
“ขอบคุณมากนะคะที่บอกหนูเกี่ยวกับไฟไหม้น่ะ แต่หนูลืมไปเลยว่าหนูกำลังรีบอยู่ วันนี้เป็นวันที่สำคัญมาก หนูต้องไปแล้วล่ะค่ะ”
“ครับผม ดูแลตัวเองด้วยนะ ผมเองก็จะไปเหมือนกัน”
ฉันรีบโค้งให้กับชายผู้นั้นแล้วเดินออกมา จากนั้นฉันก็ค่อยๆวิ่ง บางที... เขาอาจจะรู้จักย่าของฉันจริงๆก็เป็นได้ จริงๆแล้วฉันอยากจะคุยกับเขาต่อ แต่ฉันก็ถูกลากออกมาจากความจริงอันน่าแสนเศร้า ความจริงที่ว่าฉันเลยเวลานัดแล้ว!
อีกอย่างนึง ถ้าฉันกับเขาคุยกันต่อ เขาก็อาจจะรู้ตัวตนของฉัน ว่าฉันนั้นเป็น “ซินเดอเรลล่า” ของเมืองนี้ แล้วฉันก็กำลังจะแสดงละครใหม่ในวันนี้ด้วย จากนั้นความเป็นจริงก็ถาโถมเข้ามาใส่ฉันอีกครั้ง ฉันรู้สึกได้ถึงความสุขและความอายนิดๆหน่อยๆและฉันก็หยุดยิ้มไม่ได้ ก็ผนังตึกที่ตั้งอยู่ข้างถนน ทั้งเสาไฟฟ้า ป้ายโฆษณา มีโปสเตอร์อันใหญ่แปะอยู่เต็มไปหมด มันเป็นโปสเตอร์ของฉันเอง นางเอกที่จะแสดงละครในคืนนี้ โปสเตอร์เหล่านั้นมันให้กำลังใจฉัน มันทำให้ฉันมีพลังให้วิ่งไปยังโรงละครได้เร็วขึ้น
เมื่อฉันผลักประตูเข้าไปในห้องสีเขียวหมายเลข 1 ฉันก็พบว่ามีนักแสดงสามคนอยู่ในห้องนั้นเรียบร้อยแล้ว พวกเขากำลังนั่งดื่มชาหลังอาหารกลางวันอย่างสนุกสนาน ฉันเช็คนาฬิกาที่อยู่บนผนังห้องอย่างรีบร้อน พวกเขานัดฉันไว้ตอนเที่ยงตรง แต่ตอนนี้มันก็เลยเวลามา 30 นาทีแล้ว
ฉันรู้สึกกลัวเล็กๆจนทำให้ฉันต้องก้มหน้าและเอามือบีบกระโปรง มันไม่ใช่วิธีการที่ดีมากนักหรอก แต่ฉันมีนิสัยแบบนี้ตั้งแต่เด็กแล้วน่ะ เวลาที่ฉันกลัวหรือเครียดเรื่องอะไรก็ตามฉันก็มักจะขยำกระโปรงตัวเองทุกที
ความนุ่มของผ้าไหมจากกระโปรงของฉันสามารถทำให้ฉันผ่อนคลายไปได้บ้าง แต่ฉันก็ต้องขอโทษพวกเขา ดังนั้นฉันจึงโค้งไปด้านหน้าด้วยมุม 90 องศาและพูดออกมาอย่างเข้มแข็งว่า
“ขะ... ขอโทษด้วยนะทุกคน! ที่หนูมาสายไป 30 นาที!”
“ใช่แล้วล่ะมิคุ นอนหลับไม่ตื่นหรือไงยะ?”
ไคโตะ ผู้นำการแสดงของเรา เดินเข้ามาหาฉันด้วยอารมณ์ที่ไม่บูดบึ้งมากนัก แต่เป็นรอยยิ้มหวานมากกว่า เมื่อฉันก้มหน้าลงบนพื้นต่อ เขาก็เดินเข้ามาในระยะสายตาของฉันและยื่นผ้าเช็ดหน้าให้หนึ่งผืน
“เธอควรจะเช็ดเหงื่อหน่อยนะ เดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอก”
ฉันเงยหน้าขึ้นและยิ้มน้อยๆกลบเกลื่อน “ขะ... ขอบคุณ...”
“ถ้าหายเหนื่อยแล้วก็เปลี่ยนชุดด้วยล่ะ”
“อะ... โอเค...”
นักแสดงสามคนที่อยู่ในห้องนี้มาก่อนได้แต่งหน้ากันเสร็จหมดแล้ว และพวกเขาก็สวมชุดในงานแสดงกันเรียบร้อยแล้วด้วย
“อ่า... คุณลูกะ” ฉันหันหน้าไปหาสาวคนหนึ่งซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่หรูที่สุด “สะ... สวัสดีค่ะ ขะ... ขอโทษด้วยนะคะที่หนูมาสาย”
ลูกะนั่งอยู่ข้างหน้าต่างที่แสงอาทิตย์ได้สาดส่องลงมา เธอดูจะไม่ค่อยสนใจฉันเท่าไหร่นัก ผมสวยๆยาวๆสีชมพูของเธอราวกับดอกชมพูพันธ์ทิพย์นั้นสะท้อนแสงอาทิตย์จนส่องประกาย เธอดูสวยที่สุดแล้ว ยามเมื่อเธอปัดผมหน้าม้าของเธอออกจากสายตา มันก็ดูเหมือนกับว่าเทพธิดาแห่งดวงจันทร์ได้ไปอยู่ในงานเลี้ยงน้ำชาของดวงอาทิตย์อยู่อย่างไรอย่างนั้น
เมื่อฉันทักทายทุกคนเสร็จแล้ว ฉันก็เช็ดเหงื่อของตัวเองด้วยผ้าเช็ดหน้าที่ไคโตะให้มา ฉันนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่ราคาถูกที่สุดใกล้ๆกับประตูทางเข้าและฉันก็เปิดกระเป๋าออก ฉันต้องคอยเช็คของอยู่เสมอเพื่อเตือนสติตัวเองไว้ว่าเธอไม่ได้ลืมเอาอะไรไปแน่นะ ในขณะที่ฉันกำลังรื้อค้นกระเป๋าของฉันอยู่ เมย์โกะ ซึ่งกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่บนโซฟาข้างๆไคโตะ ก็ลุกออกมาแล้วก็มานั่งบนโซฟาขนาดสามคนตรงข้ามกับฉัน
“เอ้านี่! ชามะนาว” เมย์โกะยื่นชามะนาวใส่น้ำแข็งมาให้ “ข้างนอกน่ะ มันร้อนมากใช่ไหมล่ะ? เมื่อคืนเธอนอนหลับฝันดีหรือเปล่า?”
“ขะ... ขอบคุณค่ะ” ฉันรับแก้วชามะนาวมา “อืม... จริงๆแล้วเมื่อวานหนูค่อนข้างตื่นเต้นน่ะค่ะ ก็เลยไม่ได้นอนมากนัก กว่าหนูจะหลับได้ก็เกือบรุ่งแหน่ะ และหนูก็ตื่นมาพร้อมกับฝันร้ายอีก จากนั้นหนูจึงพยายามนอนต่ออีกสองครั้งจนลืมไปว่าเวลาในตอนนั้นมันเกือบเที่ยงแล้ว... เพราะฉะนั้นหนูผิดเองแหละ ฮ่าๆๆๆ”
การแสดงออกของเมย์โกะนั้นดูเหมือนกับผู้ใหญ่ทั้งๆที่เธอยังดูเป็นวัยรุ่นอยู่พอสมควร นั้นก็เป็นเหตุผลนึงที่ว่าทำไมคนถึงเข้าใจผิดกันเยอะว่าเมย์โกะเป็นคนเข้าหาตัวยาก แต่ในความจริงแล้วเธอเป็นคนที่ค่อนข้างตรงไปตรงมา เป็นคนที่ฉันชอบมากเลยทีเดียว เพราะถึงแม้ว่าฉันจะเป็นแค่เด็กใหม่ที่เข้ามาอยู่ในกลุ่มนักแสดงแค่ครึ่งปีเอง แต่เธอผู้นี้ก็รินน้ำชาให้กับฉันก่อนที่เราจะเริ่มพูดคุยกันทุกครั้งทุกเวลา และเมื่อใดที่ฉันรู้สึกเหนื่อยล้าหรือเครียด เธอผู้นี้ก็จะคอยหยอกล้อให้ฉันหัวเราะและมีความสุขอยู่เรื่อยๆ เธอเป็นคนที่อบอุ่นมาก
“อืม...” เมย์โกะพยักหน้า “เธอคงจะเหนื่อยมากสินะเมื่อเช้านี้น่ะ เห็นเขาว่ากันว่ามีการแปะป้ายประท้วงรัฐบาล แถมยังมีไฟไหม้ที่แฮร์รอดอีก...”
“ชะ... ใช่” ฉันพยักหน้าอย่างไม่ค่อยสนใจอะไรนัก
เมย์โกะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังมาก ราวกับว่าวันสิ้นโลกกำลังจะทะยานมาถึงอย่างไรอย่างนั้น เหมือนกับตอนที่เธอกำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่เลย
“แต่ไม่เป็นไรหรอก” เมย์โกะปลอบใจฉัน “เธอไม่ได้มาสายคนเดียวหรอก”
“จริงดิ? อะ... อ่า... งั้นหนูขอชานะ” ฉันพูดพลางยื่นมือไปหยิบแก้วที่วางอยู่บนโต๊ะและดื่มมันลงไปจนเหลือครึ่งแก้ว ความขมนิดๆกับความเปรี้ยวแปลบๆจากชานั้นทำให้ฉันดูสดชื่นขึ้นมากเลยทีเดียว จากนั้นไคโตะก็เดินเข้ามาแล้วนั่งข้างๆเมย์โกะ
“เฮ้! เมย์จ๋า ขอชาเย็นๆสักแก้วหน่อยจิ” ไคโตะประจบประแจงเมย์โกะด้วยคำพูดแปลกๆ
“แหม่... เริ่มร้อนกันแล้วสินะ จ้ะๆๆ แต่เราบอกคุณไปตั้งหลายรอบแล้วนะว่าอย่ามาเรียกเราว่า “เมย์จ๋าๆๆๆ” เนี่ย...”
“เอ๋? โหดร้ายจังนะเธอเนี่ย ถ้างั้นก็เรียกผมว่า “คุณชายไคโตะ” สิฮิๆๆๆๆ เออแต่จะว่าไปแล้ว... ผมกับเธอไม่ได้อยู่ในระดับ “นั้น” หรอ?”
“อย่าพูดอะไรที่มันอาจจะทำให้คนเข้าใจผิดกันได้ง่ายๆสิ” เมย์โกะถอนหายใจแล้วมองมาที่ฉัน “ดูสิมิคุ เขาก็เป็นซะอย่างเนี้ยแหละ ถ้าดูเขาแค่ภายนอกนะจะรู้เลยว่าเขาเป็นสุภาพบุรุษ แต่ถ้าดูภายในตัวเขาแล้วเนี่ย เธอจะรู้เลยว่าเขาพยายามยั่วผู้หญิงมามากแค่ไหน ระวังตัวไว้ด้วยล่ะมิคุ”
เมย์โกะลุกขึ้นจากโซฟาแล้วเดินไปเปิดตู้เย็น หยิบชามะนาวเย็นๆออกมาเสริฟในแก้วที่มีน้ำแข็งอยู่ภายใน
“นี่แหละถึงจะเป็น “คุณหญิง” เมย์ของเรา” ไคโตะดูท่าจะล้อไม่เลิก “เพราะนี่เป็นวิธีเดียวสินะที่จะทักทายกัน ฮิๆๆๆ”
“ทักทายแบบนั้นอย่าหวังเลยนะว่าจะใช้ในประเทศนี้ได้” เมย์โกะส่ายหน้าอย่างเบื่อหน่าย “เอ้า! “คุณชายไคโตะ” เอาไปได้แล้วย่ะ”
“ขอบคุณจ้าเมย์จ๋า”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.6 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ