Bad End Night [Vocaloid]

9.6

เขียนโดย Yuukuriuddo39

วันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2558 เวลา 17.27 น.

  4 บท
  6 วิจารณ์
  10.48K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 เมษายน พ.ศ. 2558 11.18 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) ค่ำคืนอันมืดมิด

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

           ปัง!

           เสียงเปิดประตูดังขึ้นจากแรงเหวี่ยงสองมือของเด็กสาว จากนั้นผู้คนที่อยู่ในห้องเกือบสิบคนก็หันมาจับจ้องที่เด็กสาวคนนั้นอย่างพร้อมเพรียงกัน คนนึงกำลังถือขวดไวน์และแก้วไวน์อยู่ คนนึงกำลังบอกเล่าบางสิ่งบางอย่างกับเพื่อนของเขาอย่างมีอรรถรส คนนึงกำลังฟังคำบอกเล่าจากเพื่อนของเขาอย่างน่าเบื่อหน่าย คนนึงกำลังร้องเพลง คนนึงกำลังเต้น คนนึงกำลังรินไวน์ลงในแก้วของตัวเอง และอีกคนก็กำลังเล่นปาเป้าข้างๆโต๊ะกินข้าวใกล้ๆกับอีกหกคนที่เหลือ

           คนที่กำลังถือขวดและแก้วไวน์อยู่สังเกตเห็นเด็กสาวคนนั้นจึงวางอุปกรณ์ลงและเดินไปต้อนรับ ในขณะที่อีกหกคนในห้องก็ทำเช่นเดียวกัน

           “ฮุฮิๆๆ น่ารักจังนะ ดูเหมือนเรามีแขกเพิ่มอีกคนแล้วล่ะ~ เป็นนางเอกซะด้วยสิ” ชายที่ถือขวดไวน์กล่าวทักทาย จากนั้นเขาก็รินไวน์ลงในแก้วใบนึงที่ยังว่างอยู่ กลิ่นและความงดงามของไวน์แก้วนั้นชักชวนให้เธอเข้ามาในแมนชั่นได้เป็นอย่างดี ชายคนนั้นกล่าวต่อแล้วยิ้ม “จะบอกว่าเธอมาสายนะ~ แต่ช่างเถอะ มาสนุกกัน!”           

           แก้วไวน์ที่เด็กสาวคนนั้นได้รับมีสีแดงสดสว่างใส เธอเดินเข้าไปหยิบมันแล้วยกมันขึ้นส่องทาบกับแสงไฟบนเพดาน จากนั้นเธอก็เขย่าแก้วอย่างเบาๆ แต่ทว่าสายตาเกือบสิบคู่ที่ได้จับจ้องมาที่เธอก็เริ่มทำให้เธอใจสั่นเล็กน้อย เธอปิดตาอย่างรวดเร็วจากนั้นก็กลืนไวน์ทั้งแก้วจดหมดลงภายในพริบตา

           “นี่” ชายคนนั้นหันไปหาคนอื่นๆ “จะยืนเฉยกันทำไม มีแขกใหม่มาก็ต้องสังสรรค์เพิ่มสิ”

           ชายคนนึงที่มีลักษณะคล้ายผู้นำจ้องมองแก้วไวน์ของเด็กสาวที่หมดลงแล้ว จากนั้นเขาก็บอกกับเด็กสาว “พูดอะไรสักหน่อยสิ พี่ไม่เห็นเธอพูดอะไรเลยตั้งแต่เข้ามาในนี้แล้ว”

           ทุกๆคนต่างก็ยังจับจ้องไปที่เด็กสาวอย่างไม่ลดละ

          “พวกพี่... จะไม่บอกความจริงกับหนูเลยหรอ” เด็กสาวคนนั้นพูดออกมา

          “ความจริง?” ชาย (ที่ดูคล้ายผู้นำ) ยิ้มเล็กน้อย ม่านตาของเขาขยายออกและทำตาปริบๆสองถึงสามครั้ง “ความจริงอะไร?”

          “จดหมายนี้...” เธอหยิบซองจดหมายออกมาจากกระเป๋าเสื้อ “มันจะบอกความจริงกับทุกคน ความจริงที่ทุกคนต้องรู้”

          ทุกคนในห้องต่างก็จ้องไปที่จดหมายฉบับนั้นและตัวเด็กสาวเอง ทุกๆคนไม่ได้เปลี่ยนแปลงอารมณ์หรือลักษณะท่าทางใดๆเลย ไม่แม้จะกระพริบตาหรือหายใจ... ความนิ่งเงียบนั้นทำให้คนหลายๆคนอยากรู้ว่าตัวเด็กสาวนั้นจะทำอะไรต่อไป

         “บอกฉันทีสิ” หญิงสาวคนนึงที่ดูมีฐานะหน่อยเดินเข้ามาใกล้ “เธอหมายถึงอะไร ‘ความจริง’ ที่ว่าน่ะ?”

          “มันเกี่ยวกับพวกเรานะ” เด็กสาวพร่ำต่อ “ทำให้บทกลายเป็นการแสดง”

         “แล้วไง? แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้นหรอ?” หญิงสาว (ที่ดูมีฐานะ) เซ้าซี้

         “อย่าโง่ไปหน่อยเลยน่า~ ถ้าอยากรู้ละก็มันอยู่ในจดหมายนี้แหละ” เด็กสาวเหลือบตามองไปที่จดหมายสีขาวที่เธอชูขึ้นมาเหนือหัว ก่อนที่จะถูกขัดโดยชายที่นั่งอยู่

         “เธอไปเอามาจากไหนกันล่ะ?” ชาย (ที่ดูคล้ายผู้นำ) ถาม

         “มันอยู่บนเวทีน่ะ...” เด็กสาวตอบ

         “ถ้างั้น... มันเขียนอะไรไว้ล่ะ? ขอพี่ดูหน่อยสิ” ชาย (ที่ดูคล้ายผู้นำ) ลุกขึ้นมาและเข้ามาใกล้เด็กสาว

         “หนูว่าพวกพี่ๆน่ะน่าจะรู้กันดีหมดแล้วนะ หนูไม่ต้องให้พี่ดูหรอก เพราะถ้าสิ่งที่เขียนในจดหมายนี้มันจริงละก็ มันจะไม่เป็นการ ‘ดูหมิ่น’ เขาหรอกหรอ?” เด็กสาวหันหน้าไปหาทุกคน

          “!”

          “ดูหมิ่น... ‘เขา’ หรอ เขาไหนกันล่ะ? อย่าบอกนะว่า...” ชาย (ที่ดูคล้ายผู้นำ) เริ่มแสดงอาการตกใจเล็กน้อย

         เป็นอย่างที่เธอคาดไว้จริงๆ เมื่อเธอพูดคำว่า “ดูหมิ่น” ออกมา ทุกคนก็แสดงอารมณ์ที่แตกต่างกันไปอย่างเห็นได้ชัด เธอเอามือปิดปากตัวเอง นำมืออีกข้างมาก่ายหน้าผากและมองไปที่เพดาน

         “มะ... มันเป็นจริงสินะ... หนูรู้สึก... ผิดมากเลย... และทำไม...”

         มีหลายครั้งที่เด็กสาวคนนั้นอยากจะถามคำถามกับผู้คนเหล่านั้น แต่เธอก็แปลกใจที่เธอกลับพูดตะกุกตะกักจนไม่สามารถจบประโยคตนเองได้เสียที แต่หลังจากนั้นไม่นานชาย (ที่ดูคล้ายผู้นำ) ก็เปิดปาก “มันเกิดขึ้นไปแล้วล่ะ... หนูต้องเข้าใจด้วยนะ เรา...”

         “หนูไม่อยากฟังคำแก้ตัว! แต่ไม่เป็นไรหรอก... หนูว่ามันยังไม่สายเกินไป แต่พี่ๆต้องประกาศความจริงในจดหมายนี้ให้คนอื่นได้รู้นะ ถ้าพี่ทำตอนนี้เลย หนูว่ายังมีเวลานะ... หนูว่านะ... ไม่สิ! หนูมั่นใจเลยว่า...” เด็กสาวพยายามเซ้าซี้

          “เดี๋ยวสิ!” หญิงสาว (ที่ดูมีฐานะ) กล่าวตัดพ้อ “เธอกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่! ถ้าพวกพี่นำจดหมายนี้ไปเผยแพร่แล้ว พวกเราและคณะของเราก็จะถูกยุบเลยนะ!”

          “ใครมันจะกล้าดีเขียนจดหมายแบบนี้กัน ก็คงจะเป็นหนึ่งในพวกเราในนี้แหละใช่มั้ย” เด็กชายคนหนึ่งซึ่งนั่งดูเหตุการณ์ที่โซฟาอยู่เป็นเวลานานแล้วได้เอ่ยขึ้น ทำเอาบรรยากาศเงียบไปชั่วขณะ เด็กชายนั่งมองหาผู้กระทำผิด แต่ไม่มีใครสารภาพออกมา สุดท้ายแล้วหญิงสาว (ที่ดูมีฐานะ) ก็พูดต่อจากประโยคที่เธอทิ้งไว้

          “นั่นไม่ใช่ประเด็นหรอก! ประเด็นก็คือพวกเราน่ะ ต้องไม่ให้จดหมายนี้ถูกเผยแพร่อย่างเด็ดขาดเลยเข้าใจไหม?”

          “ใช่!” ชาย (ที่ดูคล้ายผู้นำ) เสริมหญิงสาว “ถ้าเธอนำจดหมายนี้ออกไปนะ ทุกอย่างจะแย่ลงกว่านี้เยอะ เชื่อพี่สิ คิดใหม่เถอะนะ~ พี่ขอร้องนะ~ นะๆๆๆ~”

          เด็กหญิงคนหนึ่ง (ที่ขี้กลัว) นั่งอยู่ข้างๆเด็กชายมองเด็กสาวกับชาย (ที่ดูคล้ายผู้นำ) กำลังทำให้อีกฝ่ายใจอ่อนกันอยู่ พลันน้ำตาเจ้ากรรมก็ไหลออกมาจากดวงตาของเด็กหญิง (ที่ขี้กลัว) คนนั้น บรรยากาศความสำราญของการสังสรรค์นั้นไม่หลงเหลืออีกแล้ว เหลือไว้เพียงแค่ความตึงเครียดที่ถาโถมใส่เด็กสาว (ที่ถือจดหมาย) อยู่อย่างต่อเนื่อง

          ภายนอกห้องนั้นมีฝนตกและพายุฟ้าคะนองอย่างรุนแรง สังเกตได้จากเสียงแรงกระแทกของน้ำฝนกับหน้าต่าง เสียงสะท้อนของน้ำฝนแต่ละหยดก็ค่อยๆก้องกังวานอย่างชัดเจน เธอผู้นั้น (เด็กสาว) ค่อยๆมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างสิ้นหวัง

          คำพูดอันมหาศาลที่เพิ่งถาโถมใส่เด็กสาวก็ผ่านไปแล้ว ความเงียบก็เข้ามาแทนที่ และความเงียบนั้นก็ทำให้เด็กสาวเปิดปากพูดขึ้นอีกครั้ง

          “ขอร้องเถอะพี่ ฟังที่หนูพูดก่อนนะ” เธอยกมือไหว้ “หนูซีเรียสนะ มันจะดีต่อพวกพี่ด้วย หนูมีไอเดียที่สามารถทำให้เรื่องนี้มันผ่านพ้นไปได้ แต่หนูยังบอกพวกพี่ไม่ได้ตอนนี้ ทุกๆอย่างมันจะต้องไปได้อย่างราบรื่นเลยจริงๆนะ” เด็กสาวพยายามเกลี้ยกล่อมกลุ่มคนที่อยู่ภายในห้อง

           “แต่ว่า... มันจะไม่มีทางแก้เลยนะถ้าหากคนข้างนอกรู้ว่าภายในจดหมายนั้นมีอะไรน่ะ ความฝันของพวกเรา ความหวังของพวกเรา ทุกอย่างจะหายไปหมดเลยนะ...” ชาย (ที่ดูคล้ายผู้นำ) บอกกับเด็กสาว

            “นั่นไม่จริงหรอก! เชื่อหนูเถอะ! นะพี่นะ~” เด็กสาวขอร้องเขา

            ชาย (ที่ดูคล้ายผู้นำ) ยืนกอดอกสายตาเบนไปที่ผนัง พลางครุ่นคิดถึงสิ่งที่เด็กสาวได้บอกมา “อย่างน้อย... ก็บอกมาได้ไหมว่าเธอจะทำอะไรน่ะ หรือไม่ก็... โอกาสที่เธอจะทำสำเร็จ...”

            “แต่หนู...” เด็กสาวพูดต่อ “หนูยังบอกพี่ไม่ได้น่ะ...”

            “หมายถึงตอนนี้ใช่มั้ย? แต่ถ้าภายใน ‘อนาคต’ ล่ะได้ไหม?” เด็กชายที่นั่งอยู่บนโซฟาหยิบไวน์รินใส่แก้วตัวเอง

            “ให้เวลาหนูหน่อยเถอะนะ แล้ว...” เด็กสาวหันไปหาเจ้าของเสียง

            “ให้เวลาเธอแล้วเธอจะ มั่นใจ ว่าจะบริหารมันได้ดีใช่มั้ย?” เด็กชายคนนั้นพูดต่อ

            “ก็... นะ หนูไม่รู้หรอกจนกว่าหนูจะลองน่ะ หนูยังต้องไปทำอะไรอีกหลายๆอย่าง และหนูก็ยังไม่รับประกันหรอกนะว่ามันจะสำเร็จน่ะ แต่ว่า...”

            หญิงสาว (ที่ดูมีฐานะ) เอียงคอไปมา “ดูสิๆ ขนาดเธอเองยังไม่มั่นใจเลย เธอคงจะไม่ชักจูงให้คนอื่นเชื่อเธอโดยที่เธอไม่มีหลักฐานอะไรหรอกนะ”

            “แต่หนู... ทำไมกันล่ะ...” เด็กสาวก้มหน้าอย่างเศร้าใจ หญิงสาวอีกคนที่ดูเหตุการณ์อยู่ก็เดินเข้ามาใกล้และจ้องหน้าเธออย่างดุดัน

            “อะไรน่ะ... ‘ทำไมกันล่ะ’ อย่างนั้นหรอ? เธอจะบอกว่าเธอมีสิทธิ์สั่งทุกคนในนี้หรอ? เธอเห็นว่าพวกเราทำงานกันมาลำบากมากแค่ไหนแล้วใช่มั้ย? คิดดูสิมันจะแย่แค่ไหนหากโอกาสของพวกเราหายไปน่ะ! แล้วที่เธอบอก ‘หนูไม่รู้หรอกจนกว่าหนูจะลองน่ะ’ มันช่างตลกสิ้นดี! ไม่มีใครเชื่อข้ออ้างที่เห็นแก่ตัวของเธอได้หรอก!”

            “จริง” หญิงสาว (ที่ดูมีฐานะ) กล่าวเสริม “ถึงมันจะน่าเสียดาย แต่เธอชวนให้คนอื่นเชื่อในสิ่งที่ไม่มีหลักฐานได้หรอกนะ มันไม่มีทางเลย เราทำงานมามากมายไม่ได้ให้มาเพื่อเสี่ยงในเรื่องที่เธอยังไม่มั่นใจ นี่ไม่ใช่เกมนะรู้ไหม?"

            “หนูเข้าใจ... แต่... พวกพี่ต้องเชื่อหนูนะ!”

            “เธอมันก็เป็นแค่เด็กสาวที่ไม่รู้จักการ ‘ให้ความร่วมมือ’ สินะ แถมยังไม่สนใจอีกว่าคนรอบข้างจะทำอะไรกับพวกเรา ช่างน่าสมเพชจริงๆ” หญิงสาว (ที่ดูมีฐานะ) เริ่มแสดงอาการโมโหออกมา

            “นะ... หนู... หนูไม่ได้ตั้งใจนะแต่ว่า... หนูก็ทำเท่าที่หนูทำได้น่ะ...” เด็กสาวกุมมือไว้ที่กระโปรง “คิดอีกครั้งไม่ได้หรอคะพี่ หนูขอร้องเถอะนะ มันยังมี...” 

            “พวกเราบอกเธอไปหลายต่อหลายครั้งแล้วว่าพวกเราจะไม่มีวันเชื่อเธอเด็ดขาดถ้าหากเธอยังไม่มีอะไรที่น่าเชื่อถือน่ะ! เธอนี่มันโง่จริงๆเลยนะรู้ไหม! หรือเหมือนว่าเธอจะ ‘ทรยศ’ พวกเราในวันข้างหน้าถูกไหมล่ะ!?” ชาย (ที่ดูคล้ายผู้นำ) ตะคอกใส่เด็กสาว

            เมื่อเด็กสาวได้ยินคำว่า ‘ทรยศ’ ออกมาจากปากพวกนั้น ดวงตาเธอก็ขยายใหญ่ขึ้น เธอยืนนิ่งคล้ายกับว่าตัวเธอถูกแช่แข็งไปแล้ว แสงไฟบนเพดานที่ชโลมบนใบหน้าของผู้คนที่ไม่เห็นด้วยกับเด็กสาวก็สว่างขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ฟ้าฝนยังโหมกระหน่ำอยู่ภายนอก เด็กสาวหลับตาและคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี จากนั้นเธอก็ลืมตาขึ้นมา

            “หนูเข้าใจละ” เด็กสาวกล่าวขึ้น “หนูจะเอาจดหมายนี้ไปส่งให้บริษัทหนังสือพิมพ์”

            เมื่อสิ้นสุดเสียง สายตาที่ดุร้ายทุกคู่ก็จับจ้องมาที่เด็กสาวในขณะที่เด็กสาวก็พูดต่อไป

            “ตอนแรก หนูคิดว่าหนูจะรอให้การแสดงมันเสร็จลงก่อน เพราะหนูคิดว่ามันยังคงมีเวลา แต่ไม่เลย! มันน่าเสียดาย! หนูขอให้พวกพี่เชื่อหนูแค่เรื่องนี้เรื่องเดียว แต่ไม่มีใครกลับเชื่อหนูเลย! หนูไม่มีอะไรจะพูดกับพวกพี่อีกแล้ว! ลาก่อน!”

            เด็กสาวหันหน้ากลับไปที่ประตูและวิ่งออกไปจากห้อง กลุ่มคนที่อยู่ในห้องได้สติรีบวิ่งไล่เธอไปเช่นกัน พวกเขาตะโกนลั่นให้เธอหยุดวิ่ง แต่เด็กสาวกลับวิ่งเร็วขึ้นเข้าไปในตึกที่ไม่มีแสงไฟและไม่เหลียวหลังอีกเลย

            “หยุดนะ!”

            “นี่พวกนายสองคน ไปที่บันไดฝั่งนู้นและไปปิดทางออกไว้! ส่วนพวกนายที่เหลือ ไปดูที่ชั้นสอง! ตะโกนเรียกคนอื่นด้วยนะถ้าเจอเธอแล้ว ไม่มีแสงไฟแบบนี้เธอคงยังจะหนีไปไม่ไกล” ชาย (ที่ดูล้ายผู้นำ) กล่าวสั่งคนอื่น

            “ได้เลย!”

            “พวกเราจะลงไปเอง!”

            หลังจากที่ชาย (ที่ดูล้ายผู้นำ) สั่งการคนอื่นไปหมดแล้ว พวกเขาก็แยกย้ายกันออกตามหาไปในตึกที่มีแต่ความมืดมิด ส่วนเด็กสาวก็วิ่งไปเจอห้องๆหนึ่ง เธอเดินเข้าไปและปิดประตูลงอย่างช้าๆเพื่อไม่ให้มีเสียงออกมา เธอแอบเข้าไปหลบอยู่หลังฝาประตู กำมือทั้งสองข้างไว้แน่นในกระเป๋ากระโปรง พยายามหายใจให้มีเสียงน้อยที่สุด

            ตึกๆๆ

            เสียงฝีเท้าของใครสักคนเดินเข้ามาใกล้ๆกับที่เด็กสาวซ่อนตัวอยู่

            “มีใครอยู่มั้ย... ?”

            “!”

            มันเสียงของหญิงสาว (ที่ดูมีฐานะ) นั่นเอง! เธอยืนหยุดอยู่หน้าประตูและยังไม่ได้เดินเข้าไป แต่เด็กสาวไม่รอช้า เธอผลักประตูออกไปเร็วไวจนมันกระแทกเข้าใส่หน้าหญิงสาว (ที่ดูมีฐานะ) อย่างจัง! จากนั้นเด็กสาวก็วิ่งหนีไปในทางเดินอันมืดมิด

            “นี่พวกนาย! เธออยู่บนชั้นสอง! และตอนนี้เธอก็วิ่งไปที่บันไดแล้ว!”

            คนที่อยู่ในตึกได้ยินกันหมดทุกคน พวกเขาวิ่งไปดักรอเด็กสาวตรงบันไดหลักของตัวตึก และก็เป็นไปตามคาด เด็กสาววิ่งมาหยุดอยู่ตรงบันไดชั้นสอง ข้างหลังเธอก็มีฝาผนัง ข้างล่างเธอตรงบันไดก็มีคนอยู่สองคน ข้างซ้ายเธอมีคนดักอยู่สามคน ข้างขวาเธอก็มาสองคน

            “เอาล่ะ... วิ่งกันมามากพอแล้วนะ เรายังพูดกันไม่จบเลย ไปที่ด้านหลังเวทีเถอะ” ชาย (ที่ดูคล้ายผู้นำ) ก้าวเดินเข้ามาใกล้จากทางข้างขวาของเธอ

            “ออกไปนะ! อย่าเข้าไปใกล้หนูนะ!” เด็กสาวตะโกนลั่น

            แสงจันทร์จากภายนอกที่ลอดผ่านกระจกทำให้มีดสีทองของเด็กสาวส่องประกาย แต่เด็กสาวไม่มองมีดที่เธอถืออยู่ เธอกลับกำมันไว้แน่นแล้วมองไปที่ชาย (ที่ดูคล้ายผู้นำ) อย่างหวาดกลัว สิ่งที่เธอทำนี้ทำให้หลายๆคนอ้าปากค้างกันไปตามๆกัน แต่ไม่เลยสำหรับชาย (ที่ดูคล้ายผู้นำ)

            ชาย (ที่ดูคล้ายผู้นำ) ค่อยๆก้าวเดินไปประจันหน้ากับเด็กสาวอย่างไม่มีความกลัว ด้วยความเชื่อที่ว่ามีดเล่มนั้นคงทำอะไรเขาไม่ได้  เขาค่อยๆเดินเข้าไปใกล้เด็กสาวมากขึ้นเรื่อยๆด้วยสายตาดุดัน เด็กสาวหวาดกลัวมากขึ้นเรื่อยๆจนมือทั้งสองข้างของเธอนั้นสั่นระริกๆ

            และความสั่นนั้นก็ทำให้จดหมายที่อยู่ในมืออีกข้างของเด็กสาวหล่นลงไปตามขั้นบันได เด็กชายซึ่งยืนอยู่ใกล้ๆได้โอกาสรีบคว้ามันมาไว้ในมือ

            “เราได้จดหมายแล้ว!” เด็กชายคนนั้นร้องตะโกนขึ้นมา

            “มะ... มันไม่มีประโยชน์หรอก! ถึงจะเอาจดหมายนั้นไป แต่ความจริงก็จะถูกเปิดเผยอยู่ดีแหละ!” เด็กสาวเอามืออีกข้างที่ว่างอยู่จับมีดทั้งสองมือ จากนั้นเธอก็หันหน้าหนีชาย (ที่ดูคล้ายผู้นำ) และเดินลงบันได จ้องเขม็งไปที่เด็กหญิง (ที่ขี้กลัว) ซึ่งยืนอยู่ข้างๆเด็กชาย

            “กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด! ยะ... อย่านะ! ใจเย็นก่อนนะ! อย่าเข้ามานะ!” เด็กหญิง (ที่ขี้กลัว) ตะโกนอย่างตะกุกตะกักด้วยความกลัว

            ทันใดนั้นชาย (ที่ดูคล้ายผู้นำ) ก็ก้าวลงบันไดมา จากนั้นเขาก็ออกแรงวิ่งและกระโดดใส่เด็กสาว (ที่ถือมีดอยู่) เขากอดรัดเธอไว้แน่นจากด้านหลังและขโมยมีดออกมาจากมือของเด็กสาว

            “ปะ... ปล่อยนะ!” เด็กสาวพยายามดิ้นตัวออกจากมือเขา

            “ไม่!”

            เด็กสาวพยายามเขย่ามือทั้งสองข้างของเธอเพื่อให้หลุดออกจากชาย (ที่ดูคล้ายผู้นำ) แต่ก็ไม่สำเร็จ และในขณะนั้นเองคนที่เหลือก็เข้ามาประชิดคนสองคนที่กำลังต่อสู้กันอยู่

            “ปล่อยหนูนะ! ใครก็ได้! ช่วยด้วยยยย!” เด็กสาวตะโกนลั่น

            “แย่ละ... ถ้าเกิดมีใครได้ยินเข้าละก็” ชาย (ที่ดูคล้ายผู้นำ) พึมพำออกมาเบาๆ “นี่... ใจเย็นก่อนสิ” เขาเอามือมาปิดปาก

            “ไม่! ใครก็ได้ช่วยด้วยยยยย!” เด็กสาวพยายามร้องผ่านปากที่ถูกปิด

            “โธ่เว้ย! มองอะไรไม่เห็นเลย...” ชาย (ที่ดูคล้ายผู้นำ) บ่นสะพรึงหลังจากที่เขาเห็นเพียงแค่เด็กสาวที่อยู่ใกล้เขาเท่านั้น แสงไฟจากในตัวตึกก็ไม่มี ไม่มีอะไรเลยยกเว้นแสงจันทร์

            ในที่สุดเด็กสาวก็ไม่ขัดขืน และชาย (ที่ดูคล้ายผู้นำ) ก็ดูเหมือนจะแผ่วแรงลงแล้วเช่นกัน แต่ทันใดนั้นเด็กสาวก็พลิกตัวกลับอย่างรุนแรง ทำเอามีดที่ชาย (ที่ดูคล้ายผู้นำ) ถืออยู่ปาดแขนของตัวเองจนเลือดทะลักออกมาเป็นรอยรูปพาราโบลา หน้าของชาย (ที่ดูคล้ายผู้นำ) ซีดเผือกทันที จากนั้นเขาก็ล้มลง จากนั้นมีดเล่มสีทองก็หล่นลงมาใส่มือของเด็กสาว เธอได้ทีหยิบมีดมากำไว้แน่นและสะบัดมือเขาทิ้ง

            “กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดด” เด็กหญิง (ที่ขี้กลัว) ตะโกนลั่น เด็กชายที่อยู่ข้างๆพยายามปลอบใจเธอด้วยการกอดเธอไว้ ส่วนเด็กสาว (ที่ถือมีด) ก็ออกแรงวิ่งแต่ข้อมือของเธอกลับถูกล็อคไว้จากมืออีกข้างของชาย (ที่ดูคล้ายผู้นำ) เขาใช้เพียงแค่แขนเดียวในการหยุดยั้งเพื่อไม่ให้เด็กสาวหนีไปได้

            หญิงสาว (ที่ดูมีฐานะ) กับเด็กชายวิ่งเข้ามาจับตัวเด็กสาวและพยายามไม่ให้เธอดิ้นหนี เด็กชายขยับตัวไปอยู่ด้านหน้าของเด็กสาวและดึงตัวเธอขึ้นมาข้างบนตามขั้นบันได

            “ยอมแพ้เถอะ... มากับเราเถอะ...” เด็กชายพูดอย่างขอความเห็นใจ

            “ไม่... ไม่มีทาง!” เด็กสาวยังคงปฏิเสธ

            “ทำไมล่ะ!? เราก็แค่มาคุยกัน จากนั้น...”

            เด็กสาวมองหน้าเด็กชายเป็นระยะเวลาหนึ่ง จากนั้นน้ำตาก็ค่อยๆร่วงลงมาจากดวงตาของเด็กสาว

            “ใครเป็นคนทรยศกันแน่!... หนูไม่อยากเชื่อใครอีกต่อไปแล้ว!” เด็กสาวร้องออกมา

            เมื่อเด็กชายได้ยินคำพูดนี้หน้าตาเขาก็เปลี่ยนไปทันที เขาค่อยๆปล่อยมือที่ดึงเด็กสาวอยู่ออก เด็กสาวได้ทีรีบออกแรงแทงมีดไปที่เด็กชาย แต่เธอกลับแทงได้เพียงแค่เศษเสี้ยวอากาศที่อยู่รอบๆเขา จากการที่เธอแทงพลาดนั้นทำให้ร่างกายเธอหงายหลังด้วยแรงเหวี่ยง จากนั้นเธอก็กลิ้งลงมาตามขั้นบันได

            ช่วงเวลาที่เธอตกบันไดลงมานั้นมันเหมือนกับว่าเวลาได้เดินช้าลง ทุกๆคนยืนตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เหมือนกับว่าได้เห็นฉากในละครที่โหดร้ายที่สุดอย่างไรอย่างนั้น... เด็กสาวนอนหงายท้องตรงฐานบันได ไม่ขยับตัว แสงไฟที่ออกมาจากหน้าต่างก็ค่อยๆเลือนหายไปจากวิสัยทัศน์ของเด็กสาว เหลือไว้เพียงแค่มีดเล่มสีทองที่ปักลึกเข้าไปข้างในใจกลางหน้าอกของเธอ และเธอก็ไม่ได้ดึงมันออกแต่อย่างใด

            เสียงปรบมือดังก้องกังวานขึ้นมาจากห้องโถงที่เงียบสงัด หลังจากนั้นผ้าม่านสีแดงก็ถูกปล่อยลงมาเพื่อเป็นการเตรียมพร้อมที่จะเข้าสู่ฉากต่อไป มันเป็นการแสดงที่เป็นโศกนาฏกรรมที่แท้จริง

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.6 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา