30 days for youสามสิบวันของผมกับนายเจ้าหนี้ตัวร้าย

10.0

เขียนโดย enzang2660

วันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2558 เวลา 17.42 น.

  16 บท
  3 วิจารณ์
  19.89K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 10.49 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

15) ตอนพิเศษ กุญแจมือ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
ตอนพิเศษ
กุญแจมือ
 
                   “ว้าววว~”
                   เด็กสาวในชุดนักเรียนปรบมือกันเกรียวกราวให้กับการแสดงมายากลเปลี่ยนผ้าเป็นดอกกุหลาบ  นี่เป็นเพียงหนึ่งในกลยุทธ์เรียกคนเข้าซุ้ม กลยุทธ์ต่อไปคือการอัญเชิญหนุ่มหล่อมาประดิษฐานหน้าซุ้มนั่นเอง
                   “ไอ้เฟรมไหนหนุ่มหล่อของมึง” เพื่อนนักมายากลกระซิบถามพลางใช้สายตามองหา
                   “กูนี่ไงครับ แหกตาดูให้ชัด ๆ กู~” หนุ่มผมจุกเจ้าของชื่อยิ้มแช่งพร้อมชี้นิ้วเข้าหาตัว
                   “ไปหาที่หล่อกว่ามึงมาอีกคนดิ๊”
                   “โห้ย หล่อกว่ากูไม่มีอีกแล้ว~ กูนี่หล่อสุดในคณะแล้วเนี่ย!”
                   “กูบอกแล้วว่าซื้ออาหารให้หยิบถุงสีเหลือง ถุงสีแดงมันอาหารปลา ชอบแดกผิดอยู่เรื่อยมึงอ่ะ สมองมึงรัวเลยเห็นไหม”
                   “อ่อ มันเม็ดเล็กดีเคี้ยวง่าย.....ไอ้สลัดหลอกด่ากูพอหรือยัง!”
                   “ไปหามาอีกคน เอาหล่อ ๆ นะมึง”
                   เฟรมเขี่ยจุกผมไปมา สอดส่ายสายตามองหาผู้ชายสักคน  ไม่รู้ว่าเวรกรรมหรือโชคหล่นใส่  หนุ่มแว่นหน้าใสเดินปาดเหงื่อหลบร้อนเข้ามาอยู่ในซุ้มพอดี 
                   “เดี๋ยวกูไปฉุดแป๊บ~”
                   พูดจบก็ยิ้มกริ่มรีบสาวเท้าอาด ๆ เข้าไปหาหนุ่มผิวขาวที่กำลังถอดแว่นออกมาเช็ด  เหมือนสัมผัสที่หกได้ตื่นขึ้น “หนุ่มหล่อ” หรี่ตาปรับโฟกัสภาพมองคนที่กำลังเดินเข้ามาหา  เพราะจุกผมอันโดดเด่นบนหัวทำให้เขาสรุปได้ว่าคนที่กำลังเข้ามาเป็นใคร...จะใครซะอีกล่ะ ตัวซวยของเขาน่ะสิ
                   “คุณพี่ครับมาทำอะไรตรงนี้หรอครับ~” น้ำเสียงออดอ้อนดูน่ารักเอ่ย
                   “มีอะไร” เก่งตอบกลับเสียงห้วน
                   “พูดจาห่างเหิ๊น..ห่างเหิน ถ้าไม่มีอะไรผมไม่เดินมาให้เสียพลังงานหรอกครับ”
                   “มีอะไรก็ว่ามาฉันจะได้ไปทำงานต่อ”
                   “มานี่หน่อยสิครับ”
                   เฟรมดึงแขนเก่งโดยไม่รอให้อีกฝ่ายใส่แว่นให้เรียบร้อย  ถึงจะพอมองได้เลือนรางแต่ระดับการคาดการณ์ระยะออกจะผิดไปเยอะ  เก่งเดินเหยียบท้ายรองเท้าเฟรมเต็มแรงทำเอาเฟรมพุ่งตัวไปข้างหน้าเกือบล้ม  โชคยังดีที่เก่งโอบรั้งเอวเฟรมไว้ทันแล้วดึงกลับมา
 
                   แก๊ก!
 
                   แต่สิ่งที่พุ่งลงไปนอนคว่ำหน้ากับพื้นกลับกลายเป็นแว่นคู่ชีวิตของเขาเสียเอง...
                   “แว่นแตกเลย กรรม~” เฟรมเอ่ยขึ้นเบา ๆ แล้วหันกลับไปมองคนที่ยืนซ้อนด้านหลัง  ใบหน้าขาวแลดูซีดกลับซีดหนักกว่าเดิม
                   อันที่จริงจะโทษเฟรมก็ไม่ถูก เขาเป็นคนเหยียบรองเท้าเฟรมก่อน แต่แว่นมันเป็นปัจจัย 5 ในชีวิตของเขาเชียวนะ  รู้แบบนี้เลือกปล่อยให้คนในอ้อมแขนลงไปนอนแหมะแทนแว่นยังจะดีเสียกว่า  เก่งคิดพลางส่ายหัว
                   “อ๊ายย~ ดูนั่นดิๆ เขากอดกันอ่ะแก!”
                   เด็กนักเรียนม.ปลายซุบซิบเสียงดังพลางชี้มาที่เขาสองคน  เฟรมกระทุ้งศอกใส่เก่งเป็นเชิงให้ปล่อยตนได้แล้ว  แต่เก่งยังค้างมืออยู่ที่เดิมในหัวคิดแค่ว่าวันนี้จะใช้ชีวิตโดยปราศจากปัจจัย 5 ของเขาอย่างไรดี
                   “จะกอดอีกนานไหมครับผมท้องแล้วนะ รับผิดชอบด้วย”
                   เฟรมดึงมือเก่งมาวางลงบนท้องตัวเอง  เก่งได้สติก็ชักมือกลับก้าวถอยออกจากเจ้าเด็กจอมกวนก้าวหนึ่ง
                   “มีนายคนเดียวก็ปวดประสาทแล้ว มีอีกคนฉันเอาแว่นทิ่มกระเดือกตายดีกว่า”
                   รุ่นพี่บ่นพลางกวาดมือเก็บแว่นบนพื้นขึ้น  ส่วนเฟรมหัวเราะลั่นรีบลากเก่งให้เดินไปหน้าซุ้มเพราะเพื่อนส่งสัญญาณเรียกแล้ว
                   “เรื่องแว่นผมรับผิดชอบให้ก็ได้” เฟรมทำหน้าจ๋อยพูดอ้อมแอ้ม  เก่งเห็นแบบนั้นก็คิดในใจว่าเจ้าเด็กนี่ช่างเหมือนสุนัขที่บ้านเขาไม่มีผิดทำหูตก ๆ เหมือนกันเลย
                   “ไม่ต้อง ฉันทำตกเองก็ต้องซ่อมเอง”
                   “โล่ง~ นึกว่าต้องเสียตังค์ละ เย็นนี้มีกินหมูกระทะเดี๋ยวไม่มีเงิน ฮ่าๆ”
                   ด้านหน้าซุ้มสาว ๆ แอบยิ้มเล็กยิ้มน้อยเมื่อเจอหนุ่มหล่อ  ยิ่งเห็นฉากพี่หน้าตี๋กอดเอวพี่ผมจุกพวกเธอก็อยากจะลงไปกรี๊ดคว้ามือถือมาอัดวิดีโออัพโหลดให้สาววายได้ฟินกันทั้งทวีป
                   “โชว์ต่อไปนะ ตื่นเต้นมาพี่บอกเลย”
                   นักมายากลชูอุปกรณ์ชิ้นต่อไปให้ดู มันคือกุญแจมือสีเงินคู่หนึ่ง  เขาพลิกให้ผู้ชมดูว่าไม่มีกลไกลแอบแฝงใด ๆ เป็นเพียงกุญแจมือธรรมดา
                   “เดี๋ยวพี่จะล็อคสองคนนี้ด้วยกุญแจมืออันนี้ เสร็จแล้วพอพี่คลุมผ้าเป่ามนต์เสร็จปุ๊บ! มันก็จะหลุดออกมาทันที เชื่ออ่ะเปล่า~”
                   “ไม่เชื่อ~”
                   “ไม่เชื่อหรอ  เดี๋ยวจะทำให้ดู!”
                   กุญแจมือล็อคเข้ากับข้อมือด้านขวาของเก่ง  ส่วนที่เหลือล็อคเข้ากับข้อมือด้านซ้ายของเฟรม  เฟรมขยับข้อมือเล็กน้อยเขารู้กลไกลของการปลดล็อคของมันแล้ว  ก่อนวันงานเพื่อนก็เคยเอามาให้เขาลองเล่นเรียบร้อยแล้ว
                   “ดูนะ~ เฮ้ย! แป๊บ!”
                   “อะไรมึง”
                   “พ่อโทรมา เดี๋ยวกูมานะๆ”
                   เฟรมมองเพื่อนที่หุนหันรีบรับสาย จะไม่รีบได้ไงพ่อมันดุขนาดนั้นมันเองก็กลัวพ่อจะตาย
                   “ว่าไงนะพ่อ!! หยิบผิดหรอ...ครับ ๆ เอ่อ อยู่ที่ผมเนี่ยแหละ ครับ ๆ”
                   วางสายเสร็จนักมายากลหน้าใสก็ยิ้มเจื่อนขึ้นมาทันที  เขาเกาหัวแกร๊ก ๆ ขณะที่น้อง ๆ ก็เรียกร้องจะชมโชว์ต่อ
                   “ต่อสิพี่หนูอยากดู!”
                   “คือ...ต้องเล่นโชว์อื่นแล้วล่ะ”
                   “อะไรมึงวะเนี่ย”
                   เขาปั้นสีหน้าลำบาก  เฟรมเองก็เริ่มยกไม้ยกมือทุบกบาลเพื่อน
                   “อย่าโกรธกูนะ คือ... พ่อกูหยิบกุญแจมือไปผิดอัน” เฟรมกับเก่งยืนนิ่ง  คนเล่ายิ่งลำบากใจหนัก แต่ก็เล่าต่อ “เมื่อวานพ่อกูให้กูเอากุญแจมือมาขัด กูก็ขัดของกูอยู่เหมือนกัน  พอกูลุกไปล้างมือกลับมาพ่อก็ออกไปทำงานแล้วและก็หยิบติดมือไปอันนึง  พอพ่อเอาไปจับคนเล่นไพ่ๆแม่งเสือกหลุดไปได้พ่อก็เลยเหนื่อยวิ่งจับอีกรอบ เสร็จแล้วก็โทรมาด่ากูเนี่ย...”
                   “เชี่ย! เสือกมาขัดกุญแจมือวันเดียวกัน ดีงาม~” เฟรมบ่นพลางตบหัวเพื่อน
                   “งั้นไปเอากิ๊บดำมาแงะ”
                   เก่งเสนอความคิดและออกปากขอกิ๊บดำจากเด็กม.ปลาย  จากโชว์มายากลเปลี่ยนเป็นโชว์แงะกุญแจ  เก่งอาศัยจำเอาจากในหนังก็ลองเอากิ๊บแหย่เข้าไปในรูอยู่นานสองนานก็ไม่มีวี่แววว่ามันจะปลดล็อคเสียที
                   “ยากกว่าที่คิด..” เก่งพรึมพร่ำ
                   “ผมลองบ้าง” เฟรมแย่งกิ๊บจากมือไปทำการแงะแต่ก็ได้ผลเหมือนกันเด๊ะ
                   “เอางี้เดี๋ยวผมไปกุญแจที่พ่อให้ดีกว่าพี่”
                   “ก็ดี ขอบใจนะ”
                   “ได้พรุ่งนี้นะพี่...คือ พ่อผมบินไปอุดร”
                   ดีจริง ๆ เก่งประชดอยู่ในใจ ส่วนเฟรมเหวี่ยงแขนเล่นไปมาไม่รู้ร้อนรู้หนาวก่อนเงยขึ้นสบตาเก่งอย่างมีเลศนัย  เฟรมรู้สึกสะใจที่เก่งทำหน้าลำบากใจ  มันคือความสุขของเขา  และวันนี้เขาจะทำให้รุ่นพี่ที่รักบ้าตายให้ได้ ฮ่าๆ
                   เก่งเองก็รับรู้ถึงหายนะที่คืบคลานเข้ามา  สู้ให้เขาถูกล็อคคู่กับยูยังดีเสียกว่าเด็กแบบนี้  มีหวังเขาต้องเอาเชือกรัดคอตายแน่
                   “ฮ่า ๆ”
                   เฟรมหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น เก่งกุมขมับปวดหัวจี๊ด  ...ทำไมต้องมาอยู่กับเด็กบ้าแบบนี้ด้วยนะ.. หลุดไปคงต้องทำบุญใหญ่ล่ะครั้งนี้
                  
                   ในโชคร้ายของใครบางคนผมกลับคิดว่ามันเป็นโชคดีของผม  ผมมองใบหน้าไร้กรอบแว่นที่แสดงสีหน้าว่าอยากจะบ้าเต็มทีหลังเจอผมหยอกไปทั้งวัน
                   “เฮ้อ…”
                   เต้าหู้นึงถอนหายใจรอบที่ร้อยของวัน  ผมได้แต่ยิ้มภูมิใจ  ทำหน้าลำบากใจอีกสิผมชอบ  เหมือนอีกฝ่ายจะรู้ความคิดผมจึงนึกเอาหัวจุ่มแก้วน้ำประชดชีวิตมันซะเลย
                   “เกี๊ยวซ่ายังเหลือไหมวะ ไหนใครบอกซุ้มนี้มีเกี๊ยวซ่า! เกี๊ยวซ่าอยู่ไหนวะ!”
                   ไอ้ยูพรวดเข้ามาในซุ้มพลางร้องโวยวาย  จมูกไวชิบเป๋ง! คนในซุ้มมองหน้ากันเหรอหราก่อนมาหยุดสายตาลงที่ผม  ผมรีบโบกมือเป็นเชิงปฏิเสธว่า “กูไม่ได้บอกมันนะเว้ย” ไอ้ยูก็หันมาถามผู้ชายข้างผม
                   “พี่เก่งเห็นใครถือถุงเกี๊ยวซ่าบ้างไหม พวกมันเอาไปวางไว้ไหนอ่ะ”
                   ไอ้ยูชะเง้อหาขณะที่เจ้าของเกี๊ยวซ่าแอบย่องหิ้วถุงเกี๊ยวซ่าไปยังจุดปลอดภัย
                   “ไอ้พุดเดิ้ลมึงแดกไปใช่ไหม!” มันหันมาวีนผม
                   “ยังไม่ได้กินเลย ไรมึงเนี่ย”
                   “ปากมันแผล็บยังบอกไม่ได้กิน บอกที่ซ่อนมาเดี๋ยวนี้นี่คือการปล้น!”
                   “อยากกินก็ไปบอกแฟนมึงโน่นอย่ามาเบียดเบียนชาวบ้านเขา~”
                   ผมจงใจเอ่ยคำว่าแฟนออกมาให้คนข้าง ๆ รู้สึกหดหู่หนักกว่าเดิม  ตอนแรกพอพี่แกเห็นไอ้ยูตานี่เป็นประกายเชียว ขอดับฝันหน่อยเถอะหมั่นไส้ หึๆ
                   “ทำไมแขนมึง...?” มันชี้มาที่ข้อมือผมซึ่งถูกล็อคไว้กับแขนขาวๆของอีกคน  ผมเลยเล่าเหตุการณ์ให้มันฟัง
                   “น่าสงสารหว่ะ”
                   “ใช่มะๆ”
                   “กูหมายถึงพี่เก่ง! ไม่ใช่มึง! พี่เก่งใจเย็น ๆ นะครับถึงไอ้พุดเดิลมันจะปากหมาชอบกัดพี่อยู่เรื่อย พี่ก็อย่าโมโหจนกัดลิ้นตัวเองตายนะครับ!” ไอ้ยูว่าพลางจับไหล่รุ่นพี่หน้าเต้าหู้นึงด้วยความเห็นใจ
                   “กูจะกัดมึงก่อนเลยไอ้ยู” ผมแง่มไปที่มือบนไหล่รุ่นพี่เต้าหู้ ส่งเสียงหึ่ม ๆ ในลำคอขู่มันด้วย
                   “หวงกาง!”
                   “เออ กูหวงอย่ามาจับ!”
                   พี่เต้าหู้สะดุ้งหันมองหน้าผมควับ  ผมยักคิ้วให้ทีนึงก่อนขยับหัวซบพี่แกก็รีบเอามือดันหัวผมออกทันที  เหอะ! พิศวาสตายล่ะ ผมแกล้งไอ้ยูมันเฉย ๆ หรอก
                   “เอาหัวออกไป”
                   “คุณพี่ก็~ ขอน้องซบหน่อยก็ไม่ได้ อายหรอครับไว้ทำกันสองต่อสองก็ได้เนอะ~”
                   คนตาตี่พยายามถลึงตาใส่ผม ไม่ได้โตขึ้นเลย น่ากลัวตายล่ะ! ผมได้ทีก็ขยับตัวเบียดพี่แกก็ถอยจนจะตกเก้าอี้เลยทีเดียว
                   “เห็นมึงเป็นฝั่งเป็นฝากูก็สบายใจละ พี่เก่งดูแลเพื่อนผมดี ๆ ด้วยนะ  พี่ต้องแปรงขนให้มันทุกวัน จับมันอาบน้ำ เทอาหารหมาให้มันกินด้วยนะ” บอกทีว่ากูยังเป็นคน...
                   “ยูมาแอบอู้อยู่นี่เอง”
                   พ่อเทพบุตรของไอ้ยูเสด็จมาตามถึงซุ้ม  ไอ้ยูบ่นว่า “ยังไม่ได้ปล้นสะดมเลย!” ตอนโดนสามีมันลากแขนออกไป  สองคนนั้นคงไม่รู้ว่ามีสายตาของใครคนหนึ่งมองตามมันสองคนไปจนลับตา  ก่อนดวงตาคู่นั้นจะผลุบลงจ้องมองปลายเท้าตัวเอง
                   “น่าสงสารเนอะ~” ผมเอ่ยลอย ๆ ดวงตารีเล็กจึงจิกใส่ผมทันที  ผมก็แค่ยักไหล่ไม่รู้ร้อนรู้หนาว  คนบ้าอะไรอึดอย่างกับควาย  เจ็บแล้วไม่จำก็เห็นอยู่ว่าเขามีคนรักแล้วยังจะไปรักเขาอีก
                   ...เขาไม่รักก็ดันทุรังไปรักเขาอยู่ได้...
                   “ฉันดู...น่าสมเพชมากเลยหรอ” เขาถามผม
                   “ก็น่าเวทนาอยู่นะครับ ทำไมไม่ลองไปรักคนอื่นดูล่ะ จะได้ไม่เจ็บไงยากตรงไหน หรือชอบความเจ็บปวด? โอ้ววว เป็นมาโซฯหรือครับคุณพี่~”
                   “มันยากตรงที่ฉันไม่รู้จะไปรักใครนอกจาก....ยู”
                   จมปลัก ดักดาน ผมไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาด่า  ไอ้คำพวกนี้มันไม่แรงเดี๋ยวคิดก่อน
                   “บางครั้งฉันก็คิดนะว่านาย...”
                   หือ? ผมทำไมอ่ะ?  ชายผิวขาวขยับร่างเข้ามาใกล้กลายเป็นผมเสียเองทีต้องขยับตัวถอย  มันไม่ชอบมาพากลหว่ะ
                   “นายขัดจังหวะตอนฉันคุยกับยูตลอด ถ้าไม่ติดว่านายแสดงออกว่าไม่ชอบหน้าฉัน ชอบพูดจากวนโมโหฉัน  ฉันคงคิดว่า...นายแอบชอบฉันเลยเข้ามาขวางทางระหว่างฉันกับยู...”
                   ชอบ? ผมเนี่ยนะบ้าไปแล้ว! ไม่มีทาง!
                   “เฟรม”
                   ที่ผมทำก็แค่กวนตีนคนเล่นเท่านั้นเอง ไม่ใช่เสียหน่อย!
                   “ทำไมหน้าแดงล่ะ”
                   “ห๊ะ!?!”
                   “ชอบฉันจริงหรอ?”
                   “จะบ้าหรอครับ!”
                   ผมลุกพรวดเดินหนีแต่ลืมไปว่าแขนติดรุ่นพี่ประสาทกลับอยู่ผมเลยเด้งกลับไปนั่งที่เดิม  เอ่อ... แต่กะระยะพลาดไปหน่อย  แทนที่จะได้นั่งม้านั่งผมกลับนั่งปุบอยู่บนตักของคนบนม้านั่งอย่างไม่ตั้งใจ
                   “อ่อยใช่ไหมเนี่ย”  คิ้วเข้มเลิกขึ้น  หรี่ตามองผมอย่างสงสัย  ผมอยากจะจ้องตาส่งกระแสจิตยียวนกลับ แต่ดวงตาคุ้นเคยปราศจากเลนส์บดบังกลับทำเอาผมรู้สึกประหม่าขึ้นมา 
                   ผมเม้มปากหายใจช้า ๆ หัวใจผมมันสั่นรัวและแรงขึ้น ผมกลัวว่าคนที่โดนนั่งทับจะได้ยิน  อีกทั้งสวิตซ์ความกวนตีนผมถูกปิดลงกะทันหันอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน  เพราะพี่เต้าหู้ไม่ได้ใส่แว่นแน่นเลยผมถึงไม่กล้าสบดวงตาเขาใกล้ ๆ
                   “กูว่าแล้วกัดกันไปกัดกันมา....กินกันเองดีกว่าง่ายดี” เสียงไอ้เมศลอยมาเข้าหูผม  ปากผมเลยโต้กลับโดยอัตโนมัติทันทีว่า “สึด!”
 
                   ประมาณทุ่มหนึ่งหลังเคลียร์ของเก็บเรียบร้อยช่วงเวลาสุขสันต์ก็มาถึง  แน่นอนผมหมายถึงกินเลี้ยงไงครับ  ทำงานเหนื่อยมาทั้งวันก็ต้องจัดหมูกระทะกันเสียหน่อย  แต่งานนี้ไอ้ยูไม่อยู่เพราะโดนแฟนมันลากกลับบ้านไปเรียบร้อยแล้ว พวกผมก็เลยปลื้มปริ่มกันถ้วนหน้า  ถ้าไอ้ยูไปเจ้าของร้านก็ไม่ให้เข้าร้านกันพอดี  ชื่อเสียงแม่งขึ้นชื่อลือชามาก.... มนุษย์ 4 กระเพาะ
                   “เก่งไปกินสุกี้กันไหม”
                   “ไอ้เฟรมไปกินหมูกระทะกันเปล่า”
                   “ไป//ไป!”
 
                   แกร๊ง~
 
                   โซ่ถูกกระตุกกึก  ผมเอียงคอมองรุ่นพี่ผิวขาวที่กระชากแขนผม  เขาหันมาหรี่ตามองผมพลางดึงแขนตัวเองเดินตามเพื่อน เฮ้ย! ผมก็จะไปกินกับเพื่อนผมเหมือนกัน
                  
                   กึก!
 
                   ผมดึงแขนกลับพี่แกก็เซตามผมเล็กน้อย  เขาเริ่มเขม่นตาจิกผมๆเองก็ไม่ยอมแพ้  จึงเริ่มก่อสงครามประสาทกันแบบย่อม ๆ โดยการจิกตาใส่กันพร้อมกระชากแขนไปมาไม่มีใครยอมใคร
                   “ฉันจะไปกินสุกี้”
                   “ผมจะกินหมูกระทะ”
                   “สุกี้!”
                   “หมูกระทะ!”
                   จะเอาใช่ไหมครับ อย่าหาว่าผมใจร้ายกับคนแก่ล่ะ หึ ๆ
                   “พอ ๆ กลับหอไปทั้งคู่เลย” พี่บิวยกมือปรามพวกเราก่อนชี้นิ้วไล่ให้กลับหอไป
                   “ไม่!//ไม่!” เหนื่อยทั้งทีต้องเรียกพลังงานคืนก่อนดิ
                   “งั้นพวกเรารีบไปกันเถอะ ปล่อยมันสองคนไว้นี่แหละเดี๋ยวโต๊ะเต็ม”
                   งานนี้ปี 1 กับปี2เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยรีบแยกย้ายสลายโต๋ไปจนหมด  ไอ้ผมจะวิ่งตามก็ไม่ทันเพราะมีตัวถ่วงยื้อยุดฉุดกระชากอยู่
                   “ไปกินก๋วยเตี๋ยวแล้วกัน” ไม่พูดพร่ำทำเพลงต่อ รุ่นพี่เต้าหู้ก็เดินนำกึ่งบังคับผมให้ตามไป
 
                  
                   ไอร้อน ๆ ลอยขึ้นมาจากชามบะหมี่เกี๊ยว  สีน้ำซุปเหลืองทองช่างยั่วยวนชวนน้ำลายสอ  ผมบรรจงใช้ช้อนตักซุปขึ้นมา แต่....
 
                   กึก!
 
                   น้ำซุปร้อนฉ่ากระเด็นออกจากช้อนผมไปจนหมดเกลี้ยง ผมมองมือตัวเองที่เริ่มแดงขึ้นเพราะโดนของร้อน  แต่อีกมือหนึ่งแดงยิ่งกว่าก็โดนไปเต็ม ๆ ทั้งช้อน  คนกระชากแขนมองหน้าผมนิ่งก่อนเอ่ยขึ้น
                   “ร้อน”
                   “ก็ใครให้กระชากละครับคุณพี่  ผมกำลังจะชิมน้ำซุปอยู่แล้วเชียว”
                   ไม่พอใจเหมือนกันนะครับไม่ต้องมาจิกตาใส่  ตาก็แทบจะมองไม่เห็นอยู่แล้ว รุ่นพี่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนบ่นเรื่องความไม่ยุติธรรมที่ตัวเองได้รับ
                   “ถ้านายมัวแต่ตักซุปแล้วฉันจะกินยังไง”
                   มองมือที่ถูกเชื่อมไว้ด้วยกันอย่างอนาจจิต  ผมกับเขานั่งตรงข้ามกันเพื่อให้สะดวกต่อการกิน  ก็ไม่ได้ดีขึ้นเท่าไหร่ที่แขนซ้ายผมกับมือขวาเขาโดนเกี่ยวไว้ด้วยกัน  ถ้าผมซดแกงพี่แกก็คีบบะหมี่ไม่ได้
                   “เป็นพี่ต้องเสียสละให้น้องสิครับ~”
                   “ได้ ฉันจะเสียสละเวลาไปหยิบมีดมาตัดแขนนาย โอเคไหม?”
                   บ่นจบก็ก้มหน้าก้มตากิน  ผมจำใจต้องปล่อยแขนข้างหนึ่งให้อีกคน  ดูท่าจะสบายเกินไปแล้ว  พี่แกทั้งคีบบะหมี่ซดแกงได้ทั้งสองมือ แล้วดูผมดิ!
                   “ให้ผมซูดน้ำบ้างดิครับ”
                   รุ่นพี่เหลือกตามองก่อนตักซุปให้ชามตัวเองยื่นมาจ่อตรงหน้าผม  ให้กินแบบนี้อ่ะนะ...
                   “กินสิ” บอกแล้วเริ่มทะลวงช้อนเข้าปากผม  ผู้ชายสองคนป้อนให้กันแบบนี้มันไม่แปลกหรอ  ผมส่ายตาล่อกแล่กหวังว่าจะไม่มีใครมองอยู่นะ  ผมกลั้นหายใจกระเดือกน้ำซุปลงไปให้ไวที่สุด
                   “แหวะ! น้ำซุปหรือน้ำเชื่อมเนี่ย” บ้าไปแล้ว นี่มันหวานเกินมาตรฐานแล้วนะ
                    “น้ำลายติดช้อน... บ่นจังนะให้กินแล้วไง”
                   “เอาซุปชามผมนี่สิ”
                   “บ่นก็ไม่ต้องกิน คิดว่าฉันต้องตามใจนายหรอ”
                   “ครับ ๆ ผมเข้าใจดี ก็ผมมันไม่ใช่ไอ้ยูสุดที่รักของพี่นี่ครับ~”
                   พี่แกยักคิ้วก่อนกินน้ำแกงตัวเองต่อด้วยใบหน้าพริ้ม  มันอร่อยตรงไหนวะ
                   “จะว่าไป เมื่อวานกินมะม่วงกับกะปิแล้วก็สั่งตำปูปลาร้ามากินต่อก็นั่งกินเพลินจนลืมนอนเลย  ตอนเช้าดันตื่นสายอีกซะนี่...แย่จัง  ผมก็เลยขี้เกียจอาบน้ำแปรงฟัน...”
                   คนที่กำลังเพลินกับการซดซุปทำหน้าเจื่อนลดหยิบช้อนวางไว้ข้างชามแทน
                   “คุณพี่ครับ ขี้ปากผมอร่อยไหมครับ~”
                   รุ่นพี่รีบยกแก้วกรอกน้ำเข้าปาก  บ้วนน้ำทิ้งล้างคอทันที  ผมได้แต่หัวเราะหึ ๆ อย่างมีความสุข  ขณะที่อีกคนทำหน้าเคืองใส่  หึ ทำหน้าพริ้มดีนัก เฟรมก็ต้องจัดให้หายพริ้มสิครับ...หมั่นไส้!
 
                   กินกันเสร็จก็กลับมาหอผม  ระหว่างทางผมเห็นพี่แกหน้าบึ้งมาตลอดทาง  เดินห่างกับผมเสียเป็นวาปากก็บ่นว่าอยากจะฆ่าตัวตายหนีผม  ผมเลยจัดให้โดยการผลักพี่แกลงไปที่ถนน  แต่ที่ไหนได้พี่แกกลับรีบกระโดดโหยงขึ้นมาบนทางเท้า  ซ้ำยังเตะผมซะด้วย
                   “เลิกกวนประสาทฉันซะที”
                   “ไม่มีทางหรอกครับ ฮ่า ๆ”
                   พี่แกทำหน้าเหมือนอยากจะกระโจนเข้ามาบีบคอผมเต็มที  ทำไมผมยิ่งรู้สึกสนุก ฮ่า ๆ
                   “อาบน้ำดีกว่า เหงื่อซกไปหมดเลย”
                   “จะอาบยังไง”
                   “ก็อาบด้วยกันไงครับ”
                   ผมตอบไปหน้าด้าน ๆ อาบด้วยกันไม่เป็นไรหรอกผู้ชายเหมือนกัน  ผมปลดกระดุมถอดเสื้อเอาแขนออกแต่อีกข้างเอาออกไม่ได้
                   “ทำไมในหนังพระเอกกับนางเอกอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าได้อ่ะ”
                   ผมมองเสื้อที่ติดอยู่ตรงสายโซ่  ละครมันหลอกลวงสินะแล้วผมดันถอดไปแล้วให้ใส่ใหม่หรอ
                   “เอากรรไกรมาตัดซิ”
                   “แล้วผมจะใส่ตัวใหม่ยังไง”
                   “ไม่ต้องใส่เลยไง”
                   ไม่ต้องใส่ ? ให้นอนเปลือยกับผู้ชายเนี่ยนะ ก็ผู้ชายนี่หว่าไม่เป็นไรมั้ง  ระหว่างที่ผมคิดผมก็เห็นว่ารุ่นพี่ใช้ดวงตาเม็ดเล็ก ๆ มองหน้าอกผม  ผมสะดุ้งหันหลังให้ก่อนต่อว่า
                   “ไม่เคยเห็นนมผู้ชายหรือไงครับ!” อายนะเนี่ย อายยย
                   “ฉันมองไม่เห็น มันลาง ๆ”
                   ผมหรี่ตามองแบบเคลือบแคลง  ก่อนโบกมือผ่านหน้าพี่แกสองสามที
                   “ฉันไม่ได้ตาบอด!”
                   ผมหัวเราะในลำคอก่อนพาพี่แกเดินเข้าห้องน้ำ  ผมใช้วิธีให้พี่แกหอบเสื้อผ้าผมไว้  ส่วนผมก็ปิดม่านอาบน้ำ  อาบไปก็ระแวงไปว่าพี่แกจะนึกเปิดม่านหรือเปล่าแต่ก็ไม่มีวี่แวว  จนถึงตาพี่แกอาบผมเลยแวกม่านดูเสียเอง
 
                   ปึก!
 
                   “โอ้ย!”
                   ขวดแชมพูแบบปั๊มกระแทกลงหัวผม  อะไรกันเพิ่งแง้มไปได้เซนเดียวเองนะ
                   “ทะลึ่ง!” คนในม่านด่า
                   “เห็นด้วยหรอ”
                   “ไม่เห็นก็รู้ว่านายจะทำอะไร”
                   รุ่นพี่เต้าหู้ใช้มาตรการเด็ดขาดกับผม  บอกถ้าแอบดูอีกจะเอาสบู่ป้ายตา  ผมเลยได้แต่มองเงาที่ไหวไปมาบนม่านแทน  ตัวพี่แกก็สูงห่างผมไม่มากเท่าไหร่  ช่วงไหล่ก็ใกล้เคียงกัน  ส่วนตรงนั้น...ก็พอเห็นรำไร ๆ มันก็....
                   “เฟรมเถิบมาใกล้ ๆ หน่อย”
                   “อะไรครับ?”
                   ผมขยับเข้าไปหามือที่กวักเรียก  รุ่นพี่ค่อย ๆ แง้มม่านออก  เปิดทางให้หรอผมก็ชะเง้อสิครับ  ไหนๆ ขอดูหน่อยสิ
                  
                   โป๊ะ!
 
                   “อ๊าก! แสบตาๆ!”กลิ่นยาสระผมนี่ลอยเข้ามาเลยสุดท้ายก็มาแหมะอยู่ที่ตาผมนี่ไง  ผมโวยลั่นอีกฝ่ายหัวเราะอย่างสะใจ  ไม่ได้สงสารผมซักนิด  แกล้งผมหรอ โห้ย เป็นรุ่นพี่ภาษาอะไรวะ!
                   “เอ้า ยิ่งขยี้ยิ่งแสบนะ”
                   “เล่นอะไรของคุณพี่ครับเนี่ย! มันแสบนะครับ!”
                   “มา ๆ ล้างออก”
                   สายน้ำรถลงบนหัวผมจนชุ่มช่ำ  แม่งไม่ได้โดนหน้ากูเลยครับ คุณพี่มึงตาบอดเปล่าครับเนี่ย!
                   “ออกหมดยัง”
                   “ออกบ้าอะไรครับ! ไม่โดนหน้าผมซะนิด!”
                   “อ้าวหรอ”
                   “สั้นหรือบอดกันแน่ครับ? ” แต่ผมเนี่ยจะบอดแล้ว  ล้างน้ำเสร็จขนบนหน้าผมคงนุ่มลื่นเหมือนทำทรีเมนต์
                   “ไหนลืมตาซิ”
                   มือหนาเชยคางผมขึ้นตรวจสอบดวงตา  ผมกระพริบตาไล่ความแสบอีกฝ่ายก็เป่าลมใส่ตาผมแทน  ผมลืมตาขึ้นเต็มดวงก็แทบผงะตัวเมื่อเห็นใบหน้าขาวใสลอยอยู่ใกล้ไม่ถึงหนึ่งไม่บรรทัด  ดวงตาเล็กสอดส่ายมองดวงตาผมอย่างเป็นห่วง
 
                   ตึกตัก
 
                   แล้วทำไมหัวใจผมมันต้อง...เป็นอะไรวะเนี่ย  ผมเบี่ยงสายตาหลบไปทางอื่นไม่กล้าจ้องมองระยะใกล้แบบนี้  มือใหญ่สับลงกลางกระหม่อมผมแรง ๆ ทีนึงพร้อมพูดเสียงดุ
                   “ทะลึ่งอีกแล้วนะเรา!”
                   พอเงยหน้าขึ้นพี่แกก็ขมวดคิ้วเป็นปมแน่น  ทะลึ่งอะไรผมแค่มอง... ผมมองไหล่กว้างไล่ลงมาที่แผงอกขาวเนียน  มีวงสีชมพูแดงสองวงเป็นฐานของ...
 
                   โป๊ก!
 
                   “เลิกเคาะผมซะที ความรู้อันมีค่าของผมหล่นหายหมด”
                   “ถ้ายังมองไม่เลิกฉันจะจับนายแก้ผ้าด้วยอีกคนเอาไหม!”
                   “ฮ่า ๆไม่กลัวหรอกครับ เหวอ!”
                   มือใหญ่ดึงรั้งเสื้อผมที่ใส่คลุมไว้  ผมรีบขัดขืน  เกิดเอาจริงขึ้นมาซะอย่างนั้นน่ะ
                   “ปล่อยผม...นะครับ!”
                   ดึงไปดึงมาผมก็เกือบจะลื่นน้ำที่พื้น  มือใหญ่ดึงเสื้อผมแหวกได้สำเร็จก็ยืนนิ่งจ้องนมผมเฉย  หน้าผมร้อนวาบ  มือไม้สั่นปากที่ควรจะตะโกนด่าก็ไม่มีเสียงลอดออกมา  ได้แต่ยืนอึ้งเหมือนสาวน้อยยืนโป๊ต่อหน้าชายหนุ่มไปเสียได้  และเป็นผมเองที่ตั้งสติได้จึงกระชากม่านปิดระหว่างเรา
                   ...จ้องทำไมวะ...
                   ผมมองตัวเองในกระจกช่างเหมือนตัวตลกที่โดนใครไม่รู้เอาสีแดงมาป้ายทั่วหน้า  โดยเฉพาะจมูกเนี่ย  ผมสะบัดหัวไล่ภาพดวงตารีเล็กที่จ้องลึกลงมาให้ดวงตาผมออกก่อนบังคับตัวเองให้หายใจช้า ๆ
                   ..โว้ย หายใจช้าแล้วทำไมหัวใจมันยังเต้นแรงอีกวะ!..
 
                   หลังโต้วาทีหน้าจอทีวีจบผมก็รีบนอนด้วยความเหนื่อย  ผมนอนริมใน ตะแคงเข้าหากำแพง  ตื่นเช้าคงจะปวดไหล่แต่ช่างมันเถอะอย่างน้อยก็ไม่ต้องนอนมองหน้าใครบางคน
                   “นอนแบบนั้นเดี๋ยวก็ปวดแขนหรอก”
                   “ช่างเหอะ ง่วงแล้ว”
                   ไม่ค๊งไม่ครับละ จะนอนง่วง! มือใหญ่พลิกผมให้นอนราบแทน
                   “จะให้ฉันนอนกอดนายหรือไง”
                   สภาพแขนตอนนอนดูเหมือนกอดน่ะแหละ  ผมนอนตะแคงซ้าย  แขนซ้ายก็พาดขนไหล่ขวาใช่ไหมล่ะ  แต่แขนพี่แกก็ไม่ได้โอบรอบผมเสียหน่อย  ผมก็เหยียดแขนไปข้างหลังสุดแขนแล้วนะ
                   “จะให้นอนท่าไหนล่ะ” ง่วงเว้ยง่วงนอนท่าไหนก็เหมือนกันแหละ
                   “ท่านี้”
                   พี่แกจัดท่าให้ผมใหม่เปลี่ยนเป็นพี่แกนอนข้างในผมนอนข้างนอกแล้วตะแคงหันเข้าหากัน  ผมเลยต้องนอนมองหน้าเต้าหู้จืด ๆ ของพี่แกเสียอย่างนั้น
                   ผมเม้มปากจ้องดวงตาปิดสนิทคู่นั้นที่ชอบจิกผม  คิดว่าถ้าพี่แกมานอนจ้องผมแบบนี้บ้างผมคงนอนไม่หลับแน่  จะว่าไปพี่แกก็ขาวจริง ๆ แก้มก็ยังแดงอยู่คงเพราะเพิ่งเลือดขึ้นหน้าตอนโต้วาทีกับผม
                   จู่ ๆ ดวงตาคู่นั้นกลับเปิดขึ้น  ผมตกใจพลิกตัวลงนอนราบแต่ลืมไปวางเตียงมันแคบนิดเดียว  ตัวผมที่เกือบตกถูกมืออีกข้างตะบบรั้งเอวไว้  เจ้าของมือยันตัวขึ้นมาพอดี  คงเป็นโชคดีของผมที่ไม่ต้องหล่นไป  แต่อิริยาบถตอนนี้มันทำเอาหัวใจผมเต้นจังหวะน่ารำคาญอีกแล้ว
                   “ปล่อยได้แล้วครับ”
                   “ปล่อยก็ตกสิ”
                   “ช่างผมสิ”
                   “เหอะ ฉันก็ตกไปด้วยน่ะสิ”
                   ร่างพี่แกเกยขึ้นมาบนตัวผมส่วนหนึ่ง  ผมข่มลมหายใจหวังจะให้หัวใจมันเต้นช้าลง  ผมกลัวอีกฝ่ายจะได้ยิน  อกใต้เชิ้ตยับยู่ยี่เกยอยู่บนอกซ้ายของผมแบบนี้มันก็.... ภาวนาไปก็เท่านั้น  ผมว่าเขารู้แล้วล่ะ
                   “หัวใจเต้นแรงจังนะ”
                   “..คะ.. คนจะตกเตียงไม่ตกใจได้ไงครับ”
                   “นั่นสิ”
                   ร่างนั้นถอยกลับไปแต่รั้งตัวผมให้นอนตะแคงตามเดิม  ซ้ำยังรั้งให้ผมเขยิบตัวเข้าไปใกล้ขึ้นอีก
                   “เดี๋ยวตกเตียงอีก คราวนี้ฉันไม่จับแล้วนะ”
                   ผมนอนก้มหน้าหลับตา  ไม่ยังนอนจ้องหน้าพี่แกแล้ว  แต่ก็ยังหลับไม่ลงไม่รู้พี่แกจ้องผมอยู่หรือเปล่าเลยลืมตาโพรงขึ้นมาอีก  แต่อีกฝ่ายหลับไปแล้ว
                   ...คิดว่ามองอยู่เสียอีก...
                   ผมปิดตากำหมัดแน่นมันรู้สึกหดหู่อย่างบอกไม่ถูก  มองผมบ้างไม่ได้หรือไงนะ  สายตาของพี่มีไว้มองยูคนเดียวเท่านั้นหรอ  ความรักมันทำให้คนตาบอดจริง ๆ น่ะแหละ บอดจนมองไม่เห็นคนอื่น...แม้แต่คนที่นอนอยู่ข้างกันยังมองไม่เห็นเลย
                   “...บ้าชะมัด”
 
 
                   เข็มนาฬิกาทั้งสองมาบรรจบกันที่เลข 12 เวลาครึ่งราตรีนี้เก่งยังไม่อาจข่มตัวเองให้หลับลงได้เลย  ต่างกับอีกคนที่เข้าสู้ห้วงนิทราไปเรียบร้อย  เห็นได้จากลมหายใจสม่ำเสมอที่ช้าลงนั่นเอง  ร่างนั้นเริ่มพลิกตัวออกนอกเตียงเก่งรีบคว้าเอวอีกฝ่ายไว้แทบไม่ทัน  เขาดึงร่างนั้นเข้ามาซุกใกล้ตัว  ถ้าขึ้นปล่อยไปได้เจ็บหนักแน่
                   ...ตื่นก็พูดไม่หยุด คงมีแต่ตอนหลับเท่านั้นที่เงียบสนิทแบบนี้...
                   ใบหน้าหล่ออมยิ้มเล็กน้อยก่อนใช้นิ้วแตะริมฝีปากสีอ่อนเบา ๆ ใบหน้าของคนที่ชอบยียวนกวนประสาทเขาตอนนอนก็น่าดูไม่หยอกทำให้เขาอยากจะแกล้งคืนเสียบ้าง  จึงแกล้งเอานิ้วจิกปากเจ้าจอมกวน
                   ความนุ่มนิ่มของริมฝีปากได้รูปทำให้จิตใจเขาเริ่มเตลิด  เพียงปลายนิ้วด้านสัมผัสแล้วยังรู้ว่านุ่ม  หากใช้ริมฝีปากสัมผัสจะให้ความรู้สึกนุ่มเพียงไหน  เก่งไม่อาจห้ามตัวเองจึงเลื่อนตัวเข้าไปบรรจบริมฝีปากแนบอับคนหลับสนิท 
                   ...นุ่มจริง ๆ ด้วย...
                   ช่างนุ่มและยืดหยุ่นจนอดไม่ได้ที่จะขมเม้มริมฝีปากล่างของอีกฝ่าย  เสียงครางฮือเบา ๆ ลอดออกมาจากริมฝีปากทำให้เก่งต้องหยุดชะงักและถอนริมฝีปากออกมาอย่างเสียดาย
                   “ราตรีสวัสดิ์...เฟรม”
                   เสียงกระซิบแผ่วเบา  ถึงคนหลับจะได้รับรู้แต่เขาก็อยากจะพูด  เก่งประทับริมฝีปากลงบนหน้าผากคนหลับราวกับจะร่ายมนต์ให้หลับฝันดี
                   “ฝัน..ดีน้า~”
                   คนหลับตวัดแขนก่อนตัวเขาเอาไว้แน่นพลางซุกตัวเข้าหากายอุ่น  คืนนี้เขาก็คงจะฝันดีเช่นกันทีนี้คงจะหลับได้เสียที
                   “..เต้าหู้~”
                   ..เต้าหู้? ใคร?..
                   เขาเปลี่ยนใจอยากจะปลุกเจ้าเด็กนี่ขึ้นมาเค้นความจริงเสียงแล้ว ใคร! เต้าหู้มันใครกัน!
 
 
 
++++++++++++++++++++++
ตอยพิเศษค่ะ ฮ่า ๆ ตอนหน้าตอนจบนะคะ

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา