30 days for youสามสิบวันของผมกับนายเจ้าหนี้ตัวร้าย

10.0

เขียนโดย enzang2660

วันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2558 เวลา 17.42 น.

  16 บท
  3 วิจารณ์
  20.10K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 10.49 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

7) บทที่ 6 คนป่วย

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ 6

คนป่วย

                   “ฝากชีทให้ธันหน่อย”

                   ชีทปึกหน้าไม่ต่ำกว่าร้อยหน้าจำนวนสองเล่มถูกยื่นมาให้ จากนั้นมันก็ตามมาด้วยชีทแผ่นเล็กแผ่นน้อยและสมุดไม่ต่ำกว่าสามเล่ม

                   “เดี๋ยวๆ เอามาให้ฉันทำไม” มันจะเยอะไปแล้วมัน เรียนเยอะขนาดนี้ต้มแดรกเถอะ

                   “ก็แฟนนายไม่มามอไง ก็เอาไปให้มันดิ” ผู้ชายตัวสูงจากคณะนิติพูด

                   “อ้าว มันไม่มาหรอ”

                   อันนี้ผมไม่รู้จริง ๆ หลังจากเมื่อวานที่มันไปส่งแฟนเก่าผมก็ไม่รู้ว่ามันกลับเข้าบ้านตั้งแต่เมื่อไหร่  คิดว่าไม่กลับด้วยซ้ำก็นั่งอ่านการ์ตูนยันเที่ยงคืนยังไม่เห็นรถแท็กซี่ขับผ่านหน้าบ้านซักคันก็นึกว่าไปสวิงกันเรียบร้อยแล้ว เหอะๆ หอบสังขารกลับมาบ้านตอนเช้าล่ะสิ

                   “เอาไปให้เองเถอะ ไม่ก็โทรเรียกมันมาเอาเอง” ผมยื่นชีททั้งหมดคืน

                   “โทรไปแล้ว มันไม่สบายลุกไม่ไหว” ผู้ชายหน้าติ๋มๆเรียบร้อยพูด

                   “อยู่ข้างบ้านกันไม่ใช่หรอเอาไปให้มันหน่อยดิ” ไอ้สูงหน้าเข้มเสริม

                   ไม่สบาย? ไม่น่าเชื่อคนแข็งแรงแบบนั้นอ่ะนะ

                   “พวกนายสองคนก็เอาไปให้เอง ฉันไม่เกี่ยว ไม่ก็โทรหาพี่โรสให้เขาเอาไปให้สิ”

                   “อ่อ ผัวเมียทะเลาะกัน”

                   ผมทำตาขวางใส่ไอ้ผู้ชายผิวเข้มตัวสูง  ส่วนอีกคนก็ยกมือปรามพลางบอกให้ใจเย็น  ไอ้มืดนี่มันปากไม่ดีน่าเอาเลือดออกจากปาก!

                   “เขาไม่ช่วยเราก็ไปเรียนต่อเถอะ  สงสารก็แค่ไอ้ธันมันจะเรียนไม่ทัน ข้าวเช้าก็ไม่รู้มีคนป้อนหรือเปล่า” ผู้ชายคนเรียบร้อยพูด

                   “เออ ช่างหัวมันล่ะอยากไปตากฝนเอง”นายเข้มพูด

                   “โอเคๆ ฉันเอาไปให้ก็ได้พอใจยัง”

                   สงสารเพื่อนมนุษย์หรอกนะ  แวะไปดูมันหน่อยแล้วกัน

 

                  

                   อันที่จริงทางบ้านผมสั่งสอนมาดีนะครับ  แต่การเข้าตามตรอกออกทางประตูมันใช้ไม่ได้กับวินาทีนี้  การจะเข้าบ้านตรงข้ามน่ะหรอครับ ถ้าไม่เข้าทางประตูก็ปีนระเบียงสิ  ระเบียงห้องผมกับไอ้ธันห่างกันแค่เมตรเดียวเอง  แต่ก่อนผมก็เคยปีนเข้าห้องมัน....แต่ก่อนโน้นหลายสิบปีแล้ว

 

                   ตุ้บ!

 

                   ผมโยนชีทข้ามฝากไปก่อนจะกระโดดตามไป  เวลานี้ในบ้านคงไม่มีคนอื่นแล้วนอกจากมันคนเดียว  ผมก็โล่งใจที่ไม่ต้องเจอคนอื่นในบ้านมัน

                   มองลอดผ้าม่านสีครีมเข้าไปก็เห็นเพียงห้องมืดสนิท  ผมชั่งใจสักครู่ว่าจะเคาะประตูเลื่อนบานใสดีหรือมุดเข้าทางห้องน้ำดี เอาเป็นว่าลองเลื่อนประตูดูก่อน

 

                   ครืด~

 

                   ผมเลื่อนประตูอย่างเบามือแล้วพาตัวเองเข้าไปข้างใน  ภายในห้องเปิดแอร์เย็นเฉียบ เข้ามาทีนึกว่าหลุดไปขั้วโลกเหนือ  ในห้องสีงาช้างตัดครึ่งผนังห้องด้วยลายไม้ถูกตกแต่งไว้อย่างเรียบง่าย  มีตู้หนังสือ โต๊ะคอมและโต๊ะญี่ปุ่นวางอยู่อีกมุมนึงของห้อง ถัดมาที่ใกล้ตวผมที่สุดคือฟูกสปริงขนาดกว้างพอให้นั่งปิกนิคได้สบาย  เพียงแต่ตอนนี้โดนเจ้าของห้องซึ่งนอนซุกอยู่ใต้ผ้าน่วมจองที่ไว้เสียแล้ว

                   …เปิดแอร์แล้วห่มผ้าเพื่ออะไรวะ...

                   คงจะหายหรอกเนอะ  เฮ้อ บ่นไปก็เท่านั้น  ผมวางชีทแล้วก็ออกไปนอนเล่นเกมที่บ้านดีกว่า

 

                   หมับ!

 

                   มือใหญ่ตะบบเข้าที่ข้อมือผมก่อนกระชากตัวผมปลิวลงไปนอนทาบบนอกมัน  ผมขึ้นตัวลุกขึ้นโดยยันแขนกับฟูกมันเลยพาดแขนอีกข้างเกี่ยวเอวผมไว้

                   “จะเข้ามาปล้ำก็ไม่บอกจะได้ถอดเสื้อรอ”

                   น้ำเสียงไม่ได้แฝงความขี้เล่นแค่กวนตีนเล็กน้อยถึงปริมาณมาก  เห่าได้ขนาดนี้คงไม่ตายง่าย ๆ หรอกมั้ง

                   “ปล้ำแกน่ะหรอ! ให้ฉันไปขี่แกะยังดีซะกว่า”

                   “เดี๋ยวก็รู้ว่าฉันดีกว่าแกะซะอีก”

                   “ไม่ต้องเลยนะมึง!”

                   มันล็อคคอโน้มหน้าผมไปใกล้  นี่ขนาดป่วยยังมีแรงเท่าควาย  ขืนอยู่กับมันผมก็ช้ำในตายกันพอดี

                   “อึดอัดเว้ย!”

                   “โอเค”

                   มันยอมปล่อยแต่โดยดีและทำหน้าเหมือนคนใกล้ตาย  ผมเลยแกล้งหยิกมันเล่นมันก็ไม่หือไม่อือ  เฮ้ย! มันตายด้านไปแล้วหรอ

                   “เป็นอะไรมากเปล่าเนี่ย”

                   “เป็นห่วงหรอ”

                   “เออ ถ้าแกตายไปตอนนี้เพื่อนบ้านผู้แสนดีอย่างฉันก็โดนสอบปากคำคนแรกเลยดิ”

                   คงไม่มีใครคิดว่าผู้ชายตัวเท่าควายจะตายเพราะเป็นหวัดหรอกจริงไหม

                   “เพื่อนแกฝากชีทมาให้”

                   พูดจบผมก็ทิ้งชีททั้งปึกหนักราว 2 กิโลกรัมใส่ท้องมัน  มันไม่ร้องแต่ทำตัวงอเม้มปากจ้องหน้าอย่างเจ็บแค้น ผมเลยว่าไปที

                   “สำออย”

                   “ตายกันพอดี”

                   “เออตายไปเลย!”

                   “ฉันจะมาหลอกยูคนแรกเลย”

                   “เออ งั้นอย่าเพิ่งตายมีอะไรค่อยๆคุยกันนะ”

                   เรื่องผีเรื่องสางนี่ไม่ได้เลยนะผมโคตรกลัว ไม่เอาไม่พูด

                   “ไปทำอีท่าไหนถึงไม่สบายแบบนี้”

                   “ไม่รู้ ก็ก้มๆเงยๆ”

                  

                   ผลั๊วะ!

 

                   ผมปาชีทอัดหน้ามันไปเต็ม ๆ มันทำตาโตคงงงว่าผมองค์หรืออย่างไร  ผมก็ไม่รู้ตัวเองเหมือนกัน สมองผมมันประมวลผลมั่วซั่วมาก มันเอาเรื่องพี่โรสกับไอ้นิตินี่มาโยงกันมั่วไปหมด มันก็ชอบพูดสองแง่สองง่าม(คนเขียน: ไม่ใช่หรอกมุงอ่ะคิดมาก-o-)

                   “โทรเรียกพี่โรสมาดูแลเองแล้วกัน!”

                   “โรสเกี่ยวอะไร”

                   “ก็หายไปกันมาทั้งคืนไม่ใช่หรือไง  มั่วไปก้มๆเงยๆกันอยู่ใช่ไหมล่ะ!”

                   มันทำหน้านิ่ง  เหอะ! ถูกสินะ 

                   “ฉันก้มๆเงยๆหาของให้ยูต่างหากพอดีฝนมันตกแต่หาไม่เจอซะที”

                   “เหอะ! คงจะเจอหรอกก็แฟนเก่าของนายเขาแค่แกล้งหลอกให้ฉันหาของที่ไม่มีวันหาเจอไงล่ะ!”

                   “หมายความว่า...”

                   “ของมันไม่ได้หาย! แฟนเก่านายแกล้งฉัน แต่นายโง่กว่าฉันที่ดันไปหาเองทั้งที่ฉันไม่ได้ขอ”

                   มันเงียบกริบ เอ้อ บางทีผมอาจพูดแรงไปแต่ก็ไม่ได้ขอให้มันช่วยหานี่หว่า  ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น สักวันเถอะผมจะเอาคืนให้หนักเลย!

                   “โทษที”

                   ผมขอโทษออกไป  ไม่อยากจะสร้างบรรยากาศอึมครึมให้ห้องแคบ ๆ แบบนี้หรอกนะ อึดอัดตายกันพอดี

                   “ฉันโง่เองที่ไปตากฝนตั้งชั่วโมงนึง”

                   “ขอโทษแล้วไง อย่าพูดให้รู้สึกผิดได้ไหมล่ะ”

                   “ฉันบอกว่าฉันโง่เอง”

                   “กดดันกูอยู่ใช่ไหมเนี่ย”

                   “คิดมาก”

                   ดูแม่มทำหน้า มันตีหน้านิ่งทำเสียงเข้มแล้วจะให้ผมคิดว่ายังไงได้ล่ะ

                   “กะ...กินข้าวหรือยัง”

                   ผมลองถามเปลี่ยนประเด็น มันก็นิ่งไม่ตอบ  พอหันซ้ายหันขวาก็เจอข้าวต้มเย็นชืดภายใต้อุณหภูมิ 24 องศา ไม่รู้อยู่มานานเท่าไหร่แต่ดูมันไม่อร่อยแล้วล่ะ

                   “ฉันไปอุ่นให้นะ”

                   “ไม่ต้อง”

                   “แบบนี้มันไม่อร่อยนะ กินร้อนสิถึงจะดี”

                   “กลัวจะมาวางเพลิงบ้านฉันน่ะสิ”

                   “งั้นอย่าแดรกเลย!!”

                   พูดดีก็แล้วนะทำเป็นงอนเป็นเด็กไปได้  พอผมขึ้นเสียงดังมันก็ถกผ้าขึ้นมาคลุมโปงนอนไม่สนใจผม  อ้าว ไอ้เวรนี่เมินกันเฉยเลย

                   “ถ้าป้อนก็ดี...”

                   มันพูดอู้อี้ใต้ผ้าห่ม  พูดจาน่ารักแบบนี้คนฟังอย่างผมก็เลยต้องตอบหวาน ๆ กลับไป

                   “มึงเป็นง่อยหรอไง! เห็นกูเป็นเบ๊มึงหรอ!”

                   หวานเจี๊ยบชื่นใจเลยไหมล่ะ

                   “เออ ๆ ป้อนให้ก็ได้ลุกดิวะจะนอนกินเป็นจระเข้หรือไง”

                   มันยอมลุกขึ้นมานั่งพิงหัวเตียงแต่โดยดีแถมยังจ้องผมตาไม่กระพริบอย่างกับลูกนกรออาหารจากแม่นกเลย  โดนจ้องแบบนี้ผมก็แก้เก้อด้วยการตักข้าวต้มขึ้นมาเป่า

                   “มันเย็นแล้วยังจะเปล่าอีกหรอ”

                   “ใครเป่า! กูถุยน้ำลายเว้ย  กินเข้าไปซะมึงจะได้กลายเป็นปอบ”

                   “เปลี่ยนจากปอบเป็นกอดได้ไหม”

                   “เดี๋ยวกูก็คว่ำชามซะนี่...”

                   ลามปามคิดจะมาหยอกคนอย่างยูหรอ เดี๋ยวจะโดนมิใช่น้อย มันอ้าปากรับพลางทำหน้าขมขื่น  อร่อยหรือเปล่าผมไมรู้แต่ผมเติมน้ำตายให้ไปแล้วรสชาติคงจะดีขึ้น(หรือแย่ลง...) พอกินเสร็จผมก็ถามต่อทันทีว่า

                   “อาบน้ำยัง”

                   มันส่ายหน้าแทนคำตอบพลางหันไปหยิบน้ำกรอกปาก

                   “เช็ดตัวให้ไหม”

                   “หาเรื่องแต๊ะอั๋งกันใช่ไหม”

                   “โห้ยยย มึงนี่โคตรหลงตัวเองเลยหว่ะ”

                   “เหนือฉันยังมียูนะ”

                   “ไม่ใช่  มึงอ่ะเหนือกว่ากูอีก”

                   “ชอบอยู่ข้างล่างก็ไม่บอก”

                   มันยิ้มมุมปากพลางยกแขนถอดเสื้อออก  ผมนี่ถอยหลังไปตั้งหลักอีกฝากเลย  มันก็โน้มตัวเอามือยันคลานตามผมมาไม่พูดไม่จาเอาแต่ปั้นหน้านิ่งแสยะยิ้มบ้างให้ขนหัวลุกเล่น 

                   “เข้ามาใกล้อีกนิดกูถีบมึงแน่!”

                   มันหัวเราะดังหึ  โถมร่างเข้ามาหาผมเรื่อย ๆ ไม่ได้กลัวคำประกาศของผมเลยซักนิด  ผมคว้าของบนโต๊ะมันมาไม่รู้อะไรล่ะแล้วก็เคว้งใส่หัวมัน

                   ไอ้พระเอกแบบหลบได้ทุกอย่างมันไม่มีอยู่ในโลกหรอก  ยิ่งป่วยแบบนี้การ์ดป้องกันมันใช่ไม่ได้ผล  กระติกน้ำเก็บอุณหภูมิบรรจุน้ำเต็มเปี่ยมลอยเข้าหน้าไอ้ธันไปอย่างจังจนมันหน้าหงายทิ้งตัวนอนราบไปกับพื้น

                   “ชิบหาย!! ตายไหมเนี่ย”

                   ผมวิ่งไปประคองตัวมัน  จับโดนไปนิดเดียวก็รู้สึกว่าอุณหภูมิร่างกายมันสูงมาก  ลองเอามือแตะแก้มแดงฝาดเลือดสีเข้มมันก็ร้อนจี๋เลย  มาน็อคตรงนี้ก็ลำบากยูผู้น่าสงสารอีกล่ะสิ  ผมก็ต้องลากมันขึ้นไปนอนห่มผ้าห่มบนเตียงให้หายหนาว

                   ผมปิดแอร์เปิดบานกระจกให้อากาศถ่ายเทหวังให้ไข้มันลด  บวกกับเช็ดตัวให้มันด้วยหวังว่าจะช่วยได้

                   บรรยากาศบ่ายคล้อยแบบนี้มันชวนให้เปลือกตาผมปิดลง  คนอย่างผมนิ่งเป็นหลับขยับเป็นด่า  ให้อยู่เงียบ ๆ คนเดียวแบบนี้หลับสิครับ  ผมกดตั้งนาฬิกามือถือหวังจะหลับซักงีบและค่อยกลับบ้าน ผมต้องกลับก่อนคนในบ้านไอ้ธันจะมา ไม่งั้นล่ะก็....

                   ...เออ หลับเหอะง่วงแล้ว...

                  

                  

                   ตึก ๆ

 

                   เสียงย้ำเท้าดังเรื่อยมาตามทางเดิน  ร่างเล็กผอมบางในชุดสูทกับกระโปรงทรงเอสีดำสนิทดูเรียบร้อย  เส้นผมยาวสลวยถูกขดไว้ด้านหลังอันเป็นทรงมาตรฐานของสาวออฟฟิศ  หากแต่เธอคนนี้เป็นรองประธานสำนักพิมพ์แห่งหนึ่ง  ถึงจะมีหน้าที่การงานที่ดีแต่เธอก็พึงพอใจที่จะทำตามความปรารถนาของลูกชายคนเดียวโดยการอาศัยอยู่ที่บ้านหลังเล็กแห่งนี้  แม้จะเคยเกิดเรื่องร้ายจนทำให้เธออยากจะพาลูกชายย้ายออกไปจากละแวกบ้านนี้ก็ตาม

                   วันนี้อมิตตากลับบ้านไวกว่าปกติ  ด้วยความเป็นห่วงลูกชาย  อีกทั้งแม่บ้านที่ประจำอยู่ก็ลาคลอดตั้งสามเดือน  ธันวาเป็นสมบัติเดียวที่สามีทิ้งไว้ให้เธอก่อนตาย  เธอจึงรักและหวงแหนลูกชายคนเดียวของเธอมากเป็นพิเศษ

                   “ธันหายดียังลูก”

                   ผละประตูเข้าไปอย่างถือวิสาสะ

                   “..นี่มันอะไร”

                   สายตาคู่สวยมองตรงไปยังร่างสองร่างที่นอนเคียงกันอยู่บนฟูกหนา  ร่างหนึ่งเปลือยท่อนบน  เหยียดแขนให้อีกอีกคนหนุนนอน  มืออีกข้างกอดทับอยู่บนเอวบางราวกับเด็กน้อยกอดตุ๊กตาตัวโปรด 

                   ใบหน้าสะสวยสมวัยของหญิงหม้ายเริ่มขึ้นสีแดงจัดด้วยความโมโหและสับสนในจิตใจ  แผ่นหลังในชุดนักศึกษานั่นเธอจำได้ดีถึงเด็กคนนั้นจะโตขึ้นแต่เธอก็ไม่เคยลืมคนที่เธอพยายามกีดกันไม่ให้ยุ่งกับลูกชายของเธอนั่นเอง

                   “ตื่นเดี๋ยวนี้!”

                   เธอตวาดเสียงดังลั่นจนคนทั้งคู่สะดุ้งตื่น  ยูสะลึมสะลือครู่หนึ่งพอพบว่าตนนอนอยู่ในอ้อมกอดใครก็รีบเด้งตัวออก  บังเอิญถอยไปชนเข้ากับใครบางคน  ใบหน้าใสจึงเงยขึ้นมอง

                   “น้าอมิตตา...”

                   เขาเรียกเสียงเบาโหวง  ธันวาเมื่อลืมตาขึ้นมาเจอมารดาปั้นหน้าตึงใส่ยูก็ตกใจ  ปรี่เข้ามาดึงยูไปหลบไว้ด้านหลัง

                   “มันไม่มีอะไรนะครับแม่” ธันวารีบบอก

                   “แม่ยังไม่ทันถามอะไรเลย จะร้อนตัวไปทำไมหรือธัน”

                   “ผมทราบนะครับว่าคุณแม่กำลังคิดอะไร...แต่มันไม่ใช่อย่างที่คุณแม่คิด”

                   เธอเมินลูกชายหันไปจ้องลูกชายเพื่อนบ้าน  ยูก้มหน้าไม่กล้าสบตามือก็ขยุ้มผ้านวมไว้แน่น

                   “แปลกใจจังนะที่เห็นเธอที่นี่ ฉันคิดว่าเธอจะไม่กล้ามาที่นี่แล้วซะอีก”

                   เธอพูดเสียงเย็นเยือกด้วยท่าทีเย็นชา

                   “หวังว่าคงไม่ลืมสัญญาที่ให้ไว้กับฉันหรอกนะ...ยู”

                   พูดแทงใจดำใครบางคนอย่างจงใจ  ยูเม้มปากแน่นลุกขึ้นเดินจ้ำเท้าออกไปพลางพูดคนว่า “ขอตัวกลับก่อนนะครับ”  ธันเห็นสีหน้ายูเหมือนจะร้องไห้เขาก็รีบวิ่งตามออกไปไม่สนคำห้ามปรามของมารดา

                   ธันวิ่งไปคว้าแขนยูไว้ได้  อีกก้าวเดียวยูก็จะพ้นหน้าประตูรั้วออกไปแล้ว  เขาแอบเหน็บเจ้าตัวดีในใจว่าไวอย่างกับปรอท  ยูเองก็หันมาจิกตาไม่พอใจเอามืออีกข้างมาดึงแขนธันออก

                   “คุยกันก่อน”

                   “ปล่อย!”

                   “สัญญาอะไร ยูไปสัญญาอะไรไว้กับแม่ฉัน!”

                   “มันไม่เกี่ยวกับนาย!!”

                   “แล้วมันเกี่ยวกับเรื่องที่ทำให้นายเลิกยุ่งกับฉันใช่หรือเปล่า!”

                   ยูเงียบไม่ปริบปาก  ธันกำแขนยูไว้แน่นราวกับจะคาดคั้นเอาคำตอบ

                   “11 ปี ที่นายไม่พูดกับฉันเลย มันเกี่ยวกับเรื่องสัญญานี่ใช่ไหม...”

                   “.......................”

                   “เรื่องตอนนั้น...ยูไม่..”

                   “พอซะที!! ฉันจะกลับบ้าน!!”

                   ยูรวบรวมแรงที่มีผลักร่างสูงออกไป  เขาวิ่งหนีเข้าบ้านไปโดยไม่หันกลับมามองว่าอีกฝ่ายทำสีน่าเจ็บปวดขนาดไหน  เขาเองก็รู้สึกเจ็บปวดไม่แพ้กันกับเรื่องเหตุการณ์ครั้งนั้น

                   ...เหตุการณ์เมื่อ 11 ปีก่อน...

 

 

 

+++++++++++++++

มาม่าซักห่อไหมคะ

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา