30 days for youสามสิบวันของผมกับนายเจ้าหนี้ตัวร้าย
10.0
เขียนโดย enzang2660
วันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2558 เวลา 17.42 น.
16 บท
3 วิจารณ์
19.89K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 10.49 น. โดย เจ้าของนิยาย
15) ตอนพิเศษ กุญแจมือ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความตอนพิเศษ
กุญแจมือ
“ว้าววว~”
เด็กสาวในชุดนักเรียนปรบมือกันเกรียวกราวให้กับการแสดงมายากลเปลี่ยนผ้าเป็นดอกกุหลาบ นี่เป็นเพียงหนึ่งในกลยุทธ์เรียกคนเข้าซุ้ม กลยุทธ์ต่อไปคือการอัญเชิญหนุ่มหล่อมาประดิษฐานหน้าซุ้มนั่นเอง
“ไอ้เฟรมไหนหนุ่มหล่อของมึง” เพื่อนนักมายากลกระซิบถามพลางใช้สายตามองหา
“กูนี่ไงครับ แหกตาดูให้ชัด ๆ กู~” หนุ่มผมจุกเจ้าของชื่อยิ้มแช่งพร้อมชี้นิ้วเข้าหาตัว
“ไปหาที่หล่อกว่ามึงมาอีกคนดิ๊”
“โห้ย หล่อกว่ากูไม่มีอีกแล้ว~ กูนี่หล่อสุดในคณะแล้วเนี่ย!”
“กูบอกแล้วว่าซื้ออาหารให้หยิบถุงสีเหลือง ถุงสีแดงมันอาหารปลา ชอบแดกผิดอยู่เรื่อยมึงอ่ะ สมองมึงรัวเลยเห็นไหม”
“อ่อ มันเม็ดเล็กดีเคี้ยวง่าย.....ไอ้สลัดหลอกด่ากูพอหรือยัง!”
“ไปหามาอีกคน เอาหล่อ ๆ นะมึง”
เฟรมเขี่ยจุกผมไปมา สอดส่ายสายตามองหาผู้ชายสักคน ไม่รู้ว่าเวรกรรมหรือโชคหล่นใส่ หนุ่มแว่นหน้าใสเดินปาดเหงื่อหลบร้อนเข้ามาอยู่ในซุ้มพอดี
“เดี๋ยวกูไปฉุดแป๊บ~”
พูดจบก็ยิ้มกริ่มรีบสาวเท้าอาด ๆ เข้าไปหาหนุ่มผิวขาวที่กำลังถอดแว่นออกมาเช็ด เหมือนสัมผัสที่หกได้ตื่นขึ้น “หนุ่มหล่อ” หรี่ตาปรับโฟกัสภาพมองคนที่กำลังเดินเข้ามาหา เพราะจุกผมอันโดดเด่นบนหัวทำให้เขาสรุปได้ว่าคนที่กำลังเข้ามาเป็นใคร...จะใครซะอีกล่ะ ตัวซวยของเขาน่ะสิ
“คุณพี่ครับมาทำอะไรตรงนี้หรอครับ~” น้ำเสียงออดอ้อนดูน่ารักเอ่ย
“มีอะไร” เก่งตอบกลับเสียงห้วน
“พูดจาห่างเหิ๊น..ห่างเหิน ถ้าไม่มีอะไรผมไม่เดินมาให้เสียพลังงานหรอกครับ”
“มีอะไรก็ว่ามาฉันจะได้ไปทำงานต่อ”
“มานี่หน่อยสิครับ”
เฟรมดึงแขนเก่งโดยไม่รอให้อีกฝ่ายใส่แว่นให้เรียบร้อย ถึงจะพอมองได้เลือนรางแต่ระดับการคาดการณ์ระยะออกจะผิดไปเยอะ เก่งเดินเหยียบท้ายรองเท้าเฟรมเต็มแรงทำเอาเฟรมพุ่งตัวไปข้างหน้าเกือบล้ม โชคยังดีที่เก่งโอบรั้งเอวเฟรมไว้ทันแล้วดึงกลับมา
แก๊ก!
แต่สิ่งที่พุ่งลงไปนอนคว่ำหน้ากับพื้นกลับกลายเป็นแว่นคู่ชีวิตของเขาเสียเอง...
“แว่นแตกเลย กรรม~” เฟรมเอ่ยขึ้นเบา ๆ แล้วหันกลับไปมองคนที่ยืนซ้อนด้านหลัง ใบหน้าขาวแลดูซีดกลับซีดหนักกว่าเดิม
อันที่จริงจะโทษเฟรมก็ไม่ถูก เขาเป็นคนเหยียบรองเท้าเฟรมก่อน แต่แว่นมันเป็นปัจจัย 5 ในชีวิตของเขาเชียวนะ รู้แบบนี้เลือกปล่อยให้คนในอ้อมแขนลงไปนอนแหมะแทนแว่นยังจะดีเสียกว่า เก่งคิดพลางส่ายหัว
“อ๊ายย~ ดูนั่นดิๆ เขากอดกันอ่ะแก!”
เด็กนักเรียนม.ปลายซุบซิบเสียงดังพลางชี้มาที่เขาสองคน เฟรมกระทุ้งศอกใส่เก่งเป็นเชิงให้ปล่อยตนได้แล้ว แต่เก่งยังค้างมืออยู่ที่เดิมในหัวคิดแค่ว่าวันนี้จะใช้ชีวิตโดยปราศจากปัจจัย 5 ของเขาอย่างไรดี
“จะกอดอีกนานไหมครับผมท้องแล้วนะ รับผิดชอบด้วย”
เฟรมดึงมือเก่งมาวางลงบนท้องตัวเอง เก่งได้สติก็ชักมือกลับก้าวถอยออกจากเจ้าเด็กจอมกวนก้าวหนึ่ง
“มีนายคนเดียวก็ปวดประสาทแล้ว มีอีกคนฉันเอาแว่นทิ่มกระเดือกตายดีกว่า”
รุ่นพี่บ่นพลางกวาดมือเก็บแว่นบนพื้นขึ้น ส่วนเฟรมหัวเราะลั่นรีบลากเก่งให้เดินไปหน้าซุ้มเพราะเพื่อนส่งสัญญาณเรียกแล้ว
“เรื่องแว่นผมรับผิดชอบให้ก็ได้” เฟรมทำหน้าจ๋อยพูดอ้อมแอ้ม เก่งเห็นแบบนั้นก็คิดในใจว่าเจ้าเด็กนี่ช่างเหมือนสุนัขที่บ้านเขาไม่มีผิดทำหูตก ๆ เหมือนกันเลย
“ไม่ต้อง ฉันทำตกเองก็ต้องซ่อมเอง”
“โล่ง~ นึกว่าต้องเสียตังค์ละ เย็นนี้มีกินหมูกระทะเดี๋ยวไม่มีเงิน ฮ่าๆ”
ด้านหน้าซุ้มสาว ๆ แอบยิ้มเล็กยิ้มน้อยเมื่อเจอหนุ่มหล่อ ยิ่งเห็นฉากพี่หน้าตี๋กอดเอวพี่ผมจุกพวกเธอก็อยากจะลงไปกรี๊ดคว้ามือถือมาอัดวิดีโออัพโหลดให้สาววายได้ฟินกันทั้งทวีป
“โชว์ต่อไปนะ ตื่นเต้นมาพี่บอกเลย”
นักมายากลชูอุปกรณ์ชิ้นต่อไปให้ดู มันคือกุญแจมือสีเงินคู่หนึ่ง เขาพลิกให้ผู้ชมดูว่าไม่มีกลไกลแอบแฝงใด ๆ เป็นเพียงกุญแจมือธรรมดา
“เดี๋ยวพี่จะล็อคสองคนนี้ด้วยกุญแจมืออันนี้ เสร็จแล้วพอพี่คลุมผ้าเป่ามนต์เสร็จปุ๊บ! มันก็จะหลุดออกมาทันที เชื่ออ่ะเปล่า~”
“ไม่เชื่อ~”
“ไม่เชื่อหรอ เดี๋ยวจะทำให้ดู!”
กุญแจมือล็อคเข้ากับข้อมือด้านขวาของเก่ง ส่วนที่เหลือล็อคเข้ากับข้อมือด้านซ้ายของเฟรม เฟรมขยับข้อมือเล็กน้อยเขารู้กลไกลของการปลดล็อคของมันแล้ว ก่อนวันงานเพื่อนก็เคยเอามาให้เขาลองเล่นเรียบร้อยแล้ว
“ดูนะ~ เฮ้ย! แป๊บ!”
“อะไรมึง”
“พ่อโทรมา เดี๋ยวกูมานะๆ”
เฟรมมองเพื่อนที่หุนหันรีบรับสาย จะไม่รีบได้ไงพ่อมันดุขนาดนั้นมันเองก็กลัวพ่อจะตาย
“ว่าไงนะพ่อ!! หยิบผิดหรอ...ครับ ๆ เอ่อ อยู่ที่ผมเนี่ยแหละ ครับ ๆ”
วางสายเสร็จนักมายากลหน้าใสก็ยิ้มเจื่อนขึ้นมาทันที เขาเกาหัวแกร๊ก ๆ ขณะที่น้อง ๆ ก็เรียกร้องจะชมโชว์ต่อ
“ต่อสิพี่หนูอยากดู!”
“คือ...ต้องเล่นโชว์อื่นแล้วล่ะ”
“อะไรมึงวะเนี่ย”
เขาปั้นสีหน้าลำบาก เฟรมเองก็เริ่มยกไม้ยกมือทุบกบาลเพื่อน
“อย่าโกรธกูนะ คือ... พ่อกูหยิบกุญแจมือไปผิดอัน” เฟรมกับเก่งยืนนิ่ง คนเล่ายิ่งลำบากใจหนัก แต่ก็เล่าต่อ “เมื่อวานพ่อกูให้กูเอากุญแจมือมาขัด กูก็ขัดของกูอยู่เหมือนกัน พอกูลุกไปล้างมือกลับมาพ่อก็ออกไปทำงานแล้วและก็หยิบติดมือไปอันนึง พอพ่อเอาไปจับคนเล่นไพ่ๆแม่งเสือกหลุดไปได้พ่อก็เลยเหนื่อยวิ่งจับอีกรอบ เสร็จแล้วก็โทรมาด่ากูเนี่ย...”
“เชี่ย! เสือกมาขัดกุญแจมือวันเดียวกัน ดีงาม~” เฟรมบ่นพลางตบหัวเพื่อน
“งั้นไปเอากิ๊บดำมาแงะ”
เก่งเสนอความคิดและออกปากขอกิ๊บดำจากเด็กม.ปลาย จากโชว์มายากลเปลี่ยนเป็นโชว์แงะกุญแจ เก่งอาศัยจำเอาจากในหนังก็ลองเอากิ๊บแหย่เข้าไปในรูอยู่นานสองนานก็ไม่มีวี่แววว่ามันจะปลดล็อคเสียที
“ยากกว่าที่คิด..” เก่งพรึมพร่ำ
“ผมลองบ้าง” เฟรมแย่งกิ๊บจากมือไปทำการแงะแต่ก็ได้ผลเหมือนกันเด๊ะ
“เอางี้เดี๋ยวผมไปกุญแจที่พ่อให้ดีกว่าพี่”
“ก็ดี ขอบใจนะ”
“ได้พรุ่งนี้นะพี่...คือ พ่อผมบินไปอุดร”
ดีจริง ๆ เก่งประชดอยู่ในใจ ส่วนเฟรมเหวี่ยงแขนเล่นไปมาไม่รู้ร้อนรู้หนาวก่อนเงยขึ้นสบตาเก่งอย่างมีเลศนัย เฟรมรู้สึกสะใจที่เก่งทำหน้าลำบากใจ มันคือความสุขของเขา และวันนี้เขาจะทำให้รุ่นพี่ที่รักบ้าตายให้ได้ ฮ่าๆ
เก่งเองก็รับรู้ถึงหายนะที่คืบคลานเข้ามา สู้ให้เขาถูกล็อคคู่กับยูยังดีเสียกว่าเด็กแบบนี้ มีหวังเขาต้องเอาเชือกรัดคอตายแน่
“ฮ่า ๆ”
เฟรมหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น เก่งกุมขมับปวดหัวจี๊ด ...ทำไมต้องมาอยู่กับเด็กบ้าแบบนี้ด้วยนะ.. หลุดไปคงต้องทำบุญใหญ่ล่ะครั้งนี้
ในโชคร้ายของใครบางคนผมกลับคิดว่ามันเป็นโชคดีของผม ผมมองใบหน้าไร้กรอบแว่นที่แสดงสีหน้าว่าอยากจะบ้าเต็มทีหลังเจอผมหยอกไปทั้งวัน
“เฮ้อ…”
เต้าหู้นึงถอนหายใจรอบที่ร้อยของวัน ผมได้แต่ยิ้มภูมิใจ ทำหน้าลำบากใจอีกสิผมชอบ เหมือนอีกฝ่ายจะรู้ความคิดผมจึงนึกเอาหัวจุ่มแก้วน้ำประชดชีวิตมันซะเลย
“เกี๊ยวซ่ายังเหลือไหมวะ ไหนใครบอกซุ้มนี้มีเกี๊ยวซ่า! เกี๊ยวซ่าอยู่ไหนวะ!”
ไอ้ยูพรวดเข้ามาในซุ้มพลางร้องโวยวาย จมูกไวชิบเป๋ง! คนในซุ้มมองหน้ากันเหรอหราก่อนมาหยุดสายตาลงที่ผม ผมรีบโบกมือเป็นเชิงปฏิเสธว่า “กูไม่ได้บอกมันนะเว้ย” ไอ้ยูก็หันมาถามผู้ชายข้างผม
“พี่เก่งเห็นใครถือถุงเกี๊ยวซ่าบ้างไหม พวกมันเอาไปวางไว้ไหนอ่ะ”
ไอ้ยูชะเง้อหาขณะที่เจ้าของเกี๊ยวซ่าแอบย่องหิ้วถุงเกี๊ยวซ่าไปยังจุดปลอดภัย
“ไอ้พุดเดิ้ลมึงแดกไปใช่ไหม!” มันหันมาวีนผม
“ยังไม่ได้กินเลย ไรมึงเนี่ย”
“ปากมันแผล็บยังบอกไม่ได้กิน บอกที่ซ่อนมาเดี๋ยวนี้นี่คือการปล้น!”
“อยากกินก็ไปบอกแฟนมึงโน่นอย่ามาเบียดเบียนชาวบ้านเขา~”
ผมจงใจเอ่ยคำว่าแฟนออกมาให้คนข้าง ๆ รู้สึกหดหู่หนักกว่าเดิม ตอนแรกพอพี่แกเห็นไอ้ยูตานี่เป็นประกายเชียว ขอดับฝันหน่อยเถอะหมั่นไส้ หึๆ
“ทำไมแขนมึง...?” มันชี้มาที่ข้อมือผมซึ่งถูกล็อคไว้กับแขนขาวๆของอีกคน ผมเลยเล่าเหตุการณ์ให้มันฟัง
“น่าสงสารหว่ะ”
“ใช่มะๆ”
“กูหมายถึงพี่เก่ง! ไม่ใช่มึง! พี่เก่งใจเย็น ๆ นะครับถึงไอ้พุดเดิลมันจะปากหมาชอบกัดพี่อยู่เรื่อย พี่ก็อย่าโมโหจนกัดลิ้นตัวเองตายนะครับ!” ไอ้ยูว่าพลางจับไหล่รุ่นพี่หน้าเต้าหู้นึงด้วยความเห็นใจ
“กูจะกัดมึงก่อนเลยไอ้ยู” ผมแง่มไปที่มือบนไหล่รุ่นพี่เต้าหู้ ส่งเสียงหึ่ม ๆ ในลำคอขู่มันด้วย
“หวงกาง!”
“เออ กูหวงอย่ามาจับ!”
พี่เต้าหู้สะดุ้งหันมองหน้าผมควับ ผมยักคิ้วให้ทีนึงก่อนขยับหัวซบพี่แกก็รีบเอามือดันหัวผมออกทันที เหอะ! พิศวาสตายล่ะ ผมแกล้งไอ้ยูมันเฉย ๆ หรอก
“เอาหัวออกไป”
“คุณพี่ก็~ ขอน้องซบหน่อยก็ไม่ได้ อายหรอครับไว้ทำกันสองต่อสองก็ได้เนอะ~”
คนตาตี่พยายามถลึงตาใส่ผม ไม่ได้โตขึ้นเลย น่ากลัวตายล่ะ! ผมได้ทีก็ขยับตัวเบียดพี่แกก็ถอยจนจะตกเก้าอี้เลยทีเดียว
“เห็นมึงเป็นฝั่งเป็นฝากูก็สบายใจละ พี่เก่งดูแลเพื่อนผมดี ๆ ด้วยนะ พี่ต้องแปรงขนให้มันทุกวัน จับมันอาบน้ำ เทอาหารหมาให้มันกินด้วยนะ” บอกทีว่ากูยังเป็นคน...
“ยูมาแอบอู้อยู่นี่เอง”
พ่อเทพบุตรของไอ้ยูเสด็จมาตามถึงซุ้ม ไอ้ยูบ่นว่า “ยังไม่ได้ปล้นสะดมเลย!” ตอนโดนสามีมันลากแขนออกไป สองคนนั้นคงไม่รู้ว่ามีสายตาของใครคนหนึ่งมองตามมันสองคนไปจนลับตา ก่อนดวงตาคู่นั้นจะผลุบลงจ้องมองปลายเท้าตัวเอง
“น่าสงสารเนอะ~” ผมเอ่ยลอย ๆ ดวงตารีเล็กจึงจิกใส่ผมทันที ผมก็แค่ยักไหล่ไม่รู้ร้อนรู้หนาว คนบ้าอะไรอึดอย่างกับควาย เจ็บแล้วไม่จำก็เห็นอยู่ว่าเขามีคนรักแล้วยังจะไปรักเขาอีก
...เขาไม่รักก็ดันทุรังไปรักเขาอยู่ได้...
“ฉันดู...น่าสมเพชมากเลยหรอ” เขาถามผม
“ก็น่าเวทนาอยู่นะครับ ทำไมไม่ลองไปรักคนอื่นดูล่ะ จะได้ไม่เจ็บไงยากตรงไหน หรือชอบความเจ็บปวด? โอ้ววว เป็นมาโซฯหรือครับคุณพี่~”
“มันยากตรงที่ฉันไม่รู้จะไปรักใครนอกจาก....ยู”
จมปลัก ดักดาน ผมไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาด่า ไอ้คำพวกนี้มันไม่แรงเดี๋ยวคิดก่อน
“บางครั้งฉันก็คิดนะว่านาย...”
หือ? ผมทำไมอ่ะ? ชายผิวขาวขยับร่างเข้ามาใกล้กลายเป็นผมเสียเองทีต้องขยับตัวถอย มันไม่ชอบมาพากลหว่ะ
“นายขัดจังหวะตอนฉันคุยกับยูตลอด ถ้าไม่ติดว่านายแสดงออกว่าไม่ชอบหน้าฉัน ชอบพูดจากวนโมโหฉัน ฉันคงคิดว่า...นายแอบชอบฉันเลยเข้ามาขวางทางระหว่างฉันกับยู...”
ชอบ? ผมเนี่ยนะบ้าไปแล้ว! ไม่มีทาง!
“เฟรม”
ที่ผมทำก็แค่กวนตีนคนเล่นเท่านั้นเอง ไม่ใช่เสียหน่อย!
“ทำไมหน้าแดงล่ะ”
“ห๊ะ!?!”
“ชอบฉันจริงหรอ?”
“จะบ้าหรอครับ!”
ผมลุกพรวดเดินหนีแต่ลืมไปว่าแขนติดรุ่นพี่ประสาทกลับอยู่ผมเลยเด้งกลับไปนั่งที่เดิม เอ่อ... แต่กะระยะพลาดไปหน่อย แทนที่จะได้นั่งม้านั่งผมกลับนั่งปุบอยู่บนตักของคนบนม้านั่งอย่างไม่ตั้งใจ
“อ่อยใช่ไหมเนี่ย” คิ้วเข้มเลิกขึ้น หรี่ตามองผมอย่างสงสัย ผมอยากจะจ้องตาส่งกระแสจิตยียวนกลับ แต่ดวงตาคุ้นเคยปราศจากเลนส์บดบังกลับทำเอาผมรู้สึกประหม่าขึ้นมา
ผมเม้มปากหายใจช้า ๆ หัวใจผมมันสั่นรัวและแรงขึ้น ผมกลัวว่าคนที่โดนนั่งทับจะได้ยิน อีกทั้งสวิตซ์ความกวนตีนผมถูกปิดลงกะทันหันอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เพราะพี่เต้าหู้ไม่ได้ใส่แว่นแน่นเลยผมถึงไม่กล้าสบดวงตาเขาใกล้ ๆ
“กูว่าแล้วกัดกันไปกัดกันมา....กินกันเองดีกว่าง่ายดี” เสียงไอ้เมศลอยมาเข้าหูผม ปากผมเลยโต้กลับโดยอัตโนมัติทันทีว่า “สึด!”
ประมาณทุ่มหนึ่งหลังเคลียร์ของเก็บเรียบร้อยช่วงเวลาสุขสันต์ก็มาถึง แน่นอนผมหมายถึงกินเลี้ยงไงครับ ทำงานเหนื่อยมาทั้งวันก็ต้องจัดหมูกระทะกันเสียหน่อย แต่งานนี้ไอ้ยูไม่อยู่เพราะโดนแฟนมันลากกลับบ้านไปเรียบร้อยแล้ว พวกผมก็เลยปลื้มปริ่มกันถ้วนหน้า ถ้าไอ้ยูไปเจ้าของร้านก็ไม่ให้เข้าร้านกันพอดี ชื่อเสียงแม่งขึ้นชื่อลือชามาก.... มนุษย์ 4 กระเพาะ
“เก่งไปกินสุกี้กันไหม”
“ไอ้เฟรมไปกินหมูกระทะกันเปล่า”
“ไป//ไป!”
แกร๊ง~
โซ่ถูกกระตุกกึก ผมเอียงคอมองรุ่นพี่ผิวขาวที่กระชากแขนผม เขาหันมาหรี่ตามองผมพลางดึงแขนตัวเองเดินตามเพื่อน เฮ้ย! ผมก็จะไปกินกับเพื่อนผมเหมือนกัน
กึก!
ผมดึงแขนกลับพี่แกก็เซตามผมเล็กน้อย เขาเริ่มเขม่นตาจิกผมๆเองก็ไม่ยอมแพ้ จึงเริ่มก่อสงครามประสาทกันแบบย่อม ๆ โดยการจิกตาใส่กันพร้อมกระชากแขนไปมาไม่มีใครยอมใคร
“ฉันจะไปกินสุกี้”
“ผมจะกินหมูกระทะ”
“สุกี้!”
“หมูกระทะ!”
จะเอาใช่ไหมครับ อย่าหาว่าผมใจร้ายกับคนแก่ล่ะ หึ ๆ
“พอ ๆ กลับหอไปทั้งคู่เลย” พี่บิวยกมือปรามพวกเราก่อนชี้นิ้วไล่ให้กลับหอไป
“ไม่!//ไม่!” เหนื่อยทั้งทีต้องเรียกพลังงานคืนก่อนดิ
“งั้นพวกเรารีบไปกันเถอะ ปล่อยมันสองคนไว้นี่แหละเดี๋ยวโต๊ะเต็ม”
งานนี้ปี 1 กับปี2เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยรีบแยกย้ายสลายโต๋ไปจนหมด ไอ้ผมจะวิ่งตามก็ไม่ทันเพราะมีตัวถ่วงยื้อยุดฉุดกระชากอยู่
“ไปกินก๋วยเตี๋ยวแล้วกัน” ไม่พูดพร่ำทำเพลงต่อ รุ่นพี่เต้าหู้ก็เดินนำกึ่งบังคับผมให้ตามไป
ไอร้อน ๆ ลอยขึ้นมาจากชามบะหมี่เกี๊ยว สีน้ำซุปเหลืองทองช่างยั่วยวนชวนน้ำลายสอ ผมบรรจงใช้ช้อนตักซุปขึ้นมา แต่....
กึก!
น้ำซุปร้อนฉ่ากระเด็นออกจากช้อนผมไปจนหมดเกลี้ยง ผมมองมือตัวเองที่เริ่มแดงขึ้นเพราะโดนของร้อน แต่อีกมือหนึ่งแดงยิ่งกว่าก็โดนไปเต็ม ๆ ทั้งช้อน คนกระชากแขนมองหน้าผมนิ่งก่อนเอ่ยขึ้น
“ร้อน”
“ก็ใครให้กระชากละครับคุณพี่ ผมกำลังจะชิมน้ำซุปอยู่แล้วเชียว”
ไม่พอใจเหมือนกันนะครับไม่ต้องมาจิกตาใส่ ตาก็แทบจะมองไม่เห็นอยู่แล้ว รุ่นพี่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนบ่นเรื่องความไม่ยุติธรรมที่ตัวเองได้รับ
“ถ้านายมัวแต่ตักซุปแล้วฉันจะกินยังไง”
มองมือที่ถูกเชื่อมไว้ด้วยกันอย่างอนาจจิต ผมกับเขานั่งตรงข้ามกันเพื่อให้สะดวกต่อการกิน ก็ไม่ได้ดีขึ้นเท่าไหร่ที่แขนซ้ายผมกับมือขวาเขาโดนเกี่ยวไว้ด้วยกัน ถ้าผมซดแกงพี่แกก็คีบบะหมี่ไม่ได้
“เป็นพี่ต้องเสียสละให้น้องสิครับ~”
“ได้ ฉันจะเสียสละเวลาไปหยิบมีดมาตัดแขนนาย โอเคไหม?”
บ่นจบก็ก้มหน้าก้มตากิน ผมจำใจต้องปล่อยแขนข้างหนึ่งให้อีกคน ดูท่าจะสบายเกินไปแล้ว พี่แกทั้งคีบบะหมี่ซดแกงได้ทั้งสองมือ แล้วดูผมดิ!
“ให้ผมซูดน้ำบ้างดิครับ”
รุ่นพี่เหลือกตามองก่อนตักซุปให้ชามตัวเองยื่นมาจ่อตรงหน้าผม ให้กินแบบนี้อ่ะนะ...
“กินสิ” บอกแล้วเริ่มทะลวงช้อนเข้าปากผม ผู้ชายสองคนป้อนให้กันแบบนี้มันไม่แปลกหรอ ผมส่ายตาล่อกแล่กหวังว่าจะไม่มีใครมองอยู่นะ ผมกลั้นหายใจกระเดือกน้ำซุปลงไปให้ไวที่สุด
“แหวะ! น้ำซุปหรือน้ำเชื่อมเนี่ย” บ้าไปแล้ว นี่มันหวานเกินมาตรฐานแล้วนะ
“น้ำลายติดช้อน... บ่นจังนะให้กินแล้วไง”
“เอาซุปชามผมนี่สิ”
“บ่นก็ไม่ต้องกิน คิดว่าฉันต้องตามใจนายหรอ”
“ครับ ๆ ผมเข้าใจดี ก็ผมมันไม่ใช่ไอ้ยูสุดที่รักของพี่นี่ครับ~”
พี่แกยักคิ้วก่อนกินน้ำแกงตัวเองต่อด้วยใบหน้าพริ้ม มันอร่อยตรงไหนวะ
“จะว่าไป เมื่อวานกินมะม่วงกับกะปิแล้วก็สั่งตำปูปลาร้ามากินต่อก็นั่งกินเพลินจนลืมนอนเลย ตอนเช้าดันตื่นสายอีกซะนี่...แย่จัง ผมก็เลยขี้เกียจอาบน้ำแปรงฟัน...”
คนที่กำลังเพลินกับการซดซุปทำหน้าเจื่อนลดหยิบช้อนวางไว้ข้างชามแทน
“คุณพี่ครับ ขี้ปากผมอร่อยไหมครับ~”
รุ่นพี่รีบยกแก้วกรอกน้ำเข้าปาก บ้วนน้ำทิ้งล้างคอทันที ผมได้แต่หัวเราะหึ ๆ อย่างมีความสุข ขณะที่อีกคนทำหน้าเคืองใส่ หึ ทำหน้าพริ้มดีนัก เฟรมก็ต้องจัดให้หายพริ้มสิครับ...หมั่นไส้!
กินกันเสร็จก็กลับมาหอผม ระหว่างทางผมเห็นพี่แกหน้าบึ้งมาตลอดทาง เดินห่างกับผมเสียเป็นวาปากก็บ่นว่าอยากจะฆ่าตัวตายหนีผม ผมเลยจัดให้โดยการผลักพี่แกลงไปที่ถนน แต่ที่ไหนได้พี่แกกลับรีบกระโดดโหยงขึ้นมาบนทางเท้า ซ้ำยังเตะผมซะด้วย
“เลิกกวนประสาทฉันซะที”
“ไม่มีทางหรอกครับ ฮ่า ๆ”
พี่แกทำหน้าเหมือนอยากจะกระโจนเข้ามาบีบคอผมเต็มที ทำไมผมยิ่งรู้สึกสนุก ฮ่า ๆ
“อาบน้ำดีกว่า เหงื่อซกไปหมดเลย”
“จะอาบยังไง”
“ก็อาบด้วยกันไงครับ”
ผมตอบไปหน้าด้าน ๆ อาบด้วยกันไม่เป็นไรหรอกผู้ชายเหมือนกัน ผมปลดกระดุมถอดเสื้อเอาแขนออกแต่อีกข้างเอาออกไม่ได้
“ทำไมในหนังพระเอกกับนางเอกอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าได้อ่ะ”
ผมมองเสื้อที่ติดอยู่ตรงสายโซ่ ละครมันหลอกลวงสินะแล้วผมดันถอดไปแล้วให้ใส่ใหม่หรอ
“เอากรรไกรมาตัดซิ”
“แล้วผมจะใส่ตัวใหม่ยังไง”
“ไม่ต้องใส่เลยไง”
ไม่ต้องใส่ ? ให้นอนเปลือยกับผู้ชายเนี่ยนะ ก็ผู้ชายนี่หว่าไม่เป็นไรมั้ง ระหว่างที่ผมคิดผมก็เห็นว่ารุ่นพี่ใช้ดวงตาเม็ดเล็ก ๆ มองหน้าอกผม ผมสะดุ้งหันหลังให้ก่อนต่อว่า
“ไม่เคยเห็นนมผู้ชายหรือไงครับ!” อายนะเนี่ย อายยย
“ฉันมองไม่เห็น มันลาง ๆ”
ผมหรี่ตามองแบบเคลือบแคลง ก่อนโบกมือผ่านหน้าพี่แกสองสามที
“ฉันไม่ได้ตาบอด!”
ผมหัวเราะในลำคอก่อนพาพี่แกเดินเข้าห้องน้ำ ผมใช้วิธีให้พี่แกหอบเสื้อผ้าผมไว้ ส่วนผมก็ปิดม่านอาบน้ำ อาบไปก็ระแวงไปว่าพี่แกจะนึกเปิดม่านหรือเปล่าแต่ก็ไม่มีวี่แวว จนถึงตาพี่แกอาบผมเลยแวกม่านดูเสียเอง
ปึก!
“โอ้ย!”
ขวดแชมพูแบบปั๊มกระแทกลงหัวผม อะไรกันเพิ่งแง้มไปได้เซนเดียวเองนะ
“ทะลึ่ง!” คนในม่านด่า
“เห็นด้วยหรอ”
“ไม่เห็นก็รู้ว่านายจะทำอะไร”
รุ่นพี่เต้าหู้ใช้มาตรการเด็ดขาดกับผม บอกถ้าแอบดูอีกจะเอาสบู่ป้ายตา ผมเลยได้แต่มองเงาที่ไหวไปมาบนม่านแทน ตัวพี่แกก็สูงห่างผมไม่มากเท่าไหร่ ช่วงไหล่ก็ใกล้เคียงกัน ส่วนตรงนั้น...ก็พอเห็นรำไร ๆ มันก็....
“เฟรมเถิบมาใกล้ ๆ หน่อย”
“อะไรครับ?”
ผมขยับเข้าไปหามือที่กวักเรียก รุ่นพี่ค่อย ๆ แง้มม่านออก เปิดทางให้หรอผมก็ชะเง้อสิครับ ไหนๆ ขอดูหน่อยสิ
โป๊ะ!
“อ๊าก! แสบตาๆ!”กลิ่นยาสระผมนี่ลอยเข้ามาเลยสุดท้ายก็มาแหมะอยู่ที่ตาผมนี่ไง ผมโวยลั่นอีกฝ่ายหัวเราะอย่างสะใจ ไม่ได้สงสารผมซักนิด แกล้งผมหรอ โห้ย เป็นรุ่นพี่ภาษาอะไรวะ!
“เอ้า ยิ่งขยี้ยิ่งแสบนะ”
“เล่นอะไรของคุณพี่ครับเนี่ย! มันแสบนะครับ!”
“มา ๆ ล้างออก”
สายน้ำรถลงบนหัวผมจนชุ่มช่ำ แม่งไม่ได้โดนหน้ากูเลยครับ คุณพี่มึงตาบอดเปล่าครับเนี่ย!
“ออกหมดยัง”
“ออกบ้าอะไรครับ! ไม่โดนหน้าผมซะนิด!”
“อ้าวหรอ”
“สั้นหรือบอดกันแน่ครับ? ” แต่ผมเนี่ยจะบอดแล้ว ล้างน้ำเสร็จขนบนหน้าผมคงนุ่มลื่นเหมือนทำทรีเมนต์
“ไหนลืมตาซิ”
มือหนาเชยคางผมขึ้นตรวจสอบดวงตา ผมกระพริบตาไล่ความแสบอีกฝ่ายก็เป่าลมใส่ตาผมแทน ผมลืมตาขึ้นเต็มดวงก็แทบผงะตัวเมื่อเห็นใบหน้าขาวใสลอยอยู่ใกล้ไม่ถึงหนึ่งไม่บรรทัด ดวงตาเล็กสอดส่ายมองดวงตาผมอย่างเป็นห่วง
ตึกตัก
แล้วทำไมหัวใจผมมันต้อง...เป็นอะไรวะเนี่ย ผมเบี่ยงสายตาหลบไปทางอื่นไม่กล้าจ้องมองระยะใกล้แบบนี้ มือใหญ่สับลงกลางกระหม่อมผมแรง ๆ ทีนึงพร้อมพูดเสียงดุ
“ทะลึ่งอีกแล้วนะเรา!”
พอเงยหน้าขึ้นพี่แกก็ขมวดคิ้วเป็นปมแน่น ทะลึ่งอะไรผมแค่มอง... ผมมองไหล่กว้างไล่ลงมาที่แผงอกขาวเนียน มีวงสีชมพูแดงสองวงเป็นฐานของ...
โป๊ก!
“เลิกเคาะผมซะที ความรู้อันมีค่าของผมหล่นหายหมด”
“ถ้ายังมองไม่เลิกฉันจะจับนายแก้ผ้าด้วยอีกคนเอาไหม!”
“ฮ่า ๆไม่กลัวหรอกครับ เหวอ!”
มือใหญ่ดึงรั้งเสื้อผมที่ใส่คลุมไว้ ผมรีบขัดขืน เกิดเอาจริงขึ้นมาซะอย่างนั้นน่ะ
“ปล่อยผม...นะครับ!”
ดึงไปดึงมาผมก็เกือบจะลื่นน้ำที่พื้น มือใหญ่ดึงเสื้อผมแหวกได้สำเร็จก็ยืนนิ่งจ้องนมผมเฉย หน้าผมร้อนวาบ มือไม้สั่นปากที่ควรจะตะโกนด่าก็ไม่มีเสียงลอดออกมา ได้แต่ยืนอึ้งเหมือนสาวน้อยยืนโป๊ต่อหน้าชายหนุ่มไปเสียได้ และเป็นผมเองที่ตั้งสติได้จึงกระชากม่านปิดระหว่างเรา
...จ้องทำไมวะ...
ผมมองตัวเองในกระจกช่างเหมือนตัวตลกที่โดนใครไม่รู้เอาสีแดงมาป้ายทั่วหน้า โดยเฉพาะจมูกเนี่ย ผมสะบัดหัวไล่ภาพดวงตารีเล็กที่จ้องลึกลงมาให้ดวงตาผมออกก่อนบังคับตัวเองให้หายใจช้า ๆ
..โว้ย หายใจช้าแล้วทำไมหัวใจมันยังเต้นแรงอีกวะ!..
หลังโต้วาทีหน้าจอทีวีจบผมก็รีบนอนด้วยความเหนื่อย ผมนอนริมใน ตะแคงเข้าหากำแพง ตื่นเช้าคงจะปวดไหล่แต่ช่างมันเถอะอย่างน้อยก็ไม่ต้องนอนมองหน้าใครบางคน
“นอนแบบนั้นเดี๋ยวก็ปวดแขนหรอก”
“ช่างเหอะ ง่วงแล้ว”
ไม่ค๊งไม่ครับละ จะนอนง่วง! มือใหญ่พลิกผมให้นอนราบแทน
“จะให้ฉันนอนกอดนายหรือไง”
สภาพแขนตอนนอนดูเหมือนกอดน่ะแหละ ผมนอนตะแคงซ้าย แขนซ้ายก็พาดขนไหล่ขวาใช่ไหมล่ะ แต่แขนพี่แกก็ไม่ได้โอบรอบผมเสียหน่อย ผมก็เหยียดแขนไปข้างหลังสุดแขนแล้วนะ
“จะให้นอนท่าไหนล่ะ” ง่วงเว้ยง่วงนอนท่าไหนก็เหมือนกันแหละ
“ท่านี้”
พี่แกจัดท่าให้ผมใหม่เปลี่ยนเป็นพี่แกนอนข้างในผมนอนข้างนอกแล้วตะแคงหันเข้าหากัน ผมเลยต้องนอนมองหน้าเต้าหู้จืด ๆ ของพี่แกเสียอย่างนั้น
ผมเม้มปากจ้องดวงตาปิดสนิทคู่นั้นที่ชอบจิกผม คิดว่าถ้าพี่แกมานอนจ้องผมแบบนี้บ้างผมคงนอนไม่หลับแน่ จะว่าไปพี่แกก็ขาวจริง ๆ แก้มก็ยังแดงอยู่คงเพราะเพิ่งเลือดขึ้นหน้าตอนโต้วาทีกับผม
จู่ ๆ ดวงตาคู่นั้นกลับเปิดขึ้น ผมตกใจพลิกตัวลงนอนราบแต่ลืมไปวางเตียงมันแคบนิดเดียว ตัวผมที่เกือบตกถูกมืออีกข้างตะบบรั้งเอวไว้ เจ้าของมือยันตัวขึ้นมาพอดี คงเป็นโชคดีของผมที่ไม่ต้องหล่นไป แต่อิริยาบถตอนนี้มันทำเอาหัวใจผมเต้นจังหวะน่ารำคาญอีกแล้ว
“ปล่อยได้แล้วครับ”
“ปล่อยก็ตกสิ”
“ช่างผมสิ”
“เหอะ ฉันก็ตกไปด้วยน่ะสิ”
ร่างพี่แกเกยขึ้นมาบนตัวผมส่วนหนึ่ง ผมข่มลมหายใจหวังจะให้หัวใจมันเต้นช้าลง ผมกลัวอีกฝ่ายจะได้ยิน อกใต้เชิ้ตยับยู่ยี่เกยอยู่บนอกซ้ายของผมแบบนี้มันก็.... ภาวนาไปก็เท่านั้น ผมว่าเขารู้แล้วล่ะ
“หัวใจเต้นแรงจังนะ”
“..คะ.. คนจะตกเตียงไม่ตกใจได้ไงครับ”
“นั่นสิ”
ร่างนั้นถอยกลับไปแต่รั้งตัวผมให้นอนตะแคงตามเดิม ซ้ำยังรั้งให้ผมเขยิบตัวเข้าไปใกล้ขึ้นอีก
“เดี๋ยวตกเตียงอีก คราวนี้ฉันไม่จับแล้วนะ”
ผมนอนก้มหน้าหลับตา ไม่ยังนอนจ้องหน้าพี่แกแล้ว แต่ก็ยังหลับไม่ลงไม่รู้พี่แกจ้องผมอยู่หรือเปล่าเลยลืมตาโพรงขึ้นมาอีก แต่อีกฝ่ายหลับไปแล้ว
...คิดว่ามองอยู่เสียอีก...
ผมปิดตากำหมัดแน่นมันรู้สึกหดหู่อย่างบอกไม่ถูก มองผมบ้างไม่ได้หรือไงนะ สายตาของพี่มีไว้มองยูคนเดียวเท่านั้นหรอ ความรักมันทำให้คนตาบอดจริง ๆ น่ะแหละ บอดจนมองไม่เห็นคนอื่น...แม้แต่คนที่นอนอยู่ข้างกันยังมองไม่เห็นเลย
“...บ้าชะมัด”
เข็มนาฬิกาทั้งสองมาบรรจบกันที่เลข 12 เวลาครึ่งราตรีนี้เก่งยังไม่อาจข่มตัวเองให้หลับลงได้เลย ต่างกับอีกคนที่เข้าสู้ห้วงนิทราไปเรียบร้อย เห็นได้จากลมหายใจสม่ำเสมอที่ช้าลงนั่นเอง ร่างนั้นเริ่มพลิกตัวออกนอกเตียงเก่งรีบคว้าเอวอีกฝ่ายไว้แทบไม่ทัน เขาดึงร่างนั้นเข้ามาซุกใกล้ตัว ถ้าขึ้นปล่อยไปได้เจ็บหนักแน่
...ตื่นก็พูดไม่หยุด คงมีแต่ตอนหลับเท่านั้นที่เงียบสนิทแบบนี้...
ใบหน้าหล่ออมยิ้มเล็กน้อยก่อนใช้นิ้วแตะริมฝีปากสีอ่อนเบา ๆ ใบหน้าของคนที่ชอบยียวนกวนประสาทเขาตอนนอนก็น่าดูไม่หยอกทำให้เขาอยากจะแกล้งคืนเสียบ้าง จึงแกล้งเอานิ้วจิกปากเจ้าจอมกวน
ความนุ่มนิ่มของริมฝีปากได้รูปทำให้จิตใจเขาเริ่มเตลิด เพียงปลายนิ้วด้านสัมผัสแล้วยังรู้ว่านุ่ม หากใช้ริมฝีปากสัมผัสจะให้ความรู้สึกนุ่มเพียงไหน เก่งไม่อาจห้ามตัวเองจึงเลื่อนตัวเข้าไปบรรจบริมฝีปากแนบอับคนหลับสนิท
...นุ่มจริง ๆ ด้วย...
ช่างนุ่มและยืดหยุ่นจนอดไม่ได้ที่จะขมเม้มริมฝีปากล่างของอีกฝ่าย เสียงครางฮือเบา ๆ ลอดออกมาจากริมฝีปากทำให้เก่งต้องหยุดชะงักและถอนริมฝีปากออกมาอย่างเสียดาย
“ราตรีสวัสดิ์...เฟรม”
เสียงกระซิบแผ่วเบา ถึงคนหลับจะได้รับรู้แต่เขาก็อยากจะพูด เก่งประทับริมฝีปากลงบนหน้าผากคนหลับราวกับจะร่ายมนต์ให้หลับฝันดี
“ฝัน..ดีน้า~”
คนหลับตวัดแขนก่อนตัวเขาเอาไว้แน่นพลางซุกตัวเข้าหากายอุ่น คืนนี้เขาก็คงจะฝันดีเช่นกันทีนี้คงจะหลับได้เสียที
“..เต้าหู้~”
..เต้าหู้? ใคร?..
เขาเปลี่ยนใจอยากจะปลุกเจ้าเด็กนี่ขึ้นมาเค้นความจริงเสียงแล้ว ใคร! เต้าหู้มันใครกัน!
++++++++++++++++++++++
ตอยพิเศษค่ะ ฮ่า ๆ ตอนหน้าตอนจบนะคะ
กุญแจมือ
“ว้าววว~”
เด็กสาวในชุดนักเรียนปรบมือกันเกรียวกราวให้กับการแสดงมายากลเปลี่ยนผ้าเป็นดอกกุหลาบ นี่เป็นเพียงหนึ่งในกลยุทธ์เรียกคนเข้าซุ้ม กลยุทธ์ต่อไปคือการอัญเชิญหนุ่มหล่อมาประดิษฐานหน้าซุ้มนั่นเอง
“ไอ้เฟรมไหนหนุ่มหล่อของมึง” เพื่อนนักมายากลกระซิบถามพลางใช้สายตามองหา
“กูนี่ไงครับ แหกตาดูให้ชัด ๆ กู~” หนุ่มผมจุกเจ้าของชื่อยิ้มแช่งพร้อมชี้นิ้วเข้าหาตัว
“ไปหาที่หล่อกว่ามึงมาอีกคนดิ๊”
“โห้ย หล่อกว่ากูไม่มีอีกแล้ว~ กูนี่หล่อสุดในคณะแล้วเนี่ย!”
“กูบอกแล้วว่าซื้ออาหารให้หยิบถุงสีเหลือง ถุงสีแดงมันอาหารปลา ชอบแดกผิดอยู่เรื่อยมึงอ่ะ สมองมึงรัวเลยเห็นไหม”
“อ่อ มันเม็ดเล็กดีเคี้ยวง่าย.....ไอ้สลัดหลอกด่ากูพอหรือยัง!”
“ไปหามาอีกคน เอาหล่อ ๆ นะมึง”
เฟรมเขี่ยจุกผมไปมา สอดส่ายสายตามองหาผู้ชายสักคน ไม่รู้ว่าเวรกรรมหรือโชคหล่นใส่ หนุ่มแว่นหน้าใสเดินปาดเหงื่อหลบร้อนเข้ามาอยู่ในซุ้มพอดี
“เดี๋ยวกูไปฉุดแป๊บ~”
พูดจบก็ยิ้มกริ่มรีบสาวเท้าอาด ๆ เข้าไปหาหนุ่มผิวขาวที่กำลังถอดแว่นออกมาเช็ด เหมือนสัมผัสที่หกได้ตื่นขึ้น “หนุ่มหล่อ” หรี่ตาปรับโฟกัสภาพมองคนที่กำลังเดินเข้ามาหา เพราะจุกผมอันโดดเด่นบนหัวทำให้เขาสรุปได้ว่าคนที่กำลังเข้ามาเป็นใคร...จะใครซะอีกล่ะ ตัวซวยของเขาน่ะสิ
“คุณพี่ครับมาทำอะไรตรงนี้หรอครับ~” น้ำเสียงออดอ้อนดูน่ารักเอ่ย
“มีอะไร” เก่งตอบกลับเสียงห้วน
“พูดจาห่างเหิ๊น..ห่างเหิน ถ้าไม่มีอะไรผมไม่เดินมาให้เสียพลังงานหรอกครับ”
“มีอะไรก็ว่ามาฉันจะได้ไปทำงานต่อ”
“มานี่หน่อยสิครับ”
เฟรมดึงแขนเก่งโดยไม่รอให้อีกฝ่ายใส่แว่นให้เรียบร้อย ถึงจะพอมองได้เลือนรางแต่ระดับการคาดการณ์ระยะออกจะผิดไปเยอะ เก่งเดินเหยียบท้ายรองเท้าเฟรมเต็มแรงทำเอาเฟรมพุ่งตัวไปข้างหน้าเกือบล้ม โชคยังดีที่เก่งโอบรั้งเอวเฟรมไว้ทันแล้วดึงกลับมา
แก๊ก!
แต่สิ่งที่พุ่งลงไปนอนคว่ำหน้ากับพื้นกลับกลายเป็นแว่นคู่ชีวิตของเขาเสียเอง...
“แว่นแตกเลย กรรม~” เฟรมเอ่ยขึ้นเบา ๆ แล้วหันกลับไปมองคนที่ยืนซ้อนด้านหลัง ใบหน้าขาวแลดูซีดกลับซีดหนักกว่าเดิม
อันที่จริงจะโทษเฟรมก็ไม่ถูก เขาเป็นคนเหยียบรองเท้าเฟรมก่อน แต่แว่นมันเป็นปัจจัย 5 ในชีวิตของเขาเชียวนะ รู้แบบนี้เลือกปล่อยให้คนในอ้อมแขนลงไปนอนแหมะแทนแว่นยังจะดีเสียกว่า เก่งคิดพลางส่ายหัว
“อ๊ายย~ ดูนั่นดิๆ เขากอดกันอ่ะแก!”
เด็กนักเรียนม.ปลายซุบซิบเสียงดังพลางชี้มาที่เขาสองคน เฟรมกระทุ้งศอกใส่เก่งเป็นเชิงให้ปล่อยตนได้แล้ว แต่เก่งยังค้างมืออยู่ที่เดิมในหัวคิดแค่ว่าวันนี้จะใช้ชีวิตโดยปราศจากปัจจัย 5 ของเขาอย่างไรดี
“จะกอดอีกนานไหมครับผมท้องแล้วนะ รับผิดชอบด้วย”
เฟรมดึงมือเก่งมาวางลงบนท้องตัวเอง เก่งได้สติก็ชักมือกลับก้าวถอยออกจากเจ้าเด็กจอมกวนก้าวหนึ่ง
“มีนายคนเดียวก็ปวดประสาทแล้ว มีอีกคนฉันเอาแว่นทิ่มกระเดือกตายดีกว่า”
รุ่นพี่บ่นพลางกวาดมือเก็บแว่นบนพื้นขึ้น ส่วนเฟรมหัวเราะลั่นรีบลากเก่งให้เดินไปหน้าซุ้มเพราะเพื่อนส่งสัญญาณเรียกแล้ว
“เรื่องแว่นผมรับผิดชอบให้ก็ได้” เฟรมทำหน้าจ๋อยพูดอ้อมแอ้ม เก่งเห็นแบบนั้นก็คิดในใจว่าเจ้าเด็กนี่ช่างเหมือนสุนัขที่บ้านเขาไม่มีผิดทำหูตก ๆ เหมือนกันเลย
“ไม่ต้อง ฉันทำตกเองก็ต้องซ่อมเอง”
“โล่ง~ นึกว่าต้องเสียตังค์ละ เย็นนี้มีกินหมูกระทะเดี๋ยวไม่มีเงิน ฮ่าๆ”
ด้านหน้าซุ้มสาว ๆ แอบยิ้มเล็กยิ้มน้อยเมื่อเจอหนุ่มหล่อ ยิ่งเห็นฉากพี่หน้าตี๋กอดเอวพี่ผมจุกพวกเธอก็อยากจะลงไปกรี๊ดคว้ามือถือมาอัดวิดีโออัพโหลดให้สาววายได้ฟินกันทั้งทวีป
“โชว์ต่อไปนะ ตื่นเต้นมาพี่บอกเลย”
นักมายากลชูอุปกรณ์ชิ้นต่อไปให้ดู มันคือกุญแจมือสีเงินคู่หนึ่ง เขาพลิกให้ผู้ชมดูว่าไม่มีกลไกลแอบแฝงใด ๆ เป็นเพียงกุญแจมือธรรมดา
“เดี๋ยวพี่จะล็อคสองคนนี้ด้วยกุญแจมืออันนี้ เสร็จแล้วพอพี่คลุมผ้าเป่ามนต์เสร็จปุ๊บ! มันก็จะหลุดออกมาทันที เชื่ออ่ะเปล่า~”
“ไม่เชื่อ~”
“ไม่เชื่อหรอ เดี๋ยวจะทำให้ดู!”
กุญแจมือล็อคเข้ากับข้อมือด้านขวาของเก่ง ส่วนที่เหลือล็อคเข้ากับข้อมือด้านซ้ายของเฟรม เฟรมขยับข้อมือเล็กน้อยเขารู้กลไกลของการปลดล็อคของมันแล้ว ก่อนวันงานเพื่อนก็เคยเอามาให้เขาลองเล่นเรียบร้อยแล้ว
“ดูนะ~ เฮ้ย! แป๊บ!”
“อะไรมึง”
“พ่อโทรมา เดี๋ยวกูมานะๆ”
เฟรมมองเพื่อนที่หุนหันรีบรับสาย จะไม่รีบได้ไงพ่อมันดุขนาดนั้นมันเองก็กลัวพ่อจะตาย
“ว่าไงนะพ่อ!! หยิบผิดหรอ...ครับ ๆ เอ่อ อยู่ที่ผมเนี่ยแหละ ครับ ๆ”
วางสายเสร็จนักมายากลหน้าใสก็ยิ้มเจื่อนขึ้นมาทันที เขาเกาหัวแกร๊ก ๆ ขณะที่น้อง ๆ ก็เรียกร้องจะชมโชว์ต่อ
“ต่อสิพี่หนูอยากดู!”
“คือ...ต้องเล่นโชว์อื่นแล้วล่ะ”
“อะไรมึงวะเนี่ย”
เขาปั้นสีหน้าลำบาก เฟรมเองก็เริ่มยกไม้ยกมือทุบกบาลเพื่อน
“อย่าโกรธกูนะ คือ... พ่อกูหยิบกุญแจมือไปผิดอัน” เฟรมกับเก่งยืนนิ่ง คนเล่ายิ่งลำบากใจหนัก แต่ก็เล่าต่อ “เมื่อวานพ่อกูให้กูเอากุญแจมือมาขัด กูก็ขัดของกูอยู่เหมือนกัน พอกูลุกไปล้างมือกลับมาพ่อก็ออกไปทำงานแล้วและก็หยิบติดมือไปอันนึง พอพ่อเอาไปจับคนเล่นไพ่ๆแม่งเสือกหลุดไปได้พ่อก็เลยเหนื่อยวิ่งจับอีกรอบ เสร็จแล้วก็โทรมาด่ากูเนี่ย...”
“เชี่ย! เสือกมาขัดกุญแจมือวันเดียวกัน ดีงาม~” เฟรมบ่นพลางตบหัวเพื่อน
“งั้นไปเอากิ๊บดำมาแงะ”
เก่งเสนอความคิดและออกปากขอกิ๊บดำจากเด็กม.ปลาย จากโชว์มายากลเปลี่ยนเป็นโชว์แงะกุญแจ เก่งอาศัยจำเอาจากในหนังก็ลองเอากิ๊บแหย่เข้าไปในรูอยู่นานสองนานก็ไม่มีวี่แววว่ามันจะปลดล็อคเสียที
“ยากกว่าที่คิด..” เก่งพรึมพร่ำ
“ผมลองบ้าง” เฟรมแย่งกิ๊บจากมือไปทำการแงะแต่ก็ได้ผลเหมือนกันเด๊ะ
“เอางี้เดี๋ยวผมไปกุญแจที่พ่อให้ดีกว่าพี่”
“ก็ดี ขอบใจนะ”
“ได้พรุ่งนี้นะพี่...คือ พ่อผมบินไปอุดร”
ดีจริง ๆ เก่งประชดอยู่ในใจ ส่วนเฟรมเหวี่ยงแขนเล่นไปมาไม่รู้ร้อนรู้หนาวก่อนเงยขึ้นสบตาเก่งอย่างมีเลศนัย เฟรมรู้สึกสะใจที่เก่งทำหน้าลำบากใจ มันคือความสุขของเขา และวันนี้เขาจะทำให้รุ่นพี่ที่รักบ้าตายให้ได้ ฮ่าๆ
เก่งเองก็รับรู้ถึงหายนะที่คืบคลานเข้ามา สู้ให้เขาถูกล็อคคู่กับยูยังดีเสียกว่าเด็กแบบนี้ มีหวังเขาต้องเอาเชือกรัดคอตายแน่
“ฮ่า ๆ”
เฟรมหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น เก่งกุมขมับปวดหัวจี๊ด ...ทำไมต้องมาอยู่กับเด็กบ้าแบบนี้ด้วยนะ.. หลุดไปคงต้องทำบุญใหญ่ล่ะครั้งนี้
ในโชคร้ายของใครบางคนผมกลับคิดว่ามันเป็นโชคดีของผม ผมมองใบหน้าไร้กรอบแว่นที่แสดงสีหน้าว่าอยากจะบ้าเต็มทีหลังเจอผมหยอกไปทั้งวัน
“เฮ้อ…”
เต้าหู้นึงถอนหายใจรอบที่ร้อยของวัน ผมได้แต่ยิ้มภูมิใจ ทำหน้าลำบากใจอีกสิผมชอบ เหมือนอีกฝ่ายจะรู้ความคิดผมจึงนึกเอาหัวจุ่มแก้วน้ำประชดชีวิตมันซะเลย
“เกี๊ยวซ่ายังเหลือไหมวะ ไหนใครบอกซุ้มนี้มีเกี๊ยวซ่า! เกี๊ยวซ่าอยู่ไหนวะ!”
ไอ้ยูพรวดเข้ามาในซุ้มพลางร้องโวยวาย จมูกไวชิบเป๋ง! คนในซุ้มมองหน้ากันเหรอหราก่อนมาหยุดสายตาลงที่ผม ผมรีบโบกมือเป็นเชิงปฏิเสธว่า “กูไม่ได้บอกมันนะเว้ย” ไอ้ยูก็หันมาถามผู้ชายข้างผม
“พี่เก่งเห็นใครถือถุงเกี๊ยวซ่าบ้างไหม พวกมันเอาไปวางไว้ไหนอ่ะ”
ไอ้ยูชะเง้อหาขณะที่เจ้าของเกี๊ยวซ่าแอบย่องหิ้วถุงเกี๊ยวซ่าไปยังจุดปลอดภัย
“ไอ้พุดเดิ้ลมึงแดกไปใช่ไหม!” มันหันมาวีนผม
“ยังไม่ได้กินเลย ไรมึงเนี่ย”
“ปากมันแผล็บยังบอกไม่ได้กิน บอกที่ซ่อนมาเดี๋ยวนี้นี่คือการปล้น!”
“อยากกินก็ไปบอกแฟนมึงโน่นอย่ามาเบียดเบียนชาวบ้านเขา~”
ผมจงใจเอ่ยคำว่าแฟนออกมาให้คนข้าง ๆ รู้สึกหดหู่หนักกว่าเดิม ตอนแรกพอพี่แกเห็นไอ้ยูตานี่เป็นประกายเชียว ขอดับฝันหน่อยเถอะหมั่นไส้ หึๆ
“ทำไมแขนมึง...?” มันชี้มาที่ข้อมือผมซึ่งถูกล็อคไว้กับแขนขาวๆของอีกคน ผมเลยเล่าเหตุการณ์ให้มันฟัง
“น่าสงสารหว่ะ”
“ใช่มะๆ”
“กูหมายถึงพี่เก่ง! ไม่ใช่มึง! พี่เก่งใจเย็น ๆ นะครับถึงไอ้พุดเดิลมันจะปากหมาชอบกัดพี่อยู่เรื่อย พี่ก็อย่าโมโหจนกัดลิ้นตัวเองตายนะครับ!” ไอ้ยูว่าพลางจับไหล่รุ่นพี่หน้าเต้าหู้นึงด้วยความเห็นใจ
“กูจะกัดมึงก่อนเลยไอ้ยู” ผมแง่มไปที่มือบนไหล่รุ่นพี่เต้าหู้ ส่งเสียงหึ่ม ๆ ในลำคอขู่มันด้วย
“หวงกาง!”
“เออ กูหวงอย่ามาจับ!”
พี่เต้าหู้สะดุ้งหันมองหน้าผมควับ ผมยักคิ้วให้ทีนึงก่อนขยับหัวซบพี่แกก็รีบเอามือดันหัวผมออกทันที เหอะ! พิศวาสตายล่ะ ผมแกล้งไอ้ยูมันเฉย ๆ หรอก
“เอาหัวออกไป”
“คุณพี่ก็~ ขอน้องซบหน่อยก็ไม่ได้ อายหรอครับไว้ทำกันสองต่อสองก็ได้เนอะ~”
คนตาตี่พยายามถลึงตาใส่ผม ไม่ได้โตขึ้นเลย น่ากลัวตายล่ะ! ผมได้ทีก็ขยับตัวเบียดพี่แกก็ถอยจนจะตกเก้าอี้เลยทีเดียว
“เห็นมึงเป็นฝั่งเป็นฝากูก็สบายใจละ พี่เก่งดูแลเพื่อนผมดี ๆ ด้วยนะ พี่ต้องแปรงขนให้มันทุกวัน จับมันอาบน้ำ เทอาหารหมาให้มันกินด้วยนะ” บอกทีว่ากูยังเป็นคน...
“ยูมาแอบอู้อยู่นี่เอง”
พ่อเทพบุตรของไอ้ยูเสด็จมาตามถึงซุ้ม ไอ้ยูบ่นว่า “ยังไม่ได้ปล้นสะดมเลย!” ตอนโดนสามีมันลากแขนออกไป สองคนนั้นคงไม่รู้ว่ามีสายตาของใครคนหนึ่งมองตามมันสองคนไปจนลับตา ก่อนดวงตาคู่นั้นจะผลุบลงจ้องมองปลายเท้าตัวเอง
“น่าสงสารเนอะ~” ผมเอ่ยลอย ๆ ดวงตารีเล็กจึงจิกใส่ผมทันที ผมก็แค่ยักไหล่ไม่รู้ร้อนรู้หนาว คนบ้าอะไรอึดอย่างกับควาย เจ็บแล้วไม่จำก็เห็นอยู่ว่าเขามีคนรักแล้วยังจะไปรักเขาอีก
...เขาไม่รักก็ดันทุรังไปรักเขาอยู่ได้...
“ฉันดู...น่าสมเพชมากเลยหรอ” เขาถามผม
“ก็น่าเวทนาอยู่นะครับ ทำไมไม่ลองไปรักคนอื่นดูล่ะ จะได้ไม่เจ็บไงยากตรงไหน หรือชอบความเจ็บปวด? โอ้ววว เป็นมาโซฯหรือครับคุณพี่~”
“มันยากตรงที่ฉันไม่รู้จะไปรักใครนอกจาก....ยู”
จมปลัก ดักดาน ผมไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาด่า ไอ้คำพวกนี้มันไม่แรงเดี๋ยวคิดก่อน
“บางครั้งฉันก็คิดนะว่านาย...”
หือ? ผมทำไมอ่ะ? ชายผิวขาวขยับร่างเข้ามาใกล้กลายเป็นผมเสียเองทีต้องขยับตัวถอย มันไม่ชอบมาพากลหว่ะ
“นายขัดจังหวะตอนฉันคุยกับยูตลอด ถ้าไม่ติดว่านายแสดงออกว่าไม่ชอบหน้าฉัน ชอบพูดจากวนโมโหฉัน ฉันคงคิดว่า...นายแอบชอบฉันเลยเข้ามาขวางทางระหว่างฉันกับยู...”
ชอบ? ผมเนี่ยนะบ้าไปแล้ว! ไม่มีทาง!
“เฟรม”
ที่ผมทำก็แค่กวนตีนคนเล่นเท่านั้นเอง ไม่ใช่เสียหน่อย!
“ทำไมหน้าแดงล่ะ”
“ห๊ะ!?!”
“ชอบฉันจริงหรอ?”
“จะบ้าหรอครับ!”
ผมลุกพรวดเดินหนีแต่ลืมไปว่าแขนติดรุ่นพี่ประสาทกลับอยู่ผมเลยเด้งกลับไปนั่งที่เดิม เอ่อ... แต่กะระยะพลาดไปหน่อย แทนที่จะได้นั่งม้านั่งผมกลับนั่งปุบอยู่บนตักของคนบนม้านั่งอย่างไม่ตั้งใจ
“อ่อยใช่ไหมเนี่ย” คิ้วเข้มเลิกขึ้น หรี่ตามองผมอย่างสงสัย ผมอยากจะจ้องตาส่งกระแสจิตยียวนกลับ แต่ดวงตาคุ้นเคยปราศจากเลนส์บดบังกลับทำเอาผมรู้สึกประหม่าขึ้นมา
ผมเม้มปากหายใจช้า ๆ หัวใจผมมันสั่นรัวและแรงขึ้น ผมกลัวว่าคนที่โดนนั่งทับจะได้ยิน อีกทั้งสวิตซ์ความกวนตีนผมถูกปิดลงกะทันหันอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เพราะพี่เต้าหู้ไม่ได้ใส่แว่นแน่นเลยผมถึงไม่กล้าสบดวงตาเขาใกล้ ๆ
“กูว่าแล้วกัดกันไปกัดกันมา....กินกันเองดีกว่าง่ายดี” เสียงไอ้เมศลอยมาเข้าหูผม ปากผมเลยโต้กลับโดยอัตโนมัติทันทีว่า “สึด!”
ประมาณทุ่มหนึ่งหลังเคลียร์ของเก็บเรียบร้อยช่วงเวลาสุขสันต์ก็มาถึง แน่นอนผมหมายถึงกินเลี้ยงไงครับ ทำงานเหนื่อยมาทั้งวันก็ต้องจัดหมูกระทะกันเสียหน่อย แต่งานนี้ไอ้ยูไม่อยู่เพราะโดนแฟนมันลากกลับบ้านไปเรียบร้อยแล้ว พวกผมก็เลยปลื้มปริ่มกันถ้วนหน้า ถ้าไอ้ยูไปเจ้าของร้านก็ไม่ให้เข้าร้านกันพอดี ชื่อเสียงแม่งขึ้นชื่อลือชามาก.... มนุษย์ 4 กระเพาะ
“เก่งไปกินสุกี้กันไหม”
“ไอ้เฟรมไปกินหมูกระทะกันเปล่า”
“ไป//ไป!”
แกร๊ง~
โซ่ถูกกระตุกกึก ผมเอียงคอมองรุ่นพี่ผิวขาวที่กระชากแขนผม เขาหันมาหรี่ตามองผมพลางดึงแขนตัวเองเดินตามเพื่อน เฮ้ย! ผมก็จะไปกินกับเพื่อนผมเหมือนกัน
กึก!
ผมดึงแขนกลับพี่แกก็เซตามผมเล็กน้อย เขาเริ่มเขม่นตาจิกผมๆเองก็ไม่ยอมแพ้ จึงเริ่มก่อสงครามประสาทกันแบบย่อม ๆ โดยการจิกตาใส่กันพร้อมกระชากแขนไปมาไม่มีใครยอมใคร
“ฉันจะไปกินสุกี้”
“ผมจะกินหมูกระทะ”
“สุกี้!”
“หมูกระทะ!”
จะเอาใช่ไหมครับ อย่าหาว่าผมใจร้ายกับคนแก่ล่ะ หึ ๆ
“พอ ๆ กลับหอไปทั้งคู่เลย” พี่บิวยกมือปรามพวกเราก่อนชี้นิ้วไล่ให้กลับหอไป
“ไม่!//ไม่!” เหนื่อยทั้งทีต้องเรียกพลังงานคืนก่อนดิ
“งั้นพวกเรารีบไปกันเถอะ ปล่อยมันสองคนไว้นี่แหละเดี๋ยวโต๊ะเต็ม”
งานนี้ปี 1 กับปี2เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยรีบแยกย้ายสลายโต๋ไปจนหมด ไอ้ผมจะวิ่งตามก็ไม่ทันเพราะมีตัวถ่วงยื้อยุดฉุดกระชากอยู่
“ไปกินก๋วยเตี๋ยวแล้วกัน” ไม่พูดพร่ำทำเพลงต่อ รุ่นพี่เต้าหู้ก็เดินนำกึ่งบังคับผมให้ตามไป
ไอร้อน ๆ ลอยขึ้นมาจากชามบะหมี่เกี๊ยว สีน้ำซุปเหลืองทองช่างยั่วยวนชวนน้ำลายสอ ผมบรรจงใช้ช้อนตักซุปขึ้นมา แต่....
กึก!
น้ำซุปร้อนฉ่ากระเด็นออกจากช้อนผมไปจนหมดเกลี้ยง ผมมองมือตัวเองที่เริ่มแดงขึ้นเพราะโดนของร้อน แต่อีกมือหนึ่งแดงยิ่งกว่าก็โดนไปเต็ม ๆ ทั้งช้อน คนกระชากแขนมองหน้าผมนิ่งก่อนเอ่ยขึ้น
“ร้อน”
“ก็ใครให้กระชากละครับคุณพี่ ผมกำลังจะชิมน้ำซุปอยู่แล้วเชียว”
ไม่พอใจเหมือนกันนะครับไม่ต้องมาจิกตาใส่ ตาก็แทบจะมองไม่เห็นอยู่แล้ว รุ่นพี่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนบ่นเรื่องความไม่ยุติธรรมที่ตัวเองได้รับ
“ถ้านายมัวแต่ตักซุปแล้วฉันจะกินยังไง”
มองมือที่ถูกเชื่อมไว้ด้วยกันอย่างอนาจจิต ผมกับเขานั่งตรงข้ามกันเพื่อให้สะดวกต่อการกิน ก็ไม่ได้ดีขึ้นเท่าไหร่ที่แขนซ้ายผมกับมือขวาเขาโดนเกี่ยวไว้ด้วยกัน ถ้าผมซดแกงพี่แกก็คีบบะหมี่ไม่ได้
“เป็นพี่ต้องเสียสละให้น้องสิครับ~”
“ได้ ฉันจะเสียสละเวลาไปหยิบมีดมาตัดแขนนาย โอเคไหม?”
บ่นจบก็ก้มหน้าก้มตากิน ผมจำใจต้องปล่อยแขนข้างหนึ่งให้อีกคน ดูท่าจะสบายเกินไปแล้ว พี่แกทั้งคีบบะหมี่ซดแกงได้ทั้งสองมือ แล้วดูผมดิ!
“ให้ผมซูดน้ำบ้างดิครับ”
รุ่นพี่เหลือกตามองก่อนตักซุปให้ชามตัวเองยื่นมาจ่อตรงหน้าผม ให้กินแบบนี้อ่ะนะ...
“กินสิ” บอกแล้วเริ่มทะลวงช้อนเข้าปากผม ผู้ชายสองคนป้อนให้กันแบบนี้มันไม่แปลกหรอ ผมส่ายตาล่อกแล่กหวังว่าจะไม่มีใครมองอยู่นะ ผมกลั้นหายใจกระเดือกน้ำซุปลงไปให้ไวที่สุด
“แหวะ! น้ำซุปหรือน้ำเชื่อมเนี่ย” บ้าไปแล้ว นี่มันหวานเกินมาตรฐานแล้วนะ
“น้ำลายติดช้อน... บ่นจังนะให้กินแล้วไง”
“เอาซุปชามผมนี่สิ”
“บ่นก็ไม่ต้องกิน คิดว่าฉันต้องตามใจนายหรอ”
“ครับ ๆ ผมเข้าใจดี ก็ผมมันไม่ใช่ไอ้ยูสุดที่รักของพี่นี่ครับ~”
พี่แกยักคิ้วก่อนกินน้ำแกงตัวเองต่อด้วยใบหน้าพริ้ม มันอร่อยตรงไหนวะ
“จะว่าไป เมื่อวานกินมะม่วงกับกะปิแล้วก็สั่งตำปูปลาร้ามากินต่อก็นั่งกินเพลินจนลืมนอนเลย ตอนเช้าดันตื่นสายอีกซะนี่...แย่จัง ผมก็เลยขี้เกียจอาบน้ำแปรงฟัน...”
คนที่กำลังเพลินกับการซดซุปทำหน้าเจื่อนลดหยิบช้อนวางไว้ข้างชามแทน
“คุณพี่ครับ ขี้ปากผมอร่อยไหมครับ~”
รุ่นพี่รีบยกแก้วกรอกน้ำเข้าปาก บ้วนน้ำทิ้งล้างคอทันที ผมได้แต่หัวเราะหึ ๆ อย่างมีความสุข ขณะที่อีกคนทำหน้าเคืองใส่ หึ ทำหน้าพริ้มดีนัก เฟรมก็ต้องจัดให้หายพริ้มสิครับ...หมั่นไส้!
กินกันเสร็จก็กลับมาหอผม ระหว่างทางผมเห็นพี่แกหน้าบึ้งมาตลอดทาง เดินห่างกับผมเสียเป็นวาปากก็บ่นว่าอยากจะฆ่าตัวตายหนีผม ผมเลยจัดให้โดยการผลักพี่แกลงไปที่ถนน แต่ที่ไหนได้พี่แกกลับรีบกระโดดโหยงขึ้นมาบนทางเท้า ซ้ำยังเตะผมซะด้วย
“เลิกกวนประสาทฉันซะที”
“ไม่มีทางหรอกครับ ฮ่า ๆ”
พี่แกทำหน้าเหมือนอยากจะกระโจนเข้ามาบีบคอผมเต็มที ทำไมผมยิ่งรู้สึกสนุก ฮ่า ๆ
“อาบน้ำดีกว่า เหงื่อซกไปหมดเลย”
“จะอาบยังไง”
“ก็อาบด้วยกันไงครับ”
ผมตอบไปหน้าด้าน ๆ อาบด้วยกันไม่เป็นไรหรอกผู้ชายเหมือนกัน ผมปลดกระดุมถอดเสื้อเอาแขนออกแต่อีกข้างเอาออกไม่ได้
“ทำไมในหนังพระเอกกับนางเอกอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าได้อ่ะ”
ผมมองเสื้อที่ติดอยู่ตรงสายโซ่ ละครมันหลอกลวงสินะแล้วผมดันถอดไปแล้วให้ใส่ใหม่หรอ
“เอากรรไกรมาตัดซิ”
“แล้วผมจะใส่ตัวใหม่ยังไง”
“ไม่ต้องใส่เลยไง”
ไม่ต้องใส่ ? ให้นอนเปลือยกับผู้ชายเนี่ยนะ ก็ผู้ชายนี่หว่าไม่เป็นไรมั้ง ระหว่างที่ผมคิดผมก็เห็นว่ารุ่นพี่ใช้ดวงตาเม็ดเล็ก ๆ มองหน้าอกผม ผมสะดุ้งหันหลังให้ก่อนต่อว่า
“ไม่เคยเห็นนมผู้ชายหรือไงครับ!” อายนะเนี่ย อายยย
“ฉันมองไม่เห็น มันลาง ๆ”
ผมหรี่ตามองแบบเคลือบแคลง ก่อนโบกมือผ่านหน้าพี่แกสองสามที
“ฉันไม่ได้ตาบอด!”
ผมหัวเราะในลำคอก่อนพาพี่แกเดินเข้าห้องน้ำ ผมใช้วิธีให้พี่แกหอบเสื้อผ้าผมไว้ ส่วนผมก็ปิดม่านอาบน้ำ อาบไปก็ระแวงไปว่าพี่แกจะนึกเปิดม่านหรือเปล่าแต่ก็ไม่มีวี่แวว จนถึงตาพี่แกอาบผมเลยแวกม่านดูเสียเอง
ปึก!
“โอ้ย!”
ขวดแชมพูแบบปั๊มกระแทกลงหัวผม อะไรกันเพิ่งแง้มไปได้เซนเดียวเองนะ
“ทะลึ่ง!” คนในม่านด่า
“เห็นด้วยหรอ”
“ไม่เห็นก็รู้ว่านายจะทำอะไร”
รุ่นพี่เต้าหู้ใช้มาตรการเด็ดขาดกับผม บอกถ้าแอบดูอีกจะเอาสบู่ป้ายตา ผมเลยได้แต่มองเงาที่ไหวไปมาบนม่านแทน ตัวพี่แกก็สูงห่างผมไม่มากเท่าไหร่ ช่วงไหล่ก็ใกล้เคียงกัน ส่วนตรงนั้น...ก็พอเห็นรำไร ๆ มันก็....
“เฟรมเถิบมาใกล้ ๆ หน่อย”
“อะไรครับ?”
ผมขยับเข้าไปหามือที่กวักเรียก รุ่นพี่ค่อย ๆ แง้มม่านออก เปิดทางให้หรอผมก็ชะเง้อสิครับ ไหนๆ ขอดูหน่อยสิ
โป๊ะ!
“อ๊าก! แสบตาๆ!”กลิ่นยาสระผมนี่ลอยเข้ามาเลยสุดท้ายก็มาแหมะอยู่ที่ตาผมนี่ไง ผมโวยลั่นอีกฝ่ายหัวเราะอย่างสะใจ ไม่ได้สงสารผมซักนิด แกล้งผมหรอ โห้ย เป็นรุ่นพี่ภาษาอะไรวะ!
“เอ้า ยิ่งขยี้ยิ่งแสบนะ”
“เล่นอะไรของคุณพี่ครับเนี่ย! มันแสบนะครับ!”
“มา ๆ ล้างออก”
สายน้ำรถลงบนหัวผมจนชุ่มช่ำ แม่งไม่ได้โดนหน้ากูเลยครับ คุณพี่มึงตาบอดเปล่าครับเนี่ย!
“ออกหมดยัง”
“ออกบ้าอะไรครับ! ไม่โดนหน้าผมซะนิด!”
“อ้าวหรอ”
“สั้นหรือบอดกันแน่ครับ? ” แต่ผมเนี่ยจะบอดแล้ว ล้างน้ำเสร็จขนบนหน้าผมคงนุ่มลื่นเหมือนทำทรีเมนต์
“ไหนลืมตาซิ”
มือหนาเชยคางผมขึ้นตรวจสอบดวงตา ผมกระพริบตาไล่ความแสบอีกฝ่ายก็เป่าลมใส่ตาผมแทน ผมลืมตาขึ้นเต็มดวงก็แทบผงะตัวเมื่อเห็นใบหน้าขาวใสลอยอยู่ใกล้ไม่ถึงหนึ่งไม่บรรทัด ดวงตาเล็กสอดส่ายมองดวงตาผมอย่างเป็นห่วง
ตึกตัก
แล้วทำไมหัวใจผมมันต้อง...เป็นอะไรวะเนี่ย ผมเบี่ยงสายตาหลบไปทางอื่นไม่กล้าจ้องมองระยะใกล้แบบนี้ มือใหญ่สับลงกลางกระหม่อมผมแรง ๆ ทีนึงพร้อมพูดเสียงดุ
“ทะลึ่งอีกแล้วนะเรา!”
พอเงยหน้าขึ้นพี่แกก็ขมวดคิ้วเป็นปมแน่น ทะลึ่งอะไรผมแค่มอง... ผมมองไหล่กว้างไล่ลงมาที่แผงอกขาวเนียน มีวงสีชมพูแดงสองวงเป็นฐานของ...
โป๊ก!
“เลิกเคาะผมซะที ความรู้อันมีค่าของผมหล่นหายหมด”
“ถ้ายังมองไม่เลิกฉันจะจับนายแก้ผ้าด้วยอีกคนเอาไหม!”
“ฮ่า ๆไม่กลัวหรอกครับ เหวอ!”
มือใหญ่ดึงรั้งเสื้อผมที่ใส่คลุมไว้ ผมรีบขัดขืน เกิดเอาจริงขึ้นมาซะอย่างนั้นน่ะ
“ปล่อยผม...นะครับ!”
ดึงไปดึงมาผมก็เกือบจะลื่นน้ำที่พื้น มือใหญ่ดึงเสื้อผมแหวกได้สำเร็จก็ยืนนิ่งจ้องนมผมเฉย หน้าผมร้อนวาบ มือไม้สั่นปากที่ควรจะตะโกนด่าก็ไม่มีเสียงลอดออกมา ได้แต่ยืนอึ้งเหมือนสาวน้อยยืนโป๊ต่อหน้าชายหนุ่มไปเสียได้ และเป็นผมเองที่ตั้งสติได้จึงกระชากม่านปิดระหว่างเรา
...จ้องทำไมวะ...
ผมมองตัวเองในกระจกช่างเหมือนตัวตลกที่โดนใครไม่รู้เอาสีแดงมาป้ายทั่วหน้า โดยเฉพาะจมูกเนี่ย ผมสะบัดหัวไล่ภาพดวงตารีเล็กที่จ้องลึกลงมาให้ดวงตาผมออกก่อนบังคับตัวเองให้หายใจช้า ๆ
..โว้ย หายใจช้าแล้วทำไมหัวใจมันยังเต้นแรงอีกวะ!..
หลังโต้วาทีหน้าจอทีวีจบผมก็รีบนอนด้วยความเหนื่อย ผมนอนริมใน ตะแคงเข้าหากำแพง ตื่นเช้าคงจะปวดไหล่แต่ช่างมันเถอะอย่างน้อยก็ไม่ต้องนอนมองหน้าใครบางคน
“นอนแบบนั้นเดี๋ยวก็ปวดแขนหรอก”
“ช่างเหอะ ง่วงแล้ว”
ไม่ค๊งไม่ครับละ จะนอนง่วง! มือใหญ่พลิกผมให้นอนราบแทน
“จะให้ฉันนอนกอดนายหรือไง”
สภาพแขนตอนนอนดูเหมือนกอดน่ะแหละ ผมนอนตะแคงซ้าย แขนซ้ายก็พาดขนไหล่ขวาใช่ไหมล่ะ แต่แขนพี่แกก็ไม่ได้โอบรอบผมเสียหน่อย ผมก็เหยียดแขนไปข้างหลังสุดแขนแล้วนะ
“จะให้นอนท่าไหนล่ะ” ง่วงเว้ยง่วงนอนท่าไหนก็เหมือนกันแหละ
“ท่านี้”
พี่แกจัดท่าให้ผมใหม่เปลี่ยนเป็นพี่แกนอนข้างในผมนอนข้างนอกแล้วตะแคงหันเข้าหากัน ผมเลยต้องนอนมองหน้าเต้าหู้จืด ๆ ของพี่แกเสียอย่างนั้น
ผมเม้มปากจ้องดวงตาปิดสนิทคู่นั้นที่ชอบจิกผม คิดว่าถ้าพี่แกมานอนจ้องผมแบบนี้บ้างผมคงนอนไม่หลับแน่ จะว่าไปพี่แกก็ขาวจริง ๆ แก้มก็ยังแดงอยู่คงเพราะเพิ่งเลือดขึ้นหน้าตอนโต้วาทีกับผม
จู่ ๆ ดวงตาคู่นั้นกลับเปิดขึ้น ผมตกใจพลิกตัวลงนอนราบแต่ลืมไปวางเตียงมันแคบนิดเดียว ตัวผมที่เกือบตกถูกมืออีกข้างตะบบรั้งเอวไว้ เจ้าของมือยันตัวขึ้นมาพอดี คงเป็นโชคดีของผมที่ไม่ต้องหล่นไป แต่อิริยาบถตอนนี้มันทำเอาหัวใจผมเต้นจังหวะน่ารำคาญอีกแล้ว
“ปล่อยได้แล้วครับ”
“ปล่อยก็ตกสิ”
“ช่างผมสิ”
“เหอะ ฉันก็ตกไปด้วยน่ะสิ”
ร่างพี่แกเกยขึ้นมาบนตัวผมส่วนหนึ่ง ผมข่มลมหายใจหวังจะให้หัวใจมันเต้นช้าลง ผมกลัวอีกฝ่ายจะได้ยิน อกใต้เชิ้ตยับยู่ยี่เกยอยู่บนอกซ้ายของผมแบบนี้มันก็.... ภาวนาไปก็เท่านั้น ผมว่าเขารู้แล้วล่ะ
“หัวใจเต้นแรงจังนะ”
“..คะ.. คนจะตกเตียงไม่ตกใจได้ไงครับ”
“นั่นสิ”
ร่างนั้นถอยกลับไปแต่รั้งตัวผมให้นอนตะแคงตามเดิม ซ้ำยังรั้งให้ผมเขยิบตัวเข้าไปใกล้ขึ้นอีก
“เดี๋ยวตกเตียงอีก คราวนี้ฉันไม่จับแล้วนะ”
ผมนอนก้มหน้าหลับตา ไม่ยังนอนจ้องหน้าพี่แกแล้ว แต่ก็ยังหลับไม่ลงไม่รู้พี่แกจ้องผมอยู่หรือเปล่าเลยลืมตาโพรงขึ้นมาอีก แต่อีกฝ่ายหลับไปแล้ว
...คิดว่ามองอยู่เสียอีก...
ผมปิดตากำหมัดแน่นมันรู้สึกหดหู่อย่างบอกไม่ถูก มองผมบ้างไม่ได้หรือไงนะ สายตาของพี่มีไว้มองยูคนเดียวเท่านั้นหรอ ความรักมันทำให้คนตาบอดจริง ๆ น่ะแหละ บอดจนมองไม่เห็นคนอื่น...แม้แต่คนที่นอนอยู่ข้างกันยังมองไม่เห็นเลย
“...บ้าชะมัด”
เข็มนาฬิกาทั้งสองมาบรรจบกันที่เลข 12 เวลาครึ่งราตรีนี้เก่งยังไม่อาจข่มตัวเองให้หลับลงได้เลย ต่างกับอีกคนที่เข้าสู้ห้วงนิทราไปเรียบร้อย เห็นได้จากลมหายใจสม่ำเสมอที่ช้าลงนั่นเอง ร่างนั้นเริ่มพลิกตัวออกนอกเตียงเก่งรีบคว้าเอวอีกฝ่ายไว้แทบไม่ทัน เขาดึงร่างนั้นเข้ามาซุกใกล้ตัว ถ้าขึ้นปล่อยไปได้เจ็บหนักแน่
...ตื่นก็พูดไม่หยุด คงมีแต่ตอนหลับเท่านั้นที่เงียบสนิทแบบนี้...
ใบหน้าหล่ออมยิ้มเล็กน้อยก่อนใช้นิ้วแตะริมฝีปากสีอ่อนเบา ๆ ใบหน้าของคนที่ชอบยียวนกวนประสาทเขาตอนนอนก็น่าดูไม่หยอกทำให้เขาอยากจะแกล้งคืนเสียบ้าง จึงแกล้งเอานิ้วจิกปากเจ้าจอมกวน
ความนุ่มนิ่มของริมฝีปากได้รูปทำให้จิตใจเขาเริ่มเตลิด เพียงปลายนิ้วด้านสัมผัสแล้วยังรู้ว่านุ่ม หากใช้ริมฝีปากสัมผัสจะให้ความรู้สึกนุ่มเพียงไหน เก่งไม่อาจห้ามตัวเองจึงเลื่อนตัวเข้าไปบรรจบริมฝีปากแนบอับคนหลับสนิท
...นุ่มจริง ๆ ด้วย...
ช่างนุ่มและยืดหยุ่นจนอดไม่ได้ที่จะขมเม้มริมฝีปากล่างของอีกฝ่าย เสียงครางฮือเบา ๆ ลอดออกมาจากริมฝีปากทำให้เก่งต้องหยุดชะงักและถอนริมฝีปากออกมาอย่างเสียดาย
“ราตรีสวัสดิ์...เฟรม”
เสียงกระซิบแผ่วเบา ถึงคนหลับจะได้รับรู้แต่เขาก็อยากจะพูด เก่งประทับริมฝีปากลงบนหน้าผากคนหลับราวกับจะร่ายมนต์ให้หลับฝันดี
“ฝัน..ดีน้า~”
คนหลับตวัดแขนก่อนตัวเขาเอาไว้แน่นพลางซุกตัวเข้าหากายอุ่น คืนนี้เขาก็คงจะฝันดีเช่นกันทีนี้คงจะหลับได้เสียที
“..เต้าหู้~”
..เต้าหู้? ใคร?..
เขาเปลี่ยนใจอยากจะปลุกเจ้าเด็กนี่ขึ้นมาเค้นความจริงเสียงแล้ว ใคร! เต้าหู้มันใครกัน!
++++++++++++++++++++++
ตอยพิเศษค่ะ ฮ่า ๆ ตอนหน้าตอนจบนะคะ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ