Defense Lawyer ทนายสาวนักปกป้อง
เขียนโดย xanxussama1010
วันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2558 เวลา 12.15 น.
แก้ไขเมื่อ 4 เมษายน พ.ศ. 2558 12.33 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) คดีแรกของทนายมือใหม่ - บทพิจารณาคดี 1
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ--- วันที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2703 เวลา 9.41 น. ---
--- ศาลกรุงเทพมหานคร ---
--- ห้องพักจำเลยที่ 4---
"อ๊า~~~!!! ทำไงดี!? ใกล้จะถึงเวลาพิจารณาคดีแล้ว!!"
ฉันได้แต่เดินวนไปมาพลางส่งเสียงโอดครวญ ถึงจะรู้ว่าทำแบบนี้ไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา แต่ความกังวลในหัวมันทำให้ฉันไม่อาจอยู่เฉยๆ ได้
"ใจเย็นๆ หน่อยสิอายส์ ความกังวลมีแต่จะส่งผลเสียต่อการพิจารณาคดีนะ"
"ที่หนูต้องมากังวลแบบนี้มันก็เพราะอาจารย์ไม่ใช่เหรอคะ!?"
ฉันหันไปโวยวายอย่างหัวเสียใส่อาจารย์ ชายผู้กำลังยืนกอดอกในชุดสูทสีน้ำเงินตัวเดิม มีผมดำยาวที่รวบไว้เรียบร้อยแบบเดิม สวมแว่นตาไร้กรอบอันเดิม แถมยังยิ้มร่าเริงจนน่าหมั่นไส้เหมือนเดิมอีกต่างหาก
"ไม่ยอมติดต่อมาเลยจนกระทั่งเมื่อวาน แถมจู่ๆ ก็มาบอกให้หนูเป็นทนายให้อีก เรื่องสำคัญแบบนี้ดันมาบอกกันก่อนวันพิจารณาคดีแค่วันเดียวเนี่ยนะ!! เพราะบอกกันกะทันหันแบบนี้ หนูเลยไม่มีหลักฐานอะไรเลยนอกจากรายงานการชันสูตรศพฉบับเดียว แล้วแบบนี้หนูจะเอาอะไรไปสู้ล่ะคะ!? อยากให้หนูแพ้คดีรึไงกันคะ!?"
"เอาน่าๆ ถึงอย่างนั้นก็ไม่เห็นต้องกังวลขนาดนั้นเลยนี่"
อาจารย์พยายามพูดไกล่เกลี่ย ทั้งที่โดนโวยวายใส่ขนาดนั้น แต่รอยยิ้มก็ยังไม่จางลงแม้แต่น้อย
"อีกอย่างนะ คนเรานั้น ยิ่งได้เจอเรื่องไม่คาดฝันเร็วเท่าใด ก็จะยิ่งเติบโตได้เร็วเท่านั้นนะ แทนที่จะกังวลกับมัน น่าจะคิดว่าตัวเองโชคดีที่ได้เจอเรื่องแบบนี้ตั้งแต่เนิ่นๆ ดีกว่านา~"
"ต...แต่ว่า...ไม่เห็นจะต้องทำแบบนี้ตั้งแต่คดีแรกของหนูเลยนี่คะ...แล้วอีกอย่าง...ถ้าหนูเกิดทำพลาดขึ้นมา...อาจารย์ก็จะ..."
ไม่รู้ว่าในตอนนั้นฉันทำหน้าขี้แยแบบไหนออกมา อาจารย์ถึงได้ถอนหายใจยาวๆ แล้วยกมือมาวางบนหัวของฉัน
"ฟังนะอายส์ ผู้เป็นอาจารย์น่ะ รู้ดีกว่าใครเพื่อนว่าลูกศิษย์ตัวเองมีความสามารถแค่ไหน ที่ผมเลือกเธอให้มาเป็นทนายนั้น ไม่ใช่แค่เพราะอยากให้เป็นประสบการณ์ แต่เพราะรู้ดีกว่าใครต่างหาก ว่าถ้าเป็นนางสาวเนตรเทวี วารีโสภณ ผู้หญิงแสนน่ารักที่อยู่ตรงหน้านี้ จะต้องพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของผมได้แน่"
"อาจารย์..."
ฉันได้แต่เปล่งเสียงอันแหบร่า สบตากับอาจารย์ที่ย่อตัวลงมาอยู่ในระดับเดียวกัน มองใบหน้าที่ยิ้มอย่างมั่นใจ
ทั้งที่พึ่งจะเสียคุณอลิเซียไป แถมยังถูกกล่าวหาเป็นฆาตกรแท้ๆ แต่ก็ยังคงใจเย็นอยู่ได้ แถมยังคิดถึงเรื่องของฉัน และเชื่อใจฉันมากขนาดนี้...
อาจารย์เนี่ย ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็สุดยอดเสมอเลย...
"เข้าใจแล้วค่ะ ฉัน...ฉันจะทำให้ได้...จะพิสูจน์ต่อหน้าศาลแห่งนี้ ว่าอาจารย์เป็นผู้บริสุทธิ์!"
"นั่นแหละ มันต้องแบบนี้สิ~"
มือข้างนั้นลูบไปบนเส้นผมสีน้ำตาลของฉันอย่างอ่อนโยน สัมผัสอุ่นๆ จากมือข้างนั้นทำให้สบายใจขึ้น สบายใจซะจนยิ้มออกมาได้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
ชื่อของฉันคือเนตรเทวี วารีโสภณ ชื่อเล่นว่าอายส์ มีผมกับดวงตาสีน้ำตาลเข้มตั้งแต่เกิด ปัจจุบันอายุ 18 ปี ส่วนสูง 157 ซม. ทรงผมปัจจุบันเป็นด้านหลังซอยสั้น ด้านหน้าปิดหน้าผากปัดซ้ายเล็กน้อย สีที่ชอบคือสีเขียว เพราะงั้นเลยเลือกชุดสูทสีเขียวเป็นชุดทำงานประจำตัว
อาชีพปัจจุบันคือทนาย แต่ถึงจะพูดอย่างนั้น ก็พึ่งจะได้รับใบอนุญาติการเป็นทนายเมื่อไม่กี่เดือนก่อน ประสบการณ์ก็เลยยังเป็นศูนย์ เพราะงั้นในครั้งนี้จึงถือเป็นการว่าความครั้งแรก
ซึ่งมันช่างบังเอิญอย่างเหลือเชื่อ ที่งานแรกของฉันคือต้องมาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ให้กับนายเมฆา สหัสอาชา หรือชายที่ฉันเรียกว่าอาจารย์
ถึงจะเห็นว่าหน้าตาดูหล่อเหลาและยังหนุ่มแบบนี้ แต่ที่จริงอายุตั้ง 32 แล้ว เมื่อก่อนเคยเป็นทนายชื่อดัง ที่เปิดเผยความจริงในคดียากๆ มาแล้วหลายคดี แต่ปัจจุบันได้วางมือไปแล้ว ตอนนี้เป็นเพียงอาจารย์ที่รับงานสอนหลักสูตรพิจารณาคดีในศาล ตามแต่ความต้องการของมหาวิทยาลัยทั่วโลก เป็นอาจารย์ผู้มีพระคุณ ที่คอยชี้แนะเรื่องต่างๆ ให้ฉันมาตลอด เป็นอาจารย์ที่ฉันรักและเทิดทูนที่สุด
ถึงจะเห็นหน้าตาหล่อเหลาและบุคลิกน่าเป็นที่หมายตาของสาวๆ แบบนี้ แต่สถานะปัจจุบันของอาจารย์คือโสดสนิท เป็นเรื่องที่แม้แต่ฉันเองก็ยังประหลาดใจ ว่าคนแบบนี้โสดมาจนถึงอายุเลขสามได้ยังไง
ไม่สิ...อันที่จริงอาจารย์เกือบจะได้สละโสดแล้ว...ถ้าหากว่าคุณอลิเซียไม่มาตายซะก่อน...
คุณอลิเซีย หรือ Miss Alisia Dora เป็นผู้หญิงสัญชาติอังกฤษ อายุ 27 ปี เป็นอาจารย์สอนหลักสูตรนานาชาติประจำมหาวิทยาลัยแสตมฟอร์ดแห่งประเทศไทย อาจารย์เคยเล่าว่าได้พบกับคุณอลิเซียเมื่อหนึ่งปีก่อนตอนที่เข้าไปสอนให้กับทางมหาลัย พอได้คุยกันบ่อยๆ ก็รู้สึกว่าเข้ากันได้ เลยตกลงคบกันเป็นแฟนมาตั้งแต่ตอนนั้น
แต่ชะตากรรมมันช่างโชคร้าย เพราะเมื่อห้าวันก่อน คุณอลิเซียคนนั้นถูกพบว่ากลายเป็นศพในห้องของตัวเอง
แต่โชคร้ายก็ยัคงไม่หมด เพราะอาจารย์ที่เป็นคนเข้าไปพบศพเป็นแรก ถูกกล่าวหาว่าเป็นคนฆ่า และถูกตำรวจจับตัวไปดำเนินการพิจารณาคดีตามกฎหมาย
และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมฉันถึงต้องมายืนอยู่ตรงนี้ อยู่ตรงหน้าห้องพิจารณาคดีที่ 4
ห้องที่ฉันกำลังก้าวเดินเข้าไป เพื่อไปพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของอาจารย์ ต่อหน้าสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่เรียกว่าศาลแห่งนี้!!
--- วันที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2703 เวลา 9.55 น. ---
--- ศาลกรุงเทพมหานคร ---
--- ห้องพิจารณาคดีที่ 4---
เสียงเจื้อยแจ้วดังต่อเนื่องจากทางที่นั่งซึ่งจัดไว้ให้สำหรับคนนอกที่ต้องการเข้ามาชมการพิจารณาคดี คงจะเป็นคำนินทากาเลตามประสาคนทั่วไป ถึงฟังไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา สมาธิฉันเลยจดจ่ออยู่กับการเดินไปยังเคาน์เตอร์ทางด้านขวาของห้อง ที่ที่ฉันจะต้องไปยืนในฐานะทนายฝ่ายจำเลย
พอมายืนประจำตำแหน่งเรียบร้อย ก็ยกแขนซ้ายขึ้นมาในแนวนอน ใช้มืออีกข้างจิ้มเพื่อเปิดการทำงานอุปกรณ์ที่ดูคล้ายกับนาฬิกาข้อมือ มันเป็นอุปกรณ์สุดไฮเทคที่เรียกว่าพีซีว็อท(PC Watch)
หลังจากที่เห็นไฟสีฟ้าบนหน้าจอเล็กๆ ที่ข้อมือสว่าง ฉันก็ทำท่าลากมือเป็นแนวนอนกลางอากาศเหมือนกับลากนิ้วบนหน้าจอแท็บเล็ต เพื่อเรียกหน้าจอสีฟ้าขนาด 14 นิ้วซึ่งสร้างจากโฮโลแกรมให้ปรากฏขึ้นมาตรงหน้า จากนั้นก็ขยับมืออย่างรวดเร็ว จิ้มไปยังจุดต่างๆ ของจอโฮโลแกรมเพื่อเชื่อมต่อเข้ากับเซิร์ฟเวอร์ของศาล ซึ่งใช้เวลาไม่นานนัก หน้าจอก็แสดงข้อความตอบกลับว่าเชื่อมต่อเรียบร้อย
ฉันเหลือบไปมองนาฬิกาที่อยู่ตรงมุมล่างขวาของจอ ยังเหลือเวลาอีกเล็กน้อยก่อนที่ผู้พิพากษาจะมาถึง ฉันเลยจิ้มนิ้วไปที่หน้าจออีกครั้ง เปิดไฟล์ที่ชื่อว่า "รายงานการชันสูตรศพของ Alisia Dora" และทำการอ่านทวนมันอีกครั้ง
ชื่อผู้ตาย : Miss Alisia Dora (27 ปี)
วันเวลาตาย: 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2703 เวลาตายโดยประมาณ 18.00 น. - 19.30 น.
สาเหตุการตาย: ถูกของมีคมแทงจากด้านหน้าครั้งเดียวเข้าที่หัวใจ ผู้ตายเสียชีวิตในทันที
รายละเอียดอื่นๆ: ตรวจพบรอยยุบบริเวณศีรษะด้านหลัง เป็นรอยยุบที่เกิดจากการกระแทกครั้งเดียวหลังจากผู้ตายเสียชีวิตไปแล้ว ไม่มีการตรวจพบบาดแผลภายนอกใดๆ นอกเหนือจากนั้นอยู่เลย
เนื่องจากฉันอ่านมันไปแล้วหลายรอบตั้งแต่เมื่อวาน คราวนี้เลยใช้เวลาไม่ถึงนาทีในการอ่านทวน แล้วก็ไม่มีเหตุผลที่จะอ่านทวนมันอีกรอบ เลยเงยหน้าขึ้นจากจอ แล้วเริ่มกวาดสายตามองไปทั่วศาล
ทางฝั่งตรงข้ามมีเคาน์เตอร์แบบเดียวกันกับที่ฉันกำลังนั่งอยู่ มันเป็นที่นั่งสำหรับฝ่ายโจทก์ หรือฝ่ายที่กล่าวหาว่าจำเลยเป็นผู้กระทำผิดจริง ที่ตรงนั้นมีคนนั่งอยู่คนเดียว ซึ่งเป็นใครไปไม่ได้นอกจากอัยการ หรือคนที่ฉันจะต้องสู้คดีด้วย
อัยการคนนั้นเป็นชายหัวล้านที่ดูจากภายนอกแล้วน่าจะอายุเกิน 50 เป็นคนเจ้าเนื้อที่เห็นเด่นชัดแม้จะสวมชุดสูทสีเทา ดูจากภายนอกแล้วท่าทางจะไม่ค่อยมีพิษสงซักเท่าไหร่ แต่จะประมาทเพียงแค่รูปลักษณ์ที่เห็นจากภายนอกไม่ได้
พออีกฝ่ายสังเกตว่ากำลังถูกมองอยู่ ก็เงยหน้าขึ้นแล้วส่งยิ้มยิงฟันให้เหมือนกับเป็นตาแก่เจ้าเล่ห์ คงกำลังคิดว่าทนายมือใหม่อย่างฉันเป็นหมูหวานๆ เคี้ยวง่ายสินะ
ถึงจะสบตาไปมากกว่านี้ก็คงไม่ได้อะไรขึ้นมา เลยเปลี่ยนทิศหันไปทางซ้ายมือ มองไปยังแท่นยืนรูปครึ่งวงกลมซึ่งเรียกว่า "คอกพยาน" มันเป็นที่ยืนสำหรับพยานที่เข้ามาเบิกความในศาล เนื่องจากการพิจารณาคดียังไม่เริ่ม จึงยังไม่มีใครมายืนอยู่ตรงนั้น
ทางด้านซ้ายหลังจากคอกพยานติดกับฝั่งที่นั่งคนนอก มีที่นั่งซึ่งถูกล้อมไว้ด้วยรั้วสี่เหลี่ยมที่สูงแค่ขาช่วงล่าง มันเป็นที่นั่งสำหรับจำเลย ซึ่งแน่นอนว่าคนที่นั่งอยู่ในตอนนี้ก็คืออาจารย์ ที่ดูเหมือนจะกำลังฮัมเพลงอย่างสบายใจโดยไม่ได้รู้สึกทุกข์ร้อนเลยซักนิด
ฉันจะไม่ทำให้ผิดหวังค่ะ อาจารย์
"ท่านผู้พิพากษามาถึงแล้วครับ!!"
ในที่สุดเสียงที่รอคอยก็มาถึง ทุกคนในศาลรวมทั้งฉันต่างพร้อมใจกันยืนขึ้น มองตรงไปยังร่างของชายแก่คนนึงผู้มีผมหงอกทั้งหัว ร่างกายดูผอมบางและเหี่ยวแห้งไปตามอายุ แต่กลับเต็มไปด้วยความน่าเกรงขามอันยิ่งใหญ่จากภายใต้สีดำของชุดผู้พิพากษา ชุดที่บ่งบอกถึงอำนาจสูงสุดในศาลแห่งนี้
ท่านผู้พิพากษาเดินขึ้นบันได ตรงไปนั่งที่ "บัลลังก์ศาล" ซึ่งเป็นแท่นที่สูงใหญ่และเด่นที่สุด ตำแหน่งที่สร้างไว้สำหรับอำนาจสูงสุดของศาลเท่านั้น
"เชิญนั่งได้ครับ"
นั่นคือคำพูดแรกของท่านหลังจากที่นั่งประจำตำแหน่งแล้ว ฉันและทุกคนลงไปนั่งที่ และรอคอยคำกล่าวต่อไป
"อะแฮ่ม...ก่อนที่จะเริ่มการพิจารณาคดี ผมขออนุญาตคุยกับจำเลยซักเล็กน้อยนะครับ"
พอท่านกล่าวเช่นนั้น ใบหน้าก็หันไปทางอาจารย์ที่ยังคงมีสีหน้าปกติ ไม่ได้มีความรู้สึกตกใจกับคำพูดนั้นแต่อย่างใด
"คุณเมฆา นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าจะได้พบคุณอีกครั้งในศาลแห่งนี้ แต่มันคงจะดีกว่านี้ถ้าได้เจอในฐานะทนายแทนที่จะเป็นจำเลยนะครับ"
"ฮะๆๆ ผมเองก็ไม่นึกไม่ถึงเหมือนกันแหละครับ~"
อาจารย์ส่งหัวเราะแห้งๆ พลางเอามือลูบหัวตัวเอง ดูๆ แล้วให้ความรู้สึกเหมือนผู้ชายที่เจอหน้าแฟนหญิงตอนที่มานัดเดทสายแปลกๆ
"ถึงแม้คุณจะเคยเป็นอดีดทนายที่สุดยอดแค่ไหน แต่ศาลแห่งนี้ก็จะไม่มีการอ่อนข้อให้ หากคุณมีความผิดจริง ผมก็จะขอลงโทษคุณไปตามกระบวนความยุติธรรม หวังว่าคุณคงจะเข้าใจนะครับ"
"เข้าใจอยู่แล้วครับท่าน"
อาจารย์เอามือทาบอกแล้วโค้งตัวลงให้เป็นการเคารพ
"แต่เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ เพราะลูกศิษย์ของผมที่อยู่ตรงนั้น จะเป็นคนพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของผมเองครับ"
"งั้นเหรอ...ลูกศิษย์สินะครับ..."
สายตาของท่านเบนจากอาจารย์ตรงมาที่ฉันโดยไม่ตั้งตัว ทำเอาถึงกับสะดุ้งเล็กน้อย แต่ก็รีบตั้งสติเงยหน้าสบตากับท่าน
"คุณเนตรเทวีสินะครับ"
"ค..ค่ะ!! เนตรเทวี วารีโสภณค่ะ!!"
แม้สายตาของท่านจะไม่มีแววของความดุแต่อย่างใด แต่การที่ต้องสบตากับผู้มีอำนาจสูงสุดในศาล มันก็ทำให้รู้สึกเกร็งขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
"คุณดูท่าทางเกร็งๆ นะ นี่เป็นการพิจารณาคดีครั้งแรกของคุณเหรอครับ?"
"ค...ค่ะ!! น...นี่เป็นครั้งแรกของฉัน เลยรู้สึก...ป...ประหม่านิดหน่อยค่ะ!!"
ฉันรู้สึกได้ว่าคิ้วของท่านดูขมวดเล็กน้อย แต่ดูเหมือนท่านจะเข้าใจความรู้สึก เลยพยักหน้าให้ฉันหนึ่งครั้ง
"ในศาลแห่งนี้ ผมต้องการให้ทั้งฝ่ายโจทก์และฝ่ายจำเลยแสดงศักยภาพออกมาเต็มที่ เพื่อให้การพิจารณาคดีดำเนินไปตามสิ่งที่ควรจะเป็น หากความประหม่าเกิดทำให้คุณแสดงศักยภาพได้ไม่เต็มที่ ก็คงจะเป็นการเสื่อมเสียต่อกระบวนความยุติธรรมอันสูงสุด เพราะงั้นผมหวังว่าคุณจะควบคุมตัวเองได้ เพื่อให้การตัดสินเป็นไปอย่างถูกต้องตามกระบวนความยุติธรรมนะครับ"
"ค...ค่ะ!! เข้าใจแล้วค่ะ!!"
ท่านพยักหน้าให้ฉันอีกครั้ง จากนั้นก็หันกลับไปที่เดิม หยิบค้อนไม้ที่อยู่ทางขวามือขึ้นมาทุบกับแท่นวางลักษณะวงกลมแบนราบหนึ่งครั้ง
ปัง!!
"ถ้าหยั่งงั้น...ศาลขอเริ่มพิจารณาคดีของนายเมฆา สหัสอาชา ณ บัดนี้!"
ฉันสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อลดอาการประหม่า จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง มองไปยังฝ่ายอัยการที่ลุกขึ้นยืนเช่นกัน
"ฝ่ายโจทก์พร้อมแล้วครับท่าน!"
"ฝ่ายจำเลยเองก็พร้อมแล้วค่ะท่าน!"
เริ่มแล้วสินะ การพิจารณาคดีครั้งแรกของฉัน
"ถ้าหยั่งงั้น คุณสรเคช รบกวนกล่าวคำแถลงเปิดศาลด้วยครับ"
"รับทราบครับท่าน"
อัยการสรเดชรับคำ จากนั้นก็ลากมือเป็นเส้นตรงกลางอากาศ เพื่อเรียกหน้าจอโฮโลแกรมขึ้นมาตรงหน้า
"ผู้ตายมีชื่อว่า Miss Alisia Dora อายุ 27 ปี สัญชาติอังกฤษ เป็นอาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยแสตมฟอร์ดแห่งประเทศไทย เธอเสียชีวิตในวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2703 สันนิษฐานเวลาตายคือช่วง 18.00 น. - 19.30 น. ในตอนที่ทางตำรวจไปพบศพ สภาพของเธอเป็นดังภาพนี้ครับ"
อัยการขยับนิ้วจิ้มหน้าจอ 2-3 ครั้ง จากนั้นตรงกลางของห้องก็มีหน้าจอโฮโลแกรมขนาดใหญ่ 4 อัน ซึ่งแต่ละอันล้วนหันไปคนละทิศเพื่อให้สามารถรับชมได้จากทุกมุมของศาล หน้าจอทั้งสี่ล้วนฉายภาพเดียวกัน นั่นคือภาพของผู้ตายในตอนที่พบศพครั้งแรก
เนื่องจากภาพถูกขยายจนเต็มจอ ฉันเลยมองเห็นรายละเอียดทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นร่างของคุณอลิเซียในชุดกระโปรงที่นอนหงายอยู่บนพื้น หรือจะเป็นหน้าต่างที่แตกเป็นรูโหว่ซึ่งมีรอยเปื้อนเลือดเช่นเดียวกับกำแพงและพื้นรอบๆ ร่างนั้น มองเห็นแม้กระทั่งรายละเอียดเล็กๆ อย่างเศษกระจกสีใสจากหน้าต่าง ซึ่งปะปนไปกับเศษสีขาวขุ่นชิ้นเล็กๆ คาดว่าน่าจะเป็นอะไรซักอย่างที่ถูกทำให้แตก โดยเศษเหล่านั้นบางชิ้นก็ตกกระจายอยู่รอบๆ บางชิ้นก็อยู่บนร่างที่นอนนิ่งกับพื้น
ตอนที่อาจารย์เห็นศพคุณอลิเซียจะขวัญเสียแค่ไหนกันนะ แค่คิดก็รู้สึกเศร้าแทนอาจารย์ซะแล้วสิ...
"สาเหตุการตายของเธอคือถูกแทงด้วยของมีคมเข้าที่หัวใจจนเสียชีวิต ส่วนอาวุธสังหารนั้น เป็นมีดทำครัวแบบธรรมดาเล่มนี้ครับ"
อัยการขยับนิ้วบนสัมผัสหน้าจอตรงหน้าอีกครั้ง ทำให้มีภาพของมีดดังกล่าวถูกแทรกขึ้นมาบนมุมขวาของหน้าจอใหญ่ทั้งสี่
"จากการตรวจสอบนั้น พบว่าเจ้าของมีดเล่มนี้คือตัวผู้ตายเอง มันถูกล้างและเช็ดจนสะอาด จนไม่หลงเหลือรอยนิ้วมืออยู่เลย แต่ทางเราตรวจพบปฏิกิริยาของเลือดบนมีดเล่มนี้ เพราะฉะนั้น มันเป็นอาวุธสังหารไม่ผิดแน่นอนครับ"
"อ้อ เป็นแบบนี่นี่เองสินะครับ"
ผู้พิพากษาพยักหน้า เป็นการบอกว่ายอมรับเรื่องที่ฝ่ายโจทก์กล่าวอ้างมาทุกอย่าง
"ศาลขอรับสิ่งที่ฝ่ายโจทก์ยื่นมาทั้งหมดไว้เป็นหลักฐานนะครับ"
เพียงแค่ท่านกล่าวเช่นนั้น บนหน้าจอโฮโลแกรมของฉันก็มีข้อความแจ้งเตือนว่าได้รับหลักฐานใหม่ ฉันขยับมือจิ้มหน้าจอ และพบว่าหลักฐานใหม่สองอย่าง อันได้แก่รูปถ่ายสภาพของผู้ตาย กับรายละเอียดของมีดซึ่งเป็นอาวุธสังหาร ได้เข้าไปอยู่ในโฟลเดอร์สำหรับเก็บหลักฐานเรียบร้อยแล้ว
ฉันไม่มีเหตุผลที่จะต้องทวนรายละเอียดหลักฐานตอนนี้ เลยเงยหน้าขึ้นจากจอ กลับไปสนใจอัยการสรเดชที่เริ่มพูดต่อ
"ส่วนสถานที่เกิดเหตุนั้น คือห้องเช่าในอพาร์ตเมนต์ชั้นสามซึ่งเป็นที่อยู่ของผู้ตาย เป็นห้องเช่าแบบไม่มีระเบียง เลยไม่มีทางจะบุกเข้ามาทางหน้าต่างได้ แถมประตูยังเป็นแบบล็อกไฟฟ้า การจะเปิดจากข้างนอก จำเป็นต้องใช้คีย์การ์ดที่ทางอพาร์ตเมนต์จัดเตรียมให้เท่านั้น และคนที่มีคีย์การ์ดของห้องนั้น หากไม่นับรวมเจ้าของอพาร์ตเม้นต์ ก็มีเพียงแค่สองคน นั่นคือตัวผู้ตายเอง แล้วก็จำเลยครับ
ยิ่งไปกว่านั้น จากการตรวจสอบเพิ่มเติม ยังพบว่าในวันที่เกิดเหตุ ไม่มีใครที่ได้เข้าไปในห้องของเธอเลย นอกจาจำเลยเพียงคนเดียวครับ~"
อัยการหัวล้านยิ้มยิงฟันอย่างมั่นใจ ซึ่งชวนให้ฉันรู้สึกไม่ดีขึ้นมา
"ด้วยเหตุนั้น ฆาตกรที่สามารถเข้าไปในห้องนั้น แล้วทำการสังหารผู้ตายได้อย่างเลือดเย็น แถมยังลบหลักฐานบนอาวุธได้อย่างรอบคอบ เลยเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากตัวจำเลยครับ"
"อืม...นั่นสินะครับ จากที่ฟังมา จำเลยเป็นคนที่น่าสงสัยที่สุดจริงๆ ครับ"
แย่ล่ะสิ ท่านเริ่มเอนเอียงไปทางนั้นแล้ว ถ้าฉันไม่พูดอะไรบ้างล่ะก็ มีหวังอาจารย์ถูกตัดสินว่ามีความผิดจริงๆ แน่!!
"ข...ขอค้านค่ะ!!"
รู้สึกตัวอีกทีก็เผลอตะโกนคัดค้านไปแล้ว ทำให้สายตาของทุกคนในศาล รุมจ้องมาที่ฉันเป็นตาเดียว
"โอ้ะโอ? ดูเหมือนว่าคุณทนายมือใหม่จะไม่เห็นด้วยกับคำให้การของผมสินะครับ~"
อัยการสรเดชส่งเสียงหัวเราะในลำคอ ดูท่าจะไม่ได้ตกใจกับคำขอค้านของฉันเลยซักนิด
"แล้ว...ไม่ทราบว่าจะคัดค้านเรื่องอะไรเหรอครับ~?"
"เอ๊ะ...เอ่อ...คือว่า..."
ซวยแล้วสิ!! ถึงจะส่งเสียงค้านออกไปเพราะเห็นว่าต้องทำอะไรซักอย่างก็เถอะ แต่ดันไม่ได้คิดเหตุผลที่ขอค้านออกไปเนี่ยสิ!! อ๊า!!! ไม่น่าปากไวเลยยย!!!
"....คุณเนตรเทวี...ตกลงว่าคุณจะค้านเรื่องอะไรเหรอครับ?"
คิ้วบนใบหน้าของท่านดูขมวดเป็นปม คงกำลังไม่พอใจที่ฉันขอค้านมั่วซั่วแน่ๆ!! ไม่นะ!! คิดสิคิด!!
ถ้าไม่รีบหาเหตุผลล่ะก็ มีหวัง---
โป๊ก!!
"โอ๊ยเจ็บ!!"
แต่แล้วจู่ๆ ก็มีอะไรซักอย่างแข็งๆ หล่นมากระแทกที่หัว มันสร้างความเจ็บปวดให้จนฉันต้องส่งเสียงร้องออกไป แล้วก้มหน้าเอามือทั้งสองกุมหัวตัวเอง
"ตั้งสติหน่อยสิ เมื่อกี๊ท่านเองก็พึ่งจะเตื่อนเรื่องความประหม่าไปไม่ใช่รึไง"
เสียงอันคุ้นเคยลอยเข้ามาในหู ฉันเงยหน้าขึ้นแล้วมองไปทางขวามือ แล้วก็ต้องอ้าปากค้างด้วยความตกใจ
เพราะอาจารย์ที่น่าจะนั่งอยู่ตรงที่ห่างออกไป กลับมายืนอยู่ข้างตัวฉันตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
"ท...ทำไมถึงมาอยู่ตรงนี้ได้ล่ะคะอาจารย์!?"
"หา? ทำไมน่ะเหรอ ก็ผมเป็นจำเลยในคดีนี้นี่ ไม่ให้อยู่ที่ศาลแห่งนี้ แล้วจะไปอยู่ไหนล่ะ?"
"ไม่ได้หมายความว่าแบบนั้นซะหน่อย! หนูหมายถึง---"
"เดี๋ยวก่อนครับ!!"
เสียงตะโกนคราวนี้ไม่ใช่ของฉัน แต่เป็นของฝ่ายอัยการ ที่จ้องมาตรงนี้ด้วยสีหน้าดูไม่พอใจปนกับหวาดระแวงนิดๆ
"คุณเมฆา จำเลยไม่ควรจะเดินไปที่อื่นตามใจตัวเองนะครับ!!"
"เอ๋? ผมไม่ได้ไปที่อื่นซะหน่อย แค่มายืนอยู่ข้างๆ ทนายของผมเท่านั้นเองนะครับ"
"ต...แต่ว่า...การกระทำของคุณ----"
"การกระทำของผม มันผิดตามกฎหมายศาลตรงไหนเหรอครับ~?"
"อึ้ก!"
ไม่รู้ทำไมพออาจารย์พูดเช่นนั้น ฝ่ายโจทก์ถึงได้กัดฟันแน่นอย่างพูดไม่ออก
"ตามประมวลกฎหมายศาลฉบับเริ่มใหม่ตั้งแต่ศูนย์ 'อัยการและทนายมีสิทธิ์ที่จะให้ใครก็ได้มาอยู่เคียงข้างตัวเองในการพิจารณาคดี โดยไม่เกี่ยงว่าคนคนนั้นจะเกี่ยวข้องกับคดีหรือไม่ก็ตาม' แน่นอนว่าจำเลยอย่างผมเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น อีกอย่าง ทนายของผมเองก็ไม่ขัดข้องที่จะให้ผมมายืนตรงนี้อยู่แล้ว จริงมั้ยครับคุณเนตรเทวี~?"
"เอ๊ะ!! ค...ค่ะ!! ไม่ขัดข้องอยู่แล้วค่ะ!!"
"อืม..."
สายตาของผู้พิพากษายังคงจ้องมาทางพวกเรา ดูจากท่าทางกุมคางอย่างครุ่นคิดนั่นแล้ว น่าจะกำลังคิดว่าจะเอายังไงดี แต่เพียงแค่ไม่ถึงนาที ท่านก็พยักหน้าให้แทนคำตอบ
"สิ่งที่จำเลยกล่าวมานั้นถูกต้องทุกอย่าง ศาลอนุญาตให้จำเลยอยู่ข้างทนายของตัวเองได้ครับ"
"ขอบคุณมากครับ"
อาจารย์โค้งให้กับท่านเป็นการขอบคุณ ส่วนอัยการสรเดชดูท่าทางไม่พอใจนัก แต่ก็ก้มหน้ายอมรับคำของศาลแต่โดยดี
ส่วนตัวฉันนั้น พอมีอาจารย์มายืนอยู่เคียงข้าง ก็รู้สึกใจชื้นขึ้นมา คงเห็นว่าฉันกำลังแย่ เลยเข้ามาช่วยสินะคะ สมกับเป็นอาจารย์จริงๆ เลยค่ะ
"...เรามาเข้าเรื่องกันต่อเถอะครับ...คุณเนตรเทวี ตกลงคุณจะบอกได้รึยังว่าคุณค้านผมเรื่องอะไรครับ...?"
พอถูกฝ่ายโจทก์ทักด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูหงุดหงิด ฉันถึงได้กลับเข้าสู่โลกแห่งความจริงอีกครั้ง จริงสิ!! เรื่องที่ฉันขอค้านออกไปโดยไม่คิดมันยังไม่จบนี่นา!! ทำไงดี!? ตอนนี้ฉันยังหาข้ออ้างในการค้านไม่ได้เลย!!
"อายส์ ตบโต๊ะสิ"
เอ๋? ตบโต๊ะ...?
!! ใช่แล้ว!! อาจารย์เคยบอกอยู่เสมอว่ายามที่อยู่ในศาล ถ้าเมื่อใดที่เกิดความรู้สึกกังวล กดดัน เคร่งเครียด หรือแม้แต่คิดอะไรไม่ออก ให้เอาฝ่ามือกระแทกแรงๆ กับโต๊ะ เสียงจากการตบและแรงกระแทกจะได้ช่วยไล่ความรู้สึกเหล่านั้น แถมยังเป็นการกระตุ้นการไหลของคลื่นไฟฟ้าในร่างกาย ทำให้สมองทำงานได้มากกว่าเดิม นอกจากนี้เสียงดังที่เกิดขึ้นจะช่วยเพิ่มความกดดันให้อีกฝ่ายด้วย!!
ฉันไม่รอช้า ยกมือทั้งสองข้างขึ้นเหนือหัวไหล่ จากนั้นก็ส่งแรงไปทางเดียวกับแรงโน้มถ่วง ให้ฝ่ามือกระแทกกับโต๊ะเข้าอย่างแรง
ปึง!!
เสียงของมันดังซะจนแก้วหูสั่นคลอน รู้สึกได้ถึงความเจ็บและความชาไปพร้อมกันจากฝ่ามือทั้งสอง มันไม่ใช่ความรู้สึกที่ดีเท่าไหร่นัก
แต่มันก็ทำให้ฉันนึกออกซะที ว่าควรจะพูดอะไรต่อ
"คุณสรเดชคะ!!"
"ค...ครับ!?"
ฉันไม่สนใจอาการตกใจของอัยการ แล้วพูดต่อด้วยเสียงที่แข็งกร้าวกว่าเดิม
"ไม่ทราบว่าตอนที่ตำรวจเข้าจับกุม ชุดของจำเลยเปื้อนเลือดอยู่รึเปล่าคะ!?"
"เอ๊ะ...? เอ่อ...ถ้าจำไม่ผิด รู้สึกจะไม่นะครับ..."
นั่นไง เป็นอย่างที่คิดเลย อาจารย์เป็นคนรอบคอบ ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็จะระวังตัวโดยไม่ทำให้สภาพที่เกิดเหตุบิดเบือนไปเสมอ ไม่มีทางทำอะไรสะเพร่าอย่างเผลอทำให้ตัวเองเปื้อนเลือดอยู่แล้ว
"ไม่คิดว่ามันแปลกเหรอคะ? ฆาตกรเอามีดไปล้างเพื่อลบหลักฐานที่จะสาวถึงตัวเอง หมายความว่าเขาจะต้องดึงมันออกจากร่างผู้ตาย ซึ่งถ้าทำแบบนั้น เลือดจะต้องพุ่งออกจากบาดแผลราวกับน้ำพุแน่ๆ ในภาพที่คุณให้ดูเมื่อครู่เองก็มีเลือดเปื้อนเต็มกำแพงกับพื้นเต็มไปหมด ซึ่งนั่นเป็นหลักฐานชั้นดีที่พิสูจน์เรื่องนี้"
ปึง!!
"ทั้งอย่างนั้น ทำไมลูกความของฉันที่คุณสงสัยว่าเป็นฆาตกรถึงได้ไม่เปื้อนเลือดเลยแม้แต่น้อยล่ะคะ!?"
ฉันเริ่มได้ยินเสียงฮือฮามาจากที่นั่งฝั่งคนนอก การที่คนเหล่านั้นเริ่มส่งเสียงแบบนี้ แสดงว่าพวกเขาเองก็เห็นด้วยกับข้อขัดแย้งนี่สินะ
ปังๆๆ!!!
"กรุณาเงียบๆ กันหน่อยครับ!!"
แต่ในศาลแห่งนี้ เสียงเหล่านั้นก็ไม่ต่างจากเสียงรบกวน มีแต่จะทำลายสมาธิของทุกคนที่นี่ ผู้พิพากษาจึงต้องตะโกนเสียงดังพร้อมกับทุบค้อนรัวๆ สามครั้ง คนเหล่านั้นถึงได้ยอมเงียบอีกครั้ง
"ศาลเห็นด้วยกับฝ่ายจำเลยครับ คุณสรเดช คุณสามารถให้คำอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้มั้ยครับ?"
ใช่แล้ว!! การจะหลบเลี่ยงเลือดที่พุ่งจนเปื้อนไปทั่วแบบนั้นมันไม่ง่ายเลย ถึงจะพยายามยังไง เลือดก็ต้องกระเซ็นมาโดนชุดบ้าง เหตุผลที่จะดึงมีดออกมาโดยชุดไม่เปื้อนน่ะ ฉันนึกไม่ออกเลยซักนิด!!
ทั้งที่น่าจะเป็นอย่างนั้นแท้ๆ....
"มันง่ายมากครับท่าน~"
"ห...หา...?"
ไม่จริงน่า...นี่ฉันหูไม่ฝาดใช่มั้ย....
"คุณ...อธิบายได้เหรอคะ!?"
"หึๆๆ คิดว่าเรื่องแค่นี้ผมจะไม่ได้คิดไว้ก่อนแล้วเหรอครับ? ถามอะไรได้สมกับเป็นทนายมือใหม่จริงๆ~"
เพียงแค่เห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์บนใบหน้าอ้วนท้วมนั้น ฉันก็มั่นใจว่านั่นไม่ใช่แค่การบลัฟแน่ๆ ได้ยังไง!? มีวิธีแบบนั้นอยู่ด้วยเหรอ!?
"ศาลที่เคารพ ผมขอนำเสนอหลักฐานชิ้นนี้ครับ!"
อัยการหัวล้านกุมหลักฐานที่ว่าด้วยมือขวาแล้วชูขึ้นเหนือหัว การกระทำนั้นคือการสั่งให้กล้องในศาลจับภาพสิ่งที่อยู่ในมือข้างนั้น แล้วส่งภาพที่ได้ไปฉายที่จอใหญ่ทั้งสี่ ฉันเงยหน้าอย่างไม่รอช้า มองภาพหลักฐานที่เป็นเบื้องหลังความมั่นใจนั้นในทันที
"ผ...ผ้าขนหนู...?"
ใช่ มันคือผ้าขนหนูสำหรับอาบน้ำแบบที่คนทั่วไปใช้กันนี่แหละ สิ่งที่ต่างจากผ้าขนหนูทั่วไป ก็มีแค่รอยเปื้อนเลือดขนาดใหญ่บนพื้นที่สีขาวเท่านั้น
"คุณคงจะไม่บอกหรอกนะคะ ว่าคนร้ายใช้สิ่งนี้กันเลือดที่สาดกระเซ็นน่ะค่ะ"
"หา? คุณทนายมือใหม่เห็นผมดูโง่ขนาดนั้นเลยเหรอครับ? ไม่เอาน่า เรื่องแบบนี้แค่ดูก็รู้แล้วว่ามันใช้กันไม่ได้หรอกครับ~"
ก็นั่นน่ะสิ ถึงผ้าขนหนูจะผืนใหญ่อยู่ แต่จะใช้มันคลุมทุกส่วนของร่างกายน่ะมันเป็นไปไม่ได้หรอก อย่างน้อยก็ต้องมีส่วนเล็กๆ อย่างแขนหรือขาที่คลุมไม่ถึงบ้างแหละ
แล้วทำไมผ้าขนหนูผืนนี้ถึงทำให้อัยการหัวล้านคนนี้ดูมั่นใจกันนะ
ในขณะที่ฉันกำลังสงสัย คำพูดต่อไปของอีกฝ่ายก็ช่วยไขข้อข้องใจนั้น
"ทางเราพบผ้าขนหนูผืนนี้แขวนอยู่ในห้องน้ำในห้องผู้ตาย แล้วฉุกคิดได้ว่าอาจจะได้เบาะแสเพิ่มเติม เลยทำการตรวจสอบภายในห้องน้ำอย่างละเอียด ซึ่งผลที่ได้สรุปออกมาเป็นตามรายงานนี้ครับ"
สิ่งที่ถูกฉายบนหน้าจอโฮโลแกรมเปลี่ยนไปอีกครั้ง คราวนี้สิ่งที่โชว์ต่อหน้าทุกคน เป็นรายงานอย่างเป็นทางการหนึ่งหน้ากระดาษ ซึ่งแน่นอนว่ามีส่วนที่เขียนอย่างน้ำท่วมทุ่งซะเยอะ ฉันเลยอ่านข้ามๆ ไปสนใจตรงเนื้อหาสำคัญ ซึ่งสรุปออกมาได้เป็นข้อความสั้นๆ นิดเดียว
พบปฏิกิริยาของเลือดอยู่ที่จุดเปิดฝักบัว พื้นห้องน้ำ และในท่อน้ำทิ้ง ซึ่งผลการตรวจสอบจากแล็ปชี้ว่ามันเป็นเลือดของผู้ตายทั้งสิ้น
!! งั้นเหรอ!? เพราะอย่างนี้อีกฝ่ายถึงได้มั่นใจขนาดนี้สินะ!!
"หึๆๆๆ~ ดูเหมือนว่าคุณทนายมือใหม่จะรู้แล้วสินะครับว่าผมคิดอะไรอยู่~"
คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีวิธีแบบนี้ ไม่สิ เพราะฉันไปสนใจมองแต่วิธีป้องกันเลือด เลยมองข้ามถึงความเป็นไปได้ของเรื่องนี้ไปต่างหาก
"ใช่แล้วครับ ฆาตกรไม่จำเป็นต้องป้องกันตัวเองจากการเปื้อนเลือดเลยแม้แต่น้อย...
เพราะในตอนที่เกิดเหตุ ฆาตกรอยู่ในสภาพนุ่งผ้าขนหนูผืนเดียวยังไงล่ะครับ!!"
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ